Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 28 ตอนที่ 15-17
ตอนที่ 15 ภายในเจดีย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประตูเจดีย์ของเจดีย์เทพขุมทรัพย์อันเรียบง่ายเปิดอ้าออกอย่างเต็มที่ในขณะนี้ ความสูงของประตูราวๆ ร้อยจั้งเห็นจะได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงกับอีกสี่คนตามๆ กันเข้ามาภายในเจดีย์เทพขุมทรัพย์
“เข้ามากันเสียที สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด กรุขุมทรัพย์ของ ‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนพื้นดินสีดำ เบื้องบนเต็มไปด้วยความมืดมัว ท่ามกลางความมืดมัวยังมีดวงดาวระยิบระยับอยู่หลายดวง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้กระจ่างแจ้งดียิ่งว่าดวงดาวระยิบระยับเหล่านั้น…ก็คือสิ่งมีค่าของเจดีย์เทพขุมทรัพย์ อีกทั้งภายในยังซ่อนเร้นสมบัติล้ำค่าเอาไว้ แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่สมบัติล้ำค่าของชั้นที่หนึ่งเท่านั้น
เจดีย์เทพขุมทรัพย์แบ่งออกเป็นสามชั้น สมบัติล้ำค่าที่รวบรวมอยู่ในชั้นที่สาม โดยทั่วไปมีเพียงสองสามชิ้นเท่านั้น แต่ต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับจักรพรรดิเก้าเมฆา ซึ่งมีราคาสูงลิบลิ่ว ไม่ว่าชิ้นไหนๆ ต่างก็พอที่จะทำให้เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอิจฉาจนแทบคลั่ง
“พรึ่บ”
ทันใดนั้นภายในเจดีย์ก็เริ่มมีบันไดมิติอันแล้วอันเล่าปรากฏขึ้น บันไดมิติแต่ละขั้นยืดขึ้นไปด้านบน เพียงไม่นานก็ยืดขึ้นไปจนส่วนที่สูงที่สุดแตะถึงท้องฟ้าอันมืดมัว นอกจากนี้ตรงปลายบันไดมิติยังมีประตูหินอันเรียบง่ายบานหนึ่งปรากฏขึ้นมาอีกด้วย
มีบันไดมิติอยู่ทั้งหมดห้าอัน สอดคล้องกับประตูหินห้าบาน
“ไป”
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิง หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มผู้องอาจ เงาร่างไอหมอกทะมึน และหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรก แยกกันไปยังบันไดมิติแต่ละอันแล้วเหยียบบันไดมิติเดินมุ่งหน้าขึ้นไปข้างบน
“ความกดดันของกฎเกณฑ์นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่บนบันไดมิติพลางทดลองการแขวนลอยร่างกาย แต่กลับถูกกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างกดดัน จำเป็นต้องเดินไปทีละก้าวๆ
เมื่อดูจากด้านนอกเจดีย์เทพขุมทรัพย์นั้นสูงเพียงพันจั้งเท่านั้น แต่มิติภายในกลับใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ลำพังแค่บันไดมิติของมิติชั้นที่หนึ่งก็ยาวเป็นร้อยลี้แล้ว!
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนทะยานบนขั้นบันไดด้วยความเร็วสูงสุดจนแปรเปลี่ยนเป็นเงาราง เพียงพริบตาก็สามารถพุ่งออกไปได้ไกลถึงยี่สิบสามสิบลี้ โครม ศีรษะกระแทกเข้ากับแนวกั้นห้วงมิติอันไร้รูปร่างแล้วแนวกั้นห้วงมิติจึงค่อยปรากฏขึ้นมาให้เห็นในเวลานี้
“บนบันไดมิติมีแนวกั้นอยู่ถึงสามแนว ต่อให้ทะลวงผ่านแนวกั้นทั้งสามไปได้ก็ยังต้องทำลายประตูหินอีกจึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นที่สองได้ อย่ารีบร้อนไปเลย” เงาร่างไอหมอกทะมึนผู้อยู่บนบันไดอีกเส้นที่อยู่ไกลออกไปส่งเสียงแหลมเล็ก
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคร้านจะไปใส่ใจ
ข้อมูลที่เขาได้รับจสดวังทวีสูญละเอียดละออเพียงใด เขาย่อมรู้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว การปะทะอย่างรุนแรงเมื่อครู่ก็เพียงเพราะอยากจะดูความทนทานของแนวกั้นนี้ ดูว่าจะสามารถกระแทกให้แตกได้หรือไม่ เช่นนั้นก็จะสามารถทำลายแนวกั้นทั้งหมดให้แตกได้อย่างต่อเนื่องในคราวเดียว
“พรึ่บ” ในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงมีกระบี่เทพเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ประกายกระบี่วับวาบ ฉับๆๆ สามกระบี่ฟันลงอย่างต่อเนื่องบนแนวกั้นห้วงมิติ เพล้ง… ก็ทำให้แนวกั้นห้วงมิติแตกกระจาย
ในขณะนี้เองคนอื่นๆ อีกสี่คนต่างก็ผลัดกันโจมตีแนวกั้นห้วงมิติ ระเบิดแนวกั้นชั้นที่หนึ่งนี้อย่างรวดเร็ว
“ตุบ”
กลางท้องฟ้าอันมืดมัวของชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เทพขุมทรัพย์ ท่ามกลางหมู่ดาวอันสุกสกาวนั้นพลันมีดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นลงมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกาย ท่อนแขนพลันพุ่งพรวดออกไปเอื้อมคว้าดาวดวงนั้น แต่เพิ่งจะยื่นแขนออกไปได้ยาวเพียงสิบลี้เท่านั้นก็ถูกอุปสรรคอันไร้รูปร่างขัดขวางเอาไว้
