Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 28 ตอนที่ 30-33
ตอนที่ 30 ขอความช่วยเหลือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในงานเลี้ยงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดขึ้นมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น
ก็คือประมุขหยวนชูบรรลุเป็นเทพอากาศ!
“ยินดีด้วยๆ”
“ยินดีกับพี่หยวนชูด้วย”
“คิดไม่ถึงว่าท่านก็จะก้าวข้ามขั้นนี้ไปได้เช่นกัน”
พวกบรรพชนหุบเหวลึก ประมุขเกาะกาลมิติ เจ้าแม่กานเหอ ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและผางอีต่างพากันแสดงความยินดี วิญญาณของประมุขหยวนชูวิวัฒน์ไปในพริบตา กลิ่นอายของเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมาก เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วโค้งคำนับทันที “ติดค้างน้องตงป๋อมากทีเดียว หากไร้ซึ่งคำชี้แนะของน้องตงป๋อ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะบรรลุได้เมื่อใด”
“ข้าก็แค่พูดคร่าวๆ เล็กน้อยเท่านั้น ประมุขหยวนชูท่านสามารถบรรลุได้ ก็เพราะการสั่งสมของท่านเองก่อนหน้านี้มากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ตงป๋อ” ผู้ครองชิงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะพูดเกี่ยวกับอากาศไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…”
“ข้าก็แค่ได้อะไรมาบ้างเท่านั้น ข้าจะพูด ส่วนท่านก็ฟังแล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อไป ผู้ครองชิงก็ตั้งใจฟังโดยละเอียด
……
ในงานเลี้ยงของตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งนี้ ถูกผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมถาม แต่ก็จนใจที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญในด้านระลอกคลื่น การเข่นฆ่าและโลกเทียมเพียงสามอย่างเป็นที่สุดเท่านั้น ด้านอากาศเขาก็พอจะเข้าใจเป็นพิเศษอยู่บ้าง ส่วนด้านอื่นๆ เนื่องจากเขาอ่านคัมภีร์ของวังทวีสูญและคัมภีร์ของจักรพรรดิเก้าเมฆามาจนหมดแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถออกความเห็นได้บ้างคร่าวๆ
แต่สิ่งเหล่านี้ กลับทำให้เหล่าผู้ปกครองซึ่งได้แต่บำเพ็ญอยู่ในจักรวาลทั้งหลายดีใจดุจได้แก้ว พวกเขารู้สึกราวกับได้เปิดหูเปิดตาขึ้นมา
******
หลังงานเลี้ยง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เป็นเพื่อนอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาพลางชี้แนะภรรยาอย่างเต็มที่ อีกด้านหนึ่งก็คิดค้นศาสตร์ลับต่อไป เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปพันกว่าปีแล้ว
“เสวี่ยอิง เจ้าเขียนศาสตร์ลับขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพลิกอ่านคัมภีร์ต่างๆ ภายในห้องตำราสะสมแล้วก็อดชมเชยขึ้นมามิได้ “แต่ละวิชาล้วนมุ่งหน้าไปสู่ขั้นเทพอากาศ ข้าก็เคยสร้างศาสตร์ลับขึ้นมาหลายเล่ม แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วกลับห่างชั้นกว่ามากทีเดียว ศาสตร์ลับมากมายถึงเพียงนี้…มีส่วนช่วยสำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งจักรวาลอย่างมหาศาล”
“บ้างก็เป็นสิ่งที่ข้าเขียนขึ้น บ้างก็เป็นสิ่งที่ข้าบังเอิญได้มา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
ในโลกทิพย์ ในดินแดนเก้าเมฆา เขาล้วนเคยต่อสู้และเข่นฆ่ามา เช่นหลังจากประมุขหุบเขาเปลวอัคคีสู้จนตัวตายแล้ว เขาพกคัมภีร์ศาสตร์ลับติดตัวมาไม่น้อย ซึ่งล้วนแต่เป็นคัมภีร์ของหุบเขาเปลวอัคคี
ภายในขุมทรัพย์ เขาก็เคยบีบบังคับให้ศัตรูมอบสมบัติล้ำค่าทั้งหมดมา! ในบรรดาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดย่อมรวมไปถึงคัมภีร์ศาสตร์ลับด้วย
คัมภีร์มากมายยิ่งนัก…ในนั้นมีของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ และมีระบบอื่นๆ ด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงวางสิ่งเหล่านี้เข้าไปในห้องตำราสะสม
“ตอนเพิ่งเริ่มต้น ข้าเกิดแสงสว่างพรั่งพรูออกมาดุจน้ำพุ จึงเขียนศาสตร์ลับออกมาได้เป็นกอง จากนั้นเมื่อการรับรู้ผ่านคืนวันอันยาวนานก็แทบจะเขียนไปจนหมด จึงยากมากที่จะเขียนออกมาได้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ ท่านก็ช่วยข้าดูคัมภีร์เหล่านี้เสียหน่อยเถิด นอกจากนี้ ควรจะเผยแพร่ให้บรรดาผู้บำเพ็ญเช่นไร ท่านก็ช่วยข้าออกความคิดด้วยเถิด”
“ได้ รอหลังข้าอ่านจบแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าออกความคิดเอง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตลุ่มหลงอย่างสิ้นเชิง เขายิ่งอ่านก็ยิ่งถอนใจออกมาโดยมิอาจควบคุม ศิษย์ของตนคนนี้เหนือกว่าตนไปเสียแล้ว
แคว่ก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังจมจ่อมกับการอ่านคัมภีร์ตรงหน้าแวบหนึ่ง จากนั้นก็ผลักประตูห้องตำราสะสมออกแล้วเดินเข้าไปในลาน เขาเหลือบมองผ่านประตูลานลงไปยังอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ไกลออกไป
ประกายกระบี่ฉายแววหนาวเหน็บออกมา บริเวณที่อวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาสำแดงวิถีกระบี่ออกมานั้น ล้วนมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมเอาไว้
“ยังไม่หลุดพ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “เห็นทีคำชี้แนะของข้าและศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อนคงจะยังไม่พอ ยังคงต้องใช้ ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ อยู่ดี น่าเสียดาย จวบจนบัดนี้ยังหาหัวใจหลิวเมฆาแดงไม่พบเลย”
สมบัติล้ำค่าอย่างหัวใจหลิวเมฆาแดงนี้
ภายในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! เป็นไปได้มากว่าผู้ที่ครอบครองหัวใจหลิวเมฆาแดงจะกำลังเก็บตัวอยู่ จึงย่อมไม่รู้ว่าตนขอเสนอข่าวที่ตนซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงเป็นธรรมดา
“รอก่อนเถิด นี่ก็แค่เวลาพันปีเท่านั้น สำหรับเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนและเทพจักรวาลทั้งหลาย เวลาเพียงน้อยนิดเท่านี้สั้นเกินไปแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หากในหนึ่งร้อยล้านปีข้าหาข่าวคราวของหัวใจหลิวเมฆาแดงไม่พบ เขาก็จะทำหน้าหนาไปขอความช่วยเหลือจากบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว”
