Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 17-19

 ตอนที่ 17 จักรพรรดิดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า ต้องมีผลสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมบวกกับ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ ที่ท่านบรรพชนคิดค้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงจะสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นปีศาจชาดหกแปรได้อย่างราบรื่นนัก แม้จะกล่าวว่าใช้เวลาไปห้าล้านกว่าปีก็จริง แต่การผลักดันระบบหนึ่งให้ไปถึง ‘พลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า’ โดยใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านี้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญซึ่งมีอายุขัยชั่วนิรันดร์นั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย


“ต่อจากนี้จะยกระดับก็ยากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


ขั้นรวมเป็นหนึ่งจะเข้าสู่ขั้นอลวนได้นั้นถือเป็นด่านยาก ต่อให้เป็นระบบผู้ท่องอากาศและ ‘วิถีโลกเทียม’ ซึ่งมีหวังมากที่สุดของตนในตอนนี้ ก็เกรงว่าคงจะต้องฝึกฝนอีกนานแสนนาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดเลย


ตนทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในปีศาจชาดเท่านั้น หากสามารถยกระดับขึ้นได้สักเล็กน้อย จนทำให้อานุภาพของปีศาจชาดยกระดับขึ้นไปถึงเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว


แน่นอน…


อารมณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงดียิ่งนัก


เนื่องจากศาสตร์โบราณเคล็ดวิชาสืบทอดที่เขาเลือกนี้ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว! บรรลุถึงปีศาจชาดหกแปร ความแข็งแกร่งของวิญญาณเขาก็มากกว่าก่อนที่จะได้ศาสตร์โบราณมาถึงสามเท่า หากปลดปล่อยใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์…ก็สามารถปลดปล่อยได้ถึงสิบสาย!



ในขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดถึงระดับขั้นหกแปรนั่นเอง…


ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งในโลกทิพย์นิจนิรันดร์


ห่างจากสำนักปักษาเขียวออกไปไกลลิบ ระยะห่างแทบจะเกินหว่าครึ่งของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ บนชั้นเมฆกลางฟากฟ้ามีวังสีดำอันสูงตระหง่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ เหนือผิวของวังสีดำซึ่งมีขอบเขตล้านลี้แกะสลักลวดลายสีทองอันวิจิตรงดงามเอาไว้ ภายในวังก็มีทหารรักษาการณ์และบ่าวรับใช้จำนวนมาก บ่าวรับใช้ทั้งหมดล้วนนบนอบเชื่อฟังหาใดเปรียบ


ใต้วังสีดำบนชั้นเมฆกลางฟากฟ้าแห่งนี้ มีตัวเมืองซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยล้านลี้แห่งหนึ่งตั้งอยู่ ในตัวเมืองนั้นมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ ที่นี่สงบสุขหาใดเทียม ไม่มีมารหน้าไหนอาจหาญเข้ามากล้ำกราย


เนื่องจากตัวเมืองแห่งนี้มีนามว่า ‘เมืองจักรพรรดิดำ’


วังเหนือชั้นเมฆด้านบนมีนามว่า ‘วังจักรพรรดิดำ’ ผู้สร้างมันขึ้นมาก็คือสิ่งมีชีวิตในตำนาน…‘จักรพรรดิดำ’ นั่นเอง!


ภายในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม จักรพรรดิดำก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ!


ว่ากันว่าตอนที่เขาและ ‘บรรพชนโลกา’ ยังอ่อนแออยู่นั้นเคยเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน


เขาเคยประมือกับร่างจริงของเทพจักรวาลซึ่งหน้าแล้วหนีรอดมาได้อย่างง่ายดาย…


พลังของเขาย่อมเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าอย่างไร้ข้อกังขา! เขาได้รับคำเชื้อเชิญจากสหายรักอย่าง ‘บรรพชนโลกา’ จึงได้ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนของบรรพชนโลกาภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ทว่าเขามิใช่ผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกิน หากแต่เป็นศาสตร์โบราณ ดังนั้นภายใน ‘เมืองจักรพรรดิดำ’ ที่เขาสร้างขึ้นมาจึงห้ามมิให้พวกมารเหล่านั้นกลืนกินและเข่นฆ่าตามอำเภอใจ


“ฟิ้ว”


ณ ส่วนลึกของวังจักรพรรดิดำ


บุรุษผู้มีเกล็ดเต็มร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ เขายังมีหางยาวเหยียดซึ่งขดไปมาราวกับมังกรตัวหนึ่ง มันกินพื้นที่ครึ่งค่อนโถงตำหนักเลยทีเดียว


เหนือศีรษะของบุรุษผู้นี้ มีกลิ่นอายอยู่สี่สายด้วยกัน


ซึ่งมีทั้งสีแดงเข้ม สีเขียวเข้ม สีขาวเจิดจ้าและสีดำขลับ กลิ่นอายทั้งสี่สายรายล้อมอยู่รอบศีรษะ มีเพียงกลิ่นอายสีดำขลับเท่านั้นที่สับสน ไม่มั่นคงนัก


บุรุษผู้นี้ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา กลิ่นอายเหนือศีรษะทั้งสี่สายหลอมรวมเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว


“ในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมข้าก็ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาสำเร็จแล้ว เหลือเพียงเคล็ดวิชาสืบทอดวิชาสุดท้ายเท่านั้นที่ฝึกไม่สำเร็จเสียที” บุรุษผู้นี้ยืนขึ้นมา แผ่นเกล็ดบนร่างหรูหรางดงาม นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปลี่ยนเป็นรอยขีด “ตอนนั้นข้าเรียกตนเองว่าจักรพรรดิดำ ด้วยหวังว่าจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดสุดท้ายนี้ให้สำเร็จได้”


