Snow Eagle Lord ภาค 28 ตอนที่ 7-8
ตอนที่ 7 เขากระบี่สวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
วังทวีสูญ ยอดเขาหลิงอวิ๋น
ยอดเขาหลิงอวิ๋นเป็นหนึ่งในยอดเขาแขวนลอยจำนวนมากมาย ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกเป็นที่พำนัก ทั่วทั้งยอดเขามีคูหาพำนักอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทั้งยังมีหุ่นเชิดรับใช้อยู่เพียงตนเดียวเท่านั้นอีกด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วร่อนลงตรงปากคูหาพำนักบริเวณครึ่งทางลาดเขาของยอดเขาหลิงอวิ๋น
“เจ้านาย” สาวใช้ชุดเขียวเอ่ยอย่างเคารพ นางมองเจ้านายบ้านตนอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง เจ้านายบ้านตนมีความเป็นเอกลักษณ์มากอย่างแท้จริง
ผู้อาวุโสตำหนักในโดยทั่วไป ถ้าไม่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการบำเพ็ญอยู่ภายในคูหาพำนักของตัวเอง ทว่าเจ้านายบ้านตนกลับดูเหมือนว่าจะบำเพ็ญอยู่ภายในตำหนักกาลเวลาอยู่ตลอด สถานที่แห่งนั้นมีราคาแพงระยับ อย่างเช่นการบำเพ็ญหนึ่งร้อยแปดสิบล้านปีในครั้งนี้ก็จ่ายไปถึงสี่แสนห้าหมื่นแต้มความดีความชอบ ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว ผู้อาวุโสตำหนักในคนอื่นๆ อาจทำเช่นนี้บ้างเป็นระยะๆ แต่จะกล้าฟุ่มเฟือยเช่นนี้ตลอดเวลาเสียที่ไหนกัน!
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในคูหาพำนักของตนแล้วตรงไปหาที่นั่งในศาลาด้านข้างก่อนจะนั่งลงดื่มสุราตามลำพังรอคอยอย่างเงียบๆ สาวใช้ชุดเขียวมีความสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ยังคอยท่าอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ
ผ่านไปเพียงชั่วครู่
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก
“พาเขาเข้ามา” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง สาวใช้ชุดเขียวรับคำสั่งแล้วออกไปต้อนรับ เป็นคูหาพำนักของผู้อาวุโสตำหนักในหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถบุกรุกได้
เพียงไม่นานชายหนุ่มวัยเยาว์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วส่งมอบกำไลเก็บวัตถุธรรมดาๆ วงหนึ่งให้อย่างเคารพนบนอบ “ผู้อาวุโสตงป๋อ นี่คือสิ่งของที่ประมุขตำหนักสั่งให้ส่งมาขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกมา กำไลเก็บวัตถุก็ลอยตรงเข้าสู่อุ้งมือของเขา เขาหลอมรวมและตรวจดูอย่างง่ายๆ รอบหนึ่ง ภายในกำไลเก็บวัตถุมีกริชอยู่แน่นขนัดจำนวนทั้งสิ้นสามพันหกร้อยเล่ม นี่คืออาวุธมีดบินโจมตีหมู่ชุดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เงายะเยือก’ ตัวมีดบินเหล่านี้เองผนวกกับค่ายกลแล้วสามารถรวมเป็นร่างเดียวแล้วเข้าโจมตีได้
แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนใจ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญก็คืออาวุธมีดบินชุดนี้มีจำนวนมากพอดูทีเดียว! เหมาะสมกับมังกรมัจฉาปลิดชีพ หนึ่งในเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่สิ้นสุดของเขาพอดีอาวุธมีดบิน อาวุธเทพอากาศชั้นเลิศชุดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนมากเป็นที่สุดก็ยังไม่เพียงพอ เพราะวัสดุที่ใช้ผลิตทุกเล่มล้วนมีอยู่น้อยนิด จ่ายไปหกแสนแต้มความดีความชอบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังค่อนข้างเต็มใจ
ถึงอย่างไรเกราะพลก็ยังห่อหุ้มอยู่บนอาวุธอันร้ายกาจ พลังคุกคามจึงสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้! ลำพังอาศัยเพียงแค่การโจมตีของเกราะพลก็ยังอ่อนแอเกินไปสักหน่อย
