Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 28 ตอนที่ 24-29
ตอนที่ 24 ผู้ช่วยที่ได้รับเลือก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นเตาไฟขนาดใหญ่สีแดงเพลิงแล้วก็รับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นที่ถาโถมเข้ามาปะทะใบหน้า ม่านตาก็หดเล็กลงอย่างไม่รู้ตัว “สมบัติลับขั้นจักรวาลหรือ นอกจากนี้ยังเกรงว่าจะสูงส่งเป็นอย่างยิ่งในบรรดาสมบัติลับขั้นจักรวาลด้วย” ในที่สุดวิสัยทัศน์ของตนก็มีขีดจำกัด แต่นี่ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกล้าที่สุดที่ตนเคยพบเห็นมา มูลค่าสูงกว่า ‘มุกวารีดำ’ สิบสองเม็ดก่อนหน้านี้อยู่มากโข
“นี่คือ ‘เตาสามขาเพลิงโลกันตร์’” น้ำเสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง บริเวณส่วนลึกของโถงทางเดินไกลออกไปก็มีบุรุษชุดดำร่างกายง่อนแง่นคนหนึ่งเดินเข้ามา นัยน์ตาเยียบเย็นของบุรุษร่างง่อนแง่นผู้นี้จ้องมองเตาไฟใหญ่นั้นแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ไม่รู้ที่มาที่ไป เป็นสิ่งที่เจ้านายของข้า ‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’ ได้รับมาโดยบังเอิญตอนสมัยโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม แม้กระทั่งตัวตายและตกต่ำ เจ้านายของข้าก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านความเร้นลับที่แท้จริงของ ‘เตาสามขาเพลิงโลกันตร์’ ได้ แม้กระทั่งชื่อของเตาไฟใหญ่นี้ก็ยังได้รู้มาจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น มัน… ก็คือเหตุผลหลักที่เจ้านายของข้าตกต่ำ”
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง เตาไฟใหญ่นี้คือเหตุผลหลักที่ทำให้จักรพรรดิเก้าเมฆาตกต่ำอย่างนั้นหรือ
“ตั้งแต่ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้ว่าเจ้านายบ้านข้ามีเตาไฟใหญ่นี้อยู่ก็มาถามหา เขาเอ่ยปากมา เจ้านายบ้านข้าจึงได้รู้ชื่อที่แท้จริงของเตาไฟใหญ่นี้ เห็นได้ชัดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นรู้ความเป็นมาของเตาไฟใหญ่นี้ ทั้งยังรู้ความเร้นลับของเตาไฟใหญ่นี้อีกด้วย” บุรุษชุดดำร่างกายง่อนแง่นลอบพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “น่าเสียดายนัก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์โอหังเกินไป! เป็นถึงผู้แกร่งกล้าที่สุดผู้มิอาจโต้แย้งได้ของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในตอนนั้น เงื่อนไขที่เขาให้เจ้านายบ้านข้าก็ต่ำเกินไปมาก เจ้านายบ้านข้าจะยอมรับปากได้อย่างไรกันเล่า”
“ดังนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นปฏิปักษ์กับเจ้านายบ้านข้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ท้ายที่สุดการต่อสู้ในครั้งนั้น…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดพลังยุทธ์ที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังจงใจเป็นปฏิปักษ์กับเจ้านายบ้านข้า ทำให้เจ้านายบ้านข้าถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง ถึงแม้ว่าจะหลบหนีแต่ก็ตกต่ำไปอย่างรวดเร็วยิ่ง” น้ำเสียงแหบพร่าของบุรุษชุดดำแฝงไว้ด้วยความชิงชัง “เสียดาย ช่างน่าเสียดายนัก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากได้เตาไฟใหญ่มาครอบครองมาโดยตลอด แต่ตลอดมาก็ไม่เคยได้สักที”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังจนหัวใจขมวดแน่น
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์…
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดต่างก็มีความแค้นกับเขากันทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้ที่เปล่งประกายจับตาที่สุดเช่นเดิม ยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดแล้วมองลงมายังสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดอื่นๆ ทั้งหมด!
เขาผูกขาด ‘โลกทิพย์โบราณ’ ที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ลำพังแค่พละกำลังของตัวเองก็ทำให้อีกสามโลกทิพย์อื่นๆ ร่วมมือด้วยได้แล้ว สำหรับจอมมารดานั้นแม้ว่าจะก่อตั้ง ‘ลัทธิจอมมารดา’ ขึ้นมาเช่นกัน พูดถึงพลังยุทธ์ก็จัดอยู่ในสามลำดับแรกได้ แต่กลับไม่สามารถเทียบกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
“ความแค้นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิเก้าเมฆา ก็เพราะจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ชิ้นนี้น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “บอกความลับอันยิ่งใหญ่เช่นนี้กับเด็กขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นข้าคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
สำหรับบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญของตนนั้น พูดถึงพลังยุทธ์แล้วต่างก็อ่อนแอกว่าจักรพรรดิเก้าเมฆา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เลย
อ้างอิงจากข้อมูลที่ตนได้รับมา
พลังยุทธ์ของสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแบ่งออกเป็นหลายระดับชั้น
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นชั้นที่หนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ซึ่งข้อกังขา
ถัดมาคือจอมมารดา บรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์ ราชันย์มีด และท่านบรรพชนคีรีมาร ระดับนี้เพียงไม่กี่คน นับว่าเป็นชั้นที่สอง และจักรพรรดิเก้าเมฆาที่ตกต่ำลงมาก็เป็นชั้นที่สองนี้ด้วย
เทพจักรวาลคนอื่นๆ อีกมากมาย เช่นบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ บรรพชนห้วงอากาศ บรรพชนกู่ และบรรพชนกฎฉุนอี ซึ่งเป็นเทพจักรวาลส่วนใหญ่ ต่างก็เป็นชั้นที่สาม!
ในบรรดานี้มีอยู่คนหนึ่งที่ค่อนข้างพิเศษก็คือประมุขหอหมื่นโลกา! เพราะมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ใดก็มิอาจสังหารเขาได้ ผู้ใดก็ล้วนมิอยากเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา นับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลที่พิเศษที่สุด
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า” บุรุษชุดดำร่างกายง่อนแง่น นัยน์ตาอันเย็นชาจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ในน้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยแววอาฆาตแค้น “ก็เพราะผู้ที่เจ้านายชิงชังที่สุดก็คือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าจะสิ้นชีพ เขาก็จะต้องจัดการจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้จงได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกได้อย่างรางๆ ว่าบุรุษชุดดำผู้นี้คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิด
สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดยังเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นถึงเพียงนี้ ก็สามารถมองเห็นความเกลียดชังที่จักรพรรดิเก้าเมฆา เจ้านายของมันมีต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
“เจ้านายสิ้นชีพเสียแล้ว ก็ต้องการคนรุ่นหลังมาช่วยเหลือเขา” บุรุษชุดดำพูด “และเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”
“ข้าน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ “ให้ข้าไปจัดการจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ ผู้อาวุโส ท่านยกยอข้าเกินไปแล้วกระมัง”
นั่นคือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!
ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดทั้งหมดจะมีความแค้นกับเขา แต่เขาก็ยังเป็นบุคคลที่อยู่อย่างเจิดจรัสที่สุด ต่อให้มีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งกว่านี้ หรือแม้กระทั่งเคยคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่ตนจะสามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดได้ แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าตนจะมีปัญญาจัดการจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้! แม้กระทั่งจอมมารดา ประมุขโลก และบรรพชนทิพย์ พวกเขาหลายคนนั้นก็ยังทำมิได้เลย
“เจ้าคนเดียวย่อมทำมิได้แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายคนเท่านั้นเอง”
บุรุษชุดดำหัวเราะเย้ยหยันเสียงแหบแห้ง “ขุมทรัพย์ที่เจ้านายเหลือทิ้งเอาไว้ใน เจ้าคิดว่าเพื่ออะไรกันเล่า เพื่อกระจายสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปจริงๆ น่ะหรือ เจ้าผิดแล้วล่ะ! เจดีย์เทพขุมทรัพย์ชั้นที่หนึ่งชั้นที่สองล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ธรรมดายิ่งนัก สำหรับเจ้านายแล้วมิอาจนับเป็นประเด็นได้เลย มีไว้ก็เพื่อดึงดูดผู้แกร่งกล้าจากโลกภายนอกเท่านั้นเอง”
“ส่วนเจดีย์เทพขุมทรัพย์ชั้นที่สามต่างหากเล่าที่เป็นกุญแจสำคัญ อันที่จริงแล้วชั้นที่สามที่มีขุมทรัพย์สิบหกแห่งล้วนต้องถูกส่งมาที่นี่ ที่มิติที่ชั้นที่สามนี้ตั้งอยู่” บุรุษชุดดำเอ่ยอย่างสบายๆ “เป็นเพียงแค่โถงตำหนักสิบหกแห่งของวังในการบำเพ็ญแห่งนี้ของเจ้านายเท่านั้นเอง”
“สมบัติล้ำค่าภายในโถงตำหนักสิบหกแห่งนั้นล้วนล้ำค่าเป็นที่สุด”
“ถึงแม้ว่าขั้นอลวนธรรมดาทั่วไปจะสามารถเข้ามาได้ แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วล้วนไม่สามารถนำไปได้! ถ้าไม่เป็นขั้นอลวนที่มีพลังยุทธ์กล้าแกร่งเป็นที่สุด ก็เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในด้านใดด้านหนึ่ง” บุรุษชุดดำพูด “พวกเขาสามารถฉกฉวบเอาสมบัติล้ำค่าในชั้นที่สามไปได้ ก็คือ ‘ผู้ช่วย’ ที่ถูกเจ้านายเลือก สำหรับเจ้าน่ะหรือ ก็คือหนึ่งในบรรดาผู้ช่วยอย่างไรเล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฉงนสงสัย “ก่อนหน้านี้ภายในโถงตำหนัก ข้ามิได้ฉกฉวยเอาสมบัติล้ำค่าไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ก็มีคุณสมบัติถูกเลือกเป็น ‘ผู้ช่วย’ ได้ด้วยหรือ”
“ข้าต้องใจในศักยภาพของเจ้า” บุรุษชุดดำมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางฉีกยิ้ม แต่ว่ารอยยิ้มช่างชวนให้คนขนลุกยิ่งนัก “ขุมทรัพย์ของเจ้านายข้าอยู่มานานปีถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นผู้ที่ข้าเห็นว่ามีศักยภาพในการหยั่งรู้สูงที่สุดในบรรดาผู้ที่เข้ามาเลยทีเดียว! ขั้นอลวนเหล่านั้น บำเพ็ญมาเป็นเวลาเนิ่นนานก็ย่อมเป็นการยากที่จะยกระดับอีก มีบางคนที่กระทั่งสมบัติล้ำค่าในชั้นที่สามก็ยังไม่สามารถเอาไปได้ พลังยุทธ์ต่ำต้อยเกินไป ไม่มีคุณสมบัติพอจะมาเป็นผู้ช่วยหรอก ขั้นอลวนที่สามารถฉกฉวยเอาสมบัติล้ำค่าไปได้จึงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“สำหรับเจ้านั้นมีศักยภาพในการหยั่งรู้สูงเป็นที่สุด ดังนั้นข้าจึงเลือกเจ้ามาเป็นผู้ช่วย”
บุรุษชุดดำเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้ช่วยที่ได้รับเลือกทั้งหมด เงื่อนไขที่มอบให้พวกเจ้าล้วนเหมือนกันหมด”
“สังหาร ‘ผู้วิเศษ’ ของสำนักทิพย์โบราณได้คนหนึ่งก็จะได้รับสมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งหมื่นศิลาปฐมโลกาจากข้า เช่นนี้ยิ่งสังหารได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับสมบัติล้ำค่ามากเท่านั้น”
“สังหาร ‘ผู้วิเศษ’ ของสำนักทิพย์โบราณได้ห้าสิบคน หรือเทพจักรวาลของสำนักทิพย์โบราณ ก็จะยกสมบัติล้ำค่าที่เจ้านายเหลือทิ้งเอาไว้ทั้งหมดให้กับเจ้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
จนปัญญา
สังหารผู้วิเศษหรือ แล้วผู้วิเศษเป็นใครกัน นั่นคือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเชียวนะ!
