Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 5-7

 ตอนที่ 5 อวิ๋นเผิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่เพียงเท่านี้


สิ่งที่อยู่ภายในขวดหยกสีดำนั้นก็คือ ‘น้ำทิพย์เชี่ยนอี้’ ซึ่งเพียงพอให้คงอยู่ได้สามร้อยแปดสิบล้านปี ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องใช้ศิลาปฐมโลกาไปหนึ่งพันสองร้อยก้อนจึงจะซื้อหามาได้


ตำหนักเทพแห่งนี้ เทพจักรวาลเป็นผู้ลงมือหลอมขึ้นมา ก็ใช้ศิลาปฐมโลกาไปเก้าร้อยก้อน


บวกกับหัวใจหลิวเมฆาแดง…


ลำพังแค่ศิลาปฐมโลกาที่ทุ่มเทไปก็เจ็ดพันหนึ่งร้อยก้อนแล้ว หลังจากนั้นยังต้องจัดการธุระอีกสามเรื่องให้บุรุษวัยกลางคนซึ่งมีเขาเดี่ยวผู้นั้นอีกด้วย


“นี่คือขีดจำกัดที่ข้าสามารถทำได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เนื่องจากในประวัติศาสตร์ก็มีเทพจักรวาลและยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มีวิธีช่วยในการบำเพ็ญที่ดีที่สุดอย่าง ‘น้ำทิพย์เชี่ยนอี้’ เพื่อช่วยให้คนใกล้ชิดซึ่งเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นสามารถหลุดพ้นได้ บวกกับตำหนักเทพที่เหมาะสมพอดีและหัวใจหลิวเมฆาแดง


“หลังกินหัวใจหลิวเมฆาแดงหมดแล้ว คาดว่าพลังงานของมันคงจะคงอยู่ได้สามร้อยกว่าล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “จิ้งชิว สามร้อยกว่าล้านปีนี้ เจ้าต้องใช้ทุกขณะในการบำเพ็ญให้คุ้มค่า”


“อื้ม” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า นางใกล้จะต้านรับไม่ไหวแล้ว


ยามนี้แสงทิพย์จำนวนมากวาบขึ้นมาในวิญญาณของนาง  นางแค่แบ่งสมาธิไปผลักดันแสงทิพย์เหล่านี้ออกมาเล็กน้อยก็รับรู้อะไรได้มหาศาลแล้ว…


สิ่งที่รับรู้จำนวนนับไม่ถ้วนนี้ซัดสาดเข้ามาไม่หยุด ยังมากมายเกินจริงกว่าการรับรู้ในชั่วขณะเสียอีก!


นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก


ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเอง จวบจนบัดนี้ก็เคยกินผลปัดจิตวิญญาณซึ่งมีมูลค่าห้าสิบศิลาปฐมโลกาไปเพียงผลเดียวเท่านั้น นอกจากนี้พลังของเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าอวี๋จิ้งชิวมาก เพราะถึงอย่างไรอวี๋จิ้งชิวก็เป็นเพียงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น มิได้เป็นแม้แต่เทพแท้เสียด้วยซ้ำ…เมื่อสิ่งล้ำค่าเหล่านี้อยู่กับนาง ก็ทำให้ประสิทธิภาพการรับรู้ของนางมากมายเกินจริงยิ่งกว่าการรับรู้ในชั่วขณะเสียอีก ถึงขั้นที่ว่าเนื่องจากวิญญาณของนางอ่อนแอยิ่งนัก เกรงว่าพลังงานของหัวใจหลิวเมฆาแดงคงต้องใช้เวลาสามร้อยกว่าล้านปีจึงจะเผาผลาญไปจนหมด


“ท่านรีบออกไปเถิด ข้าจะรีบเก็บตัวแล้ว” อวี๋จิ้งชิวเอ่ย ไม่ว่าผู้บำเพ็ญหน้าไหน ก็ต้องใฝ่ฝันถึงสถานะการบำเพ็ญเช่นนี้กันทั้งนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเดินออกไป


โครมมม…


ประตูตำหนักปิดลง


อวี๋จิ้งชิวเริ่มเก็บตัวทันที!


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูโถงตำหนักที่ปิดลงแห่งนี้แล้วก็อดเผยรอยยิ้มออกมามิได้ เขาพอจะเดาสถานะของภรรยาในตอนนี้ออก “เป็นสถานะการบำเพ็ญที่สูงส่งกว่าการรับรู้ในชั่วขณะตามปกติมาก นอกจากนี้ยังสามารถคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานานกว่าสามร้อยล้านปี…หากเช่นนี้ยังไม่หลุดพ้นอีก ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”


โลกทิพย์ทั้งห้า


สำหรับเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นแล้ว นี่ก็เป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญจนถึงขีดสุดแล้ว ส่วน ‘หัวใจนิรันดร์’ และ ‘ผลปฐมโลกา’ นั้นมิใช่สิ่งที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญ หากแต่เป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหลุดพ้นและเป็นนิรันดร์ได้โดยตรง!


“ควรไปทำเรื่องทั้งสามที่ข้าสัญญาเอาไว้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ โถงตำหนักแห่งนี้หลอมขึ้นโดยเทพจักรวาล ภรรยาอยู่ด้านใน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะมีผู้ใดทะเล่อทะล่าบุกเข้าไป หากภรรยาควบคุมโถงตำหนักอยู่ ต่อให้เป็นตนก็มิอาจฝ่าเข้าไปได้!


“อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา บัดนี้ท่านแม่ของพวกเจ้ากำลังเก็บตัวอยู่ อย่าไปรบกวนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงให้แก่บุตรธิดา เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาเป็นห่วงผู้เป็นแม่


สวบ


จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถลาขึ้นสู่ฟ้า กลางอากาศด้านบนบิดเบี้ยวไปหมด เขาบินตรงเข้าไปในนั้น รอจนปรากฏกายขึ้นอีกครั้งก็เข้าไปในโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว


……


โลกทิพย์นิจนิรันดร์


มีสถานะค่อนข้างพิเศษ ขณะเผชิญหน้ากับสองลัทธิใหญ่ มันก็ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่หากพูดถึงพลังแล้ว ก็จัดเป็นอันดับสองในบรรดาโลกทิพย์ทั้งห้า จึงย่อมมีคุณสมบัติพอที่จะหยิ่งทะนงได้ อย่าง ‘บรรพชนโลกา’ หากพูดถึงพลังแล้วก็ไม่แพ้จอมมารดาเลย! ส่วน ‘บรรพชนทิพย์’ ผู้ลึกลับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่ามีกลเม็ดแพรวพราว และแตกต่างกับจอมมารดาไม่มากสักเท่าใดนัก


บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ล้วนแต่หยิ่งทระนงเป็นอย่างยิ่ง


พวกเขาแทบจะแบ่งโลกทิพย์นี้จากหนึ่งเป็นสองส่วน แต่ละฝ่ายแบ่งกันปกครองดินแดนของตนโดยไม่ก้าวก่ายกัน


บริเวณที่บรรพชนทิพย์ปกครอง…ระบบการบำเพ็ญ ‘ทิพย์’ นั้นรุ่งเรืองที่สุด ผู้บำเพ็ญระบบทิพย์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่อย่างสันโดษเพื่อบำเพ็ญ ระบบทิพย์นี้ชมชอบการเก็บตัวเพื่อค้นคว้าเป็นระยะเวลายาวนานเสียมากกว่า กลเม็ดของพวกเขาก็มีร้อยแปดพันเก้า! ต้องยอมรับว่า…อย่างน้อยในยุคปัจจุบันนี้ ในระบบทิพย์ ไม่ว่าจะเป็นพลังรบขั้นสูงสุด หรือว่าพลังรบอันรอบด้านของขั้นอลวนและขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ล้วนแต่ได้เปรียบระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น


สาเหตุหลักก็เพราะระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มีการขาดตอนกลางทาง ‘บรรพชนชาง’ ผู้คิดค้นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ตกต่ำและตัวตายไป เป็นช่วงเวลายาวนานมากที่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ตกต่ำลงไป เคราะห์ดีที่บรรพชนเทียนอวี๋รุ่งโรจน์ขึ้นแล้วสร้างวังทวีสูญขึ้นมา


แต่เมื่อพูดถึงพลังแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนเทียนอวี๋หรือว่าจอมกระบี่ในตอนนี้ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดก็ล้วนแต่เป็นระดับที่สามทั้งสิ้น ต่อให้ในบัดนี้ หากพูดถึงชื่อเสียงและอำนาจแล้ว ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็อ่อนแอกว่าระบบทิพย์นี้อยู่บ้าง


ณ จวนเทพเนตรมาร นครภัตตาหารทองคำ


“เพียะ! เพียะ! เพียะ!”


ณ ลานเล็กแห่งหนึ่งภายในจวนอันหรูหราแห่งนี้ บุรุษร่างยักษ์ผิวสีเขียวผู้หนึ่งถือแส้เฆี่ยนลงไปบนร่างของหนุ่มน้อยคนหนึ่งอย่างรุนแรง เขาไม่กล้าต้านทานแต่อย่างใด แน่นอนว่าการฝืนต้านทานก้เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน เขาทำได้เพียงข่มกลั้นเอาไว้เท่านั้น แส้ฟาดลงบนร่างเขา ทำเอาร่างของเขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้น ฟาดไปฟาดมา บาดแผลอันทารุณแผลแล้วแผลเล่าก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว


“นายท่าน” บุรุษร่างยักษ์ผิวสีเขียวโค้งคำนับไปทางสตรีที่เป็นหัวหน้าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนพลางกล่าวว่า “เฆี่ยนครบร้อยแส้แล้วขอรับ”


“เฮอะ”


สตรีผู้มีรอยสีม่วงอยู่กลางหว่างคิ้วมองหนุ่มน้อยพลางยิ้มเย็น “ภายหน้าจงจำเอาไว้ เมื่อเห็นข้ามา ไม่เพียงต้องคุกเข่าเท่านั้น ใบหน้าของเจ้าก็ยังต้องสัมผัสกับพื้นด้วย เข้าใจหรือไม่ เจ้าก็แค่ทาสคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าต้องจำสถานะของเจ้าเอาไว้ด้วย”


“ขอรับ” หนุ่มน้อยรีบคุกเข่าลงไป ใบหน้าสัมผัสกับพื้นอย่างสิ้นเชิง


“อืม”


สตรีนางนี้จึงตอบรับเสียงหนึ่งแล้วหมุนกายจากไป โดยมีผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งด้านหลังห้อมล้อมอยู่


รอบด้านคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หนุ่มน้อยจึงยืนขึ้นมาแล้วปัดเศษผงบนใบหน้าทิ้งไป ร่างกายที่เจ็บปวดอยู่บ้างสั่นสะท้านเล็กน้อย แส้ทำให้ร่างกายมีบาดแผลนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่สาเหตุหลักก็คือเจ็บปวดเกินไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่จวนเทพใช้ลงทัณฑ์พวกเขาเหล่าทาสโดยเฉพาะ แต่ละแส้เจ็บปวดยิ่งกว่าตายเสียอีก


“ทาสหรือ” หนุ่มน้อยอวิ๋นเผิงพึมพำเบาๆ ในใจเศร้าโศกนัก “จวนเทพเนตรมารแห่งนครภัตตาหารทองคำ ข้าจะหนีก็หนีออกไปมิได้”


ยอดฝีมือทั้งแปดซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ครองนครภัตตาหารทองคำต่างก็สร้างจวนเทพขึ้นมาคนละหลัง


สถานะของจวนเทพเนตรมารภายในนครภัตตาหารทองคำนั้นแค่คิดดูก็รู้ ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำยังเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของบรรพชนโลกาอีกด้วย…


“ทาส ต้องเป็นทาวไปตลอดกาลอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเผิงเริ่มก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดลานอย่างเป็นระเบียบ ในฐานะทาส โดยทั่วไปแล้วเขาไม่มีสิทธิ์เงยหน้าขึ้นมาตามปกติได้ “หนีออกไปไม่ได้ คิดจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียหน่อย ก็มีแต่ต้องขยันบำเพ็ญเท่านั้น บำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพอากาศก็จะสามารถคืนสู่อิสรภาพได้แล้ว แต่ข้ายังห่างกับคำว่าเทพอากาศมากมายยิ่งนัก”


