Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 22-23
ตอนที่ 22 ถึงคราวโชคดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ ในวังแห่งหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในทิวเขาหลานชาง บริเวณโดยรอบวังจัดวางค่ายกลเอาไว้ ต่อให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปมาเดินอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้าก็ยังยากที่จะค้นพบได้
วังแห่งนี้ก็คือที่พำนักในปัจจุบันของ ‘จ้าวทะเลสาบชี่หู’ หัวหน้ารองของผาจอมมารในตอนนั้น
“โชคดีของข้า ก่อนหน้านี้ตกลงไปถึงก้นบึ้ง ตอนนี้ในที่สุดก็วกกลับขึ้นมาแล้ว!” ภายในลานเล็กด้านในวัง จ้าวทะเลสาบชี่หูสั่งผู้ติดตามรอบกายให้ปล่อยตนอยู่ตามลำพังคนเดียว ในมือมีกระจกที่มีลักษณะเฉพาะอันหนึ่ง ด้านหลังของกระจกนั้นดูเหมือนจะเป็นก้อนหินธรรมดาทั่วไป ด้านหน้าก็เป็นก้อนหิน แต่กลับเรียบลื่นเป็นอย่างยิ่ง พินิจดูอย่างละเอียดก็ยังสามารถเห็นรูปลักษณ์ของตนเองได้อย่างทุลักทุเล
ก็สามารถนับได้ว่าเป็นกระจกอันหนึ่ง แต่ความมหัศจรรย์ของ ‘กระจกศิลา’ นั้นกลับมิอาจคาดการณ์ได้เลย
“ตอนนั้นข้าเห็นพลังยุทธ์ของจอมมารดำแข็งแกร่งพอดู ความเชี่ยวชาญของเขาส่งเสริมข้าได้ เช่นนี้จึงทำให้อยากจะเข้าสู่ผาจอมมาร” จ้าวทะเลสาบชี่หูลูบคลำกระจกศิลาในมือเบาๆ “พอข้าร่วมมือกันกับเขา พลังรบก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างแท้จริง ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวเหล่านั้น ก็มิอาจเทียบได้กับเราสองคนร่วมมือกัน…ค่ายสังหารและการปล้นชิง วันเวลาเหล่านั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน ทำให้ข้าสะสมทรัพยากรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“แต่ว่า…”
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นสมาชิกของสองสำนักใหญ่ไปเสียได้” จ้าวทะเลสาบชี่หูแววตาหม่นหมอง “ทำเสียจนข้าก็ติดร่างแหไปด้วย ถูกยอดฝีมือใต้บังคับบัญชาของบรรพชนโลกาจับตัวไป!”
ถูกจับกุมตัว คุมขัง และสอบสวน…
ในตอนนั้นจ้าวทะเลสาบชี่หูตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
บรรพชนโลกามีสถานะเช่นไร แทบจะยืนอยู่ที่จุดสูงที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด มีเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่สามารถกดดันให้บรรพชนโลกาก้มหัวให้ จ้าวทะเลสาบชี่หูในตอนนั้นสิ้นหวังเสียแล้ว คิดว่าตนเองอาจติดร่างแหจนต้องตาย โชคดีที่หลังจากเผชิญกับการไต่สวนหลายครั้งแล้วตัดสินว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับสองสำนักใหญ่ก็ปล่อยตนออกมากลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง!
“สมควรตายนัก จอมมารดำที่สมควรตาย!” จ้าวทะเลสาบชี่หูยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “เจ้าหลบภัยในสองสำนักใหญ่ อย่าทำร้ายข้าก็แล้วกัน!”
“เจ้าตายไปแล้ว… ข้าช่างโชคดีเสียจริง!”