“นี่เป็นของข้า” ท่อนแขนอันบึกบึนของชายหนุ่มผู้องอาจก็พุ่งพรวดออกไปเช่นกัน เพิ่งจะพุ่งออกไปได้ไม่กี่ลี้ก็คว้าดาวดวงนั้นเอาไว้ได้แล้ว ชั่วขณะที่ดาวดวงนั้นถูกเขาสัมผัส ชั้นพื้นผิวที่เปล่งประกายก็แหลกสลายไปโดยพลัน ภายในก็มีชิ้นส่วนใบมีดล่องลอยอยู่ ใบมีดสีเงินยวงมองดูแล้วก็ชวนให้คนหัวใจสั่นสะท้านด้วยความเสียดายที่เป็นชิ้นส่วน
“คงจะเป็นชิ้นส่วนของอาวุธเทพอากาศชั้นยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงประเมินราคาในทันที “ราคาอยู่ระหว่างสามสิบถึงห้าสิบศิลาปฐมโลกา”
……
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนมุ่งหน้าเข้าไป
กลุ่มดาวอันพร่างพรายกลางท้องฟ้าอันมืดมัวมีดวงดาวร่วงหล่นอยู่เป็นระยะๆ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ดวงดาวก็จะสลายตัวแล้วเผยสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายในออกมา สมบัติล้ำค่ามีทั้งราคาสูงและต่ำ ที่ราคาต่ำก็เพียงแค่ไม่กี่ก้อนศิลาปฐมโลกาเท่านั้น ส่วนที่ราคาสูงก็สูงถึงหนึ่งร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา
“พรึ่บ” “พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ใส่ใจสมบัติล้ำค่าเหล่านี้สักเท่าใดนัก
เพราะว่านี่เป็นเพียงแค่สมบัติล้ำค่าของชั้นที่หนึ่งเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วมีแต่ผู้บำเพ็ญที่พลังยุทธ์อ่อนแอสักหน่อยที่เข้ามาโดยบังเอิญเท่านั้นจึงจะรั้งรออยู่ที่ชั้นหนึ่งเป็นเวลายาวนาน
“ฟิ้ว”
ประกายกระบี่สามสายผลัดกันโจมตีบนแนวกั้นห้วงมิติอย่างต่อเนื่อง แนวกั้นห้วงมิติชั้นที่สามซึ่งเป็นแนวสุดท้ายนี้ก็พังทลายลง ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นเงารางแล้วพุ่งตรงไปยังปลายยอดของบันไดนี้ ปลายยอดของบันไดที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้า ที่นั่นมีประตูหินอันเรียบง่ายบานหนึ่งอยู่
“ปัง!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนแรกในห้าคนในครั้งนี้ที่พุ่งตัวไปถึงบริเวณประตูหิน กระบี่ที่อยู่ในอุ้งมือพลันแปรเปลี่ยนเป็นประกายกระบี่สายแล้วสายเล่าฟาดฟันไปบนประตูหินเบื้องหน้า โครมมมประกายกระบี่ฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรง ประตูหินพลันสั่นสะท้าน เศษก้อนหินจำนวนมหาศาลลอยกระเด็นกระดอน เริ่มมีรอยแยกปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ
ในขณะเดียวกันกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงโจมตีประตูหินนั้นเอง
กลางท้องฟ้าอันมืดมัวก็มีดวงดาวที่ดูเหมือนว่าจะเป็นดวงที่สว่างไสวที่สุดร่วงหล่นลงมาแล้วกลายเป็นลำแสงอันระยิบระยับจับตาสายหนึ่งลอยตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ในขณะนี้เอง
แม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะกำลังทำลายประตูหินอยู่แต่ความสนใจกลับไปอยู่ที่ดวงดาวที่ลอยมาดวงนั้น นอกจากนี้อีกสี่คนที่เหลือในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ต่างก็จ้องมองดาวดวงนั้นกันทุกคน
พวกเขาได้ปิ่นทองมาก็ย่อมต้องคิดหาวิธีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆากันทุกวิถีทาง ต่างก็รู้กันดีว่าที่ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เทพขุมทรัพย์…พอคนแรกในผู้บำเพ็ญห้าคนที่เข้ามาโจมตีประตูหิน ก็จะทำให้ดาวดวงหนึ่งร่วงหล่นลงมาในทันที ดาวดวงนี้ซ่อนเร้นสมบัติล้ำค่าเอาไว้ ก็คือสิ่งล้ำค่าที่สุดที่มีอยู่ภายในดวงดาวในชั้นที่หนึ่งนั่นเอง!
“ช่างโอหังเสียจริง
“สมบัติล้ำค่านี้สูงค่าเหลือเกิน เขาก็ไม่กลัวเอาเสียเลย ตอนเอามายังมีชีวิต แต่ไม่มีปัญญามีชีวิตเอาออกไปอย่างนั้นน่ะหรือ” ชายหนุ่มผู้องอาจและคนอื่นๆ มองดูอยู่ห่างๆ พลางเอ่ยพึมพำ พวกเขาต่างก็รู้กระจ่างดีว่าพอเข้ามาภายในกรุขุมทรัพย์แล้วผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็ล้วนเป็นศัตรูคู่แข่งทั้งสิ้น! ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากที่จะไปช่วงชิงสมบัติล้ำค่าที่มีค่ามากที่สุดในชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เทพขุมทรัพย์มาเป็นคนแรก เลือกที่จะซ่อนคมเอาไว้ก่อนดีกว่า
เพราะสมบัติล้ำค่าที่มีค่ามากที่สุดในชั้นที่หนึ่งนั้น เมื่ออยู่ในชั้นที่สองก็นับได้ว่าเป็นชั้นสูงแล้ว! ถ้าหากในบรรดาทั้งห้าคนนี้มียอดฝีมืออันน่าหวาดหวั่นเร้นกายอยู่ ไม่แน่ว่าก็อาจจะลงมือแล้ว
คราวนี้มีเวลาในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ถึงสามวันเต็มๆ พวกเขามีความอดทน ผู้ที่เปิดเผยเกินไปตั้งแต่แรก เผยเขี้ยวเล็บจนสิ้น โดยทั่วไปแล้วมักจะอายุไม่ยืนกันทั้งนั้น!
