Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 28 ตอนที่ 20-21
ตอนที่ 20 คิดบัญชี
โดย
Ink Stone_Fantasy
บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้มีดบินน้อยยิ่งนัก เขาอาศัยโลกอนธการหลากชั้นและแผนภาพคลื่นจานร่วมกันเป็นหลัก
เนื่องจากโลกอนธการหลากชั้นมีข้อดีกว่ามีดบินอยู่หลายอย่าง
ดังเช่นโจมตีได้ฉับพลันมากกว่า
มีดบินยังต้องบินไปสังหารศัตรู แต่โลกอนธการหลากชั้นร่อนตรงจากความเลือนรางมาสู่ความเป็นจริงแล้วปกคลุมศัตรูเอาไว้จะหลบก็มิอาจหลบพ้น! เมื่อครู่เขาสำแดงกระบวนท่านี้ออกมาปกคลุมเจ้าเมืองอมตะเอาไว้อย่างฉับพลัน ร่างทั้งสิบเก้าของเจ้าเมืองอมตะ…แต่ละร่างล้วนถูกโลกอนธการปกคลุมเอาไว้สามชั้น ถึงอย่างไรเมื่อผ่านการต่อกรก่อนหน้านี้มา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พอจะเข้าใจความสามารถในการป้องกันของร่างที่แปรเป็นหมอกดำของอีกฝ่ายบ้างแล้ว
โลกอนธการเพียงแค่สามชั้น คงมิอาจสังหารอีกฝ่ายได้
แต่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือให้สังหารไม่ได้นั่นเอง!
เปรี๊ยะๆๆๆ…
ร่างทั้งสิบเก้าล้วนประสบกับการกระทบของโลกอนธการสามชั้น เมื่อรวมกันแล้วก็แค่โลกห้าสิบเจ็ดชั้นเท่านั้น! อย่างมากที่สุดคือสามารถสำแดงออกมาได้หนึ่งร้อยยี่สิบชั้น
“นี่ นี่…” ร่างทั้งสิบเก้าของเจ้าเมืองอมตะประสบกับการโจมตีพร้อมกัน อีกทั้งการโจมตียังมาจากความเลือนราง ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงแรงคุกคามของความตาย
“พวกเจ้าร่วมมือกันก็ยังคุกคามข้าได้ไม่พอเลย ทั้งยังเป็นกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาอีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางส่ายศีรษะ เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณขุมทรัพย์ชั้นที่สอง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยุติเสียเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดอยากเข้าร่วมศึกใหญ่ที่มีพลังทัดเทียมกันมาโดยตลอด คิดจะเคี่ยวกรำและบีบคั้นตนเอง
หากสามารถทำให้สำแดงโลกอนธการกระบวนท่าที่สอง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ออกมาได้ก็จะดียิ่งนัก! รับรู้ได้แต่กลับสำแดงออกมามิได้ นี่เป็นส่วนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจมาโดยตลอด
น่าเสียดาย ที่พวกเขาทั้งสองนำแรงคุกคามมาให้ไม่เพียงพอ
พลังของบุรุษผู้องอาจแข็งแกร่งพอ แต่วิธีการโจมตีกลับเรียบง่าย!
เจ้าเมืองอมตะก็เพียงแค่สำแดงเจ็ดจานมนตร์อมตะออกมา แม้จะพิสดารเป็นอันมาก แต่ก็เป็นเพียงท่าไม้ตายเดียวซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น ทว่าก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ผู้แกร่งกล้าของระบบทิพย์และระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อาจจะมีลูกไม้แพรวพราวมากกว่าอยู่บ้าง ส่วนผู้แกร่งกล้าของระบบอื่นๆ โดยทั่วไปล้วนเชี่ยวชาญกระบวนท่าใดกระบวนท่าหนึ่งโดยเฉพาะ
“เจ้าทำอะไรพวกเรามิได้หรอก” เจ้าเมืองอมตะยิ้มเย็น
เขาและบุรุษผู้องอาจไม่มีทางยอมแพ้
ที่นี่จะหนีก็หนีไม่ได้ หากพ่ายแพ้ก็แทบจะเท่ากับตัวตายเลยทีเดียว!
