Snow Eagle Lord ภาค 28 ตอนที่ 3-4
ตอนที่ 3 ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทิวเขายาวต่อเนื่อง ต้นไม้ละลานตา
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นที่โลกชั้นนี้ เขายืนมองโลกชั้นนี้อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง นี่คือโลกชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาว ตอนที่ตนเป็นเทพอากาศขั้นกำเนิดก็ต่อสู้อยู่ที่ชั้นนี้
“มาแล้ว” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปกลางอากาศไกลออกไป
“ฟิ้วๆๆ” บริเวณส่วนลึกของภูเขามีลำแสงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสายแล้วสายเล่าลอยออกมา ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่จุดหนึ่งกลางอากาศไกลออกไป ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตตนหนึ่ง ผิวหนังของเขาดำทะมึน ตลอดร่างดูเหมือนหลอมขึ้นมาจากโลหะสีดำ แต่มีเส้นผมสีดำทั่วหนังศีรษะ เส้นผมสีดำถักเป็นเปียกว่าร้อยเส้น
สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตเอียงศีรษะเล็กน้อย ตาเดี่ยวนัยน์ตาสีเทามองสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิง“พลังยุทธ์ยกระดับแล้วหรือ ในที่สุดก็กล้ามาท้าประลองข้าอีกครั้งแล้วสินะ”
ระลอกกลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาทำให้กฎเกณฑ์ฟ้าดินบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ดูคล้ายว่าเขามีชีวิตขึ้นมาเพื่อบดขยี้ทำลายทุกสรรพสิ่ง
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเจ้ามาจากแห่งหนใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เจ้าไม่มีสิทธิ์หรอก” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ยอมรับความตายเสียเถิด”
ปัง!
ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดระลอกคลื่นอันน่าหวั่นเกรงออกมา ระลอกคลื่นพลันกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นทุกสายต่างก็แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอันร้ายกาจ ตามการกวาดผ่านของระลอกคลื่น ดูเหมือนไม่มีการโจมตีใดๆ แต่ดอกไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนบนภูเขากลับเหี่ยวเฉาในทันใด ใบไม้บนต้นไม้ก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว โลกชั้นนี้พลันแปรเปลี่ยนเป็นแดนสังหารอันเยียบเย็น
ทว่ายามที่ระลอกคลื่นกวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นกลับถูกขัดขวางเอาไว้ตั้งแต่ระยะห่างพันลี้ เมื่อเทียบกันแล้วอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แกร่งกว่าอยู่มากโข
“น่าสนุก ยิ่งมาก็ยิ่งน่าสนุกแล้ว” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตรู้สึกว่าแผนที่วางมาแต่เดิมนั้นไร้ประโยชน์จึงล้มเลิกไปในทันทีแล้วตัดสินใจบุกสังหารซึ่งๆ หน้า!
พรึ่บ
เขาหายตัวไปกลางอากาศ
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยืนอย่างนิ่งสงบอยู่บนยอดเขาเช่นเดิม แต่ว่ารัศมีพันลี้รอบตัวเขาพลันตกอยู่ในความมืดมิดเงียบงัน ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หันหน้ามองไปทางทิศหนึ่ง ณ ตำแหน่งไกลออกไปพันลี้ก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตที่เคลื่อนที่ในพริบตาเข้ามาบุกสังหาร ตอนนี้เขาอยู่ในอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงแม้ว่าจะยังสามารถฝืนเคลื่อนไหวได้ แต่ว่าความเร็วกลับเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้ความกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์เกรงว่าจะสามารถสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น
“ตายซะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกคิด
“พรึ่บ”
โลกดำมืดในรัศมีหมื่นลี้แห่งหนึ่งเคลื่อนมาจากกลางภาพมายาแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความจริง จากนั้นก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ อย่างบ้าคลั่งในทันใด
สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตมองดูโลกดำมืดในบริเวณโดยรอบที่เคลื่อนเข้ามา โลกดำทะมึนใบนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน แต่สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตสามารถรู้สึกได้ว่า… เบื้องหลังของความเงียบงันเช่นนี้หล่อหลอมพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นหาใดเทียมเอาไว้ นี่ทำให้เขาอดที่จะหน้าถอดสีมิได้ เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้เจ้าเด็กตรงหน้าผู้นี้เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วก็ตาม การที่จะโจมตีเขาก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่ตอนนี้ดูแล้วผิดถนัดเลยทีเดียว
“คราวก่อนเห็นว่าเขายังเป็นขั้นกำเนิด เขาเพิ่งจะบรรลุได้นานสักเท่าใด ก็สามารถบุกสังหารข้าได้อย่างง่ายดายแล้วหรือ ผู้อาวุโสแห่งวังทวีสูญมิได้บำเพ็ญอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้หรอกกระมัง” สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตคำรามเสียงต่ำพลางพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความรวดเร็วอย่างไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง แต่ความเร็วของเขาในตอนนี้เชื่องช้ามากอย่างแท้จริง
โลกดำมืดที่อยู่ล้อมรอบสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตหดเล็กลงอย่างฉับพลัน! ยามที่หดเล็กลงถึงหนึ่งร้อยเมตร ก็คล้ายกับว่าฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองหนึ่งห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตที่กำลังพยายามเหินบินเอาไว้ตรงกลาง
โพละ!