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่าง ดวงตาทั้งคู่ภายใต้หน้ากากสีเงินจ้องมองดวงดาวที่ลอยมาดวงนั้น เขายื่นมือซ้ายออกไป ชั่วขณะที่ดวงดาวขนาดมโหฬารซึ่งลอยมาด้วยความเร็วสูงสัมผัสกับนิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเอง ดวงดาวก็สลายหายไปราวกับฟองสบู่ เผยให้เห็นวัตถุที่อยู่ภายใน… นี่คือซากไม้ที่มีขนาดราวๆ ท่อนแขนท่อนหนึ่ง บนซากไม้ยังมีเส้นฝอยสีทองอยู่หลายเส้น
ซากไม้แผ่กลิ่นอายออกมา
สถานที่ที่มันอยู่นั้นคล้ายกับว่าจะรวบรวมพลังชีวิตเอาไว้อย่างไรที่สิ้นสุด
“ไม้อสนีบาตสายทอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกาย หัวใจก็เต้นรัวเร็ว ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ อีกสี่คนต่างก็กลั้นหายใจ มองดูซากไม้ชิ้นนี้กันอย่างปากอ้าตาค้าง
ไม้อสนีบาตสายทอง…
ในช่วงยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม อาจมีมูลค่าเกือบหนึ่งพันศิลาปฐมโลกา มันจำเป็นต้องใช้ ‘อสนีบาต’ ที่มาจากการสัญจรของกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมฟาดลงบน ‘ต้นไม้เทพสายทอง’ ต้นไม้เทพสายทองโดยทั่วไปมักจะถูกฟาดตายกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมด มีเพียงอันที่จำเพาะเท่านั้นที่จะเหลือซากไม้ท่อนหนึ่งเอาไว้ในท้ายที่สุด ทั้งยังเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดอีกด้วย
แต่ว่า!
โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว ไม้อสนีบาตสายทองก็มิได้กำเนิดขึ้นมาใหม่อีกแล้ว มีเทพจักรวาลที่ต้องการไม้อสนีบาตสายทองกันมานานแล้ว
ไม้อสนีบาตสายทองนี้สามารถใช้ในการหลอมอาวุธ สามารถใช้ในการสร้างโลก และยังสามารถใช้ในการหลอมยาวิเศษได้อีกด้วย…
ในปัจจุบันนี้ที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปไม่รู้เนิ่นนานเท่าใดแล้ว ราคาของ ‘ไม้อสนีบาตสายทอง’ ท่อนนี้อยู่ที่สามพันศิลาปฐมโลกา! ตอนแรกจักรพรรดิเก้าเมฆาคิดว่ามูลค่าของมันอยู่ที่หนึ่งพันศิลาปฐมโลกา จึงได้ทำเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่มีค่ามากที่สุดสองสามชิ้นของชั้นที่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งนัก แต่ปรากฏว่าในตอนนี้มูลค่าของมันสูงกว่าตอนที่จักรพรรดิเก้าเมฆายังมีชีวิตอยู่มากมายเหลือเกินแล้ว
“มูลค่าสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจเต้นรัวเร็วยิ่งขึ้น สมบัติล้ำค่ามูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกา วางอยู่ที่ชั้นที่สองของเจดีย์เทพขุมทรัพย์ก็ยังนับเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายได้! ถึงขนาดที่พอจะทำให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอิจฉาตาร้อนได้เลยทีเดียว
ซากไม้ชิ้นนี้สูงค่ากว่าสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ตนมีติดตัวอยู่รวมกันมากมายมหาศาลนัก!
ขุมทรัพย์ของเทพจักรวาลช่างไม่ธรรมดาเสียจริง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือไปคว้าเอาไว้ ไม้อสนีบาตสายทองนี้ก็ถูกกุมเอาไว้ในมือแน่น ก่อนจะถูกเก็บเข้าไปในคลังเก็บสมบัติล้ำค่าตามความนึกคิดหนึ่ง
……………………………………..
ตอนที่ 16 มีดบิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนต่างก็อิจฉาตาร้อน ตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญผู้นี้ก็หัวใจเต้นรัวเร็ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ อีกสี่คนเลย
“มูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกา มูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกาเชียวนะ!” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ดวงตาแทบจะแดงก่ำอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีบุญคุณช่วยชีวิตเขา แต่เขาก็ยังมีแรงกระตุ้นในการฆ๋าคนชิงทรัพย์ชนิดหนึ่งอย่างแรงกล้า เพราะราคานี้เพียงพอที่จะทำให้เขาเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาได้ แต่เขาก็มีมาตรฐานมาตลอด มิปรารถนาจะลงมือกับผู้มีบุญคุณช่วยชีวิต ต่อให้แรงกระตุ้นรุนแรงยิ่งกว่านี้ก็ต้องยับยั้งเอาไว้ สอง ต่อให้ลงมือเขาก็ไม่มีความมั่นใจเพราะเขารู้ตัวเองดี
สามพันศิลาปฐมโลกา หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และผู้บำเพ็ญอีกสี่คนหัวใจสั่นสะท้าน
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
สมบัติพิทักษ์วิถีดังเช่นน้ำเต้าสีดำนี้ มูลค่าก็เพียงแค่ห้าร้อยศิลาปฐมโลกาเท่านั้น! สามพันศิลาปฐมโลกาสามารถซื้อหาสมบัติพิทักษ์วิถีอันล้ำค่าที่ดีกว่าน้ำเต้าสีดำได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังคุกคามหรือว่าพลังคุ้มกันชีวิตต่างก็สามารถยกระดับได้อย่างใหญ่หลวง พวกหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์หลายคนนี้ ถ้าหากซื้อสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกว่าน้ำเต้าสีดำสักหนึ่งชิ้น นับแต่ขั้นอลวนลงไปก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้วจริงๆ