ภายในกำไลเก็บวัตถุนี้นอกจากกริชแล้วก็ยังมีของเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อยู่อีกหลายชิ้น นับรวมกับมีดบิน ทั้งหมดนี้ก็ต้องจ่ายไปถึงหนึ่งล้านห้าแสนแต้มความดีความชอบ! ถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงลิ่ว แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่า ต่อให้ตนเองไม่ใช้ก็สามารถขายทิ้งเปลี่ยนมือได้ในอนาคต! ย่อมไม่มีทางขาดทุนอยู่แล้ว
“ถอยไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง
“ขอรับ” ชายหนุ่มผู้เยาว์วัยคารวะด้วยความเคารพก่อนจะก้าวถอยไป
“ดินแดนเก้าเมฆา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นรับภารกิจผ่านป้ายคำสั่งส่งสารในทันที ภารกิจของดินแดนเก้าเมฆา โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา โลกทิพย์กิเลนบูรพา และโลกทิพย์โบราณทั้งหมดต่างก็มีผู้แกร่งกล้าเข้าไปทั้งสิ้น สำนักทิพย์โบราณลัทธิจอมมารดาก็สามารถแทรกซึมเข้าไปได้เช่นเดียวกัน
หลังจากรับภารกิจแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำความคุ้นเคยกับอาวุธมีดบินเหล่านี้เล็กน้อย เขารอจนดื่มสุราหมดไปไหหนึ่งอย่างผ่อนคลายแล้วจึงค่อยยืดกายลุกขึ้น
“ถ้าหากมีสหายมาขอพบข้าก็บอกไปว่าข้าออกไปข้างนอกแล้ว ทั้งยังอาจจะออกไปข้างนอกเป็นเวลานานมากด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ชุดเขียวรับคำสั่งด้วยความเคารพ ขณะเดียวกันก็ลอบบ่นพึมพำ เจ้านายของตนผู้นี้หยุดอยู่กับที่มิได้สักเล็กน้อยเลยจริงๆ! เพิ่งออกจากการปลีกวิเวกมาก็จะออกไปอีกแล้ว ผู้อาวุโสตำหนักในท่านอื่นๆ ต่างก็ผ่อนคลายกว่ามากนัก
ฟิ้ว
สาวใช้ชุดเขียวมองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสงทะยานจากไป แต่นางกลับไม่รู้ว่าผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ มิได้สนใจกาลเวลา หากแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ในตำหนักกาลเวลาตลอดก็เพื่อประหยัดเวลา สิ่งที่เขามิอาจสูญเสียไปได้มากที่สุดก็คือเวลานี่เอง!
ศิษย์เทพแท้จำนวนมากได้พบเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวกในครั้งนี้ ก็ย่อมมีผู้อาวุโสตำหนักในจำนวนหนึ่งเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงไปพบอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่ง ‘เหลยเฉินและชิงรั่ว’ สองสามีภรรยาก็มาเยี่ยมคารวะด้วย… น่าเสียดายที่พวกเขามาคารวะแล้วจึงได้รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงออกไปข้างนอกเสียแล้ว นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าจะเนิ่นนานมากอีกด้วย! สำหรับผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าคนหนึ่งแล้ว พูดว่า ‘เนิ่นนานมาก’ โดยทั่วไปนั้นก็อาจเนิ่นนานจนเกินจริง
******
ดินแดนเก้าเมฆากว้างใหญ่ไพศาล มีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแหวกทางเชื่อมกาลมิติแล้วเดินทางไปทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆาอย่างไม่หยุดหย่อนก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน เนิ่นนานเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ บุคคลที่ในความจริงแล้วเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดซึ่งอยู่อย่างสันโดษในดินแดนเก้าเมฆา… เทพจักรวาล ‘บรรพชนกฎฉุนอี’ ได้มีคำสั่งลงมาก่อนแล้วว่าห้ามสร้างค่ายกลส่งถ่ายมิติ! เช่นภายในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าต่างก็มีค่ายกลส่งผ่านอยู่เป็นจำนวนมาก การเดินทางยังยากเย็นถึงเพียงนั้น แต่ดินแดนเก้าเมฆากลับไม่มีค่ายกลส่งผ่าน การเดินทางก็ต้องยากเย็นยิ่งกว่า นี่ก็คือสิ่งที่บรรพชนกฎฉุนอีทำให้ดินแดนเก้าเมฆามีความยากในการแทรกซึมของสองขุมอำนาจใหญ่มากยิ่งขึ้น!
