Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 28 ตอนที่ 12-14
ตอนที่ 12 ขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะลุอากาศเดินทางกลับไปอย่าง
“เขากระบี่สวรรค์” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มองดูเขากระบี่สวรรค์ที่ทอดยาวต่อเนื่องกันตรงหน้า บัดนี้เขากระบี่สวรรค์ปรักหักพังไปหมด สถานที่หลายแห่งยังคงมีเปลวเพลิงลุกโชน แม้ศึกใหญ่ครั้งนี้จะยุติลงแล้ว แต่ความเสียหายของเขากระบี่สวรรค์นั้นมากมายยิ่งนัก แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ยังต้องสิ้นใจ ประมุขยอดเขา ผู้บูชาและผู้อาวุโสมากมายก็สู้จนตัวตายไปไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิษย์จำนวนมากเลย
สวบ
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่มียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ พวกเขากำลังคุ้มกันบุรุษอาภรณ์สีดำวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง
“ผู้อาวุโส” น้ำเสียงรื่นหูดังก้องขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป เป็นสตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นนั่นเอง
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือ” สตรีอาภรณ์สีแดงอีจื่อพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ก่อนหน้านี้ขอให้ผู้อาวุโสลงมือ แล้วผู้อาวุโสก็จากไป ข้ายังคิดว่าผู้อาวุโสไม่อยากสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเสียอีก ตอนนี้คิดไปคิดมา…คงเป็นเพราะผู้อาวุโสไม่อยากพาพวกเราไปด้วยมากกว่า เพราะพาพวกเราไปด้วยก็รังแต่จะมีตัวถ่วงเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ประมุขพรรคของพวกเจ้ารับปากจะมอบสมบัติล้ำค่าให้ข้า ข้าจะลงมือก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดตามอำเภอใจ
คนอื่นๆ ในที่นั้นยังคงรู้สึกซาบซึ้งนัก
สมบัติล้ำค่าหรือ ต่อให้ล้ำค่ากว่านี้ก็เป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น! หากตายไปแล้ว สมบัติล้ำค่าจะมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ สามารถช่วยเหลือพวกเขาชาวเขากระบี่สวรรค์ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ไม่เพียงแค่ช่วยเหลือประมุขพรรค แด่ยังช่วยเหลือทั้งพรรคเอาไว้อีกด้วย!
“ข้าน้อยจื่ออวี่ มิทราบว่าผู้อาวุโสมีสมญาว่ากระไรหรือเจ้าคะ” อีจื่อถามขึ้น จื่ออวี่คือสมญาของนาง อีจื่อคือชื่อตัว ชื่อตัวมีเพียงคนที่ใกล้ชิดอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะเรียกขานได้
“เฟยเสวี่ย” ตงป๋อเสวี่ยอิง
“ผู้อาวุโสเฟยเสวี่ย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเฟยเสวี่ยไล่สังหารประมุขหุบเขาเปลวอัคคีผู้นั้น การใหญ่สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ” อีจื่อถาม
“เขาสิ้นใจไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงโพล่งขึ้นมา
บุคคลระดับสูงของเขากระบี่สวรรค์กลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่โดยรอบฟังแล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมา ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีสิ้นใจแล้วหรือ ประมุขหุบเขาและรองประมุขหุบเขาเปลวอัคคีสิ้นใจไปกันหมดแล้ว คนที่หลงเหลืออยู่นั้นไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ เชื่อว่าศิษย์ของหุบเขาเปลวอัคคีที่หนีเอาชีวิตรอดเหล่านั้นล้วนแต่ไม่กล้ารั้งรออยู่ในฐานที่มั่น คงจะหนีไปตามที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ‘หุบเขาเปลวอัคคี’ ที่ต่อสู้กับพวกเขาชาวเขากระบี่สวรรค์มานานปีถึงเพียงนี้น่าจะจบสิ้นเพียงเท่านี้แล้ว!