ถึงแม้ว่าจะไปซื้อสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดมาอย่างสุรุ่ยสุร่ายยิ่ง พลังยุทธ์ของสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่ซื้อมาด้วยราคาสามพันศิลาปฐมโลกาก็อยู่ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้เลยทีเดียว นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดยังมีข้อดีเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเป็นอย่างมากอีกด้วย… ดังเช่นมีร่างกายที่แข็งแกร่งจนแทบจะมิอาจบุบสลายได้ จงรักภักดีอย่างแท้จริง และยังทำงานอย่างอุตสาหะโดยไร้ซึ่งข้อแม้ นอกจากนี้ยังสามารถไปเลือกสรรสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดประเภทต่างๆ กันได้ตามใจชอบอีกด้วย มีพวกที่เชี่ยวชาญการหนีเอาชีวิตรอด และมีพวกที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด…
ชายหนุ่มผู้องอาจ เงาร่างไอหมอกทะมึน และหญิงสาวอาภรณ์เทาต่างก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ไกลๆ คล้ายกับกำลังจ้องมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
“จุ๊ๆๆ… เขาช่างโชคดีเสียจริง เพียงแค่ชั้นที่หนึ่งของกรุขุมทรัพย์ก็ได้วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่เช่นนี้มาเสียแล้ว” ชายหนุ่มผู้องอาจหรี่ตาเล็กน้อย ประกายหนาวเหน็บวาบผ่านจางๆ “ข้าขบคิดดูแล้ว คิดว่าชั้นที่หนึ่งนี้ไม่คู่ควรให้พูดถึง ที่ให้ความสนใจหน่อยคือชั้นที่สอง ใครจะไปคิดว่าจะพลาดสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไปเสียได้ ตอนนี้คิดอยากจะได้มาก็ต้องช่วงชิงจากมือของเขาแล้ว”
หญิงสาวอาภรณ์เทาก็ดูมีท่าทีไม่ร้อนรน
กลับกลายเป็นเงาร่างไอหมอกทะมึนนั้นที่บินทะยานมุ่งไปยังด้านล่างของบันไดมิติในทันใด เพราะแนวกั้นห้วงมิติได้พังทลายไปจนสิ้นแล้ว เงาร่างไอหมอกทะมึนนั้นก็บินทะยานลงมาถึงพื้นดินแทบจะในเวลาชั่วพริบตา แล้วเหยียบย่างลงบนบันไดมิติที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่
“เขาจะลงมือแล้ว”
บรรยากาศของห้วงมิติทั่วทั้งชั้นที่หนึ่งของกรุขุมทรัพย์นั้นเยือกแข็งอยู่บ้าง หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มผู้องอาจ และหญิงสาวอาภรณ์เทามองดูฉากนี้เงียบๆ โดยมิได้สอดมือยุ่งเกี่ยว นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของพวกเขาอยู่แล้ว สมบัติล้ำค่าภายในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ก็มิใช่ว่าจะได้มาถึงมือโดยง่าย ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปก็ไม่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สามได้ ปกติแล้วมีเพียงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
อยู่เพียงแค่สองชั้นแรกของกรุขุมทรัพย์ สามารถคว้าสมบัติล้ำค่ามูลค่าสามพันศิลาปฐมโลกามาได้ก็นับว่าโชคดีมากเป็นอย่างมากแล้ว
ถึงแม้ว่าจะได้ไม้อสนีบาตสายทองนี้มาแล้วจากไปในทันที การมาที่กรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาในคราวนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บไม้อสนีบาตสายทองขึ้น เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ มองมาทางเขา สายตาของหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์มิได้มีความเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใดก็จริง แต่ก็มีความอิจฉาริษยาอันยากที่จะซ่อนเร้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือนั้นต่างก็มีความเป็นปฏิปักษ์อย่างแรงกล้า
“หึ ข้ามาเจดีย์เทพขุมทรัพย์ในคราวนี้ก็หวังว่าจะได้ไปเกินกว่าหมื่นศิลาปฐมโลกา เพื่อจะไปซื้อหัวใจหลิวเมฆาแดงได้สองดวง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้เพิ่งเข้ามาก็ได้รับ ‘ไม้อสนีบาตสายทอง’ อันล้ำค่ามาแล้ว ถ้าหากเข้าไปสู่ชั้นที่สอง ด้วยพลังยุทธ์ของข้าและถ้าโชคดีสักหน่อย บางทีอาจจะสามารถรวบรวมได้เกินหมื่นศิลาปฐมโลกาเสียอีก”
“อยากจะชิงทรัพย์อย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองลงไปยังส่วนล่างสุดของบันไดมิติที่ตนอยู่ เงาร่างไอหมอกทะมึนนั้นก็พุ่งเข้ามาตามบันไดมิติ
“มอบไม้อสนีบาตสายทองออกมาเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง!” เงาร่างไอหมอกทะมึนพุ่งเข้ามาแต่น้ำเสียงแหลมเล็กกลับก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้วงมิติชั้นที่หนึ่ง น้ำเสียงบาดหูทำให้ห้วงมิติสั่นสะท้านน้อยๆ
“นี่คือบันไดมิติของข้า เจ้าเดินผิดทางแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ถอยไปเสียตอนนี้ก็ยังจะสามารถรักษาชีวิตรอดได้ ถ้าหากโง่เง่าลงมือแล้วล่ะก็ ก็มีเพียงความตายอย่างเดียวเท่านั้น!”