ไม่มีค่ายกลส่งผ่าน ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดอย่างแท้จริงที่สองขุมอำนาจใหญ่ส่งมา สุดท้ายก็มีจำนวนเพียงน้อยนิด แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าธรรมดาทั่วไป… ก็ย่อมมิอาจสั่นคลอนอำนาจของทั้งดินแดนเก้าเมฆาได้ ถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าในท้องถิ่นก็มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวเช่นเดียวกัน มีแม้กระทั่งขั้นอลวนถือกำเนิดขึ้น
“โครม…”
ท่ามกลางห้วงมิติที่บิดเบี้ยวมีเงาร่างของบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นแล้วฟื้นฟูขึ้นมาพร้อมกับห้วงมิติโดยรอบ
“ดินแดนเก้าเมฆาหรือ” บนใบหน้าของบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้สวมหน้ากากสีเงิน เปลี่ยนเป็นผมสีขาว อีกทั้งยังสวมหน้ากากก็เพื่อให้มิถูกจดจำรูปโฉมได้ กับสำนักทิพย์โบราณนั้นเขายังคงระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง มองไปรอบสี่ทิศ แรงกดดันของกฎเกณฑ์ฟ้าดินทางนี้ก็แกร่งกล้าเป็นที่สุดอ่อนแอกว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้กลิ่นอายอันไพศาลของห้วงฟ้าดินนี้ยังดูเหมือนจะสบายกว่าอีกด้วย
“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นชิ้นส่วนของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ถึงแม้จะเล็กกว่าโลกทิพย์อยู่สักหน่อย แต่กลิ่นอายกลับมีผลหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนหนึ่งเป็นอย่างมาก แต่จะช่วยขั้นเทพอากาศได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบตัดสินอย่างลับๆ ว่าการบำเพ็ญในระดับล่างของดินแดนเก้าเมฆาแห่งนี้ยังร้ายกาจกว่าโลกทิพย์อยู่สักหน่อย
“การมาเยือนดินแดนเก้าเมฆาช่างผ่อนคลายนัก ได้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ช่วยเหลือก็สามารถส่งตัวมาได้โดยตรง แต่การกลับไปนั้นยุ่งยากเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ
ทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆามียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอยู่จำนวนน้อยนิดเท่านั้น
ผู้ที่รู้เรื่องการส่งตัวผ่านระยะทางไกลก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว! ถึงแม้ว่าบรรพชนกฎฉุนอีจะเป็นเทพจักรวาลก็ไม่สามารถทำได้ การที่ตนจะกลับไปยังวังทวีสูญก็ได้แต่เดินทางข้ามผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น
“เฮ้อ…”
“ดินแดนเก้าเมฆา…”
“ระดับความอันตรายของที่นี่มิได้มากไปกว่าชายขอบของห้วงอากาศเลย! แต่ก็ยังนับว่าเหมาะสมกับข้า ทุ่มเทกำลังทั้งหมดดีกว่า กอบโกยศิลาปฐมโลกาจากที่นี่ให้ได้มากที่สุด”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
พรึ่บ
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปกลางอากาศแล้วเริ่มต้นหลบหลีกในอากาศ