“ไร้ซึ่งทรัพยากรใดๆ แม้แต่เวลาบำเพ็ญก็ยังมีน้อยมาก” อวิ๋นเผิงยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ทว่าด้วยนิสัยของผู้บำเพ็ญทำให้เขาไม่ย่อท้อง่ายๆ


……


กลางท้องฟ้านอกนครภัตตาหารทองคำ


กลางอากาศอันเงียบสงบมีลมพัดโชย ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวขึ้นมา จากนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งก้าวออกมาเสียงดังสวบ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งมองดูนครภัตตาหารทองคำอันสูงตระหง่านตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่า…ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ไร้เทียมทานคนหนึ่งซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนใหม่ผู้หนึ่งได้มาถึงนอกเมืองแล้ว


พลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก นี่ก็เพียงพอให้สร้างชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกทิพย์ทั้งห้าได้แล้ว


“นครภัตตาหารทองคำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย ก็พบว่าตัวเมืองของนครตรงหน้านี้มีค่ายกลมหึมาอยู่ เขามิอาจฝืนตรวจสอบดูได้เลย


จากนั้นเขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงหน้าประตูเมืองแล้ว


ทหารรักษาการณ์หน้าประตูเมืองเห็นฉากนี้เข้าก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยอดฝีมือที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ก็พบเห็นได้บ่อยนัก


ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปในนครภัตตาหารทองคำ ดูเหมือนจะก้าวออกไปตามปกติเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ผู้อื่นอาจถือได้ว่าเป็นการเคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางสั้นๆ ทว่าแต่ละก้าวของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเกินสิบล้านลี้ เพียงไม่กี่ก้าว ก็ไปยินอยู่หน้าประตูจวนอันหรูหราแห่งหนึ่งแล้ว ซึ่งนี่ก็คือ ‘จวนเทพเนตรมาร’ หนึ่งในแปดจวนเทพแห่งนครภัตตาหารทองคำนั่นเอง


 ……………………………..


ตอนที่ 6 ศิษย์และอาจารย์พบหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะกำลังมองดูจวนเทพเนตรมารตรงหน้า แต่อันที่จริงกลับสำแดงแผนภาพคลื่นจานรุกรานเข้าไปภายในจวนอันกว้างใหญ่แห่งนี้ แล้วพบ ‘อวิ๋นเผิง’ เจ้าหนุ่มที่กำลังจะกลายมาเป็นศิษย์ของเขา


“ยอมคุกเข่าเอาหน้าแนบพื้นแต่โดยดีเช่นนี้เชียวหรือนี้” หัวคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่รีบบุ่มบ่ามเข้าไป


ถูกจับตัวไปเป็นทาส


ช่างเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตคนโดยแท้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ทาสคนหนึ่งแทบจะไม่มีโอกาสโงหัวขึ้นมาได้เลย


ดังนั้นจึงสามารถอาศัยช่วงนี้สอดส่องผู้ที่จะมาเป็นศิษย์ของตนในภายหน้าผู้นี้ได้ “สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายแล้วสาวเท้าออกไป ก็ไปถึงหอสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปแล้วหาที่นั่งก่อนจะนั่งลง เขาสั่งสุราชั้นดีและอาหารรสเลิศมาแล้วนั่งดื่มกินอยู่เพียงลำพัง ขณะเดียวกันก็สำรวจทุกการกระทำของศิษย์คนนี้ของตนอยู่ห่างๆ…เขาก็ไม่กล้าประมาทเกินไป  เมื่อกลายเป็นทาสแล้ว ก็ไม่แน่ว่าอาจจะสิ้นชีวิตไปเมื่อไหร่ก็ได้ เขาต้องรับรองความปลอดภัยของศิษย์ตน


ผ่านไปวันแล้ววันเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องดู พลังงานของหัวใจหลิวเมฆาแดงสามารถคงอยู่ได้กว่าสามร้อยล้านปี เขาจึงไม่รีบร้อนกลับไป


“เห็นทีจะยังไม่ล้มเลิก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “คว้าทุกช่วงเวลาเพื่อบำเพ็ญเช่นนี้ ตอนที่ทำงานหนัก ถูกตำหนิหรือกระทั่งตอนถูกแส้ตี…เขาก็ล้วนแบ่งสมาธิไปบำเพ็ญทั้งสิ้น”


“เอ๊ะ ต้องลงมือแล้ว หากยังไม่ลงมืออีก ศิษย์คนนี้ของข้าคงจะไม่มีชีวิตอีกแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นด้วยอารมณ์เรียบเฉย เมื่อสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็หายวับไป


เนื่องจากนี่คือบริเวณที่บรรพชนโลกาปกครอง ที่นี่จึงพบเห็นการเข่นฆ่าได้ทุกบริเวณ การกลืนกินดวงวิญญาณมากมายก็เป็นเรื่องปกตินัก ทาส การลงทัณฑ์ การทรมาน การเข่นฆ่า…สิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ถูกกลืนกินเป็นประจำ ‘การลงทัณฑ์’ จำนวนมากคือการกลืนลงไปในคำเดียว! นี่คือสถานที่ที่  ‘ดำมืด’  ยิ่งกว่าหุบเหวลึกดำมืดมากมายนัก


……


ณ ห้องลงทัณฑ์แห่งหนึ่งภายในจวนเทพเนตรมาร


อวิ๋นเผิงผู้มีท่าทางเป็นหนุ่มน้อยถูกผนึกกำลังและมัดเอาไว้ ภายในห้องลงทัณฑ์ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง เป็นบุรุษร่างผอมสูงผิวขาวซีด รูปโฉมของเขาหล่อเหลานัก นัยน์ตาเรียวยาวเป็นสีแดงเข้ม ลิ้นยาวเหยียดกำลังไล้เลียมุมปาก ลิ้นยื่นยาวออกมาแล้วกวาดออกไปเป็นระยะสองสามเมตร แล้วไล้เลียผิวของอวิ๋นเผิงคำหนึ่ง ทันใดนั้นผิวหนังชิ้นหนึ่งก็ถูกเลียจนหลุดลอกออกมา


