Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 28 ตอนที่ 18-19
ตอนที่ 18 น้ำลดตอผุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตู้มมม…ทันใดนั้นจานมนตร์ทั้งหกที่กำลังพลิกหมุนอยู่ จานมนตร์สามใบที่ชั้นนอกสุดซึ่งไว้ใช้แปรเปลี่ยนเป็นแรงโจมตีก็มลายหายไป ยังมีจานมนตร์ดำมืดอีกสามแห่งในตอนแรกสุดอยู่ จานมนตร์ดำมืดทั้งสามนี้ ปกคลุมร่างไอหมอกทะมึนของเจ้าเมืองอมตะเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ก่อนจะพุ่งทะยานลงไปตามบันไดมิติอย่างรวดเร็ว แม้มีดบินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปล่อยออกไปจะเข้าโจมตีจานมนตร์อันดำมืดทั้งสามนั้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สามารถโจมตีให้แตกออกได้
เพียงพริบตาเดียว เจ้าเมืองอมตะก็ทะยานลงจากบันไดมิติ เมื่อมาถึงพื้นดินจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งดังลั่นว่า “นับถือๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบยอดฝีมือซึ่งความสามารถกดดันข้าได้ภายในขุมทรัพย์ พวกเรารามือกันแต่เพียงเท่านี้ ดีหรือไม่เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปแล้วแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง เขาหันมองไปทางประตูศิลาเบื้องหน้า ทันใดนั้นมีดบินประกายสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนก็โจมตีลงบนประตูศิลาตรงหน้าอย่างไม่ขาดสาย
“หยุดมือแล้ว”
“คนผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่อีกหรือนี่” สตรีอาภรณ์เทา ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์และบุรุษผู้องอาจต่างพากันลอบตกใจเล็กน้อย แม้จะกล่าวว่าเจ้าเมืองอมตะเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยไป มิได้ห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายจนถึงที่สุดก็ตามที! แต่สถานการณ์นั้นชัดเจนมากว่า…เจ้าเมืองอมตะสำแดง ‘จานมนตร์อมตะ’ ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาออกมา แต่ก็ยังคงพ่ายแพ้จนต้องถอยหลังไป นี่ทำให้พวกเขาแต่ละคนระมัดระวังตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก
แม้แต่ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็ยังลอบพึมพำว่า “ที่แท้แล้วพี่เฟยเสวี่ยมีความเป็นมาอย่างไรหนอ ต้องมิใช่อย่างที่เขาพูดเป็นแน่ เพิ่งจะเก็บตัวแล้วบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง ผู้ที่เพิ่งจะเก็บตัวแล้วบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งจะมีพลังแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ดูจากพลังของเขาแล้ว ไม่เหมือนกับผู้ทรงอำนาจคนใดในดินแดนเก้าเมฆาของเราเลย คงจะมาจากโลกภายนอก!”
โลกภายนอก
นั่นก็คือโลกทิพย์ทั้งสามหรือไม่ก็ลัทธิใหญ่ทั้งสอง นั่นมิใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรดินแดนเก้าเมฆาก็เป็นเพียงดินแดนเล็กๆ โลกทิพย์ทั้งสามและลัทธิใหญ่ทั้งสองมีผู้ที่มีพลังถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าตั้งมากมายก่ายกอง…อย่างวังทวีสูญนั้นใช้กลยุทธ์เฟ้นหาผู้ที่เยี่ยมยอด จำนวนศิษย์ที่รับน้อยนิดยิ่งนัก แต่ผู้อาวุโสตำหนักในก็มีหลายสิบท่าน ซึ่งวังทวีสูญนั้นเป็นเพียงแค่สถานที่สำคัญภายใน ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งสามเท่านั้นเอง
“ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ช่วยเหลือเขากระบี่สวรรค์ของเราเอาไว้ และยังช่วยชีวิตข้าด้วย” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์พึมพำ “ทว่าด้วยเบื้องหลังพลังเช่นเขา ในภายหน้าข้ารักษาระยะห่างกับเขาเอาไว้เสียหน่อยดีกว่า หากเข้าไปเกี่ยวพันกับการต่อสู้ระหว่างโลกทิพย์ทั้งสามและสองลัทธิใหญ่ ก็เกรงว่าร่างคงต้องแตก กระดูกคงต้องสลายไปในพริบตา”
……
“ตู้ม” ทันใดนั้นบุรุษผู้องอาจไกลออกไปกลับพลันสับขวานออกมา ในที่สุดก็ฟันทะลุประตูศิลาลงไปจนได้
ประตูศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นทางเข้ามิติ
บุรุษผู้องอาจพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “สองคนลงมือ ข้ากลับแค่เสียเปรียบเล็กน้อยเท่านั้น เข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบเขาก็เก็บขวานเล่มใหญ่ลงไป แล้วเดินเข้าไปตามทางเข้าของประตูศิลาก่อนจะหายวับไป
“ไปชั้นที่สองแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวใจบีบแน่นขึ้นมา มีดบินซึ่งมีเกราะพลหมุนเวียนอยู่เป็นจำนวนมากโจมตีต่อเนื่องกัน
ส่วนเจ้าเมืองอมตะก็กลับมายังปลายบันไดมิติของตนและโจมตีประตูศิลา แม้จะกำลังโจมตีอยู่ แต่กลับระแวดระวังทางตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ตลอดเวลา หากตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้ามา เกรงว่าเขาก็คงจะรุดหนีไปทันที
“เฮอะๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรายตามองเจ้าเมืองอมตะที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ทว่ากลับมิได้สนใจแต่อย่างใด เขาโจมตีประตูศิลาต่อไป
ตู้ม…
ประตูศิลาถูกมีดบินกลุ่มหนึ่งแทงทะลุเสียงดังกัมปนาท เผยให้เห็นทางเข้ามิตินี้
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวเข้าไปข้างใน รู้สึกเพียงว่ามิติเปลี่ยนแปรไป ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เบื้องหน้าคือทุ่งร้างผืนหนึ่ง
เหนือทุ่งร้างมีอุกกาบาตขนาดมหึมาอยู่เป็นจำนวนมาก อุกกาบาตแต่ละก้อนล้วนสูงราวร้อยลี้ ราวกับเนินเขาย่อมๆ ลูกหนึ่ง
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม” บุรุษผู้องอาจที่อยู่ไกลออกไปผู้้นั้นกำลังถือขวานเหล็กสีดำเล่มใหญ่เอาไว้ในมือ ร่างกายขยายใหญ่จนมีขนาดสูงราวร้อยจ้าง เขากำลังฟันฟาดอุกกาบาตเบื้องหน้าอย่างรุนแรง ตู้มๆๆ แต่ละครั้งที่ขวานฟันลงไปอย่างรุนแรง ก็แค่ทำให้อุกกาบาตส่วนหนึ่งแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง
แต่กลับหาทางเข้ามิติตอนที่เข้ามาไม่พบ ทว่านี่ก็เป็นเรื่องธรรมดานัก ทางเข้ามิติซึ่งเกิดจากประตูศิลาแต่ละแห่งระเบิดออกนั้นเข้าไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น! หลังจากเข้ามาแล้ว ทางเข้ามิติก็จะสลายหายไป
ดังนั้น…
ในขุมทรัพย์ชั้นที่หนึ่ง สามารถหนีออกไปทางประตูเจดีย์เทพได้
แต่ในชั้นที่สองหรือชั้นที่สามนั้น ล้วนต้อรอให้ครบสามวันเต็มจึงจะถูกย้ายออกไปได้
“เนินเขาอุกกาบาตนี้ช่างตัดยากเสียจริง” บุรุษผู้องอาจพูดเสียงดังกังวาน
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกเนินเขาอุกกาบาตลูกที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุดตามอำเภอใจ ทันใดนั้นมีดบินจำนวนมากก็ปรากฏขึ้น เหนือมีดบินแต่ละเล่มล้วนมีเกราะพลไหลเวียนอยู่ มันแปรเป็นลำแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีบริเวณหนึ่งในนั้นจนสิ้น หลังจากเสียงดังกัมปนาทต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการแตกสลายขึ้นมาบ้าง และมีรอยยุบปรากฏขึ้นอย่างพอถูไถ เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ตามรายงาน จะต้องทำลายเนินเขาอุกกาบาตนี้จนหมด ทั้งยังต้องทำลายให้กลายสภาพเป็นผุยผงอีกด้วย! หากเพียงแค่แตกออกเป็นแปดส่วนสิบส่วนก็ไม่ได้ เมื่อกลายเป็นผุยผงจนสิ้นแล้ว ก็จะมีทางเข้ามิติปรากฏขึ้น และสามารถอาศัยมันเข้าไปยังขุมทรัพย์ชั้นสูงสุดอย่าง ‘ชั้นที่สาม’ ได้ ซึ่งสมบัติล้ำค่าที่เก็บอยู่ในชั้นที่สามนั้นก็ล้ำค่ามากทีเดียว