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ความสำเร็จในสายผู้ท่องอากาศของเขาจะสามารถแหวกทางเชื่อมกาลมิติออกมาได้แล้วก็ตาม แต่เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการดูอย่างละเอียด ก่อนอื่นเขาต้องระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของบริเวณรอบๆ ตนให้ได้เสียก่อน ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่งตัวผ่านระยะทางไกลก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้แผนที่ดินแดนเก้าเมฆาที่วังทวีสูญมอบให้นั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ยังไม่ค่อยละเอียดสักเท่าใดนัก เพียงแค่บันทึกจุดสังเกตและขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งเอาไว้เท่านั้น! สำหรับขุมอำนาจขนาดเล็กและอ่อนแออย่างนั้นหรือ มีความเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป
“ฟิ้ว”
เรือใหญ่อันหรูหราลำหนึ่งลอยเคลื่อนอยู่กลางฟากฟ้าเบื้องบน บนเรือยังมีองครักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก องครักษ์ล้วนเป็นระดับเทพแท้ นอกจากนี้หัวหน้าองครักษ์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือยังเป็นระดับเทพอากาศอีกด้วย
“หืม ภายในเรือบินลำนี้มีเทพอากาศอยู่ถึงเก้าคน และยังมีแม้กระทั่งขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่คนหนึ่งด้วยอย่างนั้นหรือ จะต้องเป็นขุมอำนาจสักแห่งหนึ่งแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านอากาศตรวจตราโดยรอบสี่ทิศโดยหมายจะกำหนดตำแหน่งเคลื่อนที่ผ่านอากาศแล้วพลันตรวจพบเรือบินลำนี้เข้า ขั้นรวมเป็นหนึ่งต่างก็นับเป็นยอดฝีมือในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ก็ย่อมเป็นยอดฝีมือในดินแดนเก้าเมฆาเช่นเดียวกัน
หากเป็นสถานที่เล็กๆ เหมือนกับที่แผ่นดินอลหม่านและในจักรวาล ก็ต้องเป็นของมหาอำนาจที่ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าแล้ว
“สามหาวนัก!”
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของเรือบิน เหล่าองครักษ์ของเรือบินที่พบเห็นก็อดที่จะตะคอกมิได้ ถึงแม้ว่าจะตะโกนอย่างเดือดดาลแต่องครักษ์เหล่านี้ก็เข้าใจดีว่ามิอาจยั่วยุบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ได้ เพราะตามปกติแล้วขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้นที่จะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แน่นอนว่าขั้นกำเนิดที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญทางด้านห้วงอากาศจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแล้ว
เพียงไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากภายในเรือใหญ่ ผู้ที่นำมาก็คือสตรีอาภรณ์สีแดงนัยน์ตาสุกสกาวคนหนึ่ง นางมองดูบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวที่อยู่นอกเรือใหญ่
“เจ้าเป็นใครกัน บังอาจมาขัดขวางเรือรบของเขากระบี่สวรรค์ของข้า” สตรีอาภรณ์สีแดงเอ่ยปากพูด
………………………………..
