Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 15-16

 ตอนที่ 15 ปีศาจชาดแปดแปร

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเวลาสามแสนปีหลังจากอวี๋จิ้งชิวหลุดพ้นแล้ว


ภายในห้องเงียบในคูหาของผู้อาวุโสสูงสุด ณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ ภูเขาหลังแห่งสำนักปักษาเขียว


ธูปหอมดอกหนึ่งกำลังเผาไหม้ กลิ่นหอมแผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อพลางฝึกฝน ศาสตร์โบราณ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ เงารางของสัตว์ปีกสีแดงเพลิงขนาดมหึมาตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง จากนั้นก็สยายปีกออกมา กลิ่นอายสีแดงเพลิงแผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง ภายในกลิ่นอายสีแดงเพลิงมีโลกลอยอยู่รางๆ


ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมก็สะท้อนก้องไปทั่วทั้งห้องเงียบ ถึงขั้นแพร่ออกไปนอกห้องเงียบแล้วแผ่ไปทั่วทั้งสำนักปักษาเขียวอย่างง่ายดาย ผู้บำเพ็ญทั้งสำนักปักษาเขียวล้วนสัมผัสได้ว่าวิญญาณสั่นสะท้านน้อยๆ จากนั้นก็คืนสู่สภาพปกติแล้ว


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”


“เหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะแพร่ออกมาจากคูหานะ” ยอดฝีมือเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งของสำนักปักษาเขียวบางคนนั้นพอจะแยกแยะได้ พวกเขาอดมองออกไปไกลๆ แวบหนึ่งมิได้ และทำได้เพียงลอบวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น โดยมิกล้าไปรบกวนผู้อาวุโสสูงสุดผู้เร้นลับคนนั้นเลย


ส่วนภายในห้องเงียบ


เมื่อเงารางของปีศาจชาดส่งเสียงร้องแหลมออกมาเป็นครั้งแรก เงารางปีศาจชาดก็ดูเสมือนจริงขึ้นมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเงารางปีศาจชาดด้านหลังเขามีแววตาที่เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงทุกประการ


“ปีศาจชาดแปดแปร ในที่สุดข้าก็ก้าวเข้าสู่การแปรที่สี่ บรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา


แม้จะเพราะระดับขั้นอันสูงส่งยิ่งของตนเป็นเหตุด้วย แต่ในด้านศาสตร์โบราณ เกรงว่าหากข่าวเรื่องความเร็วเผยแพร่ออกไป ก็คงจะเพียงพอให้ทุกฝ่ายอ้าปากค้างได้


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่า นี่เป็นเพราะผลสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมของตนสูงส่งอย่างยิ่งอยู่แล้วด้วย แม้ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ เกี่ยวข้องกับความลับมากมายของเขตลวง และถึงขั้นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงขัดเกลาเล็กน้อยก็สามารถรับรู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว หากมี ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้าน ‘วิถีอากาศ’ ฝึกฝนสายผู้ท่องอากาศ เชื่อว่าก็คงยกระดับได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน


“ขั้นรวมเป็นหนึ่ง”


“มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็นับว่าข้าฝึกฝนปีศาจชาดที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้อย่างแท้จริงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด “ต่อจากนั้นก็คือการแปรที่ห้าและการแปรที่หก…ขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดของปีศาจชาดออกมา ส่วนหลังจากนั้น ก็คือขั้นอลวนแล้ว!”


เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด


เคล็ดวิชาสืบทอดช่วงแรกนั้นเป็นพื้นฐานมาก จากนั้นก็คือปีศาจชาดแปดแปร


การแปรที่หนึ่งก็คือระยะเข้าสู่ขั้นเทพอากาศ!