เป็นสมบัติล้ำค่าที่สำหรับจักรพรรดิเก้าเมฆาแล้วก็มีความสำคัญมาก โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่วางเอาไว้ในชั้นที่สามของเจดีย์เทพขุมทรัพย์แห่งหนึ่งก็มีเพียงแค่สองสามชิ้นเท่านั้น
ทว่าจะเข้าไปก็ยากเกินไปแล้ว
หากเพียงแค่ทำลายเนินเขาอุกกาบาตให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังง่ายกว่า แต่จะทำให้แหลกละเอียดกลายเป็นผุยผงอย่างสิ้นเชิงนั้น…ยากเกินไปแล้ว! โดยทั่วไปต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงจะสามารถทำได้ หากเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง โดยทั่วไปพลังจะต้องถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเสียก่อนจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้
แน่นอนว่า…
มิอาจทำได้ ก็ต้องได้อะไรมาบ้างเช่นเดียวกัน เพราะภายในเนินเขาอุกกาบาตแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายแอบซ่อนอยู่! ระหว่างที่ทำลายเนินเขา ทำลายก้อนหินแต่ละก้อนให้แหลกละเอียดลงไปนั้น ก็จะค่อยๆ พบสมบัติล้ำค่า
“ฟิ้ว”
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังศึกษาเนินเขาอุกกาบาตนั่นเอง ภายในมิติของขุมทรัพย์ชั้นที่สองก็มีเงาร่างอีกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือเจ้าเมืองอมตะนั่นเอง
……
“พวกเขาสามคนล้วนไปยังชั้นที่สอง เจ้าคิดจะไปบ้างหรือไม่” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ซึ่งยืนอยู่บนบันไดมิติพูดเสียงดังกังวาน
“เมื่อเข้าไปยังชั้นที่สองแล้ว ต้องรอสามวันจึงจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป คิดจะหนีก็ไม่มีที่ให้หนีได้ พวกเจ้าเมืองอมตะเข้าไปก็อาจจะพอมีหลักประกันว่าจะเอาชีวิตรอดได้ แต่พวกเราเข้าไปน่ะ จะเอาชีวิตไปทิ้งหรือไร” สตรีอาภรณ์เทาส่ายหน้า นางก็เป็นคนที่หยิ่งทะนงอย่างยิ่งคนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงต่อกรกับเจ้าเมืองอมตะแล้ว ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปยังชั้นที่สองด้วยไหวพริบของตน
ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ยิ้มแล้วยิ้มอีก แต่กลับระมัดระวังขึ้นมา
เพราะเขาก็ไม่คิดที่จะไปยังชั้นที่สองเช่นกัน! เวลาสามวันต่อจากนี้ก็ต้องระวังสตรีอาภรณ์เทานางนี้แล้ว
******
ณ มิติชั้นที่สองของเจดีย์เทพขุมทรัพย์
หลังจากเจ้าเมืองอมตะเข้ามาแล้ว
“ตู้ม” บุรุษผู้องอาจซึ่งเดิมทียังกวัดแกว่งขวานเหล็กสีดำเล่มใหญ่ในมือก็พลันเก็บขวานเล่มใหญ่ลงไป เขาเหยียบพื้นเสียงดังสนั่น พื้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง อานุภาพนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งมีจิตคิดระวังอยู่ก่อนแล้ว ณ ที่ไกลออกไปสีหน้าเปลี่ยนแปรไปทันที เป็นพละกำลังที่น่าหวาดหวั่นนัก! นี่เป็นมิติเจดีย์เทพขุมทรัพย์ เพียงขาข้างเดียวก็ทำให้ทั้งผืนดินสั่นไหวได้แล้วหรือ พละกำลังนี้ย่อมเหนือกว่าตนอย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะเหนือกว่าเป็นสิบเท่า!