“อ๊าก” อวิ๋นเผิงข่มความเจ็บปวดเอาไว้ “หรือว่าข้าจะต้องตายไปแล้วจริงๆ ถูก ‘ผู้เคารพแมลงโลหิต’ ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในจวนเทพเนตรมารจับตามองเสียแล้ว”


ผู้เคารพแมลงโลหิตคือศิษย์รักของประมุขจวนเทพเนตรมาร ‘จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมาร’


เขามีความสามารถเรื่องระบบการบำเพ็ญ‘กลืนกิน’ เป็นอันมาก บัดนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว และนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง เรียกได้ว่าผู้เคารพแมลงโลหิตเป็นผู้ที่ชมชอบการกลืนกินที่สุดในจวน โดยปกติแล้วเขาบุกฝ่าตามที่ต่างๆ ภายนอก กลืนกินสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน บางครั้งก็กลับมายังนครภัตตาหารทองคำบ้าง เนื่องจากภายในนครมีกฎอยู่ว่ามิอาจกลืนกินตามอำเภอใจได้


ดังนั้นเมื่ออยู่ภายในนคร โดยทั่วไปผู้เคารพแมลงโลหิตก็จะบำเพ็ญ และบางครั้งก็จะเลือกเป้าหมายคนหนึ่งแล้วค่อยๆ ดื่มด่ำไป


ครั้งนี้ ‘อวิ๋นเผิง’ เป็นผู้ถูกเลือก


“ผู้สืบทอดของสำนักปักษาเขียวหรือ ภายในกายมีการบ่มเพาะโลหิตของสำนักปักษาเขียว” นัยน์ตาทั้งสองของผู้เคารพแมลงโลหิตเปล่งประกาย ลิ้นของเขายื่นออกไปแล้วแทะเล็มเนื้อชิ้นนั้น กินจนมีโลหิตเปรอะเต็มปาก จากนั้นโลหิตทุกหยดก็ถูกเลียไปจนหมด “รสชาติช่างแสนวิเศษจริงๆ ได้ยินมาว่า เมื่อบำเพ็ญมรดกของสำนักปักษาเขียวจนถึงขีดสุด จนสามารถแปรเป็นรูปร่างของสำนักปักษาเขียวคนหนึ่งได้ ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างนั้นหรือ”


“ฮุฮุ ข้าได้พลิกดูทาสที่เพิ่งจับมาใหม่ในจวน เห็นศิษย์สำนักปักษาเขียว ข้าก็ตั้งใจตรวจสอบดู รู้สึกว่ากลิ่นอายของเจ้าดึงดูดข้าได้ดีที่สุด แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย”


ขณะที่ผู้เคารพแมลงโลหิตกำลังกลืนกินลงไปนั้น


ภายในกายของเขากลับมีแมลงเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนดูดซึมเลือดเนื้อเหล่านั้นลงไป ขณะเดียวกับที่ดูดซึมนั้น ก็แยกแยะได้ทันทีว่าเป็นโลหิตของสำนักปักษาเขียว…ทั้งยังได้ลองนำโลหิตของสำนักปักษาเขียวหลอมรวมเข้าไปในกายของตน


“โลหิตของสำนักปักษาเขียวมีส่วนช่วยร่างกายของข้าจริงๆ ด้วย” ผู้เคารพแมลงโลหิตลอบพึมพำ


ระบบการบำเพ็ญกลืนกิน


แม้โดยทั่วไปจะอ่อนแอมาก อย่างขั้นรวมเป็นหนึ่งโดยทั่วไปก็ล้วนมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่ง แต่ระบบนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งถือกำเนิดขึ้นเช่นเดียวกัน! ดังเช่น ‘บรรพชนโลกา’ ผู้สูงส่งเหนือใครก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้ อย่างผู้ที่เขารับเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงยิ่งในระบบเหล่ากลืนกิน


พวกเขาสามารถนำสารบางส่วนจากการกลืนกินดวงวิญญาณหลอมรวมเข้าไปในกาย ซึมซับจุดเด่นของเลือดเนื้อและดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทำให้ชีวิตของตนสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ!


อย่างบรรพชนโลกา…


ความแข็งแกร่งของร่างกายเขานั้นยังแข็งแกร่งกว่าราชันย์มีดแห่ง ‘ระบบการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุด’ หรือคนอื่นๆ ตั้งมากมาย ร่างกายของบรรพชนโลกาเป็นร่างที่สมบูรณ์แบบที่สุด แม้แต่วิญญาณก็แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบเช่นกัน ดังนั้นด้วยกลเม็ดจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘บรรพชนทิพย์’ หากเผชิญหน้ากับบรรพชนโลกาก็มิอาจคว้าชัยได้


เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่หนึ่ง รองลงมาก็คือจอมมารดาและบรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์นั้นแตกต่างกับจอมมารดาและบรรพชนโลกาน้อยที่สุด รองลงมาอีกก็คือราชันย์มีด! บรรพชนคีรีมารและประมุขเหยากวงนั้นถัดลงไปอีก


“อืม” ผู้เคารพแมลงโลหิตกำลังดื่มด่ำอยู่ ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไป เนื่องจากภายในห้องลงทัณฑ์มีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น


“เจ้าเป็นใครกัน” ผู้เคารพแมลงโลหิตแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา เขาระมัดระวังตัวขึ้นมา


“ข้าเป็นอาจารย์ของเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปทางอวิ๋นเผิงที่ถูกมัดอยู่ด้านข้าง เมื่อเขาชี้ไป โซ่บนร่างของอวิ๋นเผิงก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงจนสิ้น อวิ๋นเผิงมอชายหนุ่มอาภรณ์ขาวแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความตกตะลึง


เขาสามารถมั่นใจได้ว่า…


เขาไม่รู้จักยอดฝีมือเร้นลับตรงหน้าผู้นี้แน่


“ท่านอาจารย์。อวิ๋นเผิงคุกเข่าลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้นก็โขกศีรษะ


