Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 8-10
ตอนที่ 8 ผู้อาวุโสสูงสุดตงป๋อเสวี่ยอิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกทิพย์นิจนิรันดร์อีกครั้ง สำหรับเขาแล้ว การมุ่งหน้าไปยังที่ต่างๆ นั้นเป็นเรื่องง่ายเพียงชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น
“สำนักปักษาเขียว”
เขายืนอยู่บนทุ่งร้างทอดสายตามองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน เทือกเขาตรงหน้าคือเทือกเขาสำนักปักษาเขียวซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ ‘สำนักปักษาเขียว’ นั่นเอง! ศิษย์ที่แข็งแกร่งของสำนักปักษาเขียว โดยทั่วไปล้วนมีร่างกายที่พิเศษอย่างยิ่ง ซึ่งก้าวหน้าไปทางขั้นสุดของ ‘สำนักปักษาเขียว’! ดังนั้นจึงดึงดูดความละโมบของผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินให้มาลอบโจมตีแล้วกินลงไปให้หมดอยู่บ่อยครั้ง!
เพื่อให้ไม่ถูกกิน สำนักปักษาเขียวก็ต้องแข็งแกร่งด้วยตนเอง!
เคราะห์ดีที่เคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียวนั้นประทับแน่นอยู่บนเทือกเขาสำนักปักษาเขียว แม้ในประวัติศาสตร์ สำนักนี้จะถูกทำลายลงหลายครั้ง แต่ก็จะมีผู้บำเพ็ญหน้าใหม่มายังเทือกเขาแห่งนี้เพื่อศึกษาเคล็ดวิชาสืบทอดและบุกเบิกสำนักปักษาเขียวขึ้นมาอีกครั้ง!
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าเดินไป
ฟิ้ว
แต่ละก้าวของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนทะลุไปกว่าหมื่นลี้ ทั้งยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย จนเข้าใกล้เทือกเขาสำนักปักษาเขียวตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ใครน่ะ”
“นี่คือสำนักปักษาเขียว หากจะขึ้นเขา ก็ต้องเดินขึ้นมาจากเชิงเขา”
บรรดาศิษย์ที่ป้องกันสำนักปักษาเขียวอยู่มองเห็นเงาร่างสายหนึ่งไกลออกไป ก้าวแต่ละก้าวก็ล้วนแต่เป็นการเคลื่อนที่ในพริบตา เมื่อยิ่งเข้าไปประชิด แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะปลดปล่อยอานุภาพอันไร้รูปร่าออกมา แต่พวกเขาก็ยังคงคำรามออกมาด้วยความโกรธเคือง
เนื่องจากตลอดวันคืนอันยาวนาน พวกเขาก็ล้วนเข้าใจจุดนี้ดี
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ก็ต้องใช้พลังจึงจะสามารถกำราบอีกฝ่ายได้! นี่คือกฎเหล็กของดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งนี้
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ในมือมีน้ำเต้าสีดำปรากฏขึ้น เขาดึงจุกน้ำเต้าสีดำออก
สวบ
ลูกไฟลูกหนึ่งลอยมาเสียงดังสวบ หลังลอยออกไปแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นดวงดาราเพลิงขนาดมหึมาซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าล้านลี้! เปลวเพลิงด้านบนกลิ้งไปมา อานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทำเอายอดฝีมือสำนักปักษาเขียวทั้งหลายซึ่งกำลังซ่อนตัวเพื่อบำเพ็ญเพียรอยู่พากันพรวดพราดออกไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”
“ไยจึงมีระลอกคลื่นใหญ่โตถึงเพียงนี้”
“อานุภาพนี้ช่าง…”
หลังจากเหล่ายอดฝีมือสำนักปักษาเขียวแต่ละคนออกจากที่พำนักและสถานที่เก็บตัวของตนแล้วก็พากันเงยหน้ามองท้องฟ้า
ดวงดาราเพลิงขนาดมหึมาปลดปล่อยคลื่นความร้อนออกมาทำให้คนทั้งหมดพากันหน้าถอดสี มันสะดุดตาเสียยิ่งกว่าดวงตะวันกลางฟากฟ้า การคงอยู่ของมันถึงขั้นเริ่มส่งผลต่อการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์รอบด้าน เหนือผิวคลื่นความร้อนของดวงดาราเพลิงยังมีระลอกคลื่นจางๆ อักขระเทพอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นมา แล้วแทรกซึมไปทั่วทั้งเทือกเขาสำนักปักษาเขียวด้านล่างในพริบตา
ดวงดาราเพลิงร่อนลงมายังด้านล่างเล็กน้อย ทำให้ค่ายกลพิทักษ์เริ่มสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไป ฟึ่บ เพียะ ค่ายกลของสำนักปักษาเขียวนั้นสู้นครภัตตาหารทองคำมิได้เลย คาดว่าสามารถต้านทานยอดฝีมือเจดีย์ดาวสี่ชั้นได้อย่างพอถูไถเท่านั้น ภายใต้อานุภาพลูกไฟของน้ำเต้าสีดำ ต่อให้เพียงแค่เป็นอานุภาพเพียงเล็กน้อยที่ปลดปล่อยออกไปด้านภายนอก ก็เริ่มทำให้ค่ายกลเหล่านี้พังทลายลงได้แล้ว
เรื่องนี้ทำให้ยอดฝีมือสำนักปักษาเขียวทั้งหลายร้อนใจขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้นลูกไฟของน้ำเต้าสีดำก็พลันหยุดลง ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในทันใด มือขวาโบกออกไป ดวงดาราเพลิงขนาดมหึมาหดเล็กลงอย่างรวดเร็วในพริบตา กลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าไข่ไก่ แล้วหมุนคว้างอยู่เหนือฝ่ามือของชายหนุ่มอาภรณ์ขาว
“นั่นใครกันน่ะ” พวกเขาขลาดกลัวไปหมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง
ระลอกคลื่นแผนภาพคลื่นจานอันไร้รูปร่างปกคลุมลงไปเบื้องล่าง ทันใดนั้นก็พันธนาการยอดฝีมือทั้งสำนักปักษาเขียวเอาไว้ รวมทั้งยอดฝีมือซึ่งดูเหมือนจะสงบเสงี่ยมไม่สะดุดตาแต่กลับมีพลังรบสูงที่สุดคือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่คนหนึ่งด้วย ชายชราผมสีเหลืองยุ่งเหยิงผู้นั้นดิ้นรนพลางสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ แต่ภายใต้แผนภาพคลื่นจาน เขาก็ดิ้นรนอย่างเหน็ดเหนื่อยนัก เขาเข้าใจแล้วว่าต่อให้สามารถดิ้นรนได้อย่างพอถูไถ แต่พลังของเขาก็ถูกกดดันจนเหลือเพียงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น อีกฝ่ายจะสังหารเขาก็ทำได้สบายนัก
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมากดดันและพันธนาการเอาไว้แล้ว ก็ปลดปล่อยพันธนาการออกไป ให้พวกเขาได้คืนสู่อิสรภาพ
