Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 29 ตอนที่ 1-4

 ภาคที่ 29 จุดเริ่มต้นของศาสตร์โบราณ ตอนที่ 1 ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว

โดย

Ink Stone_Fantasy

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู และผางอี แต่ละคนมองดูเงาร่างที่เปล่งประกายรัศมีอันจับตา ในใจต่างก็มีรสชาติหลากหลายนับพัน ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา ต่างก็เคยได้ยินเรื่องเล่าขานนี้กันมาแล้วทั้งสิ้น… ‘เสื้อคลุมมนตร์คลุมร่าง ประกายกระจ่างเกินหยั่ง ดวงวิญญาณทั้งหมดต่างก็สามารถมองเห็นเงาร่างกระจ่างตานั้นได้’ ทว่าสุดท้ายแล้วนี่ก็ยังเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน ผู้ใดต่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งสิ้น


วันนี้ได้เห็นแล้ว!


พวกเขาแต่ละคนบำเพ็ญกันมาก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนาน ทว่าต่างก็ติดค้างอยู่ที่ระดับจิตใจขั้นที่สองเท่านั้น ต่างก็ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ระดับจิตใจขั้นที่สามกันได้เลย


จะต้อง ‘ไร้ข้อกังขา ไร้ความกังวล ไร้ความหวาดกลัว ระดับจิตใจประณีต ดั้นด้นไปข้างหน้า จิตใจเป็นหนึ่ง’ เช่นนี้จึงจะสามารถไปถึงระดับจิตใจขั้นที่หนึ่ง ‘จิตดุจแก้วมณี’ สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จในข้อกำหนดพื้นฐานที่สุดของความเร้นลับของกฎเกณฑ์แล้ว


ส่วนจิตใจดุจคมมีด สิ่งกีดขวางทั้งหมดทั้งมวลในใจถูกคมมีดหั่นแยกออก บนเส้นทางการบำเพ็ญ ผู้ใดต่างก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนแปลงได้! มาถึงขั้นที่สองนี้ก็มีศักยภาพที่จะเป็นสุดยอดผู้แกร่งกล้าแล้ว แม้กระทั่งบางพวกอย่างเช่นเหล่ากลืนกินที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับจิตใจไม่สูงมากนัก แม้แต่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนต่างก็สามารถหยุดอยู่ที่ระดับจิตใจขั้นที่สองนี้ได้


ระดับจิตใจขั้นที่สาม ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’


ยามตระหนักรู้ขั้นนี้…


มีเหตุผลอยู่มากมาย ดังเช่นจอมมารนี้ที่เชื่อมั่นว่าผู้แกร่งกล้าเป็นใหญ่ถึงขนาดสร้างหุบเหวลึกดำมืดขึ้นมา ทำให้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน…สิ่งมีชีวิตดังเช่นจอมมาร ก็ไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามแล้วเช่นกัน


อย่างผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ มิปรารถนาที่จะมีพันธะ มีเอกลักษณ์ เตร็ดเตร่ไปทั่วทุกที่ ก็ไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามเช่นกัน


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรารถนาจะแบกรับผืนฟ้า คุ้มครองสรรพชีวิต ก็บรรลุเช่นเดียวกัน


“ความรู้สึกเช่นนี้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเสื้อคลุมมนตร์และรัศมีที่ร่างกายเปล่งออกมาที่ปรากฏชัดบนผิวกาย ทันใดนั้นความคิดก็วูบไหว รัศมีเลือนหายไปจนสิ้น เสื้อคลุมมนตร์ก็หายวับไปกลางอากาศ


วิปัสสนา ตรวจตราดูดวงวิญญาณของตนเอง


ตอนนี้ดวงวิญญาณของตนเปล่งประกายระยับแรงกล้าไปทั่วทั้งห้วงความคิด บนดวงวิญญาณก็ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมมนตร์ชั้นหนึ่ง พลังที่ดวงวิญญาณมีอยู่ก็ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล แม้กระทั่ง ‘แรงกระตุ้น’ ที่มีอยู่ก็เปลี่ยนเป็นแกร่งกล้าหาใดเปรียบ


พูดอย่างจริงจัง


ก่อนหน้านี้ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูงพออยู่แล้ว ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง วิถีโลกเทียม และวิถีสามสายต่างก็ไปถึงระดับขั้นที่สูงพอ วิถีผู้ท่องอากาศก็ไปถึงชั้นที่สี่สิบ ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณของเขาก็นับว่าจัดอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นรวมเป็นหนึ่งได้อย่างแน่นอน แต่เพราะว่าระดับจิตใจไม่เคยบรรลุ แรงกระตุ้นที่ระเบิดออกมาจากดวงวิญญาณไม่อัดแน่นพอ อานุภาพจึงไม่แข็งแกร่งพอเช่นกัน


ตอนนี้ระดับจิตใจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว! ถึงแม้ว่าการตระหนักรู้ในวิถีผู้ท่องอากาศจะมิได้ยกระดับ แต่ดวงวิญญาณก็คล้ายว่าจะเปลี่ยนจาก ‘สถานะผ่อนคลาย’ ไปสู่ ‘สถานะรัดกุม’ แรงกระตุ้นก็รัดกุมขึ้น อานุภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งพลังจิตก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเช่นกัน


ในห้วงสมองใคร่ครวญวิวัฒน์ความเร้นลับ ประสิทธิภาพก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายกับว่าบริโภควัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญจำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา


“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังเบื้องล่างก็มองเห็นภรรยาที่เงยหน้ามองขึ้นมาด้านบน


แล้วก้าวไปก้าวหนึ่งในทันใด


สวบ


ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปถึงข้างกายของอวี๋จิ้งชิวแล้ว ในขณะนี้เอง ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาก็เข้ามาถึงด้วยเช่นกัน “ท่านพ่อ ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามที่เล่าขานกันแล้วหรือ”


“น้องตงป๋อ”


“เสวี่ยอิง”


ฉือชิวไป๋ ผู้เคารพหั่วเฉิง และบรรพชนเพลิงชาดที่อยู่ภายในจวนจ้าวแต่ละคนต่างก็เข้ามาอย่างยากที่จะเก็บซ่อนความพรั่นพรึงในจิตใจ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย แม้กระทั่งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง ในบรรดาพวกเขา จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถึงกับเอ่ยปากถามขึ้นด้วยตัวเองว่า “เสวี่ยอิง เจ้าบรรลุระดับจิตใจนี้ได้อย่างไรกันหรือ มีเคล็ดลับอันใดกันหรือ” จักรพรรดิเทพเอ่ยปาก คนอื่นๆ ต่างก็พากันฟังอย่างมิกล้าสอดปาก


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสงสัยอย่างแท้จริง เพราะว่าจนบัดนี้ระดับจิตใจของเขาก็ยังไม่เคยบรรลุเลย


“บรรลุได้อย่างไรน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง “หลักๆ ก็คือการตระหนักรู้ทางด้านจิตใจ ข้าได้เห็นผู้อ่อนแอจำนวนมากได้รับผลกระทบจากผู้แกร่งกล้าจนตาย ถึงขนาดที่ผู้แกร่งกล้าจำนวนหนึ่งเข่นฆ่าผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพราะความโมโห…ผู้แกร่งกล้านี้ ต่อให้ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็มาจากผู้อ่อนแอ ถ้าหากบรรดาผู้แกร่งกล้าไม่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ก็เข่นฆ่าตามอำเภอใจ รวมกับผู้บำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกินจำนวนหนึ่ง สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจะยังมีความหวังที่จะมีชีวิตรอดอีกหรือไร”


“…”


ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายสิ่งที่ตระหนักรู้ในใจให้กับท่านอาจารย์ของตนอย่างละเอียด


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตฟังด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น เขาฟังแล้วก็เข้าใจทั้งหมด! แต่กลับมิได้กระตุ้นเขาเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีคนระดับสูงแบกรับเอาไว้! ภายในจักรวาลยุคอดีต เขาคือผู้ที่แกร่งกล้าที่สุด ลัทธิจอมมารดาบุกรุกเข้ามา เขาไม่ถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อทั้งจักรวาล ก็นับได้ว่าเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของตนเองไม่ถูกผลาญทำลาย เขาก็ไปต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพราะไม่มีสิทธิ์ล่าถอย


แต่การจะปกป้องผู้อ่อนแออย่างนั้นน่ะหรือ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถามเอง ตนเองก็เป็นเพียงแค่เทพอากาศธรรมดาสามัญ เหนือขึ้นไปยังมีขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดในตำนาน


ฟ้าถล่มลงมาก็มิได้ถึงคราเขาอยู่ดี!