“นานเท่าใดแล้ว”


“ก้าวสุดท้ายมักจะบกพร่องไปหน่อย เคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาคอยรบกวนมันอยู่เรื่อย” จักรพรรดิดำทอดถอนใจ


หากไม่ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชา แล้วฝึกเพียงวิชาเดียว ย่อมสบายมากเป็นธรรมดา


แต่หากจะฝึกสี่วิชา อีกสามวิชาฝึกสำเร็จแล้ว วิชาสุดท้ายก็จะถูกรบกวนมากที่สุด


“ขอเพียงฝึกสำเร็จ เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ก็จะสามารถกลายเป็นร่างเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งจักรวาลหมุนเวียน” จักรพรรดิดำพึมพำ “ตอนนั้นข้าก็จะกลายเป็นเทพจักรวาล! แต่ก้าวสุดท้ายนี้ ข้ากลับค้างเติ่งมานานถึงเพียงนี้ หรือว่า…ทางที่ข้าเลือกในตอนแรกผิดพลาดหรือไร”


เขามีจิตคิดร้ายขึ้นมา


ตอนนั้นบรรพชนโลกาก็แค่เท่าเทียมกันกับเขาเท่านั้น


บรรพชนโลกาเลือกเส้นทางฝึกอย่างละเมียดละไม พลังรบของระบบเหล่ากลืนกินในระดับเดียวกันก็มิได้แข็งแกร่งสักเท่าใดนัก แต่บรรพชนโลกากลับบำเพ็ญถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ได้


แต่เขากลับใฝ่หาขั้นสุด เขาฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดที่ช่วยส่งเสริมกันและกันไปพร้อมกันทั้งสี่วิชา ตอนที่เป็นขั้นกำเนิด เขาก็สามารถข้ามขั้นไปเข่นฆ่าขั้นรวมเป็นหนึ่งได้…เมื่ออยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว ในขั้นอลวนก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า! ในภายหน้าหากสำเร็จเป็นเทพจักรวาล พลังย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน น่าเสียดาย…เขาค้างเติ่งอยู่ตรงนี้เสียแล้ว!


ขั้นอลวนเข้าสู่เทพจักรวาล นี่คือการบรรลุขั้นสุดซึ่งยากที่สุด


แม้จะหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ทว่าจักรพรรดิดำก็ยังนับว่าสงบอยู่ เพราะถึงอย่างไร เมื่อค้างเติ่งไปนานเข้าๆ ก็เคยชินแล้ว


“เอ๊ะ”


ทันใดนั้นจักรพรรดิดำก็สัมผัสรับรู้ขึ้นมา เขาหันกลับไปมองยังทิศหนึ่ง “มีเจ้าหนุ่มที่ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดด้วยหรือนี่ ทั้งยังฝึกจนถึงปีศาจชาดหกแปรแล้วด้วยหรือ”


เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดที่เผยแพร่ออกไปภายนอกมีเพียงแปดแปรเท่านั้น


อันที่จริงจักรพรรดิดำเข้าใจดี


เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดนั้นมีทั้งหมดเก้าแปร! ทว่าเพื่อเก็บเป็นความลับ จึงมิได้ถ่ายทอดออกไปง่ายๆ เท่านั้นเอง


เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ที่เขาฝึกฝน…เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดก็คือหนึ่งในนั้น แต่เขาก็ฝึกจนสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว


“หาได้ยากๆ” จักรพรรดิดำเผยรอยยิ้มออกมา “ทางสายของข้ามีหนุ่มน้อยเพิ่มมาอีกคนแล้วอย่างนั้นหรือ ไปดูหน่อยดีกว่าว่าที่แท้แล้วคือผู้ใดกันแน่ แล้วเขามีความสามารถซ่อนอยู่เช่นไรบ้าง”


สวบ


จักรพรรดิดำจากวังแห่งนี้ไปในพริบตา กลางอากาศถูกแหวกออกจนเกิดเป็นทางเชื่อมมิติสายหนึ่ง


จักรพรรดิดำเร่งไปตามทางเชื่อมกาลมิติอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เร็วกว่าพวกจอมมารมาก เพียงสามหมื่นกว่าปีก็ทะลุผ่านโลกทิพย์นิจนิรันดร์ไปกว่าครึ่ง จนมาถึงนอกสำนักปักษาเขียวแล้ว


……


กลางอากาศ


จักรพรรดิดำสวมอาภรณ์ดำทั้งร่าง อาภรณ์สะบัดพลิ้ว เขาทอดสายตามองออกไปยังสำนักปักษาเขียวอันไกลลิบ


“เอ๊ะ”


“ข้าสามารถสัมผัสรับรู้ได้รางๆ ว่ามีผู้ฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดอยู่ภายในสำนักปักษาเขียวนี้” จักรพรรดิดำเผยสีหน้าฉงนใจออกมา “ไยข้าจึงมิอาจมองทะลุได้ เจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบของข้าได้ด้วยหรือ”


เขากลับไม่รู้เลยว่า


บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้อยู่กับตัว วิธีการสำแดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็พิสดารยากเกินคาดเดา จักรพรรดิดำยากที่จะมองให้ทะลุได้ เขาต้องอาศัยการรับรู้เคล็ดวิชาสืบทอดจึงสามารถพบตงป๋อเสวี่ยอิงได้


จักรพรรดิดำโบกมือคราหนึ่ง


สวบ!


ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งของสำนักปักษาเขียวถูกเคลื่อนย้ายไปตรงหน้าจักรพรรดิดำ ยามนี้สายตาของยอดฝีมือผู้นี้หม่นมัวไปหมด


“ผู้ที่มีพลังสูงสุดในสำนักปักษาเขียวของพวกเจ้าคือผู้ใดกัน” จักรพรรดิดำถาม


“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ” ยอดฝีมือตอบพร้อมอาการชา


“คูหาซึ่งกินพื้นที่ใหญ่ที่สุดในสำนักของพวกเจ้าก็คือคูหาของผู้อาวุโสสูงสุดใช่หรือไม่” จักรพรรดิดำถามต่อ


“ขอรับ”


“เขามีนามว่าอะไร”


“ไม่ทราบขอรับ”


จักรพรรดิดำมิได้ถามให้มากความอีกต่อไป เขาโบกมือคราหนึ่งเพื่อขว้างยอดฝีมือผู้นี้กลับไป ยอดฝีมือผู้นั้นได้สติกลับมาอย่างเลือนราง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น


“ผู้อาวุโสสูงสุดหรือ” จักรพรรดิดำเริ่มตรวจสอบผ่านระบบข่าวสารของภายในสำนักของบรรพชนโลกาทันที สถานะของเขาสามารถยืมระบบข้อมูลภายในสำนักของบรรพชนโลกามาใช้ได้ ไม่นานนักก็ได้รู้ข้อมูลส่วนหนึ่ง…ในจำนวนนั้นก็มีสภาพตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงลูกไฟน้ำเต้าสีดำออกมาสั่นคลอนทั้งสำนักปักษาเขียวด้วย สำนักบรรพชนโลกามั่นใจในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมานานแล้ว


“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ เป็นคนของวังทวีสูญหรือ” จักรพรรดิดำเผยรอยยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทางสายของข้านี้จะมีชนรุ่นหลังรุ่นที่สามเป็นศิษย์วังทวีสูญด้วย”


เดิมทีทางสายของเขา ก็มีผู้ที่มีโอกาสได้เคล็ดวิชาสืบทอดมาน้อยอยู่แล้ว


จะฝึกฝนให้ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งขั้นสุด จักรพรรดิดำนับรวมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนานก็มีเพียงสามคนเท่านั้น


“ลองดูเสียหน่อยว่าเขาจะสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นไหนกัน ดูสิว่าเขามีคุณสมบัติพอจะได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาหรือไม่” จักรพรรดิดำสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ก็มาถึงเหนือยอดเขาแห่งหนึ่ง เหนือยอดเขามีเรือนไม้หลังหนึ่งปรากฏขึ้น จักรพรรดิดำก็บำเพ็ญอยู่ที่นี่ คนของสำนักปักษาเขียวด้านข้างรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิง มิมีผู้ใดตรวจสอบการมีอยู่ของจักรพรรดิดำได้เลย


สำหรับชายชราที่มีชีวิตอยู่มานานแสนนานอย่างจักรพรรดิดำ นี่ก็เงียบเหงาเกินไปแล้ว


 ……………………………..


ตอนที่ 18 พลังก้าวหน้าครั้งใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่ออาศัยอยู่ใกล้สำนักปักษาเขียว แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้ ทำให้จักรพรรดิดำยากที่จะสอดส่องเขาได้ แต่ด้วย ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ จักรพรรดิดำกลับสามารถเจาะจงพิกัดของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ และสามารถวิเคราะห์ผลสำเร็จด้าน ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ด้วย


“แม้โดยทั่วไปแล้วทางสายบรรพชนโลกา เมื่อบำเพ็ญแล้วพลังจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็มีข้อได้เปรียบตรงที่บำเพ็ญได้ง่ายมาก” จักรพรรดิดำพึมพำ “ทางสายของข้านี้พลังแข็งแกร่งยิ่ง แต่กลับฝึกได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก”


เขาและบรรพชนโลกาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันตั้งแต่ตอนที่ยังอ่อนแอ แล้วค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละก้าว


ตอนที่ยังอยู่ในขั้นอลวน ทั้งสองฝ่ายถึงขั้นเคยชิงดีชิงเด่นกัน


แต่ต่อมา…


จักรพรรดิดำก็ค้างเติ่งอยู่ที่ขั้นอลวนมาโดยตลอด บรรพชนโลกากลับก้าวเข้าสู่ขั้นสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุด ถึงขั้นนับได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรกของสิ่งมีชีวิตขั้นสุด ระบบเหล่ากลืนกินนั้นเรียกได้ว่าเป็นระบบที่เรียบง่าที่สุด ทั้งยังเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง สิ่งมีชีวิตมากมายที่มีการรับรู้ค่อนข้างต่ำไปจนถึงสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศต่างก็ศึกษาระบบเหล่ากลืนกินแล้วกลืนกินตามอำเภอใจ พลังก็สามารถยกระดับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง


แต่อันที่จริงแล้วจักรพรรดิดำก็ออกจะรังเกียจอยู่บ้าง!


เนื่องจากผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกิน ตอนที่อยู่ในขั้นกำเนิดก็มีพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน! ผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินขั้นรวมเป็นหนึ่งโดยทั่วไปแล้วก็มีพลังเพียงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่งหรือชั้นที่สองเท่านั้น ส่วนระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์และการบำเพ็ญระบบทิพย์ ตามปกติแล้วล้วนสามารถบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามได้ ผู้ที่ยอดเยี่ยมในจำนวนนั้นอาจเป็นถึงชั้นที่สี่ได้ ผู้ที่ไร้เทียมทายก็ยิ่งสามารถบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้!