เมื่อคนสำนักปักษาเขียวเหล่านี้สัมผัสได้ว่าพันธนาการอันน่าหวาดหวั่นนี้สลายหายไปแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง
“จงฟังให้ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตาลงมองไปทั่วทั้งเทือกเขาสำนักปักษาเขียวตรงหน้า “นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าก็คือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียว มิมีผู้ใดเห็นต่างกระมัง”
น้ำเสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดินและสะท้อนก้องอยู่จ้างหูศิษย์สำนักปักษาเขียวทุกคน
ศิษย์สำนักปักษาเขียวทั้งหมดพากันตกตะลึงไป
จากนั้นแต่ละคนก็เผยสีหน้าปีติยินดีจนแทบคลั่งออกมา!
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด” ทันใดนั้นก็มีศิษย์คุกเข่าลง
ไม่นานนัก
ทุกบริเวณทั่วเทือกเขาสำนักปักษาเขียว ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนคุกเข่าลง “คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”
ยอดฝีมือทั้งหมดของสำนักปักษาเขียวต่างก็อดตื่นเต้นมิได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอยรำพึงเพราะเรื่องนี้ หากอยู่ในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา เกรงว่าคงจะมีศิษย์ในสำนักบางคนยอมตายเพื่อต่อสู้สุดชีวิต แต่ที่นี่คือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ เขตการปกครองของบรรพชนโลกา ตลอดคืนวันอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุดที่นี่นับถือพลังที่แท้จริงล้วนๆ! นอกจากนี้แม้ชาว ‘สำนักปักษาเขียว’ จำนวนไม่น้อยได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียว แต่ก็มีจำนวนมากที่ฝึกศาสตร์โบราณอื่นๆ
เพราะถึงอย่างไร ศาสตร์โบราณก็ต้องดูพรสวรรค์ มิใช่ว่าคนมุกผู้จะเหมาะสมกับเคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียว
บวกกับที่ดินแดนนี้ยุ่งเหยิงเกินไป ทำให้ศาสตร์โบราณต่างๆ รวมกันเป็นกลุ่มก้อนไปหมด! อันที่จริง ‘สำนักปักษาเขียว’ ก็อาศัยผู้ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียวเป็นหลัก จากนั้นก็ดึงดูดศาสตร์โบราณอื่นๆ มากมายเข้ามารวมตัวกันเป็นกลุ่ม ที่พวกเขารวมตัวกัน…เป้าหมายแรกก็คือเพื่อความอยู่รอด!
มีผู้แกร่งกล้าที่เยี่ยมยอดคนหนึ่งมาเยือน แล้วรับตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเขา หากพวกเขาฝัน ก็ต้องหัวเราะจนตื่น
เพราะนี่หมายถึงความปลอดภัย!
ความปลอดภัย…คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนบนดินแดนแห่งนี้ปรารถนา
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีจิตคิดร้ายหรือไม่น่ะหรือ พวกเขามิได้แยแสเลย! เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงใช้กลเม็ดที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้พิสูจน์ข้อหนึ่งแล้วว่า ขอเพียงเขาอยากทำ เขาก็สามารถทำลายทั้งสำนักปักษาเขียวได้ซึ่งๆ หน้าในพริบตาเดียว อยากจะเหยียบย่ำอย่างไรก็เหยียบย่ำโดยไม่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้เลย
และนี่ก็คือสาเหตุที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงพลังออกมาอย่างเหิมเกริมทันทีที่มาถึง! หากไม่สำแดงพลังออกมา แต่ละคนของสำนักปักษาเขียวจะเคารพตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแต่โดยดีได้อย่างไรกันเล่า
……
ณ ตำหนักหลักของสำนักปักษาเขียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ ณ จุดสูงสุดของตำหนักหลัก แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังต้องยืนอยู่ข้างหนึ่ง ส่วนด้านล่างก็คือยอดฝีมือและศิษย์ทั้งหลายของสำนักปักษาเขียว
“ค่ายกลของสำนักปักษาเขียวอ่อนแอเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา “นับจากวันนี้ไป ข้าจะวางค่ายกลใหม่ และข้าจะถ่ายทอดวิธีควบคุมค่ายกล กู่ซางกู่ซาง、เปยโจ้วให้แก่พวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้าแต่ละคนจะแบ่งกันควบคุมค่ายกลพิทักษ์แห่งหนึ่ง”
“ขอรับ”
กู่ซางคือเจ้าสำนักปักษาเขียว มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สาม เขารับคำด้วยความเคารพในทันที
ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายชราผมสีเหลืองยุ่งเหยิงผู้มีนามว่าเปยโจ้ว เขาซ่อนตัวอยู่ในสำนักปักษาเขียวโดยไม่ฟังคำสั่งปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้เป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในสำนักปักษาเขียว ยามนี้เขาก็รับคำด้วยความเคารพเช่นเดียวกัน
“หากมีผู้ใดสามารถทำลายค่ายกลได้ก็รีบส่งสารให้ข้าทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ “ตามปกติแล้วข้าจะเก็บตัวบำเพ็ญบางครั้งก็จะออกไปเดินท่องข้างนอกบ้าง หากไม่มีเรื่องใหญ่พอ ก็ไม่ต้องมารบกวนข้าล่ะ”
พูดจบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายขึ้นแล้วจากไปทันที
ยอดฝีมือทั้งสำนักปักษาเขียวตกตะลึงไปบ้าง…
วันคืนต่อจากนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทุ่มเทเพื่อวางค่ายกลอย่างสุดกำลัง ค่ายกลประเภทหนึ่งคือค่ายกลเตือนภัยซึ่งศิษย์ทั่วไปล้วนสามารถสัมผัสได้ มันสร้างขึ้นโดยมีความเร้นลับของแผนภาพคลื่นจานเป็นศูนย์กลาง ยังมีค่ายกลอีกประเภทหนึ่งคือค่ายกลโลกเทียมซึ่งสามารถทำให้ศัตรูตกเข้าสู่เขตลวงได้ ค่ายกลสุดท้าย…ก็คือค่ายกลสังหารซึ่งสร้างขึ้นตามกระบี่ที่ห้าผลาญโลกา
หากค่ายกลมิอาจต้านทานได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องปรากฏกายเองเป็นธรรมดา!