“โง่งม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเยาะ
หรือพวกเขาไม่สังเกตว่า โลกอนธการหลากชั้นที่ตนใช้โจมตีบุรุษผู้องอาจมีถึงหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นด้วยกัน และที่ใช้โจมตีแต่ละร่างของเจ้าเมืองอมตะมีเพียงสามชั้นเท่านั้น ก็ถูกต้องแล้ว เขาโจมตีรวดเร็วเกินไป ราวกับโลกอนธการหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คาดว่าศัตรูคงจะมิได้สังเกตเห็นความแตกต่างของจำนวนชั้นของผนังโลกแต่อย่างใด
“ร่อนลงไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้
ร่างทั้งสิบเก้าของเจ้าเมืองอมตะล้วนเผชิญกับการโจมตีของโลกอนธการสามชั้น นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังสำแดงโลกอนธการถึงหกสิบสามชั้นออกมากลางอากาศรอบด้านจนแน่นขนัดไปหมด ทว่าโลกอนธการกลุ่มใหญ่นี้กลับมิได้โจมตีศัตรูคนไหนเลย เป็นการจงใจสำแดงออกมาเพื่อโอ้อวดโดยแท้
โลกอนธการที่ต่อเนื่องกันแตกสลายไป
เจ้าเมืองอมตะตะลึงงันไปแล้ว
“เขา เขายังสามารถสำแดงโลกแหลกละเอียดออกมาได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าเมืองอมตะรู้สึกหนาวเหน็บถึงขั้วหัวใจ เมื่อมองเห็นโลกอนธการมากมายถึงเพียงนั้นมิได้โจมตีศัตรูหน้าไหนเลย เขาก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา หากโลกอนธการเหล่านี้โจมตีตน ร่างแยกทั้งสิบเก้าของตนจะสามารถจะสามารถต้านทานได้หรือ
“เจ้าสังหารเขาได้ แต่กลับทำอะไรข้ามิได้เลย” บุรุษผู้องอาจยืนอยู่ตรงนั้นด้วยนัยน์ตาเย็นชา แต่กลับรู้ว่าไม่ดีเสียแล้ว เพราะ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ สหายของเขาถูกขู่จนกลัวไปหมดแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อย่างนั้นรึ”
เขาพูดพลางพลิกมือคราหนึ่ง น้ำเต้าสีดำอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาเปิดจุกออก
ฟิ้ว
ลูกไฟขนาดเท่าฝ่ามือพลันลอยออกมา แล้วกลายเป็นดาวตกลูกหนึ่ง บุรุษผู้องอาจเผชิญหน้ากับลูกไฟซึ่งเหมือนกับดาวตกนั้น ก็รู้สึกประหวั่นใจขึ้นมา แต่ภายใต้การกดดันด้วยบริเวณของแผนภาพคลื่นจาน เขาก็มิอาจหลบหลีกหนีไปได้เลย ทันใดนั้นมันก็ปะทะลงบนแผ่นอกของเขา ร่างกายอันแข็งแกร่งหาใดเปรียบของเขาถูกยิงจนกลายเป็นรูพรุนใหญ่ ถึงขั้นที่ว่าภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง อานุภาพของลูกไฟยังแผ่รังสีเข้าไปภายในร่างของบุรุษผู้องอาจด้วย
บุรุษผู้องอาจเบิกตาโพลงจนแทบจะกลอกกลิ้ง เขาก้มหน้ามองรูขนาดมหึมาบนแผ่นอก และภายในร่างกายที่ถูกทำลาย
“หากข้าอยากทำล่ะก็ จะสังหารเจ้าก็สบายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
บัดนี้ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงส่งแล้ว จึงควบคุมลูกไฟได้คล่องแคล่วมากขึ้น แม้แต่เส้นทางที่วาดข้ามขอบฟ้าก็ยังมีร่องรอยระลอกคลื่นของแผนภาพคลื่นจานอยู่ ทำให้บุรุษผู้องอาจยากที่จะหลบหลีกไปได้
มีแต่ความเงียบงัน
เจ้าเมืองอมตะและบุรุษผู้องอาจต่างก็ยืนด้วยความตกตะลึงอยู่ตรงขุมทรัพย์ชั้นที่สอง พวกเขาล้วนแต่มิได้โง่งม ยามนี้จึงล้วนเข้าใจว่ายอดฝีมือตรงหน้าผู้นี้มีโอกาสที่จะสังหารพวกเขาทั้งสองให้สิ้นซากไปได้
“เจ้าสามารถสังหารพวกเราได้ แล้วไยจึงไม่สังหารเสียเล่า” บุรุษผู้องอาจพูดเสียงต่ำ