ส่วนศาสตร์โบราณเคล็ดวิชาสืบทอดที่จักรพรรดิดำมีอยู่นั้น ก็ยิ่งเกินจริงขึ้นไปอีก!


ลำพังแค่เคล็ดวิชาสืบทอดวิชาเดียว ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้ เมื่อเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสิ่งผนวกเข้าด้วยกัน…ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็คือพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว!


ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า


ตอนนั้นเนื่องจากปะเหมาะเคราะห์ดี จักรพรรดิดำและบรรพชนโลกาจึงได้เลือกเส้นทางที่แตกต่างกัน ผลก็คือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


“เส้นทางของข้านี้บำเพ็ญได้ยากยิ่งนัก สามารถฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดให้ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งขั้นสุดได้ก็หาได้ยากมากแล้ว” จักรพรรดิดำพึมพำ “ต้องสำรวจดูให้ละเอียดสักหน่อย หากรู้สึกว่าไม่เลว ก็สามารถถ่ายทอดวิชาอีกสักหนึ่งหรือสองวิชาให้แก่เขาได้”


หากเขาจะถ่ายทอด ก็คงไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่วิชาในครั้งเดียวจนหมด


เพราะถึงอย่างไรตอนที่เขาปล่อยเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ออกสู่ภายนอก แม้แต่ท่าไม้ตายในตอนท้ายสุดก็ยังเก็บเอาไว้ จะเห็นได้ถึงนิสัยของจักรพรรดิดำ


“แต่ดูท่าแล้ว วังทวีสูญให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงยากมากที่จะรับเป็นศิษย์ได้แล้ว”จักรพรรดิดำพึมพำ นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ชนรุ่นหลังทางสายของเขาก็มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งก็มีสถานะพิเศษเสียจนมิอาจรับไว้เป็นศิษย์ได้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถูกจักรพรรดิดำรับเป็นศิษย์ และเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองเพียงคนเดียวอีกด้วย!


ที่เหลือล้วนแต่เป็นเพียงศิษย์ในนามทั้งสิ้น


……


จักรพรรดิดำเร้นกายอยู่ข้างสำนักปักษาเขียวเพียงล้านกว่าปีก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมาพลางทอดสายตามองออกไปไกลทางภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว


เสียงร้องอันก้องกังวานสะท้อนก้องไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขียว


ผู้อื่นไม่รู้ แต่จักรพรรดิดำกลับสามารถอาศัยเคล็ดวิชาสืบทอดสัมผัสได้ว่า ‘ปีศาจชาด’ ในภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียวตัวนั้นวิวัฒน์ไปจนแข็งแกร่งขึ้นมาก เกรงว่าคงจะยกระดับขึ้นไปขั้นหนึ่งเลยทีเดียว


“นี่เขายกระดับเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดขึ้นไปจนมีพลังถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้วหรือนี่ อีกทั้งยังรวดเร็วถึงเพียงนี้ด้วย” จักรพรรดิดำตกใจ


ทางสายของเขา ชนรุ่นหลังอีกสองคนล้วนแต่มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าในเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ ต่อมาเข้าสู่ขั้นอลวน จึงฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดขึ้นไปถึงระดับขั้นที่ลึกล้ำขึ้นได้


จักรพรรดิดำกลับไม่เหมือนกัน


เขาได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดมาก่อนใครเพื่อน และบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่วิชาไปพร้อมกัน เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ก็ได้ผลาญแรงใจของเขาไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดแล้ว ขณะอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่แต่ละอันล้วนไปถึงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าแล้ว ทั้งสี่วิชาคอยส่งเสริมกันและกัน…พลังก็ปะทุสูงขึ้น จนมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด เขาไม่เคยคิดจะปรับเปลี่ยนหัวใจสำคัญของเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดมาก่อน เพราะเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ก็คอยช่วยเสริมกันอยู่แล้ว เมื่อแก้ไขอันหนึ่ง อีกสามวิชาก็ต้องแก้ไขไปตามกันด้วย ทั้งยังต้องผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย…จักรพรรดิดำจะคิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย!


แต่เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดไปเพียงวิชาเดียว จึงปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยตนเอง จนบรรลุถึงชั้นที่หกได้


“เจ้าหนุ่มอีกสองคนก็ได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดมาเพียงวิชาเดียว แต่กลับไม่มีสักคนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้” จักรพรรดิดำตกตะลึง “ทั้งยังรวดเร็วเกินไปแล้ว”


พรสวรรค์ด้านการรับนี้รู้ทำเอาจักรพรรดิดำตกตะลึงไป


“พรสวรรค์ของเจ้าหนุ่มตงป๋อเหนือกว่าสองคนนั่นอย่างสิ้นเชิง! เกรงว่าคงจะไม่แพ้ข้าเลย” จักรพรรดิดำยังคงมั่นใจในตนเอง เขาคิดว่าตนมิได้ปรับเปลี่ยน ก็เพราะได้เคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสี่ที่สมบูรณ์มา


******


ณ ภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว ภายในห้องเงียบในคูหาของผู้อาวุโสสูงสุด


สิ้นเสียงกรีดร้องของปีศาจชาดหลังจากวิวัฒน์แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลืมตาขึ้นมา วิหคเทพปีศาจชาดขนาดมหึมาด้านหลังสยายปีกออกมาแล้วกระพือพัดเบาๆ ไอสีแดงเพลิงแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ


“วิถีโลกเทียมและเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดช่างสอดคล้องกันได้ดีจริงๆ ใช้เวลาล้านกว่าปีก็สำเร็จแล้ว ทำให้พลังของข้าก้าวหน้าเป็นอันมาก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม หลายปีมานี้ เขาเคยได้แก้ไขโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในใจกลางของปีศาจชาดมาหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ทุกครั้งล้วนมีความก้าวหน้าเล็กน้อย ตัวปีศาจชาดเองมิได้วิวัฒน์จากแก่นแท้ แต่ครั้งนี้…


โดยรวมของปีศาจชาดเกิดการวิวัฒน์ขึ้นมา


แม้แต่วิญญาณของตนก็ยังได้รับการช่วยเหลือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกเขตลวง ปีศาจชาดวิวัฒน์ไป วิญญาณของตนก็มีความรู้สึกว่าวิวัฒน์และแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง วิญญาณแข็งแกร่งกว่าก่อนจะได้ศาสตร์โบราณมากว่าสี่เท่า


“ฟิ้ว”


เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง


ทันใดนั้น โลกขนาดจิ๋วอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน โลกขนาดจิ๋วอันเลือนรางถึงสิบห้าแห่งก็บ่มเพาะประกายสายหนึ่งในจำนวนนั้น ทว่าทั้งหมดล้วนเลือนรางไป ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่งก็สลายหายไปแล้ว


“ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบห้าสาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา “บัดนี้พลังของข้า อาจจะสามารถโจมตีเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้บ้างกระมัง”


ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ทั้งสามสายนับได้ว่าเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่หก


บัดนี้มีถึงสิบห้าสาย…


อาจจะมีคุณสมบัติโจมตีแล้ว ทว่า ทุกสิ่งยังต้องผ่านการต่อสู้ภายในเจดีย์ดาวเสียก่อนจึงจะสามารถพิสูจน์ได้


ในประวัติศาสตร์ สิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดที่ถือกำเนิดขึ้นมาในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะมีเพียงสองคนเท่านั้น ระดับความยากสูงยิ่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่รู้สึกว่าตนแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่เจดีย์ดาวชั้นที่หกมากมายนัก อาจมีคุณสมบัติพอจะโจมตีได้แล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจนัก


“ข้ามีพลังเช่นนี้ ศาสตร์โบราณก็มีส่วนช่วยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ทว่าฝึกเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดมาจนถึงระดับนี้ หากก้าวหน้าไปอีกก็ต้องเข้าใกล้ขั้นอลวนแล้ว”


เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด อาศัยการสั่งสมวิถีโลกเทียมจึงสามารถทำถึงขั้นนี้ได้


แต่บัดนี้วิถีโลกเทียมก็พอจะสัมผัสขั้นอลวนได้แล้วอย่างแท้จริง ในภายหน้าจะบรรลุก็ยากแล้ว!


เมื่อคิดดูให้ละเอียด…พลังของตนคิดจะยกระดับไปนิดหนึ่งก็ยากมากแล้ว ‘วิถีโลกเทียม’ ก้าวหน้าจนมิอาจก้าวหน้าได้อีกแล้ว ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ ก็บรรลุถึงชั้นที่สี่สิบ หากก้าวหน้าไปอีกก็อยู่แค่ระดับขั้นอลวนอยู่ดี  ต่อให้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ยกระดับขึ้นแล้วอย่างไรเล่า เข้าถึงกระบี่ที่หกผลาญโลกา ก็มีอานุภาพเพียงแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเท่านั้นเอง


เดิมทีใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก็เป็นกระบวนท่ารุกโจมตีขั้นสุดอยู่แล้ว หากเข้าถึงกระบี่ที่หกผลาญโลกาแล้ว ก็มิได้เพิ่มเสริมพลังแต่อย่างใด


มีเพียง ‘วิถีระลอกคลื่น’ เท่านั้นที่เป็นการนกระดับทางด้านบริเวณ หากสามารถก้าวหน้าได้บ้าง ขณะต่อสู้ ใช้บริเวณกดดันฝ่ายตรงข้ามแล้วค่อยสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก็จะมีส่วนช่วยอย่างเห็นได้ชัด


“จะบรรลุวิถีระลอกคลื่น ก็ต้องการเวลาไม่น้อย ทว่าในภายหน้า ข้าควรจะนำสิ่งดีๆ ไปใช้กับวิถีระลอกคลื่นบ้างแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจในจุดนี้ดี


เส้นทางสายหนึ่งสัมผัสถึงขั้นอลวนได้รางๆ


วิถีสองสายสัมผัสถึงขั้นอลวนได้รางๆ…


เมื่อเส้นทางหลายสายสัมผัสถึงขั้นอลวนได้แล้ว ก็จะรับรู้และเข้าใจขั้นอลวนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนก็ย่อมเพิ่มขึ้นมากทีเดียว! และนี่ก็คือสาเหตุว่า ทำไมในประวัติศาสตร์ ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกหลายคนมิได้ก้าวเข้าสู่ขั้นอลวน แต่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดกลับแทบจะเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด…ล้วนแต่ฝึกฝนเส้นทางหลายสายไปควบคู่กัน


“ข้าก็บำเพ็ญวิถีหลายสายไปควบคู่กัน ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้าไปทางขั้นอลวนด้วย มื่อผสานกันขึ้นมา เชื่อว่าโอกาสที่จะเข้าสู่ขั้นอลวนก็คงจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ถึงระดับอย่างเขา เป้าหมายย่อมต้องเป็นขั้นอลวนแน่นอน