“ผู้อาวุโสช่างเยี่ยมยอดโดยแท้ สามารถสังหารประมุขหุบเขาเปลวอัคคีได้ เกรงว่าอีกไม่นานชื่อเสียงคงจะขจรขจายออกไป” อีจื่อเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาของนางเปล่งประกาย พลังของยอดฝีมือตรงหน้าผู้นี้อยู่ในระดับเดียวกับบิดาของนาง ภายในดินแดนเก้าเมฆาก็เพียงพอจะเป็นผู้ทรงอำนาจทางฝ่ายหนึ่งได้แล้ว ยอดฝีมือใหญ่พรรค์นี้ต้องผูกสัมพันธ์เอาไว้
เช่นคารวะเข้าอยู่ในสำนักของเขา คารวะเขาเป็นอาจารย์ เช่นนั้นก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก!
ขณะที่อีจื่อเกิดความคิดมากมายขึ้นมานั่นเอง บุรุษอาภรณ์ดำวัยกลางคนด้านข้างที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลางรีดพิษวิญญาณออกมานั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพูดขึ้นว่า “พี่เฟยเสวี่ย ช่วยข้าขับพิษวิญญาณออกไปหน่อยได้หรือไม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ ท่านกลัวว่าข้าจะฉวยโอกาสลงมืออย่างนั้นหรือ”
“ด้วยพลังของพี่เฟยเสวี่ย จะสังหารข้า พวกเขาหน้าไหนจะขัดขวางได้เล่า” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์พูดขึ้น “พิษวิญญาณด้ายเงินโยงนี้อำมหิตเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อจะทนต่อสู้ จึงถูกพิษล้ำลึกนัก ข้าจะรีดพิษเองก็ไม่มั่นใจเลย ดังนั้นจึงต้องขอให้พี่เฟยเสวี่ยช่วยเหลือ”
“ข้าลองดูหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า คนอื่นๆ ล้วนหลีกทางไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงข้างกายประมุขพรรคกระบี่สวรรค์แล้วก็นั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน เขายื่นมือออกไปตบไหล่ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์เบาๆ ทันใดนั้นคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าก็แทรกซึมเข้าไปในกายเขาอย่างรวดเร็ว ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็ไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
คลื่นระลอกนี้เข้าไปในทะเลแห่งการับรู้ของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์แล้วปกคลุมวิญญาณของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์เอาไว้อย่างรวดเร็ว
“รุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง
วิญญาณของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ถูกเส้นสายสีเงินจำนวนมากแทรกซึมเข้าไปจนหมดอย่างรวดเร็ว มันแน่นขนาดและแผ่คลุมไปทั่ววิญญาณราวกับเส้นเลือดฝอยอย่างไรอย่างนั้น หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็กดดันเอาไว้ไม่ได้อย่างแท้จริง…บวกกับการเดินทางไปยังดินแดนเก้าเมฆาก็ยากยิ่งนัก ยากมากที่เขาจะหายาถอนพิษได้ในระยะเวลาสั้นๆ เกรงว่าเขาคงจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยเหตุนี้
“พี่เฟยเสวี่ยลงมือให้เต็มที่เถิด” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กล่าว
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าแทรกเข้าไปภายในวิญญาณของอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวัง
