Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 13-14
ตอนที่ 13 จุดเริ่มต้นของศาสตร์โบราณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์โยนกำไลเก็บวัตถุอันหนึ่งมาโดยตรงพลางถ่ายเสียงพูด “นี่คือสิ่งที่ท่านบรรพชนให้ข้ามาส่งให้ เจ้ามาเตร็ดเตร่อยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็ถือเป็นเรื่องดี บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาต่างก็อยู่กันที่นี่! ก็ยังนับได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย เพียงแค่ต้องระวังแผนลับที่ซ่อนเงื่อนบางอย่างเท่านั้น…สมบัติล้ำค่าที่ท่านบรรพชนส่งมาก็เพื่อให้เจ้าป้องกันตัวเอง เจ้าก็เก็บมันไว้ให้ดีๆ เถิด”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับมาโดยมิได้ปฏิเสธ
“ใช่แล้ว สำนักของบรรพชนโลกาก็ส่งข่าวมา พวกเขาตรวจสอบ ‘จ้าวทะเลสาบชี่หู’ หัวหน้าอีกคนหนึ่งของผาจอมมารแล้ว แน่ใจว่าเขามิใช่สมาชิกของสองสำนักใหญ่ ไต่สวนดูรอบหนึ่งแล้วก็มิได้มีปัญหาแต่อย่างใด” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูด
“หลังจากไต่สวนแล้วเล่า ฆ่าไปแล้ว หรือปล่อยตัวไปแล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ปล่อยตัวไปแล้ว” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดยิ้มๆ “ทำไมหรือ เจ้าคิดว่าเพราะจ้าวทะเลสาบชี่หูสำแดงค่ายสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ก็เลยสมควรถูกฆ่าอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายนักที่ที่นี่เป็นสถานที่ของบรรพชนโลกา สามารถพบเห็นค่ายสังหารกลืนกินได้อย่างปกติยิ่ง สำนักของบรรพชนโลกาค้นพบว่าจ้าวทะเลสาบชี่หูไม่มีปัญหาอะไร ก็ย่อมปล่อยตัวไปอยู่แล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบขมวดคิ้ว
ถ้าหากจ้าวทะเลสาบชี่หูถูกฆ่า
เช่นนั้นก็นับได้ว่าตนได้ทำตามข้อแลกเปลี่ยนที่สัญญากันเอาไว้สำเร็จแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้ถูกปล่อยตัวออกมา… ในอนาคตตนยังต้องหาโอกาสจัดการจ้าวทะเลสาบชี่หู! ด้วยความสามารถในการปกป้องชีวิตของจ้าวทะเลสาบชี่หู การสังหารเขานั้นย่อมมิใช่เรื่องง่ายเลย
……
ข้อตกลงทั้งสามเรื่อง เหลือเพียงแค่จ้าวทะเลสาบชี่หูซ่อนตัวอยู่ภายในที่มั่นของผาจอมมาร เกรงว่าหลังจากการต่อสู้คราวนี้แล้วคงจะไม่ออกมาอีกในระยะเวลาอันสั้นแน่
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเที่ยวท่องไปทั่วทุกหนแห่งภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ เขาไม่รีบร้อนที่จะกลับไปยังจักรวาลภูมิลำเนา เพราะข้อตกลงสิ้นสุดลงชั่วคราว ภรรยากำลังปลีกวิเวกบำเพ็ญ ตนก็ต้องรอคอยอย่างโง่งมอย่างนั้นหรือ ดังนั้นเขาจึงคิดวางแผนบำเพ็ญศาสตร์โบราณ และด้วยพลังยุทธ์ของตนในตอนนี้ พอบำเพ็ญขึ้นมาแล้วจะต้องมีความเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่แน่
จักรวาลภูมิลำเนาเปราะบางเกินไป หากไม่ระวัง ยุคจักรวาลหนึ่งก็อาจสิ้นสุดลง เริ่มฟูมฟักอีกยุคหนึ่งขึ้นมาได้
ดังนั้นมิอาจควบคุมได้ ก็บำเพ็ญอยู่ข้างนอกดีกว่า
“ศาสตร์โบราณ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงใคร่ครวญ
นี่คือศาสตร์การบำเพ็ญที่ดั้งเดิมที่สุด ที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม เหล่าดวงวิญญาณที่อ่อนแอคิดอยากจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เรียนรู้จนสามารถใช้พลังฟ้าดินของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมบ่มเพาะตนเอง ค่อยๆ เหยียบย่างไปบนวิถีของศาสตร์โบราณ! ถึงแม้ว่าในภายหลังจะมีผู้ที่พรสวรรค์ล้ำเลิศคิดค้นศาสตร์อื่นๆ ออกมาอีก แล้วแพร่หลายไปเป็นวงกว้าง อย่างเช่นระบบการบำเพ็ญสายโลหิต ระบบจอมมารดา ระบบการบำเพ็ญทิพย์ และระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุดเป็นต้น…
ทว่าต่างก็มิอาจบดบังความล้ำเลิศของศาสตร์โบราณได้เลย
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น!