……


ภรรยาหลุดพ้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่มีอะไรรบกวนใจอีกแล้ว จิตใจทั้งหมดจึงย่อมทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญ บัดนี้ เขามักจะรับรู้ ‘วิชาลับผู้ท่อง’ และ ‘วิถีโลกเทียม’ เป็นประจำ เส้นทางสองสายนี้ ล้วนแต่สัมผัสถึงขั้นอลวนได้รางๆ แล้ว หลังจากรู้สึกว่าเริ่มลำบากแล้ว เขาก็ค้นคว้า ‘วิถีระลอกคลื่น’


ผ่านไปอีกระยะเวลาหนึ่ง


วันหนึ่ง


เงาร่างอาภรณ์สีม่วงสายหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้านอกสำนักปักษาเขียว เขาทอดสายตามองออกไปยังสำนักปักษาเขียวอันไกลโพ้น สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา


“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าคุ้มกันสำนักปักษาเขียวอยู่ หากข้าโจมตีสำนักปักษาเขียว เจ้าก็คงจะเร่งมากระมัง” ผู้วิเศษหวั่งหมิงมองออกไปไกล ทว่ายามนี้มีเพียงร่างแปรร่างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่มาถึง ทั้งยังเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายอีกด้วย


 …………………………


ตอนที่ 19 สหายน้อยตงป๋อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

นัยน์ตาของผู้วิเศษหวั่งหมิงแฝงแววอาฆาตเอาไว้ เขามองดูสำนักปักษาเขียวที่อยู่ไกลออกไปตรงหน้า เขาไม่สนใจเลยว่าในภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงจะคุกคามผู้วิเศษของลัทธิทิพย์โบราณทั้งหลาย เพราะถึงอย่างไรลัทธิทิพย์โบราณก็เป็นปฏิปักษ์กับโลกทิพย์ทั้งสามอยู่แล้ว ศัตรูมีมากมายถมไป มีขั้นอลวนเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง! ณ ส่วนลึกในใจเขาก็ยังคงเคียดแค้น แค้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารน้องชายของเขาไป


ดังนั้นเขาจึงสร้างเรื่องไปทั่ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ บรรดาผู้วิเศษของลัทธิทิพย์โบราณทั้งหลายก็ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าใดนัก พวกเขาไม่เคยแยแสตงป๋อเสวี่ยอิงเลยจริงๆ! ต่อให้มีเทพจักรวาลเพิ่มมาอีกสักคนหนึ่งแล้วอย่างไรเล่า ลัทธิทิพย์โบราณก็ยังแข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี!


ก่อนหน้านี้เชิญให้ ‘ประมุขนรกภูมิ’ ตรวจสอบพิกัดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้มเหลว จนถูกบีบให้ต้องล้มเลิกแผนแรกไป!


ผู้วิเศษหวั่งหมิงคิดวิธีขึ้นมาอีกครั้ง เสียเวลาหลายล้านปีไปกับการขอพบบุคคลระดับสูงของลัทธิท่านแล้วท่านเล่า ในที่สุดก็สร้างแผนที่สองขึ้นมาได้สำเร็จ! อันที่จริงแผนที่สองนั้น ลัทธิทิพย์โบราณทุ่มเทน้อยกว่ามากทีเดียว


“หวั่งหมิง ในเมื่อการสะกดรอยล้มเหลว วังทวีสูญย่อมต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง แม้จะบอกว่าสามารถมั่นใจได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังคุ้มกันสำนักปักษาเขียวอยู่ แต่เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เขาก็อาจจะละทิ้งสำนักปักษาเขียวไปเลยก็ได้ อีกด้านหนึ่ง…วังทวีสูญก็อาจจะหนามยอกเอาหนามบ่ง วางกับดักเอาไว้ในสำนักปักษาเขียวบ้าง แล้วรอให้พวกเราไปเหยียบเข้า ดังนั้นนี่คือขีดจำกัดที่พวกเราสามารถรับปากได้แล้ว” บุคคลระดับสูงคนหนึ่งของลัทธิตอบผู้วิเศษหวั่งหมิงเช่นนี้


แม้ผู้วิเศษหวั่งหมิงจะจนใจ แต่ก็รู้ว่านี่คือขีดจำกัดแล้ว


เพื่อขั้นรวมเป็นหนึ่งคนเดียว และไม่มีความมั่นใจพอนั้น จะให้ลัทธิทิพย์โบราณทุ่มเทมากมายอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!


“ขอเพียงเขาประมาทสักเล็กน้อย”


“แผนการที่สองนี้ก็มีโอกาสสำเร็จ”


“สังหารเขาให้ได้ในกระบวนท่าเดียว!”


ผู้วิเศษหวั่งหมิงลอบพึมพำ


นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียว ลัทธิทิพย์โบราณก็เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกดดันสำนักปักษาเขียวอย่างเปิดเผยและกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดโดยใช้ลูกไฟของน้ำเต้าสีดำ! ทันทีที่ลัทธิทิพย์โบราณได้ข้อมูลนี้มาก็สามารถมั่นใจในสถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ เพราะตอนนั้นเมื่อทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ใช้ลูกไฟของน้ำเต้าสีดำเช่นกัน


แม้จะรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงคุ้มกันสำนักปักษาเขียวอยู่ แต่ลัทธิทิพย์โบราณก็ไม่มั่นใจนัก ภายใต้สถานการณ์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ตัวว่าลัทธิทิพย์โบราณกำลังสะกดรอยเขาอยู่ ก็ยังคงออกหน้าเพื่อสำนักปักษาเขียวอยู่ดี


สวบ


ผู้วิเศษหวั่งหมิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงไปทางสำนักปักษาเขียว ขณะเดียวกันน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยแววอาฆาตสายหนึ่งก็สะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน “โจรเฒ่าเปยโจ้ว รีบโผล่หัวมารับความตายจากข้าเร็วเข้า!”