บุรุษผู้องอาจรวดเร็วเกินไปแล้ว ตงป๋อความเร็วนั้นเร็วอย่างยิ่งยวด เสวี่ยอิงปราดตามอง ความเร็วของอีกฝ่ายน่าจะเร็วกว่าตนสักห้าส่วนเลยทีเดียว!
“ยอดฝีมือโผล่มาจากไหนกันนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าบุรุษผู้องอาจต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่นี่ก็ออกจะเกินความคาดหมายไปหน่อยแล้ว
“แหลกละเอียดเสียเถอะ!”
แขนทั้งสองของบุรุษผู้องอาจซึ่งใหญ่หนาอย่างเห็นได้ชัดพลันเปล่งแสงสีทองอันสะดุดตาออกมา เหนือแขนแต่ละข้างมีรูปสลักสิ่งมีชีวิตอันอัปลักษณ์อยู่มากมาย ม่านตาของตงป๋อเสวี่ยอิงหดลง เขาจำได้แล้ว…รูปสลักสิ่งมีชีวิตอันอัปลักษณ์เหล่านี้ เป็นลักษณะของฝูงมารผลาญทำลายที่พรมแดนมิตินั่นเอง บนแขนแต่ละข้างของบุรุษผู้องอาจมีรูปสลักของฝูงมารผลาญทำลายอยู่ถึงแปดตนด้วยกัน ทำให้แขนทั้งสองของเขามีพละกำลังที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามีแรงคุกคามอันแรงกล้า ฝ่ามือทั้งสองของเขาสวมชุดหมัดอาวุธเอาไว้ หมัดที่เปี่ยมพลังทั้งสองข้างชกเข้ามาอย่างดุเดือดพร้อมกัน ราวกับเสาสวรรค์สองต้นฟาดตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตายเสียเถอะ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าร่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง จานมนตร์ดำมืดทั้งหกปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้เมื่อครู่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เจ้าเมืองอมตะรามือย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะบุรุษผู้องอาจลอบถ่ายเสียง
“หากเจ้าไม่ตาย พวกเราสองคนก็มิอาจสงบจิตใจได้” นัยน์ตาของบุรุษผู้องอาจเต็มไปด้วยแววบ้าคลั่ง “หากเจ้าตายแล้ว ไม้อสนีบาตสายทองก็จะเป็นของพวกเราสองคนแบ่งกัน”
ในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ชั้นที่สอง ต่อให้ทำลายเนินเขาอุกกาบาตสามวันต่อเนื่องกัน แม้จะนำสมบัติล้ำค่าที่ได้มารวมเข้าด้วยกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ไม้อสนีบาตสายทองได้!
………………………….
ตอนที่ 19 โลกอนธการหลากชั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
หมัดทั้งสองของบุรุษผู้องอาจราวกับทำให้มิติของทั้งชั้นที่สองสั่นสะเทือนไปหมด ขณะที่หมัดทั้งสองชกเข้ามานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความคิดที่จะต้านทานอย่างประชิดตัวขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ “อานุภาพของหมัดคู่นี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ร่างกายของเขาเลือนรางและเร้นกายเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งยังสำแดงแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับจำพวกบริเวณรวมทั้ง…มีดบินอันแน่นขนัดออกมาด้วย!
“เป็นบริเวณที่ร้ายกาจนัก” บุรุษผู้องอาจมั่นอกมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของการกดดันบริเวณนี้ ทำให้พละกำลังและความเร็วของเขาลดลงอย่างรอบด้าน
จากนั้นมีดบินสีม่วงแน่นขนัดก็พุ่งตรงเข้ามา
ปัง!