ถึงอย่างไรบรรพชนเทียนอวี๋ก็เป็นประมุขวัง
หากไม่ถึงคราวจำเป็น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากบากหน้าไปขอท่าน
เวลาร้อยล้านปี…เป็นขีดจำกัดที่ค่อนข้างเหมาะสม ถ้าเวลายาวนานเพียงนี้ยังหาไม่พบ การเสาะหาตามปกติก็คงหาได้ยากมากแล้ว หากขอให้ท่านบรรพชนช่วยเหลือ ด้วยสถานะของท่านบรรพชนแล้ว ก็สามารถตามหาได้ง่ายกว่า
“เอ๊ะ”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปลี่ยนแปรไป เขาพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีคำสั่งส่งสารปรากฏขึ้น
ทันใดนั้นภายในคำสั่งส่งสารก็มีสารหนึ่งถูกส่งมา
“ดินแดนเก้าเมฆา มือกระบี่มารเผชิญกับการไล่สังหารของ ‘ประมุขวังฉีอู่’ ชีวิตแขวนอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ภารกิจแต้มความดีความชอบสามล้านแต้ม…” ในสารนี้ยังมีพิกัดโดยละเอียดของมือกระบี่มารในขณะนี้แนบมาด้วย
“สารขอความช่วยเหลือหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ภายในดินแดนเก้าเมฆา สงครามระหว่างโลกทิพย์ทั้งสามและสองลัทธิใหญ่
ในจำนวนนั้นโลกทิพย์ทั้งสามช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เห็นได้ชัดว่าในระบบข่าวสารภายในวังทวีสูญ ถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในดินแดนเก้าเมฆา ดังนั้นสารนี้จึงถูกส่งให้เขาด้วยเช่นเดียวกัน
“มือกระบี่มาร ระดับผู้บัญชาการแห่งเมืองราชันย์มีด เป็นผู้แกร่งกล้าที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ประมุขวังฉีอู่เป็นยอดฝีมือซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือของลัทธิทิพย์โบราณ เชี่ยวชาญในการใช้พิษ ซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าเช่นเดียวกัน มือกระบี่มารถูกไล่สังหารจนต้องขอความช่วยเหลืออย่างเปิดเผยเชียวหรือนี่”
“รับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับภารกิจทันที ขณะเดียวกันเขาก็ส่งสารไปว่า “ข้าอยู่ใกล้กับสถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กันมาก กำลังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ คาดว่าจะสามารถไปถึงได้ภายในชั่วจอกชาหนึ่ง”
ระบบข่าวสารภายในวังทวีสูญได้รับสารนี้ก่อน จากนั้นก็มีการแก้ไขเล็กน้อยค่อยส่งให้มือกระบี่มาร
……
ณ ดินแดนเก้าเมฆา
กลางป่าแห่งหนึ่งมีชนเผ่าหนึ่งดำรงชีวิตอยู่ พวกเขาบำเพ็ญ และสกัดกั้นอันตรายต่างๆ อย่างลำเค็ญและอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
“ฮ่าฮ่า มาๆๆ มาโจมตีข้าอีกสิ” บนผืนดินว่างเปล่าแห่งหนึ่งภายในชนเผ่า บุรุษอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งกำลังสั่งสอนเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มเหล่านี้เป็นชีวิตเหนือธรรมดาแทบทั้งหมด และมีทวยเทพอยู่บ้าง ส่วนบุรุษอาภรณ์เขียวผู้นั้นกลับเป็นเทพโลกาแล้ว
ทันใดนั้น…
ฟิ้วๆ
เงาร่างสองสายกะพริบวาบกลางท้องฟ้าเหนือผืนป่าแล้วหายวับไป
“มือกระบี่มาร เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสะท้อนก้องอยู่กลางอากาศ ขณะเดียวกันกลิ่นอายอันไร้รูปร่างระลอกหนึ่งก็แผ่กำจายออกไปตามธรรมชาติ กวาดผ่านแมกไม้และผืนป่าจำนวนนับไม่ถ้วน และกวาดผ่านชนเผ่านี้ด้วย
แมกไม้และผืนป่าพลันสูญสิ้นชีวิตชีวาและเหี่ยวเฉาไปจนหมด ต้นไม้บางต้นยังห้อยลงมาอีกด้วย
แต่ชาวเผ่าหลายพันคนของชนเผ่านั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงลักษณะเดิมก่อนหน้านี้เอาไว้ได้ แต่สายตาของพวกเขากลับหม่นแสงลงแล้วไร้ซึ่งวิญญาณอีกต่อไป
เห็นได้ชัดว่าเมื่อชั่วครู่นี้ ชาวเผ่าหลายพันคนได้สิ้นใจไปหมดแล้ว นี่เป็นเพียงลูกหลงจากหมอกพิษระลอกหนึ่งที่ ‘ประมุขวังฉีอู่’ สำแดงออกมาเท่านั้น
“ทำอย่างไรดี”
มือกระบี่มารเป็นชายหนุ่มท่าทางเยียบเย็นซึ่งสะพายกระบี่สีดำเอาไว้ เขาพยายามหลบหนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลัง แต่ ‘ประมุขวังฉีอู่’ ที่อยู่ด้านหลังกลับไล่สังหารมาตามร่องรอยในอากาศ ทำให้หัวใจของมือกระบี่มารเกิดความสิ้นหวังขึ้นมา “ข้าขอความช่วยเหลือไปทางเมืองราชันย์มีด ท่านแม่ทัพก็ถูกส่งตัวมายังดินแดนเก้าเมฆาเป็นระยะทางไกลโพ้น แต่คลาดเคลื่อนจากจุดที่ข้าอยู่มากเกินไป ต่อให้เร่งเดินทางมาตามทางเชื่อมกาลมิติก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน”
มือกระบี่มารู้สึกอดสูใจนัก
เขาถูกลอบคิดบัญชีและถูกพิษเข้าก่อน จากนั้นก็ถูกไล่สังหารมาตลอดทาง
ขอความช่วยเหลือจากขุมอำนาจทางฝ่ายตนก็แล้วกัน! แต่การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลลิบก็เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นได้ ให้ขั้นอลวนคนหนึ่งต้องใช้เวลาเป็นวันเร่งเดินทางมา…ความคลาดเคลื่อนเช่นนี้ เมื่อดูจากระยะห่างอันไกลลิบระหว่างดินแดนเก้าเมฆาและโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้ว ก็เป็นเรื่องปกตินัก
“เวลาหนึ่งวันหรือ ข้าจะต้านทานได้ถึงหนึ่งวันเสียที่ไหนกัน” มือกระบี่มารร้อนใจขึ้นมา
เนื่องจากร้อนรนยิ่งนัก
ดังนั้นเขาจึงขอความช่วยเหลือผ่านระบบภายในของสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สารขอความช่วยเหลือถูกส่งให้กับผู้ที่มีหวังจะช่วยเหลือเขาได้ทั้งหมดทันที…เช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน หรืออย่างยอดฝีมือเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าทั้งหลายที่อยู่ในดินแดนเก้าเมฆา
“อะไรนะ”
ทันใดนั้นมือกระบี่มารที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังก็พลันเผยสีหน้ายินดีออกมา เพราะเขาเพิ่งได้รับสารที่ทางวังทวีสูญส่งมา…ชั่วจอกชาให้หลัง ยอดฝีมือแห่งวังทวีสูญคนหนึ่งก็จะสามารถมาถึงพิกัดที่มือกระบี่มารอยู่ได้
สำหรับมือกระบี่มารแล้ว จะต้านทานให้ได้สักชั่วจอกชาหนึ่งก็ยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง
……………………….