เช่นโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ที่วังทวีสูญมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสิบสองท่าน ส่วนบรรพคีรีมารและแดนทิพย์เหยากวงก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอยู่ไม่น้อย ยังมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากมายที่มิปรารถนาจะหลบภัยในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คำนวณดูแล้วยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั่วทั้งโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราทั้งหมดก็มีอยู่หลายสิบคนปลายๆ ไม่ถึงร้อยคน
“ห้าสิบคน สำหรับสำนักทิพย์โบราณก็นับได้ว่าเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ “สำหรับเทพจักรวาลน่ะหรือ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล่วงเกินสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดไปมากมายเหลือเกิน มีเทพจักรวาลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวามิภักดิ์กับเขา”
ถ้าหากสามารถกำจัดเทพจักรวาลผู้นี้ได้ ก็นับได้ว่าตัดแขนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปข้างหนึ่งแล้ว
“ข้าสังหารผู้วิเศษไม่ไหวหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ตอนนี้สังหารไม่ได้ แต่ในอนาคตต้องได้แน่” บุรุษชุดดำพูด “อ้างอิงจากการตัดสินของโลกภายนอกของพวกเจ้า เจ้าก็สามารถสังหาร ‘พลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว’ ของสำนักทิพย์โบราณได้ สิบคนก็เทียบได้กับผู้วิเศษคนหนึ่ง! ถ้าหากสังหารชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวร้อยคนก็เทียบได้กับผู้วิเศษคนหนึ่ง ชดเชยในด้านจำนวนได้ ก็จะได้รับหลายล้านศิลาปฐมโลกาได้เช่นเดียวกัน”
“ยิ่งฆ่ามากก็ยิ่งได้มาก”
นัยน์ตาของบุรุษชุดดำแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง “ถ้าหากในท้ายที่สุดแล้วจะสามารถสังหารผู้วิเศษห้าสิบคน หรือสามารถกำจัดเทพจักรวาลผู้นั้นได้ ก็สามารถยกเตาสามขาเพลิงโลกันตร์นี้และสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับเจ้าได้”
“ท่านเชื่อว่าข้าจะสามารถช่วยเหลือจักรพรรดิเก้าเมฆาได้อย่างแน่นอนเลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เคล็ดวิชาลับตรวจพบว่าเจ้ามิใช่สาวกของสำนักทิพย์โบราณ” บุรุษชุดดำเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้หากมิใช่คนของสำนักทิพย์โบราณ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นศัตรูกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กันทั้งสิ้น! นอกจากนี้ ข้าเพียงแค่นำเอาสมบัติล้ำค่ามาให้เจ้าไปจัดการธุระให้เท่านั้น ก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมดี”
“ได้”
ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
สมบัติล้ำค่าของขุมทรัพย์ชั้นที่สามย่อมได้มายากอย่างแน่นอน! เพราะว่าถ้าหากสามารถฉกชิงไปได้โดยง่าย เช่นนั้นจะเอาสมบัติล้ำค่าอันใดไปชักจูงบรรดา ‘ผู้ช่วย’ กันเล่า
…………………………………….
ตอนที่ 25 ภาพวาดลวกๆ บนฝาผนัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุรุษชุดดำร่างกายง่อนแง่นโบกมือคราหนึ่งแล้วก็โยนป้ายสัญลักษณ์อันหนึ่งให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง “ป้ายสัญลักษณ์หลอมแปร มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ วันใดที่เจ้าสังหารบุคคลระดับสูงของสำนักทิพย์โบราณได้มากพอก็สามารถกระตุ้นป้ายสัญลักษณ์ได้ ถ้ายังอยู่ในอาณาบริเวณของดินแดนเก้าเมฆาก็จะถูกส่งตัวมาภายในวัง แล้วก็มาถามหาสมบัติล้ำค่าที่มีมูลค่าสมน้ำสมเนื้อกันได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็หลอมแปรในทันที
“มากับข้า” บุรุษชุดดำหมุนกายแล้วเดินตรงไป มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของวัง ตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดอยู่ด้านหลัง
มาถึงบันไดวังที่ซ่อนเร้นอยู่แล้วก็เดินตามบันไดลงไปข้างล่าง ในที่สุดก็เข้าไปสู่ห้องเงียบสำหรับบำเพ็ญอันเร้นลับห้องหนึ่ง
“นี่คือห้องเงียบที่เจ้านายใช้บำเพ็ญ”
บุรุษชุดดำก้าวเข้ามาในห้องเงียบพร้อมกับตงป๋อเสวี่ยอิง
มองดูปราดหนึ่ง ห้องเงียบนั้นใหญ่โตยิ่ง เกือบจะเทียบได้กับตำหนักหมื่นรูปแห่งวังทวีสูญเลยทีเดียว ด้านหน้าสุดของห้องเงียบมีชั้นวางหนังสืออยู่หลายชั้น บนชั้นหนังสือมีต้นฉบับตำราอยู่เป็นจำนวนมาก ชั้นหนังสือกินบริเวณไปประมาณสามส่วนของห้องเงียบ
ด้านหลังล้วนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
มีเพียงเบาะรองนั่งอันหนึ่งวางอยู่บนพื้นเท่านั้น
“บนชั้นหนังสือล้วนเป็นตำราที่เจ้านายสะสมเอาไว้และที่เขียนขึ้นมาเอง” บุรุษชุดดำชี้เบาะรองนั่ง
“ตามปกติแล้วเจ้านายก็จะบำเพ็ญและหยั่งรู้อยู่ที่นี่”
“เจ้าสามารถศึกษาตำราทั้งหมดภายในห้องเงียบแห่งนี้ได้ ถ้าหากศึกษาจนหมดแล้วอยากจะถ่ายทอดต่อก็ย่อมได้อย่างแน่นอน” บุรุษชุดดำพูด “นี่คือข้อดีที่ ‘ผู้ช่วย’ มีกันทุกคน รอให้ศึกษาเสร็จหมดแล้วเจ้าตัดสินใจจะจากไปก็บอกข้า ข้าก็จะส่งเจ้าไปจากที่นี่” พูดแล้วบุรุษชุดดำก็หันหน้าเดินไปจากที่นี่
“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใดในวังนี้ เจ้าพูดอะไรข้าก็ล้วนได้ยินทั้งสิ้น” บุรุษชุดดำพูดประโยคหนึ่งแล้วก็เดินออกจากห้องเงียบไป
ภายในห้องเงียบแห่งนี้เหลือตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เพียงผู้เดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปทางชั้นหนังสือทันทีโดยไม่ลังเลแล้วเริ่มต้นพลิกอ่านตำราเหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการตกผลึกทางปัญญาของผู้บำเพ็ญผู้อาวุโสทั้งสิ้น ตำราที่จะถูกจักรพรรดิเก้าเมฆารวบรวมเอาไว้ที่นี่ได้ก็ย่อมมิใช่ของพื้นๆ อย่างแน่นอน
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตำราของสำนักแรกที่พลิกอ่านในมือ
นี่คือตำราของศาสตร์โบราณสำนักหนึ่งที่มีชื่อว่า เนตรมลายสูญ
ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นบำเพ็ญศาสตร์โบราณ พรสวรรค์ที่เพิ่งตื่นรู้ก็เป็นจำพวกดวงตา ที่เน้นไปทางด้านการโจมตี ก็สามารถมุ่งบำเพ็ญไปทางเนตรมลายสูญได้ มีศาสตร์โบราณบางจำพวกที่เป็นการบำเพ็ญที่อาศัยโชคชะตาล้วนๆ และมีจำพวกที่มีผู้สืบทอดที่ร้ายกาจ ก็สามารถจงใจชี้แนะวิวัฒนาการของตนเองได้…พรสวรรค์ที่ถือกำเนิดขึ้นของ‘ก่อกำเนิด’ มีความสำคัญอย่างยิ่ง การชี้แนะและบ่มเพาะของ ‘หลังกำเนิด’ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
สำนักเนตรมลายสูญนี้คือสำนักหนึ่งในศาสตร์โบราณที่มุ่งตรงสู่ระดับเทพจักรวาล
สองตามีลำแสงแห่งการทำลายล้างสาดส่องออกมา มองเพียงปราดเดียว จักรวาลแห่งหนึ่งก็สามารถแตกกระจายสูญสลายไปได้แล้ว แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังมิกล้าเอาตัวมาขัดขวาง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ตำราเกือบครึ่งของที่นี่ล้วนเป็นของทางฝั่งศาสตร์โบราณ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ที่สามารถบำเพ็ญไปถึงระดับขั้นอลวนได้มีบางส่วนที่เป็นระดับเทพจักรวาล หากพูดถึงพลังยุทธ์ พรสวรรค์ของก่อกำเนิดนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การบำเพ็ญของหลังกำเนิดก็มีความสำคัญเป็นที่สุด ทั้งสองต่างก็ต้องการความสมบูรณ์แบบเพียงพอจึงจะสามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ในท้ายที่สุด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในศาสตร์โบราณ
“บางทีข้าก็อาจจะศึกษาศาสตร์โบราณได้เช่นกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านตำราของศาสตร์โบราณมามากมายเหลือเกิน ก็อดมิได้ที่จะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
ศึกษาระบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน สำหรับผู้แกร่งกล้าแล้วช่างเป็นเรื่องธรรมดานัก
เช่นระบบการบำเพ็ญสายโลหิต ขั้นสูงสุดก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ต้องศึกษาระบบอื่นๆ อย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เลือกศึกษาระบบอื่นๆ ต่างก็สามารถชดเชยข้อด้อยของตัวเองได้อย่างสุดกำลัง
ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่ตอนนี้ได้รับเคล็ดวิชาของการบำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณมามากมายถึงเพียงนี้… และถ้าหากโชคดี พรสวรรค์ก็จะสูงส่งเป็นที่สุด คุ้มค่ากับการสูญเสียพลังงานเป็นอย่างมาก
“ไม่รีบหรอก”
“รอให้ข้าจัดการเรื่องของพวกจิ้งชิวให้เสร็จเรียบร้อยก่อน มีเวลาและพลังงานมากพอแล้วค่อยมาลองบำเพ็ญดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ที่วังทวีสูญก็มีผู้ที่ศึกษาศาสตร์โบราณอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงศิษย์เทพแท้เลย ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน…อย่างประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็เป็นผู้บำเพ็ญศาสตร์โบราณ
ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตของสถานที่ใดๆ อย่างไร้ซึ่งขอบเขตได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถส่งตัวตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังดินแดนเก้าเมฆาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
นี่คือพรสวรรค์ที่ได้ศาสตร์โบราณช่วยเหลือ แต่กลับล้ำเลิศเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรอากาศอันสับสนอลหม่านก็กว้างใหญ่ไพศาลเหลือแสน จากโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราไปยังดินแดนเก้าเมฆาช่างไกลแสนไกลถึงเพียงนั้น เทพจักรวาลจะมาก็ยังยุ่งยากเป็นอย่างมาก แต่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กลับสามารถส่งคนอื่นตรงมาได้อย่างง่ายดาย
ลูกไม้ของศาสตร์โบราณนี้ มีบางทีที่ทำให้คนอิจฉาโดยแท้
******
ใช้เวลาไปครึ่งปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลิกอ่านตำราที่มีอยู่จนหมด ในบรรดาตำราเหล่านี้กลับมีเพียงตำราอันประปรายไม่กี่เล่มเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ ถึงอย่างไรเขามาถึงระดับขั้นนี้ การจะหาตำราที่คล้ายคลึงกับเส้นทางของเขานั้นก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว แต่กลับเปิดโลกทัศน์ของเขาให้กว้างไกลขึ้น แม้กระทั่งเหตุผลที่ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ กระบวนท่าที่สองของโลกอนธการของตน มิอาจสำแดงออกมาได้มาโดยตลอดก็สามารถคาดเดาได้แล้ว
“เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับระดับจิตใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคาดเดา
เพราะในตำราของศาสตร์ลับที่เขาอ่านศาสตร์หนึ่งก็มีอรรถาธิบายบันทึกเอาไว้เช่นกันว่ากระบวนท่าที่สาม เพลิงนิพพาน ถ้ายังไปไม่ถึงระดับจิตใจขั้นที่สาม ระดับจิตใจไม่ถึง แม้ว่าจะหยั่งรู้สิ่งเหล่านั้นไปมากมาย ก็ไม่มีทางสำแดงเพลิงนิพพานออกมาได้ จะไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สามได้ ก็ต้องผ่านประสบการณ์จิตนิพพานอันละเอียดถี่ถ้วน แล้วอาจจะได้รับอะไรมาบ้าง
ศาสตร์ลับศาสตร์นี้ก็มีสถานการณ์เช่นเดียวกัน หากระดับจิตใจไม่ถึง แม้จะหยั่งรู้แล้วก็มิอาจสำแดงออกมาได้อยู่ดี
ก็เหมือนกับเวลามนุษย์ธรรมดาวาดภาพ ระดับจิตใจไม่เหมาะสมกับทักษะ ก็มิอาจวาดงานศิลปะที่สูงส่งเพียงพออกมาได้
“อาจต้องไปถึงระดับจิตใจขั้นที่สาม…” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใคร่ครวญอยู่เช่นกัน เขาใคร่ครวญแม้กระทั่งจิตนิพพานที่ศาสตร์ลับนั้นได้อธิบายเอาไว้
อ้างอิงจากคำอธิบายในศาสตร์ลับศาสตร์นั้น
เมื่อใดที่มีความเมตตาและความอุทิศเสียสละอันยิ่งใหญ่ เต็มใจเสียสละเพื่อสรรพสัตว์ ไม่มีกิเลสเลยแม้แต่น้อย จึงจะสามารถบรรลุจิตนิพพานท่ามกลางการอุทิศเสียสละนั้นได้ การตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ นี่ก็เป็นเงื่อนไขของระดับจิตใจในการตระหนักรู้เพลิงนิพพาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งหยั่งรู้อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนานก็ยังมิอาจได้มา จึงอดที่จะส่ายหน้ามิได้ การบรรลุระดับจิตใจชั้นที่สามนี้มิอาจฝืนบังคับได้เลย
“ควรไปได้แล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น
ในเมื่ออ่านตำราที่มีอยู่จนหมดแล้ว ก็ควรจากไปได้แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองซ้ายมองขวารอบๆ ห้องเงียบแห่งนี้ มองดูทุกหนแห่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน สายตาของเขาก็จับบนร่องรอยของภาพวาดจำนวนหนึ่งบนผนังห้องเงียบ มีร่องรอยของภาพวาดเหล่านี้จำนวนมากที่วาดไปได้ครึ่งทางแล้วก็หยุดลงกลางคัน ถึงขนาดที่ไม่มีชิ้นงานที่สำเร็จเลยแม้แต่ชิ้นเดียว!
“จักรพรรดิเก้าเมฆาบำเพ็ญอยู่ที่นี่แล้วคงจะมีการตระหนักรู้อะไรบางอย่าง จึงได้วาดภาพลงไปบนกำแพงอย่างลวกๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา ภาพฝาผนังบนกำแพงของสถานที่ที่ผู้แกร่งกล้าบำเพ็ญนั้นสามารถพบเห็นได้อยู่บ่อยๆ
“บรรดาศาสตร์ลับที่เสร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง คาดว่าคงต้องเขียนลงไปเป็นตำราทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้มิได้เสร็จสมบูรณ์ ก็เลยทิ้งเอาไว้บนกำแพงอย่างลวกๆ”
“ก่อนจะจากไปก็ดูร่องรอยของภาพวาดเหล่านี้สักรอบหนึ่งก่อน บางทีอาจจะได้อะไรไปบ้างก็เป็นได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอย่างละเอียด
ดูไปพลางก็ขมวดคิ้วไปพลาง เพราะว่าช่างยากเย็นเกินไปเสียแล้ว! บรรดาศาสตร์ลับที่แม้แต่จักรพรรดิเก้าเมฆายังมิอาจสำเร็จได้ก็ย่อมมิใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว
มองไปทั่วทุกแห่ง มีบางครั้งที่สามารถเข้าใจได้อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็สามารถเข้าใจได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูไปพลาง เดินเลียบกำแพงไปพลาง ทันใดนั้นก็มาถึงบริเวณมุมห้อง มองดูภาพวาดที่ต่อเนื่องกันบนกำแพงซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นสี่ภาพ สามภาพแรกนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนภาพที่สี่นั้นยังไม่สมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่านี่ก็คือศาสตร์ลับสักชนิดหนึ่งที่ไม่เสร็จสมบูรณ์
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพวาดทั้งสี่ตรงหน้า
พรึ่บ…
ทันใดนั้นด้านหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแล้วกลายเป็นเค้าร่างของภาพค่ายกลสามมิติอันซับซ้อนภาพหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังทดลองใคร่ครวญดูแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งอย่างยิ่งมาโดยตลอด ทว่าเขากลับค่อยๆ เผยสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ ตามการศึกษาใคร่ครวญอย่างต่อเนื่อง
“นี่ นี่มัน…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง เบาะรองนั่งที่อยู่ไกลออกไปก็ร่อนตรงมาตกอยู่ใต้ร่าง เขานั่งขัดสมาธิลงไปในทันใด แล้วเริ่มต้นหยั่งรู้อย่างสุดกำลัง “นี่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับระบบผู้ท่องอากาศของข้ากระมัง”
………………………………………………
ตอนที่ 26 ส่วนประกอบของห้วงอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภาพวาดทั้งสี่ที่มุมกำแพงของห้องเงียบ มีสามภาพที่เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนอีกภาพยังไม่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็ยิ่งทวีความซับซ้อน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมรวบรวมพลังงานในการหยั่งรู้ภาพแรกที่ดูสามารถเข้าใจได้มากกว่าสักหน่อยก่อนอยู่แล้ว
“ศาสตร์ลับที่ยังไม่สมบูรณ์ศาสตร์นี้เป็นของทางห้วงอากาศ” เส้นสายของภาพค่ายกลสามมิติจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงลอยละลิ่ว ภาพค่ายกลยิ่งทวีความประณีตและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ “ภาพวาดภาพแรกนี้… ต้องการความรู้ในด้านห้วงอากาศอันสูงลิบลิ่ว แต่ว่าข้าเป็นผู้ท่องอากาศ ความรู้ในด้านห้วงอากาศนั้น ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนส่วนมากก็ยังสู้ข้ามิได้เลย”
นี่เป็นความจริง
มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางส่วนที่เป็นระบบเหล่ากลืนกิน มีบางส่วนที่เป็นระบบสายโลหิต มีบางส่วนที่เป็นระบบศาสตร์โบราณสักศาสตร์หนึ่ง ความรู้ทางด้านห้วงอากาศที่พวกเขามีนั้นต่ำต้อยอย่างแท้จริง เหตุผลที่พวกเขาสามารถแหวกทางเชื่อมกาลมิติออกมาที่โลกทิพย์ได้โดยตรงก็เป็นเพราะว่าอาณาเขตกฎเกณฑ์ของพวกเขาต่างก็สามารถก่อร่างเป็นจักรวาลขนาดย่อส่วนได้ด้วยกันทั้งสิ้น! ‘จักรวาลขนาดย่อส่วน’ ภายใต้อาณาเขตนั้นสามารถควบคุมห้วงอากาศได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด ดังนั้นจึงสามารถมาถึงก้าวนี้ได้ มิใช่ว่าพวกเขามีการหยั่งรู้สะสมที่สูงส่งล้ำลึกในด้านห้วงอากาศ
ทว่าวิถี ‘ผู้ท่องอากาศ’ นั้นแตกต่างกัน การบำเพ็ญวิถีนี้ต่างก็ดึงเอาพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านมา วิชาลับผู้ท่อง ก็เป็นเคล็ดวิชาหนึ่งที่รู้แจ้งในด้านห้วงอากาศอย่างสูงส่งลึกล้ำมากยิ่งขึ้น ยิ่งบำเพ็ญไป ความรู้ในด้านห้วงอากาศก็ยิ่งทวีความสูงส่งลึกล้ำ ควบคุมได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ดังนั้น…
ภาพวาดสี่ภาพที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเหลือทิ้งเอาไว้นี้จึงมีขอบประตูกั้นอันสูงลิบลิ่ว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปได้อย่างลึกล้ำด้วยความรวดเร็วยิ่ง
“นี่มัน”
“ถึงกับเป็นทิศทางที่แตกต่างกันเชียวหรือนี่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ค่อยๆ หยั่งรู้ เริ่มจะตกตะลึงตามมาเสียแล้ว “ถึงขนาดตรงข้ามกันกับระบบผู้ท่องอากาศเลยทีเดียว”
ระบบผู้ท่องอากาศนั้นนับได้ว่าควบคุมห้วงอากาศอย่างเต็มตัว
และภาพวาดตรงหน้าภาพนี้… ก็คล้ายกับการผ่าชำแหละห้วงอากาศ สำรวจส่วนประกอบที่ ‘เล็กที่สุด’ ของห้วงอากาศ
“ส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของห้วงอากาศอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญ
พรึ่บ!