ระดับขั้นอย่างประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ วิญญาณก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อให้ตัดแบ่งเป็นสิบส่วน อีกเก้าส่วนที่เหลือดับสลายไปก็เป็นเพียงแค่การบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น! ดังนั้นระลอกคลื่นแทรกซึมเข้าไปภายในวิญญาณของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็มิได้ทำร้ายอะไรมากนัก เพียงแต่เมื่อ ‘พิษวิญญาณด้ายเงินโยง’ นี้แทรกซึมเข้าไปภายในวิญญาณอย่างสิ้นเชิง จะขับออกไปกลับยากเย็นนัก
“ฟึ่บๆๆ” แผนภาพคลื่นจานของตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมระลอกคลื่นได้พิสดารยิ่งนัก เขาเริ่มผูกด้ายเงินขึ้นมา
ขณะเดียวกับที่เขากำลังช่วยขับพิษวิญญาณออกไปนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงเคล็ดลับออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
วิ้ง
เนื่องจากเดิมทีเขาก็ส่งระลอกคลื่นจำนวนมากแทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์อยู่แล้ว แม้เคล็ดลับจะแทรกตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน แต่ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กลับไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย วิญญาณของเขาก็ไร้ซึ่งการโต้ตอบใดๆ
“มิใช่ศิษย์ของสองลัทธิใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ทว่าก็ถูกต้องแล้ว ตามข้อมูลที่ได้มา ผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นที่กลายเป็นศิษย์ของสองลัทธิใหญ่นั้นมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก ข้าสามารถพบได้ว่าประมุขหุบเขาและรองประมุขหุบเขาเปลวอัคคีเป็นศิษย์ก็โชคดีมากแล้ว หากประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็เป็นศิษย์เช่นเดียวกัน เช่นนั้นก็จะประสบความสำเร็จเกินไปแล้ว”
การจะตามหาศิษย์สักคนนั้นเป็นเรื่องยากมาก
ข้อแรก
ระดับอย่างประมุขหุบเขาเปลวอัคคีและประมุขพรรคกระบี่สวรรค์นั้น ก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่เช่นเดียวกัน ตนไม่มีทางควบคุมและตรวจสอบอย่างไร้ร่องรอยได้แน่นอน จะต้องต่อสู้ซึ่งหน้าแล้วทำร้ายฝ่ายตรงข้ามจนสาหัสและผนึกกำลังเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไร้การต่อสู้อย่างสิ้นเชิงจึงจะสามารถสำแดงเคล็ดลับออกมาได้! จู่ๆ ดินแดนเก้าเมฆาก็มียอดฝีมือคนหนึ่งโผล่มา แล้วลงมือกับบรรดาผู้ทรงอำนาจในบริเวณต่างๆ ทางแถบหนึ่งทันที…เดิมทีเรื่องนี้ก็สามารถทำให้เกิดข้อสงสัยด้วยตัวของมันเองได้โดยง่ายอยู่แล้ว! เมื่อถูกลัทธิใหญ่ทั้งสองจับตามอง ตนก็จะมิอาจรั้งรออยู่ในดินแดนเก้าเมฆาได้อย่างยาวนานแล้ว
ข้อสอง ศิษย์คนสำคัญพรรค์นี้ หากตายไปแล้ว ทางฝ่ายลัทธิก็ย่อมล่วงรู้ในทันที!และพวกเขาก็จะตรวจสอบว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
อย่างครั้งนี้ เป็นเพราะประมุขหุบเขาเปลวอัคคีเคลื่อนไหวมารุกรานเขากระบี่สวรรค์ เขากระบี่สวรรค์มียอดฝีมือช่วยเหลือ แล้วทำลายประมุขหุบเขาเปลวอัคคี นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก
หากจู่ๆ ผู้แกร่งกล้าแปลกหน้าลอบโจมตีหุบเขาเปลวอัคคีและสังหารประมุขหุบเขาเปลวอัคคีแล้วล่ะก็…