ตอนที่ 31 สังหาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จิ้งชิว ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย จะกลับมาโดยเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
อวี๋จิ้งชิวกำลังสำแดงศาสตร์กระบี่อยู่ นางยิ้มพลางมองสามีแวบหนึ่ง นับตั้งแต่สามีกลับมาแล้ว นางก็อารมณ์ดียิ่งนัก หากวันคืนต่อจากนี้สามารถมีสามีอยู่เคียงข้างได้ ต่อให้มิอาจหลุดพ้นแล้วตายไป นางก็ยินดี นางพูดยิ้มๆ ว่า “ได้สิ”
จากนั้นก้าวออกไปก้าวหนึ่ง มิติก็บิดเบือนไป ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในอากาศอันบิดเบี้ยวแล้วก็หายวับไป
……
เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นดินแดนเก้าเมฆาแล้ว สำหรับเขาที่เข้าถึงการส่งถ่ายในระยะทางอันไกลลิบแล้ว อากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่และโลกทิพย์ทั้งห้า…ล้วนสามารถไปถึงได้ในพริบตา! ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอดทอดถอนใจออกมามิได้…‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’ ผู้มีผลสำเร็จทางด้านอากาศเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่ง สูงส่งกว่าบรรพชนห้วงอากาศเสียอีก ศาสตร์ลับภาพทั้งสี่ที่เขายังไม่สำเร็จ ที่แท้แล้วเป็นศาสตร์ลับอันใดกันแน่
ระดับอย่างจักรพรรดิเก้าเมฆา ภาพที่สี่เป็นเพียงภาพที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
ต้องรู้ไว้ว่าค่ายกลคูหาที่เขาวางเอาไว้นั้น ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจวบจนวันนี้ก็มิมีผู้ใดสามารถแก้กลได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางเงยหน้ามองดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้าแล้ววิเคราะห์พิกัดที่ตนเองอยู่ “คลาดเคลื่อนอยู่บ้าง หากผเดินทางผ่านทางเชื่อมกาลมิติก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาราวสองชั่วยามจึงจะไปถึงได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปอีกครา มิติบิดเบือนไป เขาทะลุตรงไป แล้วไปถึงทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้มือกระบี่มารเป็นอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง
“ใกล้มากแล้ว”
“หากข้ายินดีทำล่ะก็ จะสามารถไปถึงได้รวดเร็วนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ “ทว่าสามารถไปถึงได้ในชั่วจอกชาหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าเปิดเผยออกมามากเกินไป
เพราะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เข้าถึงการส่งถ่ายอันไกลโพ้นก็พอมีอยู่บ้าง แต่ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ ที่สามารถเข้าถึงการส่งถ่ายในระยะอันไกลโพ้นได้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เคยได้ยินเลย! หรือเป็นเพราะหูตาของตนไม่กว้างไกลพอ แต่ดีร้ายอย่างไรตนก็เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ ในเมื่อตนไม่เคยได้ยิน ฉะนั้นเรื่องพรรค์นี้เก็บไว้เป็นความลับก่อนจะดีกว่า
รอให้ถึงตอนที่ตนสำเร็จเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว ค่อยสำแดงออกมาต่อสาธารณชนอีกครั้ง ก็จะมิมีผู้ใดสงสัยแล้ว ผู้อื่นย่อมต้องคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณไปควบคู่กันด้วย!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงโอ้เอ้ถ่วงเวลา ‘ชั่วจอกชา’ ออกไป แล้วจึงค่อยไปตามหามือกระบี่มารตามข้อมูลที่เขาให้มาอย่างไม่ขาดสาย จนพบมือกระบี่มาร
“มือกระบี่มาร เจ้าจะดิ้นรนต่อไปก็ไร้ประโยชน์ คราวนี้เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน” ประมุขวังฉีอู่สวมอาภรณ์สีม่วงตลอดร่าง นัยน์ตาเรียวยาวมีไอหมอกจางๆ แฝงอยู่ เขาควบคุมผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอีกครั้ง กลางท้องฟ้ารอบกายมือกระบี่มารพลันมีค่ายกลบดบังฟ้าและดวงตะวันปรากฏขึ้น แต่มือกระบี่มารกลับพยายามทะลุอากาศหลบหนีอย่างสุดชีวิต บางครั้งจึงชักกระบี่สีดำที่สะพายเอาไว้ออกมา
หลังชักกระบี่ออกมาแล้ว เขาก็เสียบกระบี่สีดำกลับเข้าไปในฝัก
ทุกครั้งที่ชักกระบี่ออกมา…อานุภาพก็ยิ่งใหญ่นัก
“เฮ้อๆ ไยจึงไม่มาอีก ยอดฝีมือของวังทวีสูญเล่า” มือกระบี่มารร้อนใจขึ้นมา
“อ้อ ประมุขวังฉีอู่หรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังก้องขึ้นมา
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งทะลุอากาศมาแล้วปรากฏกายขึ้น ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ปิดบังรูปโฉมเพราะตามปกติแล้วเขาก็อยู่ในจักรวาลบ้านเกิด เมื่อมีเรื่องสำคัญจึงจะออกมาสักครั้ง ไนเมื่อมิได้อยู่ในดินแดนเก้าเมฆาเป็นระยะเวลานาน…จึงย่อมไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นสถานะแต่อย่างใด
ประมุขวังฉีอู่สีหน้าเปลี่ยนแปรไป “ตงป๋อเสวี่ยอิงรึ ไยจึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้เล่า ต่อให้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์แห่งวังทวีสูญส่งเขามาด้วยตนเอง ระยะห่างมากถึงเพียงนี้ก็ต้องมีความคลาดเคลื่อนอย่างใหญ่หลวงจึงจะถูกต้อง”
“เฮอะ”
ประกายหนาวเหน็บวาบผ่านนัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิง
ฟิ้วๆๆ!!!