เขาไม่แยแสมีดบินเหล่านี้เลย อานุภาพโจมตีของหมัดไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย มีดบินบางส่วนปะทะเข้ากับหมัด ทันใดนั้นเหนือหมัดทั้งสองที่สวมชุดหมัดอาวุธเอาไว้ก็มีลูกไฟปะทุออกมา มีดบินสีม่วงจำนวนมากกว่ากระทบเข้ากับร่างของบุรุษผู้องอาจจนสิ้น ร่างกายใหญ่หนาบึกบึนของเขาก็ฝืนต้านทานการโจมตีของมีดบินทั้งหมดเอาไว้อย่างแข็งขัน แม้แต่เหนือผิวหนังก็มีแสงสีดำปรากฏขึ้นรางๆ
“ตู้มมม…” ด้วยความช่วยเหลือของศาสตร์ลับจำพวกบริเวณ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว หมัดคู่นั้นกลับโจมตีลงบนเนินเขาอุกกาบาตด้านข้างอย่างหวุดหวิด
เนินเขาอุกกาบาตสั่นสะเทือนเล็กน้อย เผยให้เห็นหลุมใหญ่ขนาดเท่าสองกำปั้น
“เป็นหมัดที่ร้ายกาจนัก ร้ายกาจกว่าขวานที่เขาสำแดงออกมาก่อนหน้านี้มากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้านัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด “ขวานสีดำที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ เป็นการจงใจปิดบังพลังที่แท้จริงเอาไว้ แต่ทว่า ร่างกายของเขานี้ก็แข็งแกร่งเกินเหตุแล้ว กล้าฝืนต้านทานมีดบินของข้าเชียวหรือนี่”
พละกำลังของฝ่ายตรงข้ามยิ่งใหญ่และรวดเร็วก็แล้วไปเถิด
แต่ร่างกายกลับสามารถต้านทานอาวุธได้ราวกับอาวุธเทพอากาศอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องอ้าปากค้าง! ถึงเขาจะอาศัยการเลือนรางและฟ้าดินโลกเทียม…หากพูดถึงการป้องกันของร่างกายแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสู้คนตรงหน้าผู้นี้ได้
“เคล็ดลับการต่อสู้ของเขาธรรมดาทั่วไป แต่ร่างกายนี้กลับเป็นอาวุธที่น่าหวาดหวั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบวิเคราะห์ “ผู้อื่นจะสังหารเขาก็ยากนัก แต่เขาสังหารศัตรู โดยทั่วไปผู้ที่มีความเร็วช้าสักหน่อยก็จะหลบไม่พ้น เกรงว่าหากถูกหมัดหนึ่งโจมตีเข้าที่ร่าง ถ้าไม่ตายก็คงต้องบาดเจ็บสาหัส”
“ฟิ้ว”
เงารางของจานมนตร์กึ่งโปร่งแสงก็แผ่คลุมเข้ามาเช่นกัน
มุมปากของเจ้าเมืองอมตะทั้งสิบเก้าร่างล้วนแฝงรอยยิ้มเย็นชาเอาไว้ เมื่อเขาเห็นพลังของสหายก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจมากขึ้น เชื่อว่าพวกเขาทั้งสองร่วมมือกันต้องสามารถสังหารยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ได้แน่ “สหายของข้าคนนี้มีร่างกายแข็งแกร่งนัก ความเร็วก็แข็งแกร่ง ทว่าวิธีการต่อสู้ยังค่อนข้างเรียบง่ายตรงไปตรงมา…ไม่มีแรงคุกคามใดสำหรับข้าเลย”
เขามีร่างกายถึงสิบเก้าร่าง สามารถแยกกันหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างง่ายดาย
อย่างวิธีการต่อสู้อันเรียบง่ายตรงไปตรงมาของบุรุษผู้องอาจนั้น อาจมีแรงคุกคามต่อยอดฝีมือซึ่งมีเพียงร่างเดียว แต่สำหรับเจ้าเมืองอมตะแล้วกลับไม่มีภัยคุกคามแต่อย่างใด