“อะไรกันน่ะ”
“ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้นิสัยแปลกประหลาดเกินไปแล้วกระมัง”
พวกกู่ซางและเปยโจ้วทั้งสองคนยืนอยู่นอกประตูคูหาแห่งหนึ่งด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ในคูหาแห่งนี้ ตามปกติแล้วห้ามศิษย์เข้าไปรบกวนเด็ดขาด
“ช่างเขาเถิด” เจ้าสำนักกู่ซางกลับแสยะยิ้มออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุดท่านนี้เหมือนจะเลือกสำนักปักษาเขียวของพวกเราเป็นที่ซ่อนตัวของเขา ทั้งยังเหมือนจะไม่ชอบเรื่องจุกจิก ขอเพียงมิได้เกี่ยวโยงกับเรื่องที่ใหญ่พอ พวกเราไม่ไปรบกวนเขาก็ใช้ได้แล้ว! มียอดฝีมือที่เยี่ยมยอดเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า วันคืนต่อจากนี้ของสำนักปักษาเขียวเราก็คงจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว ข้ารอคอยยิ่งนัก รอให้ถึงตอนที่พวกมารเหล่านั้นมาหาเรื่องพวกเราชาวสำนักปักษาเขียวเสียก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นค่ายกลสังหารที่ข้าควบคุมก็จะสามารถปลดปล่อยอานุภาพออกมาได้บ้างแล้ว”
เขาเป็นผู้ควบคุมค่ายกลสังหาร หนึ่งในค่ายกลทั้งสาม หากกระตุ้นขึ้นมา ประกายกระบี่ร่อนลงไป อานุภาพก็จะน่าหวาดหวั่นอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
นัยน์ตาของชายชราผมสีเหลืองมีม่านตาเป็นวงๆ เขาพยักหน้า “ผู้แกร่งกล้าที่นิสัยพิกลมีมากมายถมไป สำนักปักษาเขียวของพวกเราโชคดี ที่มีผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้คนหนึ่งอยู่ที่นี่ เจ้าต้องกำชับให้ดี ว่าบรรดาศิษย์ผู้ทำหน้าที่รับคำสั่งอยู่รอบๆ อย่าได้ไปยั่วโมโหผู้อาวุโสสูงสุดเป็นอันขาด”
“นี่เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” เจ้าสำนักกู่ซางพยักหน้า ขณะเดียวกันในใจเขาก็ลอบคิด
ผู้แกร่งกล้าผู้นี้อยากจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียว ก็เพื่อเคล็ดวิชาสืบทอดที่ประทับรอยอยู่บนเทือกเขาสำนักปักษาเขียวอย่างนั้นหรือ
เคล็ดวิชาสืบทอดของสำนักปักษาเขียวน่าพิศวงมากจริงๆ มันประทับรอยอยู่บนเทือกเขา ต่อให้เทือกเขาพังทลาย เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถนูนออกมาแล้วปรากฏขึ้นได้อีกครั้ง เคล็ดวิชาสืบทอดไม่มีทางทำลายได้ตลอดกาล! ในประวัติศาสตร์ก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนมาชมดูเคล็ดวิชาสืบทอดนี่ด้วยตนเอง ทว่าผู้ที่มารับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดด้วยเหตุนี้กลับพบเห็นได้น้อยนัก เพราะถึงอย่างไรด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิง หากจะชมเคล็ดวิชาสืบทอด ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดขวางอยู่แล้ว
…………………………….
ตอนที่ 9 หัวหน้าผาจอมมาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรดายอดฝีมือแห่งสำนักปักษาเขียวต่างก็คิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่น่าหวาดหวั่นผู้นี้กำลังเก็บตัวอยู่ แต่อันที่จริงแล้ว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากสำนักปักษาเขียวกลับไปยังจักรวาลบ้านเกิดอย่างเงียบเชียบ
“เมื่อมีค่ายกลสามแห่งที่ข้าวางเอาไว้แล้ว สำนักปักษาเขียวก็คงจะไร้กังวลแล้ว ต่อให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น ข้าก็สามารถเร่งไปได้ทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพยักหน้า “สามเรื่องที่ข้าตกลงเอาไว้ในตอนนั้น รับ ‘อวิ๋นเผิง’ เป็นศิษย์แล้วคอยปกป้องและการพิทักษ์สำนักปักษาเขียวล้วนแต่เป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแต่ต้องใช้เวลามากหน่อยก็เท่านั้นเอง มีเพียงเรื่องที่สามเท่านั้น…ที่ออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง!”
“หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด
ผาจอมมาร
ชื่อเสียงภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์นั้นไม่แพ้นครภัตตาหารทองคำเลย หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมาร ในรายงานของวังทวีสูญมีบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าล้วนแต่มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า
พวกเขามีพลังระดับนี้ สถานที่พำนักและบำเพ็ญตามปกติก็ย่อมต้องมีกลเม็ดต่างๆ มากมายอยู่แน่นอน หากมีศัตรูก็เกรงว่าคงต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน! เนื่องจากยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าเหมือนกันนั้น หากสองคนร่วมมือกันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเลย การวางค่ายกลนั้น ก็เพื่อสกัดกั้นศัตรูที่แข็งแกร่งและหลบหนีเอาชีวิตรอดเสียมากกว่า…แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมั่นใจในตนเองมาก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถกำจัดยอดฝีมือซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าสองคนภายในถิ่นของศัตรูได้ คาดว่าหากสังหารไป ก็คงถูกค่ายกลต่างๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามวางเอาไว้ตลอดวันคืนอันยาวนานรัดรึงเอาไว้ ต่อให้อีกฝ่ายมิอาจสังหารตนให้ตายได้ เกรงว่าก็คงจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างไม่ต้องหัวซุกหัวซุนนัก!
หากลงมือครั้งหนึ่งแล้วล้มเหลว คิดจะหาโอกาสอีกก็ยากแล้ว
ค่ายกลที่ตนวางเอาไว้ในสำนักปักษาเขียวล้วนแต่มีอานุภาพถึงเพียงนั้น หากเพื่อรักษาชีวิต เป็นไปได้มากว่าหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารจะไปซื้อค่ายกลที่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนวางเอาไว้มาติดตั้งภายในฐานที่มั่น ทว่าด้วยสมบัติล้ำค่าที่พวกเขามี อย่างมากก็ซื้อได้แค่ค่ายกลคงที่เท่านั้นเอง
อย่าง ‘ค่ายกลที่สามารถเคลื่อนย้ายได้’ นั้นมีราคาสูงกว่าค่ายกลคงที่มากนัก ความยากในการหลอมก็สูงกว่ามากทีเดียว
ค่ายกลที่สามารถสกัดกั้นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้เหมือนกันนั้น ค่ายกลคงที่อาจจะต้องใช้ศิลาปฐมโลกาสักสามร้อยก้อน แต่ค่ายกลที่พกติดตัวและสำแดงออกมาได้ตลอดเวลา เกรงว่าคงจะต้องใช้ศิลาปฐมโลกาสามพันก้อนเลยทีเดียว!
“ที่ตกลงกันไว้ตอนนั้น การสังหารหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมาร กำหนดเวลาไว้ที่แสนล้านปี ข้ามีเวลาเพียงพอ คนโง่งมเท่านั้นแหละจึงจะบุกฝ่าฐานที่มั่นของศัตรูเข้าไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมีแผนการอยู่ก่อนแล้ว
อย่าง ‘เจ้าเมืองอมตะ’ คู่ต่อสู้ที่พบในขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาในตอนนั้น
เคราะห์ดีที่อยู่ภายในขุมทรัพย์ เจ้าเมืองอมตะไร้ทางหนี มิเช่นนั้นแล้วด้วยศาสตร์ร่างแยกของอีกฝ่าย หากทะลุอากาศหนีไปตามทิศทางที่แตกต่างกัน…ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งกว้านี้ก็ทำได้เพียงไล่ไปตามทิศทางเดียวเท่านั้น มิอาจสังหารได้
แน่นอนว่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้บรรลุถึงระดับขั้น ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ แล้ว พลังสูงส่งกว่าตอนที่อยู่ในขุมทรัพย์จักรพรรดิเก้าเมฆาอยู่ชั้นหนึ่ง ต่อให้อยู่ในทุ่งร้างอันกว้างขวางและต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง ก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารได้!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารผ่าน ‘หอทะเลสัตตดารา’ ว่า…เมื่อหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารออกจากฐานที่มั่นเมื่อใด ก็ให้แจ้งตนทันที
เมื่อไม่มีข้อได้เปรียบด้านสถานที่ซึ่งเป็นถิ่นของพวกเขาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง
“เฮอะ ผู้แกร่งกล้าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เก็บตัวครั้งหนึ่งอาจจะเป็นเวลากว่าหมื่นล้านปี ส่วนการบำเพ็ญระบบทิพย์ ค้นคว้าและเก็บตัวทดลองครั้งหนึ่งก็อาจจะมีตั้งแต่หมื่นล้านปีไปจนถึงแสนล้านปี…แต่หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารชมชอบการกลืนกินและเข่นฆ่า พวกเขาไม่มีใจอดทนพอจะเก็บตัวได้นานนักหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายดี ตามปกติแล้วหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารอยู่ในฐานที่มั่นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็จะออกไปกลืนกินและเข่นฆ่า
เวลาล่วงเลยไปปีแล้วปีเล่า
“ฟิ้ว”