โลกอนธการชั้นแล้วชั้นเล่าร่อนลงมา ทันใดนั้นก็ปกคลุมประมุขวังฉีอู่ที่อยู่ไกลออกไป โลกอนธการหลากชั้นร่อนลงมาจากภาพลวงสู่ความเป็นจริง ประมุขวังฉีอู่คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันการเสียแล้ว
“ไม่ดีแล้ว” ประมุขวังฉีอู่คำรามเสียงดังกึกก้อง แล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยเกล็ดลักษณะคล้ายกิ้งก่าตัวหนึ่ง
ปังงง…
โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นที่ทอดยาวต่อเนื่องกันระเบิดออกมาพร้อมกัน ร่างที่ประมุขวังฉีอู่กลายร่างไปเปล่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายถูกระเบิดออกจนเต็มไปด้วยบาดแผลอันทารุณ ทว่ายังคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นของประมุขวังฉีอู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง แล้วเริ่มทะลุอากาศหลบหนีโดยไม่ลังเล “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพิ่งจะบำเพ็ญได้นานสักเท่าใดกันเชียว แต่กลับสามารถทำร้ายร่างที่ข้าใช้พิษทิพย์จำนวนนับไม่ถ้วนในการดัดแปลงจนบาดเจ็บสาหัสได้เชียวหรือนี่”
ประมุขวังฉีอู่สัมผัสได้ถึงอันตรายก็เลือกที่จะหนีทันที
“หนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่สังหารไปตามร่องรอยในอากาศทันใด
หลบหนีต่อหน้าต่อตาผู้ท่องอากาศที่เข้าถึงการส่งถ่ายเป็นระยะทางอันไกลโพ้นคนหนึ่งน่ะหรือ หากหนีพ้นจริงๆ จึงจะเป็นการหมิ่นเกียรติกัน!
******
มือกระบี่มารจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้พลางร่อนลงมานั่งขัดสมาธิบนพื้นแล้วเริ่มขับพิษออกไปในทันที! ก่อนหน้านี้เขาถูกไล่สังหารมาตลอด จึงมิอาจแบ่งจิตใจมาขับพิษออกมากเกินไปได้ บัดนี้พิษทิพย์ภายในกายถูกกำจัดออกไปอย่างต่อเนื่องแล้ว
“บรรพชนทิพย์คิดค้นระบบ ‘ทิพย์’ นี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน แม้แต่พิษก็ยังร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” มือกระบี่มารลอบพึมพำ
ก่อนระบบนี้จะถือกำเนิดขึ้น ก็มีผู้ที่ใช้พิษมาก่อน
แต่โดยทั่วไปการใช้พิษยังมิได้พบเห็นกันโดยทั่วไปและมิได้ร้ายกาจเช่นนี้! รอให้บรรพชนทิพย์ถือกำเนิดขึ้นมาเสียก่อน ระบบ ‘ทิพย์’ ที่เขาคิดค้นขึ้นมานี้ เป็นการใช้หมื่นสรรพสิ่งได้ถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ ค่ายกล อาวุธ พิษทิพย์ หุ่นเชิด…ต่างๆ เขาล้วนบรรลุถึงขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง การใช้พิษของระบบอื่นๆ ก็ล้วนอ้างอิงตามการใช้ ‘พิษทิพย์’ ของระบบทิพย์ ทำให้ชื่อของ ‘พิษทิพย์’ พบเห็นได้บ่อยนัก
ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอบางคนไม่เข้าใจว่า ‘พิษทิพย์’ มีความหมายว่าอะไร แล้วเรียกพิษที่ค้นคว้าว่า ‘พิษทิพย์’ ไปเสียหมด
“ฟิ้ว” มือกระบี่มารอ้าปาก ไอหมอกสีเทาสายหนึ่งถูกพ่นออกมาจากปากแล้วลอยออกไปตามลม
สีหน้าของมือกระบี่มารจึงน่ามองขึ้นมาก แม้ภายในกายจะยังคงมีพิษตกค้างอยู่ แต่กลับไม่เพียงพอให้เป็นภัยแล้ว
สวบ
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
“พี่ตงป๋อ” มือกระบี่มารผุดลุกขึ้นทันที เขาพูดอย่างซาบซึ้งมากว่า “ครั้งนี้ติดค้างพี่ตงป๋อเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นชีวิตน้อยๆ นี้ของข้าก็คงสิ้นไปด้วยน้ำมือของประมุขวังฉีอู่ไปแล้ว เฮอะ ครั้งนี้ข้าถูกเขาลอบทำร้าย ในภายหน้าข้าต้องหาวิธีกำจัดเขาให้ได้เป็นแน่”
“ประมุขวังฉีอู่ตายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
มือกระบี่มารสะดุ้ง “เขา เขาตายแล้วหรือ”
เขาคุ้นเคยกับประมุขวังฉีอู่ดียิ่งนัก
นี่คือยอดฝีมือที่อันตรายและมีพลังชีวิตแข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณซึ่งบำเพ็ญทั้งระบบทิพย์และระบบโบราณ มีวิธีการรักษาชีวิตมากมายยิ่งนัก เขาคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมารวดเร็วถึงเพียงนี้ ก็เพราะประมุขวังฉีอู่หนีไปแล้ว! คิดไม่ถึงว่าจะสังหารไปแล้วหรือนี่ นี่เพิ่งจะนานสักเท่าใดกันเชียว เขามือกระบี่มารถูกพิษเข้า ก็ต้องต้านรับประมุขวังฉีอู่นานถึงเพียงนี้
“เขาแข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง” มือกระบี่มารไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง แค่ชั่วครู่เล็กๆ เท่านี้ ประมุขวังฉีอู่ยอดฝีมือผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรก็ตายไปเช่นนี้แล้วหรือ
“อาศัยพลังภายนอกน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายประโยคหนึ่ง
อาศัยพลังภายนอกโดยแท้
ความสามารถในการรักษาชีวิตของประมุขวังฉีอู่แข็งแกร่งยิ่งนัก หากอาศัยพลังของตน เกรงว่าคงจะต้องไล่สังหารเป็นเวลาสักครึ่งวันจึงจะสามารถทำให้อีกฝ่ายตายได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากสิ้นเปลืองเวลา จึงใช้น้ำเต้าสีดำเข้าช่วย ลูกไฟของน้ำเต้าสีดำซึ่งมีอานุภาพถึงเจดีย์ดาวชั้นที่หกบวกกับการกดดันด้วยบริเวณของ ‘แผนภาพคลื่นจาน’ ของตนเองและด้วยความช่วยเหลือของ ‘โลกอนธการหลากชั้น’ จึงสามารถโจมตีสังหารประมุขวังฉีอู่ได้อย่างรวดเร็ว
“การห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตายไม่มีพลังภายนอกไม่พลังภายนอกอะไรหรอก” มือกระบี่มารกล่าว “พลังเช่นพี่ตงป๋อนี้ ข้านับถือจริงๆ ครั้งนี้พี่ตงป๋อช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ไปๆๆ ไปยังที่พำนักของข้า ที่พำนักของข้าอยู่ใกล้กับที่นี่มาก เมื่อไปถึงที่นั่น ข้าจะรับรองพี่ตงป๋อเป็นอย่างดี พี่ตงป๋ออย่าได้ปฏิเสธเลย หากปฏิเสธจะถือว่าเป็นการดูหมิ่นข้านะ”
“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นอีกฝ่ายกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ก็รับปากทันที
ทั้งสองก็ทะลุอากาศมุ่งหน้าไปทันที
เพียงชั่วพริบตาเดียว
“หยุดก่อน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและมือกระบี่มารปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า มือกระบี่มารมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสงสัย “พี่ตงป๋อเป็นอะไรไปน่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับขมวดคิ้วมองลงไปเบื้องล่างด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองนัก
…………………………..