เขาก็สำรวจห้วงอากาศด้วยเช่นกัน
ตรงหน้าดูเหมือนเป็นห้วงมิติอันว่างเปล่า ภายใต้การสำรวจของสายตาเขากลับขยายใหญ่ขึ้นในทันที ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น…กลางห้วงอากาศเริ่มมีพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมา นี่คือพลังฟ้าดินที่แผ่ไปทั่วทุกหนแห่ง พลังงานเหล่านี้คือส่วนประกอบที่เป็นอนุภาคเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับโจ๊กที่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง อัดแน่นไปทั้งห้วงอากาศอย่างไรอย่างนั้น
“ขยายใหญ่ขึ้นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งสำรวจเข้าไปอย่างลึกล้ำขึ้นอีก
พรึ่บ
อนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีอัดตัวกันแน่น ทุกอันล้วนใหญ่มหึมาปานดาวเคราะห์อยู่ตรงหน้า ระยะห่างระหว่างอนุภาคเหล่านี้ก็ใหญ่โตอย่างยิ่ง กว้างใหญ่ไพศาล
“ใหญ่ขึ้นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองความว่างเปล่าในระยะห่างระหว่างอนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วนอันกว้างใหญ่นั้น อ้างอิงจากความเร้นลับในภาพวาดแรกในภาพวาดทั้งสี่ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ ก็คือต้องการจะสำรวจส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของห้วงอากาศ
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทกำลังสำรวจ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ลึกขึ้นอีกแล้ว สำรวจมาจนถึงขั้นนี้ ก็นับได้ว่าการควบคุมห้วงอากาศของเขานั้นสูงส่งเป็นที่สุดแล้ว
“ดูท่าทางแล้วยังต้องอาศัยความเร้นลับในรูปภาพนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยั่งรู้ภาพวาดนี้อย่างระมัดระวัง
……
ในระหว่างการหยั่งรู้ เวลาดูเหมือนจะเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดแล้ว ภายในสองตาของเขามีภาพค่ายกลฉายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทวีความลึกลับมากยิ่งขึ้นอีก
“ฟิ้ว”
ภายใต้การสำรวจของสองตาของตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงแม้ว่าระยะห่างระหว่างแต่ละอนุภาคของพลังฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนจะกว้างใหญ่ แต่กลับว่างเปล่ามองอะไรไม่ออก แต่ในขณะนี้ อาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันทันใด… พูดว่าเป็นการสำรวจด้วยตาก็จริง แต่ความจริงแล้วหลังจากการหยั่งรู้ การตระหนักรู้ของจิตวิญญาณก็ยิ่งล้ำลึกขึ้น สิ่งที่วิญญาณสัมผัสรับรู้ ก็เท่ากับการมองเห็นด้วยตาแล้ว
ระยะห่างระหว่างอนุภาคจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนี้กว้างใหญ่จนไร้ซึ่งขอบเขต ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสังเกตไปจนพบการมีอยู่อันขมุกขมัวรางเลือน
ราวกับผ้าสีดำอันไร้ซึ่งขอบเขตผืนหนึ่ง!
ห้วงอากาศ มีพื้นฐานเป็นผ้าสีดำอันไร้ขอบเขตผืนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“ไม่ถูกสิ”
“ข้ายังมิได้หยั่งรู้ภาพวาดนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ชัดเจนว่ายังชำแหละห้วงอากาศได้ไม่ลึกล้ำพอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยั่งรู้ต่อไป ในขณะนี้เขามีความตื่นเต้นอยู่บ้าง เพราะเขารู้สึกได้รางๆ ว่าเขากำลังสัมผัสกับด้านที่ไม่เคยล่วงรู้และลึกลับของโลกอยู่
มีแรงผลักดัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจและหยั่งรู้อย่างสุดกำลัง
ไม่รู้เลยว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด…
หลายครั้งที่ติดค้างอยู่ จนถึงขนาดที่เขาหันไปสำรวจวิชาลับผู้ท่อง พอได้รับบางสิ่งจากวิชาลับผู้ท่องแล้วก็หันมาหยั่งรู้ภาพวาดภาพแรกนี้ ถึงขนาดที่วิชาลับผู้ท่องก็ไปถึงระดับขั้นที่สี่สิบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดจะยกระดับอีกก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว ระดับขั้นที่สี่สิบไปถึงขั้นที่สี่สิบเอ็ด…เป็นการยกระดับที่จำเป็นในการเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน ดังนั้นระดับความลึกลับของภาพค่ายกลของวิชาลับผู้ท่องก็มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเช่นกัน
“ปัง…”
เพราะว่าความรู้ในด้านห้วงอากาศสูงพอ
ทั้งยังเป็นเพราะว่าการหยั่งรู้ก็สูงส่งเป็นที่สุดเช่นกัน
แล้วยังมีการชี้นำจากภาพวาดภาพแรกอันเสร็จสมบูรณ์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา ผนวกกับแรงผลักดันอันพลุ่งพล่าน ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบทางสว่างอย่างฉับพลัน หยั่งรู้ภาพวาดภาพแรกนี้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยสมบูรณ์แบบ
“ปัง” ก็เหมือนกับปุถุชนคนธรรมดาได้รับกล้องส่องทางไกล มองเห็นได้ไกลยิ่งขึ้น หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยั่งรู้ภาพวาดภาพแรกนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ยิ่งชำแหละห้วงอากาศนี้อย่างลึกล้ำมากยิ่งขึ้นในทันที
ฟิ้ว…
เดิมทีส่วนที่เล็กกระจิริดของห้วงอากาศในสายตา ต่างก็มองเห็นผ้าสีดำอันไร้ขอบเขตที่แสนเลือนราง ในขณะนี้ผ้าสีดำนี้กลับกลายเป็นใสกระจ่างอย่างรวดเร็วในสายตา ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นพันล้านเท่า ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นอนุภาคสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัด อนุภาคสีดำเหล่านี้เปลี่ยนแปรเป็น ‘ผ้าสีดำ’ อันไร้ขอบเขตชั้นแล้วชั้นเล่า
การซ้อนทับกันของผ้าสีดำอันไร้ขอบเขตชั้นแล้วชั้นเล่า ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ก่อร่างกลายเป็นการดำรงอยู่ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของห้วงอากาศ
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่งแล้วก็เข้าใจอย่างรางๆ
การเคลื่อนย้ายและการฉีกแยกทางเชื่อมกาลมิติออก…อันที่จริงแล้วโดยพื้นฐานจำเป็นต้องอาศัย ‘ผ้าสีดำ’ ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดนี้ในการก่อร่าง เพียงแต่ในอดีตนั้นใช้กันเป็น แต่มิได้เข้าใจเหตุผลที่สำคัญที่สุด ดังเช่นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นอาศัย ‘อาณาเขตจักรวาลขนาดย่อส่วน’ ในการบังคับควบคุมเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ดังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่อาศัยพลังควบคุมของทั้งห้วงอากาศ ต่อให้เป็นการหยั่งรู้วิถีอากาศภายในความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็เพียงแค่ควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์เท่านั้น แต่ก็มิได้ค้นพบอย่างแท้จริงว่า…สิ่งที่ขับเคลื่อนความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็คือ ‘ผ้าสีดำ’ เหล่านี้
“อนุภาคสีดำเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอนุภาคสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่เป็นส่วนประกอบของผ้าสีดำ
ในสายตาของเขา อนุภาคสีดำทุกอันต่างก็ดูเหมือนใหญ่กว่าแตงโมในสายตาของคนธรรมดาอยู่หลายเท่าอนุภาคสีดำเหล่านี้มิใช่ของแข็ง หากแต่ดูเหมือนลูกทรงกลมที่เกิดจากหมอกดำรวมตัวกันขึ้นมา ตรงจุดศูนย์กลางของทรงกลมหมอกดำมีหลุมสีดำอ่อนจาง คล้ายกับทางเดินเส้นหนึ่งที่นำไปสู่สถานที่อันเป็นปริศนา
“หลุมตรงกลางของอนุภาคสีดำที่เล็กกระจิริดที่สุดของห้วงอากาศนี้เหล่านี้จะนำทางไปที่ใดกันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความลังเลสงสัยและความตื่นเต้นอยู่ไม่สุข เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าสามารถสำรวจมาจนถึง ‘หลุมอนุภาคสีดำ’ ได้นั้นยากเย็นเพียงใด ภาพวาดภาพแรกที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเหลือทิ้งเอาไว้นี้ พูดถึงระดับความยาก ก็มิได้น้อยไปกว่าโลกอนธการกระบวนท่าที่สอง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ เลย
เพราะมีวิถีผู้ท่องอากาศที่รอบรู้และควบคุมห้วงอากาศ และเขาก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงระดับขั้นที่สี่สิบแล้ว มีสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน! อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาจากภาพวาดภาพแรกอันเสร็จสมบูรณ์ที่จักรพรรดิได้เหลือทิ้งเอาไว้ให้ ก็ยังต้องสิ้นเปลืองเวลาหกสิบล้านปีจึงจะสำเร็จได้เช่นเดิม
“ลองดูสิว่าที่แท้แล้วจะนำทางไปที่ไหนกัน”
สัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุผ่านรูของอนุภาคสีดำเข้าไป
………………………………………
ตอนที่ 27 ข้าเห็นแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
บริเวณจุดศูนย์กลางที่หมอกดำรวมตัวกัน หลุมสีดำจางๆ คล้ายกับทางเดิน หลังจากที่สัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงเจาะทะลุเข้าไปแล้วตลอดทั้งร่างก็อดที่จะสั่นสะท้านคราหนึ่งมิได้
“สวรรค์เอ๋ย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำกับตนเอง
เขาตาพร่าเสียแล้ว
ตื่นตะลึงไปเสียแล้ว!