ชมดูสถานที่ใดๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านของมหาโลกทิพย์ทั้งห้า!
หลังจากกลายเป็นเทพอากาศแล้วก็ยังสามารถบำเพ็ญเคล็ดวิชาร่างแยกได้เช่นเดิม!
การพยากรณ์!
การแปลงร่าง!
เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ในอดีต!
กลับชาติมาเกิด!
……
ความสามารถอันเกินจินตนาการต่างๆ ที่ระบบการบำเพ็ญอื่นๆ ย่อมมิอาจทำได้ ทว่าศาสตร์โบราณกลับสามารถทำได้! ดังนั้นผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็ศึกษาศาสตร์โบราณ เพราะว่า ‘พรสวรรค์’ ของศาสตร์โบราณมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากไม่มีพรสวรรค์ที่ดี ฟูมฟักมากเพียงใดก็มีขีดจำกัด ถ้าหากตนเองโชคดี มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แน่นอนว่าต้องบำเพ็ญอย่างสุดกำลัง
“พรสวรรค์ตื่นรู้ การเริ่มต้นเหนือธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงติดตั้งค่ายกลเตือนภัยภายในส่วนลึกของภูเขาแห่งหนึ่ง ค่ายกลประกอบขึ้นจากโลกเทียม แผนภาพคลื่นจาน และความเร้นลับของอากาศ ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่าตน ก็ไม่แน่ว่าทางด้านวิถีระลอกคลื่นและวิถีโลกเทียมจะเทียบกับตนได้ ทางด้านห้วงอากาศ หลังจากที่ตนสามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ ค่ายกลเตือนภัยเป็นส่วนประกอบที่ผ่านทะลุไปถึงใจกลางห้วงอากาศ คิดจะผ่านค่ายกลเตือนภัยไปอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงนั้นยากเย็นเหลือเกิน
เขาเริ่มต้นทดลองบำเพ็ญในทันที
ถ้าหากพลังยุทธ์อ่อนแอมาก กลายเป็นว่าก้าวแรกของศาสตร์โบราณกลับง่ายดาย
พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งเกินไป วิญญาณและร่างกายก็แข็งแกร่งเหลือเกิน พรสวรรค์ตื่นรู้กลับกลายเป็นก้าวที่ยากเย็นอย่างที่สุด
“ปัง!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นพลังฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ก็เริ่มถูกดูดซับเข้าไปภายในร่างกายของเขา ร่างกายของเขาผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ วิญญาณก็ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ปล่อยให้พลังฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายภายใต้ ‘เคล็ดวิชาปลุกวิญญาณ’
เคล็ดวิชาปลุกวิญญาณยังถูกเรียกว่า ‘เคล็ดวิชาตื่นรู้’ ‘เคล็ดวิชาเบิกฟ้า’ และอีกหลายชื่อเรียก เป็นสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสยุคแรกของศาสตร์โบราณปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว จนเป็นรูปแบบที่พัฒนาที่สุดในปัจจุบัน ภายใต้การเหนี่ยวนำของเคล็ดวิชาปลุกวิญญาณ จึงสามารถมีประสิทธิภาพในการขุดค้นพบศักยภาพของร่างกายและวิญญาณ จนตื่นรู้พรสวรรค์อันแข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาได้ในที่สุด!