ตอนที่ 8 มอบสมบัติล้ำค่ามา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เขากระบี่สวรรค์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจกระตุกขึ้นมา แม้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จะส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นและคลาดเคลื่อนไปค่อนข้างมาก แต่ก็สามารถวาดขอบเขตได้คร่าวๆ แล้ว นอกจากนี้ในบริเวณนี้ยังมีขุมอำนาจอันใหญ่โตซึ่งมีนามว่า ‘เขากระบี่สวรรค์’ อยู่ด้วย ผู้นำขุมอำนาจนี้คือ ‘ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์’ ซึ่งเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งที่บำเพ็ญมานานอย่างยิ่งผู้หนึ่ง รายงานของวังทวีสูญบันทึกเอาไว้ว่า พลังของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์น่าจะเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ โดยทั่วไปหากผ่านชั้นที่สามได้ก็นับว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดแล้ว สามารถล้างสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปกลุ่มใหญ่ได้ตามอำเภอใจ ผู้ที่สามารถผ่านชั้นที่สี่ได้…โดยทั่วไปหากมิใช่สิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ไร้ศัตรูออย่างผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญแล้ว ก็ต้องเป็นผู้ทรงอำนาจทางฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขากระบี่สวรรค์จึงมีบันทึกอยู่ในรายงานของวังทวีสูญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอยู่หน้าเรือใหญ่ว่า “ขอเรียนถามว่า บึงเมฆรุ้งอยู่ทางไหนหรือ”
บึงเมฆรุ้งอยู่ในแถบนี้เช่นเดียวกัน! ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นขุมอำนาจของเขากระบี่สวรรค์ ตนก็ย่อมมิอาจถามทางไปเขากระบี่สวรรค์ตรงๆ ได้กระมัง
“เจ้าไม่รู้หรือนี่ว่าบึงเมฆรุ้งอยู่ที่ใด” ชายชราผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายสตรีอาภรณ์สีแดงแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง “เจ้าก็เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง หรือว่าไม่มีแม้แต่แผนที่ของบริเวณโดยรอบนี่ เจ้ากำลังกลั่นแกล้งพวกเราอย่างนั้นหรือ”
ด้วยฐานะคนระดับสูงของเขากระบี่สวรรค์ เขาย่อมมีความมั่นใจที่จะแค่นเสียงถามได้
ในบริเวณรอบด้าน เขากระบี่สวรรค์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผู้ทรงอำนาจ
“ข้าเก็บตัวบำเพ็ญมาเนิ่นนานเกินไป เพิ่งจะบรรลุ ก่อนหน้านี้ไปไหนมาไหนน้อยนักจึงมิทราบจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางถามอีกครั้ง “พอจะแจ้งให้ทราบทิศทางของบึงเมฆรุ้งหน่อยได้หรือไม่”
“เฮอะ” ชายชราจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง สงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านอาชวน ผู้อื่นก็แค่ถามทางเท่านั้นเองนะเจ้าคะ” สตรีอาภรณ์สีแดงกลับพูดยิ้มๆ พลางชี้ไปด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย “บึงเมฆรุ้งอยู่ทางทิศนั้น หากขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปทะลุอากาศ ก็จะสามารถไปถึงได้ภายในหนึ่งเดือน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ขอบคุณนะ”
สวบ เขาหายวับไปกลางอากาศ
สตรีอาภรณ์สีแดงมองบุรุษสวมหน้ากากสีเงินผมขาวอาภรณ์ขาวที่อยู่หน้าเรือหายวับไปกับตาเช่นนี้ ก็อดตกตะลึงขึ้นมาบ้างมิได้
