Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 10-12

 ตอนที่ 10 การบำเพ็ญสั่งสม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในตำหนักกาลเวลาของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วังทวีสูญ


ยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ สายลมกรรโชกพัดต้องอาภรณ์ของเขา เขามองลงไปยังพื้นดินแห่งนี้แล้วมองไปยังท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาล


หลายปีมานี้เขาใช้วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญจำนวนหนึ่ง ทั้งยังบำเพ็ญภายในตำหนักกาลเวลาด้วยหมายจะคิดค้นเคล็ดวิชาที่หลอมรวม ‘วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า’ น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถคิดค้นออกมาได้เช่นเดิม แต่กลับมีความเข้าใจในขั้นอลวนล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดยิ่งกระจ่างชัดขึ้นในความตระหนักรู้ของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับแน่ใจได้ว่าการยกระดับความรู้ของตนเป็นไปตามกาลเวลา การเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่จำเป็นต้องอาศัยเวลาเท่านั้น!


“อันที่จริงแล้วขั้นอลวนก็เป็นเพียงแค่การก้าวข้ามผ่านจุดหนึ่งเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ


ขั้นอลวน…


ก็คือการทำลายขีดจำกัดของขั้นรวมเป็นหนึ่งแต่เดิมเท่านั้น! ทำให้ทางสายนี้เต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด แล้วก็คือการทำให้จุดที่จำกัดแตกสลายกลายเป็นความอลหม่าน! ความอลหม่านสามารถบ่มเพาะความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดจนในท้ายที่สุดก็จะสามารถบ่มเพาะจักรวาลแห่งหนึ่งออกมาได้สำเร็จ นั่นก็คือระดับขั้นสุดยอด… เทพจักรวาล!


ที่จริงแล้วพื้นฐานของขั้นอลวนก็เหมือนกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง!


เทพจักรวาล ก็เหมือนกับภาพวาดภาพหนึ่ง!


กระดาษขาวสะอาดเอี่ยมอ่อง เต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดจึงจะวาดได้ดี! แน่นอนว่าการจะวาดชิ้นงานอันประณีตที่สุดออกมานั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง นี่ก็คือด่านที่ใหญ่ที่สุดของระดับขั้นการบำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน มีเพียง ‘การวาดอันสมบูรณ์แบบที่สุด’ เท่านั้น จึงจะสามารถกลายเป็นจักรวาลได้


อย่างไรก็ตาม การจะทำกระดาษขาวแผ่นหนึ่งออกมาได้นั้นก็ยากเย็นยิ่งนัก


เพราะการบำเพ็ญตั้งแต่อ่อนแอมาทีละก้าวๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ตัวมันเองก็มีร่องรอยมากมายเหลือเกิน เช่นเทพอากาศ ‘ขั้นกำเนิด’ ก่อนหน้านี้ ก็มีความเร้นลับอื่นๆ ผสมปนเปกันเป็นจำนวนมาก  บวกกับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นกระดาษขาวได้ มีเพียงการไล่ตามขั้นสูงสุดก่อน ทำให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แล้วหลอมรวมกลายเป็นจุดสูงที่สุด พอมีพื้นฐานที่หลอมรวมอย่างบริสุทธิ์แล้วจึงจะแตกสลายกลายเป็นกระดาษขาวสะอาดเอี่ยมแผ่นหนึ่ง… ความอลวน


ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับระดับขั้นจิตใจของตนหรือกับการบำเพ็ญต่างก็สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นระบบการบำเพ็ญส่วนใหญ่ต่างก็มีเงื่อนไขของจิตวิญญาณกับการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน จิตวิญญาณไม่พอ ก็ไม่สามารถทำกระดาษขาว ‘ความอลวน’ แผ่นนี้ออกมาได้


“ต้องมีการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ มีความเพียรเป็นอย่างมาก และมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีอย่างล้ำลึก จึงจะสามารถกำจัดอิทธิพลของอดีตทิ้งไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ


กำจัดอิทธิพล ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการพวกมันแล้ว


ถ้าหากไม่ต้องการการตระหนักรู้ เช่นนั้นมนุษย์ธรรมดาที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยบำเพ็ญมาก่อนเลยคนหนึ่งก็ไม่ถือครองความอลวนได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าอีกหรือ


เห็นได้ชัดเจนว่าผิด!


ในทางกลับกัน ต้องตระหนักรู้ก่อน หลังจากนั้นก็ทำลายอิทธิพลของมัน หลุดพ้นจากมัน จึงจะสามารถค้นพบกระดาษขาวแผ่นนั้นที่มีอยู่ในวิถีทั้งหมด… ความอลวน! ไม่ว่าจะเป็นความเร้นลับของกฎเกณฑ์ชนิดใด ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญใดๆ ต่างก็บ่มเพาะถือกำเนิดขึ้นมาจากความอลวนด้วยกันทั้งสิ้น


การจะถือครอง ‘ความอลวน’ นั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง


หากมิใช่การตระหนักรู้อย่างฉับพลัน เข้าใจเกี่ยวกับความอลวนเบื้องหลังขั้นรวมเป็นหนึ่ง


เช่นนั้นพลังยุทธ์ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามความกล้าแกร่งอย่างไม่หยุดหย่อน พื้นฐานก็ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ก็ย่อมต้องตระหนักรู้อย่างลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือเส้นทางที่สอง วิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียมของเขา ต่างก็เอื้อมไปถึงขั้นอลวนหมดแล้ว วิชาลับผู้ท่องก็เอื้อมไปถึงขั้นอลวนแล้วเช่นกัน… วิถีทั้งหมดต่างก็ไปถึงขั้นนี้ ทั้งยังกำลังหลอมรวมวิถีอย่างต่อเนื่อง สั่งสมอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน ก็ย่อมหยั่งรู้อย่างลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ


“หืม” ข้อมูลอย่างหนึ่งส่งมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง


“งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราหรือ ข้าเป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปเสียแล้ว


การประลองของโลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่


การประลองพรรค์นี้ก็เป็นการประลองของเหล่าผู้แกร่งกล้า ดังนั้นโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราจึงได้ร่วมมือกันจัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ค้นหาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนหนึ่งที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ แล้วฉุดดึงเข้าสู่สำนักของตน บ่มเพาะอย่างเข้มข้น! ผู้ที่ไม่ได้รับการบ่มเพาะที่ดีแล้วยังความสำเร็จที่ค่อนข้างสูงภายในสองล้านล้านปี พอได้รับการบ่มเพาะแล้วความสำเร็จก็จะยิ่งสูงขึ้น ถึงขนาดที่มีบางส่วนในบรรดาคนเหล่านั้นสามารถไปถึงขั้นอลวนได้


หากงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราทุกครั้ง มีสักคนหนึ่งที่สามารถกลายเป็นขั้นอลวนได้! เช่นนั้นงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งแล้ว


“ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ประมุขวังเจียงฝู่ แม่ทัพเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ และประมุขเกาะจื่อถูต่างก็เป็นขั้นอลวน มีข้าที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างดียิ่ง ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มีสถานะสูงส่งก็ช่างเถิด สิ่งที่สำคัญก็คืองานชุมนุมใหญ่ดวงดารามีที่นั่งครึ่งหนึ่งที่ต่างก็อาศัยสายตาของเหล่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือกออกมาจากบรรดาชนรุ่นหลังที่พลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอเหล่านั้น นี่เพียงพอที่จะกระทบต่อชะตากรรมของผู้มีพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งจำนวนมากเลยทีเดียว!


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” เสียงของบรรพชนเทียนอวี๋ก้องสะท้อนอยู่รอบๆ


“ขอรับ ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเคารพ


“เจ้าไปเป็นปรมาจารย์ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็เป็นการขัดเกลาตัวเจ้าเอง ถึงเวลาเหล่าผู้มีพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็อาจจะขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์อย่างเจ้า ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่เจ้าเลือกออกมา… ถ้าหากมีพฤติการณ์อ่อนแอก็เท่ากับว่าเจ้าสายตาย่ำแย่” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกหรือจะเป็นการชี้แนะ และในด้านอื่นๆ ต่างก็เป็นประสบการณ์ให้กับตัวเจ้าเองทั้งสิ้น ยากที่จะได้โอกาสมาก็ต้องคว้าเอาไว้ให้ดีล่ะ นอกจากนี้ คราวนี้เจ้าเป็นตัวแทนวังทวีสูญของข้า อย่าได้ทำให้วังทวีสูญของข้าขายหน้าเป็นอันขาด”


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำในทันที


ปรมาจารย์ห้าท่านก็มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ห้าแห่ง


คราวนี้วังทวีสูญก็ให้ตนไป! ทุกการกระทำของตนก็หมายถึงวังทวีสูญ ย่อมต้องทำให้ดีงามอยู่แล้ว


……


ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเตรียมการ ยังเหลือเวลาอีกล้านปีกว่าจะถึงตอนจัดงานจริง


อันที่จริงก่อนที่จะเลือกปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์มากมายจากโลกทิพย์ทั้งสองก็ได้ตระเตรียม ‘งานชุมนุมใหญ่ดวงดารา’ เอาไว้ก่อนแล้ว เพราะเวลาในการจัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราถูกกำหนดเอาไว้แน่นอนอยู่แล้วว่าจัดขึ้นครั้งหนึ่งทุกหนึ่งล้านล้านปี! ผู้ที่ตอนที่พลังยุทธ์อ่อนแอไม่มีโอกาสเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่ง เสียเวลาไปหลายปีก็เข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ต่างก็คิดอยากอาศัยโอกาสนี้เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์


การเข้าร่วมงานประมูลนั้นค่อนข้างง่ายดาย


เพียงแค่มีคุณสมบัติ เช่นนั้นเมืองหลักแห่งใดๆ ที่เข้าสู่โลกทิพย์ทั้งสอง ต่างก็สามารถลงชื่อสมัครกับ ‘หอทะเลสัตตดารา’ หรือ ‘ตำหนักกิเลนบูรพา’ ได้ เมื่อถึงเวลาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้


……


กาลเวลาเคลื่อนผ่าน


ขั้นรวมเป็นหนึ่งวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังคนแล้วคนเล่าเริ่มลงชื่อสมัครกับแต่ละสถานที่ หมายจะเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา! งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็คือการรวมตัวกันของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก เหล่าเทพจักรวาลต่างก็ให้ความสนใจกันทั้งสิ้น


ทว่ามีกฎเกณฑ์ลับอยู่ข้อหนึ่ง…


ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะถูกห้ามมิให้เข้าร่วม! ถึงอย่างไรการคัดเลือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ในครั้งนี้ก็คือการเฟ้นหาผู้ที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ แล้วมิได้รับการบ่มเพาะที่ดีเหล่านั้น


มีพวกเขาบางคนที่ย่ำแย่มากในเรื่องการบำเพ็ญ อย่างมากก็ได้รับตำราศาสตร์ลับมาอย่างกระท่อนกระแท่น


มีบางส่วนที่ดีหน่อย สามารถเข้าสู่สำนักของขุมอำนาจขั้นอลวนบางแห่งได้ แต่ขุมอำนาจขั้นอลวนก็ยังห่างชั้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมายนัก ก็อย่างเช่น ‘วังจักรพรรดิดำ’ ที่ถึงแม้ว่าตัวจักรพรรดิดำเองจะล้ำเลิศ แต่เขาก็สามารถชี้แนะได้เพียงสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญเท่านั้น สิ่งอื่นที่ไม่เชี่ยวชาญ อย่างมากก็แค่รวบรวมตำราศาสตร์ลับเอาไว้เล็กน้อยเท่านั้น ตำราที่เขารวบรวมเอาไว้… จะไปเปรียบกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวังทวีสูญและเกาะปฐมบรรพชนได้อย่างไร


อีกทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีเทพจักรวาล มีขั้นอลวนกลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการชี้แนะการบำเพ็ญ ตำราศาสตร์ลับ หรือทรัพยากรสมบัติล้ำค่า ต่างก็ห่างชั้นกับขุมอำนาจขั้นอลวนมากมายนัก


แน่นอนว่าศิษย์ที่ขุมอำนาจขั้นอลวนส่งมาเข้าร่วมการประลองก็ย่อมดีกว่าผู้ที่บำเพ็ญอย่างกระจัดกระจายเหล่านั้นอยู่มากมายนัก น่าเสียดายที่ยามคัดเลือก พลังยุทธ์ระดับเดียวกัน ความยาวนานในการบำเพ็ญระดับเดียวกัน พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนกลับโน้มเอียงไปทางผู้ที่บำเพ็ญอย่างกระจัดกระจายมากกว่า!