เงาร่างไอหมอกทะมึนหยุดชะงักในทันที
ร่างของเขาวูบไหว ตรงกลางร่างกายแบ่งออกเป็นร่างกายหลายร่างอย่างรวดเร็ว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าเงาร่างไอหมอกทะมึนตรงหน้าเปลี่ยนแปรเป็นเงาร่างสิบเก้าร่างในทันใด กลิ่นอายของแต่ละร่างเหมือนกันทุกประการราวกับเป็นร่างจริงด้วยกันทั้งสิ้น
“เจ้าเมืองอมตะหรือ” เมื่อหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ ชายหนุ่มผู้องอาจ และหญิงสาวอาภรณ์เทาได้เห็นแล้วต่างก็ตกใจอย่างใหญ่หลวง
“เป็นเขาหรือ เจ้าเมืองอมตะน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เดาความเป็นมาของอีกฝ่ายได้
ทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆา ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่สามารถไปถึงพลังรบชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ก็มีเพียงน้อยนิดอยู่แล้ว และ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นผู้บำเพ็ญศาสตร์โบราณ พรสวรรค์ของเขาเรียกว่า ‘สรรพชีวิต’ ที่สามารถทำสำเนาร่างจริงของตนเองได้! เจ้าเมืองอมตะผู้นี้สามารถทำสำเนาร่างจริงออกมาได้ถึงสิบแปดร่างในชั่วพริบตา นับรวมกับร่างจริงแล้วก็มีร่างกายถึงสิบเก้าร่าง
ร่างกายสิบเก้าร่าง แต่ละร่างล้วนเหมือนกับร่างจริงทุกประการ แม้กระทั่งวิญญาณก็ถูกทำสำเนาด้วย
ต้องรู้ไว้ว่าหลังจากเป็นเทพอากาศแล้ว โดยทั่วไปก็จะไม่มีร่างแยก แม้จะเป็นบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดผู้สูงส่ง กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดา พวกเขาแต่ละคนต่างก็ไม่มีร่างแยก ส่วน ‘ประมุขหอหมื่นโลกา’ นั้นมีร่างแยกอยู่มากมาย ทว่าร่างแยกของประมุขหอหมื่นโลกากับ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ ขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นี้มีธรรมชาติที่แตกต่างกัน
ร่างแยกของประมุขหอหมื่นโลกามีอยู่มากกว่า อีกทั้งพลังยุทธ์ของร่างแยกทุกร่างต่างก็ค่อนข้างอ่อนแอ
แต่ ‘เจ้าเมืองอมตะ’ กลับอาศัยพรสวรรค์ศาสตร์โบราณทำสำเนาร่างจริงออกมา ถ้าหากในอนาคตเขากลายเป็นเทพจักรวาลแล้วสามารถทำสำเนาร่างจริงออกมาได้เช่นกันก็สามารถเห็นถึงระดับความน่ากลัวได้เลย
ลำพังแค่ร่างเดียวของเขา…
ก็มีพลังรบระดับชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวแล้ว แต่สิบเก้าร่างร่วมมือกัน ดวงจิตเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ก็ยกระดับไปถึงชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ในทันที
“เขามาจริงๆ เสียด้วย” ชายหนุ่มผู้องอาจขมวดคิ้ว “ยุ่งยากเสียแล้ว”
“ที่แท้ก็คือเจ้าเมืองอมตะ ข้าว่ารักษาชีวิตเอาไว้จะดีกว่า ยอมแพ้เสียเถิด” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ก็เอ่ยเสียงสูง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเขาก็ยังใส่ใจอยู่ จึงตะโกนเสียงดังออกไปในทันใด
“เจ้าเมืองอมตะอยู่ ไม้อสนีบาตสายทองนั่นก็ไม่มีความหวังแล้วล่ะ” หญิงสาวอาภรณ์เทาลอบส่ายศีรษะ เจ้าเมืองอมตะเป็นถึงผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่แห่งดินแดนเก้าเมฆา พลังต้านทานแกร่งกล้าอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะรักษาร่างกายสิบเก้าร่างเอาไว้ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ต้องยาวเป็นวันสองวัน แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้แล้ว
นอกจากนี้ร่างกายสิบเก้าร่าง ขอเพียงแค่ร่างหนึ่งมีชีวิตรอดก็สามารถให้กำเนิดร่างอื่นๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็วแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเรียกตัวเองว่า ‘อมตะ’!
“เดิมทีข้าก็ไม่อยากรีบเปิดเผยตัวตนหรอกนะ แต่คิดไม่ถึงว่าชั้นที่หนึ่งก็จะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วย หึๆ เมื่อครู่ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วแต่เจ้าก็ไม่คว้าไว้ ตอนนี้… ต่อให้เจ้าโขกศีรษะขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ ตายไปเสียเถิด” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนยืนเรียงแถวกันบนขั้นบันไดมิติ ด้านบนเริ่มมีค่ายกลสีดำรูปแปดเหลี่ยมขนาดมหึมาปรากฏขึ้น นี่คือค่ายกลอันน่าหวาดกลัวที่ร่างกายสิบเก้าร่างควบคุมพร้อมกันจึงจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ ครั้งแรกที่ปรากฏขึ้น พลานุภาพก็ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ หน้าถอดสี
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองอมตะก็มาด้วย เจ้าคนผมขาวที่ใช้กระบี่ผู้นั้นต้องตายเป็นแน่แท้” ชายหนุ่มผู้องอาจส่ายหน้า ในมือมีขวานเหล็กดำขนาดใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วฟาดฟันลงไปยังประตูหินเบื้องหน้าอย่างแรง
ปัง ปัง ปัง…
เขาฟาดฟันประตูหิน เศษหินจำนวนมากมายบนประตูหินกระเด็นลอยละลิ่ว
“น้องเฟยเสวี่ย รีบยอมแพ้หนีเอาชีวิตรอดเร็วเข้าสิ หนีไปตอนนี้ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่นะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ส่งสารมาอย่างกระวนกระวาย “พลังยุทธ์ของเขาอ่อนแอเกินไป นอกจากนี้ ขอเพียงหนึ่งในร่างกายสิบเก้าร่างมีชีวิตรอด ก็จะก่อกำเนิดร่างกายอื่นๆ ขึ้นมาได้ใหม่อย่างรวดเร็วยิ่ง เจ้าสังหารเขามิได้หรอก เขานั่นแหละจะสังหารเจ้า”
“สังหารเขามิได้อย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเงาร่างไอหมอกทะมึนสิบเก้าร่างตรงหน้า “ร่างกายสิบเก้าร่าง ผลาญทำลายทิ้งในคราวเดียวก็ได้แล้วมิใช่หรือ”
ภายในคลังเก็บสมบัติล้ำค่าของตนมีมีดบินจำนวนมหาศาลเรียงรายแน่นขนัด ซึ่งก็คือชุดอาวุธมีดบินที่ตนซื้อเอาไว้ตอนอยู่ในวังทวีสูญ…เงายะเยือก! มีอยู่ถึงสามพันหกร้อยเล่ม แต่ความสำเร็จของตนในเคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพ รักษาเอาไว้ภายใต้พลานุภาพที่แกร่งที่สุดก็สามารถกระตุ้นได้เพียงหนึ่งพันสองร้อยเล่มเท่านั้น
แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!