เขามีจิตคิดเมตตาด้วยความเต็มใจเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้าหากการบำเพ็ญยกระดับมากพอ ถึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตผู้อ่อนแอกลุ่มใหญ่ตายไป เขาก็ตาไม่กะพริบ ขอเพียงแค่ทั้งเผ่าพันธุ์ไม่พินาศวอดวาย สิ้นชีพกันไปแค่กลุ่มเล็กๆ จะเป็นไรไปเล่า


“เอ่อ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ข้าได้อ่านตำราจำนวนมากมายภายในวังทวีสูญ ระดับจิตใจก็ยกระดับขึ้น จำเป็นต้องตระหนักรู้ด้วยตัวเอง! ต่อให้ผู้อื่นพูดมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”


“อืม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า


เขาเองก็เชื่อว่าการยกระดับจิตใจนั้นมีอยู่หลายประเภท อย่างเช่นจอมมารนั้นก็สามารถไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามได้ เขาก็มีความหวังเช่นเดียวกัน


“เสวี่ยอิง เจ้าเองก็จะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อผู้อ่อนแอเหล่านั้นมิได้หรอกนะ เช่นนี้ก็จะเหน็ดเหนื่อยเกินไป อีกทั้งยังอาจเอาชีวิตไปทิ้งเพราะเหตุนี้อีกด้วย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “ผู้บำเพ็ญ จะต้องยิ่งระมัดระวัง  และยิ่งต้องอยู๋ให้ห่างจากอันตราย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “ท่านอาจารย์ ข้าทราบดีว่าผู้ที่มีพลังมหาศาล ภาระที่แบกรับก็ต้องยิ่งมาก พลังน้อยลงมาหน่อยก็แบกภาระน้อยลงหน่อยเท่านั้น ถ้าหากหลับหูหลับตาส่งตัวเองไปตาย รักษาไว้ไม่ได้แม้แต่ชีวิตตนเอง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรักษาชีวิตผู้อื่นแล้ว”


……


การบรรลุระดับจิตใจนั้นพูดไปก็ไร้ประโยชน์


ก็เหมือนพูดกับผู้อื่นว่า ‘ไร้ข้อกังขา ไร้ความกังวล ไร้ความหวาดกลัว ระดับจิตใจประณีต ดั้นด้นไปข้างหน้า จิตใจเป็นหนึ่ง’ แล้วผู้บำเพ็ญก็จะสามารถไปถึงระดับจิตใจขั้นที่หนึ่ง ‘จิตดุจแก้วมณี’ ได้อย่างง่ายดายแล้วหรือไร


สุดท้ายตนเองก็ต้องไปฝึกฝนหาประสบการณ์ จิตใจถูกกระตุ้น  หยั่งรู้โลกจากชั้นลึกสุดของจิตใจจนเกิดความเปลี่ยนแปลง


ถึงแม้ว่าจะขัดกับพื้นฐานจิตใจของตนเองอยู่บ้างก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพอขัดกันแล้ว… ระดับจิตใจก็ยากที่จะรักษา ‘ความคิดและจิตใจเป็นหนึ่งเดียว’ เอาไว้ได้ แม้กระทั่งบำเพ็ญขั้นที่หนึ่งก็ยังมิได้ ก็จะถูกปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ


ดังนั้นแม้จะพูดไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์


ตำราภายในวังทวีสูญก็ย่อมไม่มีคำอธิบายใดๆ เอาไว้อยู่แล้ว ก็ได้แต่ให้บรรดาผู้บำเพ็ญไปตระหนักรู้กันเอาเอง


หนึ่งวันให้หลัง หลังจากที่ต้อนรับสหายบำเพ็ญกลุ่มหนึ่งแล้ว ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึง ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ด้านนอกจักรวาล ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหนึ่งวัน สหายที่มาเยี่ยมเยียนเหล่านั้น มีจำนวนมากที่มา ‘ถามไถ่’ ด้วยความจริงใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะเริ่มอธิบายไปคำสองคำ ต่อมาเขาก็เข้าใจว่าถึงจะพูดไปมากกว่านี้ก็ล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น ถึงขนาดที่ยิ่งพูดมาก… กลับกลายเป็นว่าทำให้พวกเขายิ่งสับสน ถ้าหากทำให้ระดับจิตใจของพวกเขาพังทลาย เช่นนั้นก็แย่แล้ว


ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่พูดอีกต่อไปแล้ว พูดแค่เพียงว่า ‘จำเป็นต้องไปตระหนักรู้ด้วยตนเอง’


“พรึ่บ”


ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแสนกว้างใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ที่นั่น “ควรลองดูสักหน่อยแล้ว ดูว่าที่แท้แล้วพลังยุทธ์ของข้ายกระดับขึ้นมามากน้อยเพียงใดกันแน่”


หลังจากบรรลุระดับจิตใจแล้วเขาก็ไม่มีเวลาฝึกฝนเคล็ดวิชามาโดยตลอด เพราะว่าสภาพแวดล้อมภายในอาณาเขตของจักรวาลค่อนข้างเปราะบาง ก็เหมาะสมกับมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนและเหล่าเหนือธรรมดา พลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่ง ผลกระทบที่มีต่อจักรวาลก็ยิ่งมากขึ้น ดังเช่นระดับเทพอากาศก็สามารถทำร้ายจักรวาลได้ อาจทำให้ยุคจักรวาลนี้แก่ตัวลงเร็วขึ้นและสูญสลายไปในที่สุด


พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ไปถึงขอบกั้นของขั้นอลวนแล้ว ถ้าหากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้บางอย่าง หรือแม้กระทั่งแยกระลอกคลื่นอย่างระมัดระวังยิ่งกว่านี้ก็อาจจะทำร้ายถูกจักรวาลได้


“โลกอนธการหลากชั้น”


ความนึกคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงวูบไหว สำแดงเคล็ดวิชาลับที่ตนเองดัดแปลงและสร้างขึ้นเองศาสตร์นี้


พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…


บริเวณไกลออกไปกลับมีโลกอนธการชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏชัดขึ้นกลางอากาศ ผนังของโลกอนธการเหล่านี้มีมากกว่าหกร้อยชั้น! ทำให้โลกอนธการหลากชั้นเหล่านี้เปลี่ยนจากภาพมายากลายเป็นความจริง ทันใดนั้นพลังดูดกลืนรอบทิศอันบ้าคลั่งทำให้ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเกิดความปั่นป่วน นอกจากนี้ หลังจากเสียงระเบิดปัง โลกอนธการหกร้อยชั้นก็สูญสลายไปพร้อมๆ กัน พลังคุกคามนี้ซ้อนทับกันไม่หยุดหย่อน ทั้งยังไปถึงขั้นที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังตกตะลึง “พลังคุกคามนี้เทียบเคียงได้กับลูกไฟน้ำเต้าสีดำแล้ว!” พูดให้กระชับ การที่พลังจิตยกระดับทำให้พลังยุทธ์ของตนเองยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล สามารถนับได้ว่าเป็นพลังรบระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้อย่างกล้อมแกล้มแล้ว