ฟองอากาศอนธการระเบิดออก พลังผลาญทำลายโลกรวมตัวกันอยู่บนร่างของสิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตจนหมดสิ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตสวมเกราะสีแดงโลหิตจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นก็แหลกสลายไปจนหมดสิ้น ทว่ายามที่แหลกสลายนั้นกลับเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงโลหิตทะลวงเข้าไปกลางทิวเขายาวต่อเนื่องเช่นเดิม
“ไปชั้นที่ห้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรถ้าดูจากประสบการณ์ของประมุขโลกอนธการ เคล็ดวิชาฟองอากาศอนธการก็เพียงพอสำหรับการผ่านชั้นที่ห้าได้แล้ว การจัดการกับชั้นที่สี่นั้นก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
……
ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวมีความหมายพิเศษเป็นอย่างมาก ผ่านชั้นนี้ไปก็เท่ากับว่าพลังยุทธ์ไปถึงธรณีประตูของขั้นอลวนแล้ว แสดงถึงว่าแทบจะไร้ซึ่งศัตรูในขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว! สำหรับการบุกผ่านชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดน่ะหรือ นั่นล้วนเคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อนแล้ว ณ ตอนนี้ในยุคปัจจุบัน ไม่มีขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่หกนั้นก็น้อยจนสามารถนับนิ้วได้! ความเป็นไปได้ที่จะพบพานนั้นยังน้อยกว่าการพบเจอเทพจักรวาลเสียอีก!
ที่วังทวีสูญ ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่บุกผ่านชั้นนี้ได้ก็เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว
“บุกผ่านชั้นนี้จึงจะสามารถล่วงรู้ถึงความลับที่ซ่อนเร้นเอาไว้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางบริเวณรกร้างทุรกันดารแห่งหนึ่ง ท่ามกลางความรกร้างนั้นมีงูสายฟ้าสายแล้วสายเล่าฟาดลงบนพื้นส่งเสียงเปรี้ยงปร้างอยู่ตลอดเวลา แต่สายฟ้าเหล่านี้ไปรวมตัวกันอยู่ที่พื้นที่แห่งหนึ่งในบริเวณไกลออกไป ทว่าบริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นี้กลับเงียบสงบ
“ที่แท้แล้วคือความลับอันใดกัน ท่านอาจารย์กู่ฉีของข้าก็ไม่ยอมบอกข้าเสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงฉงนใจ
“ใกล้แล้ว”
“โจมตีคู่ต่อสู้ในชั้นนี้แล้วข้าก็จะได้รู้แล้วสินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งหน้าตั้งตารอคอย
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงมายังบริเวณไกลออกไปอย่างดุเดือด ลำแสงสีแดงโลหิตจำนวนมากบนพื้นดินพรั่งพรูมาบรรจบกันแล้วรวมตัวกันกลายเป็นผู้แกร่งกล้าในชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่ง เขามีแขนสี่ข้าง มีผิวหนังสีเงินยวง รูปร่างสูงใหญ่ มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเย็นชา
“คนเดียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
อ้างอิงจากประสบการณ์ของเขา ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ดาวคือสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเทาตนหนึ่ง ชั้นที่สองคือศัตรูในชุดเกราะสีเทาสิบคน ชั้นที่สามคือศัตรูในชุดเกราะสีเทาร้อยคน! ชั้นที่สี่คือศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่ง ชั้นที่ห้าก็ยังคงเป็นเพียงศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่งเช่นเดิมอย่างนั้นหรือ แต่รูปลักษณ์ก็ย่อมไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ ฆ่ามัน!” ทว่าผู้แกร่งกล้าสี่แขนผิวหนังสีเงินยวงในชุดเกราะสีแดงโลหิตผู้นี้กลับคร้านที่จะเปลืองน้ำลาย เขาจึงลงมือในทันที
พรึ่บ