ในสายตาของเจ้าเมืองอมตะกับหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และหญิงสาวอาภรณ์เทาที่ชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ ด้านบนของบันไดมิติเส้นนั้นมีอาวุธที่มีรัศมีสีม่วงโคจรล้อมรอบปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างแน่นขนัด รัศมีสีม่วงนั้นก็คือเกราะพล มีดบินสามร้อยเล่มในนั้นล้อมรอบปกป้องอยู่รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนส่วนที่สูงที่สุดของบันไดพลางมองลงมายังเงาร่างของเจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนเบื้องล่าง “ไป”
ทันใดนั้นก็มีมีดบินเก้าร้อยเล่มคำรามลั่นราวกับลมพายุแล้วกวาดผ่านไป มีดบินทุกเล่มต่างก็เหลือเพียงรอยสีม่วงเป็นทางเอาไว้ รอยทางสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับรอยจากฝีพู่กัน งดงามเหลือล้ำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจค่ายกลสีดำด้านบนที่กำลังจะมาถึงตัวเลย สนใจแต่จะเข้าต่อสู้เท่านั้น!
“ตอบโต้หรือ เขามีความมั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้เชียวหรือ” พวกหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์แต่ละคนต่างก็รู้สึกลังเลสงสัย ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาของตงป๋อเสวี่ยอิงจะล้ำเลิศอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้หมายความว่าพลังคุกคามจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน บุรุษอาภรณ์ขาวผมขาวผู้นี้ เห้นได้ชัดว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งคิดจะตอบโต้กับเจ้าเมืองอมตะซึ่งๆ หน้าอย่างนั้นหรือ
“ปัง”
เจ้าเมืองอมตะที่เผชิญหน้ากับการคุกคามของมีดบินเหล่านี้จริงๆ เท่านั้นจึงจะรู้สึกได้ว่าหัวใจหนาวสะท้าน
“แย่แล้ว เจอคู่ต่อสู้เสียแล้วสิ!” เจ้าเมืองอมตะเข้าใจในทันที
………………………………………
ตอนที่ 17 เจ็ดจานมนตร์อมตะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนบันไดมิติ เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไป นัยน์ตามีประกายอำมหิตวาบผ่าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำทรงอำนาจที่มีชื่อเสียงสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆา ถึงแม้จะรู้ว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผมขาวตรงหน้ามิได้ด้อยไปกว่าเขาเลย แต่จะให้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ เขาควบคุมค่ายกลดำทะมึนที่ท้องฟ้าเบื้องบนให้เคลื่อนเข้ามาไปพร้อมๆ กับที่เบื้องหน้าของร่างกายเขาก็มีค่ายกลที่หมุนวนปรากฏขึ้นสามแห่ง
ค่ายกลดำทะมึนสามแห่งนี้มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่กลับขับเคลื่อนสอดรับกันราวกับเฟืองล้อก็มิปาน พลานุภาพซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางตรงหน้าเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ปัง…”
ลำแสงสีม่วงอันแปรปรวนเก้าร้อยสายปะทะบนค่ายกลดำทะมึนสามแห่งที่สอดประสานกันราวกับเฟืองล้อ
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
ค่ายกลดำทะมึนที่ท้องฟ้าเบื้องบนก็มาถึงแล้วปะทะโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองค่ายกลดำทะมึนสามแห่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง สำหรับค่ายกลดำทะมึนที่ท้องฟ้าเบื้องบนแห่งนี้เขากลับมิได้สนใจเลย เพียงแค่ควบคุมมีดบินอีกสามร้อยเล่มให้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ลำแสงสีม่วงสายแล้วสายเล่าปะทะบนค่ายกลดำทะมึนแห่งนั้น ทำให้ค่ายกลดำทะมึนแห่งนั้นสั่นสะท้านจนแตกสลายไปในท้ายที่สุด
แต่ที่บริเวณไกลออกไป ค่ายกลดำทะมึนสามแห่งซึ่งราวกับเฟืองล้อตรงเบื้องหน้าเจ้าเมืองอมตะกลับไม่เหมือนกัน สิ่งที่มีดบินเก้าร้อยเล่มสำแดงนั้นคือเคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพ แต่เคล็ดวิชาหลังจากการดัดแปลงวิชากระบี่ที่ห้าผลาญโลกาให้ง่ายลงนั้น ถึงแม้ว่าหลังจากดัดแปลงแล้วพลังคุกคามจะลดต่ำลงเป็นอย่างมาก แต่จำนวนของมันก็สามารถทดแทนข้อด้อยนี้ไปได้ เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิง!