ตอนที่ 32 อ่อนแอก็ผิดหรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เบื้องล่างคือชนเผ่าหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหุบเขา ชนเผ่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่หลายหมื่น มีเทพแท้สามท่าน เทพโลกาก็มีนับพัน คนอื่นๆ หลายหมื่นคนล้วนแต่เป็นทวยเทพและเหนือธรรมดาทั้งสิ้น
นี่คือชนเผ่าที่ธรรมดามากแห่งหนึ่งบนดินแดนเก้าเมฆา แต่ในยามนี้ ทั้งชนเผ่าเงียบเหงาตายซากไปหมด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบ้างก็ยืน บ้างก็หมอบลง บ้างก็นั่งคว้าเนื้อย่างอยู่ตรงนั้น…เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วดูเหมือนไม่มีอาการบาดเจ็บอันใด แต่สายตาของพวกเขากลับมัวหม่นไปหมด วิญญาณแตกสลายไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงไวสัมผัสต่อรอบด้านมากเพียงใด สามารถสัมผัสรับรู้กลิ่นอายของพิษทิพย์สายแล้วสายเล่าที่แผ่กำจายออกมารอบด้าน เป็นพิษทิพย์ที่ ‘ประมุขวังฉีอู่’ เชี่ยวชาญ
แม้จะเป็นเพียงแค่กลิ่นอายที่อ่อนแอมากก็ตามที…แต่ต่อให้เป็นผู้ปกครองเทพแท้ก็ยังต้องสังเวยชีวิตในพริบตา หากประมุขวังฉีอู่จงใจปล่อยพิษทิพย์ออกมา แม้แต่ยอดฝีมือเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งโดยทั่วไปก็ล้วนมิอาจต้านทานได้
“พี่ตงป๋อ ท่านกำลังเวทนาพวกเขาหรือ” มือกระบี่มารเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง แต่กลับพูดยิ้มๆ ตามอำเภอใจว่า “เป็นเพราะตอนที่ประมุขวังฉีอู่ลงมือกับข้า ไม่ควบคุมกลิ่นอายของพิษทิพย์เลยแม้แต่น้อย จนชนเผ่านี้ถูกลูกหลงเข้า นี่ก็คือความน่าเศร้าของผู้ที่อ่อนแอ เพียงแค่ลูกหลงก็ต้องสังเวยชีวิตเสียแล้ว! ทว่าบัดนี้ประมุขวังฉีอู่ได้ตายไปแล้ว ชนเผ่านี้ของพวกเขาก็นับว่าได้แก้แค้นแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองรอยยิ้มของมือกระบี่มารในยามนี้แวบหนึ่ง แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่บ้าง
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่กลางอากาศของทั้งสองฝ่ายแล้วตามรอยไป “พวกเราไปดูที่อีกจุดหนึ่งกันเถิด” พูดพลางพามือกระบี่มารเคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที
ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ข้างทะเลสาบ ชุมชนนี้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วน ไกลออกไปก็มองไม่เห็น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในชุมชนอันสงบสุขแห่งนี้ก็สูญเสียกลิ่นอายแห่งชีวิตไปหมดเช่นเดียวกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองไปยังเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นชา
“นี่ก็เป็นอีกจุดที่ถูกลูกหลงเข้า” มือกระบี่มารส่ายหน้า “สำหรับประมุขวังฉีอู่แล้ว คงไม่มีทางแยแสชีวิตของพวกเขาหรอก”
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพามือกระบี่มารมุ่งหน้าตามร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้กลางอากาศไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง
ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง…
ยังคงเป็นแหล่งชุมนุมที่ถูกลูกหลง
เมื่อมองไปยังที่ต่างๆ
ตอนแรกมือกระบี่มารยังพูดอยู่ แต่ต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้วเช่นเดียวกัน “ที่แท้แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงผู้อาวุโสวังทวีสูญผู้นี้ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ พาข้าเคลื่อนที่ในพริบตาไปดูแหล่งอาศัยของมดปลวกที่อ่อนแอซึ่งถูกลูกหลงเข้าอย่างนั้นหรือ เฮอะ”
เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงมีบุญคุณช่วยชีวิตเขา ข้อที่สอง ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลาสังหารประมุขวังฉีอู่สั้นเกินไปแล้ว พลังจึงทำให้เขาหวั่นเกรง
เรื่องนี้ทำให้มือกระบี่มารต้องข่มความไม่พอใจเอาไว้
“มือกระบี่มาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางเหลือบมองลงไปยังชนเผ่า ณ เชิงเขาด้านล่างพลางพูดเสียงเยียบเย็นว่า “ท่านมิมีสิ่งใดจะพูดเลยหรือ”
“พูดอะไรเล่า” มือกระบี่มารหัวเราะ “เฮ้อ พวกเขาช่างตายอย่างน่าสงสารเสียจริง ประมุขวังฉีอู่ก็อำมหิตพอควรเลยทีเดียว ทว่าประมุขวังฉีอู่ก็ตายไปแล้ว ทำให้บุคคลชั้นสูงคนหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณตายไปพร้อมกับพวกเขาได้ก็นับว่าคุ้มค่าสำหรับพวกเขาแล้ว”
“คุ้มค่ารึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางมือกระบี่มาร “สำหรับพวกเขาที่ตายไปแล้ว ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าไปหมด”
มือกระบี่มารขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงต่ำว่า “ประมุขวังฉีอู่ไล่สังหารท่าน ท่านหนีมาตลอดทาง…ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีทุ่งหญ้าผืนใหญ่ มีแมกไม้และทะเลสาบ ท่านสามารถหนีไปได้ตั้งหลายที่ ไยจึงไม่หลบเลี่ยงชนเผ่าเหล่านี้เล่า”
พวกมือกระบี่มารมิอาจแหวกทางเชื่อมมิติได้ ทำได้เพียงเคลื่อนที่ในพริบตาในระยะสั้นๆ เท่านั้น
ทุกครั้งที่เคลื่อนที่ในพริบตาก็ล้วนแต่สามารรับรู้สถานการณ์ของบริเวณที่จะเคลื่อนที่ในพริบตาไปได้อย่างง่ายดาย
“หากท่านหลบเลี่ยงสักหน่อย การต่อสู้ก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “แต่ท่านมิได้ทำเช่นนี้”
มือกระบี่มารสะดุ้ง เขาขมวดคิ้ว สีหน้าไม่น่ามองอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านช่วยเหลือข้า แต่ข้าก็ได้ให้ศิลาปฐมโลกาไป และข้าว่าทางวังทวีสูญก็คงจะต้องให้แต้มความดีความชอบเป็นรางวัลแก่ท่าน พวกนี้ก็แค่มดปลวกที่ถูกลูกหลงระหว่างการต่อสู้เข้าไปเท่านั้น นอกจากนี้ยังเพราะประมุขวังฉีอู่อีกด้วย! ท่านอยู่ที่นี่ พุ่งเป้ามาที่ข้าด้วยจงใจจะทำให้ข้าลำบากใจเช่นนั้นหรือ”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินคำว่า ‘มดปลวก’ สองคำนี้ ก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
“ผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล แหล่งชุมนุมชนมีน้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อไป “แต่ท่านหลบหนีมาตลอดทาง กลับเหมือนจงใจผ่านแหล่งชุมนุมชนของชนเผ่าเหล่านี้”
มือกระบี่มารสีหน้าเข้มขึ้นแล้วพูดพลางยิ้มเย็นว่า “ข้าหนีเอาชีวิตรอด ตนเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ไหนเลยจะมีความคิดแยแสชีวิตของมดปลวกได้เล่า เอาล่ะ ข้าข้าไม่มีใจจะพูดกับท่านให้มากความ บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ขอบคุณมากก็แล้วกัน พวกเราแยกจากกันเพียงเท่านี้เถิด!”