สามแปรแรก…คือขั้นกำเนิด


สามแปรตรงกลาง…คือขั้นรวมเป็นหนึ่ง


การแปรที่เจ็ดและแปดคือขั้นอลวน


หากฝึกฝนจนถึงขั้นสุด ตามที่เคล็ดวิชาสืบทอดพรรณนาเอาไว้ ก็จะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว ทว่าก็ยังห่างจากขั้นสุดอยู่บ้าง เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดนั้นไม่ทราบนามผู้คิดค้น และเหมือนจะเคยคิดค้นการแปรที่เก้าด้วย ทว่าไม่สำเร็จ


“ปีศาจชาดแปดแปร เป้าหมายสูงสุดของหกแปรแรกก็คือขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดของ ‘ปีศาจชาด’ ออกมา ส่วนการแปรที่เจ็ด…กลับเป็นการปรับปรุงปีศาจชาดจากแก่นกลาง ทำให้ปีศาจชาดเกิดการวิวัฒน์ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “ดีมาก นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้ารอคอย”


การปรับปรุงแก่นกลาง


อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของปีศาจชาด ความร้ายกาจของปีศาจชาดมีอยู่สองด้าน หนึ่งคือกลิ่นอายที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติสามารถทำให้ผู้อื่นจมดิ่งลงไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือโลกเขตลวงที่แฝงเอาไว้ตามธรรมชาติของมัน ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พึงพอใจโลกเขตลวงที่แฝงอยู่ในตัวมันมากสักเท่าใดนัก เพราะเขาเป็นยอดฝีมือที่ผลสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้ว


หากขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของ ‘ปีศาจชาด’ ออกมาได้จนถึงที่สุดแล้ว คาดว่าก็คงมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า และนี่ยังต้องนับรวมกลิ่นอายของตัวมันเองเข้าไปด้วย ดังนั้นในด้านโลกเขตลวง สำหรับยอดฝีมือตัวยงอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว รู้สึกว่าสามารถปรับปรุงได้!


เมื่อปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง…


ปีศาจชาดก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามการปรับปรุง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ก็คือการก้าวเข้าสู่ขั้นอลวน! อันที่จริงความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็พอจะคลำทางขั้นอลวนได้แล้ว เขาพอจะรับรู้และเข้าใจรางๆ แล้ว


“ทว่าศาสตร์โบราณก็น่าพิศวงอย่างแท้จริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม


ที่ตนเปลี่ยนแปลงนั้น


เพียงแค่เปลี่ยนแปลงโลกเขตลวงที่ใจกลางของปีศาจชาดเท่านั้น ส่วนโครงสร้างอื่นๆ ของมันนั้น เขามิได้เปลี่ยนแปลงเลย สิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่ศาสตร์โบราณสร้างขึ้นมาเองตามธรรมชาติ จุดที่พิเศษที่สุดของศาสตร์โบราณ…ก็คือเป็นไปตามพรสวรรค์ มิอาจฝืนขัดเกลาเพื่อให้ทะลุปรุโปร่งได้เหมือนการบำเพ็ญระบบทิพย์หรือระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เนื่องจากมีหลายด้านที่มิอาจขัดเกลาจนทะลุปรุโปร่งได้


เช่นพวกประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สามารถส่งถ่ายเป็นระยะไกลได้ และถึงขั้นสามารถสำรวจระยะทางอันไกลโพ้นได้ พวกเขาก็มิอาจศึกษาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ให้ทะลุปรุโปร่งได้เช่นเดียวกัน


สามารถแก้ไขกลเม็ดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้สักเล็กน้อย แต่มิอาจค้นคว้าได้เลย


เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดก็เป็นเช่นนี้ มีเพียงโลกเขตลวงเท่านั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถแก้ไขได้ ส่วนลักษณะโครงสร้างหรือกลิ่นอายที่แผ่ออกมาของปีศาจชาด…สิ่งเหล่านี้มีเองตามธรรมชาติ เนื่องจากของเขตของเขตลวงที่ปลดปล่อยออกมากว้างขวางพอ เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ ก็จะมีส่วนช่วยวิญญาณอย่างใหญ่หลวง และนี่ก็คือสาเหตุที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกมัน


“บัดนี้วิญญาณข้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่ยังไม่มีศาสตร์โบราณถึงหกเท่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง


ความแข็งแกร่งของวิญญาณ


ต่อให้สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา บัดนี้ตนสามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ห้าสายออกมาได้แล้ว!