แม้จะไม่รู้จัก


แต่เขาก็รู้ชัดว่า…นี่คือความหวังที่เขาจะรอดชีวิต


“อาจารย์ของเขารึ” ผู้เคารพแมลงโลหิตจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง “เจ้าเป็นคนของสำนักปักษาเขียวหรือ”


“นับว่าใช่กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ในภายหน้าตนต้องไปพิทักษ์สำนักปักษาเขียวนานถึงล้านล้านปี ก็พอจะนับได้ว่าเป็นคนของสำนักปักษาเขียวอย่างพอถูไถ


“คนของสำนักปักษาเขียว เจ้ากล้าบุกรุกเข้ามาในจวนเทพเนตรมาร ช่างบังอาจนัก” ผู้เคารพแมลงโลหิตยิ้มเย็น


ตู้มมมม…


ทันใดนั้นประตูห้องลงทัณฑ์ก็เปิดออก คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากภายนอก นี่คือบุรุษผู้ชั่วร้ายสวมอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วของเขามีร่องรอยหนึ่งอยู่ เมื่อเข้ามาสายตาก็กวาดมองไปแล้วหยุดอยู่ที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง


“ท่านอาจารย์” ผู้เคารพแมลงโลหิตกล่าว “คนของสำนักปักษาเขียวผู้นี้ถึงกับกล้าบุกเข้ามาในจวนเทพเนตรมารของพวกเรา” เขาพบว่าจู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏกายขึ้น จึงมิกล้าประมาท แล้วรายงานขึ้นไปทันที


บุรุษผู้ชั่วร้ายผู้นี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแววตาสำรวจ แล้วยิ้มหยันพลางพูดว่า “ในบรรดายอดฝีมือสำนักปักษาเขียวน่าจะไม่มีเจ้าอยู่นะ ทว่ากล้าบุกรุกพื้นที่ของข้า ช่างรนหาที่ตายจริงๆ ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นอาหารของข้าก็แล้วกัน” เขาพูดพลางอ้าปากหมายจะกลืนกิน


“เนตรมาร!”


น้ำเสียงกังวานดังก้องขึ้น


บุรุษผู้ชั่วร้ายสะดุ้ง


ทันใดนั้นเงาร่างองอาจสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องลงทัณฑ์ เขามีผมสีทอง ผิวหนังของเขาก็สะท้อนประกายสีทองสะดุดตา ปากสีแดงดุจอ่างโลหิต จมูกเชิดชี้ฟ้า นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแววเหิมเกริมสูงเทียมฟ้า


“ท่านประมุขรัฐ” บุรุษผู้ชั่วร้ายโค้งคำนับด้วยความเคาระโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


“ท่านประมุขรัฐ” ผู้เคารพแมลงโลหิตก็รีบโค้งคำนับด้วยความตกใจ


คนตรงหน้าก็คือผู้สร้างนครภัตตาหารทองคำ…ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำนั่นเอง นั่นคือผู้ที่บรรพชนโลกาชื่นชมและรับเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง ว่ากันว่าเขาบำเพ็ญสองระบบควบคู่กัน ทว่าลำพังแค่ระบบเหล่ากลืนกินก็มีพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าแล้ว หากพลังของศาสตร์โบราณก็ปะทุขึ้น…ในบรรดาเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็นับว่าเป็นยอดฝีมือระดับยอดสุด


คาดว่าพลังคงจะเทียบเท่ากับตงป๋อเสวี่ยอิงขณะที่ยังมิได้รู้แจ้ง ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’


ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกลับมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา


เนื่องจากขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามานั้นก็ได้ส่งสารให้ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ ดังนั้นผู้ครองนครภัตตาหารทองคำจึงรีบมา เพราะถึงอย่างไรเมื่อโลกทิพย์ทั้งสามเผชิญหน้ากับสองลัทธิใหญ่ก็มีการร่วมมือกันโดยใกล้ชิด บุคคลระดับสูงของโลกทิพย์ทั้งสามต้องมีการร่วมมือกันมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงมิกล้าล่วงล้ำลงมือกับศิษย์ถ่ายทอดเองของบรรพชนโลกา แต่ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็ไม่กล้าลงมือกับผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญเช่นเดียวกัน


พวกเขาให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายเป็นอันมาก


ตงป๋อเสวี่ยอิงมิกล้าดูแคลนฝ่ายตรงข้าม เพราะถึงอย่างไรเขาก็วิเคราะห์แล้วว่าอีกฝ่ายมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าระดับยอดสุด แต่ในฐานะที่ประมุขรัฐปีกทองเป็นประมุขรัฐของแถบหนึ่งจึงมิได้ลงมือมาตั้งนานแล้ว


และผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็เข้าใจว่า…ผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นนัก พลังก็บรรลุถึงระดับนี้แล้ว ในภายหน้าพลังยากที่จะคาดเดาได้


“ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก


“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกล่าวยิ้มๆ


สีหน้าของจ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารและผู้เคารพแมลงโลหิตด้านข้างล้วนเปลี่ยนแปรไป


“เหตุใดผู้อาวุโสตงป๋อจึงสนใจมายังนครภัตตาหารทองคำของข้าได้เล่า” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำพูดยิ้มๆ


“ศิษย์ของข้าถูกจับตัวมาเป็นทาสอยู่ในจวนเทพเนตรมาร แน่นอนว่าข้าต้องมา หากมาช้าไปแค่ก้าวเดียว เกรงว่าคงจะถูกกลืนกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็ปรายตามองอวิ๋นเผิงซึ่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง


อวิ๋นเผิงซึ่งรอดตายมาได้หวุดหวิด ยามนี้ยังมึนงงอยู่บ้าง


ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำผู้สูงส่งเหนือใครเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ด้วยความเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ จะเป็นอาจารย์ของตนได้หรือ


เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำสีหน้าเข้มขึ้น สายตากวาดมองไปยังจ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมาร “เนตรมาร เหตุใดศิษย์ของผู้อาวุโสตงป๋อจึงถูกจับมาเป็นทาสอยู่ที่นี่ได้ ชดใช้ให้ให้ผู้อาวุโสตงป๋อเสียหน่อยเถอะ”