เขาเคลื่อนที่ในพริบตามาเฉียดใกล้รัศมีพันลี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ก็ถูกอาณาเขตกฎเกณฑ์บีบให้ปรากฏกายเช่นเดียวกัน ภายในอาณาเขตกฎเกณฑ์อันเงียบสงัดดำมืด สีหน้าของผู้แกร่งกล้าสี่แขนผู้นี้ไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงบินทะยานมาด้วยความเร็วสูงเช่นเดิม! ความเร็วในการบินทะยานของเขารวดเร็วเกินไปแล้ว ภายใต้การกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ก็ยังคงพุ่งมาถึงข้างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงในชั่วพริบตาเช่นเดิม
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงด้วยเหตุนี้แล้วเคลื่อนที่ในพริบตา เพราะถึงแม้ว่าจะมีการกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ แต่ความเร็วในการเหินทะยานของเขาก็ยังสู้อีกฝ่ายมิได้อยู่ดี! ทำได้เพียงแค่เคลื่อนที่ในพริบตาหลบเลี่ยงไป
สำหรับการต่อสู้ประชิดตัวนั้นหรือ
ความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวของเขาในตอนนี้ ยังมิอาจเทียบชั้นกับวิชาโลกอนธการได้เลย ไม่ว่าจะเป็นระบบผู้ท่องอากาศ วิถีเข่นฆ่า หรือวิถีระลอกคลื่น ต่างก็ยังไปไม่ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ชั่วคราว เกรงว่าคงจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ประชิดตัวอย่างรวดเร็วยิ่ง
“แคว่กกก” ในขณะที่ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตพุ่งมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเอง แขนสี่ข้างที่ยื่นออกมาพร้อมกันพลันฉีกขาด แม้กระทั่งอากาศก็ยังถูกฉีกทึ้งจนกระจุยกระจาย เงารางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือทิ้งเอาไว้ก็แตกกระจายไปด้วย
แต่ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเคลื่อนที่ในพริบตาอยู่ในฟ้าดินโลกเทียม นอกจากนี้เคล็ด ‘ฟองอากาศอนธการ’ ก็สำแดงออกมาในทันใด
ฟิ้ว!
ฟองอากาศอนธการเคลื่อนเข้ามา โลกอนธการแห่งหนึ่งเคลื่อนมาจากภาพมายา นอกจากนี้ยังแปรเปลี่ยนเป็นความจริง ทั้งยังหดเล็กลงอย่างฉับพลัน พลังฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างปั่นป่วน ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตจะบุกไล่สังหารตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเร็วสูง แต่ ‘ฟองอากาศอนธการ’ ก็ยังห่อหุ้มเขาเอาไว้เช่นเดิม นอกจากนี้ หลังจากที่หดเล็กลงอย่างฉับพลันแล้วก็ระเบิดออกในทันที ตู้ม! พลังทำลายล้างภายในฟองอากาศมารวมตัวกันอยู่บนร่างของคู่ต่อสู้จนหมดสิ้น
ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตสะดุ้งเล็กน้อย เพราะร่างกายของเขาถูกระเบิดออกจนเกิดบาดแผลจำนวนมาก แต่ภายใต้การโคจรของลำแสงสีแดงโลหิต บาดแผลของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ
“สามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ด้วยหรือ” ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตคำรามเสียงต่ำอย่างแฝงไว้ด้วยความเดือดดาลเสียงหนึ่ง ยามที่เคลื่อนที่ในพริบตาเฉียดเข้าใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิงในระยะพันลี้ ความเร็วของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นอีกครั้ง บุกสังหารไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเร็วสูงเช่นเดิมท่ามกลางอาณาเขตกฎเกณฑ์ สำหรับการเคลื่อนที่ในพริบตานั้น…สุดท้ายระบบผู้ท่องอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิได้บรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนที่ในพริบตาก็ยังสู้อีกฝ่ายมิได้
“เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้นเองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ถึงภัยคุกคามของเคล็ด ‘ฟองอากาศอนธการ’ นี้กระจ่างดี
“เช่นนั้นก็มาเถิด” นัยน์ตาทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็น หลังจากที่ฝึกฝนศาสตร์ลับศาสตร์นี้แล้ว ในที่สุดเขาก็สำแดงออกมาอย่างสุดกำลัง
ปังๆๆๆๆๆ!!!!!!