……


เปยโจ้วคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักปักษาเขียวก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาถึง


“โจรเฒ่าเปยโจ้ว รีบออกมารับความตายจากข้าเร็วเข้า!”


น้ำเสียงแฝงแววอาฆาตแผ่คลุมไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขีย ทำเอาศิษย์สำนักปักษาเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพากันเงยหน้ามองออกไปไกล แม้แต่ผู้อาวุโสเปยโจ้วผู้มีผมเผ้าสีเหลืองยุ่งเหยิงก็ยังเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง เมื่อมองเห็นเงาร่างอาภรณ์สีม่วงกลางฟากฟ้าไกลออกไป ผู้อาวุโสเปยโจ้วก็อึดอัดใจนัก “ผู้ใดกัน มีความแค้นกับข้ารึ แต่ข้าไม่รู้จักเขาเลยสักนิด”


“ผู้อาวุโสเปยโจ้ว เป็นศัตรูคู่แค้นของท่านหรือ”


“ผู้อาวุโสเปยโจ้ว…” ทุกคนพากันถามไถ่


ผู้อาวุโสเปยโจ้วหงุดหงิดใจ หรือจะเป็นศัตรูที่เคยไปรังแกเข้าโดยไม่ตั้งใจเมื่อนานแสนนานมาแล้ว นี่ก็นับเป็นเรื่องปกตินัก เพราะเดิมทีโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็สับสนวุ่นวายอยู่แล้ว การเข่นฆ่ามากมายนับไม่ถ้วน ไม่แน่ว่าศิษย์รุ่นหลังของผู้แกร่งกล้าสักคนอาจจะบำเพ็ญมาอย่างยาวนาน หลังจากพลังแข็งแกร่งพอแล้วจึงมาหาตนเพื่อแก้แค้นก็เป็นได้!


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


เงาร่างอาภรณ์สีม่วงกลางอากาศผู้นั้นลงมือแล้ว เขาโบกมือคราหนึ่ง อสนีบาตสีม่วงสายแล้วสายเล่าก็ฟาดลงมาจากฟ้าไปยังเหนือสำนักปักษาเขียว ตู้มๆๆ…อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้จะกล่าวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงติดตั้งค่ายกลเอาไว้แล้ว แต่ก็เป็นค่ายกลเขตลวงแห่งหนึ่งและค่ายกลเตือนภัยแห่งหนึ่ง ค่ายกลเข่นฆ่าเพียงหนึ่งเดียวปลดปล่อยประกายกระบี่สายแล้วสายเล่าออกมาขัดขวางอสนีบาตที่ฟาดลงมาเหล่านั้นได้อย่างพอถูไถ


ค่ายกลสะท้านสะเทือนจนแทบถล่ม!


“รีบขอร้องผู้อาวุโสสูงสุดเร็วเข้า”


“จวนจะต้านไม่ไหวแล้ว”


บรรดาบุคคลระดับสูงของสำนักปักษาเขียวเข้าใจในข้อนี้ทันที ประมุขสำนักปักษาเขียวกู่ซางรีบถ่ายเสียงด้วยตนเองในทันที


******


ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญอยู่ภายในห้องเงียบ ห้องเงียบภายในคูหามิได้ตัดขาดเสียงจากภายนอกโดยสิ้นเชิง เขาเองก็ได้ยินประโยคที่ว่า ‘โจรเฒ่าเปยโจ้ว รีบออกมารับความตายจากข้าเร็วเข้า’ ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าเป็นศัตรูของผู้อาวุโสเปยโจ้ว แต่ต่อมาความเคลื่อนไหวก็ใหญญ่โตเกินไปแล้ว ระลอกคลื่นเสียงดังโครมครามทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดการบำเพ็ญลง


“ลำพังแค่ดูจากอานุภาพนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หรืออาจจะสูงกว่าก็เป็นได้”


เขากลับไม่รู้ว่า


ยามนี้ร่างแปรของผู้วิเศษหวั่งหมิงได้ทุ่มสุดกำลังแล้ว! เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น อยู่ห่างกับร่างจริงไกลลิบลับ ความแข็งแกร่งของปณิธานของร่างจริงที่ร่อนลงมาที่นี่มีจำกัด ต้องทุ่มเทสุดชีวิตจึงสามารถสำแดงพลังเช่นนี้ออกมาได้


“ยอดฝีมือเช่นนี้คงจะรู้ว่าข้ารักษาการอยู่ที่สำนักปักษาเขียวกระมัง แล้วยังฝืนดื้อดึงเช่นนี้อีกรึ ไม่รู้จักสถานะของข้าหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขามิได้เปิดเผยสถานะออกไปจริงๆ จะมีก็แต่ขุมอำนาจระดับยอดเท่านั้นที่สามารถวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาได้ ผู้แกร่งกล้าที่ไม่มีเบื้องหลังอันใหญ่โต ตามปกติแล้วคงจะไม่ล่วงรู้


แม้จะมีความคิดมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมีจิตคิดระวังขึ้นมา เหนือผิวของวิญญาณภายในกายสวมอาภรณ์สีขาวซีดเอาไว้ชั้นหนึ่ง ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้


จากนั้นจึงเปิดประตูห้องเงียบออกเสียงดังโครมคราม


สวบ


หลังตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาแล้วก็บินขึ้นมาแล้วทอดสายตามองออกไปทางเงาร่างอาภรณ์สีม่วงไกลออกไป