ก่อนหน้านี้ตนสามารถสำแดงได้เพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบชั้นเท่านั้น


พอบรรลุระดับจิตใจ พลังจิตก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างฉับพลัน ก็สามารถสำแดงได้มากถึงหกร้อยชั้น เป็นห้าเท่าพอดี! ไม่เกินเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง


“ยังมีใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์อีก”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นรวบรวมสมาธิกลั่นกรองโดยละเอียด  ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน ยามที่ยังคงปลีกวิเวกอยู่ภายในวังทวีสูญ ด้วยพรสวรรค์ทางด้านวิถีโลกเทียมของเขา ก็ได้หยั่งรู้ความเร้นลับต่างๆ ของ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ กระบวนท่าที่สองของโลกอนธการอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้กลับยังไม่สามารถสำแดงออกมาได้มาโดยตลอด ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านตำราของจักรพรรดิเก้าเมฆาจำนวนนับไม่ถ้วนจึงตัดสินได้ความว่าคงจะเป็นปัญหาที่ระดับจิตใจ


ถึงแม้ว่าจะมีความมั่นใจมากถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ก็ยังต้องทดสอบดูจึงจะรู้!


“มา” ความนึกคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงวูบไหวแล้วทดลองสำแดงดู


…………………………………………


ตอนที่ 2 สวรรค์ลงทัณฑ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

พรึ่บ…


กลางโลกมายามีลำแสงจางๆ สายหนึ่ง มันควบตัวแน่นอย่างบริสุทธิ์ ดูเหมือนจะไม่สะดุดตา แต่มันคือแก่นสำคัญของทั้งโลกมายา แทบจะในพริบตาเดียว ลำแสงสายนี้ก็ระยับจับตาขึ้นมาในทันใด กลายเป็นใบมีดอันพร่างพรายตาเล่มหนึ่ง! โลกมายาทั้งใบล้วนหายวับไป ใบมีดอันพร่างพรายตาก็เคลื่อนจากโลกมายามาสู่ความจริง


“จิตข้าคือจิตฟ้า สวรรค์พิโรธ ก็คือสวรรค์ลงทัณฑ์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจเจตจำนงของเคล็ดวิชานี้อย่างสมบูรณ์


ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์!


ในอดีตถึงแม้ว่าตนเองจะหยั่งรู้ความลึกลับต่างๆ มากมาย แต่กลับขาดแคลนสิ่งที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดอย่างระดับจิตใจ! ก็เหมือนกับภาพวาดภาพหนึ่ง… ถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญทักษะทั้งหมด ถ้าหากไม่มี ‘อารมณ์’ ที่เกิดจากภายในจิตใจ ก็ยากที่จะรังสรรค์งานศิลปะอันยิ่งใหญ่จับจิตจับใจออกมาสักชิ้นหนึ่งได้!


‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ กระบวนท่าที่สองของโลกอนธการ นอกจากจำเป็นจะต้องสำเร็จความลึกลับทั้งหมดแล้ว ยังจำเป็นต้องมีระดับจิตใจที่กล้าแกร่งด้วย จึงจะมีสิทธิ์สำแดง ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ ได้!


“ปังงง…”


หลังจากใบมีดที่มาจากอากาศดูดซับเอาพลังรอบด้านมารวมเอาไว้เสร็จสมบูรณ์แล้ว อากาศอันสับสนอลหม่านที่เดิมทีปั่นป่วนก็เยือกแข็งอย่างสมบูรณ์ พลังอลหม่านอันน่าพรั่นพรึงก็สงบนิ่งลงจนหมด


ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านหยุดนิ่งอย่างสิ้นเชิง


ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ กดดันทั้งหมดทั้งมวล! ทำให้กฎเกณฑ์ที่เคลื่อนไหวอยู่แต่เดิมภายในอาณาเขตอันแน่นอนต่างก็ได้รับแรงกดดันของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ หากพูดว่าโลกอนธการหกร้อยชั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่เกิดจากการซ้อนทับกันของปริมาณ มีพลังคุกคามพอที่จะเทียบเคียงได้กับผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน ส่วนทางด้านระดับความลึกลับของ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ นั้นเทียบเคียงได้กับเคล็ดวิชาบางอย่างของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว


มันเกิดมาก็เพื่อเป็นทัณฑ์จากสวรรค์


“ฉับ…”


ประกายมีดฟันผ่านลงมาในทันใด ฟันผ่านลงมาไม่รู้กี่พันล้านลี้ แม้กระทั่งดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังยากที่จะเห็นจุดสิ้นสุดที่ประกายมีดฟันลงไปได้ ได้แต่อาศัยการรับสัมผัสต่อห้วงอากาศตัดสินระยะทางที่ประกายมีดฟันผ่าน


“การโจมตีนี้ยังแข็งแกร่งกว่าโลกอนธการหกร้อยชั้นเสียอีก มีอิทธิพลเหนือกว่าลูกไฟน้ำเต้าสีดำอยู่เล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชื่นชม “นี่มิใช่เพียงแค่พลานุภาพแข็งแกร่งเท่านั้น แม้กระทั่งระดับความลึกลับก็ยังสูงส่งเป็นอย่างมาก นี่จึงจะเป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวอย่างแท้จริง”


เขาอดที่จะนับถือประมุขโลกอนธการที่ตกต่ำลงไปผู้นั้นมิได้


สามารถสรรสร้างเคล็ดวิชาเช่นนี้ขึ้นมาได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง


ดังเช่นลูกไฟน้ำเต้าสีดำ ถึงแม้ว่าจะร้ายกาจเช่นกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าออกจะโง่เง่าอยู่สักหน่อย ต่อให้ตนเองควบคุมก็ต้องใช้ร่วมกันกับแผนภาพคลื่นจาน ให้แผนภาพคลื่นจานกดดันคู่ต่อสู้เอาไว้ แล้วให้ลูกไฟน้ำเต้าสีดำทำการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิต… เช่นนี้จึงจะสามารถสังหารระดับ ‘ประมุขวังฉีอู่’ นี้ได้อย่างรวดเร็ว


แต่ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นไม่เหมือนกัน!


มันมาจากความไร้สรรพสิ่ง สามารถไปถึงข้างกายศัตรูได้โดยตรง ยากจะต่อต้านเป็นที่สุด


“จุดอ่อนของประมุขโลกอนธการก็คือการป้องกันตัวเองอ่อนแอเกินไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์เป็นเคล็ดการโจมตีเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ประมุขโลกอนธการมาถึงระดับนี้ในด้านการโจมตีได้ แต่ในด้านการป้องกันนั้นเกรงว่าคงจะพอๆ กันกับพลังยุทธ์ขั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวโดยทั่วไปเท่านั้น


“พรึ่บ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว


กลางอากาศอันสับสนอลหม่านเบื้องหน้ามีโลกมายาขนาดมหึมาสามใบปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง ภายในของโลกทุกใบต่างก็กลั่นกรองเอาใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา


“อ้อ สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามสายพร้อมกัน ก็คือขีดจำกัดของข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีแรงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สายที่สี่ออกมาได้ พลังคุกคามของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ก็สูบพลังจิตไปมากมายเช่นกัน


“ขั้นอลวน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด


ยามที่สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา ในที่สุดเขาก็มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับระดับขั้นใหญ่ขั้นสุดท้ายของเทพอากาศ… ขั้นอลวน อย่างเลือนรางแล้ว


ระดับความยากจากขั้นรวมเป็นหนึ่ง จะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนนั้นยิ่งใหญ่นัก ยากเย็นยิ่งกว่าระดับเทพแท้เหยียบย่างเข้าสู่เทพอากาศเสียอีก!