“ปัง…”


กลางอากาศเบื้องหน้า ภายในโลกลวงขนาดมหึมามีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งก่อร่างขึ้นมารางๆ แต่มันก่อร่างขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่นก็สลายไปเสียแล้ว


“ก็ยังมิได้อยู่ดี”


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ยอดเขาส่ายศีรษะเบาๆ “คิดค้นเคล็ดวิชานี้ออกมามิได้ คิดจะบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ก็ต้องทำไม่ได้แน่”


โลกเทียม ค่ายสังหาร และวิถีระลอกคลื่น ศาสตร์ลับวิถีสามสาย ต่างก็เป็นวิชาระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาว เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดทำให้วิญญาณของเขาแกร่งกล้ายิ่งขึ้น สามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ได้มากขึ้น พลังรบพุ่งทะยาน!เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงทำให้ร่างกายของเขายิ่งแกร่งกล้าขึ้น ยิ่งสามารถต้านทานการกัดกร่อนของพลังทำลายล้างอันร้ายกาจได้นานขึ้น…


มนุษย์น้ำแข็งก็สามารถสังหารฝูงมารผลาญทำลายสิบตนในชั้นที่เจ็ดได้เพียงแปดตนเท่านั้น ย่อมไม่มีทางยกระดับได้อีกแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างดีเป็นอย่างยิ่ง


บุกชั้นที่เจ็ด จุดที่ยากจุดแรกก็คือการทำลายการร่วมมือกันของฝูงมารผลาญทำลายทั้งสิบ พวกมันร่วมกันโจมตี ร่วมกันต้านรับ การทำลายนั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง สามารถทำลายได้ก็หมายความว่าเอื้อมไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดแล้ว หลังจากทำลายการร่วมมือกันแล้วก็ต้องสังหารพวกมันไปพร้อมกัน…


ความสามารถในการรักษาชีวิตของพวกมันมีทั้งแกร่งและอ่อนแอ ก็สามารถฆ่าพวกที่รักษาชีวิตได้อ่อนแอได้ง่ายกว่า


ดังนั้น หนึ่งตน สองตน สามตน… จนถึงตอนหลัง ความสามารถในการรักษาชีวิตยิ่งแกร่งก็ยิ่งฆ่าได้ยาก


ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะสังหารไปเพียงแปดตนเท่านั้น เหลืออยู่สองตนสุดท้าย แต่ระดับความยากกลับยิ่งสูงขึ้น เกรงว่าพลังยุทธ์จะต้องยกระดับขึ้นอีกเท่าตัวจึงจะสามารถกำจัดอีกสองตนให้หมดได้ การยกระดับเพียงเล็กน้อยมิได้มีประโยชน์แต่อย่างใดเลย


“มิน่าเล่า ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่บุกผ่านชั้นที่เจ็ดในประวัติศาสตร์จึงได้รับการนับถือเป็นอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ “ช่างยากเย็นจริงๆ”


ขั้นอลวนบุกผ่านชั้นที่เจ็ด นับว่าเป็นระดับปกติ!


ขั้นรวมเป็นหนึ่งบุกผ่านชั้นที่เจ็ด เช่นนั้นก็แปลกเหลือเกิน! พวกเขาจะต้องเป็นขั้นอลวน และการบรรลุจะต้องไปถึงระดับชั้นที่แปด เมื่อเวลาผ่านไปก็ย่อมเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดในบรรดาระดับชั้นที่แปด ถึงขนาดที่มีความหวังอันยิ่งใหญ่ที่จะเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เก้า หรือแม้กระทั่งไปถึงระดับ ‘เทพจักรวาล’ ขั้นสุดท้าย เช่นนั้นก็ออกจะเกินจริงไปบ้างแล้ว


“ควรออกเดินทางได้แล้วสินะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขายืดกายลุกขึ้น


เพราะผ่านไปอีกไม่กี่เดือน งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็จะจัดขึ้นแล้ว เขาผู้เป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ก็ควรออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองราชันย์มีด’ สถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ได้แล้ว


………………………………………….


ตอนที่ 11 นายน้อยสิงหั่ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โครม…” ห้วงมิติบิดเบี้ยวและถล่มลงมาก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต


เงาร่างสองสายเดินเคียงไหล่กันออกมาจากในนั้น คนหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ผู้มีผมสีเงิน อาภรณ์สีเงิน และผิวหนังสีดำ ถึงแม้ว่าประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จะมีกลิ่นอายอันจำกัด แต่มีการรับสัมผัสที่เฉียบแหลมนัก เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนโดยทั่วไปต่างก็สามารถแยกแยะออกได้… ร่างประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ร่างนี้เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น


การจัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา โลกทิพย์ทั้งสองและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกก็จะมีผู้แกร่งกล้ามาเข้าร่วมงาน ตามปกติแล้วก็จะมีขั้นอลวนมาเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งคน เพราะปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ผู้ได้รับเลือกจากวังทวีสูญในคราวนี้คือตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง จึงต้องส่งผู้รับผิดชอบดูงานมาอีกคนหนึ่ง ร่างแปรของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จึงมาที่นี่ด้วย


ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่เข้าร่วมงานจำนวนมากต่างก็เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น! มาถึงระดับขั้นอลวนนี้แล้ว นอกเสียจากว่ามีเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดสักคนหนึ่งเท่านั้นร่างจริงจึงจะออกโรงเอง อย่างการพบปะสังสรรค์หรือการชมดูงานตามปกตินั้นโดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ใช้เพียงร่างแปรก็ได้!