จ้าวทะเลสาบชี่หูอดที่จะก้มหน้าลงมองกระจกศิลาในมือมิได้ เขาลูบมันสองครั้งอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัวออกมาแล้วก็ไปรีดทรัพย์ที่ผาจอมมารมารอบหนึ่ง เช่นค่ายกลรักษาการณ์ เป็นต้น ตอนนั้นพวกเขาสองคนก็ใช้จ่ายไปเป็นมูลค่าไม่น้อย ภายหลังเขาก็จากไป ผาจอมมารก็ล่มสลายลงอย่างรวดเร็วยิ่ง “ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดมาจัดการข้ากับจอมมารดำ ดูท่าทางระยะเวลาที่ผ่านมานี้จะมีค่ายสังหารมากมายเกินไป เกรงว่าคงจะล่วงเกินผู้แกร่งกล้าบางคนเข้า จนไปกระตุ้นตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มา”
“แย่แล้ว ถึงแม้ว่าการสังหารปล้นชิงจะลดจำนวนลง การสะสมทรัพยากรก็จะช้าลงเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังทำตัวให้เล็กไว้หน่อยดีกว่า”
ตอนแรกจ้าวทะเลสาบชี่หูตัดสินใจจะเก็บตัวกบดาน
แต่เขาก็ยังติดตามรอยประทับที่ทิ้งเอาไว้บนร่างของ ‘เจ้าเมืองต้านวายุ’ แล้วเสาะหาตัวต่อไป เจ้าเมืองต้านวายุย่อมไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย จ้าวทะเลสาบชี่หูมีหัวใจก็นับได้ว่าไม่มี บวกกับทางด้านการเคลื่อนที่ผ่านอากาศของเขาที่เหนือกว่าเจ้าเมืองต้านวายุอยู่มาก… ดังนั้นเจ้าเมืองต้านวายุอยากจะหนีก็หนีไม่พ้น ในท้ายที่สุดก็ถูกทำให้ตายทั้งเป็น กระจกศิลาก็ตกมาถึงมือของจ้าวทะเลสาบชี่หู
“ถึงคราวโชคดีของข้าแล้วจริงๆ กระจกศิลานั้นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าที่ข้าเข้าใจเสียอีก” จ้าวทะเลสาบชี่หูตื่นเต้นเป็นที่สุด “อาศัยกระจกศิลา ข้าถึงขนาดมีหวังที่จะเปิดทางออกสู่วิถีศาสตร์โบราณอันสมบูรณ์แบบของข้า! ไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ถึงขนาดเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เขาได้กระจกศิลามาครองเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว
ยิ่งตระหนักรู้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามหัศจรรย์หาใดเปรียบ เป็นสมบัติล้ำค่าที่มหัศจรรย์ที่สุดที่เขาได้ครอบครองในชีวิตนี้
จากนี้ไป…
เดิมทีจ้าวทะเลสาบชี่หูที่กบดานแล้วก็ยังมีความไม่ยอมจำนนใจอยู่บ้าง แต่กลับเกิดความปรารถนาขึ้นในใจ เขายอมปล่อยวางค่ายสังหารปล้นชิงอย่างสิ้นเชิงเป็นการชั่วคราว แล้วทุ่มเทจิตใจให้กับการศึกษากระจกศิลา “หึๆ รอให้พลังยุทธ์ของข้าแกร่งกล้ากว่านี้ก่อน แล้วหลังจากที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้ว เวลานั้นจึงจะทำให้ตื่นตะลึงไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างแท้จริง! ผู้อาวุโสตำหนักในของวังทวีสูญตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะไปนับเป็นอะไรได้เล่า”
ต่อให้ผู้อาวุโสตำหนักในร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น
ขอเพียงแค่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน สถานะของเขาก็จะไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว เป็นยักษ์ใหญ่ของฝ่ายหนึ่ง เป็นผู้นำของฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง
อย่างเช่นขั้นรวมเป็นหนึ่งอยากจะพึ่งพิงในขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่แน่ว่าขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะรับ! ดังเช่นบรรพชนโลกาผู้สูงส่งก็รังเกียจที่จะรับขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นมาอยู่ภายใต้สำนัก
ส่วนยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าหากพวกเขาปรารถนาที่จะพึ่งพิงในขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์สักแห่ง ขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เต็มอกเต็มใจกันเป็นอย่างยิ่ง!