สวบ
มือกระบี่มารเคลื่อนที่ในพริบตาจากไปทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองมือกระบี่มารจากไปแล้วหายวับไป
ไม่มีความคิดจะแยแสชีวิตของมดปลวกเลยหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถคาดเดาได้ว่า บางทีในตอนเริ่มต้น มือกระบี่มาอาจจะมิได้แยแสสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในชนเผ่าเลยจริงๆ ตายแล้วก็ตายไป เขาไม่สนใจเลย! แต่ในเมื่อชนเผ่ามากมายถึงเพียงนั้นถูกลูกหลง มือกระบี่มารก็คงจะตั้งใจ! เขาจงใจทำเช่นนี้ อาจจะเพราะหวังว่ายอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่สักคนที่ซ่อนตัวอยู่ในชนเผ่า เมื่อกลิ่นอายพิษทิพย์ของประมุขวังฉีอู่กระทบถูกผู้ที่อ่อนแอ หากมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่จริง ก็จะลงมือขัดขวางประมุขวังฉีอู่ ถึงตอนนั้น มือกระบี่มารก็มีหวังที่จะรอดชีวิตได้แล้ว!
“อ่อนแอก็ผิดด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง
สำหรับมือกระบี่มารผู้สูงส่งแล้ว ผู้ที่อ่อนแออยู่ในระดับล่างก็คือมดปลวก เขาไม่แยแสเลยจริงๆ
“แม้ข้าจะเวทนาพวกเขา และโมโหมือกระบี่มารด้วยเช่นกัน แต่กลับไม่มีจิตคิดสังหารแต่อย่างใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
มือกระบี่มารเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองราชันย์มีด
โลกทิพย์ทั้งห้า! แม้โลกทิพย์ทั้งสามจะลอบร่วมมือกันต่อสู้กับสองลัทธิใหญ่ แต่ภายในโลกทิพย์ทั้งสามก็มิได้สมัครสามสามัคคีกันอย่างเต็มที่
อย่างแรก ‘โลกทิพย์นิจนิรันดร์’ ปกครองโดยบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาล้วนแต่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุด พวกเขาไม่ค่อยเห็นโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอยู่ในสายตาสักเท่าใดนัก ส่วนโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดารากลับมีความสัมพันธ์อันดียิ่งต่อกัน แม้แต่เจ้าเมืองหลัวก็แค่สร้างเจดีย์ดาวขึ้นมาทั้งหมดหกแห่งเท่านั้น หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราและโลกทิพย์กิเลนบูรพาล้วนมีเจดีย์ดาวอยู่ที่ละแห่ง แน่นอนว่ามีเพียง ‘บรรพชนกู่’ เท่านั้น ที่ได้เจดีย์ดาวมา จะเห็นได้ว่าบรรพชนกู่ถูกผลักไสเมื่ออยู่ภายในโลกทิพย์กิเลนบูรพา
ดังนั้น…
หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามีความสัมพันธ์อันดียิ่งต่อกัน แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน! ในจำนวนนั้นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดก็คือราชันย์มีด! ราชันย์มีดนั้นทัดเทียมกันกับพวกบรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกาและจอมมารดา
“ถึงอย่างไรมือกระบี่มารก็เป็นบุคคลสำคัญของเมืองราชันย์มีด”
“คนของลัทธิทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดาข้าบอกสังหารก็สังหารเลย แต่มือกระบี่มารข้ามิอาจลงมือได้ง่ายๆ”
ดังเช่นในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ ต่อให้ขุมอำนาจต่างๆ เช่นเมืองราชันย์มีดเดือดแค้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจลงมือได้ตามใจ มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นการตบหน้าวังทวีสูญ! หากผูกใจเจ็บแล้วจริงๆ โดยทั่วไปก็ต้องรายงานขึ้นไปก่อน แล้วให้บุคคลระดับสูงสุดของขุมอำนาจฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ลงโทษเอง
“ยิ่งไปกว่านั้นที่ก้นบึ้งจิตใจของข้า ข้าก็เพียงแค่คิดว่ามือกระบี่มารเลือดเย็นและอำมหิตอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้คิดว่าเขาสมควรตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ นี่คือเรื่องจริง
ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าบำเพ็ญมาแล้วกี่ร้อยล้านปี
ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญมาหลายหมื่นล้านปี ก็นับว่าเยาว์วัยในหมู่พวกเขาแล้ว
วันคืนอันยาวนาน ญาติมิตรผู้เป็นที่รักมากมายลาลับไปตั้งนานแล้ว ในระหว่างการบำเพ็ญ บ้างก็กลายเป็นสันโดษขึ้น เยียบเย็นหรืออำมหิตขึ้น หากมีเงื่อนไขต่อพฤติกรรมของผู้บำเพ็ญสูงเกินไปแล้ว เกรงว่าผู้บำเพ็ญกว่าครึ่งในสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คงจะถูกผลักไปยังฝ่ายตรงข้าม เช่นนั้นก็เกรงว่า ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ แห่งลัทธิทิพย์โบราณคงจะสามารถคว้าชัยได้ในเวลาไม่นานนัก!
การต่อต้านลัทธิทิพย์โบราณจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด! เมื่อเป็นดินแดนที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปกครอง จะต้องนับถือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง ‘การนับถือ’ พรรค์นี้ มิใช่การนับถือที่ยังนับได้ว่าอิสระเหมือนอย่างจักรวาลบ้านเกิด และมิใช่การนับถือจากวิญญาณอย่างง่ายๆ เหมือนผู้ที่อ่อนแอของลัทธิจอมมารดา หากแต่เป็นรอยประทับบนวิญญาณจึงต้องภักดีอย่างสิ้นเชิง!
เพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ สามารถสละชีพของตนได้ สามารถเสียสละญาติมิตรผู้เป็นที่รักของตนได้ ไม่มีความเป็นตนเองอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญที่เก่งกาจอยู่บ้างไม่อยากจะยอมรับ
“ขุมอำนาจอย่างวังทวีสูญและเมืองราชันย์มีดล้วนมีกฎอยู่ มารร้ายที่เข่นฆ่าตามอำเภอใจจะถูกสังหาร และอย่างเช่นมือกระบี่มารก็แค่ลูกหลงเท่านั้น…ยังห่างไกลจากคำว่าฝ่าฝืนกฎไปไกลโข” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าแม้แต่บรรดาสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุด เพื่อที่จะทำให้ทุกแห่งหนเสมอภาคกัน แม้กฎที่ตั้งขึ้นมาจะเข้มงวด แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอย่างจอมมารสามารถยอมรับได้
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนที่ในพริบตา
สวบๆๆ
เขาเคลื่อนที่ในพริบตาไปตามสถานที่ต่างๆ เลียบร่องรอยในอากาศไปเพื่อตรวจดูสถานที่อื่นๆ ที่ถูกลูกหลงเข้า ทุกบริเวณที่ก่อนหน้านี้ประมุขวังฉีอู่และมือกระบี่มารไล่สังหารกันมาตลอดทาง มิมีสิ่งมีชีวิตใดเคราะห์ดีรอดชีวิตเลย
……………………………
ตอนที่ 33 จิตข้าคือจิตฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งในดินแดนเก้าเมฆา อาณาเขตของเขาปกคลุมได้กว้างใหญ่พอที่จะมองดูฉากความขุ่นข้องหมองใจและความเกลียดชังฉากแล้วฉากเล่าอยู่ไกลๆ
มีอยู่สองเผ่าที่กำลังรบราฆ่าฟันกันเพื่อวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น
ทั้งยังมีมารที่กำลังสังหารเอาพื้นที่รวบรวมดวงวิญญาณหลายล้านดวงเพียงเพื่อบำเพ็ญเคล็ดวิชาลับอันชั่วร้าย บริเวณที่รวบรวมซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนและความคับข้องใจ… มีมารอยู่เพียงตนเดียวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตามลำพัง ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งตามทางเดินมิติที่ฉีกขาดแล้วพบภาพเหตุการณ์นี้เข้า เขาก็สำแดงแผนภาพคลื่นจานมาห่อหุ้มอีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ภายใต้อาณาเขตของแผนภาพคลื่นจาน สองมือที่น่าหวาดกลัวของมารตนนั้นก็ขยับโบกอย่างขันแข็งหมายจะหลบหนี แต่เขาที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่สองของเจดีย์ดาว ยามที่อยู่ต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่มีแรงต่อกรเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายก็ถูกระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนกดดันร่างกายอย่างหนักหน่วงจนตายทั้งเป็น
“หึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางในดินแดนเก้าเมฆาต่อไป
……
ดูภาพเหตุการณ์ในแต่ละที่จนในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดมากมายมหาศาลพรั่งพรู
“หา นายน้อยฝูอี้หรือ”
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“เทพอากาศหรือ นายน้อยเขากลายเป็นเทพอากาศแล้วอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าเบื้องบนพลางมองลงมายังเขตแดนของนครแห่งหนึ่งเบื้องล่าง
สถานะที่สูงส่งที่สุดในนครแห่งนี้คือผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง สามารถกลายเป็นเทพอากาศได้ ก็นับว่าเป็นระดับสูงที่แท้จริงของนครแห่งนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับมา ทำให้ทั้งตระกูลปั่นป่วนขึ้นมา
ภายในตระกูลมีเทพอากาศท่านหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ทำให้สถานะของตระกูลยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอยู่อย่างเงียบๆ ดูมาเป็นเวลาสามวันเต็มๆ แล้ว
มองดูนายน้อยท่านนี้กลายเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสพิทักษ์นครภายใต้บังคับบัญชาของ ‘ผู้ครองนคร’ สถานะของตระกูลยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล อาณาเขตที่ตระกูลครอบครองภายในนครแห่งนี้ใหญ่กว่าในอดีตกว่าสิบเท่า ทรัพยากรในการบำเพ็ญของชนเผ่าก็ยกระดับขึ้นมาอย่างมหาศาล
“หนึ่งคนคุ้มกันหนึ่งครอบครัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบาทุ้มต่ำ “ต่อสู้เพื่อสมบัติล้ำค่า ต่อสู้เพื่อการล้างแค้น สังหารเพื่อการบำเพ็ญ เหล่ามารอารมณ์ดีก็สังหาร อารมณ์ไม่ดีก็สังหาร…ผู้ที่โชคร้ายที่สุดก็คือผู้อ่อนแอไปตลอดกาล แม้กระทั่งควันหลงจากการต่อสู้ของผู้แกร่งกล้าก็ยังสามารถสังหารผลาญพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าหากผู้แกร่งกล้าปรารถนา หนึ่งคนก็สามารถคุ้มกันหนึ่งครอบครัวได้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าหากเอาแต่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว มองดูผู้อ่อนแอถูกเข่นฆ่าด้วยสายตาเย็นชา…มารจำนวนนับไม่ถ้วนเหิมเกริม ผู้บำเพ็ญของระบบเหล่ากลืนกินจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนกินกันตามอำเภอใจ เกรงว่าเพียงไม่นานผู้อ่อนแอที่มีอยู่ทั้งหมดในอากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้าก็คงจะพากันตายไปจนเกือบหมดสิ้นเลยกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ
แต่ละคนต่างก็เก็บมือไม้ยืนดูเฉยๆ คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ผลลัพธ์ก็คือผู้อ่อนแอตายกันจนหมดสิ้น
เดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง
เตร็ดเตร่อยู่ภายในดินแดนเก้าเมฆาเป็นระยะเวลาทั้งสิ้นกว่าสามปี
พรึ่บ
ห้วงมิติบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวนั้นแล้วไปจากดินแดนเก้าเมฆา
……
ณ จักรวาลภูมิลำเนา
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกของจวนจ้าวทะเลหมอกดำตงป๋อ
เขามองดูจวนของตนเอง ภรรยากำลังจิบชาอยู่ตามลำพัง บนโต๊ะยังมีกระบี่เทพอันคมกริบวางอยู่อีกด้วย
ตอนนี้อวี๋จิ้งชิวก็ฝึกฝนกระบี่อยู่เป็นประจำ
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็อยู่ภายในจวน กำลังฝึกฝนและทดสอบอยู่ในห้องลับบางแห่งภายในจวน
“พรึ่บ”
ความตระหนักรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแผ่ปกคลุมทุกหนแห่งในจักรวาลภูมิลำเนาในทันที
โลกวัตถุ หุบเหวลึกดำมืดและโลกเทพ… ดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนอยู่ภายใต้การตรวจสอบของตงป๋อเสวี่ยอิง ในบรรดาเหล่านั้นมีผู้ที่เขาคุ้นเคย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทมิตรสหาย ทั้งยังมีคนแปลกหน้าอีกด้วย
พวกเขามีทั้งเด็กๆ ที่พูดเสียงเจื้อยแจ้ว มีหนุ่มวัยเยาว์ที่บำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งมาตั้งแต่เล็ก มีคุณชายตระกูลร่ำรวยจอมเสเพล มีชายชราหญิงชราผมขาวโพลน แน่นอนว่านอกจากบรรดามนุษย์ธรรมดาเหล่านี้แล้วยังมีผู้บำเพ็ญอยู่อีกมากมาย… พวกเขาหยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน อยู่บนเส้นทางของการบำเพ็ญ…
“ผู้ใดก็ไม่อยากทำลายทั้งหมดนี้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ภายใต้การสำรวจดินแดนเก้าเมฆาอย่างตั้งใจตลอดสามปีมานี้ ถึงขนาดที่จงใจตามระลอกคลื่นไป เขาได้เห็นการต่อสู้มามากมายเหลือเกิน ภาพเหตุการณ์ของการทำลายล้างทั้งชนเผ่าจำนวนมากมาย… มีบ้างที่ยามที่เขามาถึง การต่อสู้ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ดังนั้นกลับมายังบ้านเกิด เขาก็เกิดความกังวลใจว่าบ้านเกิดของเขาจะเผชิญกับทั้งหมดนี้เช่นกันโดยสัญชาตญาณ
ถึงแม้ว่าจักรวาลจะแกร่งกล้า แต่สุดท้ายก็สามารถถูกทำลายล้างได้อยู่ดี อย่างเช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่แข็งแกร่งมากสักหน่อยต่างก็สามารถทำลายล้างจักรวาลสักแห่งหนึ่งได้ด้วยกันทั้งสิ้น
อันตรายมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…
ไม่ต้องพูดถึงจักรวาลเลย อย่างโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในตอนแรกก็ยังถูกทำลายในท้ายที่สุด ด้วยเหตุนั้นสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนก็เกือบจะถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้น
“มีกำลัง ก็ต้องยืนขึ้นมาสิ” สองตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งประกาย
“ถึงแม้ว่าอ่อนแอแล้วจะเป็นความผิด ก็มิได้เป็นโทษถึงตายเสียหน่อย!”