“ข้ามาที่เมืองราชันย์มีดเป็นครั้งแรกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไกลออกไป


ไกลออกไปคือเมืองขนาดใหญ่ไร้เทียมทานแห่งหนึ่ง ภายใต้ความกดดันของกฎเกณฑ์แห่งโลกทิพย์ ด้วยพลังยุทธ์ของเขาก็ยังยากที่จะเห็นรูปร่างของทั้งเมืองได้อย่างชัดเจน แต่อ้างอิงจากบันทึกข้อมูล เมืองราชันย์มีดมีความกว้างยาวหกล้านแปดแสนล้านลี้ ถ้าหากเป็นในอากาศอันสับสนอลหม่านก็นับได้ว่าพบเห็นได้บ่อย แต่ภายในโลกทิพย์กลับกลายเป็นเมืองที่น่าหวั่นเกรงเป็นที่สุดเสียแล้ว และนี่ยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกทิพย์ทั้งสองอีกด้วย


“ปัง ปัง ปัง…”


เบื้องบนของเมืองราชันย์มีดมีค่ายกลโคจรอยู่หลายชั้น ดึงดูดพลังฟ้าดินให้ปั่นป่วนพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา ปั่นป่วนราวกับกระแสน้ำ แสงสีอันพลุ่งพล่านจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง


ภายใต้แสงระยิบระยับของดวงอาทิตย์เบื้องบน เมืองราชันย์มีดก็ยิ่งทวีความเรืองรองจับตา


“ไม่ธรรมดากระมัง” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดยิ้มๆ “เพื่อสร้างเมืองราชันย์มีดแห่งนี้ ราชันย์มีดก็ลงทุนไปไม่รู้เป็นมูลค่าเท่าใด ว่ากันว่าแม้กระทั่งบรรพชนทิพย์และเจ้าเมืองหลัวต่างก็เคยลงแรง ทั้งยังมีของวิเศษคอยพิทักษ์ ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาสังหารจนแหลกสลายไปทั้งโลกทิพย์กิเลนบูรพา น่ากลัวว่าเมืองราชันย์มีดก็จะยังคงมีเสถียรภาพอยู่เช่นเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งแห่งโลกทิพย์ทั้งสองของพวกเรา!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ถึงแม้ว่าวังทวีสูญจะมีพื้นฐานอันลึกล้ำ แต่เมื่อเทียบกับเมืองราชันย์มีดแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง!


“ไป เข้าไปกันเถิด” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูด


พวกเขาสองคนเคลื่อนที่เพียงครั้งเดียวก็มาถึงประตูทางเข้าด้านตะวันออกของเมืองราชันย์มีดแล้ว ทันทีที่เข้าไปในประตูเมือง เพียงชั่วครู่เดียว เมืองราชันย์มีดก็มียอดฝีมือมาต้อนรับในทันใด แล้วจัดการที่พักให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์


……


เรือนพักอันหรูหราเป็นที่สุดสองแห่ง ก็คือที่พำนักของตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ระหว่างงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา


“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ผู้อาวุโสตงป๋อ ภายในเรือนพักของทั้งสองท่าน ได้จัดเตรียมข้ารับใช้เอาไว้ให้จำนวนหนึ่งแล้ว มีเรื่องอันใดก็สั่งการพวกเขาได้เลยนะขอรับ” บุรุษที่ตลอดร่างเป็นโลหะเหล็กกล้าสีม่วงและแบกมีดสามเล่มไว้บนหลังคนหนึ่งพูด “ถ้าหากมีเรื่องสำคัญก็สามารถแจ้งกับข้าได้โดยตรง”


“รบกวนผู้บัญชาการฉิวเตาแล้ว” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เอ่ยอย่างเรียบเรื่อย


“เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” ผู้บัญชาการฉิวเตาผู้นี้พูดยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้ว” ผู้บัญชาการฉิวเตาหมุนกายจากไปในทันทีแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาไกลออกไปอย่างรวดเร็วยิ่ง


ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองดูผู้บัญชาการฉิวเตาเคลื่อนที่ในพริบตาหายลับไปแล้วจึงเอ่ยว่า “ตงป๋อ คราวนี้เจ้าเป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เดิมทีก็ก่อให้เกิดการคัดค้านขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว ดังนั้นตอนที่คัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ก็ต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ถึงอย่างไรเจ้าก็มิได้เป็นตัวแทนแค่ตัวเจ้าเอง แต่เป็นตัวแทนของวังทวีสูญของข้า”


“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


ท่านบรรพชนให้ตนรับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ก็เพื่อให้ขัดเกลาตนเอง ตนจะทำเรื่องอันใดก็ต้องไม่ทำให้วังทวีสูญขายหน้า!


……


ยังห่างจากวันจัดงานชุมนุมใหญ่อีกสามเดือนกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับรายชื่อและข้อมูลของผู้บำเพ็ญที่จะมาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้แล้ว! เพราะผู้ที่ลงชื่อสมัครจะตัดก่อนล่วงหน้าหนึ่งปี อีกทั้งคราวนี้ผู้จัดงานได้จัดการผู้แกร่งกล้าเอาไว้แล้ว ‘กวาด’ เมืองแต่ละแห่งในโลกทิพย์ทั้งสองไปรอบหนึ่ง แล้วพาผู้เข้าร่วมมายังเมืองราชันย์มีด


“หนึ่งหมื่นหกพันกว่าคน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรายชื่อแล้วก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เดินทางไปทั่วทุกสารทิศภายในเมืองราชันย์มีด


ชมดูเมืองอันโบร่ำโบราณแห่งนี้ ทั้งยังได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสที่ขึ้นชื่อจำนวนหนึ่งอีกด้วย


วันนี้


หอสุรามังกรหิมะแห่งนี้คือหอสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองราชันย์มีด ด้วยการเพาะเลี้ยง ‘มังกรหิมะ’ ด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงพิเศษ และการใช้โลหิตมังกรหิมะมาเป็นวัตถุดิบในการกลั่นสุรามังกรหิมะ ยังมีเนื้อมังกรหิมะ ลิ้นมังกรหิมะ ตับมังกรหิมะ ส่วนผสมและวิธีการทำที่แตกต่างกัน ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานมานี้ ก็ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในเมืองราชันย์มีด แม้กระทั่งด้วยความยิ่งใหญ่ของเมืองราชันย์มีด มีหอสุราอยู่เป็นจำนวนมาก ก็สามารถถูกจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้


ผู้บำเพ็ญ การบำเพ็ญก็ต้องใช้ทรัพยากร ทรัพยากรมาจากที่ใด นอกจากการผจญภัย การต่อสู้สังหาร การจัดการกับอาหารเลิศรสนี้ก็เป็นวิธีการเก็บเกี่ยวทรัพยากรเช่นเดียวกัน มีศาสตร์โบราณที่พิเศษมากมายที่มีพรสวรรค์ในด้านอาหารเลิศรสเป็นอย่างมาก


“อืม”