แม้กระทั่งเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากมายต่างก็ไม่อยากจะพึ่งพิงสักเท่าใดนัก เพราะว่าพึ่งพิงแล้วถึงแม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือบางอย่าง แต่กลับต้องรับผิดชอบภารกิจ อย่างเช่นอาจถูกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จัดการให้ไปยังชายขอบของห้วงอากาศ ไปต่อสู้กับฝูงมารผลาญทำลายก็เป็นได้! นอกจากนี้ ยิ่งเป็นผู้แกร่งกล้าก็ยิ่งหยิ่งยโสจนเข้ากระดูก ดังนั้นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนมากต่างก็สร้างขุมอำนาจของตนเองขึ้นมา
อย่างเช่นจักรพรรดิดำและบรรพชนทรายที่ต่างก็มิได้พึ่งพิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงระดับขั้นนี้ของพวกเขา นอกเสียจากร่างจริงของเทพจักรวาลมาสังหาร มิฉะนั้นก็ย่อมมิอาจคุกคามพวกเขาได้เลย! และเหล่าเทพจักรวาลก็คงไม่สร้างความบาดหมางกับบรรดายักษ์ใหญ่เหล่านี้อย่างไร้ซึ่งเหตุผลอยู่แล้ว
“เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง” จ้าวทะเลสาบชี่หูเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงมองกระจกศิลาในมือ
ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความมั่นใจในการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับขั้นอลวนอย่างกระจ่างแจ้งแต่อย่างใดเลย แต่ตอนนี้มีกระจกศิลาแล้ว หลายล้านปีมานี้เขาได้เห็นหนทางที่ตนจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนอย่างรางๆ แล้ว ก็ย่อมมีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
…
ฟิ้ว
ก้อนเมฆขาวราวกับกลุ่มเส้นไหม ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากอากาศอันบิดเบี้ยว ยืนอยู่บนชั้นเมฆพลางมองลงมายังทิวเขายาวต่อเนื่องอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง
“ทิวเขาหลานชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ “ซ่อนตัวอยู่ลึกพอดูทีเดียว มารตนหนึ่งอย่างเช่นจ้าวทะเลสาบชี่หูนี้ถึงกับสามารถอดทนไม่ทำการสังหารแล้วยังกบดานอยู่อย่างเงียบๆ ได้ ช่างมหัศจรรย์นัก หรือว่าการถูกสำนักของบรรพชนโลกาจับกุมตัวไปสอบสวนจะทำให้เขากลัวจริงๆ”
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่เชื่อเอาเสียเลย
พญามารที่ระดับขั้นการบำเพ็ญจิตใจไม่มีทางต่ำต้อย มีมนตราอันลึกล้ำเช่นนี้ อย่างน้อยระดับขั้นจิตใจก็ต้องเป็นระดับ ‘จิตใจดุจคมมีด’ จิตใจย่อมมิอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่า…จ้าวทะเลสาบชี่หูคงจะอดทนกบดานเป็นระยะเวลาหนึ่ง เวลาที่อดทนอดกลั้นยิ่งยาวนาน ความเป็นมารภายในจิตใจก็อาจจะปั่นป่วน สุดท้ายก็อาจจะอดรนทนไม่ไหว ทำการสังหารขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเขากลับคาดการณ์ผิดเสียแล้ว! คราวนี้จ้าวทะเลสาบชี่หูกลับมิได้กดดันตนเอง หากแต่จมดิ่งอยู่กับการหยั่งรู้ภายในกระจกศิลาอย่างบ้าคลั่ง
“อ้างอิงจากข้อมูลของหอทะเลสัตตดารา สถานที่ตั้งของวังของจ้าวทะเลสาบชี่หูควรจะอยู่ที่นั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกไป สวบๆๆ เคลื่อนย้ายไม่กี่ครั้งก็ไปถึงส่วนลึกของทิวเขาหลานชาง
มองลงไปเบื้องล่าง
บริเวณส่วนลึกของภูเขาเบื้องล่างมีทะเลสาบที่ดูราวกับหยกขนาดมโหฬาร บริเวณโดยรอบทะเลสาบรายล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้า งดงามเป็นอย่างยิ่ง มองไม่เห็นร่องรอยของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“พรึ่บ”
หว่างคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏรอยประทับของปีศาจชาดสีแดงเพลิง ที่ด้านหลังก็มีวิหคเทพปีศาจชาดสีแดงเพลิงที่สยายปีกอันมหึมาตนหนึ่งปรากฏขึ้น ปีศาจชาดกระพือปีกอย่างช้าๆ กระแสอากาศสีแดงเพลิงแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ และกลิ่นอายวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แผ่ออกไปเช่นเดียวกัน
เคล็ดภาพลวงปีศาจชาด
กระแสอากาศสีแดงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งยังมีระลอกคลื่นวิญญาณที่มิอาจแอบมองได้
ระลอกคลื่นวิญญาณพลันเคลื่อนผ่านค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่าง ถึงแม้ว่าค่ายกลจะร้ายกาจ แต่กลับมิอาจต้านทานการโจมตีของวิญญาณได้เลย! เขตลวง…ก็คือการโจมตีของวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าลูกน้องผู้ติดตามจำนวนมากมายที่อยู่ภายในวังที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่างแห่งนั้นแต่ละคนต่างก็เผยสีหน้างุนงงสับสน แล้วถูกกวาดเข้าไปภายในเขตลวงจนหมดสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงยกระดับเคล็ดภาพลวงปีศาจชาดไปจนถึงพลังยุทธ์ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว แม้กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญต่างก็ได้รับผลกระทบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกน้องผู้ติดตามเหล่านี้เลย
…………………………………….