แม้กระทั่งระดับจิตใจของเขาในตอนนี้ก็พร่าเลือนไปหมดแล้ว ก็คือการได้เห็นจักรพรรดิเก้าเมฆาฟื้นคืนชีพ และจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สิ้นชีพ อย่างมากที่สุดเขาก็ตื่นตระหนก แต่ก็ไม่ถึงกับตาบอดอย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะนี้สิ่งที่ได้เห็นในหลุมอนุภาคสีดำจากการที่สัมผัสรับรู้ทะลุผ่านนั้นกลับทำให้เขาตาบอดอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว
นี่คือสิ่งที่ยากจะอธิบายอย่างหนึ่ง
สัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุผ่านหลุม สำรวจพบ ‘มัน’ อย่างทุลักทุเล ในขณะเดียวกันกับที่สำรวจพบ ‘มัน’ นั้น เพราะสัมผัสรับรู้สัมผัสพบอาณาบริเวณแห่งนี้ ก็ย่อมได้เห็นอาณาบริเวณอันไร้ขอบเขตอยู่แล้ว! ได้เห็นหลุมอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนนำมาสู่สถานที่แห่งนี้ ทะลุผ่านหลุมเหล่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นบริเวณอื่นๆ ของวังแห่งนี้
โถงตำหนักแห่งแล้วแห่งเล่า สมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายในโถงตำหนักเหล่านั้น
แม้กระทั่งที่อยู่อาศัยปกติของสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่ร่างกายง่อนแง่นนั้น
แม้กระทั่ง…
ด้านนอกวัง!
ดินแดนเก้าเมฆาอันกว้างใหญ่ไพศาล สัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุผ่านอาณาบริเวณอันยากจะอธิบาย ผ่านหลุมจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ทั้งยังมองเห็นคูเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าของดินแดนเก้าเมฆา เขาได้เห็นแม้กระทั่งอากาศอันสับสนอลหม่านอันไร้ที่สิ้นสุดที่อยู่นอกดินแดนเก้าเมฆาด้วย!
ระยะทางยิ่งไกล หลุมก็ยิ่งอยู่ห่างจากตนเองมาก ตนเองก็มองเห็นได้เพียงรางเลือนอย่างทุลักทุเล
“โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นแล้วเช่นกัน ถึงแม้ว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราจะอยู่ห่างไกลจากตนเป็นอย่างยิ่ง แต่เพราะว่าโลกทิพย์นั้นกว้างใหญ่เกินไป หลุมจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็นำไปสู่สถานที่แห่งนั้น หลุมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตนทะลุผ่านก็สามารถมองเห็นโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นได้รางๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับเกิดความเข้าใจขึ้นมาในใจ
เพียงแค่เขาเชื่อมต่อหลุมสองหลุมเข้าด้วยกันจนก่อร่างกลายเป็นทางเส้นหนึ่ง เช่นนั้นเขาก็สามารถตรงจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งได้แล้ว!
อย่างเช่นตรงจากดินแดนเก้าเมฆาไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอันไกลโพ้น!
“ข้า ข้าสามารถทำมาจนถึงขั้นนี้ได้แล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
การเคลื่อนย้ายทางไกลผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเช่นนี้เป็นสิ่งที่เทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็ยังทำมิได้ โดยทั่วไปต่างก็เป็นสำนักย่อยของศาสตร์โบราณเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ อย่างเช่น ‘ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์’ และ ‘บรรพชนทราย’ พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ของศาสตร์โบราณ! ถึงจะริษยาก็มิอาจได้มา
อย่างไรก็ดี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหมือนกับประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์และบรรพชนทราย ผู้แกร่งกล้าของศาสตร์โบราณ ที่มีลูกไม้เช่นนี้เฉกเช่นเดียวกัน เขาสามารถเชื่อมโยงหลุมอนุภาคใดๆ สองหลุมให้กลายเป็นเส้นทางนำไปสู่สถานที่ห่างไกล
“แต่คูหาแห่งนี้ของจักรพรรดิเก้าเมฆากลับมีแนวกั้นอันไร้รูปร่างอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ค้นพบแล้ว
แนวกั้นอันไร้รูปร่างห่อหุ้มอนุภาคสีดำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคูหาแห่งนี้เอาไว้
ตนเองอยู่ภายในคูหาก็ย่อมไม่มีทางเชื่อมโยงหลุมอนุภาคที่อยู่ในอาณาบริเวณนอกโลกได้อยู่แล้ว…นี่ก็พูดได้อย่างชัดเจนว่าเป็นวิธีการของพวกบรรพชนทรายและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ก็ไม่มีทางเข้าสู่คูหาแห่งนี้ของจักรพรรดิเก้าเมฆาได้เลย! ภายในคูหาแห่งนี้ของจักรพรรดิเก้าเมฆา ถ้าหากสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดนั้นไม่ส่งออกไป พวกเขาก็ไม่มีทางจากไปได้
“ก็ใช่”
“ข้าทำมาจนถึงขนาดนี้ได้ก็เพราะเรียนรู้ภาพวาดภาพแรกในบรรดาภาพวาดสี่ภาพได้สำเร็จแล้ว ความสำเร็จในด้านนี้ของจักรพรรดิเก้าเมฆาจะต้องเหนือชั้นกว่าข้าอยู่มากอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ภายในคูหาของเขามีเตาสามขาเพลิงโลกันตร์เอาไว้ในครอบครอง เกรงว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็อยากที่จะได้มา แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเข้ามาเอาไปได้! ชัดเจนว่าการจะหาสถานที่แห่งนี้ให้พบแล้วเข้ามาได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง”
การคาดการณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นเรื่องจริงโดยแท้
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด จักรพรรดิเก้าเมฆาก็จัดอยู่ในลำดับชั้นที่สอง พูดถึงความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศเพียงอย่างเดียว เขาก็สูงกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก! ถึงแม้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุด แต่ก็มิได้หมายความว่าจะแข็งแกร่งไปเสียหมดทุกด้าน อย่างน้อยความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศ จักรพรรดิเก้าเมฆาก็เหนือกว่าเขาอยู่มาก ถึงขนาดที่แกร่งกล้ากว่าบรรพชนห้วงอากาศในตอนนี้อยู่มากโข
ตอนนี้บรรพชนห้วงอากาศก็ยังเป็นเพียงแค่ชั้นที่สาม เทพจักรวาลส่วนใหญ่ดังเช่นบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ต่างก็อยู่ที่ชั้นที่สามกันทั้งสิ้น
……
“แต่ว่าอาณาบริเวณที่เส้นทางของหลุมอนุภาคสีดำนำไปแห่งนั้นเป็นสถานที่เช่นไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนกเกินไปเสียแล้ว
แม้กระทั่งครั้งแรกที่มองเห็นสถานที่แห่งนั้น เขาก็ตาพร่ามัวไปเสียแล้ว
เพราะยามที่สัมผัสรับรู้ไปถึงอาณาบริเวณแห่งนั้น แม้กระทั่งอาศัยสิ่งนี้ไปดู หลุมอนุภาคสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็เชื่อมโยงไปสู่สถานที่แห่งนั้นเช่นเดียวกัน ตนเองอาศัยสิ่งนี้ก็สามารถมองเห็นโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอันไกลโพ้นได้เช่นเดียวกัน!
“ไม่รู้ว่าโชคดีสักแค่ไหนที่ทำให้ข้าได้มาซึ่งศาสตร์ลับที่ยังไม่สมบูรณ์ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาสรรสร้างขึ้นศาสตร์นี้ ถึงกับทำให้ข้าได้เห็นอาณาบริเวณอันยากจะอธิบายแห่งนั้น…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน
ความรู้สึกเช่นนี้
ก็เหมือนกับชีวิตในโลกสองมิติ มองหาแนวทางจากโลกสามมิติ
กระดาษแผ่นหนึ่งก็เหมือนกับโลกสองมิติ ‘รูปกลม’‘รูปสามเหลี่ยม’‘รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส’ และรูปสองมิติชนิดต่างๆ ที่อยู่ในกระดาษแผ่นนี้ พวกเขามีเพียงความกว้างและความยาวเท่านั้น ไม่มีความสูง! ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถมองเห็นได้เพียงแค่สิ่งมีชีวิตสองมิติอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเท่านั้น เมื่อใดที่เบื้องหน้าถูกกั้นขวางก็ไม่มีทางมองเห็นสิ่งมีชีวิตสองมิติอื่นๆ ที่ถูกบดบังอยู่ด้านหลังได้เลย
แต่ถ้าหากมีความสูง พวกเขาก็จะบรรลุโลกสองมิติเข้าสู่โลกสามมิติ พวกเขามีความสูงแล้วก็จะสูงส่งเหนือผู้ใด ทั้งยังสามารถมองไปได้ทั่วทั้งแผ่นกระดาษ สามารถมองไปได้ทุกหนแห่งทั่วแผ่นกระดาษ! ระยะทางยิ่งไกล ยามที่มองลงมาก็จะยิ่งพร่ามัวมากยิ่งขึ้น
ขณะนี้ความรู้สึกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นเช่นนี้!