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแตกต่างออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญการล้อมโจมตี เชี่ยวชาญด้านบริเวณ เพียงพอจะคุกคามถึงชีวิตของเจ้าเมืองอมตะได้! หากตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีชีวิตอยู่ เจ้าเมืองอมตะก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอันเข้มข้น ไม่ว่าจะเพื่อสมบัติล้ำค่าไม้อสนีบาตสายทองหรือว่าเพื่อการเสาะหาสมบัติในอีกสามวันให้หลัง ก็ล้วนต้องกำจัดตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเสีย
“ท่านช่วยข้าขวางเขาเอาไว้ที” บุรุษผู้องอาจตะโกน
“มอบให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด เขาหนีไม่พ้นหรอก” เจ้าเมืองอมตะมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหนีได้รวดเร็วกว่านี้ ไหนเลยจะสู้ความเร็วของเงามายาจานมนตร์ได้เล่า
เมื่อเผชิญหน้ากับเงามายาของจานมนตร์กึ่งโปร่งใส ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แทรกตัวเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมได้อย่างง่ายดาย เมื่อบุกสังหารมาถึงตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับลอบทอดถอนใจ ยอดฝีมือสองคนร่วมมือกันก็ช่างไม่ธรรมดาโดยแท้! แม้แผนภาพคลื่นจานจะเป็นศาสตร์ลับจำพวกบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่เชี่ยวชาญก็คือการกดดันและพันธนาการอย่างรอบด้าน พลังของฝ่ายตรงข้ามยังสามารถคงไว้ได้ถึงหกเจ็ดส่วน
“ฟิ้ว”
ทันใดนั้นมีดบินซึ่งเปล่งแสงสีม่วงกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศโดยพร้อมเพรียงกัน แล้วโจมตีไปทางเงามายาของจานมนตร์ เงามายาของจานมนตร์ซึ่งถูกระลอกคลื่นแผนภาพคลื่นจานแทรกซึมเข้าไปย่อมต้านทานเอาไว้ไม่ไหวและสลายหายไปทันที
และในยามนี้เอง หมัดของบุรุษผู้องอาจก็มาถึง เขาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววอาฆาต
“ฮ่าฮ่า…” เจ้าเมืองอมตะเห็นเข้าก็หัวเราะออกมา
สกัดเอาไว้ได้หมัดหนึ่ง แต่สกัดหมัดที่สองเอาไว้ไม่ได้หรอก!
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางบุรุษผู้องอาจที่บุกสังหารเข้ามาแล้วกลับเอ่ยปากออกมาเบาๆ ว่า “ร่อนลงไป”
ทันใดนั้น โลกอันเลือนรางชั้นแล้วชั้นเล่าก็ร่อนลงมาและโอบล้อมร่างกายของบุรุษผู้องอาจเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ขอบเขตของโลกแต่ละชั้นก็ไม่นับว่าใหญ่นัก บริเวณเพียงแค่พันลี้เท่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็คล้ายกับโลกแห่งหนึ่งมาก หากพินิจดูพรมแดนของโลกใบนี้โดยละเอียด ก็จะพบว่าผนังของโลกใบนี้ทับซ้อนกันอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบชั้น
โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นร่อนลงมาพร้อมกัน! จากความเลือนรางแปรเปลี่ยนเป็นความจริง มันดูดซับพลังฟ้าดินเอาไว้แล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของบุรุษผู้องอาจที่กำปั้นอยู่ห่างจากตนเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่กลับมิอาจรุกคืบเข้ามาได้อีก เพราะการพันธนาการของโลกชั้นแล้วชั้นเล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา ยามนี้บุรุษผู้องอาจยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ โลกนี้แข็งแกร่งทนทานเกินไป เขาไม่สามารถพุ่งออกมาได้
ปากของตงป๋อเสวี่ยอิงขมุบขมิบ “ปัง!”