สังหารเพียงคนเดียวก็แล้วไปเถิด หากวันใดสังหารศิษย์คนสำคัญไปอีกสักคน เกรงว่าทางลัทธิก็คงจะสงสัยเช่นกัน เพราะพวกเขาให้ยอดฝีมือซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่กลายเป็นศิษย์ ก็ต้องทุ่มเทอะไรไปมากมาย หากเป็นศิษย์ระดับฐานราก จะตายก็ตายไปเถิด แต่ศิษย์คนสำคัญพรรค์นี้แต่ละคนนั้นล้วนแต่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก สถานะยังสูงส่งกว่าทูตทิพย์ทั่วไปเสียอีก
“ศึกระหว่างสองลัทธิใหญ่และโลกทิพย์ทั้งสามจะต้องระมัดระวัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “จะทำตัวโอหังโดดเด่นเกินไปมิได้ จะต้องทำตามน้ำไป”
ดังเช่นครั้งนี้ ตนก็จัดการประมุขหุบเขาเปลวอัคคีไปตามน้ำ
……
พิษวิญญาณของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์นั้นซับซ้อนมาก ทว่าสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกนั้นเป็นถึงศาสตร์ลับด้านบริเวณซึ่งแข็งแกร่งที่สุดของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งวังทวีสูญ หากทุ่มเทสุดกำลังจริงๆ เพียงชั่วจอกชาเดียวก็เพียงพอแล้ว ทว่าเขากลับใช้เวลากว่าครึ่งเดือนด้วยความอดทนอย่างมาก เพื่อช่วยประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ขับพิษวิญญาณออกไปจนสิ้น
“โครมมมม…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขพรรคกระบี่สวรรค์เดินออกมาจากห้องเงียบที่เก็บตัวอยู่ ด้านนอกมีบุคคลระดับสูงของพรรคกระบี่สวรรค์คอยท่าอยู่นานแล้ว แม่นางอีจื่อผู้นั้นก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีพี่เฟยเสวี่ยช่วยเหลือสุดกำลัง ข้าจึงขับพิษวิญญาณนั่นออกไปได้จนเกลี้ยงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า…” เสียงหัวเราะของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ดังเป็นระลอก
“ยินดีกับท่านประมุขพรรค ยินดีกับท่านประมุขพรรคด้วย” บุคคลระดับสูงของพรรคกระบี่สวรรค์แต่ละคนในที่นั้นล้วนตื่นเต้นเหลือแสน เพราะประมุขพรรคกระบี่สวรรค์เป็นเสาหลักของทั้งพรรค ตอนแรกสุดก็เป็นเขาที่บุกเบิกลัทธิขึ้นมา อีกทั้งผู้อาวุโสสูงสุดก็สู้จนตัวตายไปแล้ว หากประมุขพรรคยังต้องมาสิ้นใจด้วยพิษวิญญาณอีก ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว เช่นนั้นพรรคกระบี่สวรรค์ก็จะต้ออง
“ยินดีกับท่านพ่อด้วย ขอบคุณผู้อาวุโสเฟยเสวี่ยเจ้าค่ะ” แม่นางอีจื่อรีบเอ่ยขึ้นทันที
“ฮ่าฮ่า ถอยกันไปให้หมดเถอะ ข้ากับพี่เฟยเสวี่ยยังมีบางเรื่องที่ต้องสนทนากัน อีจื่อ ไปเตรียมของกินมาทีสิ” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กำชับ ให้บุตรสาวของประมุขพรรคตระเตรียมอาหารมาปรนนิบัติด้วยตนเอง จะเห็นได้ว่าประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ให้ความสำคัญกับตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงใด
ไม่นานนัก
คนอื่นๆ ภายในลานก็ถอยออกไปจนหมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงตรงข้ามกับประมุขพรรคกระบี่สวรรค์
“พี่เฟยเสวี่ย บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ข้ายากจะตอบแทน” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์รำพึง ครั้งนี้เขายังคิดว่าจะต้องจบเห่กันไปแล้ แม้แต่พรรคก็ยังต้องดับสลาย แต่บัดนี้สถานการณ์กลับพลิกไปแล้ว
“มีเพียงขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาเท่านั้น ที่ข้าอาจจะสามารถช่วยเหลือพี่เฟยเสวี่ยได้” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กล่าว
“ขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ
“ท่านยังมิได้ตรวจดูสมบัติล้ำค่าที่ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีทิ้งเอาไว้ใช่หรือไม่” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็สงสัยขึ้นมาบ้าง
“หลังข้าสังหารเขาแล้ว ก็ช่วยท่านขับพิษวิญญาณมาโดยตลอด จึงยังมิทันได้ตรวจดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาพูดพลางหยิบกำไลเก็บวัตถุอันหนึ่งขึ้นมาก่อนจะหลอมแปรแล้วตรวจสอบทันที ในบรรดาสมบัติจำนวนมากภายในกำไลเก็บวัตถุ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบสิ่งที่เขาต้องการอย่างรวดเร็ว…นั่นก็คือปิ่นสีทองอันแปลกพิสดาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีปิ่นทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
“ขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา
จักรพรรดิเก้าเมฆา…
คือเทพจักรวาลซึ่งมีชื่อเสียงอย่างยิ่งในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม พลังของเขาจัดเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุด ทว่าท่ามกลางสงครามครั้งสุดท้ายซึ่งทำให้ทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั้น จักรพรรดิเก้าเมฆาก็บาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน หลังบาดเจ็บสาหัสได้ไม่นานเท่าไหร่ก็สิ้นใจและตกต่ำลง เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บสาหัสเกินไป หากพูดอย่างจริงจังแล้ว ก็นับว่าสิ้นใจด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
ตอนนั้นโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลาย จักรพรรดิเก้าเมฆาอาการบาดเจ็บสาหัส และรู้ตัวเองดีว่าจวนจะสิ้นใจอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นก่อนจะสิ้นใจ เขาจึงได้ตรงดิ่งมาทางดินแดนเก้าเมฆาซึ่งอยู่ ณ ส่วนลึกของอากาศอันสับสนอลหม่าน และได้วางขุมทรัพย์ไว้บนดินแดนเก้าเมฆาถึงสิบหกแห่งด้วยกัน! ทั้งยังทิ้งปิ่นทองเอาไว้บนดินแดนเก้าเมฆาทั้งหมดสามสิบเล่ม และได้เผยแพร่ข่าวนี้ออกไป…
ขอเพียงสามารถเก็บรวบรวมปิ่นทองได้จนครบห้าเล่มก็จะสามารถกระตุ้นค่ายกลขึ้นมาได้ และจะถูกส่งถ่ายเข้าไปภายในขุมทรัพย์แห่งหนึ่ง!
แต่ทว่า…
เทพอากาศจึงจะสามารถเข้าไปได้ และอย่างมากที่สุดก็สามารถเข้าไปได้เพียงห้าท่านเท่านั้น!
ทุกครั้งหลังจากส่งถ่ายแล้ว ปิ่นทองก็จะกระจายตัวไปอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆา
……
ดังนั้นตลอดคืนวันอันยาวนานที่ล่วงเลยมา เนื่องจากมีปิ่นทองอยู่ถึงสามสิบเล่ม จึงมีผู้ที่เก็บรวบรวมปิ่นทองได้ครบห้าเล่มอยู่หลายครั้ง มีผู้แกร่งกล้าเข้าไป และถึงขั้นเคยมีผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนเข้าไปด้วย ทว่าขุมทรัพย์ทั้งสิบหกแห่ง ไม่ว่าขุมทรัพย์แห่งใดก็ตาม คิดจะได้มาทั้งหมดก็ยากยิ่งนัก โดยทั่วไปก็ได้เพียงส่วนหนึ่งมาเท่านั้น แต่ผ่านวันคืนอันยาวนาน เข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าขุมทรัพย์ทั้งสิบหกแห่งคงจะถูกนำไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ขอเพียงปิ่นทองยังคงอยู่ ก็หมายความว่าขุมทรัพย์ยังคงอยู่เช่นเดียวกัน!