ยามที่ทะลุผ่านหลุมอนุภาคสีดำของห้วงอากาศ เขาก็มองเห็นอาณาบริเวณแห่งหนึ่ง
อาณาบริเวณแห่งนี้เกี่ยวข้องกับโลกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยอยู่
ก็เหมือนกับโลกสามมิติ…ที่เกี่ยวข้องกับโลกสองมิติ
ยามที่สัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาสู่โลกแห่งนี้ เขาก็มองเห็นทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งโลกที่เขาอาศัยอยู่! ดินแดนเก้าเมฆา อากาศอันสับสนอลหม่าน และโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราอันไกลโพ้น เขาก็สามารถ ‘มองเห็น’ ได้ทั้งสิ้น นี่ก็คือความสูงส่งของระดับในด้านของโลก
ต่อให้กล้าแกร่งดุจเทพจักรวาล ก็มีเทพจักรวาลบางคนที่ไม่สามารถทำการส่งตัวผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้เหมือนกับพวก ‘บรรพชนทราย’ และ ‘ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์’ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แกร่งกล้าหาใดเทียมในโลกใบนี้ แต่ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ดี! มิได้เข้าสู่โลกระดับสูงกว่า
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะอ่อนแอ แต่ตอนนี้เขาก็ได้เห็นโลกที่ระดับสูงขึ้นแล้ว
ก็เหมือนกับสิ่งมีชีวิตในโลกสองมิติที่เงยหน้าขึ้นมองโลกสามมิติในทันที!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้แล้ว ในบรรดาศาสตร์โบราณ ก็มีผู้แกร่งกล้าที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง พวก ‘บรรพชนทราย’ และคนอื่นๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
แต่พวกเขาต่างก็สามารถทำได้เพียงแหงนหน้าขึ้นมองไปยังโลกระดับขั้นสูงกว่า พวกเขาค้นพบการมีอยู่ของโลกระดับขั้นสูงกว่าอีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้อีกด้วย
“ข้ามองเห็นแล้ว”
“มองเห็นโลกระดับขั้นสูงกว่านั้นแล้ว”
“ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเมื่อใดที่ข้าจะสามารถพาตัวเองเข้าไปสู่โลกระดับขั้นสูงกว่านั้นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ตัวเขาเองรับสัมผัสได้ว่าสัมผัสรับรู้ของเขาสามารถเข้าไปได้ก็ทุลักทุเลเต็มทีแล้ว ส่วนร่างกายก็ถูกขับไล่อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าหากต้องการจะไปยังสถานที่อื่นๆ ก็ต้องเชื่อมโยงหลุมสองหลุมเข้าด้วยกันแล้วมุ่งตรงตามเส้นทางไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่สามารถเข้าไปสู่โลกระดับขั้นสูงกว่าได้เลย
“ศาสตร์โบราณช่างร้ายกาจเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง
ตนเองมีภูมิหลังของระบบผู้ท่องอากาศอยู่ มีศาสตร์ลับของจักรพรรดิเก้าเมฆาชี้นำ มีการบำเพ็ญหยั่งรู้ในปัจจุบัน จึงโชคดีเดินมาถึงจุดนี้ได้ สามารถเงยหน้ามองโลกระดับขั้นสูงกว่าได้
ทว่าในบรรดาศาสตร์โบราณก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่สามารถทำได้เช่นกัน
ถึงขนาดที่ในบรรดาศาสตร์โบราณ มีผู้ที่สามารถมองเห็นอนาคตบางส่วนได้ มีบางคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงส่วนเล็กๆ ในอดีตได้ กลเม็ดเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เทพจักรวาลไม่มีกันทั้งสิ้น! ดังนั้นศาสตร์โบราณจึงเป็นระบบการบำเพ็ญหนึ่งที่พิเศษมากอย่างแท้จริง มีเวลาที่ผู้กล้าแกร่งล้ำเลิศเป็นอย่างมาก
“ข้ายังมิได้บำเพ็ญระบบศาสตร์โบราณแต่ก็ทำได้แล้ว ต้องขอบคุณศาสตร์ลับที่ไม่สมบูรณ์ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาสร้างขึ้นมานี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพวาดสี่ภาพบนกำแพงตรงหน้า เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าคราวนี้มาถึงคูหาของจักรพรรดิเก้าเมฆา สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รับก็คือภาพวาดสี่ภาพนี้
“รบกวนผู้อาวุโสช่วยส่งตัวข้าออกไปด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเอ่ยปากด้วยเสียงอันดัง
“ได้สิ สังหารบุคคลระดับสูงของสำนักทิพย์โบราณได้มากพอแล้วก็มาหาข้าที่นี่ สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิรอคอยเจ้ามาแลกเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
พร้อมกันนั้น…
ครืน ระลอกคลื่นห้วงมิติขุมหนึ่งเคลื่อนเข้ามา
ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยตรง
……
พรึ่บ
ท่ามกลางแผ่นดินแห้งแล้งอันกว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มขณะยืนอยู่ท่ามกลางแผ่นดินอันแห้งแล้งผืนนี้ เขาทดลองมองดูอาณาบริเวณอันลึกลับนั้นอีกครั้งทันที ทันใดนั้นเขาก็เชื่อมโยงหลุมสองหลุมเข้าด้วยกันจนก่อร่างเป็นทางเดิน ถ้าหากต้องการส่งคนอื่นไปก็อาจจะยุ่งยากกว่าอยู่บ้าง แต่ถ้าหากเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นก็จะสบายกว่ามากนัก
“พรึ่บ” ห้วงมิติตรงหน้ากำลังบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวเดินเข้าไปข้างใน ห้วงมิติอันบิดเบี้ยวก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
และที่บริเวณอีกแห่งหนึ่งของดินแดนเก้าเมฆาซึ่งมีระยะห่างกันกว่าครึ่งดินแดน
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากห้วงอากาศอันบิดเบี้ยว
“ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่นชม
“แต่ข้าหาคูหาของจักรพรรดิเก้าเมฆาไม่พบแล้ว” ก่อนหน้านี้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในคูหา ได้เคยสำรวจผ่านคูหาในอาณาบริเวณอันลึกลับมาก่อนแล้ว จึงรู้ตำแหน่งที่คูหาตั้งอยู่
ทว่าพอมองหาอีกครั้งในตอนนี้ กลับหาไม่พบเสียแล้ว! ดูคล้ายว่าจะซ่อนเร้นไปโดยสมบูรณ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าลูกไม้ของจักรพรรดิเก้าเมฆานั้นสูงส่งลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ห้วงก็มิติบิดเบี้ยว แล้วเขาก็หายตัวไปไม่เห็นอีก
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากดินแดนเก้าเมฆาอย่างแสนไกลหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน เขาเข้าใจว่าสิ่งที่ได้รับมาในคราวนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในคนกลุ่มน้อยเพียงหยิบมือที่ถูกผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนริษยานั้น พวกบรรพชนทรายและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ แต่ละคนนั้นต่างก็ถูกริษยาเป็นอันมากอย่างแท้จริง
เพราะว่าพวกเขาก็รั้งรออยู่ที่ที่มั่นเป็นระยะเวลายาวนาน ต่างก็มีผู้แกร่งกล้าเชื้อเชิญให้พวกเขาช่วยเหลือให้ส่งพวกเขามุ่งหน้าไปยังสถานที่อันห่างไกลเป็นที่สุดจำนวนหนึ่ง ข้าลำบากทุกครั้งก็คงมิใช่น้อย ดังนั้นพวกเขาทุกคนต่างก็มั่งคั่งกันเป็นอย่างยิ่ง
ประการถัดมา
เคล็ดการหลบหนีเช่นนี้ก็ช่างล้ำเลิศเป็นที่สุด พวกเขาต้องการจะไป แต่ก็มีอยู่ไม่กี่คนที่สามารถขัดขวางพวกเขาเอาไว้ได้
“กลับบ้านเกิดดูดีกว่า” หลังจากที่มีกำลังความสามารถไปยังสถานที่ใดๆ สักแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการมากที่สุดในยามนี้ก็คือกลับไปยังจักรวาลภูมิลำเนา ไปดูคนสนิทเสียก่อน
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเท้าก้าวหนึ่ง ห้วงอากาศก็บิดเบี้ยว แล้วเขาก็หายวับไปมิอาจเห็นได้อีก
………………………………………..
ตอนที่ 28 กลับบ้านเกิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดินแดนเก้าเมฆาห่างจากจักรวาลบ้านเกิดลิบลับ โดยทั่วไปหากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเร่งเดินทางไปอย่างยากลำบากก็ต้องใช้เวลาสิบล้านปี
“ฟิ้ว” เพียงพริบตาเดียว บริเวณทั้งหมดของอากาศอันสับสนอลหม่านก็บิดเบี้ยวไป ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากในนั้น
“จักรวาลบ้านเกิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปทางทิศหนึ่งไกลออกไป เนื่องจากระยะห่างมากเกินไป ขณะส่งถ่ายจึงมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ทว่าการ ‘ทะลุอากาศ’ ภายในอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นเร็วกว่าภายในโลกทิพย์ตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ฟิ้วๆ
เพียงชั่วอึดใจเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปถึงตรงหน้าจักรวาลอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ภายในจักรวาล อย่างมากที่สุดก็อนุญาตให้ผู้มาเยือนขั้นผู้ปกครองเข้ามาได้ ส่วนเทพอากาศน่ะหรือ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของจักรวาลเท่านั้น! สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจากภายนอกมิอาจเข้าไปในจักรวาลได้ นอกเสียจากบางท่านที่มีพละกำลังสามารถทำลายล้างจักรวาลแห่งหนึ่งได้เช่นผู้ท่องอากาศกู่ฉี จักรวาลมิอาจสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้ได้ ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาตามอำเภอใจเท่านั้น แต่จะทำลายล้างจักรวาลสักแห่งอย่างง่ายดาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็ยังทำมิได้
“แคว่กกก…” ผนังเยื่อของจักรวาลมีรอยแยกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในนั้นอย่างง่ายดาย
จักรวาลบ้านเกิดยังคงอยู่ในยุคนี้ ตนยังมิได้ถูกผลักไสออกไป