ลมพัดหวน บุปผาร่วงโรย บนพื้นเต็มไปด้วยกลีบบุปผางดงามหลากสีสัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ข้างต้นไม้ พลางมองดูกลีบดอกไม้กลีบหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ มันร่วงลงสู่จอกของตนในท้ายที่สุด เขาอดชะเง้อมองโถงตำหนักไกลออกไปแห่งนั้นมิได้ นั่นคือโถงตำหนักที่ภรรยาเก็บตัวอยู่ ผ่านไปถึงเจ็ดล้านปีเต็มๆ แล้ว ภรรยาก็ยังไม่หลุดพ้น
“การหลุดพ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หรืออาจจะติดอยู่นานแสนนานก็เป็นได้”
“แต่เมื่อกินหัวใจหลิวเมฆาแดงลงไปแล้ว สถานะการบำเพ็ญของภรรยาก็ควรจะเยี่ยมยอดที่สุด ยอดเยี่ยมกว่าการรับรู้ในชั่วขณะมากนัก นานถึงเพียงนี้ยังไม่บรรลุอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ จากนั้นเขาก็แหงนหน้าดื่มสุราอีกจอกหนึ่ง จิตใจที่สับสนวุ่นวายอยู่บ้างก็กลับคืนสู่ความสงบ ด้วยการบำเพ็ญจิตของเขา…เรื่องที่สามารถทำให้หัวใจของเขาวุ่นวายได้นั้นมีน้อยมากแล้ว
แต่หากเกี่ยวข้องกับการหลุดพ้นของภรรยา กลับทำให้หัวใจของเขาวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผู้อาวุโสตงป๋อ หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารออกเดินทางแล้ว เป็นไปได้กว่าเก้าส่วนว่าจุดหมายคือ ‘เมืองต้านวายุ’” ข้อมูลจากหอทะเลสัตตดาราถูกส่งมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย แม้ข้อมูลของหอทะเลสัตตดาราจะมีราคาแพง แต่ประสิทธิภาพก็สูงยิ่งนัก
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าก้าวหนึ่งก็ไปถึงกลางฟากฟ้าห่างออกไป มิติกลางท้องฟ้าบิดเบี้ยว แล้วเขาก็อันตรธานไป
……
ณ เมืองต้านวายุ โลกทิพย์นิจนิรันดร์
เมืองต้านวายุเป็นตัวเมืองที่ค่อนข้างสงบสุขแห่งหนึ่ง เนื่องจากแม้เจ้าเมืองต้านวายุจะมีพลังเพียงแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ แต่กลับมีชื่อเสียงด้านความสามารถในการรักษาชีวิต และยังเรียกตนเองว่า ‘ต้านวายุ’ แม้แต่ชื่อของตัวเมืองก็ยังเรียกว่าต้านวายุ! หากร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นลมเมื่อใด…ต่อให้เป็นยอดฝีมือซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็ยังมิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย
เนื่องจากเขารับมือได้ยากมาก เมืองต้านวายุที่เขาสร้างขึ้นขึงมีขุมอำนาจมารังแกน้อยมาก
ภายในลานของจวนแห่งหนึ่งในเมืองต้านวายุ ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนเสื่อ เขากำลังบำเพ็ญอยู่
“ในที่สุดก็มาเสียที” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดเปลือกตาขึ้นมา เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า “ข้ารออยู่ที่เมืองต้านวายุตั้งสามหมื่นปีแล้ว”
นับว่าอีกฝ่ายเร่งเดินทางมาได้เร็วแล้ว
เนื่องจากหัวหน้ารอง หนึ่งในสองหัวหน้าของผาจอมมารสามารถแหวกทางเชื่อมมิติเพื่อเร่งเดินทางไปได้
ตู้ม!
ไม่นานนัก กลางอากาศก็มีน้ำวนมิติอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น เงาร่างสองสายทะยานออกมาจากน้ำวนมิติ
พวกเขาสองคนนั้น คนหนึ่งมีเกราะสีดำห่อหุ้มทั่วร่าง รูปร่างบึกบึน เหนือผิวเกราะมีกลิ่นอายสีดำอันชั่วร้ายม้วนตัวอยู่ นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่ของเขาเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง อานุภาพอันไร้รูปร่างกดดันเบื้องล่าง ร่างกายของผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ได้รับระลอกคลื่นของอานุภาพอันไร้รูปร่างพลันแหลกสลายลงทันใด แม้แต่บ้านเรือนจำนวนมากก็พังทลายไปราวกับกรวดทรายอย่างไรอย่างนั้น
ภายในขอบเขตพันลี้เบื้องล่างเงาร่างเกราะสีดำ พลันแหลกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปจนหมด นอกขอบเขตพันลี้ ก็มีสิ่งมีชีวิตมากมายตายไป เขาก็คือหัวหน้าใหญ่แห่งผาจอมมาร ‘จอมมารดำ’ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งผาจอมมารขึ้นมา ชื่อเสียงชั่วร้ายกระฉ่อนไปทั่ว…เกรงว่าชื่อเสียงอันชั่วร้ายของผาจอมมารมีต้นเหตุมาจากเขากว่าแปดส่วน
อีกคนก็คือเงาร่างด้านข้างซึ่งดูเหมือนจะไม่สะดุดตาสายหนึ่ง เขาก็คือหัวหน้ารอง ‘จ้าวทะเลสาบชี่หู‘ เงาร่างของจ้าวทะเลสาบชี่หูเลือนราง ราวกับเงาสายหนึ่งกลางฟ้าดิน
“จอมมารดำ จ้าวทะเลสาบชี่หู!”
ณ จวนเจ้าเมืองแห่งเมืองต้านวายุ พลันมีเงาร่างสิบกว่าสายทะยานขึ้นไปต่อเนื่องกัน นำโดยชายหนุ่มอาภรณ์ม่วงรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่ง เขาก็คือเจ้าเมืองต้านวายุ ใบหน้ายากที่จะปิดบังความโมโหเอาไว้ “มาส่งสัญญาณสังหารภายในเมืองของข้า ทำไมกัน จะเปิดศึกกับข้าจริงๆ น่ะหรือ”
แม้เขาจะอ่อนแออยู่บ้าง แต่การรักษาชีวิตและหลบหนีนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!