“เหตุใดเมื่อเจ้าอยู่ในโลกชั้นที่หนึ่งจึงไม่ลงมือเล่า กลัวว่าพวกเราจะหนีไปหรือไร” เจ้าเมืองอมตะถามขึ้น “แต่บัดนี้ข้าไม่มีที่จะให้หนีอีกแล้ว เจ้าก็ยังไม่สังหารพวกเราหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้นว่า “แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในโลกชั้นที่หนึ่ง ข้าย่อมมิอาจเผยพลังออกมามากเกินไปได้ เพราะหากเผยออกมามากแล้วทำให้พวกเจ้าทั้งสองเสียขวัญ พวกเจ้าจะยังกล้าเข้ามาในชั้นที่สองหรือ”
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็เข้าใจแล้ว
หากตอนนั้นพวกเขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตแห่งความตายแล้ว ก็คงไม่มีทางเข้ามาในชั้นที่สอง ให้ผู้อื่นควบคุมความเป็นความตายของพวกเขาได้
“ข้าหวังจะให้พวกเจ้าเข้ามายังชั้นที่สอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวพลางชี้ไปทางเนินเขาอุกกาบาตด้านข้าง “ตัวข้าคนเดียวมิอาจทำลายเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้ลงไปจนหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันได้ ข้าต้องการผู้ช่วย! และพลังของพวกเจ้าก็มากพอ จึงเป็นผู้ช่วยที่ข้าต้องการพอดี แน่นอนว่าข้าจะไม่สังหารพวกเจ้าหรอก”
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
ที่แท้แล้ว…
เขาเก็บงำพลังที่แท้จริงมาโดยตลอด แล้วจึงเผยออกมาในตอนสุดท้าย ก็เพื่อใช้แรงงานพวกเขาทั้งสองอย่างหนักหน่วงนั่นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบทอดถอนใจ อันที่จริงเขาห้ำหั่นกับคนทั้งสองก็ด้วยหวังว่าจะได้บรรลุบ้าง จะให้ดีที่สุดก็คือสามารถสำแดง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ออกมาได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็คือมีพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก ก็จะเข้าไปในขุมทรัพย์ชั้นที่สามได้อย่างง่ายดายแล้ว น่าเสียดายที่ยังคงมิอาจบรรลุได้ ผู้ช่วยทั้งสองคนนี้สำคัญมากทีเดียว
“พวกเจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งคือตาย อีกทางหนึ่งก็คือช่วยข้าทำลายเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้ ขอเพียงช่วยข้า ข้าก็สามารถสัญญากับพวกเจ้าได้ว่าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีทางรอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
พวกเขาทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาไร้ทางเลือก
“ได้”
“เจ้าเก่งกาจ พวกเราจะช่วยเจ้า” พวกเขาทั้งสองต่างก็พูดขึ้น
“ยังไม่รู้เลยว่าเจ้ามีนามกรว่าอย่างไร ให้พวกเราได้เข้าใจเสียหน่อยว่า ที่แท้แล้วแพ้ด้วยน้ำมือของผู้ใด จึงแพ้ได้อย่างน่าอนาถเช่นนี้” บุรุษผู้องอาจเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เรียกข้าว่าเฟยเสวี่ยก็แล้วกัน”
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่า นี่คือนามแฝง เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งซึ่งมีนามว่าเฟยเสวี่ยด้วย
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมลูกไฟน้ำเต้าสีดำโจมตีไปทางเนินเขาอุกกาบาตด้านข้าง แต่กลับถูกมิติอันไร้รูปร่างขวางกั้นเอาไว้ในชั่วขณะที่ปะทะกัน ให้อย่างไรก็มิอาจกระทบได้
“อาศัยพลังภายนอกใช้ไม่ได้จริงด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า
รายงานก็พูดเอาไว้ชัดเจนมากอยู่ก่อนแล้ว
อาศัยพลังภายนอกนั้นมิอาจโจมตีเนินเขาอุกกาบาตได้ ต้องอาศัยท่าไม้ตายที่รับรู้และเข้าถึงเอง!