******
ภายในจักรวาลบ้านเกิด สุนัขสีดำหูตั้งชันซึ่งนอนหมอบอยู่บนผืนหญ้าของสถานที่แรกเริ่มพลันเงยหน้าและเบิกตากว้าง มันมองออกไปไกล บนใบหน้าสุนัขของมันเผยสีหน้าแตกตื่นออกมา ปากก็พึมพำออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า “เข้าเด็กตงป๋อเสวี่ยอิงนี่จากไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็กลับมาเสียแล้ว เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือ”
“มิใช่แค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้อาวุโสตำหนักในอีกด้วย” ชายชราผมขาวปรากฏกายแล้วเอ่ยขึ้น สถานที่แรกเริ่มนี่เป็นสถานที่ที่บรรพชนเทียนอวี๋สร้างขึ้น เมื่อสมาชิกของวังทวีสูญมาถึงจักรวาลแห่งนี้ สถานที่แรกเริ่มก็สามารถรับรู้ได้ถึงสถานะ
“ผู้อาวุโสตำหนักในหรือ มิใช่แค่พลังทัดเทียมกับข้าหรอกหรือ” สุนัขสีดำตกตะลึงไป
หากพูดกันอย่างเข้มงวดแล้ว พลังของมันคือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก
ทว่าเมื่ออยู่ในสถานที่แรกเริ่ม มันก็ได้เปรียบด้านพื้นที่ ค่ายกลความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่บรรพชนเทียนอวี๋วางเอาไว้ร้ายกาจยิ่งนัก สุนัขสีดำได้รับการเสริมแรงจากค่ายกล จึงสามารถสำแดงพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดออกมาได้! แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตอนนั้นก็ยังถูกจอมกระบี่กดดันจนได้
“บำเพ็ญรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าในภายหน้าคงจะได้เป็นประมุขตำหนักของวังทวีสูญเราอีกคนหนึ่ง” ชายชราผมขาวชมเชย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแดนดาราอันกว้างใหญ่ซึ่งแผ่กลิ่นอายทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ทั้งแดนดารานั้นไม่มีพืชพรรณใดงอกขึ้นมาเลย มีเพียงบุรุษอาภรณ์สีแดงเข้มผู้หนึ่งเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงกลาง บัดนี้บุรุษอาภรณ์สีแดงเข้มผู้นั้นก็รู้ตัวและเงยหน้ามองผ่านระยะทางของอากาศมา จึงเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่นอกแดนดาราผู้นั้น
“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญตกใจใหญ่ เขาหยุดการบำเพ็ญลงแล้วสาวเท้าข้ามอากาศมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
“เสวี่ยอิง เจ้ากลับมาแล้วหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
เพราะเวลาสั้นเกินไปแล้ว
จากจักรวาลบ้านเกิดไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ก็ต้องเดินทางเป็นเวลานานมาก
“กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
“นี่ก็แค่ไม่กี่ร้อยล้านปีเท่านั้นเอง เจ้าก็กลับมาแล้ว อีกทั้งพลังของเจ้าในตอนนี้ ข้ายังมองได้ไม่ทะลุปรุโปร่งอีกด้วย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าโชคดี หลังออกจากจักรวาลบ้านเกิดไปได้ไม่นานก็พบระเบียงอากาศเข้า ทำให้ข้าพบกับจอมมารแห่งวังทวีสูญ ทำให้ข้าสามารถไปถึงวังทวีสูญได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แม้เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ร้อยล้านปี…อันที่จริงข้าได้อาศัยตำหนักกาลเวลาแห่งวังทวีสูญในการบำเพ็ญมานานหลายหมื่นล้านปีแล้ว จึงได้มีพลังเช่นนี้ได้ ด้วยความสามารถในการรับรู้ของท่านอาจารย์ หากเข้าไปยังวังทวีสูญ พลังก็จะต้องปะทุขึ้นมาเช่นเดียวกัน”
“ระเบียงอากาศรึ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจ “เจ้าพบระเบียงอากาศเข้าหรือนี่”
เขารู้ภาพเส้นทางที่จะไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และรู้ว่าระหว่างทางจะต้องพบกับอันตรายบางอย่างที่มิอาจรู้ได้
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็ปวดหัวและกลัวเกรงระเบียงอากาศนัก
เพราะทันทีที่ร่วงลงไป…
แม้ความเป็นไปได้ที่จะตายในทันทีจะค่อนข้างต่ำ แต่โดยทั่วไปก็จะห่างไกลจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามาก จักรวาลบ้านเกิดนับว่าอยู่ห่างจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราใกล้มากแล้ว! ไม่แน่ว่า เมื่อผ่านระเบียงอากาศ…ระยะทางไม่แน่นอนอาจจะไกลไปเป็นสิบเป็นร้อยเท่าในคราวเดียวก็เป็นได้! การเร่งเดินทางไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ความจริงก็เป็นเช่นนี้เอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงตรงเข้าไปจุดที่อยู่ใกล้โลกทิพย์กิเลนบูรพา
“มิได้พบจอมมารเข้าแล้วเช่นกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“โชคดีๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรำพึง “จากบ้านเกิดไปคราวนี้ เดินทางไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านช่างอันตรายนัก”
“สำหรับข้าในตอนนี้ ก็นับว่าสบายมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ท่านอาจารย์ ถึงตอนนั้นข้าจะส่งท่านไปยังวังทวีสูญด้วยตนเอง”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้ายิ้มๆ “ฮ่าฮ่า เห็นทีเจ้าบำเพ็ญมาหลายหมื่นล้านปี พลังคงจะสูงส่งลึกล้ำกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว เตรียมตัวจะชี้แนะเหล่าผู้ปกครองทั้งหลายหรือยังเล่า พวกเขาต่างก็ติดอยู่ที่ขีดจำกัด มิอาจก้าวหน้าสำเร็จเป็นเทพอากาศได้”
“อีกหนึ่งเดือนให้หลังแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวนจ้าวตงป๋อเหนือทะเลหมอกดำ แล้วเชิญทุกท่านมาเข้าร่วม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตดีใจมาก อารมณ์ก็ดียิ่งนัก
อันที่จริงตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจากจักรวาลบ้านเกิดไปนั้น เขาก็กังวลใจเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนั้นก็ยังคงอ่อนแอเกินไป อ่อนแอกว่าเขา จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอยู่ไม่น้อย แต่บัดนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเขามากแล้ว
ทว่าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลับสงบนิ่งนัก
อย่างแรกเพราะศิษย์ของตนคนนี้มีความสามารถในการรับรู้สูงส่งกว่าตนเสียอีก อย่างที่สอง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกว่ารอให้เข้าไปในวังทวีสูญแล้ว ตัวเขาเองก็จะมีการวิวัฒน์เช่นเดียวกัน
……
หลังตงป๋อเสวี่ยอิงแยกกับท่านอาจารย์แล้ว เพียงก้าวออกไปหนึ่งก้าว ก็มาถึงหน้าดินแดนดวงดาราอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เหนือดินแดนดวงดาราแห่งนี้ มีแสงสีแดงกลิ้งไปมา ด้านบนก็มีวังและตำหนักทอดยาวต่อเนื่องกัน มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากอยู่ในนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้
บนดินแดนดวงดาราแห่งนี้
มีชายหนุ่มในอาภรณ์สีเทาตัวหลวมนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ จุดสูงสุดของตำหนักใหญ่ ด้านล่างมีศิษย์จำนวนมากนั่งฟังคำสอนของเขาอยู่
“เจ้าเด็กอวี้เอ๋อร์คนนี้ไม่เลวเลย รับศิษย์มากมายถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มจนปากแทบฉีก หลังกลับมาถึงบ้านเกิดแล้ว เขาก็อารมณ์ดียิ่งนัก เพราะด้วยพลังของเขา การรับรู้ก็แผ่คลุมไปทั่วทุกหนแห่งของจักรวาลบ้านเกิด ตั้งแต่ชั่วขณะแรกก็พบว่า ‘ตงป๋ออวี้’ บุตรชายตนได้หลุดพ้นแล้ว
บัดนี้คล้ายว่าจะกลายเป็นบรรพชนของแถบหนึ่งไปแล้ว ทั้งยังสอนศิษย์มากมาย
เมื่อเห็นบุตรเป็นเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังดีใจมากกว่าที่ตนบำเพ็ญจนบรรลุเสียอีก
“อวี้เอ๋อร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
ตงป๋ออวี้ที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของตำหนักใหญ่สะดุ้งไปเล็กน้อย ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้ เขาสั่งขึ้นว่า “ถอยออกไปให้หมด” พูดจบเขาก็หายวับไปกลางอากาศทันที
แม้บรรดาศิษย์ในตำหนักทั้งหลายจะงุนงงสงสัย ทว่าก็ยังถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
กลางอากาศ
ตงป๋ออวี้ทะลุอากาศมาปรากฏกาย เขามองดูคนตรงหน้าแล้วก็อดตื่นเต้นขึ้นมามิได้ “ท่านพ่อ! ท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือ”
รวดเร็วเกินไปแล้ว
เร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก เดิมทีคิดว่า กว่าท่านพ่อจะกลับมาก็คงจะตอนที่ยุคจักรวาลใกล้จะสิ้นสุดลงเสียอีก
“ไม่เลว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเอ่ยชม
ตงป๋ออวี้ได้ยินบิดาชมเชยก็อดยิ้มออกมามิได้
“ท่านแม่เจ้าเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วหรือยัง”
“นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ร้อยล้านปีเท่านั้นเอง ท่านแม่ยังไม่รีบร้อนเข้าสู่ห้วงนิทราหรอก ทว่าเวลาส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่แต่ในโลกคูหาสวรรค์” ตงป๋ออวี้กล่าว “ออกมาบ้างเป็นบางครั้ง ทว่าอีกสักไม่กี่ปี ท่านแม่ก็จะเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ตอนนี้ท่านแม่และท่านพี่ต่างก็อยู่ในจวนจ้าวขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
เตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราหรือ
จิ้งชิวยังมิได้หลุดพ้นจริงๆ เสียด้วย
“ไป ไปพบท่านแม่และพี่สาวเจ้ากันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
………………………..