“ถามทางจริงๆ น่ะหรือ” ชายชราสงสัยอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบทุกทิศทุกทางโดยละเอียด
“บางทีอาจจะเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งหน้าใหม่ที่เก็บตัวแล้วเพิ่งจะบรรลุคนหนึ่งจริงๆ ก็เป็นได้เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้พลังต่ำต้อย ไปท่องโลกภายนอกน้อยมาก นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก” สตรีอาภรณ์สีแดงกล่าว “พวกเราไปกันเถิด ใกล้จะถึงเขากระบี่สวรรค์แล้ว มิได้พบท่านพ่อตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ”
สวบ
เรือลำนี้บินล่องต่อไปแล้วทะลุเข้าไปในอากาศอย่างรวดเร็ว มันบินไปในอากาศด้วยความเร็วสูง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นที่เดิมอีกครั้ง
“เอ๊ะ ทิศทางที่พวกเขาไปน่าจะเป็นเขากระบี่สวรรค์สินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แม้เรือใหญ่จะมุ่งหน้าไปในอากาศ แต่เขาก็ยังคงสามารถรับรู้ร่องรอยการทะลุอากาศของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน “ทิศทางของบึงเมฆรุ้ง สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นมิได้พูดปดแต่อย่างใด”
เมื่ออ้างอิงจากทิศทางของดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางอากาศ บวกกับทิศทางของบึงเมฆรุ้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตนอยู่ได้ จึงย่อมสามารถคาดเดาทิศทางของเขากระบี่สวรรค์ได้เช่นกัน
เมื่อดูจากทิศทางการบินของเรือใหญ่แล้ว…ก็เป็นทิศทางไปยังเขากระบี่สวรรค์
“ไปเขากระบี่สวรรค์” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“เขากระบี่สวรรค์แทบจะเป็นพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณรอบด้านนี่ พลังของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ข้าต้องคิดหาวิธีทำให้มั่นใจให้ได้ว่าเขาเป็นศิษย์ที่นับถือสองลัทธิหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หากมั่นใจว่าเป็นศิษย์ที่นับถือสองลัทธิแล้ว วิญญาณย่อมมีรอยประทับอยู่ จะต้องฆ่าไม่เว้น! ทว่าจะมั่นใจในตัวตนของอีกฝ่ายได้นั้นเป็นเรื่องยากมาก
เพราะโดยทั่วไปรอยประทับวิญญาณนั้นล้วนถูกแอบซ่อนเอาไว้ แม้เคล็ดลับที่โลกทิพย์ทั้งสามค้นคว้าขึ้นมาจะสามารถตรวจสอบได้ แต่เคล็ดลับนั้นยากยิงนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการรับรู้เช่นนี้ยังต้องใช้เวลาไปในตำหนักกาลเวลากว่าร้อยล้านปีจึงศึกษาได้สำเร็จ!
ศิษย์ของจอมมารดา เมื่อเทียบกันแล้วความยากในการสืบเสาะก็ต่ำกว่า
ศิษย์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหนือกว่า จะตรวจสอบก็ค่อนข้างยาก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีวิธีการอันชาญฉลาดนัก จะตรวจสอบรอยประทับซึ่งเขาทิ้งเอาไว้บนวิญญาณของศิษย์นั้นทำได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปต้องผนึกกำลังของอีกฝ่ายเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่มีแรงตอบโต้ จึงจะสามารถตรวจสอบวิญญาณของอีกฝ่ายได้โดยละเอียด
******
เรือใหญ่บินทะลุไปกลางอากาศ
สตรีอาภรณ์สีแดงยืนอยู่บนระเบียงเรือพลางมองดูอากาศที่บิดเบี้ยวรอบด้านแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใกล้ถึงเขากระบี่สวรรค์แล้ว”
“หากท่านประมุขพรรครู้ว่าครั้งนี้เจ้าบรรลุเป็นเทพอากาศได้สำเร็จแล้วจะต้องดีใจมากแน่นอน” ชายชราด้านข้างพูดยิ้มๆ
“ใช่แล้ว” สตรีอาภรณ์สีแดงพยักหน้า