โลกดำมืดแห่งหนึ่งเคลื่อนมาจากภาพมายา หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโลกดำมืดแห่งหนึ่งห่อหุ้มโลกดำมืดชั้นหนึ่งตรงหน้าเอาไว้ โลกอนธการแห่งที่สาม โลกอนธการแห่งที่สี่…
โลกดำมืดทั้งหมดหกแห่ง โลกหนึ่งห่อหุ้มอีกโลก
พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นความจริงแล้วต่างก็ดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้ต่างก็หดเล็กลง จนในที่สุดก็กลายเป็นฟองอากาศหกฟอง จากเล็กเป็นใหญ่ แต่ละฟองล้วนห่อหุ้มศัตรูเอาไว้
โพละ! โพละ! โพละ! โพละ! โพละ! โพละ!
ฟองอากาศอนธการหกฟองพากันแตกระเบิด
ด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการจะสำแดงเคล็ดวิชาอันซับซ้อนเช่นนี้ ก็สามารถทำได้เพียงแค่สร้างโลกอนธการหกโลกออกมาในเวลาเดียวกัน มากกว่านี้ก็จะเกินกว่าขีดจำกัดของตนแล้ว ฟองอากาศอนธการหกฟองระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง พลังคุกคามทำงานบนร่างศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตของชั้นที่ห้าผู้นี้อย่างหนักหน่วง…
………………………………….
ตอนที่ 4 ความลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อ๊ากกก…” ผู้แกร่งกล้าสี่แขนในชุดเกราะสีแดงโลหิตส่งเสียงคำรามต่ำๆ อย่างเจ็บปวด หลังจากที่ฟองอากาศอนธการทั้งหกฟองแตกสลายไปแล้วก็เผยให้เห็นสภาพของเขาในตอนนี้ แขนสี่ข้างเหลืออยู่เพียงสองข้างเท่านั้น บนร่างก็มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่หลายแห่ง กะโหลกศีรษะก็หายไปครึ่งหนึ่ง เขาถลึงตามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไป นัยน์ตามีแววเดือดดาล แต่ในใจของเขากลับโศกศัลย์อย่างยิ่ง เพราะเขารู้ว่าเขากลัวว่าจะต้องตายภายใต้เงื้อมมือชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านอากาศภายในฟ้าดินโลกเทียม พยายามรักษาระยะห่างกับคู่ต่อสู้เอาไว้
“เข้ามาอีกสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของร่างกายอีกฝ่ายเช่นกัน แต่คล้ายว่าเขาสร้างโลกอนธการออกมาใหม่อีกครั้งในทันที โลกแห่งหนึ่งห่อหุ้มโลกอีกแห่งหนึ่ง โลกอนธการหกใบที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้เคลื่อนเข้ามาอีกครั้ง และห่อหุ้มศัตรูเอาไว้อย่างสมบูรณ์
เปรี๊ยะๆๆ…
ภายใต้การหดเล็กลงอย่างฉับพลัน ฟองอากาศอนธการหกฟองระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วกลับมีพลังคุกคามอันใหญ่หลวงจนน่าหวั่นเกรง
“ศาสตร์ลับวิชาโลกอนธการศาสตร์นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ศัตรูยังมิทันจะประชิดตัวได้ก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ “แต่ข้อด้อยก็ยังชัดเจนอย่างยิ่ง ก็คือพอศัตรูประชิดตัวเมื่อใด เมื่อนั้นก็ยุ่งยากเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าแรก ‘ฟองอากาศอนธการ’ หรือกระบวนท่าที่สอง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ต่างก็ไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ประชิดตัว”
“สุดท้ายแล้วน่ากลัวว่าประมุขโลกอนธการผู้นั้นอ่อนแอในการต่อสู้ประชิดตัวไปหน่อยจึงได้เอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยคาดการณ์
ประมุขโลกอนธการก็จะต้องอยากปกปิดจุดบกพร่องของตนเองเช่นเดียวกัน
พยายามทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังอยากให้การต่อสู้ประชิดตัวแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน! แต่ในที่สุดพอบำเพ็ญไปแล้วก็มีบางอย่างที่เชี่ยวชาญ บางอย่างที่ไม่เชี่ยวชาญ! เป็นถึง ‘ศาสตร์โบราณ’
พรสวรรค์ทางด้านเขตลวงของประมุขโลกอนธการก็เลิศล้ำเป็นที่สุด ทว่าในด้านอื่นๆ ก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญสักเท่าใดนัก ถึงแม้จะศึกษาระบบอื่นๆ ไปควบคู่กัน อยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง
“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น แต่ก็มิอาจละเลยระบบผู้ท่องอากาศได้แม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ
ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ทางด้านวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นจะอ่อนแอกว่าวิถีโลกเทียม ต่างก็ยังไปไม่ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ทั้งยังไม่สำเร็จวิชากระบี่ที่สี่ผลาญโลกาด้วย