ตอนที่ 29 คิดค้นศาสตร์ลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงพริบตาเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พาตงป๋ออวี้ไปถึงท้องฟ้าเหนือทะเลหมอกดำแล้ว
จวนจ้าวในตอนนี้ โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นตงป๋อชิงเหยาที่จัดการทุกสิ่ง
“เสวี่ยอิงหรือ”
เมื่ออวี๋จิ้งชิวซึ่งถูกบุตรสาวเชิญออกมาจากโลกคูหาสวรรค์เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันยินดีเป็นอย่างมากขึ้นมา ความวิตกกังวลจนล้นใจก่อนหน้านี้มลายหายไปจนสิ้นในพริบตา
ตงป๋อเสวี่ยอิงและภรรยาสบสายตากัน
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาสองพี่น้องที่อยู่ด้านข้างก็สบตากัน ตงป๋อชิงเหยาก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านคุยกันไปนะเจ้าคะ ข้าและน้องชายจะไปเตรียมของกินมา” พูดจบพวกเขาสองพี่น้องก็จากไปทันที
ภายในโถงตำหนักเหลือเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้น
“ข้ากลับมาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบา “โชคดี สมบัติล้ำค่าที่อยากได้ก็ได้มาในเวลาไม่นานแล้ว ดังนั้นข้าจึงกลับมาดูก่อน”
อวี๋จิ้งชิวเดินมา “พวกเราออกไปเดินเล่นกันหน่อย”
“อื้ม”
สองสามีภรรยาเดินอยู่ในจวนจ้าวตงป๋อพลางจูงมือกัน ราวกับทุกสิ่งสงบมาก พวกเขาต่างก็บำเพ็ญมายาวนานยิ่งนัก ความรู้สึกจึงย่อมซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจเป็นธรรมดา
“ตอนนั้นท่านดึงดันจะเดินทางไปในอากาศอันสับสนอลหม่านให้ได้…ข้าและอวี้เอ๋อร์กับชิงเหยาต่างก็กังวลใจมาก แต่กลับเกลี้ยกล่อมท่ามิได้เลย” อวี๋จิ้งชิวกล่าว
“เจ้าก็รู้นิสัยข้าดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
“กลับมาก็ดีแล้ว” อวี๋จิ้งชิวกล่าว
“เจ้าบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “เล่าให้ข้าฟังหน่อย”
……
สองสามีภรรยาเริ่มสนทนากันถึงปัญหาต่างๆ ที่พบระหว่างการบำเพ็ญ ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้สูงขึ้นมากแล้ว ต่อให้เทียบกับจอมกระบี่ที่ยังอยู่ในจักรวาลบ้านเกิดในตอนนั้นก็ตาม แม้จะกล่าวว่าในตอนนั้นจอมกระบี่เป็นขั้นอลวน แต่หากพูดถึงสิ่งที่ได้พบเห็นมาแล้ว…ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้กลับสูงยิ่งกว่า ถึงอย่างไรเขาก็เคยอ่านคัมภีร์ทั้งหมดในตำหนักหมื่นรูปแห่งวังทวีสูญมาแล้ว และยังได้อ่านคัมภีร์ทั้งหมดที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเก็บรวบรวมเอาไว้อีกด้วย การชี้แนะของเขาจึงมักจะกระตุ้นอวี๋จิ้งชิวได้
“ต้องการหัวใจหลิวเมฆาแดงหนึ่งชุด ผู้ที่มีโปรดมาสนทนากันโดยละเอียด” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารไปภายในวังทวีสูญ ขณะเดียวกันก็ส่งสารเสนอซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงชุดหนึ่งไปที่หอทะเลสัตตดาราด้วย
แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนปิดบังสถานะเอาไว้
ผู้อื่นรู้เพียงว่าเป็นสารเสนอซื้อที่ส่งมาภายในวังทวีสูญ
“หวังว่าจะได้มาโดยเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
เนื่องจากอวี้เอ๋อร์หลุดพ้นแล้ว ดังนั้นแค่เตรียมหัวใจหลิวเมฆาแดงชุดหนึ่งให้ภรรยาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว สิ่งที่ตนได้มาจากขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆานั้นเพียงพอแล้ว! ตอนนี้ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ…ต้องมีหัวใจหลิวเมฆาแดงมาขาย! สมบัติล้ำค่ามูลค่าราวศิลาปฐมโลกาหกพันก้อน ของล้ำค่าหายากที่บ่มเพาะออกมาระดับนี้ พบเห็นได้ยากยิ่งนัก มิใช่ว่าอยากซื้อก็จะหาซื้อได้ทันที
ภายในวังทวีสูญ เกรงว่าคงจะหาพบได้ยากนัก
หอทะเลสัตตดารา…เป็นขุมอำนาจที่ทำการค้าขาย เมื่อปล่อยข่าวออกไป หากใช้เวลานานหน่อยก็น่าจะหาหัวใจหลิวเมฆาแดงมาได้
“ทางเลือกแรกก็คือหัวใจหลิวเมฆาแดง หากข้าหาไม่ได้ ก็คงได้แต่หน้าหนาไปขอให้บรรพชนเทียนอวี๋ช่วยหาดู หากมิได้จริงๆ แล้ว…ค่อยถอยมาใช้ตัวเลือกรองลงมา เลือกวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญอื่นๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
สูงกว่าหัวใจหลิวเมฆาแดงหรือ
ก็มีอยู่
นั่นก็คือ ‘หัวใจนิรันดร์’ ‘ผลปฐมโลกา’ และสิ่งอื่นๆ ที่สามารถหลุดพ้นได้โดยตรง แต่นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่เทพจักรวาลก็ยังยากจะได้มา อย่างเช่นเพื่อหัวใจนิรันดร์ดวงหนึ่ง…ราชันย์มีดก็ยังร่วมมือกับบรรพชนทิพย์สังหารเทพจักรวาลผู้หนึ่ง ราชันย์มีดและบรรพชนทิพย์นั้นจัดอยู่ในระดับสองของสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดเลยทีเดียว
ดังนั้นต่อให้มีพลังเช่นทุกวันนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าฟุ่มเฟือย หัวใจหลิวเมฆาแดงก็ดีมากแล้ว
******
“อื้ม ข้าจะลองดูอีกที”
อวี๋จิ้งชิวพบว่าการชี้แนะของสามีตนในตอนนี้ มักจะชี้ปัญหาจากมุมมองและวิธีการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน และกระตุ้นนางครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้อวี๋จิ้งชิวมีแรงผลักดันจุดประกายขึ้นอีกครั้ง
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วนำศิลาปฐมโลกาออกมาถึงหนึ่งร้อยก้อน
เมื่อมองเห็นก้อนศิลาซึ่งเปล่งสีสันแปลกประหลาดตรงหน้าเหล่านี้ อวี๋จิ้งชิวก็รู้สึกว่าวิญญาณของตนเกิดแรงผลักดันอันแรงกล้าที่จะกลืนกินลงไปให้หมดด้วยความหิวโหย นางถึงขั้นข่มกลั้นเอาไว้ไม่ได้
“ไม่จำเป็นต้องข่มกลั้นแรงผลักดันของวิญญาณหรอกนะ ให้วิญญาณดูดซับพลังงานของมันไปให้หมดตามธรรมชาติ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “กินเข้าไปในกายก้อนหนึ่ง ค่อยๆ ดูดซับ เมื่อดูดซับหมดก้อนหนึ่งก็ค่อยกินก้อนต่อไป”
อวี๋จิ้งชิวมิได้ปฏิเสธ
เพราะนางเชื่อมั่นในตัวสามีอย่างเต็มที่
ศิลาปฐมโลกาแต่ละก้อนถูกกินเข้าไปในกาย หลังจากดูดซับลงไปตามสัญชาตญาณของวิญญาณแล้ว อวี๋จิ้งชิวก็ดำดิ่งลงไป ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแสนวิเศษ นางใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ ในการดูดซับศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อนจึงจะกินลงไปจนหมด สาเหตุหลักก็เพราะวิญญาณของนางค่อนข้างอ่อนแอ จึงดูดซับได้ค่อนข้างช้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างๆ เขาบำเพ็ญมาจนบัดนี้ ยังมิเคยลิ้มรสศิลาปฐมโลกาเลย
“เป็นอย่างไรบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรอจนภรรยาดูดซับศิลาปฐมโลกาทั้งร้อยก้อนนี้ลงไปหมดแล้วจึงถามขึ้น
“วิญญาณของข้าแข็งแกร่งและมั่นคงขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว” อวี๋จิ้งชิวรู้สึกตกใจมาก “คาดว่าคงจะสามารถยืนหยัดได้นานกว่าก่อนหน้านี้อย่างน้อยห้าร้อยล้านปี อีกทั้งตอนนี้วิญญาณของข้ารู้สึกวิเศษนัก คาดว่าผลของการบำเพ็ญและการรับรู้ก็คงจะดีอย่างยิ่งด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นกินศิลาปฐมโลกานั้นเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยอย่างมาก
เพราะศิลาปฐมโลกานั้นมีประโยชน์แม้กระทั่งกับเทพจักรวาล! ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงให้ภรรยากิน ก็เพราะศิลาปฐมโลกาจัดว่านุ่มนวลที่สุดแล้วถ้าเทียบกับสิ่งอื่น ทั้งยังมีส่วนช่วยวิญญาณรอบด้านที่สุด อายุขัยของภรรยาก็ยังสามารถยืดออกไปได้บ้างอีกด้วย
“เจ้าลองบำเพ็ญดูสิว่าจะสามารถหลุดพ้นในรวดเดียวได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
หากไม่ได้แล้ว
ภายหน้ายังมี ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญดีกว่ามากอยู่อีก หัวใจหลิวเมฆาแดงมีมูลค่าศิลาปฐมโลกาหกพันก้อน แต่สำหรับการช่วยในการบำเพ็ญของเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นแล้ว ผลของมันเพียงพอจะเทียบได้กับการกินศิลาปฐมโลกากว่าแสนก้อนลงไปเลยทีเดียว! เท่าที่ทราบกัน ถือเป็นวัตถุที่ส่งเสริมการบำเพ็ญได้ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นแล้ว
ศิลาปฐมโลกาหกพันก้อน เกรงว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่อ่อนแอบางคนคงจะต้องทุ่มสมบัติล้ำค่าจนหมดตัวเลยทีเดียว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยภรรยาไปพลาง สะสางสิ่งที่ได้รับรู้จากการบำเพ็ญของตนไปพลาง แล้วเริ่มเขียนศาสตร์ลับวิชาแล้ววิชาเล่าขึ้นมา
ศาสตร์ลับที่เขาเขียนขึ้นนั้นเริ่มตั้งแต่ช่วงเทพโลกาไปจนถึงช่วงที่เข้าสู่เทพอากาศ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้มีระดับขั้นเช่นไรกัน
หากพูดถึงพลังแล้ว ก็ไม่แพ้จอมมารในจักรวาลบ้านเกิดตอนนั้นเลย หากพูดถึงสิ่งที่ได้พบเห็นมาแล้วก็ยิ่งเหนือกว่าลิบลับ! ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นคิดค้นศาสตร์ลับจำพวกมังกรมัจฉาปลิดชีพขึ้นมา บัดนี้สิ่งที่เขาต้องการก็มีเพียงศาสตร์ลับช่วงเทพโลกาและเทพแท้เท่านั้น…เขาสามารถเขียนขึ้นได้ตลอดเวลาจริงๆ หากพูดถึงอานุภาพแล้วก็แข็งแกร่งกว่าจรัสยิ่งและกายทิพย์ทลายสุดขั้วมากนัก
บางวิชายังแข็งแกร่งกว่าร่างแท้หมื่นมารของจอมมารเสียด้วยซ้ำ!
แน่นอนว่าหลังจากจอมมารเข้าไปในวังทวีสูญแล้ว ร่างแท้หมื่นมารในตอนนี้ก็ย่อมเก่งกาจขึ้นเป็นธรรมดา แต่ร่างแท้หมื่นมารที่เขาทิ้งเอาไว้ในจักรวาลบ้านเกิดในตอนนั้น…ก็ไม่อยู่ในสายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรการบำเพ็ญตามปกติของเขาก็ใช้ศาสตร์ลับระดับจักรวาลอย่างสิบสามกระบี่ผลาญโลกา แผนภาพคลื่นจานหรือโลกอนธการอยู่แล้ว แม้โลกอนธการจะเป็นเพียงแค่สองกระบวนท่า แต่ทั้งสองกระบวนท่าก็ล้วนนับได้ว่าเป็นศาสตร์ลับระดับจักรวาลแล้ว เพียงแต่หลังจากนั้นยังมิอาจคิดค้นขึ้นมาได้ก็เท่านั้นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำเพื่อชนรุ่นหลังในบ้านเกิดล้วนๆ
แม้หลังจากจอมกระบี่และจอมมารไปยังวังทวีสูญแล้วจะเก่งกาจกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยกลับมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะเรียบเรียงความเร้นลับของกฎเกณฑ์แล้วคิดค้นศาสตร์ลับต่างๆ ขึ้นมาเพื่อชี้แนะการบำเพ็ญของทุกคน
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เขียนศาสตร์ลับขึ้นมายี่สิบแปดเล่มอย่างง่ายดาย ซึ่งกว่าครึ่งล้วนแข็งแกร่งกว่าร่างแท้หมื่นมาร!
และในที่สุดงานเลี้ยงซึ่งจัดขึ้นที่จวนจ้าวก็มาถึงแล้ว
เนื่องจากมิได้เชื้อเชิญเป็นวงกว้าง ครั้งนี้จึงมีผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานไม่มากนัก มีเพียงผู้ปกครองอย่างผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผางอี ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติและบรรพชนหุบเหวลึก รวมทั้งผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างยิ่งเช่นผู้เคารพหั่วเฉิง ศิษย์พี่ฮุ่ยหมิงและบรรพชนเพลิงชาด แน่นอนว่าตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและสหายสนิททั้งหลายก็ถูกเชิญให้มาเข้าร่วมงานด้วยเช่นเดียวกัน
……………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น