พลังภายนอกหรือ ดังเช่นป้ายอักขระล้ำค่าที่แข็งแกร่งบางอัน สามารถปะทุการโจมตีระดับขั้นอลวนออกมาได้…แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทดสอบก็คือพลังที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญรุ่นหลังเอง มิใช่พลังภายนอก
“รีบลงมือเร็วเข้า อย่าสิ้นเปลืองเวลาอีกเลย เวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะ
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็ถอนหายใจด้วยความจนใจ ทำได้เพียงเริ่มเป็นแรงงานเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ข้ารู้จักพลังที่แท้จริงของพวกเจ้าสองคนดี เมื่อครู่ตอนพวกเจ้าลงมือกับข้าก็มีแววต่อสู้สูงลิ่วนัก หากพวกเจ้าทั้งสองแอบเกียจคร้าน…ข้าก็ทำได้เพียงส่งพวกเจ้าไปตายแล้ว”
“มิกล้าๆ” พวกเขาทั้งสองยิ่งจนใจมากขึ้นไปอีก
ที่แท้แล้วการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็เพื่อหยั่งเชิงนี่นา ทำให้พวกเขาทั้งสองลอบเกียจคร้านมิได้เสียด้วยซ้ำไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นผลงานการโจมตีเนินเขาอุกกาบาตของพวกเขาก็อดลอบพยักหน้ามิได้ “การโจมตีของพวกเขาทั้งสองล้วนแต่แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อสองคนรวมกัน ก็ไล่ตามความเร็วในการผลาญทำลายของข้าได้แล้ว หวังว่าในเวลาสามวัน จะสามารถทำลายเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้ได้อย่างราบคาบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดัน
……………………………
ตอนที่ 21 โชคชะตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะล้วนแต่มีสถานะและชื่อเสียงพอสมควร บัดนี้ต้องทำลายเนินเขาอุกกาบาตอย่างสุดกำลังด้วยความเชื่อฟังเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาไม่มีความสนใจที่จะแสดง ‘ความแข็งข้อ’ ออกมาต่อต้านตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะผลของการต่อต้าน…ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมต้องสังหารพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ในตอนที่พวกเขาลงมือนั้นก็ได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว
หากไม่สำเร็จ ก็ต้องล้มเหลวจนตายตกกันไป บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงให้ทางรอดทางหนึ่งแก่พวกเขา ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว
“ยุ่งยากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมองดูเนินเขาอุกกาบาตสูงราวร้อยจ้างตรงหน้า บัดนี้พวกเจ้าเมืองอมตะทั้งสองคนกำลังโจมตีอย่างแข็งขัน หากไม่นับวิธีการโลกอนธการหลากชั้นแล้ว ในด้านการโจมตี คนทั้งสองก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ประสิทธิภาพในการทำลายเนินเขาอุกกาบาตก็สูงส่งนัก
หลุมเล็กๆ หลุมแล้วหลุมเล่าปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทั้งเนินเขาอุกกาบาตราวกับผลไม้ลูกหนึ่งซึ่งถูกกัดแหว่งไปคำโต
เศษหินจำนวนมากร่วงลงไปด้านหนึ่ง แล้วลอยขึ้นมาภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ตู้ม!”
โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นร่อนลงไปห่อหุ้มเศษอุกกาบาตซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวครึ่งเมตรก้อนหนึ่งเอาไว้ จากนั้นโลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นก็แตกสลายไปจนสิ้น อานุภาพรวมตัวกันอย่างเต็มที่แล้วกระทบลงบนเศษอุกกาบาตก้อนนี้ เศษอุกกาบาตพลันถูกทำลายจนกลายเป็นผุยผงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะซึ่งอยู่ด้านข้างต่างก็ลอบอ้าปากค้าง
แม้จะเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่อานุภาพทำลายล้างเช่นนี้ก็ยังคงทำให้พวกเขาประหวั่นใจอยู่นั่นเอง
“เกรงว่ากระบวนท่านี้คงจะใกล้เจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้วกระมัง” บุรุษผู้องอาจลอบร่ำร้อง “ร่างกายของข้าแทบจะแข็งแรงมิอาจทำลาย แต่ก็ยังถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ดูจากกระบวนท่าทำลายโลกนี่แล้ว หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักในคนใหม่แห่งวังทวีสูญผู้นั้น”
เจ้าเมืองอมตะอาศัยอยู่ในดินแดนเก้าเมฆามาเนิ่นนาน จึงพบเห็นอะไรมาน้อยกว่ามากทีเดียว
บุรุษผู้องอาจกลับไม่เหมือนกัน หูตาของเขากว้างไกลกว่ามาก เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดดูแล้ว ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง ผู้ที่เชี่ยวชาญการใช้โลกอันเลือนรางลงมาทำลายล้างพรรค์นี้ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดก็คือ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้อาวุโสตำหนักในคนใหม่แห่งวังทวีสูญ แต่จากรายงาน เหมือนว่าจะมิได้เก่งกาจถึงเพียงนี้
“ยุ่งยากแล้ว เวลาหนึ่งวัน เนินเขาอุกกาบาตเพิ่งจะถูกทำลายไปเพียงสองส่วนเท่านั้น เวลาสามวันจะทันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว “เฮ้อ แม้จะรับรู้โลกอนธการกระบวนท่าที่สองแล้วแต่กลับสำแดงออกมามิได้ แม้จวนจะบรรลุกระบี่ที่หกผลาญโลกาแล้ว แต่การติดอยู่ที่อุปสรรคเป็นหมื่นเป็นล้านปีก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ข้าเหลือเวลาเพียงสองวันเท่านั้น ทั้งยังไม่มีเวลาแบ่งสมาธิไปรับรู้และค้นคว้าอีกด้วย”
สำแดงโลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นออกมาก็นับว่าทุ่มสุดกำลังแล้ว จึงมิอาจแบ่งสมาธิไปรับรู้ได้เลย
“ระดับจิตของข้ามิได้บรรลุมาโดยตลอด หากบรรลุ พลังของข้าก็ควรจะสามารถถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
โลกอนธการหลากชั้นที่ตนคิดค้นขึ้นมา บัดนี้ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณตนสำแดงออกมาได้เพียงหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นเท่านั้น! หากจำนวนชั้นมากขึ้นกว่านี้ อานุภาพก็ย่อมต้องแข็งแกร่งขึ้นเป็นธรรมดา จะให้วิญญาณยกระดับขึ้น ก็มีวิธีน้อยมาก หากมิได้ก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนซึ่งเป็นการยกระดับจากแก่นแท้ ก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาจำนวนมาก ศิลาปฐมโลกานั้นมีประโยชน์ต่อวิญญาณเป็นอย่างมาก แต่จำนวนที่ใช้ก็ต้องมากเสียยิ่งกว่ามาก
ยังมีอีกวิธีหนึ่งก็คือระดับขั้น
ดวงจิตสามระดับขั้น
ขั้นรวมเป็นหนึ่งจำนวนมากมิได้เข้าสู่ระดับขั้นที่สาม ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เช่นกัน สำหรับบางระบบที่มิได้ให้ความสำคัญกับดวงจิตสักเท่าใดนัก…ดวงจิตของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนยังมิได้บรรลุถึงระดับขั้นที่สามเสียด้วยซ้ำไป
ดวงจิตระดับขั้นที่สาม ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ เมื่อบรรลุแล้ว วิญญาณก็จะยกระดับจากแก่นแท้ ดุจดั่งการตีเหล็กจนกลายเป็นเหล็กกล้า! วิญญาณเดียวกัน ตอนแรกเมื่อบรรลุชั้นที่หนึ่ง วิญญาณก็โปร่งใสดุจแก้วมณี เมื่อบรรลุถึงชั้นที่สอง ทั้งวิญญาณก็ดุจมีดคมที่มุ่งหน้าไปอย่างไร้สิ่งกีดขวาง หากบรรลุถึงชั้นที่สาม ลำพังแค่ปณิธานก็สามารถกดดันผู้ปกครองเทพแท้ให้ตายได้อย่างง่ายดายแล้ว
มองแวบเดียวก็ตาย มิใช่คำลวงแต่อย่างใดเลย!