ปึง…
ค่ายกลดำทะมึนสามแห่งเคลื่อนหมุนไม่หยุดหย่อน เฟืองล้อสอดประสานกัน พลานุภาพซ้อนทับกัน หากพูดว่าระดับการป้องกันของค่ายกลดำทะมึนแห่งหนึ่งคือหนึ่งเท่า เช่นนั้นระดับของค่ายกลดำทะมึนสองแห่งก็ราวกับเป็นสิบเท่า พลานุภาพในการป้องกันของค่ายกลดำทะมึนสามแห่งก็ไปถึงร้อยเท่า! นี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าเมืองอมตะกล้าเรียกตนเองว่า ‘อมตะ’ และมีเพียงยามที่รักษาร่างกายทั้งสิบเก้าร่างเอาไว้เท่านั้นจึงจะสามารถสำแดงเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้
หากลำพังแค่ร่างจริงเพียงร่างเดียว ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณย่อมไม่มีทางสำแดงเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน
“ถึงขนาดตีไม่แตกเลยเชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างไกลจากการโจมตีค่ายกลดำทะมึนให้แตกอีกมากพอดูเลยทีเดียว”
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคราวนี้จะได้พบกับคู่ต่อสู้คนหนึ่งภายในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ ถึงกับมีคุณสมบัติพอให้ข้าสำแดง ‘เจ็ดจานมนตร์อมตะ’ ออกมาได้” เสียงของเจ้าเมืองอมตะกลับมาแห้งหยาบตามปกติของเขา ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ เห็นเพียงว่ามีค่ายกลดำทะมึนแห่งใหม่รวมตัวกันปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของค่ายกลดำทะมึนสามอันที่มีอยู่เดิม
ค่ายกลดำทะมึนทุกแห่งต่างก็ราวกับเฟืองล้ออันใหม่ซ้อนทับกันขึ้นไป ก่อเป็นร่างอันสมบูรณ์ร่างใหม่ขึ้นมา
หากพูดว่าค่ายกลดำทะมึนสามแห่งแรกสะสมพลานุภาพอันน่าหวั่นเกรง ยากจะทำให้คนสั่นสะท้านราวกับกำแพงเมืองแห่งหนึ่ง เช่นนั้นค่ายกลดำทะมึนแห่งใหม่…ก็ทำให้พลานุภาพอันน่าหวั่นเกรงที่สะสมเอาไว้นี้แปรเปลี่ยน แปรเปลี่ยนเป็นพลังการโจมตี
พรึ่บ
พรึ่บ
พรึ่บ
ค่ายกลดำทะมึนทั้งสามแปรเปลี่ยนซ้อนทับกัน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุกคามอันแรงกล้า ถึงขนาดที่เขารู้สึกว่าค่ายกลดำทะมึนก่อนหลังทั้งหมดหกแห่ง ทั้งหมดมีขนาดที่แตกต่างกันแต่ทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี ราวกับร่างอันสมบูรณ์แบบ คล้ายกับการสัญจรกฎเกณฑ์ของจักรวาลแห่งหนึ่ง ตอนนี้ค่ายกลดำทะมึนหกแห่งแปรเปลี่ยนเอาการโจมตีอันน่าหวั่นเกรงออกมา เตรียมพร้อมโจมตี!
เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนยืนอยู่ด้านหลังค่ายกลดำทะมึนหกแห่งแล้วยืนมองฉากนี้ด้วยรอยยิ้มหยัน
เคล็ดวิชาเจ็ดจานมนตร์อมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ตอนนี้เขาก็สามารถสำแดงออกมาอย่างสบายๆ ได้เพียงเท่านั้น ในอุดมคติสูงถึงเจ็ดจานมนตร์! ตามที่เขาคิดนั้นเพียงแค่ทำสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลัวว่าต่างก็สามารถเทียบเคียงได้กับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว แต่เขาบำเพ็ญมานานหลายปีก็ยังไม่สามารถก่อตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ได้มาโดยตลอด แต่เขาก็ยังคงเรียกชื่อว่าเป็นเจ็ดจานมนตร์อมตะเช่นเดิมก็เพื่อให้ตนเองไล่ไขว่คว้าเป้าหมายนี้ไปตลอดกาล
“ยอดฝีมือระดับพลังรบชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวคนไหนๆ ต่างก็มิอาจดูแคลนได้ทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพเหตุการณ์นี้แต่ก็โบกมือคราหนึ่ง มีดบินทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยเล่มอันแน่นขนัดปกคลุมเข้าไปอีกครั้งอย่างปั่นป่วน
“ตายเสียเถิด!” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนต่างก็เอ่ยอย่างเย็นชา
จานมนตร์ทั้งหกหมุนวน
จานมนตร์ที่อยู่รอบนอกสุดมีเงามายาของจานมนตร์สายหนึ่งปะทุออกมาในทันใด เงามายาของจานมนตร์ก็หมุนวนโอบล้อมเอาไว้ตลอดเวลา โอบล้อมมีดบินทั้งหมดเอาไว้ พรึ่บๆๆ… ยามที่เงามายาของจานมนตร์นี้หมุนวนก็คล้ายกับโม่บดที่บดทำลายพลังคุกคามของมีดบินแต่ละเล่ม ทว่าจำนวนของมีดบินนั้นมีอยู่มากมายเกินไป ปะทะปังๆๆ อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด…
……
ไกลออกไป หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรกเห็นแล้วก็ตกใจอยู่ไม่น้อย
เจ้าเมืองอมตะมีพลังอำนาจอันน่าหวั่นเกรงเช่นนี้ พวกเขาไม่แปลกใจเลย ถึงอย่างไรชื่อเสียงก็เป็นที่เลื่องลือ สถานะก็สูงส่งกว่าพวกเขามากมายนัก
ทว่าบุรุษผมขาวสวมหน้ากากสีเงินผู้ลึกลับคนนี้ถึงกับปะทะซึ่งๆ หน้าได้โดยไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
“มีเจ้าเมืองอมตะโผล่ขึ้นมาคนหนึ่งก็แล้วไปเถิด ยังมีโผล่มาอีกคนหนึ่ง พลังยุทธ์ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ เป็นผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นของดินแดนเก้าเมฆาหรืออย่างไร ถ้าหากเป็นผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นจริงๆ ก็ควรจะมีชื่อเสียงเลื่องลือมานานแล้วสิ” ชายหนุ่มผู้องอาจที่กุมขวานเหล็กดำเอาไว้ในมือเหวี่ยงกระแทกหัวขวานลงบนประตูหินครั้งแล้วครั้งเล่า ประตูหินส่งเสียงครืนแล้วเกิดเป็นหลุมลึกปรากฏขึ้นมา ผิวชั้นนอกของขวานเหล็กดำเล่มนั้นก็มีสายฟ้าวับวาบ
“บุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้คงจะมิใช่ผู้แกร่งกล้าในท้องที่หรอก เป็นคนของมหาโลกทิพย์ทั้งสามหรือ หรือว่าเป็นคนของสำนักทิพย์โบราณ” ชายหนุ่มผู้องอาจเอ่ยพึมพำ “น่าสนใจ น่าสนใจเหลือเกิน!”