แน่นอนว่าก็มีผู้ฝึกศาสตร์โบราณที่ตื่นรู้พรสวรรค์มากกว่าหนึ่งชนิด
มีพรสวรรค์มากก็มิได้หมายความว่าจะกล้าแกร่ง ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องดูว่าจะสามารถเดินอยู่บนเส้นทางแห่งพรสวรรค์ของตนได้นานเพียงใด
ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ… ไร้ซึ่งความโศกศัลย์ใดๆ…
เต็มไปด้วยความเวิ้งว้างว่างเปล่า…
มิอาจรู้สึกได้ถึงร่างกาย วิญญาณปล่อยวางอย่างหาใดเปรียบ ระยะทางที่รับสัมผัสแผ่ขยายไม่หยุดหย่อน รับสัมผัสได้ถึงป่าเขาอันลึกล้ำที่ตนอาศัยอยู่แห่งนี้ ทั้งยังรับสัมผัสถึงผืนหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ด้านนอกภูเขาลึก การรับสัมผัสของวิญญาณแผ่ขยายไม่หยุด แผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง แผ่ขยายไปทั่วทุกทิศทุกทาง… ระยะทางที่วิญญาณรับสัมผัสได้ไกลกว่าอาณาบริเวณของเคล็ดวิชาลับใดๆ ที่ตนสำแดงจะสามารถตรวจสอบได้
สำแดงแผนภาพคลื่นจานก็ยังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของอาณาบริเวณที่สำแดงตอนนี้เลย
แต่ยามที่สำแดงเคล็ดวิชาปลุกวิญญาณนั้นจดจ่ออย่างสมบูรณ์ ขุดค้นพบศักยภาพของร่างกายและวิญญาณ ในเวลานี้วิญญาณคล้ายจะหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับฟ้าดิน นี่จึงจะสามารถรับสัมผัสได้อย่างกว้างไกลหาใดเปรียบ ใช้งานในยามต่อสู้
“พรึ่บ”
ราวกับอยู่กลางทะเลทรายอันแห้งแล้งแล้วมีน้ำพุสายหนึ่งพรั่งพรูออกมาในทันใด
และราวกับท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิดแล้วมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งส่องสว่างขึ้นมาโดยพลัน
ศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายและวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกขุดค้นพบออกมา ก่อร่างเป็นพรสวรรค์อันสมบูรณ์แบบชนิดหนึ่ง
“ฟิ้ว…”
กลางหุบเขาลึก ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในเรือนไม้มากว่าหมื่นปีแล้วพลันแผ่กำจายกลิ่นอายสีแดงจางๆ ออกมา แผ่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง กลิ่นอายนี้แฝงไว้ด้วยพลังดึงดูดอันแกร่งกล้ายิ่ง เมื่อใดที่ได้กลิ่น ผู้ที่ระดับจิตใจอ่อนแอสักหน่อยก็อาจจมดิ่งลงไปท่ามกลางเขตลวงโดยไม่รู้ตัว
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
“ตื่นรู้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของวิญญาณและร่างกายของตนในทันทีแล้วก็อดที่จะตกตะลึงอยู่บ้างมิได้ “เคล็ดปีศาจหรือ”
วิญญาณและร่างกายของตนต่างก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย กลิ่นอายที่ร่างกายแผ่กำจายออกมานั้นมีพลังดึงดูด กลิ่นอายที่วิญญาณปล่อยออกมาสามารถดึงดูดคนให้เข้ามาสู่เขตลวงได้!
ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ซึ่งหน้าแต่อย่างใด เป็นวิธีการของเขตลวงเพียงอย่างเดียวล้วนๆ
“ฮ่าฮ่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะมิได้ “ดูท่าทางข้าจะมีพรสวรรค์ทางด้านโลกเทียมอย่างแท้จริง แม้กระทั่งบำเพ็ญศาสตร์โบราณ สุดท้ายก็ยังคงปรากฏพรสวรรค์เช่นนี้อยู่ดี”
“อืม ต่อไปจะบำเพ็ญอย่างไรดีหนอ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด
แน่นอนว่าพรสวรรค์
ก็จำเป็นต้องครุ่นคิดหนทางต่อไปในอนาคตแล้ว มีหนทางมากมายหลายสาย วันหน้าหากบ่มเพาะเป็นอย่างดี พลังยุทธ์ก็ย่อมต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
“พรสวรรค์นี้ เพราะว่าเชี่ยวชาญการควบคุมเขตลวงโดยกำเนิด วิญญาณก็ต้องแกร่งกล้ากว่าผู้ที่อยู่ในระดับขั้นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเงียบๆ “เช่นนั้นก็เลือก ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ ก็แล้วกัน”
ปีศาจชาดเป็นชื่อของสัตว์ประหลาด
เป็นสัตว์ประหลาดที่เชี่ยวชาญการควบคุมเขตลวง เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด เป็นเคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์หนึ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบในตำราจำนวนนับไม่ถ้วนที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ ถึงแม้จะนับเป็นระดับกลางในบรรดาสิ่งเหล่านั้น แต่กลับเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด เคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์นี้เมื่อบำเพ็ญไปถึงจุดสูงสุดแล้วสามารถไปถึงขั้นอลวนได้! สำหรับ ‘เทพจักรวาล’ ที่สูงกว่านั้นหรือ ตั้งแต่วันเวลาของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจนถึงปัจจุบัน มีเทพจักรวาลทั้งหมดมากน้อยสักเท่าใดกัน
แล้วศาสตร์โบราณนั้นจะมีอยู่ทั้งหมดสักเท่าใดกัน ในบรรดาเคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณ ที่สามารถไปถึงระดับเทพจักรวาลได้นั้นมีน้อยเหลือเกิน ที่ตนรู้ก็มีอยู่เพียงสามชนิดเท่านั้น ช่างไม่เหมาะสมกับตนเอาเสียเลย
“ในบรรดาเทพจักรวาล มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ตนเป็นผู้เบิกทาง อย่างเช่นพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนชาง ต่อให้เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดเป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาสืบทอดระดับขั้นอลวน ในอนาคตข้าก็สามารถเบิกทางด้วยตนเองได้ ทำให้มันยกระดับไปถึงระดับเทพจักรวาลให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
เขายังคงพออกพอใจในเคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์นี้เป็นอย่างยิ่ง
เหมาะสมกับตนเองที่สุด และมีส่วนช่วยเหลือตนมากที่สุด
……………………………………………..
ตอนที่ 14 บรรลุและเป็นนิรันดร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีศาจชาด สัตว์ประหลาดแห่งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมมีสีแดงเพลิงตลอดร่าง มีรูปร่างเป็นปักษาชาติตระหง่านกลางเวหา กลิ่นอายที่ปีกทั้งคู่แผ่ออกมายามกระพือปีก เมื่อได้กลิ่นแล้วผู้ที่พลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอก็จะเข้าไปสู่กับดัก จมดิ่งอยู่ในความฝันอันไร้ที่สิ้นสุด มันหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งอยู่บ่อยๆ พื้นที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดบริเวณรอบๆ ต่างก็ติดอยู่ในเขตลวงทั้งหมด ถ้าหากมันอารมณ์ดี ผู้ที่ติดเข้าไปในเขตลวงก็ยังอาจจะถูกปล่อยตัวออกมาได้ ถ้าหากโชคร้ายก็อาจจะควบคุมวิญญาณของคนเหล่านั้นเอาไว้ภายในเขตลวงไปตลอดกาล มิอาจหลุดออกมาได้
“เคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์นี้ อาณาบริเวณที่เขตลวงปล่อยออกมากว้างใหญ่เป็นที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แต่เช่นเดียวกัน ในบรรดาเคล็ดวิชาสืบทอดที่เหมาะสมกับข้า นี่คือสิ่งที่มีส่วนช่วยเหลือวิญญาณมากที่สุด”