ตงป๋อเสวี่ยอิงชิมเนื้อมังกรหิมะกึ่งโปร่งแสงที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลชิ้นแล้วชิ้นเล่า เขากินแล้วก็หรี่ตาลง “ในบรรดาอาหารเลิศรสที่ข้ากินมา สามารถจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกได้อย่างแน่นอน อืม อืม รอให้ข้ากลายเป็นขั้นอลวน รอเวลาที่จะสามารถสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้อย่างเปิดเผยก่อน ก็จะพาจิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ และชิงเหยามาลิ้มชิมรสที่นี่ด้วยเช่นกัน โอ้ อร่อยเหลือเกิน ชิมรสตับมังกรหิมะ อืม ตับมังกรหิมะชิ้นนี้ช่างนุ่มละมุนเสียจริง นุ่มจับใจเลยทีเดียว อร่อยจริงๆ”


พลังยุทธ์กล้าแกร่ง ยิ่งได้เห็นทิวทัศน์มาก การได้รับประทานอาหารเลิศรสจำนวนมากก็นับว่าเป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่งเช่นกัน


“พลั่ก”


ไหสุราไหหนึ่งหล่นลงบนพื้น สุราไหลรินลงบนพื้น ฝาไหก็กลิ้งไปด้านข้าง


ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั่งอยู่ที่มุมอดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองมิได้ ที่โต๊ะตัวหนึ่งห่างออกไปไม่ไกลมีผู้บำเพ็ญอยู่สามคนซึ่งล้วนเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหมดอย่างหาได้ยากยิ่ง ขณะนี้บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายคนหนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดขาว ผู้ที่นั่งอยู่ที่นั่นก็คือชายหนุ่มอาภรณ์ทองคนหนึ่ง กับหญิงสาวรูปโฉมงดงามอีกคน หญิงสาวผู้นี้ยังแฝงไว้ด้วยความทรงเสน่ห์ด้วย


“ตัวเป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแต่กลับทำไหสุราหล่นจากโต๊ะอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “น้องฟู่จวินเอ๋ย การโจมตีเล็กน้อยแค่นี้เจ้าก็รับไม่ไหวแล้วหรือ ระดับจิตใจของเจ้านี้จะสามารถบำเพ็ญไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ด้วยหรือ”


บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายจ้องมองชายหนุ่มอาภรณ์ทองและหญิงสาวรูปโฉมงดงามด้วยสีหน้าซีดขาว แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอันหาได้ยากยิ่ง น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ “เยี่ยนเอ๋อร์ เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า”


หญิงสาวตรงหน้า…


คือผู้เป็นที่รักในใจของเขา เป็นผู้ที่เขาเชื่อมั่นว่าจะจับจูงมือไปชั่วชีวิต เขาเต็มใจจะสละชีวิตเพื่อนาง วันเวลาที่อยู่ร่วมกันกับนางนั้นมีความสุขมากมายเพียงใด


“ฟู่จวิน ขอโทษด้วย วันเวลาเหล่านี้ที่ได้พบสวินอี ข้าก็แน่ใจแล้วว่าเขาต่างหากที่เป็นความรักอันแท้จริงของข้า” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์สีแดงเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าและข้าต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญ ก็ควรรู้ว่าความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย ควรจะแยกจากกันเสียที เชื่อว่าด้วยระดับขั้นการฝึกฝนจิตใจของเจ้า เพียงไม่นานก็จะสามารถปรับตัวได้แล้ว”


“ปรับตัวหรือ”


บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายมองไปทางหญิงสาว “ข้าสู้เขามิได้ตรงไหนกัน ระยะเวลาในการบำเพ็ญของข้าสั้นกว่าเขาอยู่เล็กน้อย แต่พลังยุทธ์ของข้ายังแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก! งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ ข้าจะต้องเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ ข้ากับเจ้ารู้จักกันมาเป็นเวลานมนาน แต่เจ้ากับเขาเล่า เพิ่งจะรู้จักกันมาแค่พันปีเท่านั้นเอง หรือเพียงเพราะว่าบิดาของเขาคือ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ กัน”


“ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดิสิงหั่วเสียหน่อย ได้พบกับความรักอันแท้จริง ไม่ต้องพูดถึงพันปีเลย แค่ปีเดียวก็เพียงพอแล้ว” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์สีแดงส่ายศีรษะ


บุรุษในอาภรณ์เขียวเรียบง่ายมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ทอง “สิงหั่วสวินอี ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องของข้า แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้! พอแล้ว พอแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่หักหลังเยี่ยนเอ๋อร์ ถ้าหากเจ้าทรยศนาง ข้าย่อมไม่มีทางละเว้นเจ้าแน่”


“น้องฟู่จวิน”


ชายหนุ่มอาภรณ์ทองส่ายศีรษะ “หนึ่ง เป็นภรรยาของเจ้าเองที่แอบมายั่วยวนข้าก่อน”


ฟู่จวินสะดุ้งคราหนึ่ง หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว นางถึงกับควบคุมพลังตัดขาดสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ตรงมุมกลับเต็มไปด้วยความสนใจขึ้นมาเสียแล้ว ภายในอาณาเขตกฎเกณฑ์ของเขา พลังยุทธ์ของหญิงสาวผู้นี้จะสามารถขวางกั้นการตรวจสอบของเขาได้เสียที่ไหนกัน


“สอง หลังจากถูกยั่วยวนอย่างลับๆ แล้ว ข้าก็ทำการสำรวจผ่านวังเทพสิงหั่วของข้าในทันที ถึงขนาดที่ตรวจสอบอดีตของนาง นับรวมเจ้า นางก็มีสหายร่วมวิถีมาสามคนแล้ว ถ้าหากรวมข้าด้วย เช่นนั้นก็เป็นคนที่สี่แล้ว!”


หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงหวาดหวั่น


ฟู่จวินยากที่จะเชื่อได้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน”


ผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่ง ระดับจิตใจก็ไม่ธรรมดา เมื่อใดที่คิดว่าเป็นสหายร่วมวิถีที่แม้ตายก็ไม่ผันแปรแล้ว โดยทั่วไปแล้วหากสหายร่วมวิถีตาย ต่างก็ยอมอยู่อย่างลำพังไปจนตาย! แม้ว่าจะเป็นเพราะสบโอกาสพิเศษบางอย่าง ทำให้พวกเขาเกิดความหวั่นไหว ก็อาจจะมีสหายร่วมวิถีคนที่สองได้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า…ผู้ที่สหายร่วมวิถีตายไปหมดแล้วจริงๆ จะสามารถเปลี่ยนได้อย่างต่อเนื่องถึงสี่คน! นี่หมายความได้เพียงว่าจิตใจโลเลมิอาจคาดเดาได้เท่านั้น


มีผู้บำเพ็ญเช่นนี้อยู่จริงๆ จงใจล่อลวงผู้อื่นมาเป็นสหายร่วมวิถี ทำให้อีกฝ่ายทุ่มเทให้ตนเอง!