“ขอรับ” หว่างคิ้วของจ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารพลันยิงแสงสีม่วงรำไรตรงไปยังร่างของผู้เคารพแมลงโลหิตด้านข้าง ผู้เคารพแมลงโลหิตพลันแข็งค้างไปทันที เขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารอ้าปาก แล้วปากก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วกลืนผู้เคารพแมลงโลหิตลงท้องไปจนหมด


จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารเข้าใจดีนัก


ด้วยรู้จักนิสัยของประมุขรัฐของตน เขาจึงกินศิษย์ของตนลงไปเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย! ภายในบริเวณที่บรรพชนโลกาปกครอง…ระดับชั้นนั้นเข้มงวดและโหดร้ายเสียยิ่งกว่า


“ผู้อาวุโสตงป๋อ แม้เนตรมารจะใจแคบไปหน่อย ทว่าเรื่องนี้ก็แล้วกันไปเช่นนี้ดีหรือไม่เล่า” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะแหะๆ “ไปๆๆ ห้องลงทัณฑ์นี้มิใช่สถานที่ดีอะไรเลย ไปนั่งเล่นตรงที่พำนักของข้ากันเถิด”


“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ในใจยังคงตกใจกับการที่จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารกลืนกินผู้เคารพแมลงโลหิตลงไปในคำเดียวจนหมดอยู่บ้าง


เขาเคยได้ยินมาว่าในบริเวณที่บรรพชนโลกาปกครองนั้นเลือดเย็นและอำมหิต


แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนี่นา


 ………………………..


ตอนที่ 7 สถานที่ปลอดภัย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในวังหลวงแห่งนครภัตตาหารทองคำ


อาหารรสเลิศจานแล้วจานเล่าถูกส่งมา ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำนั่งลงตรงข้ามกับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ เยื้องไปทางด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คืออวิ๋นเผิง


ยามนี้อวิ๋นเผิงยังคงตื่นตระหนก เนื่องจากอานุภาพและกลิ่นอายที่ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำแผ่ออกมาตามธรรมชาตินั้นน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว นี่มิใช่การจงใจแผ่ออกมา หากแต่เป็นกลิ่นอายที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยามนี้จิตใจของอวิ๋นเผิงก็ไม่สงบนัก “ที่แท้แล้วผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้เป็นใครกัน ดูเหมือนผู้ครองนครภัตตาหารทองคำจะให้ความสำคัญกับเขามากทีเดียว เพื่อชดใช้ จ้าวผู้ชั่วร้ายเนตรมารก็ถึงกับกลืนผู้เคารพแมลงโลหิตศิษย์ของตนลงไป ที่ผ่านมาข้าไม่เคยพบเขาเลยจริงๆ! ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งทั้งหมดที่เขาข้องเกี่ยวด้วยนั้น…ก็คงมิมีผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะผูกสัมพันธ์กับผู้อาวุโสตงป๋อได้”


เขาจิตใจไม่สงบ


เขากลับไม่รู้ว่าท่านอาจารย์อาที่ใส่ใจเขาเป็นที่สุดโชคดีได้ ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ และเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงมา!


“เชิญ หากพูดถึงเรื่องอื่นแล้ว นครภัตตาหารทองคำเราอาจจะธรรมดาสามัญ แต่หากพูดถึงอาหารรสเลิศ ฮ่าฮ่า โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราคงมีไม่กี่ที่หรอกที่สามารถเทียบกับที่นี่ได้” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกล่าว ในระบบการบำเพ็ญเหล่ากลืนกิน ยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งเท่าใด ก็ดูเหมือนจะยิ่งมีเงื่อนไขในการกินมากยิ่งขึ้น! ทำให้ในเขตการปกครองของบรรพชนโลกา แม้จะมีความรุนแรงวุ่นวายไปหมด แต่อาหารรสเลิศกลับเยี่ยมยอดโดยแท้


ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนมากถูกบีบบังคับให้ศึกษาอาหารเลิศรส


“ไม่เลวจริงด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกินบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว


“ได้ยินมาว่าโลกอนธการของผู้อาวุโสตงป๋อยอดเยี่ยมยิ่งนัก จะให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่เล่า” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้เก็บมาใส่ใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมิได้มีเจตนาร้าย หากแต่ธรรมเนียมในเขตการปกครองของบรรพชนโลกาก็เป็นเช่นนี้เอง พวกเขานับถือพละกำลังขั้นสุดล้วนๆ


“ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ ค่ายกลที่แฝงอยู่ในโถงตำหนักของพวกท่านช่างมั่นคงนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางรูปสลักศิลานอกประตูตำหนักตนหนึ่ง วัสดุที่ใช้ทำรูปสลักศิลานั้นก็ธรรมดาสามัญ แต่ภายใต้การปกป้องของค่ายกลทั้งวังหลวง ต่อให้ยอดฝีมือเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าคิดจะทำลายรูปสลักศิลานี้ก็เป็นเรื่องยากนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือเบาๆ ตามอำเภอใจคราหนึ่ง ฟิ้วๆๆ…


โลกอนธการร่อนจากความเลือนรางลงมายังความเป็นจริงแล้วปกคลุมรูปสลักศิลานั้นเอาไว้ โลกอนธการที่ทับซ้อนกันนั้นดูดซับพลังฟ้าดินรอบด้านตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดเป็นน้ำวนพลังฟ้าดินขึ้นมา


หนังตาของผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกระตุกคราหนึ่ง


เขาสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดหวั่นของโลกอนธการแห่งนั้น


“ปัง!”