“ฮ่าฮ่า วัตถุล้ำค่าที่ต้องการก็เตรียมไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จะฝึกให้ถึงปีศาจชาดหกแปรคงจะไม่ติดขัดอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยให้ถึงวันที่ตนบรรลุปีศาจชาดหกแปรเป็นอันมาก ถึงตอนนั้นวิญญาณคงจะแข็งแกร่งกว่าวันนี้มากโข อีกทั้งในเวลานั้นก็สามารเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในปีศาจชาดได้แล้ว เนื่องจากจะต้องขุดค้นและเข้าถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ของปีศาจชาดให้หมด จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างซึ่งเป็นแก่นแท้ของโลกเขตลวงของมันได้


“กลับไป”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น กลางอากาศเบื้องหน้าบิดเบือนไป เมื่อสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ก้าวเข้าไปในนั้นแล้วจากไป


……


เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงจวนจ้าวเหนือทะเลหมอกดำแล้ว


เนื่องจากตนได้ทำเครื่องหมายมิติเอาไว้ในจวนผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียวจึงสามารถพุ่งตรงมาได้อย่างรวดเร็ว! เนื่องจากพลังของตนสูงส่งอย่างยิ่ง การฝึกฝนและการทดลองกระบวนท่าต่างๆ จึงสามารถก่อให้เกิดแรงกดดันและความเสียหายมากมายต่อจักรวาล ดังนั้นบำเพ็ญและทดลองในโลกทิพย์จะดีกว่า! ส่วนการรับรู้นั้น สามารถทำในจักรวาลบ้านเกิดได้


“ท่านพ่อ” ตงป๋ออวี้ที่กำลังฝึกฝนอยู่เงยหน้ามอง ก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไป


“บำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะ ท่านแม่เจ้าบุกเบิกวิถีขึ้นมาได้แล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยยิ้มๆ


นับตั้งแต่อวี๋จิ้งชิวหลุดพ้นเป็นต้นมา พลังงานของหัวใจหลิวเมฆาแดง ต่อให้เป็นสำหรับเทพแท้ทั่วไปที่เพิ่งจะหลุดพ้นก็สามารถคงอยู่ได้หลายร้อยล้านปีเช่นเดียวกัน นางหลุดพ้นได้เพียงแสนกว่าปีก็บุกเบิก ‘วิถีแห่งกาลเวลา’ ขึ้นมา แม้การที่ภรรยาบำเพ็ญภายใต้สภาวะรู้แจ้งยิ่งยวด จนสามารถบุกเบิกวิถีได้อย่างรวดเร็วจะไม่นับว่าเกินกว่าความคาดหมายสักเท่าใดนัก แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าภรรยาจะบุกเบิกพวกวิถีแห่งน้ำแข็งขึ้นมาได้…คิดไม่ถึงว่าจะบุกเบิกวิถีแห่งกาลเวลาขึ้นมา!


******


วันคืนของตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนคลายและเนิบช้า เขาบำเพ็ญและรับรู้อย่างไร้พันธะ เขาไม่รีบร้อนในการบำเพ็ญแต่อย่างใด เมื่อรู้แจ้งแล้วก็ไปยังสำนักปักษาเขียวแห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์เพื่อทดลองกระบวนท่าหรือศาสตร์โบราณ เมื่อบรรลุแล้ว โดยทั่วไปก็จะออกไปนอกด่านเป็นเพื่อนภรรยา และชี้แนะบุตรธิดาและศิษย์ทั้งหลาย บางครั้งยังถึงขั้นสั่งสอนอย่างเปิดเผย บรรดาผู้ปกครองและผู้เคารพ


เขาไร้พันธะและอิสรเสรีเช่นนี้ พลางเฝ้ามองดูความขัดแย้งต่างๆ ภายในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน


ทว่าเขาไร้พันธะ


ในความมืดกลับมีผู้แกร่งกล้าบางคนที่ไม่อยากให้เขาไร้พันธะต่อไป


……


ณ โลกทิพย์โบราณ


ภายในโถงตำหนักอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ผู้วิเศษหวั่งหมิงในอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างยืนอยู่ตรงนั้น น้ำภายในสระไกลออกไปเบื้องหน้าค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง


“หวั่งหมิง หาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ” ทั้งร่างของเงาร่างสายน้ำนี้มีลำแสงสีเงินไหลริน แรงกดดันอันไร้รูปร่างแผ่กำจายออกมา แม้จะเป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่ง ผู้วิเศษหวั่งหมิงก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงคุกคาม เนื่องจากนี่คือยอดฝีมือ ‘ขั้นสุดยอดอลวน’ ในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ตอนนั้นคำอธิบายเกี่ยวกับพลังของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นค่อนข้างจะเลือนรางอยู่บ้าง ขั้นสุดยอดอลวน…หมายถึงน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง หรืออาจถึงขั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่บรรลุถึงขั้นสุดในบางด้าน ซึ่งก็คือพลังระดับเจดีย์ดาวเก้าชั้น