ความยากที่สุดของเส้นทางการบำเพ็ญก็คือขั้นอลวนเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสุดท้าย! รองลงมาก็คือขั้นรวมเป็นหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน ผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวจำนวนมากมายต่างก็งุนงงสับสนกับขั้นอลวน แต่ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้อะไรขึ้นมาบ้าง แต่กลับล้ำเลิศมากแล้ว


“ขั้นอลวน”


“มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด”


“โลกมายาของข้าสามารถทานทนกลั่นกรองสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมาได้ ก็สามารถแบกรับความเป็นไปได้อื่นๆ เช่นเดียวกัน… เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เช่นนั้นก็คือขั้นอลวนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ


สิ่งมีชีวิต


จากไม่มีอะไรเลย บำเพ็ญไปทีละก้าวๆ ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ความซับซ้อนพรรค์นี้อาจกลับกลายเป็นสิ่งกีดขวางการบำเพ็ญได้ ดังนั้นก็จะค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นระบบกฎเกณฑ์อันสมบูรณ์แบบ และในที่สุดก็จะ ‘รวมเป็นหนึ่ง’ แต่ต่อให้รวมเป็นหนึ่งก็จะไปถึงขีดจำกัดของเส้นทางการบำเพ็ญในทางใดทางหนึ่งอยู่ดี


บรรลุอีกหรือ จำเป็นต้องทลายขีดจำกัด! ทำให้ตนเองเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด เช่นนั้นก็คือขั้นอลวนแล้ว


มีเพียงขั้นอลวนเท่านั้น… จึงจะสามารถบ่มเพาะจักรวาลอันสมบูรณ์แบบที่สุดออกมาได้ในท้ายที่สุด! เช่นนั้นจึงจะเป็นการบำเพ็ญระดับขั้นสุดท้าย


“วิถีโลกเทียมของข้า ตอนนี้อัดแน่นจนถึงขีดสุด กลายเป็นรากฐานโลกเทียมแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ “จะทำลายรากฐานโลกเทียม กลายเป็นขั้นอลวน…”


เขาสำเร็จวิชาโลกมายา บ่มเพาะสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา จึงมีความเข้าใจในขั้นอลวนอย่างรางๆ


การจะก้าวออกจากจุดนั้นจริงๆ… ช่างยากเย็นเหลือเกิน!


“บางทีระบบผู้ท่องอากาศออกจะง่ายกว่าอยู่สักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


การจะบรรลุระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ จำเป็นต้องตระหนักรู้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้ระลอกคลื่นและค่ายสังหาร วิถีสองสายนี้ เขาไม่มีทางรู้เห็นความลึกลับของขั้นอลวนได้เลย วิถีโลกเทียมที่พรสวรรค์สูงส่งที่สุดนั้นสามารถมองเห็นได้ แต่ก็รู้ดีว่า… ไม่สามารถทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน


ในทางกลับกัน


ระบบผู้ท่องอากาศ ตอนนี้เขาไปถึงขั้นที่สี่สิบแล้ว! ใกล้เข้าไปอีกเพียงก้าวเดียวก็คือขั้นที่สี่สิบเอ็ด  ซึ่งก็คือระดับขั้นอลวนแล้ว


ส่วนเหตุผลที่สามารถไปถึงขั้นที่สี่สิบได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณศาสตร์ลับสี่ภาพวาดที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ชุดนั้น ทำให้ในระหว่างการตระหนักรู้ภาพวาดภาพแรก เติมเต็มซึ่งกันและกันกับวิชาลับผู้ท่อง เขาจึงสามารถบรรลุผู้ท่องอากาศอย่างต่อเนื่อง


“ตอนนี้ข้าก็กำลังหยั่งรู้ภาพวาดภาพที่สอง บางทีในอนาคตระบบผู้ท่องอากาศของข้าก็อาจจะเข้าใกล้การเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนมากขึ้นอีกก้าวก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ


“กลับดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวไปก้าวหนึ่งก็ทะลุผ่านผนังกั้นจักรวาลที่อยู่ไกลออกไป กลับไปยังจวนจ้าวทะเลหมอกดำ


ตอนนี้หากพูดถึงพลังยุทธ์ เขาก็สามารถเทียบเคียงกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่ค่อนข้างอ่อนแอจำนวนหนึ่งได้แล้ว อย่างเช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่นับได้ว่าค่อนข้างอาวุโส สามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ และผู้ที่ค่อนข้างอ่อนแอที่มีอยู่อย่างเช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนของระบบเหล่ากลืนกิน ก็มีไม่น้อยที่หยุดยั้งอยู่ที่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่หก ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ในระดับที่สูงเท่ากันกับพวกเขาแล้ว


ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ภายในโลกทิพย์ก็นับได้ว่ามีอยู่เพียงน้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง เป็นยักษ์ใหญ่ของฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง


เช่นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญที่มีอยู่มากมายถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่มีชั้นที่หกของเจดีย์ดาวอยู่เลยแม้แต่คนเดียว! เช่นนี้ก็เห็นได้ว่าพรสวรรค์ทางด้านวิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสูงส่งเพียงใด


แน่นอนว่าต้องขอบคุณประมุขโลกอนธการเป็นอย่างมากที่สรรสร้างศาสตร์ลับศาสตร์นี้ออกมา


……


เวลาไร้ปรานี เพียงพริบตาก็ผ่านไปแปดสิบล้านปีแล้ว


ณ จวนจ้าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งดื่มสุราอยู่ที่นั่น อวี๋จิ้งชิวที่อยู่ไกลออกไปกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ ล้วนเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่คิดหาวิธีรวบรวมตำราเคล็ดวิชากระบี่จากโลกภายนอกมาตลอดหลายปี ถึงขนาดที่ในบรรดาเคล็ดวิชาเหล่านั้นก็มีข้อมูลที่ผู้อาวุโสชี้แนะอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง อวี๋จิ้งชิวก็ย่อมชมชอบที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ที่ร้ายกาจเหล่านี้อยู่แล้ว


“น่าเสียดายที่มิอาจบรรลุได้มาโดยตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างรางๆ เช่นกัน


พลังยุทธ์ของตนแกร่งกล้าแล้วอย่างไรเล่า


ถึงแม้จะสำเร็จวิชาการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เขาจะรู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึง ได้เห็นโลกระดับสูงกว่า ถึงแม้ว่าจะตระหนักรู้จิตข้าคือจิตฟ้า สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมา เขาก็ยืนอยู่ในแถวของยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงของมหาโลกทิพย์ทั้งห้า แต่ทั้งหมดนี้ก็สู้ความปรารถนาจะให้ภรรยาของเขาบรรลุมิได้เลย!