อาณาบริเวณของเขตลวงต้องใหญ่พอ วิญญาณก็ต้องแข็งแกร่งพอ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจระดับความลึกลับอันแปลกประหลาดของเขตลวง ไม่สนใจความช่วยเหลือที่มีต่อร่างกาย สนใจเพียงแค่สิ่งนี้… วิญญาณยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี! วิญญาณแกร่งกล้าก็มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญ ยามต่อสู้ อย่างเช่นตอนนี้สามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามสาย วิญญาณแข็งแกร่งแล้วก็อาจจะสามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมามากขึ้นได้ นี่ก็คือการยกระดับของพลังยุทธ์เช่นเดียวกัน
ถ้าหากเป็นผู้อ่อนแอก็อาจจะสนใจการยกระดับพลังยุทธ์ที่ ‘มองเห็นได้’ มากกว่า
แต่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจกลับเป็นส่วนเสริมของเคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์นี้ต่างหาก
……
วันเวลาต่อมา ตอนแรกตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมทรัพยากรจำนวนหนึ่งผ่านความช่วยเหลือของหอทะเลสัตตดาราก่อน ทรัพยากรที่ต้องการเป็นที่สุดในการบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ ไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งทำให้ตนเองสิ้นเปลืองไปกว่าเก้าร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาเต็มๆ ไม่แปลกใจเลยที่ศาสตร์โบราณให้ค่ากับทรัพยากรสมบัติล้ำค่าถึงเพียงนั้น ถึงอย่างไรหากไม่มีทรัพยากร ต่อให้ตระหนักรู้แล้วก็มิอาจบรรลุได้อยู่ดี
ภายในห้องเงียบของคูหาผู้อาวุโสสูงสุด ณ ภูเขาด้านหลังของสำนักปักษาเขียว
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ จักรวาลภูมิลำเนาไม่เหมาะสมสำหรับให้เขาไปบำเพ็ญ อีกทางหนึ่ง สำหรับการบำเพ็ญของภรรยา ถ้าหากคอยดูอยู่ข้างๆ ก็จะต้องคอยกังวลอยู่ตลอด มิสู้รอคอยข่าวคราวของภรรยาอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์แห่งนี้ ทางด้านภรรยานั้นก็มีวัตถุส่งสารอยู่เช่นกัน ก็สามารถใช้เรียกตนได้ ยอดฝีมือที่ถูกตนปลิดชีพก็ยังมีดีอยู่บ้าง วัตถุส่งสารยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
กลิ่นอายสีแดงแผ่ปกคลุมทั่วผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง
กลางอากาศด้านหลังของเขามีปักษาชาติที่ปกคลุมด้วยขนนกสีแดงเพลิงทั่วตัวซึ่งกำลังสยายปีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ นี่ก็คือร่างของ ‘ปีศาจชาด’
“ศาสตร์โบราณ ไปถึงระดับผู้ปกครองเทพแท้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตากว้างพลางเผยสีหน้ายินดี ปักษาชาติที่ปกคลุมด้วยขนสีแดงเพลิงหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว “ความเร็วในการบำเพ็ญยังนับว่าไม่เลว ไปถึงผู้ปกครองเทพแท้ภายในสิบปี ต่อไปจะต้องมีความยุ่งยากเล็กน้อย”
ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดจะยังอ่อนแออย่างยิ่ง
แต่ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงยกระดับขึ้นมาเกือบหนึ่งส่วน เชื่อมั่นว่าการบำเพ็ญในภายภาคหน้าจะต้องยกระดับอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ฟิ้วๆๆ” มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงคลายออก ผงแป้งจำนวนมากในมือขวาปลิวว่อน “เป็นวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่ดูดซับฟ้าดินอย่างแท้จริง”
เหตุใดพรสวรรค์ของศาสตร์โบราณจึงล้ำเลิศขึ้นเรื่อยๆ เล่า จะต้องมีเหตุผลที่ดูดซับสมบัติล้ำค่าหายากของโลกภายนอกโดยธรรมชาติ
“เสวี่ยอิง เจ้าจะกลับมาเมื่อใดหรือ” ทันใดนั้นก็มีข้อความอันหนึ่งมาจากป้ายคำสั่งส่งสาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้านไปถึงวิญญาณในทันใด “ข้าจะกลับไปแล้ว จะกลับแล้ว!”