ถึงอย่างไรสหายร่วมวิถีแม้ตายก็ไม่ผันแปร ก็เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่เสี่ยงชีวิตเพื่อภรรยา หรือแม้กระทั่งใช้จ่ายศิลาปฐมโลกาไปเป็นจำนวนมากก็มิได้มีความสำนึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย


แต่การจงใจหลอกลวงมาเป็นสหายร่วมวิถี… ก็สามารถหลอกเอาทรัพยากรจำนวนมากมาได้


“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้า เจ้า…” ฟู่จวินมองไปทางหญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงตรงหน้า


“เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหลเลย” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงพูด ในใจของนางแอบนึกเสียใจ ในอดีตนางต้องใจในศักยภาพของ ‘ฟู่จวิน’ คิดหาหนทางปีนป่ายขึ้นไป แต่การเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในคราวนี้กลับพบกับนายน้อยของ ‘วังเทพสิงหั่ว’ เข้า ต้องรู้ไว้ว่าจักรพรรดิสิงหั่วช่างทรงเกียรติยิ่งนัก ซึ่งก็คือเป็นยอดฝีมือระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว แม้กระทั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มิกล้าละเลย


นายน้อยของวังเทพสิงหั่ว มีทรัพยากรมากมายเพียงใด ย่อมเหนือชั้นกว่าฟู่จวินมากมายนัก


“หนีเยี่ยน ต่อหน้าข้ายังคิดจะพูดจาตลบตะแลงอีกหรือ อย่างไรเล่า ข้าจัดยอดฝีมือมาตรวจดูอดีตของเจ้าโดยเฉพาะ เป็นอย่างไรเล่า” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองถือจอกสุราแล้วเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย


เมื่อหญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงได้ฟังแล้วสีหน้าก็ซีดเผือด


 “ช่างสมชื่อนายน้อยสิงหั่ว ร้ายกาจนัก ข้าเติบโตขึ้นในมือของท่าน นับถือทั้งวาจาและจิตใจ” หญิงสาวรูปโฉมงดงามในอาภรณ์แดงยืดกายขึ้นในทันใดแล้วหันหน้าเดินไปโดยไม่มองบุรุษทั้งสองเลยแม้แต่ปราดเดียว


ชายหนุ่มอาภรณ์ทองอมยิ้มมองไปทางฟู่จวิน “น้องฟู่จวิน เจ้าควรขอบคุณข้านะ”


…………………………………………….


ตอนที่ 12 จริงหรือเท็จ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟู่จวินในอาภรณ์เรียบง่ายมองดูสตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามที่กำลังเดินมุ่งหน้าออกไปนอกหอสุราด้วยความตกตะลึง เขายังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไร…”


“ครั้งนี้ยุ่งยากใหญ่แล้ว!” สตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามเดินออกไปข้างนอก ในใจกลับรู้สึกอดสู นางระมัดระวังเพียงใดกัน แม้จะลอบยั่วยวนนายน้อยสิงหั่ว เมื่อตอนเริ่มแรกเพียงแค่ส่งสัญญาณให้เล็กน้อยโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้เท่านั้น และในเวลาถึงพันปี นางก็มั่นใจแล้วว่านายน้อยสิงหั่วติดเบ็ดแน่แล้ว จึงเฉดหัวฟู่จวินทิ้งไป


นางยังจงใจพูดว่า จะให้ฟู่จวินเสียใจเกินไปมิได้ และจงใจยื้อเวลามาจนบัดนี้


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านายน้อยสิงหั่วจะเสแสร้งมาโดยตลอด เสแสร้งได้แนบเนียนกว่าข้าเสียอีก” สตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามพึมพำ นางเองก็นับได้ว่าเป็นมือฉมังแล้ว แต่กลับไม่รู้จักนายน้อยสิงหั่วอย่างทะลุปรุโปร่งเลยแม้แต่น้อย ว่ากันว่าแต่ไหนแต่ไรนายน้อยสิงหั่วก็ไม่เคยมีสหายร่วมวิถีแม้แต่คนเดียว รู้จักแต่การบำเพ็ญเท่านั้น ไหนเลยจะไปคิดว่าในด้านความรู้สึก เขายังเสแสร้งเก่งกว่านางเสียอีก


“เฮอะ ล้มเหลวก็แล้วไปเถิด ดูสิว่างานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้จะสามารถเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ หากล้มเหลวก็ค่อยแก้ไขตัวตนใหม่” สตรีอาภรณ์แดงรูปโฉมงดงามหนีเยี่ยนลอบคิดคำนวณในใจ นางตัดสินใจเด็ดขาด สำหรับนางแล้ว การยั่วยวนผู้อื่นก็เป็นเพียงวิธีการให้ได้มาซึ่งทรัพยากรในการบำเพ็ญเท่านั้นเอง


……


ภายในหอสุรา


ฟู่จวินได้รับผลกระทบใหญ่หลวงเกินไป ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสหายร่วมวิถีเพียงแค่หัวใจผันแปรไป ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าตลอดคืนวันอันยาวนานล้วนแต่เป็นการหลอกลวงเสแสร้ง เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ!


“น้องฟู่จวิน นางจงใจหลอกลวงเจ้า ไยเจ้าจึงยังต้องลุ่มหลงอีกเล่า” ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองยิ้มพลางรินสุราให้ “มาๆๆ พวกเรามาดื่มสุรากันเถิด”


“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าที่ผ่านมานางก็แค่เสแสร้งเท่านั้น แต่ว่า คิดจะหลุดพ้นก็จะหลุดพ้นได้เลยอย่างนั้นหรือ” ฟู่จวินยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สวินอี ข้ารู้ว่าท่านเจตนาดี แล้วก็ทำให้ข้าหลีกเลี่ยงจากความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้อย่างแท้จริง แต่ว่า…ในใจของข้ากลับแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าท่านจะมิได้ชี้ทั้งหมดนี่ออกมาให้เห็น”


ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองสะดุ้งเล็กน้อย


“หากเป็นจริง จะดีสักเแค่ไหนกัน” ฟู่จวินหมุนกายเดินออกไปข้างนอก


ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังแล้วรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่ง สายตาทอดมองออกไปไกล “หากเป็นจริง…”