“เหตุใดจึงหาหัวใจหลิวเมฆาแดงไม่พบมาโดยตลอดเลยเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายอยู่บ้าง “รอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง ถ้าหากไม่ได้ผลจริงๆ ก็ได้แต่บากหน้าไปขอร้องท่านบรรพชนแล้วล่ะ”


ถึงอย่างไรท่านบรรพชนก็เป็นเทพจักรวาล


ขอความช่วยเหลือจากเทพจักรวาล หากไม่ถึงคราวจำเป็น ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่อยากปริปาก


“ผู้อาวุโสตงป๋อ ที่ตำหนักกิเลนบูรพาของ ‘เมืองชวีหมู่’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา มีหัวใจหลิวเมฆาแดงดวงหนึ่งที่ต้องการซื้อขาย” ป้ายคำสั่งส่งสารส่งข้อมูลมาแถวหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะเผยสีหน้ายินดีอย่างใหญ่หลวงมิได้ ตื่นเต้นยินดีจนจอกสุราในมือแตกสลายเสียงดัง ‘เพล้ง’ โดยไม่รู้ตัว


นี่ทำให้อวี๋จิ้งชิวที่ฝึกกระบี่อยู่ไกลๆ หยุดลง หมุนกายมองมาทางสามีที่อยู่ไกลออกไปอย่างสงสัย สามีของตนมีพลังยุทธ์สูงส่งเพียงใด เหตุใดจึงควบคุมพลังไม่อยู่จนทำจอกสุราแตกกันหนอ


“เสวี่ยอิง เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” อวี๋จิ้งชิวถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่”


“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว เกิดเรื่องน่ายินดีขี้นเรื่องหนึ่ง เรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งทีเดียวล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่า “ตอนนี้ข้าต้องออกไปอีกรอบหนึ่งเดี๋ยวนี้ เจ้ารอข้าก่อนนะ รอข้ากลับมา เจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ”


……………………………………


ตอนที่ 3 หัวใจหลิวเมฆาแดง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีเวลาให้ลังเล เขาพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันใด ห้วงอากาศเบื้องบนพลันบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในนั้นแล้วก็หายลับตาไป


เพียงพริบตา


ณ โลกทิพย์กิเลนบูรพาอันไกลโพ้นในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ห้วงมิติกลางท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างบิดเบี้ยวในทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากตรงกลาง เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์เพื่อระบุตำแหน่งของตนเอง “คลาดเคลื่อนไปไม่น้อยเลย” ระยะทางห่างไกลเหลือเกิน การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นโดยทั่วไปต่างก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนทั้งนั้น นอกจากเครื่องหมายมิติอันแน่นอนอย่างยิ่งที่ตนทิ้งเอาไว้


แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การรีบเร่งเดินทางด้วยตนเองก็ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบน


เพราะต่อให้ไกลยิ่งกว่านี้ การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นสองครั้งก็เพียงพอแล้ว ครั้งแรกมายังบริเวณใกล้ๆ ก่อน! ครั้งที่สองเพราะระยะทางใกล้มากแล้ว ก็สามารถไปถึงยังบริเวณเป้าหมายโดยตรงได้เลย


“พรึ่บ”


ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงด้านนอกประตูเมืองของเมืองชวีหมู่แล้ว พอย่างเท้าเข้าสู่ประตูเมือง อีกก้าวหนึ่งก็ไปถึงตำหนักกิเลนบูรพาแล้ว


******


ตำหนักกิเลนบูรพาก็เหมือนกับหอทะเลสัตตดาราที่ต่างก็เปิดประตูใหญ่ต้อนรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนให้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยน


ภายในห้องโถงแห่งหนึ่งของตำหนักกิเลนบูรพาแห่งเมืองชวีหมู่ในขณะนี้


ชายวัยกลางคนท่าทางมอซอผู้มีเขาเดี่ยวสีแดงเข้มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิจิบสุราอย่างช้าๆ อยู่ที่นั่นตามลำพัง เพียงแต่หัวคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องรบกวนจิตใจ


“ในเมื่อผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญตามหาซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดง เขาก็ต้องอยากได้มันมากอย่างแน่นอน แต่ของล้ำค่าอย่างหัวใจหลิวเมฆาแดงนี้ ตามปกติแล้วผู้ที่หมายจะซื้อล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกันทั้งสิ้น” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวสีแดงเข้มเอ่ยพึมพำ “ด้วยพลังยุทธ์ของเขา เชื่อว่าเขาคงจะรับปากตามคำร้องขอของข้าได้แน่”


“ถ้าหากเขาไม่รับปากเล่า…”


“ข้าก็ได้แต่สิ้นเปลืองศิลาปฐมโลกา เชิญผู้แกร่งกล้าท่านอื่นมาช่วยเหลือแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวสีแดงเข้มคิดใคร่ครวญ


ด้านนอกห้องโถงมีผู้ดูแลคนหนึ่งเดินมา


เมื่อชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวเห็นแล้วก็เอ่ยถามขึ้นทันที “แขกมาถึงแล้วหรือ”


“แขกของวังทวีสูญมาถึงแล้วขอรับ” ผู้ดูแลตอบอย่างเคารพ


“รวดเร็วอะไรเช่นนี้” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวดวงตาเป็นประกาย “เกรงว่าคงจะขอให้ผู้แกร่งกล้าช่วยเหลือ ทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นมาโดยตรง”


เพื่อความปลอดภัย เขาจึงยอมสิ้นเปลืองสิบก้อนศิลาปฐมโลกาจากโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ขอให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นท่านหนึ่งให้ส่งเขามายังโลกทิพย์กิเลนบูรพา


ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวยืดกายลุกขึ้นแล้วออกคำสั่ง “นำทางไปทีสิ”


“ขอรับ” ผู้ดูแลนำทางอยู่ด้านหน้าอย่างเชื่อฟัง


เพียงไม่นาน


ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง ประมุขตำหนักย่อยของตำหนักกิเลนบูรพาแห่งนี้อยู่ต้อนรับด้วยตนเอง ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวมองปราดหนึ่งก็เห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงโต๊ะยาวไกลออกไป ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บงำกลิ่นอายและเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เล็กน้อย ผู้อื่นก็ไม่สามารถรู้ถึงตัวตนของเขาได้ ถึงอย่างไรคราวนี้สมบัติล้ำค่าก็ช่างสูงค่าเหลือเกิน ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ยังต้องอิจฉาตาร้อน


“เขาน่ะหรือ ดูท่าทางไม่เหมือนขั้นอลวนเอาเสียเลย” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวหัวใจขมวดแน่น


“เชิญนั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยปาก


ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวก็นั่งลง ไม่ว่าอย่างไรผู้ที่สามารถซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงได้ก็ต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน


“ได้ยินว่าท่านมีหัวใจหลิวเมฆาแดงอยู่อันหนึ่งหรือ ข้าเสาะหามันมาโดยตลอดเลยทีเดียว ราคาเท่าไหร่ก็บอกมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากอย่างไม่อ้อมค้อม การที่เขาเร่งรัดอยากได้หัวใจหลิวเมฆาแดงก็มิใช่ความลับอยู่แล้ว


“ราคาไม่สูงหรอก ห้าพันศิลาปฐมโลกาเท่านั้น” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพูด


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง


ราคาปกติของหัวใจหลิวเมฆาแดงอยู่ที่หกพันศิลาปฐมโลกา ตนเองเป็นผู้เสนอซื้อ คนอื่นทั่วไปก็ต้องโก่งราคากันทั้งนั้น ทว่าคนตรงหน้ากลับลดราคาให้อีกอย่างนั้นหรือ


“ทว่าข้ามีเรื่องหนึ่ง” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวมองตงป๋อเสวี่ยอิง


“พูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงนิ่งสงบ นี่อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว


“นอกจากห้าพันศิลาปฐมโลกา ข้ายังหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าทำเรื่องสามเรื่องให้สำเร็จ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพูด “เรื่องแรก เจ้าจะต้องไปพาเด็กคนหนึ่งมาจากโลกทิพย์นิจนิรันดร์ เขาเพิ่งจะเป็นขั้นเทพแท้! ข้าหวังว่าเจ้าจะรับเขาเป็นศิษย์ ปกป้องรักษาความปลอดภัยให้เขาบำเพ็ญเป็นเวลาล้านล้านปี นอกจากนี้ยังต้องจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นในการบำเพ็ญให้กับเขาด้วย แน่นอนว่าอย่างมากที่สุดก็ต้องการเพียงแค่ทรัพยากรที่ทำให้ไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น! ถ้าหากล้านล้านปีแล้วเขายังมิได้เป็นเทพอากาศ ทรัพยากรที่เจ้าจำเป็นต้องจ่ายก็ลดน้อยลงแล้ว หลังครบหนึ่งล้านล้านปีข้าก็จะพาเขาจากไป”


“แต่เจ้าต้องรับรองความปลอดภัยของเขาตลอดล้านล้านปี”


“เรื่องที่สอง เจ้าต้องไปที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ กวาดล้างขุมอำนาจหนึ่งที่ชื่อ ‘ผาจอมมาร’ หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารจะต้องตาย พวกเขาสองคนอาจจะเชี่ยวชาญด้านการรักษาชีวิตรอด ดังนั้นหวังว่าเจ้าจะสามารถจัดการพวกเขาสองคนได้ภายในเวลาแสนล้านปี มีเวลาเหลือเฟือเลยทีเดียว”


“เรื่องที่สาม ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์มีสำนักหนึ่งชื่อว่า ‘สำนักปักษาเขียว’ เด็กที่ข้าต้องการให้เจ้าสอนก็เป็นศิษย์ของสำนักปักษาเขียวนี้เช่นกัน หวังว่าเจ้าจะสามารถปกป้องสำนักปักษาเขียวนี้ไปตลอดล้านล้านปี! ภายในระยะเวลาล้านล้านปี สำนักปักษาเขียวห้ามถูกทำลายการมีอยู่ของสำนัก ทั้งยังห้ามถูกทำลายล้างอีกด้วย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นค้นหาข้อมูลผ่านป้ายคำสั่งส่งสารในทันที


โลกทิพย์นิจนิรันดร์


อยู่ใต้ปกครองของบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกา และพวกเขาสองคนดูเหมือนจะแบ่งทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์จากหนึ่งออกเป็นสอง แต่ละคนปกครองอาณาเขตครึ่งหนึ่ง


ทว่าอาณาเขตใต้ปกครองของบรรพชนโลกานั้นขึ้นชื่อเรื่องความโกลาหล การบำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกินที่นี่เปิดกว้างอย่างสมบูรณ์ ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้และกลืนกินอย่างลำพองใจ ที่นี่จึงย่อมโกลาหลเสียยิ่งกว่า ‘หุบเหวลึกดำมืด’ ของจักรวาลภูมิลำเนาเสียอีก


หนึ่งในนั้น ‘ผาจอมมาร’ ก็คือขุมอำนาจที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง สำนักปักษาเขียวอ่อนแอกว่าเล็กน้อย สองขุมอำนาจนี้ต่างก็อยู่ภายใต้อาณาเขตปกครองของบรรพชนโลกา


หัวหน้าทั้งสองของผาจอมมารต่างก็เป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว กลืนกินไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงฉาวโฉ่…


สำนักปักษาเขียวเป็นสำนักของระบบศาสตร์โบราณ มี ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปักษาเขียว’ ที่ร้ายกาจเป็นที่สุด มีผู้บำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณจำนวนไม่น้อยที่เข้าสู่สำนักนี้


ต้องรู้ไว้ว่าสำหรับระบบศาสตร์โบราณ เคล็ดวิชาสืบทอดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง! ทรัพยากรก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นเดียวกัน ถ้าหากไม่มีเคล็ดวิชาสืบทอด คลำทางด้วยตัวเอง บางทีก็อาจสามารถยกระดับพลังยุทธ์ได้ แต่กลับไม่มีทางขุดค้นพบศักยภาพที่เพียงพอได้เลย


จุดเริ่มต้นเดียวกัน… เคล็ดวิชาสืบทอดแตกต่างกัน พลังยุทธ์ในอนาคตก็อาจจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณมาเป็นจำนวนมากในขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาบันทึกเอาไว้นั้นมีจำนวนมากที่ซับซ้อนเกินไป มิได้ตระหนักรู้อย่างแท้จริง เขาจึงมิอาจถ่ายทอดต่อได้


“ธุระของข้าก็คือสิ่งเหล่านี้แหละ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ถ้าหากเจ้ารับปากแล้ว เช่นนั้นข้อตกลงซื้อขายนี้ก็เสร็จสิ้นแล้วล่ะ แน่นอนว่าถ้าหากทำมิได้เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสามเรื่องนี้ เจ้าก็ต้องจ่ายมาหนึ่งพันศิลาปฐมโลกาเพื่อชดเชย ถ้าหากทั้งสามเรื่องล้วนทำไม่สำเร็จทั้งหมด ก็ต้องชดเชยสามพันศิลาปฐมโลกา! ตำหนักกิเลนบูรพาเป็นพยาน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยว “เด็กที่ท่านต้องการให้ข้าไปพาตัวมาเป็นใครกันหรือ”


“เจ้ารับปากข้าแล้วข้าก็จะบอกเจ้าเองนั่นแหละ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพูด


“ข้าจะรีบเดินทางไปยังโลกทิพย์นิจนิรันดร์ แต่การจะไปถึงสำนักปักษาเขียวก็จำเป็นต้องใช้เวลา ถ้าหากระหว่างที่กำลังเร่งเดินทาง เด็กที่ข้าต้องพาตัวมาเกิดตายไปเสียแล้ว หรือถ้าสำนักปักษาเขียวถูกทำลายล้างไปแล้ว นี่ก็ต้องโทษข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


“ตั้งแต่ข้อตกลงซื้อขายเสร็จสิ้น! เจ้าต้องไปให้ถึงสำนักปักษาเขียวภายในเวลาพันปี ถ้าหากเด็กคนนั้นตาย หรือสำนักปักษาเขียวถูกทำลายล้างไปภายในพันปีนี้ นี่ก็ย่อมไม่โทษเจ้าอยู่แล้ว” ชายวัยกลางคนผู้โดดเดี่ยวยิ้มเย็น “แต่ว่าเจ้าห้ามลอบส่งยอดฝีมือไปทำลายล้างสำนักปักษาเขียวภายในพันปีนี้ ถ้าหากเจ้าทำเช่นนี้ ข้าก็จะตามจองล้างจองผลาญเจ้าจนตายอย่างแน่นอน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ


เขาไม่เห็นพลังยุทธ์ของบุคคลตรงหน้านี้อยู่ในสายตาเลย แต่ว่าภายในตำหนักกิเลนบูรพา ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็มิอาจยุ่มย่ามได้! ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังสามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่การสังหารแขกภายในตำหนักกิเลนบูรพานั้นก็เท่ากับล่วงเกินดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายในโลกทิพย์กิเลนบูรพา! ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ยังมิอาจต้านรับผลกระทบนี้ได้เลย


“วางใจเถิด ข้าไม่รังเกียจที่จะทำเช่นนั้นหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ข้าจะไปให้ถึงสำนักปักษาเขียวภายในหนึ่งปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ที่ท่านพูดมาทั้งหมด ข้าจะพยายามทำอย่างสุดกำลัง สำหรับสำนักปักษาเขียว ขอเพียงแค่มิใช่ร่างจริงของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมาโจมตี ข้าก็สามารถรักษาความปลอดภัยให้ที่นั่นได้”


“ดี” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวดวงตาเปล่งประกาย


หนึ่งปีก็ไปถึงแล้วหรือ


ระยะทางระหว่างโลกทิพย์สองแห่งห่างไกลกันเพียงใด ภายในหนึ่งปีก็ไปถึงสำนักปักษาเขียวได้ ราคาที่ต้องจ่ายย่อมไม่น้อยแน่นอน


“เจ้ารับปากแล้วหรือ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพูด


“รับปากแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย


ปกป้องความปลอดภัยของเด็กอย่างนั้นน่ะหรือ


เด็กที่เพิ่งเป็นขั้นเทพแท้คนหนึ่ง ตนพาเขาไปยังจักรวาลภูมิลำเนาได้อยู่แล้ว!