……
เงามายาของจานมนตร์กลิ้งเข้ามา ถึงแม้ว่าจะถูกมีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายจนหมดอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้น หกจานมนตร์ดำทะมึนนั้นก็ยังสร้างเงามายาของจานมนตร์อันใหม่ออกมาอีกครั้ง เงามายาของจานมนตร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง… กลับกลายเป็นทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เริ่มตกเป็นรอง
“พลังยุทธ์ของเขาดูเหมือนจะค่อยๆ ยกระดับขึ้นอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงความตกตะลึง
“จานมนตร์หมุนวน พละกำลังทั้งหมดต่างก็สามารถใช้รวมกันได้ พลังคุกคามก็มีแต่จะยกระดับขึ้น” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนกลับเต็มไปด้วยความทะนง เพราะมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศนี้ สิ่งที่เขาชมชอบเป็นที่สุดก็คือการมุ่งหน้าเข้าไปเสี่ยงภัยในสถานที่อันตราย ถึงอย่างไรดินแดนเก้าเมฆาก็เป็นชิ้นส่วนที่แตกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม มีสถานที่อันน่าอัศจรรย์หลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง
ตอนแรกเขาก็เคยเข้าไปในคูหาที่รกร้างไปแล้วแห่งหนึ่ง คูหาแห่งนั้นมิได้มีสมบัติล้ำค่าอันใดอยู่เลย แต่ภายในบรรดาห้องเงียบสำหรับบำเพ็ญนั้นกลับมีกลิ่นอายอันน่าหวั่นเกรงหลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นก็คือกลิ่นอายของจานมนตร์ทั้งเจ็ด…
จานมนตร์ดำทะมึนเจ็ดจานรวมตัวกันเป็นร่างหมุนวนอันสมบูรณ์แบบร่างหนึ่ง
ก็คล้ายกับการทำลายล้างของความมืดในขั้นสุดยอด ทำให้เจ้าเมืองอมตะมองดูอย่างหวาดหวั่นยิ่ง นับแต่นั้นมาเขาก็ไปศึกษาหยั่งรู้อยู่บ่อยๆ แล้วค่อยๆ วิวัฒน์เจ็ดจานมนตร์อมตะออกมาจากกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่นี้ แต่สิ่งที่เขาวิวัฒน์ออกมานั้นห่างชั้นกับสิ่งที่ได้เห็นในห้องเงียบแห่งนั้นไม่รู้กี่เท่า เจ้าเมืองอมตะคาดเดาว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดสักท่านหนึ่งเหลือทิ้งเอาไว้ก็เป็นได้
ทว่าแม้กระทั่งวิวัฒน์ไปเล็กน้อย แต่ก็ทำให้พลังยุทธ์ของเจ้าเมืองอมตะพุ่งพรวดขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นผู้นำทรงอำนาจฝ่ายหนึ่งของทั้งดินแดนเก้าเมฆา! หากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนไม่แสดงตัว เขาก็เป็นบุคคลผู้ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้แล้ว
“สามารถต้านทานมังกรมัจฉาปลิดชีพของข้าได้ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็คิดไม่ถึงว่าตนอาศัยเพียงแค่เคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพก็สามารถบุกผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้แล้ว
“น่าสนใจ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายเย็นยะเยือกสายหนึ่งวาบผ่าน
พรึ่บ!!!
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันราวกับสารที่ผ่านทะลุหกจานมนตร์อันดำทะมึนที่หมุนวนอยู่ไกลๆ แผนภาพคลื่นจาน ศาสตร์ลับอาณาบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุดของวังทวีสูญ พันธะของอาณาเขตอันแกร่งกล้าทำให้จานมนตร์ดำทะมึนทั้งหกที่หมุนวนอยู่ได้รับผลกระทบในทันที แม้กระทั่งอันที่โจมตีเงามายาของจานมนตร์อยู่ก็ได้รับการขัดขวางรบกวน แม้ว่ามันจะสามารถรักษาการโจมตีเอาไว้ได้เช่นเดิมแต่พลังคุกคามก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด…
“ท่าไม่ดีแล้วสิ” ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างนี้ก็ห่อหุ้มร่างของเจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนนั้นเอาไว้ในเวลาเดียวกัน ทำให้สีหน้าของเจ้าเมืองอมตะแปรเปลี่ยนในทันใด พันธะอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เขานึกอยากจะหนีก็ยากเย็นนัก
ร่างกายสิบเก้าร่างของเขาเริ่มเลือนราง เลือนรางราวกับไอหมอกดำทะมึน
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ระเบิดแผนภาพคลื่นจานออกมาอย่างสุดกำลังกดดันเจ้าเมืองอมตะ ในขณะเดียวกันกับที่กดดันจานมนตร์ทั้งหก เห็นเพียงมีดบินอันแน่นขนัด แต่รักษาพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ เหลือเงารางของลำแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนทิ้งไว้ แล้วปกคลุมสังหารไปอีกครั้ง แต่ทว่าพลังคุกคามลดต่ำลงอย่างมหาศาล เงามายาของจานมนตร์ดูคล้ายว่าชั่วขณะที่ต้านรับนั้นก็แตกสลายเป็นชิ้นอย่างสมบูรณ์
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองอมตะไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เข้าใจดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผมขาวผู้ลึกลับคนนี้เลย ต้านทานลงไปอย่างจริงจัง กลัวว่าจะมีผลลัพธ์คือตัวตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น