ตอนที่ 23 กระจกศิลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่เพียงแต่ลูกน้องผู้ติดตามกลุ่มนี้เท่านั้น แม้กระทั่งจ้าวทะเลสาบชี่หูที่กำลังอยู่ในลานเล็กก็ยังได้รับผลกระทบด้วย
วิหคเทพปีศาจชาดขนาดมหึมาที่อยู่ด้านหลังตงป๋อเสวี่ยอิงกระพือปีก ขณะนี้ค่ายกลพิทักษ์ของวังแห่งนี้ที่อยู่เบื้องล่างไม่มีผู้ควบคุม กระทั่งจ้าวทะเลสาบชี่หูก็กำลังต้านทานเขตลวงอยู่เช่นกัน ย่อมมิอาจแบ่งจิตมาควบคุมค่ายกลใดๆ ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควบคุมอากาศด้วยความผ่อนคลายแล้วทำลายค่ายกลเหล่านี้อย่างง่ายดาย วังแห่งนั้นก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหยียบบนอากาศแล้วก้าวไปเพียงก้าวเดียวก็ไปถึงตรงหน้าจ้าวทะเลสาบชี่หูที่อยู่ในลานเล็กแห่งหนึ่งที่ส่วนลึกของวัง
“สมควรตาย เปิดทางให้ข้าเสีย เปิดทาง…”
ในขณะนี้จ้าวทะเลสาบชี่หูรู้สึกว่ายากจะทนรับได้
การมาถึงอย่างกะทันหันของเขตลวงทำให้เขาถูกฝืนบังคับลากเข้าไปในโลกเขตลวง มีความรู้สึกชนิดหนึ่งที่เขาฝันร้ายเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ฝืนลืมตาแต่กลับเข้าสู่ฝันร้ายอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง ดิ้นรน จมดิ่ง และดิ้นรน… นี่คือประสบการณ์ที่เคยมีมาก่อนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ทว่าความรู้สึกในตอนนี้กลับเหมือนกันเป็นอย่างยิ่ง จิตใจของจ้าวทะเลสาบชี่หูและระดับความแกร่งกล้าของวิญญาณร้ายกาจยิ่งกว่าจอมมารดำเสียอีก
ประสบกับเขตลวง เขาก็มิได้จมดิ่งโดยสมบูรณ์ ทั้งยังมีสติรับรู้อย่างแจ่มชัดยิ่งว่าอยู่ในเขตลวง ดังนั้นเขาจึงพยายามทลายเปิดเขตลวง!