สังหารหัวหน้าสองคนของผาจอมมารอย่างนั้นหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายเลยแล้วก็ไม่แยแสอารมณ์ของอีกฝ่ายมากยิ่งกว่า ในเมื่อเป็นมารสองตนที่กลืนกินไปมากมายนับไม่ถ้วน ฆ่าไปเขาก็ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย!


ปกป้องสำนักหนึ่งหรือ ในใจเขาคิดแวบเดียวก็มีวิธีแล้ว


“ฮ่าฮ่าฮ่า มีตำหนักกิเลนบูรพาเป็นพยาน เชื่อว่าเจ้าต้องสามารถทำได้แน่” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีหีบหยกใบหนึ่งปรากฏขึ้น “ภายในนั้นก็คือหัวใจหลิวเมฆาแดง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ในที่สุดก็ได้มาไว้ในมือแล้ว


………………………………………..


ตอนที่ 4 การสำรวจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ตำหนักกิเลนบูรพาเป็นพยาน ข้อตกลงซื้อขายนี้สำเร็จแล้ว ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวจึงค่อยวางใจลงมาได้อย่างสิ้นเชิง เขาวิตกกังวลเกินไปแล้ว ตั้งแต่ผจญภัยจนได้ ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ อันล้ำค่ามา เขาก็วิตกกังวลเป็นอย่างมากอยู่ตลอดเวลา กระทั่งรู้สึกว่า ‘โลกทิพย์นิจนิรันดร์’ อันตรายเกินไป สามารถพบเห็นค่ายสังหารได้บ่อยๆ จึงยอมเสียเวลากว่าล้านปีให้ส่งตัวมายังโลกทิพย์กิเลนบูรพาโดยไม่เสียดายสิ่งใด


พูดถึงอันดับของโลกทิพย์กิเลนบูรพา ก็ยังดีกว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอยู่พอสมควร


ก่อนที่ข้อตกลงซื้อขายจะสำเร็จ เขาก็วิตกกังวลเป็นอย่างมาก ปากเขาเรียกราคา ‘ห้าพันศิลาปฐมโลกา’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้กระทั่งหนึ่งร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!


“มีศิลาปฐมโลกาเหล่านี้ แผนของข้าก็ดำเนินไปได้แล้ว พลังยุทธ์ของข้าก็สามารถยกระดับขึ้นได้อย่างมหาศาล” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวเอ่ยพึมพำ เขามีแผนการมากมายเหลือเกิน “เผิงเอ๋อร์ อาจารย์อาอย่างข้าต้องการเวลาบำเพ็ญยกระดับให้ดี ระยะเวลาล้านล้านปี… ข้าจะต้องกลับมายังสำนักปักษาเขียวอย่างแน่นอน! พอถึงตอนนั้นข้าก็จะกลายเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดในสำนักปักษาเขียว ปกครองสำนักปักษาเขียว!”


โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โดยเฉพาะอาณาเขตที่บรรพชนโลกาปกครองนั้นอันตรายเกินไป ไม่เหมาะสมสำหรับให้เขาพัฒนาการบำเพ็ญ


“อวิ๋นเผิงหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับข้อมูลของเจ้าเด็กผู้นั้นแล้วก็อดที่จะถามมิได้ “ท่านจากสำนักปักษาเขียวมานานเท่าใดแล้วหรือ”


“หลายล้านปีแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวพูด


“ท่านแน่ใจว่าอวิ๋นเผิงเขายังอยู่ที่สำนักปักษาเขียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม


ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวสะดุ้งคราหนึ่ง “คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง”


“ข้าว่าท่านตรวจสอบดูสักหน่อยก่อนดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองประมุขตำหนักย่อยของตำหนักกิเลนบูรพาแห่งนี้ผู้อยู่ด้านข้างยิ้มๆ “ประมุขตำหนักฉีฟู่ สำหรับตำหนักกิเลนบูรพาของพวกท่านแล้ว การจะตรวจสอบว่าเจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงผู้นี้ยังอยู่ที่สำนักปักษาเขียวหรือไม่ มิใช่เรื่องยากเย็นหรอกกระมัง”


“หนึ่งก้อนศิลาปฐมโลกา” ประมุขตำหนักฉีฟู่ท่านนี้เอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี


“ได้” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวเอ่ยขึ้นทันควัน


เพียงก้อนเดียวเท่านั้นเองหรือ


เขาในตอนนี้มั่งคั่งร่ำรวย ย่อมไม่สนใจสิ่งเล็กน้อยเพียงเท่านี้อยู่แล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุรากับชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยว รอคอยข่าวคราวจากทางตำหนักกิเลนบูรพา เบื้องหลังของตำหนักกิเลนบูรพาก็คือเมืองราชันย์มีด ตำหนักเทพอากาศ เมืองดาราราย และวังบรรพชนกู่


ในบรรดาเหล่านั้นก็มีผู้แกร่งกล้าของศาสตร์โบราณอยู่จำนวนหนึ่ง สามารถตรวจสอบสำนักปักษาเขียวในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางไกลได้โดยตรง


เพียงชั่วครู่


“เจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงมิได้อยู่ภายในสำนักปักษาเขียว” ประมุขตำหนักฉีฟู่พูด “ข้ายังจะมอบข้อมูลอย่างหนึ่งให้โดยไม่คิดข้าใช้จ่าย ยามที่ตรวจสอบสำนักปักษาเขียวพบว่ามีศิษย์ของสำนักปักษาเขียวกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่… พูดว่ามีศิษย์กลุ่มหนึ่งถูกลักพาตัวไปข้างนอก อวิ๋นเผิงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”


หัวใจของชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวที่ลอยคว้างอยู่ เมื่อได้ยินว่าถูกลักพาตัวไปจึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย อย่างน้อยก็ยังมีความหวังว่าจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกันหรือ”


“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า” ประมุขตำหนักฉีฟู่ส่ายศีรษะ “ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอน การจะตรวจสอบก็มิได้ง่ายดายเช่นนั้น”


“ก็สามารถตรวจสอบได้นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


เช่นที่วังทวีสูญ ตอนนั้นที่ตามรอยมือสังหารที่สังหารตน ถ้าหากมิใช่ประมุขหอหมื่นโลกาขัดขวาง เกรงว่าคงจะหาตัวพบแล้ว


ประมุขตำหนักฉีฟู่มองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ ก็สามารถตรวจสอบได้ แต่ค่อนข้างจะยุ่งยากมากเหลือเกิน ตรวจสอบครั้งหนึ่งต้องใช้สองร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา”


“สองร้อยก้อนหรือ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวถลึงตา


เขาถูกส่งตัวมาจากโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ยังจ่ายไปเพียงสิบก้อนศิลาปฐมโลกาเท่านั้น! เช่นยอดฝีมือที่สามารถบุกผ่านชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวได้โดยทั่วไป สมบัติล้ำค่าทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันก็ไม่แน่ว่าจะถึงสองร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาได้ แลกกับการตรวจสอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้นน่ะหรือ