สถานการณ์เช่นนั้น พลังจิตแข็งแกร่ง อย่างการควบคุมมีดบินทั้งชุด ก็คงจะสบายมาก หากสำแดงโลกอนธการหลากชั้น ก็จะมิใช่หนึ่งร้อยยี่สิบชั้นแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นสามร้อยถึงห้าร้อยชั้นเลยทีเดียว! มีแต่หลังการบรรลุจริงๆ เท่านั้นจึงจะล่วงรู้ เมื่อจำนวนชั้นที่สำแดงออกมาได้มากขึ้นเป็นอย่างมาก พลังก็ย่อมยกระดับขึ้นมากเป็นธรรมดา หากลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ก็น่าจะนับได้ว่าเป็นพลังรบระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก
“น่าเสียดาย การบรรลุขั้นสุดท้ายของดวงจิตนั้นยากจะเคี่ยวกรำได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ดวงจิตสองชั้นแรก ยังพอมีวิธีให้เคี่ยวกรำได้
แต่ชั้นที่สาม ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ นั้นไม่มีวิธี ภายในวังทวีสูญก็ไม่มีหนทาง ต้องอาศัยประสบการณ์และการรับรู้ในชั่วขณะของตนเองเท่านั้น!
……
เมื่อพลังมิอาจบรรลุได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงทำได้เพียงทำลายเศษอุกกาบาตเหล่านั้นให้กลายเป็นผุยผงอย่างสุดกำลัง
“ตู้ม” “ตู้ม”
หมัดทั้งสองของบุรุษผู้องอาจกระแทกลงบนหลุมทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นหมัดหนึ่งก็ต่อยลงไปอีกครั้ง แต่กลับต่อยทะลุไป
“ข้างในมีหลุมอากาศอยู่” บุรุษผู้องอาจพูดขึ้น
“เร็วเข้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมาพลางเร่งเร้า เจ้าเมืองอมตะด้านข้างก็รีบช่วยเหลือ หลังจากเงามายาของจานมนตร์หดเล็กลงแล้วก็กดดันอุกกาบาตก้อนนั้นอย่างต่อเนื่อง บุรุษผู้องอาจก็ต่อยเข้าไปอย่างดุเดือดหมัดแล้วหมัดเล่า ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำลายเศษหินต่อไป ขณะเดียวกันก็มองดูไปด้วย ในที่สุดก็…ตู้มมมม…อุกกาบาตก้อนนั้นก็ถล่มลงจนสิ้น เผยให้เห็นหลุมอากาศหนึ่งด้านในซึ่งมีเกราะสีดำชุดหนึ่งลอยคว้างอยู่
“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงชมเชยคำหนึ่ง ทว่าสีหน้ากลับนับได้ว่าสงบนิ่งอยู่
เกราะสีดำนั้นเป็นถึงอาวุธเทพชั้นยอดซึ่งมีมูลค่าราวสามร้อยศิลาปฐมโลกา! สิ่งเดียวที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงผิดหวังก็คือ หลุมอากาศที่เกราะสีดำอยู่นั้นมิได้ใหญ่โต มีขอบเขตเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น
ต้องรู้ไว้ว่า…
ภายในเนินเขาอุกกาบาตมีสมบัติล้ำค่าเก็บอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สมบัติล้ำค่าแต่ละชิ้นล้วนอยู่ใน ‘หลุมอากาศ’ ระหว่างที่โจมตี ก็จะมีหลุมอากาศบางแห่งถล่มลง ยิ่งหลุมอากาศใหญ่เท่าไหร่ ก็จะยิ่งประหยัดเวลามากขึ้น ขอบเขตเพียงหนึ่งเมตร…สำหรับเนินเขาอุกกาบาตสูงร้อยจ้างแล้ว ช่างไม่ควรค่าแก่การพูดถึงจริงๆ
“ทำต่อไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง เกราะสีดำนั้นลอยเข้ามา แล้วถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บลงไปในที่เก็บสมบัติล้ำค่าแล้วกำชับต่อไป