แต่ที่ว่าอ่อนแอก็เป็นการเปรียบเทียบเท่านั้น
ร้ายดีอย่างไรตนก็เป็นผู้ที่สำเร็จวิชากระบี่ที่สองผลาญโลกาตั้งแต่อยู่ในขั้นผู้ปกครองแล้ว!
“ก็ทำให้การต่อสู้ประชิดตัวยกระดับขึ้นมาด้วย ระบบผู้ท่องอากาศสามารถทำให้ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายข้ายกระดับขึ้น อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการรักษาชีวิต เช่นนั้นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของวิชาโลกอนธการศาสตร์ลับศาสตร์นี้ก็จะถูกกลบไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “พอถึงเวลาที่หลายๆ วิธีการรวมเข้าด้วยกัน พลังยุทธ์ของข้าก็จะแข็งแกร่งกว่าในตอนนี้มาก”
ถึงแม้ว่าในใจจะกำลังคิดอยู่
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังสำแดงวิชาโลกอนธการหกแห่งต่อไป ถึงแม้ว่าศัตรูในชุดเกราะสีแดงโลหิตจะเดือดดาลอย่างหาใดเทียม แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมิอาจปะทะได้แม้กระทั่งร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่กลับเผชิญกับการโจมตีอันหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง
อาการบาดเจ็บของเขาหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างโลกอนธการกว่าหกสิบแห่งแล้วจึงผลาญศัตรูมอดไหม้จนหมดสิ้นไปในท้ายที่สุด ลำแสงสีแดงโลหิตแทรกซึมเข้าไปในพื้นดิน
“ในที่สุดก็ชนะแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจ
ศัตรูมิอาจเข้าประชิดตัวได้
ในที่สุดก็อาศัยฟองอากาศอนธการทำให้ศัตรูถึงแก่ความตายได้! ศัตรูมีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีความเร็วอันน่าหวาดหวั่น ถ้าหากเป็นการต่อสู้ประชิดตัวคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
……
ณ ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางสายฟ้ากัมปนาทที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งก็คือผู้อาวุโสหลังค่อม ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ นั่นเอง
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงติดอยู่กับรสชาติของการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เห็นว่าบรรพชนเทียนอวี๋ปรากฏตัวขึ้นยังที่ไกลๆ จึงเอ่ยทักทายอย่างเคารพนบนอบในทันใด
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า ตอนที่ได้เห็นฉากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงโต้ตอบกับกระบวนสังหารเขาก็รู้แล้วว่าการที่เจ้าเด็กผู้นี้จะผ่านชั้นที่ห้านั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
“เล่าลือภายในวังทวีสูญกันมานานแล้วว่าพอผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวแล้วก็จะได้รู้ความลับอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยพลางหัวเราะหึๆ
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ยามที่ข้าอยู่กับผู้อาวุโสตำหนักในคนอื่นๆ บางครั้งที่พวกเขาพูดคุยกันถึงสิ่งนี้ก็หยุดพูดในทันทีเพราะข้าอยู่ที่นั่นด้วย”
“นี่เป็นกฎ ไม่ว่าจะเป็นวังทวีสูญของข้า เกาะปฐมบรรพชน แดนทิพย์เหยากวงหรือว่าสถานที่อื่นๆ รวมถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และโลกทิพย์กิเลนบูรพาทั้งหมดหกโลกทิพย์ ล้วนจำเป็นต้องผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวก่อนจึงจะสามารถล่วงรู้ได้” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“พูดขึ้นมาแล้ว”
“ก็ยังต้องพูดถึงโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม” บรรพชนเทียนอวี๋แววตาขมุกขมัวแล้วเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน ในเวลานั้นมีเพียงแค่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กฎเกณฑ์ของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแข็งแกร่งกว่าโลกทิพย์ใดๆ ในปัจจุบันนี้อยู่มากมายนัก แรงกดดันที่มีต่อพลังยุทธ์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง แต่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เจริญเติบโตและบำเพ็ญอยู่ในนั้นเช่นเดียวกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ยังแข็งแกร่งกว่ามหาโลกทิพย์ทั้งห้าและกฎเกณฑ์ในตอนนี้อยู่มากมายนัก แรงกดดันยิ่งแข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ
“โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าเป็นจำนวนมาก ในบรรดานั้นก็มีหลายคนที่ไปถึงระดับขั้นสุดยอด”
“เหล่าเทพจักรวาลโดยทั่วไปก็ต่อสู้กันอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าจะแผ่กระจายไปกว่าร้อยล้านลี้ แต่ก็มิอาจนับเป็นอะไรได้เลยต่อโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เหล่าเทพจักรวาลในตอนแรกกลุ่มนั้นก็ไม่เคยสนใจมาก่อนเลย ขอบเขตของการต่อสู้ก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นตามจำนวนของสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เพิ่มมากขึ้น และพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของพวกเขา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจฟัง เขารู้ว่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดก็แบ่งออกเป็นชั้นสูงชั้นต่ำเช่นเดียวกัน
ระดับล่างอย่างเช่นบรรพชนกู่ แทบจะเป็นระดับต่ำสุด
ชั้นกลางอย่างเช่นบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ และบรรพชนห้วงอากาศ เป็นต้น พลังยุทธ์ของเจ้าเมืองหลัวก็อยู่ประมาณระดับขั้นนี้
ชั้นสูงก็คือผู้ไร้ซึ่งศัตรูอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ยังมีพวกจอมมารดาและบรรพชนทิพย์ด้วย
“มหาสงครามสุดท้ายในครั้งนั้น แม้กระทั่งกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมก็ยังมิอาจควบคุมได้ ตูม! โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมก็แหลกสลายไปเสียแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “นั่นเป็นภัยพิบัติที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยอย่างแท้จริงบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนั้นต่างก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการต่อสู้ของพวกเขาจะทำให้ทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย ดังนั้นจึงมิได้เตรียมตัวกันเลยแม้แต่น้อย”
“นี่ก็ทำให้สิ่งมีชีวิตในโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจำนวนนับไม่ถ้วนตายไปในการแหลกสลายนั้น มีเพียงผู้ที่พลังยุทธ์แกร่งกล้าเท่านั้นที่รอดชีวิตมาจากการแหลกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมมาได้”
“ในเวลานั้นข้ายังเป็นเพียงขั้นอลวนคนหนึ่ง ทำได้แค่เพียงช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตรอบตัวข้าจำนวนหนึ่งเท่านั้น สำหรับทั้งสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว ก็เป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรเท่านั้น” บรรพชนเทียนอวี๋ทอดถอนใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นอยู่บ้าง
สิ่งมีชีวิตในโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมเกือบจะสิ้นสูญจนหมดเช่นนั้นหรือ นั่นมากกว่าจำนวนสิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งหนึ่งตั้งไม่รู้กี่เท่า นี่คือภัยพิบัติที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยอย่างแท้จริง
“โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย อากาศอันสับสนอลหม่านก็ขยายตัวไปทุกทิศทุกทาง จนถึงตอนนี้ก็ยังขยายตัวอยู่” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “อาณาบริเวณของอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นขยายใหญ่ขึ้นอยู่ตลอดเวลา”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าคิดว่าการขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น…ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไรกันเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
ฟองอากาศฟองหนึ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็จะระเบิด
จักรวาลแห่งหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าในท้ายที่สุดแล้วก็จะเกิดปัญหาขึ้นเช่นกัน
“พวกเราไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร เพราะว่ายังไม่เคยเห็นเลยเช่นกัน” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “แต่พวกเราต่างก็รู้สึกว่า เกรงว่าจะมิใช่ผลลัพธ์ที่ดีสักเท่าใดนัก”
“นอกจากนี้”
“หลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว บริเวณชายขอบของห้วงอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีสิ่งมีชีวิตที่พิเศษกลุ่มหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ดูคล้ายว่าพวกเขาจะถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการล้างผลาญโดยเฉพาะ พวกเราเรียกพวกเขาว่า ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’”
“ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการล้างผลาญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย “หลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายแล้วจึงปรากฏขึ้นอย่างนั้นหรือ”
บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า “ใช่แล้ว กลิ่นอายของพวกเขาต่างก็คานกับพวกเราสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีความปรารถนาอื่นใด มีเพียงแค่การล้างผลาญเท่านั้น! ค่ายสังหารทั้งหมด พวกเราสงสัยว่า…หลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย นี่คือสิ่งมีชีวิตที่การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์บ่มเพาะออกมาตามธรรมชาติ เป็นไปได้ว่าต้องการจะล้างผลาญพวกเรา มีความเป็นไปได้ว่าลดทอนแรงกดดันของการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้อากาศอันสับสนอลหม่านอันไร้ที่สิ้นสุดกลับไปเป็นไร้ซึ่งสรรพสิ่งเช่นเดิม”
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดเดาทั้งสิ้น”
“ต่อให้กลับไปเป็นความไร้ซึ่งสรรพสิ่งใหม่อีกครั้ง สามารถบ่มเพาะโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมออกมาได้ใหม่อีกครั้ง นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว”
“ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถยอมรับความตายเช่นนี้ได้” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ที่จุดสิ้นสุดห้วงอากาศก็มีการแบ่งสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดไปประจำการ ทั้งยังมีขั้นอลวนและขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่มุ่งหน้าไป ก็เพื่อสังหารฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้”
“คู่ต่อสู้ที่เจ้าพบภายในเจดีย์ดาวก็คือฝูงมารผลาญทำลาย แน่นอนว่าล้วนถูกหลอมให้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดทั้งหมด” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่เก้าต่างก็มีฝูงมารผลาญทำลายอยู่ทั้งหมด แม้ว่าบางครั้งฝูงมารผลาญทำลายอาจจะปรากฏตัวขึ้นเหนือกว่าชั้นที่เก้า ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับเทพจักรวาล”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนคำพูด
ถึงกับมีสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลอยู่ด้วย มิน่าเล่าถึงต้องมีการแบ่งสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดไปประจำการ! ถ้าหากต้านทานไม่อยู่ อากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้านี้ก็คงจะถูกล้างผลาญไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ
“นี่ล้วนเป็นราคาที่ต้องจ่าย”
“ราคาของสงครามในตอนนั้น!” บรรพชนเทียนอวี๋หัวเราะอย่างเย็นชาในทันที “น่าเสียดายที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดาเห็นแก่ตัวเกินไป! พวกเขาสองคนไม่เคยไปต่อสู้ที่ชายขอบของห้วงอากาศเลย ทั้งยังไม่ยอมให้ลูกน้องของพวกเขาไปต่อสู้อีกด้วย ผู้ที่ต้านทานฝูงมารผลาญทำลายก็คือมหาโลกทิพย์อื่นๆ อีกสามแห่ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลืมเลือนไปแล้วว่า… การต่อสู้ในครั้งนั้นก็เป็นเขานั่นเองที่จุดชนวนขึ้น!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง การต้านทานฝูงมารผลาญทำลายที่ชายขอบของห้วงอากาศนั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดามิได้ออกแรงบ้างเลยหรือ
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น