……
ณ จวนจ้าวตงป๋อเหนือทะเลหมอกดำในจักรวาลภูมิลำเนา
ภายในโถงตำหนัก
อวี๋จิ้งชิวในอาภรณ์สีฟ้าเข้มตลอดร่างยืดกายลุกขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีความเข้าใจในวิถีพรั่งพรูออกมาเป็นจำนวนมหาศาลภายในความคิดเดียว แต่ในขณะนี้นางไม่มีกะจิตกะใจบำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว นางได้เห็นการสัญจรกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้ว นางเข้าใจแล้วว่าฉากนี้มีความหมายเช่นไร
“ข้าสามารถบรรลุได้จริงๆ แล้ว” อวี๋จิ้งชิวงุนงงอยู่บ้าง
บรรลุหรือ
ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว
สุดท้ายท่านพ่อประมุขรัฐโม๋เสวี่ยก็พ่ายแพ้จนตัวตาย นางเองก็เคยประสบกับการกลับชาติมาเกิด ภายใต้ความช่วยเหลือของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นสามี ก่อนหน้านี้ค้างอยู่ที่จุดคอขวด ก็ยังคงเป็นสามีที่เข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านโดยไม่คำนึงถึงภยันตราย เสี่ยงอันตรายวิ่งวุ่นเสาะหาสมบัติล้ำค่าหายากอย่างที่สุดกลับมา คราวนี้ในที่สุดตนก็บรรลุแล้ว แม้สามีจะบอกว่าอาจต้องบำเพ็ญยาวนานถึงสามร้อยล้านปี
แต่เพียงแค่แปดล้านปีตนก็บรรลุแล้ว
“บรรลุและเป็นนิรันดร์” อวี๋จิ้งชิวเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก ประตูตำหนักก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ
อวี๋จิ้งชิวมองดูทั่วทั้งจวนจ้าว มองดูพื้นหญ้า แล้วหยิบป้ายคำสั่งส่งสารออกมาในทันใด ก่อนจะส่งข้อความหนึ่งออกไป “เสวี่ยอิง เจ้าจะกลับมาเมื่อใดหรือ”
ดูเหมือนจะเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวหลังจากส่งสาร
ท้องฟ้ากระจ่างดาวที่อยู่ไกลออกไปบิดเบี้ยว เงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากกลางท้องฟ้า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้ามาพลางมองดูภรรยาของตนอย่างละเอียด
“ในที่สุดข้าก็สำเร็จกฎเกณฑ์ฟ้าดินแล้ว” อวี๋จิ้งชิวพูดไปเพียงประโยคเดียวก็โอบกอดตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้เบาๆ ศีรษะแอบอิงอยู่บนแผ่นอกของตงป๋อเสวี่ยอิง
อารมณ์ของนางปั่นป่วนเหลือเกิน
ไม่สงบนิ่งเอาเสียเลย
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นานาปั่นป่วน …บรรลุเป็นนิรันดร์ เป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้บำเพ็ญ เพราะมันหมายถึงอายุขัย! ต่อให้เป็นเหล่าเทพจักรวาลผู้สูงส่ง เพื่อญาติสนิทมิตรสหายอันเป็นที่รัก ก็คิดหาวิธีการเสาะแสวงหาสมบัติล้ำค่าที่ทำให้สามารถบรรลุได้โดยตรง… นั่นเป็นสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้ ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเสียอีก
“ท่านพ่อ” อวี๋จิ้งชิวพึมพำ
นางบำเพ็ญมากี่ครั้งแล้ว ทั้งยังสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
ท่านพ่อเองก็เป็นเช่นนี้ ทว่าตอนนี้นางทำได้แล้ว เพียงแต่ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน…
ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ที่อยู่ไกลออกไป เมื่อมองไกลๆ เห็นภาพที่บิดามารดากำลังใกล้ชิดกันอยู่ก็มิได้มารบกวน
ผ่านไปเนิ่นนาน อารมณ์ของอวี๋จิ้งชิวฟื้นฟูกลับมา นางจึงผละออกจากตงป๋อเสวี่ยอิง
“ยังดีอยู่ใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองภรรยายิ้มๆ ในขณะนี้เขารู้สึกว่าสีสันของบริเวณโดยรอบล้วนเปลี่ยนเป็นสีสันสดใส ท้องฟ้าพร่างพรายดาวก็เปลี่ยนเป็นงดงามระยิบระยับ
“อืม” อวี๋จิ้งชิวพูด “ข้ายังมิได้ออกมาจากในมหานทีแห่งกาลเวลาเลย”
พูดแล้วนางก็มองไปด้านข้าง
ฟึ่บ!