จำนวนชั้นของเจดีย์ดาวจำแนกระดับพลังได้แม่นยำมาก จนวันนี้นับได้ว่าเป็นมาตรฐานไปแล้ว


“ประมุขนรกภูมิ” ผู้วิเศษหวั่งหมิงเคารพนบนอบเป็นอันมาก “ข้าหวังจะได้ล่วงรู้พิกัดของ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญในตอนนี้ ขอประมุขนรกภูมิโปรดช่วยเหลือด้วย นี่คือศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อน”


พูดพลางมอบศิลาปฐมโลกาให้แต่โดยดี


ภายในทั้งลัทธิทิพย์โบราณ หากพูดถึงการสะกดรอยแล้ว นอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเหนือใคร รองลงมาก็คือประมุขนรกภูมินั่นเอง! นี่คือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งท่านหนึ่ง ซึ่งถึงขั้นสามารถมองเห็น ‘อนาคต’ ได้ แน่นอนว่าเป็นอนาคตที่มีขีดจำกัด!


“ข้าจะลองดูก็ได้”


ประมุขนรกภูมิพยักหน้าเบาๆ


วิ้ง


ทั่วโถงตำหนักอันมืดมิดพลันมีพละกำลังอันไร้รูปร่างบิดเบือนไป ผู้วิเศษหวั่งหมิงมองดูแต่โดยดี เขารู้ว่านี่คือเคล็ดลับที่ร่างจริงของประมุขนรกภูมิกำลังสำแดงออกมา ที่นี่คือสถานที่บำเพ็ญของประมุขนรกภูมิ เพียงแต่ตามปกติแล้วร่างจริงของเขาจะไม่ปรากฏกาย จะส่งเพียงแค่ร่างแปรออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้น


“ฟิ้ว…” กลางอากาศค่อนๆ มีภาพอันเลือนรางก่อตัวขึ้นมา ดูเหมือนกับภาพของจวนขนาดมหึมาหลังหนึ่ง


ทันใดนั้น…


ภาพอันเลือนรางนี้ก็พลันกลายเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่ง


ชายชราหลังค่อมมองมาด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “เฮอะ ไม่เหนือไปกว่าความคาดหมายของข้าจริงๆ ด้วย พวกเจ้าลัทธิทิพย์โบราณโง่งมกล้ามาทำลายความตั้งใจของผู้อาวุโสวังทวีสูญอย่างข้า เคราะห์ดีที่ข้าเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว”


ปัง


ทันใดนั้นภาพก็พลันแตกสลายไป


เงาร่างซึ่งมีลำแสงสีเงินไหลรินอยู่กลางสระน้ำ นัยน์ตาฉายแววเย็นชาออกมารางๆ เขาพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “เทียนอวี๋!”


 ………………………………


ตอนที่ 16 วันคืนอันสุขสราญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หากพูดถึงวิธีการสะกดรอยของลัทธิทิพย์โบราณแล้ว ประมุขนรกภูมินั้นเป็นรองเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น! ที่ว่ากันว่าแต่ละคนมีเคล็ดวิชาที่ตนถนัด ในด้านการสะกดรอย เกรงว่าเทพจักรวาลกว่าครึ่งคงจะสู้ยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าอย่าง ‘ประมุขนรกภูมิ’ มิได้! แต่บัดนี้บุคคลระดับผู้นำของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อย่าง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ กลับไม่อยู่ในจำนวนนั้น


ผู้นำของการบำเพ็ญระบบทิพย์อย่าง ‘บรรพชนทิพย์’ มีวิธีการที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมากมาย ทั้งค่ายกล การหลอมอาวุธ การใช้พิษ…มีหลายด้านที่เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาเทพจักรวาล


แม้บรรพชนเทียนอวี๋จะสู้บรรพชนทิพย์มิได้ แต่ในฐานะที่เป็นผู้นำของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ผลสำเร็จในด้านการหลอมอาวุธ ค่ายกลและด้านอื่นๆ ก็สูงเสียยิ่งกว่าสูง ดังเช่นกลเม็ดในการสะกดรอย บรรพชนเทียนอวี๋ก็สามารถปิดบังได้อย่างง่ายดาย


“ประมุขนรกภูมิหรือ” ผู้วิเศษหวั่งหมิงด้านข้างอดถามเสียงเบามิได้ เมื่อครู่เทพจักรวาลปรากฏกายขึ้น ก็ยังคงทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน เขาจัดเป็นระดับฐานของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเลยทีเดียว


“เฮอะ ตาเฒ่าเทียนอวี๋ผู้นี้ เป็นเพียงระดับขั้นที่สามของเทพจักรวาลเท่านั้น บรรลุมิได้เลย แต่กลับค้นคว้าวิธีการมากมายหลากหลาย” ร่างแปรสายน้ำของประมุขนรกภูมิเปล่งเสียงเย็นชาออกมา “เขาเตรียมการไว้ก่อนแล้ว คงจะมอบสมบัติล้ำค่าที่ไว้สำหรับปกปิดการตรวจสอบของข้าให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องพกติดตัวไว้เหมือนกันแน่นอน! การสำแดงเคล็ดลับของข้านี้ก็ถูกบรรพชนเทียนอวี๋พบเข้าแล้ว”


“ครั้งนี้ทำอย่างไรดีเล่า” ผู้วิเศษหวั่งหมิงกล่าว “ทำอย่างไรจึงหาพิกัดของตงป๋อเสวี่ยอิงพบได้เล่า”


“คิดจะหาให้พบว่าเขาอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ หากเจ้าแน่จริงล่ะก็ ไปขอให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลงมือโดยตรงเสียสิ” ประมุขนรกภูมิเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง


ผู้วิเศษหวั่งหมิงเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาทันที


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ


แม้จะเกิดความภักดีจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ก็หวาดกลัวเป็นอันมาก


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเหนือใครนั้นไม่ชอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปรบกวนเขาเป็นที่สุด! กะอีแค่เจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งคนเดียว…ก็จะไปขอร้องจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ ผู้วิเศษหวั่งหมิงคิดดูแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นจนจิตใจไม่สงบ เขามิกล้าจินตนาการถึงปฏิกิริยาโต้ตอบของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เลย


“เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ข้าจะกล้าไปรบกวนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียที่ไหนกัน” ผู้วิเศษหวั่งหมิงกล่าว


“เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” ประมุขนรกภูมิพูดเสียงเรียบ


ลัทธิทิพย์โบราณมีศัตรูตัวฉกาจจำนวนนับไม่ถ้วน ขุมอำนาจอื่นไม่มีทางช่วยลัทธิทิพย์โบราณสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว!


ต่อให้เป็นอีกลัทธิหนึ่งในสองลัทธิใหญ่อย่าง ‘ลัทธิจอมมารดา’ อย่ามองว่าโลกทิพย์ทั้งสามเต็มไปด้วยความอาฆาตต่อสองลัทธิใหญ่เลย อันที่จริงแล้ว ระหว่างลัทธิจอมมารดากับลัทธิทิพย์โบราณก็มิได้ปรองดองกันแต่อย่างใด จอมมารดาก็หวังมาตลอดว่าจะมีสักวันที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตายตกไป!


ต่อให้ซ่อนเร้นตัวตน ทุ่มเทศิลาปฐมโลกามูลค่ามหาศาลเพื่อเชิญสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘บรรพชนทิพย์’ หรือ ‘ประมุขเหยากวง’ มาช่วยสะกดรอย แต่เมื่อพวกเขาตรวจสอบดูก็จะพบว่าบรรพชนเทียนอวี๋กำลังปิดบังอยู่…ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ย่อมต้องเห็นแก่หน้าบรรพชนเทียนอวี๋อยู่แล้ว


“อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็แค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนเดียวเท่านั้น ไยจึงต้องใส่ใจด้วยเล่า” ประมุขนรกภูมิพูดดเสียงเรียบ “ขั้นรวมเป็นหนึ่งมิได้ก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ต่อให้เขาบรรลุแล้ว คาดว่าในภายหน้าก็คงจะมีพลังแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปดเท่านั้นเอง”