อันที่จริง
เขาก็ทลายเปิดเขตลวงได้แล้ว สัมผัสรับรู้ลานบ้านบริเวณรอบๆ ได้อย่างเลือนราง แต่ก็ติดเข้าไปในเขตลวงอีกครั้งในทันที! เขาพยายามทลายเปิด เพิ่งทลายเปิดได้ เขตลวงก็มาโจมตีอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขากลับไปกลับมาระหว่างการทลายเปิดเขตลวงและการติดเข้าไปในเขตลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกชนิดนี้ช่างเลวร้ายเหลือเกิน
“ฟิ้วๆๆ” กระแสอากาศสีแดงเพลิงแผ่ขยายไปทั่วทั้งลานบ้าน ทั้งยังส่งผลกระทบกับจ้าวทะเลสาบชี่หู ดึงลากเขาเข้ามาในเขตลวงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่หยุดหย่อน
นี่ก็คือความร้ายกาจของเขตลวงปีศาจชาด
ไม่เหมือนกับเขตลวงที่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์สำแดง เขตลวงปีศาจชาดนั้นดำเนินการโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปจัดการควบคุม มันสามารถพุ่งเข้าโจมตีศัตรูจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนตามกลิ่นอายอันชวนหลงใหล ถึงแม้ศัตรูจะไม่ติดเข้าไปในเขตลวงก็ยังอาจจะได้รับผลกระทบ
ถึงแม้ว่าระดับจิตใจของจ้าวทะเลสาบชี่หูจะไปถึงระดับที่สูงกว่าอย่าง‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ ก็ย่อมไม่จ่อมจมอยู่แล้ว แต่ขณะที่ได้รับผลกระทบนั้นเกรงว่าจะสามารถสำแดงพลังจิตออกมาได้เพียงห้าหกส่วนเท่านั้น!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระดับขั้นจิตใจของจ้าวทะเลสาบชี่หูเป็นเพียงแค่ระดับจิตใจดุจคมมีด ดิ้นรนอยู่ระหว่างการหลุดจากเขตลวงและติดเข้าไปในเขตลวงอย่างไม่หยุดหย่อน เขาฝืน ‘รับสัมผัส’ ได้อย่างรางเลือนว่าภายในลานบ้านมีศัตรูอยู่คนหนึ่ง… ชายหนุ่มอาภรณ์ขาว ตงป๋อเสวี่ยอิง!
แต่ทัศนียภาพภายในลานบ้านกับทัศนียภาพภายในเขตลวงก็เริ่มที่จะผสมปนเปกันแล้ว
“ไม่ ไม่ เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน…” จ้าวทะเลสาบชี่หูรู้สึกว่ายากที่จะรับได้ ทว่าในใจกลับหนาวเหน็บเย็นเยียบ เขารู้ว่าตนเองเผชิญกับอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเสียแล้ว
ในอดีตเผชิญกับอันตราย เขาก็ยังสามารถสำแดงพลังยุทธ์มาต้านรับเอาไว้ ก็สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้
แต่ในขณะนี้เขาต่อสู้กับเขตลวงอยู่ตลอดเวลา ก็ย่อมมิอาจรับมือกับศัตรูได้เลย
“เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงใช่หรือไม่”
“เขา เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วได้อย่างไรกัน” จ้าวทะเลสาบชี่หูไม่อยากจะเชื่อ “ประมือกันคราวก่อน เขาก็ยังไม่มีเคล็ดวิชาเขตลวงอันน่าหวั่นเกรงเช่นนี้เลย”
…
ภายในลานบ้าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นจ้าวทะเลสาบชี่หูที่อยู่ตรงหน้าร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อนแล้วก็อดที่จะทอดถอนใจมิได้ “เคล็ดวิชาเขตลวง มีบางเวลาที่อ่อนแออย่างยิ่ง แต่บางเวลากลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
ยามที่จัดการกับผู้บำเพ็ญที่ระดับขั้นจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ ผลของเขตลวงก็จะแข็งแกร่งเป็นที่สุด! ดีกว่าการปลิดชีพซึ่งหน้าอยู่มาก
แต่เมื่อจัดการกับผู้ที่ระดับขั้นจิตใจแกร่งมากๆ กลับย่ำแย่เสียแล้ว
ส่วน ‘เขตลวงปีศาจชาด’ เป็นเคล็ดวิชาของศาสตร์โบราณ ร้ายกาจกว่าการสำแดงเขตลวงเพียงอย่างเดียวล้วนๆ สามารถฝืนบังคับฉุดรั้งศัตรูให้เข้าสู่เขตลวงจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของศัตรู ดังนั้นลำพังแค่เคล็ดวิชานี้ก็มีคุณสมบัติพอจะให้ไปถึงพลังรบระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้แล้ว ต่อให้เป็นผู้ที่สามารถครองสติอันแจ่มชัดเอาไว้ได้ พอได้รับผลรบกวนก็ต้องแบ่งพลังจิตจำนวนมากไปต้านทานเขตลวง ต่อสู้ซึ่งหน้า พลังยุทธ์ก็ย่อมลดต่ำลงอยู่แล้ว!