“เหอๆๆ…” เสียงของจ้าวทะเลสาบชี่หูที่อยู่ด้านข้างแหลมบาดหู “ต้านวายุ หากเป็นเวลาปกติแล้ว ข้าและพี่ใหญ่คงคร้านจะมาหาเจ้าที่นี่ หากปีศาจน้อยอย่างเจ้าสู้ไม่ไหวก็หนีไป แล้วก็เอาคืนอย่างบ้าคลั่ง แต่ตอนนี้น่ะหรือ เฮอะๆ ข้ากับพี่ใหญ่มีความอดทนที่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอย่างมาก ตอนนี้มีสองทางเลือกให้เจ้า หนึ่ง ส่ง ‘กระจกศิลา’ มา สองพวกเราสังหารเจ้าแล้วเอากระจกศิลามา”
เจ้าเมืองต้านวายุสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “กระจกศิลาอะไรกัน พวกเจ้าฟังใครพูดมาน่ะ ข้ายังไม่รู้เลยว่ากระจกศิลาคืออะไร”
ปากยังคงพูดอยู่ แต่กลับลอบปรับค่ายกลมหึมาที่วางอยู่ทั่วทั้งเมืองต้านวายุขึ้นมาแล้ว
“ตู้มมม…”
แสงสีทองสะดุดตาพุ่งจากบริเวณต่างๆ ของตัวเมืองขึ้นสู่ฟ้า
“มารร้ายของผาจอมมารบุกสังหารเข้ามา รีบหนีเอาชีวิตรอดกันเสียเถอะ” เสียงของเจ้าเมืองต้านวายุสะท้อนก้องไปทั่วทุกหนแห่งของตัวเมือง ส่วนตัวเขาเองก็แปรเป็นลมสายหนึ่งแล้วหนีไปอย่างไร้สุ้มเสียง เขาไม่มีจิตคิดอาศัยโชคช่วยเลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายก็โพล่งชื่อของ ‘กระจกศิลา’ ออกมา เห็นได้ชัดว่ารู้ว่าเขามีสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้อยู่
สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เป็นหัวใจหลักของระบบการบำเพ็ญศาสตร์โบราณของเขา แล้วจะยอมมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไรกันเล่า
ส่วนตัวเมืองนี้ ในหัวใจของเขานั้นสู้ ‘กระจกศิลา’ ไม่ได้เลย
………………………………
ตอนที่ 10 ความบังเอิญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หนีเร็ว”
“ผาจอมมารหรือ”
“หนี หนีเอาชีวิตรอดสิ…”
ทั่วทั้งเมืองต้านวายุตกอยู่ในความตื่นตระหนกอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารจะมีอำนาจกล้าแกร่ง ทว่ากฎเกณฑ์ของมหาโลกทิพย์ทั้งห้านั้นก็กดดันอย่างร้ายกาจเกินไป ระยะทางห่างไกล ผู้แกร่งกล้าโดยทั่วไปก็ย่อมเห็นไม่ชัดอยู่แล้ว ก็ย่อมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เจ้าเมืองกลับอาศัยการถ่ายเสียงของค่ายกล ส่งเสียงก้องสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่ง ทำให้พวกเขาล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ผาจอมมาร มีชื่อเสียงโด่งดังเหลือเกิน
ในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่หนีกระจัดกระจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ท่ามกลางรัศมีสีทองที่แผ่ปกคลุมท้องฟ้าทั่วเมือง แต่กลับยืนอยู่บนถนนห่างจากหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารไปเพียงหมื่นลี้เท่านั้น สายตาของเขาจับอยู๋บนร่างของ ‘จอมมารดำ’ ที่นำหน้าอยู่ผู้นั้น จากนั้นจิตใจก็วูบไหว โลกอนธการมาจากความไร้ซึ่งสรรพสิ่งแล้วห่อหุ้มจอมมารดำผู้นั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์
……
จอมมารดำและจ้าวทะเลสาบชี่หูย่อมมิได้เห็นผู้อื่นในเมืองต้านวายุแห่งนี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว เป้าหมายของพวกเขาก็คือเจ้าเมืองต้านวายุเพียงคนเดียวเท่านั้น
“หลบหนีผ่านห้วงอากาศอย่างนั้นหรือ” พอกระตุ้นค่ายกลที่ปกคลุมทั่วทั้งเมือง กลิ่นอายของห้วงอากาศก็ปั่นป่วน เจ้าเมืองต้านวายุก็อาศัยโอกาสนี้หลบนี้ไปในทันที แต่ทว่าจ้าวทะเลสาบชี่หูกลับยิ้มเย็น เขาสามารถฉีกแยกทางเชื่อมมิติออกตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ เขาก็สามารถสะกดรอยได้อย่างง่ายดาย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อครู่พวกเขาได้เตรียมสิ่งล้ำค่าหายากเอาไว้แล้วเพื่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้
เมื่อครู่แม้ว่าจะกำลังสนทนาพูดคุย แต่พวกเขาสองคนก็ได้สำแดงสิ่งล้ำค่าหายากเอาไว้ก่อนแล้ว
ประทับตรารอยประทับบนร่างของเจ้าเมืองต้านวายุ!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าเมืองต้านวายุจะหนีเอาชีวิตรอดเช่นไร พวกเขาสองคนก็สามารถติดตามไปได้อย่างแน่นอน
“จะต้องได้กระจกศิลามาไว้ในมือให้ได้”
“ตามไป”
จอมมารดำและจ้าวทะเลสาบชี่หูจะเคลื่อนไหวในทันที
แต่ทันใดนั้นเอง
ฟึ่บ!