“เจ้าจะไม่ตรวจก็ได้นะ” ประมุขตำหนักฉีฟู่อมยิ้ม


“ตรวจสิ!” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวขบกราม


นี่คือคนใกล้ชิดที่เขาสนิทใจด้วยที่สุด จำเป็นจะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง


คราวนี้ก็รอคอยมานานแล้ว


กว่าสองชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป ประมุขตำหนักฉีฟู่จึงเอ่ยว่า “ตรวจสอบกระจ่างแล้ว ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งอยู่ภายในจวนเทพเนตรมารของ ‘นครภัตตาหารทองคำ’ แห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์”


“นครภัตตาหารทองคำหรือ ข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ” สีหน้าของชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวซีดขาวอยู่บ้าง


นครภัตตาหารทองคำ


เป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนใต้ปกครองของผู้ครองโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำก็คือหนึ่งในศิษย์ถ่ายทอดเองจำนวนมากมายของ ‘บรรพชนโลกา’


“ภายในหนึ่งปี ข้าสามารถไปยังนครภัตตาหารทองคำ แล้วช่วยเจ้าเด็กน้อยที่ชื่อว่าอวิ๋นเผิงผู้นี้ออกมาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“เจ้ามั่นใจหรือ” ชายวัยกลางคนผู้มีเขาเดี่ยวมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นเต้น เท่าที่เขาดู ผู้ครองนครภัตตาหารทองคำนั้น ลำพังแค่สถานะ ‘ศิษย์ถ่ายทอดเองของบรรพชนโลกา’ … ก็สามารถเดินอาดๆ ในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ได้แล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม


ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะโชคดีได้รับสมบัติล้ำค่าไป แต่สำหรับบุคคลระดับสูงของโลกทิพย์ทั้งสามแล้วก็ยังน้อยนิดเหลือเกิน


“มั่นใจสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


……


หลังจากที่ข้อตกลงซื้อขายทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปจากโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้วกลับไปยังจักรวาลภูมิลำเนาตามลำพัง


ณ จวนจ้าวทะเลหมอกดำ ภายในจักรวาลภูมิลำเนา


“จิ้งชิว จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาถึงจวนก็เห็นเงาร่างของภรรยากำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ไกลๆ จึงตะโกนขึ้นมา


อวี๋จิ้งชิวหมุนกายมาแล้วพูดยิ้มๆ “เสวี่ยอิง เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า เจ้าบอกว่ามีเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ก็ยังมิได้พูดให้ละเอียด ที่แท้แล้วมีเรื่องน่ายินดีอันใดกันหรือ”


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะส่งเสียงหัวเราะมิได้


เป็นเรื่องน่ายินดีอันยิ่งใหญ่ทีเดียว


เพื่อให้ได้หัวใจหลิวเมฆาแดงมา ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ!


ในทางหนึ่งตนก็ต้องมาถึงระดับพลังยุทธ์ในปัจจุบัน อีกทางหนึ่งก็ยังโชคดีที่สามารถเข้าไปในขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาได้โดยบังเอิญ! หากมิได้ขุมทรัพย์มา ตนจะมีปัญญาไปซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงไหวได้อย่างไรกัน หากอาศัยเวลาค่อยๆ สะสมเก็บหอมรอมริบ เช่นนั้นก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องสะสมไปจนถึงเมื่อใด


“ที่แท้แล้วเป็นเรื่องน่ายินดีอันใดกัน รีบพูดมาเถิด” อวี๋จิ้งชิวอดที่จะเร่งเร้ามิได้


ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม ทันใดนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นโถงตำหนักแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศแล้วร่อนลงบนพื้นหญ้า กินพื้นที่ร้อยลี้เต็มๆ


อวี๋จิ้งชิวมองปราดหนึ่งก็รู้สึกว่าโถงตำหนักนี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ลำพังแค่ระลอกของกลิ่นอายอันไร้รูปร่างก็ทำให้นางรู้สึกกดดันแล้ว


“ตามข้าเข้ามาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพาภรรยาเข้าสู่โถงตำหนักแห่งนี้


“จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็บำเพ็ญอยู่ภายในนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ พูดแล้วก็พลิกมือคราหนึ่ง หยิบเอาขวดหยกสีดำใบหนึ่งออกมา เขาโบกมือคราหนึ่ง ขวดหยกสีดำก็ลอยเข้าไปทางร่องอันหนึ่งบนผนังที่อยู่ไกลออกไป แล้วติดอยู่พอดี ฟิ้ว พื้นผิวของขวดหยกสีดำก็มีเส้นสายสีทองพรั่งพรูออกมา ทุกหนแห่งทั่วทั้งโถงตำหนักต่างก็เริ่มมีเส้นสายพรั่งพรู ไอหอมอ่อนจางขุมหนึ่งค่อยๆ แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งด้านในของโถงตำหนัก


เมื่อได้กลิ่นไอหอม ดวงวิญญาณต่างก็สงบอย่างหาใดเทียม


“ไอหอมนี้สามารถคงอยู่ได้สามร้อยแปดสิบล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบเอาหีบหยกออกมา พอเปิดหีบหยกแล้ว ภายในหีบก็คือ ‘หน่อไม้เขียว’ ที่ดูเหมือนจะอ่อนอย่างยิ่ง และส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่อนหนึ่ง ทว่าดูเผินๆ เหมือนหน่อไม้ แต่พอมองอย่างละเอียดแล้วก็ยังมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก ผิวชั้นนอกของมันมีพื้นผิวกึ่งโปร่งแสงหลายชั้น


“กินมันให้หมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางภรรยา


อวี๋จิ้งชิวสัมผัสได้เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แผ่ออกมาจากภายในหีบหยกเท่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกร้องของดวงวิญญาณ พลันหยั่งรู้ใคร่ครวญ ประสิทธิภาพก็สูงส่งจนเกินจริง จนเกือบจะเทียบเคียงได้กับการตระหนักรู้ที่นางเคยประสบมาแล้ว


นางรู้ว่าที่สามีไปจากจักรวาลภูมิลำเนาในตอนแรกก็เพื่อเสาะหาสมบัติล้ำค่ามาช่วยให้พวกนางบรรลุ แต่ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ต่างก็บรรลุได้ด้วยตนเองไปแล้ว เหลือเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น!


ก่อนหน้านี้ที่สามีดีใจเสียใหญ่โต คาดว่าก็คงเป็นเพราะสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้กระมัง


“อืม” อวี๋จิ้งชิวหยิบขึ้นมาแล้วกัดเบาๆ คำหนึ่ง กรอบเหลือเกิน เพิ่งเข้าปากก็เปลี่ยนแปรเสียแล้ว เปลี่ยนกลายเป็นพลังงานสีเขียวขุมหนึ่งซึมซาบเข้าไปภายในร่างกาย นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ อันทำให้เกิดความรู้สึกที่กระตุ้นให้ดวงวิญญาณสั่นสะท้านยิ่งกว่ากลิ่นหอมเมื่อครู่เสียอีก


“เร็วเข้าสิ กินให้หมดเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


อวี๋จิ้งชิวกัดต่ออีกสองคำก็กินลงไปจนหมด


นางย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่นางกินไปคือสมบัติล้ำค่าที่มีค่ามากมายเพียงใด! ถ้าหากนำหัวใจหลิวเมฆาแดงอันนี้ไปแลกเปลี่ยน… สามารถได้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่า ‘หมาไนสีดำ’ ของสถานที่แรกเริ่มเสียอีก และราคาสำหรับสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งก็ยังมิอาจเทียบได้กับหัวใจหลิวเมฆาแดงอันหนึ่งเลย! แม้แต่สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถือกำเนิดใหม่ที่ค่อนข้างอ่อนแอบางคนก็ไม่แน่ว่าจะสามารถซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงได้


……………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)