แม้บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะจะตาเป็นมัน แต่กลับทำได้เพียงเป็นแรงงานต่อไปเท่านั้น
เวลาล่วงเลยไปอย่างไม่หยุดหย่อน
วันที่สองก็ผ่านไปแล้ว เข้าสู่วันที่สามซึ่งเป็นวันสุดท้าย ทั้งเนินเขาอุกกาบาตก็ถูกทำลายไปห้าส่วนแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเวลากระชั้นชิดมากเกินไป
“ปัง”
ขณะที่เจ้าเมืองอมตะควบคุมเงามายาของจานมนตร์กดดันบริเวณหนึ่งของอุกกาบา ทันใดนั้นก็พลันมีเสียงปังดังขึ้น เขากดดันจนทะลุลงไปแล้ว
“มีสมบัติล้ำค่าอยู่” เจ้าเมืองอมตะกล่าว
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกสำแดงออกมาสอดส่องทั้งหมดอยู่ตลอดเวลาก่อนแล้ว แน่นอนว่าก็พบเข้าแล้วเช่นกัน ระลอกคลื่นเข้าไปตามปากปล่องที่ทะลุไปเพื่อตรวจสอบหลุมอากาศภายใน ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีจนแทบคลั่งออกมา คนที่สุขุมเยือกเย็นเช่นเขา บนใบหน้าก็ยังเผยความยินดีอันยากจะปิดบังออกมา เพราะหลุมอากาศนี้…ใหญ่โตเกินไปแล้ว!
“เร็วเข้าๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเร่งเร้า
ปังๆๆ!
พวกบุรุษผู้องอาจทั้งสองคนโจมตีอย่างสุดกำลัง ทำให้อุกกาบาตลูกแล้วลูกเล่าถล่มลงไป นี่คือหลุมอากาศที่ใหญ่โตนัก ต้องรู้ไว้ว่าทั้งเนินเขาอุกกาบาตสูงร้อยจ้าง แต่ความกว้างยาวก็แค่สิบกว่าจ้างเท่านั้น แต่หลุมอากาศนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดคือห้าสิบเมตร ที่เล็กที่สุดก็คือสิบเมตร
หลุมอากาศนี้กินพื้นที่กว่าครึ่งของอุกกาบาตที่หลงเหลืออยู่ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นความหวังที่จะทำลายเนินเขาอุกกาบาตทั้งลูกลงได้ขึ้นมาในทันใด
ภายในหลุมอากาศขนาดมหึมานี้ มีต้นกล้าต้นหนึ่งวางเอาไว้ ต้นกล้ายาวราวห้าสิบเมตร ใบไม้เขียวชอุ่ม
“ต้นเทพโลกาคลื่นมรกต” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา นี่ก็เป็นหนึ่งในเก้าสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดที่พบได้ในเนินเขาอุกกาบาตนี้ มีมูลค่าราวหนึ่งพันหกร้อยศิลาปฐมโลกา เกินกว่าอีกแปดชิ้นรวมกันเสียอีก
ตู้มๆๆ…
ต่อไปก็รวดเร็วขึ้นแล้ว เมื่อวันที่สามผ่านไปกว่าครึ่ง ยังเหลือเวลาอีกสามชั่วยาม พวกบุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะก็ทำลายเศษอุกกาบาตอย่างสุดกำลัง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงโลกอนธการหลากชั้นออกมาโจมตีเศษอุกกาบาตในตอนท้ายสุด
สิ้นเสียงดังกัมปนาทเป็นครั้งสุดท้าย
ในที่สุด…
เศษอุกกาบาตทั้งหมดก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้น
“สำเร็จแล้ว” แม้บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะจะเป็นแรงงาน แต่กลับโล่งอกขึ้นมา พวกเขากลัวมาตลอด ว่าจะสามารถทำลายเนินเขาอุกกาบาตทั้งลูกได้ภายในเวลาสามวัน แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะพาลโกรธแล้วสังหารทิ้งเสีย ตอนนี้อย่างน้อยตงป๋อเสวี่ยอิงก็อารมณ์ไม่แย่นัก