บริเวณโดยรอบเงียบสงบลงมา โลกอันดำมืดเปลี่ยนจากความว่างเปล่ากลายเป็นความจริงแล้วห่อหุ้มจอมมารดำเอาไว้! ผนังของโลกดำมืดแห่งนี้มีมากกว่าหกร้อยชั้น การซ้อนทับกันของโลกอนธการมากมายเช่นนี้ทำให้กฎเกณฑ์ที่อยู่รอบๆ เริ่มที่จะได้รับผลกระทบ จอมมารดำและจ้าวทะเลสาบชี่หูต่างก็เผยสีหน้าตื่นตระหนก ดวงตาสีแดงโลหิตทั้งสองของจอมมารดำยังเผยแววสงสัยเล็กน้อยอีกด้วย
โครมมม…
โลกอนธการหกร้อยชั้นแหลกสลาย จอมมารดำทนรับพลานุภาพอันน่าหวั่นเกรงนี้เอาไว้อย่างสมบูรณ์
“เป็นเขาหรือ” จ้าวทะเลสาบชี่หูตรวจตราบริเวณโดยรอบมาก่อนแล้ว ทันใดนั้นสายตาก็จับอยู่ที่ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่อยู่บนถนนห่างออกไปหมื่นลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองจ้าวทะเลสาบชี่หู สายตาประสานกันจากไกลๆ บนใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงยังเผยแววอมยิ้มน้อยๆ สายหนึ่ง “ได้ยินมานานแล้วว่าพลังยุทธ์ของหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารค่อนข้างสูงส่ง มีกลสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน คราวนี้ข้ามาศึกษาดูสักครั้ง แล้วระหว่างนั้นก็จะส่งท่านทั้งสองไปสู่ความตายด้วย!”
ตามมาด้วยเสียงคำราม
ร่างของจอมมารดำถูกทำลายไปเป็นส่วนใหญ่ ชุดเกราะล้วนแตกสลาย แต่ในขณะนี้ก็เจริญงอกเงยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กะโหลกศีรษะของเขาก่อร่างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์เหมือนตอนแรก นัยน์ตาสีแดงโลหิตถลึงมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “บังอาจยิ่งนัก บังอาจเกินไปแล้ว! การโจมตีเช่นนี้ เกรงว่าเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็สามารถฆ่าข้าตายได้แล้ว”
“หืม ยังไม่ตายอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพื่อให้ศัตรูหลบหนีมิได้ ตนเองจึงมิได้สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ รวมถึงโลกอนธการหลากชั้น! เพราะหลังจากที่โลกอนธการหลากชั้นเกิดขึ้นมาแล้วก็จะห่อหุ้มศัตรูเอาไว้โดยตรง เป็นกระบวนท่าที่มิอาจหลบหนีได้เลย ส่วนใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์…ถึงแม้ว่าพลังคุกคามจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกหน่อย อีกทั้งยังสามารถสำแดงพร้อมกันได้ถึงสามสาย แต่ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นสามารถต้านทานและหลบเลี่ยงได้
อ้างอิงจากการคาดการณ์ของตน โลกอนธการหลากชั้นควรจะสามารถสังหารจอมมารดำได้ภายในคราเดียว
แต่ในความเป็นจริงแล้วการป้องกันของร่างกายอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์เอาไว้อยู่เล็กน้อย
“น้องรอง ร่วมมือกัน!” จอมมารดำเดือดดาลอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว
“ได้สิ ฆ่ามัน!” นัยน์ตาของจ้าวทะเลสาบชี่หูก็เต็มไปด้วยแววอาฆาต พวกเขาต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะไปไล่ตามเจ้าเมืองต้านวายุ เพราะบนร่างของเจ้าเมืองต้านวายุมีรอยประทับเอาไว้แล้ว พวกเขาตามไปช้าหน่อยก็ยังสามารถสะกดรอยตามไปได้อยู่ดี จัดการคนตรงหน้าเสียก่อนดีกว่า
บริเวณโดยรอบผิวกายของจ้าวทะเลสาบชี่หูมีเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมา เส้นสายกึ่งโปร่งแสงเหล่านี้เลื้อยพันไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงจนหมด ส่วนจอมมารดำนั้นในมือมีมีดใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วฟาดฟันอย่างเดือดดาล! ร่างกายที่สามารถต้านทานโลกอนธการหกร้อยชั้นได้ การต่อสู้ประชิดตัวของจอมมารดำก็น่าหวาดเกรงเป็นที่สุด ทั้งยังมีเขตพลังของจ้าวทะเลสาบชี่หูร่วมด้วย…
ยอดฝีมือผู้มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวโดยทั่วไปต่างก็ต้านทานไม่อยู่กันทั้งสิ้น
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยมาเหล่านั้นถูกต้านทานเอาไว้จนสิ้น สำหรับกระบวนท่าเขตพลัง จ้าวทะเลสาบชี่หูใช้วิธีการของทางศาสตร์โบราณ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้บำเพ็ญที่สำเร็จวิชาแผนภาพคลื่นจาน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองคนก็เห็นได้ชัดว่าพลังคุกคามของแผนภาพคลื่นจานของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเหนือกว่าอยู่เล็กน้อย
จอมมารดำสะดุ้งเล็กน้อย “เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ปกติก็มีเขตพลังช่วยเหลือในการสังหารทั่วทิศ ตอนนี้เขตพลังของน้องรองกลับถูกสกัดเสียแล้วหรือ
“ปังๆๆ” ในขณะเดียวกันกับที่ระลอกคลื่นไร้ที่สิ้นสุดอันปั่นป่วนต้านทานเส้นสายเหล่านั้นเอาไว้ ก็กดดันไปทางจอมมารดำเช่นกัน ทำให้จอมมารดำราวกับติดเข้าไปในบ่อโคลน
“จอมมารดำ ไปตายเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอีกฝ่ายอย่างเยียบเย็น
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
โลกลวงขนาดใหญ่มหึมาสามแห่งเลือนหายไปแล้วแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดอันระยับจับตาสามเล่ม ใบมีดอันระยับจับตาสามเล่มนี้ทั้งหมดเปลี่ยนจากภาพมายากลายเป็นความจริง ระลอกคลื่นที่ดึงดูดพลังฟ้าดินต่างก็ก่อร่างเป็นกระแสน้ำวนอันปั่นป่วน แต่ในขณะที่ใบมีดรวมตัวกันนั้นเอง บริเวณโดยรอบก็พลันเงียบสงัด คลื่นพลังที่อยู่กลางอากาศถูกระงับเอาไว้โดยสมบูรณ์
เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนที่จ้าวทะเลสาบชี่หูควบคุมอยู่ได้รับแรงกดดันมากยิ่งขึ้นอีก!