ในฐานะที่ประมุขนรกภูมิเป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า


จึงย่อมมีคุณสมบัติที่จะเหยียดหยาม


“เขารวดเร็วนัก มิอาจดูถูกได้ หากสำเร็จเป็นขั้นอลวน อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด หรืออาจถึงขั้นสูงกว่านั้น และจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของผู้วิเศษแห่งลัทธิทิพย์โบราณทั้งหลาย! เพราะถึงอย่างไรในบรรดาผู้วิเศษทั้งหลาย…ผู้ที่สามารถสู้ประมุขนรกภูมิได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้” ผู้วิเศษหวั่งหมิงกล่าว


“อื้ม”


ประมุขนรกภูมิพูดเสียงเรียบว่า “เอาล่ะ ข้าขอเตือนพวกเจ้า ในเมื่อตาเฒ่าเทียนอวี๋ผู้นั้นเตรียมการเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะครั้งนี้ข้าสำแดงเคล็ดลับออกมาก็ถูกเขาพบเข้าจนได้…ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นจะต้องระแวดระวังขึ้นเป็นอันมากอย่างแน่นอน! เกรงว่าแผนการของพวกเจ้าคงจะต้องเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว”


“ข้าและคนอื่นๆ เข้าใจแล้ว” ผู้วิเศษหวั่งหมิงพยักหน้า


“ไปเถิด” ประมุขนรกภูมิกำชับเสียงเรียบ


จากนั้นเงาร่างซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสายน้ำก็สลายหายไปในพริบตา สายน้ำร่วงกลับลงไปในสระอีกครั้ง


ผู้วิเศษหวั่งหมิงคำนับอย่างนบนอบ จากนั้นก็ถอยออกไป เพียงแต่ในใจของเขาไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรการทุ่มเทศิลาปฐมโลกาเพื่อเชิญประมุขนรกภูมิ…ท้ายที่สุดก็ยังล้มเหลวอยู่ดี แม้เคล็ดลับจะล้มเหลว ศิลาปฐมโลกานี้ ประมุขนรกภูมิก็ไม่มีทางคืนให้!


******


ณ จวนจ้าวเหนือทะเลหมอกดำแห่งจักรวาลบ้านเกิด


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ ณ จุดสูงสุด พลางมองดูศิษย์ตรงหน้าทั้งลองประลองยุทธ์กัน ทันใดนั้นคำสั่งส่งสารก็ได้รับสารหนึ่ง คือสารที่บรรพชนเทียนอวี๋ส่งมานั่นเอง


เมื่อตรวจสอบดู


“ลัทธิทิพย์โบราณหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้อง “กำลังสะกดรอยข้าหรือนี่ เคราะห์ดีที่วันนั้นขณะต่อกรกับหัวหน้าใหญ่ของผาจอมมาร ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ได้มอบวัตถุคุ้มกันชีพให้ข้าด้วยตนเอง”


วัตถุรักษาชีวิตเหล่านี้ล้วนมอบให้แค่ชั่วคราว ในภายหน้าหากสำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้วก็ต้องคืนกลับไป


เนื่องจากเมื่อรวมกันแล้วมูลค่าก็เกินกว่าห้าพันศิลาปฐมโลกาไปแล้ว เมื่อฝึกขึ้นมาก็ไม่ง่ายเลย สำหรับตนในตอนนี้แล้วก็มีประโยชน์มหาศาล แต่เมื่อสำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้วก็จะไม่มีประโยชน์ต่อตนเลย! กฎของวังทวีสูญ…สมบัติล้ำค่าต้องหามาด้วยตนเอง ดังนั้นตอนนี้จึงให้ตน ‘ใช้ชั่วคราว’ เท่านั้น


“ขอบคุณท่านบรรพชน ข้าจะระวังอย่างแน่นอนขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบรับผ่านคำสั่งส่งสาร


ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก


เขามีความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม


นอกจากวัตถุคุ้มกันชีพอันล้ำค่าที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้แล้ว การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของเขาก็ทำให้หลบหนีได้ในชั่วพริบตา! วิธีการหลบหนีเช่นนี้ เทพจักรวาลทั่วไปล้วนมิอาจขัดขวางได้