เขารินสุราให้ตนเองจอกแล้วจอกเล่าแล้วดื่มสุราอย่างเงียบงัน เมื่อดื่มหมดแล้วจึงคิดเงินแล้วจากไป


ตรงมุมหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จึงได้รับรายนามและข้อมูลของผู้เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารามาก่อนแล้ว จึงย่อมรู้จักทั้งสามคนนี้ดี


ฟู่จวิน:บำเพ็ญมาสามแสนสองหมื่นล้านปี เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ผจญภัยอยู่ภายนอก หลังจากสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ไม่นานเท่าใดนักก็ได้รู้จักกับ ‘หนีเยี่ยน’ แล้วผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถีกัน


หนีเยี่ยน:บำเพ็ญมาหนึ่งล้านหนึ่งแสนล้านปี นางก็เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเช่นเดียวกัน ตอนนี้ดูท่าแล้วกลับเป็นผู้บำเพ็ญที่เจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง นางชมชอบการยั่วยวนผู้แกร่งกล้าคนอื่นมาเป็นสหายร่วมวิถี แล้วหลอกเอาทรัพย์สมบัติมา ในหมู่ผู้บำเพ็ญ มารร้ายที่ร้ายกาจแค่ไหนก็มีทั้งนั้น อย่างผู้ที่ชอบหลอกลวงเช่นนี้ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา


สิงหั่วสวินอี:บำเพ็ญมาห้าแสนสามหมื่นล้านปี เมื่อเขามาก็ต้องปวดหัวเสียแล้ว! ทั้งสองคนตรงหน้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญไร้สังกัด แต่สิงหั่วสวินอีกลับเป็นบุตรชายคนเล็กของ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว เนื่องจากมีสายเลือดของบิดาเขาอยู่ในตัว ช่วงแรกจึงบำเพ็ญได้รวดเร็วมาก ความเร็วที่ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งยังรวดเร็วกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก เพียงแค่พันแปดร้อยล้านปีเท่านั้น แต่ต่อมาพลังกลับยกระดับได้เชื่องช้านัก เพราะถึงอย่างไรบิดาก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน อาศัยระบบการบำเพ็ญสายโลหิตระดับยอดสุดก็นับได้เพียงว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น


เนื่องจากมีสถานะสูงส่ง ข้อมูลของสิงหั่วสวินอีจึงมีอยู่มากมาย ตั้งแต่เล็กจนโตมีบันทึกเอาไว้เป็นจำนวนมาก


ตามที่บันทึกเอาไว้ เขาไม่เคยมีสหายร่วมวิถีมาก่อน! รู้เพียงว่าเขาก้มหน้าก้มตาฝึกฝนอยู่ในวังเทพสิงหั่ว น่าเสียดายที่พลังธรรมดาสามัญมาก


“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแผ่นหลังของชายหนุ่มอาภรณ์สีทองจากไป “คนผู้หนึ่งซึ่งรู้จักแต่การบำเพ็ญ ไม่เคยมีสหายร่วมวิถีมาก่อน กลับทำให้หนีเยี่ยนผู้นั้นต้องสะดุดกลางคันได้ เห็นทีคงจะมีเรื่องที่ไม่รู้มากมายที่ยังมิได้ถูกขุดค้นออกมาเป็นแน่”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความสนใจในตัวนายน้อยสิงหั่วผู้นี้ขึ้นมา


แน่นอนว่าในที่นั้นไม่มีใครจำตงป๋อเสวี่ยอิงได้ เพราะในฐานะปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ผู้ที่พอจะมีเบื้องหลังอยู่บ้างก็ล้วนรูู้จักผู้ได้รับคัดเลือกเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่กันทั้งนั้น หากถูกจำได้ขึ้นมาก็ยุ่งยากแน่ ดังนั้นขณะท่องไปในเมืองราชันย์มีด ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงต้องแปลงโฉมและเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้


……


ณ เมืองราชันย์มีด ภายในคูหาแห่งหนึ่งในบรรดาคูหาซึ่งมีไว้สำหรับรับรองแขกเหรื่อทั้งหลาย


“ท่านพ่อ”


สิงหั่วสวินอีกลับมายังคูหา


บุรุษผมสีดำหยักศกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ภายในลานเพียงลำพัง ร่างกายของเขากำยำอย่างยิ่ง เขานั่งอยู่ตรงนั้นแต่กลับสูงกว่าสิงหั่วสวินอีราวศีรษะหนึ่ง! ทั้งร่างมีกลิ่นอายแผ่ออกมาเพียงเล็กน้อย กฎเกณฑ์การหมุนเวียนของโลกทิพย์ก็เกิดอุปสรรครบกวนขึ้นมา สถานที่ที่เขาอยู่ก็เหมือนการหมุนเวียนกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์จะต้องถอยห่างออกไป จักรพรรดิสิงหั่วมีชื่อเสียงเรื่องความเหิมเกริมและเย็นชา แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าบุตรชายคนเล็กของตน ความเหิมเกริมและเย็นชาของเขากลับอ่อนลงอย่างมาก


“สวินอี” จักรพรรดิสิงหั่วเอ่ยปาก “เจ้าคือบุตรชายของข้า สิงหั่ว ครั้งนี้ข้าให้เจ้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าเสียหน้านะ! พี่ใหญ่ของเจ้าบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้ว ข้าตั้งเงื่อนไขให้เจ้าไม่สูงมากนัก ฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สามให้ได้เป็นพอ”


“ข้าทำมิได้หรอก” สิงหั่วสวินอีพูดอย่างสงบ


“นี่ก็ยังทำมิได้รึ ทรัพยากรในการบำเพ็ญอะไรข้าก็ให้เจ้าได้ทั้งนั้น เจ้ายังจะทำมิได้อีกหรือ” จักรพรรดิสิงหั่วโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว “หรือว่าจนถึงวันนี้ เจ้ายังไม่ลืมภรรยาในภาพมายาของเจ้าอีก”


“ลืมหรือ ข้าจะลืมได้อย่างไรกันเล่า”


สิงหั่วสวินอีจ้องบิดาของเขาเขม็ง “ข้าลืมไม่ลงหรอก หากท่านรู้สึกว่าจะทำให้ท่านเสียหน้าล่ะก็ ข้าสามารถล้มเลิก ไม่ไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”