กลางท้องฟ้าเบื้องหน้ามีมหานทีแห่งกาลเวลาอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ปกติซ่อนเร้นอยู่ใต้โลกปรากฏออกมา ภายในมหานทีแห่งกาลเวลามีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดำผุดดำว่ายอยู่
ณ ส่วนลึกของมหานทีแห่งกาลเวลา
ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนมีเงาร่างหญิงสาวขนาดมหึมาร่างหนึ่งอยู่ เป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่สุดในมหานทีแห่งกาลเวลาส่วนนี้ นั่นก็คืออวี๋จิ้งชิว รูปลักษณ์เหมือนกันทุกประการ
“ออกมา” อวี๋จิ้งชิวจิตใจวูบไหว
ภายใต้ความช่วยเหลือของพลังกฎเกณฑ์ฟ้าดิน เงาร่างหญิงสาวขนาดมหึมาร่างนั้นก็ทะยานออกมา ถึงแม้ว่ากระแสน้ำของมหานทีแห่งกาลเวลาจะฉุดรั้ง แต่กลับมิอาจฉุดรั้งเอาไว้ได้ เพียงแค่ก่อให้เกิดน้ำกระฉอกเท่านั้น เงาร่างสายนั้นทะยานมาหาอวี๋จิ้งชิวแล้วหลอมรวมเข้าไปภายในร่างกายของอวี๋จิ้งชิว
นับตั้งแต่บรรลุอย่างแท้จริง ภายในมหานทีแห่งกาลเวลาก็มิอาจพันธนาการชีวิตของนางได้อีกต่อไปแล้ว นางบรรลุและเป็นนิรันดร์แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ข้างๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นี่คือภาพเหตุการณ์ที่เขาวาดฝันว่าจะได้เห็น ยามที่พวกบิดามารดา น้องชาย และท่านอาจงท่านอาถงจากไปนั้น เขาก็ไม่มีทางทนรับให้ภรรยาและบุตรชายบุตรสาวจากไปเช่นกันได้ หากเป็นเช่นนั้น ตนเองมีชีวิตอยู่ตามลำพังจะมีความหมายอันใดเล่า เดียวดายเกินไปแล้ว ตงป๋อชิงเหยาผู้เป็นบุตรสาวบรรลุด้วยตนเองไปก่อนแล้ว แล้วเหยียบย่างเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านด้วยตัวเอง
โชคชะตายังไม่ย่ำแย่ มิได้เอาชีวิตไปทิ้งในอากาศอันสับสนอลหม่าน โชคดีได้เข้าสู่วังทวีสูญเร็ว ตลอดเส้นทางการบำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้ ก็ปรากฏผลเช่นในตอนนี้
ในขณะนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกพึงพอใจยิ่งกว่าได้เป็นเทพจักรวาลเสียอีก เพราะไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็มีผู้เป็นที่รักอยู่เป็นเพื่อน
“เสวี่ยอิง ตลอดมาก็มิได้ถามเจ้าเลย หัวใจหลิวเมฆาแดงที่เจ้าให้ข้ากินนั้น ที่แท้แล้วมีราคาเท่าใดกันหรือ” อวี๋จิ้งชิวหันหน้าไปถาม นางเดาได้ว่าจะต้องมีราคาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านี้ก็มิได้ไถ่ถาม ตอนนี้บรรลุแล้วนางก็อยากจะถามดูสักหน่อย
“เจ้าเดาดูสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“จะต้องสูงมากอย่างแน่นอน”
“ไม่สูงค่าเท่าเจ้าหรอก”
………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น