“จ้าวทะเลสาบชี่หูกลับไม่มีแรงต้านทานแต่อย่างใดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“ปล่อย ปล่อย…” จ้าวทะเลสาบชี่หูส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างทุลักทุเล แม้กระทั่งลืมตาก็ยังลืมไม่ขึ้น เห็นได้ชัดว่ายังคงดิ้นรนอยู่ในเขตลวง
“เข้าไป”
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปเขาก็ไม่มีทางทำข้อตกลงสัญญาด้วยตั้งแต่แรก ก็เพราะหัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารเป็นพญามารที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ เขาจึงได้ยอมรับข้อตกลง
สังหารพญามารพรรค์นี้ก็เป็นการช่วยเหลือผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน กฎของวังทวีสูญก็คือสนับสนุนให้เหล่าศิษย์ไปสังหารมารร้าย เพียงแต่ขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ไม่กล้ามาวางอำนาจล่าสังหารในอาณาเขตใต้ปกครองของบรรพชนโลกาในโลกทิพย์นิจนิรันดร์เท่านั้นเอง
ผู้ที่มีความปรารถนาส่วนตัว มีความขัดแย้งส่วนตัวอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ย่อมมิอาจนับเป็นอะไรได้อยู่แล้ว
ถ้าหากเป็นการชี้นำของวังทวีสูญ ผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่เข้ามาสังหารมารจำนวนนับไม่ถ้วนของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ก็ย่อมเป็นการล่วงเกินบรรพชนโลกาอยู่แล้ว!
“โลกอนธการหลากชั้น”
ปังงง…
โลกอนธการแห่งหนึ่งเข้ามาโอบล้อมจ้าวทะเลสาบชี่หูที่ร่างกายสั่นสะท้านเอาไว้ จากภาพมายากลายเป็นความจริง ก่อให้เกิดคลื่นพลังฟ้าดินอันปั่นป่วนขึ้นในทันใด ทำให้ฟ้าดินบริเวณรอบๆ สั่นสะเทือนไปหมด โลกอนธการแห่งนี้กลับมีผนังถึงสองพันห้าร้อยชั้นที่ชวนให้คนตกใจ!
ถ้าหากพูดว่าพลังคุกคามของโลกอนธการหกร้อยชั้นนับได้ว่าใกล้เคียงกับใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ เช่นนั้นโลกอนธการสองพันห้าร้อยชั้นก็เหนือกว่าใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์อันเดี่ยวๆ อย่างมหาศาลแล้ว!
สาเหตุที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงโลกอนธการหลากชั้นก็เป็นเพราะพลังคุกคามของเคล็ดวิชานี้รวมตัวกันอยู่ภายในโลกอนธการอย่างสมบูรณ์ ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบด้าน ถ้าหากสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ตามอำเภอใจ เกรงว่าจะเกิดผลกระทบทำลายล้างบริเวณโดยรอบมากเกินไป
ถึงแม้ว่าภายในวังแห่งนี้จะมีผู้ติดตามรับใช้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่คนเหล่านี้ต่างก็เป็นลูกน้องที่จ้าวทะเลสาบชี่หูบังคับจับตัวมาตอนที่มาปลีกวิเวกที่นี่ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาติดร่างแหด้วย
“ปัง!!!”