เสียงดังก้องทุ้มต่ำดังขึ้น
อานุภาพภายในโลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นปะทะเข้ากับร่างของบุรุษผู้องอาจจนสิ้น
นี่จึงจะเป็นท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมา พรสวรรค์ทางด้าน ‘วิถีโลกเทียม’ ของเขาสูงส่งยิ่งโดยแท้ เขารู้แจ้งโลกอนธการกระบวนท่าที่สอง ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ตั้งนานแล้วเพียงแต่สำแดงออกมามิได้ ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงทำให้กระบวนท่าที่หนึ่งอย่าง ‘ฟองอากาศอนธการ’ เรียบง่ายขึ้น แม้จะเรียบง่ายขึ้น แต่กลับพยายามทำให้อานุภาพของมันรักษาระดับที่คงที่เอาไว้ ทั้งยังสามารถทำให้ตนสำแดงจำนวนออกมาได้มากขึ้นด้วย ในขณะที่คิดค้นนั้นยังถึงขั้นดูดซับเคล็ดลับบางอย่างของกระบวนท่าที่สองเอาไว้ด้วย
‘ฟองอากาศอนธการ’ เดิมนั้น ตนทุ่มเทสุดกำลังก็สามารถสำแดงออกมาได้เพียงหกฟองเท่านั้น
แต่บัดนี้โลกอนธการหลากชั้นที่ทำให้ง่ายขึ้น แม้แต่ละชั้นจะมีขอบเขตที่เล็กและอานุภาพน้อยก็ตามที ทว่าบัดนี้ตนกลับสามารถสำแดงออกมาได้ถึงร้อยยี่สิบชั้น! แม้จะเป็นแบบที่เรียบง่ายเช่นเดียวกัน แต่มังกรมัจฉาปลิดชีพซึ่งทำให้ง่ายขึ้นโดยอาศัยผลาญโลกากระบี่ที่ห้า เมื่อเทียบกับโลกอนธการหลากชั้นแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่ายกระดับสู้โลกอนธการหลากชั้นมิได้เลย
สาเหตุหลักก็เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปได้ไกลกว่าบนเส้นทางของโลกอนธการอย่างเห็นได้ชัด! กระบวนท่าที่สองเขาก็ได้รู้จนกระจ่างแจ้งหมดแล้ว
“ตู้มมม…” บุรุษผู้องอาจก็รู้สึกว่าอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นกระทบลงบนร่างของเขา แล้วส่งถ่ายเข้าไปในส่วนลึกของร่างกาย ถึงขั้นสั่นสะเทือนวิญญาณของเขาเลยทีเดียว
“ฟึ่บ ฟึ่บ…” ปากของบุรุษผู้องอาจกระอักโลหิตออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ มีเศษอวัยวะภายในปะปนออกมาบ้างเล็กน้อย หูและจมูกของเขาล้วนมีโลหิตแทรกซึมเข้าไป อาภรณ์ของเขาก็ขาดวิ่น ผิวหนังที่เผยออกมาก็มีแสงสีดำไหลเวียนอยู่ แต่ผิวหนังกลับไม่มีบาดแผลใดเลยแม้แต่น้อย
“ผิวหนังยังไม่ปริเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
แม้จะตกตะลึง แต่เขาก็มองออกว่าบุรุษผู้องอาจก็ได้รับบาดเจ็บแล้วเช่นกัน เพียงแต่เนื่องจากร่างกายทนทานเกินไป เมื่อเทียบกันแล้วภายในร่างกายจึงอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
“นี่ นี่มันกระบวนท่าอะไรกันน่ะ” เจ้าเมืองอมตะซึ่งเดิมทีกำลังรอคอยด้วยความตื่นเต้นอยู่ห่างๆ ตะลึงงันไป ร่างกายของบุรุษผู้องอาจแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็มองออกตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ก่อนหน้านี้มีดบินมากมายถึงเพียงนั้นโจมตีลงบนร่าง บุรุษผู้องอาจก็ยังเมินเฉย!
แต่บัดนี้กลับถูกโจมตีเสียจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้วหรือ
“ก่อนหน้านี้เขาแอบซ่อนพลังเอาไว้” บุรุษผู้องอาจคำรามเสียงต่ำ “เขาสังหารข้ามิได้ ลงมือด้วยกันเถิด”
“อื้ม” เจ้าเมืองอมตะก็ขบกรามกรอด ยามนี้จะถอยไม่ได้ง่ายๆ เนื่องจากบัดนี้อยู่ในชั้นที่สองของขุมทรัพย์ คิดจะหนีก็ไม่มีที่ให้หนีไปได้! มีแต่ต้องต่อสู้เท่านั้น
ทว่าในใจของเจ้าเมืองอมตะก็เกิดความคร้ามเกรงสายหนึ่งขึ้นมา คนผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้ เมื่ออยู่ในชั้นที่หนึ่งได้แอบซ่อนพลังเอาไว้! แค่เผยพลังออกมาเพียงส่วนหนึ่งก็สามารถกดดันเขาได้แล้ว หากปะทุพลังออกมาจนหมดเมื่ออยู่ในชั้นที่หนึ่ง…เกรงว่าเขา เจ้าเมืองอมตะก็อาจจะต้องทิ้งชีวิตไปแล้วกระมัง ยังดีที่บัดนี้เขามีสหายผู้มีพลังทัดเทียมกันร่วมมือด้วยแล้ว
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น