“ทั้งเนินเขาอุกกาบาตมีสมบัติล้ำค่าทั้งหมดสิบชิ้น เมื่อรวมกันแล้วมีมูลค่าราวสามพันแปดร้อยศิลาปฐมโลกาและยังมีไม้อสนีบาตสายทองซึ่งได้จากชั้นที่หนึ่งด้วย! น่าเสียดาย ที่ยังห่างจากศิลาปฐมโลกาหมื่นก้อนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ทว่าเขาก็ยังคงรู้สึกหวานล้ำในใจ เขาเข้าใจดีมากว่า สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้นั้นชวนตะลึงโดยแท้
วิ้งงง…
กลางอากาศมีทางเข้ามิติระลอกหนึ่งปรากฏขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงปลดปล่อยแผนภาพคลื่นจานออกมากดดันไปทั่วทุกทิศทุกทางตั้งแต่แรกแล้ว เขาไม่อยากให้ผู้อื่นแซงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย! เพราะพวกเขาทำลายเนินเขาอุกกาบาตไปเพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากทางเข้ามิติมีคนเข้าไปคนหนึ่งแล้วก็จะปิดลง
สวบ ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปข้างทางเข้าแล้วเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง
บุรุษผู้องอาจและเจ้าเมืองอมตะต่างก็ตื่นเต้นเหลือแสน บุรุษผู้องอาจยังพูดขึ้นว่า “เจ้าเคยพูดว่า หากพวกเราช่วยเจ้า เจ้าจะไว้ชีวิตพวกเรา” เขายังพอจะคาดเดาตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ด้วย แต่ด้วยเกรงว่าจะทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดแรงอาฆาตขึ้นมา เขาจึงมิได้พูดออกไป
“เอาสมบัติล้ำค่าของพวกเจ้ามาให้หมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง “ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้งหนึ่ง”
“สมบัติล้ำค่าทั้งหมดหรือ” พวกเขาทั้งสองตกใจเล็กน้อย ทว่าต่างก็รีบโยนที่เก็บสมบัติล้ำค่าและอาวุธต่างๆ ของตนออกมาอย่างรวดเร็วทันที
สามารถมีชีวิตรอดได้ก็ดีแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง วัตถุเหล่านั้นก็ลอยเข้ามาแล้วถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บลงไป
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับหลังหันแล้วบินเข้าไปกลางทางเข้ามิติ หลังจากเข้าไปแล้ว ทางเข้ามิติกลางอากาศก็สลายหายไปทันที
“ฟิ้ว”
เจ้าเมืองอมตะและบุรุษผู้องอาจจึงถอนหายใจออกมาได้
“ยังดีที่มิได้สังหารพวกเรา” พวกเขาทั้งสองเดินไปที่ขอบของความเป็นความตายแล้วจริงๆ
“ตู้ม” บุรุษผู้องอาจส่ายหน้าแต่กลับกวัดแกว่งหมัดทั้งสอง แล้วชกเข้าที่เนินเขาอุกกาบาตด้านข้างอย่างดุเดือด
เจ้าเมืองอมตะก็ได้สติขึ้นมา และเลือกเนินเขาอุกกาบาตแห่งหนึ่งด้านข้างแล้วรีบโจมตีเช่นกัน ต้องรีบทำเวลาแล้ว! ยังเหลืออีกสามชั่วยาม อาจจะได้สมบัติล้ำค่ามาเพื่อชดเชยความเสียหายของตนบ้างก็เป็นได้ หากโชคดี อาจจะได้กำไรมหาศาลก็เป็นได้!
……………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น