และในเวลานี้เอง


แสงสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วปรากฏขึ้นตรงหน้า


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจใหญ่ เขาสัมผัสรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามอันแรงกล้า “อะไรกัน ถึงกับบุกรุกเข้ามาในบริเวณของข้าโดยที่ข้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างนั้นเลยหรือ”


สามารถแทรกซึมเข้ามาในบริเวณกฎเกณฑ์ของตนอย่างไร้วี่แววเชียวหรือนี่


“วิ้งงง…”


ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้น


ท้องฟ้าซึ่งเดิมยังมีดวงอาทิตย์อยู่พลันเปลี่ยนแปลงไป เต็มไปด้วยความสับสน อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขียว บรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนักปักษาเขียวต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกอันใหญ่หลวง! แม้แต่ร่างแปรของผู้วิเศษหวั่งหมิงซึ่งปลอมแปลงเป็นผู้แกร่งกล้าทั่วไปของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็รู้สึกหวาดหวั่นเช่นกัน แม้พลังของร่างแปรของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่การควบคุมร่างแปรก็ด้วยปณิธานของเขาเอง เขาสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนก…


แสดงว่าร่างจริงของเขามาแล้วและหวาดหวั่นมากเช่นเดียวกัน“ ใครกัน ที่แท้แล้วคนผู้นี้เป็นใครกัน”


มีแต่ความสับสนอลหม่าน


ภายใต้การกดดันอันน่าหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจ แรงคุกคามของมันยังมากกว่าแสงสีดำเมื่อครู่เป็นสิบเป็นร้อยเท่า


ภายใต้การกดดัน กลางอากาศตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันมีเงาร่างสายหนึ่งถูกบีบบังคับให้ปรากฏกายขึ้น นี่คือสตรีสวมอาภรณ์สีดำนางหนึ่ง นัยน์ตาทั้งสองของนางตายซาก นางจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็น จากนั้นก็เงยหน้ามองออกไปไกล


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทอดสายตามองออกไปไกล


ไกลออกไป…


บุรุษสวมอาภรณ์ดำผู้หนึ่งกำลังเดินมา อาภรณ์สีดำพลิกม้วน กลิ่นอายอันไร้รูปร่างบดบังท้องฟ้า


“จักรพรรดิดำ” สตรีชุดดำซึ่งมีกลิ่นอายตายซากแผ่ออกมาพูดเสียงเย็นชา


“ที่แท้แล้วเป็นประมุขแดนมรณะนี่เอง” จักรพรรดิดำพูดเสียงเรียบ


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ลอบตกใจ ประมุขแดนมรณะหรือ


นี่คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของบรรดาผู้วิเศษลัทธิทิพย์โบราณ และเป็นยอดฝีมือตัวยงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าซึ่งมีชื่อเสียงด้านการลอบสังหารและลอบโจมตี! ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองออกว่า ประมุขแดนมรณะตรงหน้าผู้นี้เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น หากร่างจริงมาเองก็คงไม่ถึงกับถูก ‘จักรพรรดิดำ’ กดดันอย่างง่ายดาย


ทว่าเหตุใดจักรพรรดิดำจึงช่วยตนเล่า


“คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิดำจะอยู่ที่นี่ด้วย หากท่านไม่อยู่ตรงนี้ เกรงว่าวันนี้เขาคงจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว” สตรีชุดดำพูดเสียงเย็นชา


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเบ้ปาก


ล้อเล่นแล้ว


ทั่วร่างของตนมีวัตถุคุ้มกันชีพที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้อยู่เต็มไปหมด ต่อให้ร่างจริงของประมุขแดนมรณะมาเอง ตนก็สามารถต้านทานได้สักหนึ่งหรือสองชั่วขณะจิต! ซึ่งหนึ่งหรือสองชั่วขณะจิตนี้ก็เพียงพอให้ตนสำแดงการส่งถ่ายเป็นระยะทางไกลโพ้นออกมาและหนีเอาชีวิตรอดได้แล้ว!


“ที่นี่คือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ มิใช่สถานที่ของลัทธิทิพย์โบราณของพวกเจ้า” จักรพรรดิดำพูดเสียงเรียบ “นอกจากนี้ หากมีข้าอยู่ พวกเจ้าก็อย่าได้คิดจะทำร้ายสหายน้อยตงป๋อแม้แต่ปลายขน”


สตรีชุดดำและผู้วิเศษหวั่งหมิงที่อยู่ไกลออกไปตกใจ


จักรพรรดิดำผู้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นนี้เชียวหรือ


“ร่างแปรสองร่าง ลัทธิทิพย์โบราณยิ่งใจแคบมากขึ้นทุกทีๆ แล้ว” จักรพรรดิดำส่ายหน้า ปัง! ปัง! ร่างกายของผู้วิเศษหวั่งหมิงที่อยู่ไกลออกไประเบิดออกแล้วมลายหายไป ร่างของสตรีชุดดำประสบกับการกดดันอันไร้รูปร่างจนแตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปทันใดเช่นกัน


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยความตะลึงพรึงเพริด


หากมีข้าอยู่ ก็อย่าได้คิดจะทำร้ายสหายน้อยตงป๋อแม้แต่ปลายขนอย่างนั้นหรือ


สหายน้อยตงป๋อหรือ


ข้าสนิทสนมกับจักรพรรดิดำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ก่อนวันนี้จะมาถึง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบกันเลยนี่นา!


“สหายน้อยตงป๋อ” จักรพรรดิดำเผยรอยยิ้มออกมาแล้วหันมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง


 ………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)