โลกอนธการแห่งนี้ ทั้งหมดมีถึงสามร้อยหกสิบชั้น เมื่อปะทุออกมาทั้งหมด ปริมาณก็ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ พละกำลังที่มีพละกำลังทำลายล้างพลันทำลายค่ายกลที่ส่งผลต่อรูปสลักศิลา


หลังจากได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังกึกก้อง รูปสลักศิลาก็กลายเป็นความว่างเปล่า


ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำตกใจขึ้นมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ร้ายกาจนัก แม้ผู้แกร่งกล้าส่วนใหญ่ในเขตการปกครองของบรรพชนโลกาจะไม่เชี่ยวชาญในการวางค่ายกล แต่วังหลวงของเขานั้นเป็นสถานที่บำเพ็ญตามปกติ ดังนั้นจึงตั้งใจเชิญผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งจากการบำเพ็ญระบบทิพย์ให้ช่วยวางค่ายกลโดยเฉพาะ! ในด้านการวางค่ายกล…แม้ผู้แกร่งกล้าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์จะร้ายกาจ แต่ก็ยังคงต้องจัดอยู่หลังจากการบำเพ็ญระบบทิพย์ลงไปอีก ค่ายกล การหลอมอาวุธ การบำเพ็ญระบบทิพย์ล้วนแต่จัดอยู่ในอันดับหนึ่ง


ในสถานที่รับรองแขกตามปกติ แม้จะมิได้มีการป้องกันแน่นหนาเหมือนสถานที่ที่เขาเก็บตัวหรือพักผ่อน  ทว่าแม้แต่ตัวเขาเอง เกรงว่าคงจะต้องทุ่มเทสุดกำลังจึงจะสามารถฝืนแทงทะลุค่ายกลเข้ามาได้!


แต่เมื่อครู่นี้  ค่ายกลที่ปกคลุมบริเวณรูปสลักศิลาล้วนถูกพละกำลังอันบ้าคลั่งทำลายล้าง รูปสลักศิลาก็สลายไปด้วย


“กระบวนท่านี้ของเขายังมีอานุภาพสูงกว่าท่าไม้ตายของข้าตั้งขุมหนึ่งเชียวหรือนี่” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำลอบตกใจ


นี่เป็นเรื่องปกตินัก


โลกอนธการหกร้อยชั้น พลังรบก็เพียงพอจะบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้ว แม้สามร้อยหกสิบชั้นนี้จะอ่อนแออยู่บ้าง แต่พลังกลับเกือบจะถึงขีดจำกัดของเจดีย์ดาวชั้นที่หก เพียงพอจะสั่นสะท้านไปทั่วทุกฝ่ายแล้ว


“นับถือๆ” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำกล่าว “วันคืนในการบำเพ็ญของผู้อาวุโสตงป๋อสั้นกว่าข้ามากนัก เกรงว่าบัดนี้ข้าคงจะสู้ผู้อาวุโสตงป๋อมิได้”


“พลังรบนั้นมีหลายด้าน มิใช่แค่อานุภาพในการรุกโจมตีเพียงอย่างเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ผลการต่อสู้ของผู้ครองนครภัตตาหารทองคำนั้นเลื่องลือไปทั่ว การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นการพิสูจน์ตนเอง”


ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำยิ้มออกมา


แต่เขาก็เข้าใจดีมากว่า ต่อให้บัดนี้ทั้งสองคนพลังเท่าเทียมกันเช่นนี้ แต่ด้วยความเร็วในการบำเพ็ญของตงป๋อเสวี่ยอิง อีกไม่นานนัก ก็คงจะสะบัดเขากระเด็นไป


……


หลังจากนั้นบรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ปรองดองกันมากยิ่งขึ้น ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็ทวีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น อาหารรสเลิศชนิดต่างๆ ถูกนำมาให้ เห็นได้ชัดว่าอยากผูกสัมพันธ์ฉันมิตรกับตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ด้วยใจจริง! เพราะถึงอย่างไรพลังระดับผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ สายตาก็คงจะไม่หยุดอยู่แค่ในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ หากแต่มองไปทั่วโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว


“ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำไม่จำเป็นต้องมาส่งแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “หากในภายหน้ามีเวลาว่าง และผ่านมาทางสำนักปักษาเขียว สามารถไปหาข้าที่สำนักปักษาเขียวได้”


“ท่านมีความสัมพันธ์กับสำนักปักษาเขียวจริงๆ น่ะหรือ” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำที่มาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงออกเยอกเมืองด้วยตนเองพูดด้วยความตกใจอยู่บ้าง


อวิ๋นเผิงที่คอยติดตามอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกใจแวบหนึ่ง


“ใช่แล้ว ข้ารู้จักกับยอดฝีมือของสำนักปักษาเขียวท่านหนึ่ง และได้สัญญากันไว้ ว่าข้าจะต้องคุ้มครองสำนักปักษาเขียวชั่วระยะเวลาหนึ่งน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“มิน่าเล่า” ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำพยักหน้า “หากมีโอกาสข้าจะต้องแวะไปอย่างแน่นอน”


การเร่งเดินทางภายในโลกทิพย์นั้นยุ่งยากเกินไปแล้ว


ต่อให้เป็นผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ หากไม่มีเหตุผลพิเศษ ก็ไม่มีทางเดินทางไปยังสำนักปักษาเขียวอย่างยากลำบากเพียงเพื่อพูดคุยสัพเพเหระกับตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะถึงอย่างไรด้วยความเร็วในการเร่งเดินทางของผู้ครองนครภัตตาหารทองคำ จากนครภัตตาหารทองคำไปถึงสำนักปักษาเขียว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลานานหลายร้อยล้านปี!


“ดี”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“แคว่กกก…” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วก็แหวกทางเชื่อมมิติสายหนึ่งออกมาทันที จากนั้นก็พาอวิ๋นเผิงสาวเท้าตรงเข้าไปในทางเชื่อมมิติ


ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำมองดูทางเชื่อมมิติตรงหน้าค่อยๆ สมานกันก็กะพริบตาปริบๆ “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มีผลสำเร็จด้านมิติที่ร้ายกาจนัก ถึงกับสามารถแหวกทางเชื่อมมิติออกมาได้เชียวหรือนี่”


โดยทั่วไปนี่คือเรื่องที่เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงจะทำได้