“เพราะว่าผู้แกร่งกล้าทุกคน ต่างก็มาจากผู้อ่อนแอ แล้วพัฒนาขึ้นมาทีละก้าวๆ กันทั้งนั้น”
“ผู้อ่อนแอจำเป็นต้องได้รับการคุ้มกัน”
“และจำเป็นต้องเป็นผู้แกร่งกล้าที่ยืนหยัดขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูท้องฟ้าพร่างพรายดาวอันกว้างใหญ่ การรับรู้แผ่ปกคลุมสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน “ผู้แกร่งกล้าไม่ยืนหยัดขึ้นมา แล้วผู้ใดจะยืนหยัดขึ้นมากันเล่า”
“มีกำลังความสามารถ ก็ต้องมีภาระความรับผิดชอบด้วยสิ”
“ภาระความรับผิดชอบในการปกป้องผู้อ่อนแออย่างไรเล่า”
ระดับจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วยเช่นกัน
ในอดีตเขาคิดว่าการคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนนั้นมิใช่เรื่องผิด แต่ตอนนี้แนวคิดของเขาแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว ยามที่ได้เห็นมือกระบี่มารหนีเอาชีวิตรอด เส้นทางที่ผ่านไปโดยมิได้ตั้งใจนำไปสู่การที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนถูกผลกระทบจนตาย ถึงแม้ว่ามือกระบี่มารจะไม่เคยใส่ใจเลย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกรบกวนจิตใจ การสำรวจตลอดสามปีมานี้ ทำให้ในใจของเขาแน่วแน่มากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทวีความมั่นใจในการรับรู้ของตนเอง!
ผู้แกร่งกล้าล้วนคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน โลกนี้ก็จบสิ้นแล้ว!
มีกำลังความสามารถ… ก็ต้องมีความรับผิดชอบ ต้องยืนหยัดขึ้นมา!
“บางทีพละกำลังอาจมีขีดจำกัด แต่ข้าก็แบกแผ่นฟ้าเอาไว้ แม้ตอนนี้ท้องฟ้าแผ่นนี้จะมีอาณาบริเวณค่อนข้างเล็ก แต่ก็เพียงพอที่จะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ
พรึ่บ…
กลางเวหาของทะเลหมอกดำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนมองผืนฟ้าพร่างพรายดาวอยู่ที่นั่น ผิวกายของเขาค่อยๆ เริ่มเปล่งประกายทีละน้อยๆ นี่คือประกายที่มาจากดวงวิญญาณ
ผิวกายถึงกับค่อยๆ รวมตัวกันจนมีเสื้อคลุมประกายสีทองชั้นหนึ่งออกมา เสื้อคลุมชุดนี้เกิดขึ้นมาจากประกายวิญญาณตามธรรมชาติ พื้นผิวของเสื้อคลุมมีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วน แฝงไว้ด้วยความเร้นลับอันสูงส่งเหนือสิ่งใด เสื้อคลุมชุดนี้ได้ถูกเรียกว่า ‘เสื้อคลุมมนตร์’ แสดงให้ประจักษ์ถึงกฎเกณฑ์อันสูงส่งหาใดเทียม
“นี่มันอะไรกัน”
บนจวนจ้าวเบื้องล่าง อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ และตงป๋อชิงเหยา รวมถึงจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ฉือชิวไป๋ และผู้เคารพหั่วเฉิงที่กำลังอ่านตำราอยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะถูกตัวอาคารบดบังอยู่บ้าง ทว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาสำแดงวิชาอันใดก็สามารถเห็นเงาร่างกลางท้องฟ้าร่างนั้นได้แล้ว
เสื้อคลุมมนตร์ตลอดร่าง ผิวกายเปล่งรัศมีอันอบอุ่น
รัศมีมิได้พร่างพรายจับตา แต่กลับอยู่ทั่วทุกหนแห่ง! ส่องสว่างเข้าไปในจิตวิญญาณของทุกคน พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็เห็นกันทั้งสิ้น
“ท่านพ่อหรือ” ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็มองเห็นเค้าโครงใบหน้าของเงาร่างนั้นอย่างชัดเจนแล้ว
“นี่…”
ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขเกาะกาลมิติ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะอยู่ในที่มั่นของตนเอง ห่างไกลกันไม่รู้เท่าใด ทว่าแต่ละคนต่างก็มองเห็นเงาร่างที่เปล่งประกายจับตาที่อยู่กลางท้องฟ้าไกลออกไปสายนั้นกันทั้งสิ้น
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่
เหล่าเทพโลกา เหล่าวิญญาณเทพ เหล่าเหนือธรรมดา เหล่ามนุษย์ธรรมดา และบรรดาสัตว์เดรัจฉาน ดวงวิญญาณทั้งหมดทั่วจักรวาลต่างก็เห็นเงาร่างกลางท้องฟ้าสายนั้น เงาร่างนั้นดูคล้ายจะเปล่งประกายอันแรงกล้ามิอาจคาดคะเนได้ มีเสื้อคลุมมนตร์คลุมร่าง ผู้ที่ยิ่งมีพลังยุทธ์ยิ่งอ่อนแอก็ยิ่งยากที่จะเห็นเค้าโครงใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ชัดเจน
“เสื้อคลุมมนตร์คลุมร่าง ประกายกระจ่างเกินหยั่ง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็เอ่ยพึมพำอย่างตื่นตระหนกอยู่บ้าง “นี่ก็คือระดับจิตใจขั้นที่สาม ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ อย่างนั้นหรือ”
นี่คือตำนานเล่าขาน
หลายยุคของจักรวาลมานี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถทำได้ หนึ่งก็คือจอมกระบี่ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจอมมาร ในที่สุดตอนนี้ก็มีคนที่สามที่สามารถทำได้แล้ว
……………………………………….
(จบบทที่ 28)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น