ทันใดนั้นอากาศเบื้องหน้าก็พลันบิดเบี้ยว มือใหญ่ข้างหนึ่งตรงเข้ามาจับเรือใหญ่เอาไว้ จนเรือใหญ่โคลงเคลงและหยุดลง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” สตรีอาภรณ์สีแดงและชายชราพากันตกใจ เหล่าทหารคุ้มกันรอบด้านต่างก็ตกอกตกใจใหญ่
หากกล่าวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุอากาศและขัดขวางพวกเขาเอาไว้นับว่านุ่มนวลแล้วล่ะก็ เช่นนั้นยามนี้ก็โอหังกว่าอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เรือใหญ่ถูกฉุดดึงออกมายังโลกจริงขณะกำลังทะลุอากาศอยู่
เรือใหญ่หยุดอยู่กลางอากาศ
กลางอากาศตรงหน้ามีเงาร่างสามสายซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งยืนอยู่
“เป็นสามผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคี” ชายชราเห็นเจ้าก็ตกใจใหญ่ เขารีบถ่ายเสียงให้สตรีอาภรณ์สีแดงด้านข้าง “ผู้อาวุโสหุบเขาเปลวอัคคีมาถึงหน้าประตูเขากระบี่สวรรค์ของพวกเรา สถานการณ์ไม่ดีเสียแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้ารีบหนีเอาชีวิตรอดเสีย ข้าจะถ่วงพวกเขาเอาไว้เอง”
ชายชราพูดเสียงดังกังวานว่า “ท่านทั้งสาม ไยจึงมาขัดขวางเรือรบของเขากระบี่สวรรค์เราเสียเล่า”
“ฮ่าฮ่า เขากระบี่สวรรค์ อีกไม่นานก็จะไม่มีเขากระบี่สวรรค์แล้ว”
“ยังคิดว่าผู้ใดที่มากระตุ้นค่ายกลเตือนภัยของพวกเรา ที่แท้แล้วเป็นธิดาสุดที่รักของเจ้าปีศาจเฒ่ากระบี่สวรรค์นั่นเอง”
“ฮ่าฮ่า จับนางทั้งเป็นเสีย”
ผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคีทั้งสามกลับเบิกบานใจนัก เสียงนั้นยังสะท้อนก้องไปทั่ว รอบด้านกลับมีร่างตาข่ายสีแดงขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ร่างตาข่ายนี้บดบังดวงอาทิตย์ปกคลุมไปทั่วทั้งเรือใหญ่ แม้แต่อากาศก็ยังปิดผนึกอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ฉากหน้ายังคงพูดคุยแต่อันที่จริงกลับลอบลงมือเสียแล้ว!
ชายชราร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะแปรเป็นอสนีบาตฟาดลงไปปะทะเข้ากับด้านบนของร่างตาข่าย แต่ร่างตาข่ายสีแดงเพลิงทนทานหาใดเปรียบ สายฟ้านั้นมิอาจกระทบถูกได้เลย
“พวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้นแม้แต่คนเดียว” หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคีพลันอ้าปากกว้าง หมอกสีดำถูกพ่นออกมาจากปาก ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปโดยไม่ถูกร่างตาข่ายขวางกั้นเลยแม้แต่น้อย แล้วเข้ารายล้อมไปทางสตรีอาภรณ์สีแดง เห็นได้ชัดว่าต้องการจะจับตัวเอาไว้ พูดแล้วเหมือนจะช้า แต่อันที่จริงหมอกดำแทรกซึมเข้าไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ
และก็มีเพียงชายชราผู้นั้นเท่านั้นที่แปรเป็นสายฟ้าแล้วเข้าปะทะกับหมอกดำอีกครั้ง แต่กลับยากจะสั่นคลอนได้
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน” ยามนี้สตรีอาภรณ์สีแดงกลับรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา เพราะนางจำคำพูดของอีกฝ่ายได้…‘อีกไม่นานก็จะไม่มีเขากระบี่สวรรค์แล้ว’ นอกจากนี้เห็นๆ กันอยู่ว่าที่นี่ก็ถึงรอบนอกของเขากระบี่สวรรค์แล้ว ฝ่ายตรงข้ามสามารถวางค่ายกลเตือนภัยไว้ที่นี่ได้สำเร็จ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ภายในเขากระบี่สวรรค์จะต้องเลวร้ายมากอย่างแน่นอน
สายฟ้าเข้าพัวพันกับหมอกดำ แต่กระนั้นหมอกดำก็เหนือชั้นกว่าอยู่บ้าง มันยังคงเข้าล้อมไปทางสตรีอาภรณ์สีแดง
ทันใดนั้น…
“ฟิ้ว!”