แน่นอนว่าในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านมิติเป็นอย่างยิ่งบางคนก็สามารถทำได้เช่นกัน! ทว่าเห็นได้ชัดว่าผู้ครองนครภัตตาหารทองคำมิใช่หนึ่งในนั้น แม้พลังของเขาจะแข็งแกร่ง แต่สำหรับความเร้นลับของกฎเกณฑ์อันซับซ้อนและวิถีแห่งหมื่นสรรพสิ่งของการบำเพ็ญระบบทิพย์แล้ว…ก็รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก กินไปกินมาแล้วพลังก็ยกระดับขึ้นเหมือนเดิมจะดีกว่า เช่นนี้จึงจะเรียบง่ายและสุขสราญที่สุด


……


ภายในโถงแห่งหนึ่งของจวนจ้าวเหนือทะเลหมอกดำในบ้านเกิด ‘จักรวาลแรกเริ่ม’


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงบนเก้าอี้ ด้านข้างยังมีคู่พี่น้องตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาที่กำลังงุนงงสงสัยอยู่ด้วย


“คุกเข่าลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอวิ๋นเผิงที่อยู่ตรงหน้าพลางเอ่ยขึ้น


อวิ๋นเผิงคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


นี่คือผู้ที่แกร่งกล้าคนหนึ่งเชียวนะ! แม้แต่ผู้ที่หยิ่งทระนงอย่างผู้ครองนครภัตตาหารทองคำยังยอมรับเองว่าตนมิอาจสู้ได้


“เนื่องจากสัญญาเอาไว้ ข้าจึงต้องรับเจ้าเป็นศิษย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ “ทว่าข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้รับศิษย์ได้ง่ายดายเกินไป นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นศิษย์ในนามของสำนักข้าไปก็แล้วกัน!”


“ขอรับ ท่านอาจารย์” อวิ๋นเผิงโจกศีรษะคำนับอาจารย์ทันที


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองฉากนี้อย่างสงบ ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาซึ่งอยู่ด้านข้างกลับตะลึงงันไป…นี่ นี่เป็นถึงผู้เคารพเทพแท้ท่านหนึ่งเชียวนะ! ท่านพ่อรับเป็นศิษย์ กลับเป็นเพียงแค่ศิษย์ในนามอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าสองพี่น้องไม่รู้ว่า ด้วยพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงในทุกวันนี้ หากอยากจะรับศิษย์แล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นเทพอากาศก็ไม่รู้ว่าจะมีตั้งกี่คนที่จะมาคุกเข่าร้องตะโกนขอร้องอยากคารวะเขาเป็นอาจารย์


ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ใส่ใจเรื่องพรรค์นี้มากนัก เพราะถึงอย่างไรในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีพลังรบขั้นอลวน บัดนี้เป้าหมายของเขาก็คือระดับขั้นก้าวสู่ระดับขั้นอลวนอย่างแท้จริง!


“วิ้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้นิ้วออกไปคราหนึ่ง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งตรงไปทางห้วงสมองของอวิ๋นเผิง


“นี่คือกฎของสำนักข้า ห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษตามกฎ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


อวิ๋นเผิงสัมผัสรับรู้เล็กน้อย อดรู้สึกขมขื่นใจมิได้


กฎนี้ช่างเข้มงวดเสียจริง


ให้ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเขตการปกครองของบรรพชนโลกาปรับตัวเข้ากับกฎของตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่เรื่องง่ายๆ เลย! เพราะถึงอย่างไรกฎที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดขึ้นให้ใช้ในสำนัก ก็ยังเข้มงวดกว่ากฎของวังทวีสูญอยู่บ้าง เมื่อเทียบกันแล้ววังทวีสูญก็ผ่อนคลายกว่ามากทีเดียว


“วางใจเถิด นี่มิใช่โลกทิพย์นิจนิรันดร์,ที่นี่อยู่ภายในจักรวาลแห่งหนึ่งซึ่งสงบสุขกว่าโลกทิพย์นิจนิรันดร์เป็นหมื่นเท่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ขอเพียงเจ้าไม่ก่อเรื่อง ก็มิมีผู้ใดสังหารเจ้าได้”


ศิษย์ของตงป๋อเสวี่ยอิง หากอยู่ในจักรวาลบ้านเกิด ผู้ใดจะลงมือสังหารได้เล่า


ยิ่งไปกว่านั้น ตัวอวิ๋นเผิงเองก็เป็นถึงผู้เคารพเทพแท้!


“เอ๊ะ” อวิ๋นเผิงสะดุ้ง ขอเพียงไม่ก่อเรื่อง ก็มิมีผู้ใดสังหารได้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่


“อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา แนะนำจักรวาลของพวกเราให้ศิษย์น้องคนนี้รู้จักที” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ


“ได้เลยท่านพ่อ” ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาตื่นเต้นอยู่บ้าง พวกเขาฟังออกว่า ศิษย์น้องคนใหม่ผู้นี้มาจาก ‘โลกทิพย์นิจนิรันดร์’ เชียวนะ แม้พอจะรู้จักโลกภายนอกจากท่านพ่อบ้าง แต่ก็รู้จักน้อยเกินไปแล้ว


“ศิษย์น้อง เร็วเข้า มากับพวกเราเร็ว”


“ข้าจะเชิญเจ้าไปดื่มสุราเอง”


ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้้วนกระตือรือร้นนัก


อวิ๋นเผิงไม่คุ้นชินอยู่บ้าง สถานที่ที่ปลอดภัยอย่างยิ่งเช่นนี้ มีศิษย์พี่ที่กระตือรือร้นเพียงนี้เชียวหรือ สภาพแวดล้อมเช่นนี้เขาไม่คุ้นชินอย่างยิ่งจริงๆ ต่อให้ฝันก็ยังไม่กล้าเลย! แม้ศิษย์พี่ตรงหน้าเหมือนจะมีพลังอ่อนแอไปบ้าง


เมื่อมองดูพวกเขาจากไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พยักหน้าเงียบๆ “ควรจะไปจัดการเรื่องสำนักปักษาเขียวได้แล้ว”


ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของอวิ๋นเผิงอีกต่อไปแล้ว ส่วนเรื่องคุ้มครองป้องกันสำนักปักษาเขียว…ก็เป็นหนึ่งในสามเรื่องเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะเปลืองความคิดจิตใจไปกับเรื่องเหล่านี้ ย่อมต้องจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดเป็นธรรมดา


 …………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)