ในขณะที่เขาสำแดงเขตลวงปีศาจชาด โลกอนธการสองพันห้าร้อยชั้นก็เป็นขีดจำกัดของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
โลกอนธการที่หดเล็กลงอย่างฉับพลันนี้โอบล้อมจ้าวทะเลสาบชี่หูเอาไว้ จากนั้นก็เกิดการระเบิด ทำให้ภายในของโลกอนธการก็แหลกสลายไปจนสิ้น ร่างกายของจ้าวทะเลสาบชี่หูก็เปลี่ยนแปรกลายเป็นกระแสน้ำไปท่ามกลางการระเบิดนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบดังเดิม
แต่จ้าวทะเลสาบชี่หูที่บิดเกลียวกระแสน้ำก็ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างมนุษย์ แต่กลิ่นอายของเขาก็อ่อนแอลงไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ว่าจะต้านทานใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามสายเอาไว้ได้ในตอนนั้น แต่ข้อแรก ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์เป็นการโจมตีที่แยกจากกัน พลังคุกคามของโลกอนธการหลากชั้นในครั้งนี้เหนือกว่าใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์และทั้งหมดยังรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย สอง ตอนนั้นเขาสามารถส่งถ่ายพลัง ตอนนี้พลังจิตของเขาต่างก็ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบของเขตลวงทั้งสิ้น การต้านทานการโจมตีนั้นอาศัยเพียงร่างกายแทบทั้งสิ้น
ซึ่งทำให้การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำร้ายได้อย่างหนักหน่วงแล้ว
“ข้าไม่ยอม ไม่ยอมจำนนหรอก…” ปากของจ้าวทะเลสาบชี่หูส่งเสียงออกมา แต่ก็ยังคงลืมตาไม่ขึ้นเช่นเดิม
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงโลกอนธการหลากชั้นออกมาอีกครา
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง
ทุกครั้งต่างก็เป็นโลกอนธการสองพันห้าร้อยชั้น หลังจากสำแดงออกมาห้าครั้งแล้ว ร่างกายของจ้าวทะเลสาบชี่หูก็สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิงในท้ายที่สุด
“ช่างเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งนัก ถ้าหากไม่มีเขตลวงแล้วเขาสามารถสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์…ต่อให้ยืนรับการโจมตีของข้าอยู่ที่นั่น เพียงแค่ทำการส่งถ่ายพลัง เกรงว่าจะสามารถต้านทานได้หลายสิบครั้งทีเดียวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนคำพูด ถ้าหากตนเองมิอาจควบคุมร่างกายได้เช่นเดียวกัน น่ากลัวว่าเพียงครั้งเดียวก็คงจะสูญสลายไปเสียแล้ว
ขวับ
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง สมบัติล้ำค่าที่จ้าวทะเลสาบชี่หูเหลือทิ้งเอาไว้ก็มาอยู่ในมือทั้งหมด สายตาของเขาก็ไปจับอยู่บนกระจกศิลาชิ้นหนึ่งในนั้นโดยไม่รู้ตัว ยามที่ติดกับอยู่ในเขตลวง จ้าวทะเลสาบชี่หูก็ยังกุมกระจกศิลาชิ้นนี้เอาไว้
“กระจกศิลาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงความพิเศษของมันอย่างรางๆ จึงอดที่จะพินิจดูอย่างละเอียดมิได้
…
ณ วังบรรพชนโลกาในโลกทิพย์นิจนิรันดร์
สถานที่ตั้งของมันลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไร้ซึ่งการชี้นำก็ย่อมหาไม่พบอย่างแน่นอน ภายในวังบรรพชนโลกา มีเงาร่างสองสายกำลังยืนอยู่ที่นั่น ผู้ที่อยู่ด้านข้างก็คือจักรพรรดิดำ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือบุรุษร่างผอมเล็กที่สวมอาภรณ์สีเขียวเข้ม นัยน์ตาทั้งคู่ของเขามีความไร้เดียงสา ริมฝีปากของเขามีขนาดใหญ่มาก พอยิ้มขึ้นมาแล้วก็ดูสดใสและมีความสุขมากเป็นพิเศษ
แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาเป็นคนช่างสนุกเลย
เพราะเขาคือบุคคลที่ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านต้องแหงนหน้ามอง เป็นบุคคลที่พลังยุทธ์เป็นรองเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น! เขาไม่มีเคล็ดวิชามากมายล้นเหลือดังเช่นบรรพชนทิพย์ และมิได้เป็นพวกเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองดังเช่นจอมมารดา เขากล้าที่จะต่อสู้ประจันหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของเขามีความแข็งแกร่งถึงระดับที่มิอาจคาดเดาได้
เขาก็คือบรรพชนโลกา!
บุคคลผู้เผยแพร่ระบบการบำเพ็ญเหล่ากลืนกินจนแพร่หลาย เหล่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนกินสิ่งมีชีวิตตามอำเภอใจกันอย่างล้นหลาม ล้วนเป็นเพราะระบบเหล่ากลืนกินนี้!
ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้ใดกล้าติเตียนกล่าวโทษ ‘บรรพชนโลกา’ เพราะเหตุนี้ ผู้ที่ติเตียนบรรพชนโลกาต่างก็ต้องประสบกับการล่าสังหารอันเหี้ยมโหดของบรรพชนโลกา!
“น่าสนุก น่าสนุก” บรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็กหัวเราะเสียงแหลมบาดหู ห้วงมิติอันบิดเบี้ยวเบื้องหน้าแสดงภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปกำลังพินิจดูกระจกศิลา
“ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้” จักรพรรดิดำก้ยังตกตะลึงอยู่บ้าง แล้วก็หัวเราะขึ้นมาในทันที “ศิษย์พี่ ดูท่าทางเจ้าเด็กตงป๋อกับวิถีนี้ของพวกเราจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ เสียแล้วสิ เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดที่ข้าทิ้งเอาไว้ ตอนนี้ยังได้ครอบครองสมบัติที่ท่านทิ้งเอาไว้อีกด้วย”
ถ้าหากโลกภายนอกล่วงรู้คำสนทนาของพวกเขาสองคนเข้า จะต้องทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะที่โลกภายนอก แต่ไหนแต่ไรจักรพรรดิดำก้ไม่เคยเรียกบรรพชนโลกาว่า ‘ศิษย์พี่’ มาก่อนเลย
“ตกอยู่ในมือของเขา ก็มาดูกันว่าอนาคตของเจ้าเด็กผู้นี้จะเป็นเช่นไรดีกว่า” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กหัวเราะหึๆ
สมบัติชิ้นนี้
มีชื่อเรียกอยู่มากมาย ทั้ง ‘หัวใจศิลา’ ‘โล่อำมหิต’ ‘แผ่นเกล็ด’ ‘เกราะโบราณ’… ชื่อเรียกแสนธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเคยปรากฏอยู่ในมือผู้แกร่งกล้าของระบบศาสตร์โบราณจำนวนมากมาย พวกเขาต่างก็ค้นพบความวิเศษของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ ชื่อเสียงก็ค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเหนี่ยวนำให้เกิดการพิพาทอันโชกเลือดคาวโลหิต! และหลังจากบรรพชนโลกานำเอาสมบัติล้ำค่าไปอย่างเงียบๆ ปรับเปลี่ยนรูปโฉม ทั้งยังส่งไปถึงมือศาสตร์โบราณจำนวนหนึ่งอย่างต่อเนื่องด้วยความเงียบเชียบ
การส่งต่ออย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้
คราวนี้ที่สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เปลี่ยนเป็นรูปร่าง ‘กระจกศิลา’ เพิ่งจะส่งต่อผ่านมือขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงห้าคนเท่านั้น ดังนั้นชื่อเสียงยังไม่โด่งดังนักก็มาถึงมือตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
“วิถีของพวกเรานี้แบ่งออกเป็นสองแขนง ได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดแขนงนี้ของข้า ทั้งยังได้ครอบครองสมบัติที่ศิษย์พี่ส่งต่อ ด้วยการตระหนักรู้ของเขา จะต้องสามารถเดินบนเส้นทางศาสตร์โบราณสายนี้ได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน” จักรพรรดิดำยิ้มน้อยๆ “บางทีเขาอาจมีสิทธิ์เข้าสู่สำนักของพวกเราแห่งนี้ได้ด้วย”
“หึ สมบัติชิ้นนี้ของข้าส่งต่อไปไม่รู้เนิ่นนานเท่าใดแล้ว สำนักแห่งนี้ของพวกเรารวมศิษย์น้องเล็กด้วยก็มีกันอยู่เพียงสามคนเท่านั้น” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กพูดเย้ยหยัน “อาศัยเจ้าเด็กผู้นี้น่ะหรือ”
“นี่ก็พูดยากนัก” จักรพรรดิดำลำพองใจ
บรรพชนโลการ่างผอมเล็กหัวเราะเยาะพลางส่ายศีรษะแล้วโบกมือคราหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็เลือนหายไป
(จบภาคที่ 29)
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น