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์!
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามเล่มฟาดฟันไปทางจอมมารดำจากสามทิศทางพร้อมกัน สีหน้าของจอมมารดำแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว จ้าวทะเลสาบชี่หูที่อยู่ด้านข้างก็จิตใจสั่นไหวเช่นกัน พวกเขาสองคนต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังคุกคามที่ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ นำพามา พวกเขาเข้าใจดีว่าการจะหลบหลีกใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง และหากคิดจะมีชีวิตรอดเช่นเดิมท่ามกลางการฟาดฟันนั้นก็เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า
“ร่างกายของข้าต้านไม่อยู่อย่างแน่นอน” จอมมารดำเข้าใจตรงจุดนี้ดี ดังนั้นคราวนี้เขาจึงมิกล้าลังเล ขบกรามแล้วกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกาย
พรึ่บ!
เห็นเพียงรัศมีสีขาวอันหม่นสลัวห่อหุ้มจอมมารดำเอาไว้
“ปังๆๆ” ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามเล่มต่างก็ระเบิดโจมตีไปทางจอมมารดำ รัศมีสีขาวที่ผิวกายของจอมมารดำสั่นสะเทือนเล็กน้อยแล้วกลับนิ่งสงบตามเดิม เขายืนอยู่กลางเวหาอย่างสมบูรณ์ไม่บุบสลาย ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าจอมมารดำกลับมิได้เผยสีหน้ายินดีเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่ยอมจำนนและความเดือดดาล
“ในที่สุดก็เปิดเผยแล้ว” จอมมารดำลอบทอดถอนใจ
“อะไรกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนถนนด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมมาโดยตลอดยากที่จะซ่อนความตื่นตระหนกบนใบหน้า หากพูดว่า ‘ฟองอากาศอนธการ’ มีประสิทธิภาพในการเกี่ยวพัน เช่นนั้น ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ก็มีประสิทธิภาพในการโจมตีเพียงอย่างเดียวล้วนๆ พลังคุกคามโจมตีแกร่งกว่าลูกไฟน้ำเต้าสีดำเล็กน้อย! ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามเล่ม… ต่อให้ตนเองบำเพ็ญผู้ท่องอากาศไปถึงระดับที่สี่สิบ ก็สามารถอาศัยโลกเทียมรักษาชีวิต แต่เมื่อถูกใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามเล่มระเบิดใส่ก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว
อีกฝ่ายต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ
มองดูรัศมีสีขาวอันหม่นสลัวบนผิวกายของจอมมารดำ ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกิดระลอกคลื่นยักษ์เทียมฟ้า “สมบัติล้ำค่าคุ้มร่างหรือ”
เขาเองก็มีสมบัติล้ำค่าคุ้มร่างเช่นกัน!
เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ จึงได้รับมอบป้ายคำสั่งคุ้มร่าง นี่คือสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋หลอมขึ้นด้วยตนเอง เมื่อใดที่กระตุ้นพลานุภาพภายใน ต่อให้เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง! เวลาเช่นนี้เพียงพอที่จะช่วยเหลือยอดฝีมือแห่งวังทวีสูญแล้ว แต่สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ช่างสูงค่ายิ่งนัก… ถึงอย่างไรพลังป้องกันของมันก็สูงส่งเป็นที่สุด ถ้าหากต้องการจะซื้อ ตามปกติก็ต้องมีราคาสูงถึงสองสามพันศิลาปฐมโลกาเลยทีเดียว!
แต่ยอดฝีมือผู้มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวโดยทั่วไปจะซื้อได้ไหวเสียที่ไหนกัน
ดังนั้นผู้ที่ครอบครองก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่มีขุมอำนาจใหญ่หนุนหลังอยู่!
“จอมมารดำมิได้อยู่ภายใต้สำนักบรรพชนโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด “เท่าที่แสดงให้เห็นภายนอก เขาก็มิได้เป็นคนของขุมอำนาจใหญ่ใดๆ เลยนี่”
มีความเป็นไปได้สองอย่าง
หนึ่ง จอมมารดำโชคดีได้รับสมบัติล้ำค่าคุ้มกายมาโดยบังเอิญ หรือไม่ก็สิ้นเปลืองศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลไปซื้อสมบัติล้ำค่าคุ้มกายมา
สอง จอมมารดำลอบสวามิภักดิ์กับขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งแล้วได้รับมอบมาอย่างลับๆ! การกระทำลับๆ ล่อๆ มิกล้าเปิดเผยพรรค์นี้ โดยทั่วไปแล้วต่างก็เป็นสองสำนักใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น…
โลกทิพย์ทั้งสาม พอได้พบยอดฝีมือเช่นนี้ก็จะส่งผู้แกร่งกล้าไปใช้เคล็ดวิชาลับตรวจสอบในทันที! ตรวจสอบว่าดวงวิญญาณของพวกเขามีรอยประทับอยู่หรือไม่ ถ้าหากไม่มีก็แล้วไป! แต่เมื่อใดที่พบว่าเป็นสมาชิกของสองสำนักใหญ่ ตามปกติแล้วก็จะสังหารอย่างไม่ไว้ไมตรี!
…………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น