“ท่านบรรพชนมอบสมบัติล้ำค่าให้ไว้ติดตัว ทั้งยังมีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอีกด้วย! นอกจากเทพจักรวาลจะมาเยือนด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้วก็จะทำอะไรข้ามิได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในตนเองมาก “ทว่าข้าก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยจะดีกว่า การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ยังไม่เหมาะที่จะเปิดเผยออกมา”


ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้แล้วหรือ


อย่างน้อยในรายงานที่เปิดเผยกันทั่วไปก็ไม่เคยมีบันทึกเอาไว้! ทันทีที่ข่าวเรื่องตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ เกรงว่าคงจะดึงดูดความสนใจของเหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายซึ่งอาจถึงขั้นช่วงชิงวิญญาณมาและตรวจสอบความทรงจำของวิญญาณ!


……


ผ่านไปปีแล้วปีเล่า


วันคืนช่างสุขสราญหาใดเปรียบ เหมือนตอนนั้น เพื่อที่จะทำให้ภรรยาหลุดพ้น เขาก็มีความรู้สึกเร่งร้อน แม้แต่การบำเพ็ญก็ยังต้องไปที่ ‘ตำหนักกาลเวลา’ เพื่อใช้เวลาเสี้ยวหนึ่งให้เหมือนกับร้อยเสี้ยว! ตอนนี้ภรรยาหลุดพ้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เนิบช้าลงแล้ว ระดับจิตใจก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขาชี้แนะบุตรขายบุตรสาวและศิษย์ทั้งหลาย ค้นคว้าวิถีโลกเทียม วิชาลับผู้ท่อง และเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด…


เมื่อไม่มีความรู้สึกเร่งร้อน วันคืนเหล่านี้ก็นับเป็นการดื่มด่ำ


นับตั้งแต่ลัทธิทิพย์โบราณล้มเหลวในการสะกดรอยตนในครั้งก่อน ก็มิได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีก


เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าล้านกว่าปีแล้ว


“โอ้ ในที่สุดก็รู้แจ้งร่างแปรที่หกของปีศาจชาดแปดแปรแล้ว” ณ จวนจ้าวเหนือทะเลหมอกดำ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้แจ้งอย่างกะทันหันจึงเผยสีหน้ายินดีออกมา จากนั้นเขาสาวเท้าออกไปก็ส่งถ่ายเป็นระยะทางอันไกลโพ้น แล้วส่งตรงเข้าไปภายในห้องเงียบของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักปักษาเขียวในโลกทิพย์นิจนิรันดร์


เขาไปมาอย่างไร้สุ้มเสียง บรรดาศิษย์ของสำนักปักษาเขียวจึงไม่รู้เลย


“ฟิ้วววว…”


ภายในห้องเงียบ


รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงมีก้อนผลึกสีแดงจำนวนมากและไม้สีดำจำนวนหนึ่งวางเรียงรายอยู่ พลังงานสายแล้วสายเล่าถูกร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงดูดซับเข้าไป ด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงมี ‘ปีศาจชาด’ วิหคเทพสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นมา มันกำลังสยายปีกขนาดมหึมา กลิ่นอายก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ก้อนผลึกสีแดงและไม้สีดำทั้งหมดก็กลายเป็นผุยผงไปจนสิ้น ผงเหล่านี้ก็กลายเป็นเศษขยะไปเท่านั้นเอง


ไม่นานนัก


‘ปีศาจชาด’ วิหคเทพสีแดงเพลิงด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งเสียงคำรามดังก้อง ปีกของมันพัดกระพือ ลำแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กำจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง


“เก็บ” ร่างจำแลงปีศาจชาดนี้หลอมรวมเข้าไปในกายของตงป๋อเสวี่ยอิง


ตรงหว่างคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงรวมตัวกันเป็นรอยประทับสีแดงเพลิงของปีศาจชาด รอจนตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นมา รอยประทับนี้จึงค่อยๆ เร้นเข้าไปในส่วนลึกของผิวหนัง


“ในที่สุดก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดจนถึงขั้นสุดของขั้นรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว สามารถขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของปีศาจชาดได้ทั้งหมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “ต่อไปก็สามารถแก้ไขใจกลางของปีศาจชาดให้มันวิวัฒน์ไปได้แล้ว”


 ……………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)