ประกายกระบี่อันสะดุดตาสายหนึ่งวาดข้ามท้องฟ้าไป แล้วทำลายร่างตาข่ายสีแดงเพลิงซึ่งบดบังดวงอาทิตย์อยู่ลงไป และยังทำลายหมอกดำด้วยเช่นกัน ความเร้นลับอันน่าหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในประกายกระบี่ทำให้หมอกดำสลายหายไปได้อย่างง่ายดาย
ท้องฟ้ากลับคืนสู่ความแจ่มใสอีกครั้ง
บุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวซึ่งสวมหน้ากากผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ พลางมองดูผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคีทั้งสาม
“เป็นเขาหรือนี่” สตรีอาภรณ์สีแดง ชายชราและเหล่าทหารคุ้มกันซึ่งเดิมทีสิ้นหวังไปแล้วต่างก็มองดูบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นั้นด้วยความตกตะลึง พวกเขาจำได้ว่าเป็นผู้ที่ถามทางก่อนหน้านี้นั่นเอง
“พวกเรา พวกเราคือผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเปลวอัคคี” ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็สัมผัสได้ว่าอากาศรอบด้านมีแรงกดดันอันไร้รูปร่างพันธนาการอยู่ นอกจากนี้อานุภาพของประกายกระบี่สายนั้นเมื่อครู่ก็ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อไปหมด พวกเขาเข้าใจว่าอย่างน้อยคนตรงหน้าผู้นี้จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่ง มิใช่ผู้ที่พวกเขาจะสามารถต้านทานได้
“ช่วยสังหารพวกเขาด้วยเถิด พวกเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขากระบี่สวรรค์เรา!” ชายชราบนเรือใหญ่กลับเอ่ยขึ้นทันที
ขุมอำนาจทั้งสองอย่างเขากระบี่สวรรค์และหุบเขาเปลวอัคคีเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันจริงๆ
“ไว้ชีวิตด้วยเถิด พวกเรามิได้มีเจตนาล่วงเกินผู้อาวุโสนะขอรับ” ผู้อาวุโสทั้งสามเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตนอย่างมาก เพราะหากประกายกระบี่เมื่อครู่เข้ามาอีกครั้ง พวกเขาต้องตายแน่นอน
“มอบสมบัติล้ำค่ามาให้หมด แล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
ผู้อาวุโสทั้งสามสะดุ้งโหยง
จากนั้นก็รีบนำสมบัติล้ำค่าทั้งหมดออกมามอบให้โดยไม่ลังเล แม้แต่กำไลเก็บวัตถุหรืออาวุธก็ยังนำออกมาจนหมด แม้แต่อาภรณ์ก็ยังใช้พลังเทพอากาศภายในกายก่อตัวขึ้นมาแทน
“ไม่มีแล้วขอรับ สมบัติล้ำค่าทั้งหมดนำออกมาจนเกลี้ยงแล้วขอรับ” ผู้อาวุโสทั้งสามละล่ำละลัก ขอเพียงสามารถเอาชีวิตรอดได้ แล้วยังต้องสนใจสมบัติล้ำค่าอะไรอีกเล่า หากไม่มีชีวิตแล้ว ทุกสิ่งล้วนต้องสูญสิ้น
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งสามคนนี้ช่างน่าสนุกนัก เขาพลิกมือคราหนึ่งแล้วเก็บวัตถุเหล่านั้นลงไปจนสิ้น
เขากระบี่สวรรค์และหุบเขาเปลวอัคคีเป็นศัตรูกันอย่างนั้นหรือ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนนี่นา!
เมื่อครู่เขาถามทาง และช่วยพวกเขาเอาไว้ก็ไม่เลวแล้ว ส่วนการต่อสู้ระหว่างเขากระบี่สวรรค์และหุบเขาเปลวอัคคีนั้นตนคร้านจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว! จะมีก็แต่ศิษย์ของสองลัทธิใหญ่และผู้ที่ชั่วร้ายจริงๆ เท่านั้นตนจึงจะกำจัดทิ้งทันที ผู้ที่จะสังหารตน ตนก็จะจัดการเช่นเดียวกัน ส่วนการต่อสู้เพราะบุญคุณความแค้นทั่วไปนั้น …จนก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยว นอกจากจะเกี่ยวโยงกับตน
“ขอเพียงได้สมบัติล้ำค่ามาก็พอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ มาถึงดินแดนเก้าเมฆา ตนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเสาะหาสมบัติล้ำค่าให้มากหน่อย
……………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น