จักรพรรดิสิงหั่วสะดุ้ง


เขาอับจนหนทางแล้วจริงๆ จึงได้บีบบังคับให้บุตรชายไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ด้วยหวังว่าในงานอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันเช่นนี้ จะทำให้บุตรชายตนสู้สุดชีวิตเสียหน่อย


“ไปเถิด” จักรพรรดิสิงหั่วมิได้พูดให้มากความ


สิงหั่วสวินอีหมุนกายจากไป


จักรพรรดิสิงหั่วนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน เขาเสียใจมาก เสียใจเป็นอย่างมาก


บุตรชายทั้งสองของเขานั้น เดิมทีบุตรชายคนเล็กมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่ง แม้จะฝึกฝนระบบสายโลหิตแต่ก็บำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณไปควบคู่กันด้วย! ระบบศาสตร์โบราณของบุตรชายคนเล็กนั้น เชี่ยวชาญด้านเขตลวงที่สุด เขาฝึกทั้งสองระบบพร้อมกัน ระบบศาสตร์โบราณเพียงแค่ช้ากว่าระบบการบำเพ็ญสายโลหิตเล็กน้อย ระบบศาสตร์โบราณใช้เวลาสามร้อยล้านปีก็ก้าวเข้าสู่ระดับเทพอากาศ ตอนนั้นจักรพรรดิสิงหั่วก็ยินดีจนแทบคลั่ง!


ระบบการบำเพ็ญสายโลหิตนั้นอาศัยบิดา แต่ระบบศาสตร์โบราณนั้นมีเงื่อนไขของการรับรู้ที่สูงส่งมาก แม้โดยทั่วไปหากบิดาเก่งกาจ การรับรู้ของบุตรธิดาก็จะไม่ย่ำแย่นัก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยตัวบุตรธิดาเองด้วย


แต่บุตรชายของเขาสามารถสำเร็จเป็นเทพอากาศด้านเขตลวงได้ภายในสามร้อยล้านปี เขาเสาะหาสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการบำเพ็ญเขตลวงมาชิ้นหนึ่งทันทีโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น มูลค่าของมันสูงกว่าหมื่นศิลาปฐมโลกา สิ่งนั้นมีชื่อว่า…‘ศิลาตรึงโลกา’ ภายในศิลาตรึงโลกานั้นมีเขตลวงวิวัฒน์ขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ ทั้งยังเป็นเขตลวงอันวิจิตรอย่างยิ่ง เขตลวงที่สร้างขึ้นมาในแต่ละครั้งล้วนแตกต่างกันไป


เมื่อค้นคว้าและรับรู้ภายในนั้น ก็สามารถค้นคว้าความเร้นลับของเขตลวงชนิดต่างๆ ได้


หลังบุตรชายของเขาได้มันมา ก็มักจะรับรู้ ‘ศิลาตรึงโลกา’ อยู่เนืองๆ และได้ทดลองโลกเขตลวงชนิดต่างๆ! โลกเขตลวงเหล่านั้นล้วนพิสดารพันลึก ระบบกฎเกณฑ์ภายในล้วนเทียบได้กับจักรวาลขนาดเล็กแล้ว นอกจากนี้แต่ละครั้งยังแตกต่างกันไปอีกด้วย


ดังนั้นบำเพ็ญเพียงแค่สองพันหกร้อยล้านปี สิงหั่วสวินอีบุตรชายของเขาก็ยกระดับด้านศาสตร์โบราณไปจนถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง แต่ต่อมากลับเกิดเรื่องหนึ่งขึ้น…


ศิลาตรึงโลกา


โลกเขตลวงเหมือนจริงเกินไปแล้ว! โลกที่วิวัฒน์ขึ้นภายในนั้นมีสิ่งมีชีวิตอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน มันมีชีวิตชีวา มีความรู้สึก มีบุญคุณความแค้นเหมือนกับโลกความจริง และเนื่องจากเหมือนจริงเกินไป การหมุนเวียนกฎเกณฑ์ของเขตลวงระดับนี้จึงสามารถเทียบกับจักรวาลขนาดเล็กได้


แต่ว่า ‘สิงหั่วสวินอี’ บุตรชายของเขากลับชอบสตรีนางหนึ่งภายในโลกเขตลวงเข้า


ทั้งที่รู้ว่าเป็นภาพลวง ขณะแรกเริ่มสิงหั่วสวินอีเพียงแค่เล่นสนุกเหมือนเด็กเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็ประสบกับโลกเขตลวงมามากมายนัก ความรู้สึกต่างๆ ก็เคยเผชิญมามากมาย และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาเชี่ยวชาญในการ ‘เสแสร้ง’ ทว่าทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องลวง เมื่อเวลาล่วงเลยไป ครั้งนี้สิงหั่วสวินอีกลับตกหลุมพรางเสียแล้ว


เพราะทุกสิ่งเหมือนจริงมากเกินไปจนกระทบเข้ากับจิตใจของสิงหั่วสวินอีเข้าจริงๆ


เขาถลำลึกลงไปเสียแล้ว


เขาไม่อยากยุติ! เขาใช้ชีวิตอยู่กับสตรีนางนั้นในโลกเขตลวงมาโดยตลอด และถึงขั้นผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถี และถึงขั้นสรรหาวิธีให้ภรรยามีชีวิตอยู่ได้นานพอ


ใน ‘โลกเขตลวง’ ภรรยาก็แข็งแกร่งขึ้นจริงๆ และมีชีวิตอยู่ได้นานมาก ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงเขตลวง สุดท้ายโลกเขตลวงนี้คงอยู่ไปถึงตอนจบก็ต้องพังทลายลงไป ‘ศิลาตรึงโลกา’ วิวัฒน์โลกเขตลวงขึ้นมาใหม่โดยอัตโนมัติ


“ไม่…” ขณะที่โลกเขตลวงพังทลายลงนั้น


ขณะที่ภรรยาสลายหายไปต่อหน้าต่อตา


แม้ท้ายที่สุดเขาจะบอกทุกสิ่งกับภรรยา และภรรยาก็เข้าใจว่าตัวนางเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวงและยอมรับได้แล้ว


แต่สิงหั่วสวินอีกลับทนรับไม่ไหว


โลกตรงหน้าพังทลายลงไป สรรพสิ่งทั้งมวลถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมลายหายไป ภรรยาก็สลายหายไปตามด้วย


“ไม่ ไม่…”


ตอนนั้นสิงหั่วสวินอีก็คลุ้มคลั่งไปอย่างสิ้นเชิง


 …………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)