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดซึ่งพลังจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม
หากพูดถึงพลังแล้ว เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าพวกบรรพชนห้วงอากาศและบรรพชนเทียนอวี๋เสียอีก
“ท่านทราบว่าประมุขหุบเขาเปลวอัคคีมีปิ่นทองด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
“ตอนนั้นข้าและประมุขหุบเขาเปลวอัคคีคนก่อนพบปิ่นทองสองเล่มพร้อมกัน” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กล่าว “พวกเราตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะแบ่งกันคนละเล่ม แต่เพิ่งจะแบ่งปิ่นทองกัน เขาก็ลอบโจมตีข้า แม้ข้าไม่มีจิตคิดที่จะลอบโจมตี แต่กลับลอบป้องกัน! การต่อสู้ครั้งนั้นเขาพ่ายแพ้และตัวตายไปในท้ายที่สุด ทว่าการต่อสู้ครั้งนั้นดุเดือดยิ่งนัก ระหว่างที่เขาเคลื่อนที่ในพริบตาหนีไปก็ได้แอบซ่อนปิ่นทองเอาไว้ แม้ข้าจะไล่ตามเขาไปและสังหารเขา แต่กลับหาปิ่นทองไม่พบ ข้าเดาว่าเขาต้องแจ้งจุดที่ซ่อนปิ่นเอาไว้ให้ศิษย์เขาทราบแน่นอน หลังจากประมุขหุบเขาเปลวอัคคีคนก่อนตายไปแล้ว หุบเขาเปลวอัคคีและเขากระบี่สวรรค์ของข้าก็ได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกัน”
“นี่ก็เพิ่งจะสองเล่มเท่านั้น ต้องใช้ปิ่นทองห้าเล่มจึงจะสามารถกระตุ้นการส่งถ่ายได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว แน่นอนว่าเขาย่อมปรารถนาขุมทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง!
มาถึงดินแดนเก้าเมฆาเพื่ออะไรกัน ก็เพื่อสมบัติล้ำค่า! เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนเอา ‘หัวใจหลิวเมฆาแดง’ ไปช่วยจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์ หากตนได้ขุมทรัพย์ที่เทพจักรวาลทิ้งเอาไว้เพียงส่วนเล็กน้อยอย่างยิ่ง ก็คงเพียงพอแล้วกระมัง
……………………………….
ตอนที่ 13 มิอาจสำแดงออกมาได้อย่างนั้นหรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์กำลังจะพูด แต่ในขณะนี้เองแม่นางอีจื่อกลับส่งสุราอาหารชั้นเลิศขึ้นมาให้ แล้วนางยังรินสุราให้ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเองอีกด้วย “ผู้อาวุโส นี่คือสุราผลไม้ ‘ฝนกระบี่’ ที่ข้าบ่มเองกับมือ ปกติข้าให้เฉพาะท่านพ่อดื่มเท่านั้น” นางพูดพลางยกจอกสุราขึ้นส่งให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วรับมาชิมรสดูคำหนึ่ง พอดื่มแล้วเขาก็รู้ว่าสุราผลไม้นี้คงจะมิได้มีราคาสูงนัก ที่วังทวีสูญเขาได้ดื่มยอดสุราชั้นดีมาไม่น้อยแล้ว
แต่สุราผลไม้นี้ค่อนข้างเข้มข้น ทำให้คนมึน มีความรู้สึกคล้ายตกอยู่ในเขตลวงจางๆ
“น่าสนใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม
“บุตรสาวของข้าคนนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์ในการบ่มสุรา ก็ด้วยพรสวรรค์ในการบำเพ็ญอ่อนแอไปสักหน่อย จนถึงตอนนี้เพิ่งฝืนเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเทพอากาศได้อย่างทุลักทุเล” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ส่ายศีรษะเบาๆ “แค่นี้ก็ดีพอแล้ว เพียงแค่สามารถเป็นเทพแท้ได้ก็จะมีอายุขัยชั่วนิรันดร์ แต่ได้อยู่เคียงคู่กัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” ตอนนี้ภรรยาและบุตรชายของตนต่างก็ติดอยู่ที่ขั้นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น มิได้เป็นแม้กระทั่งเทพแท้ นี่คือปมที่ใหญ่ที่สุดในใจของตน
“ใช่แล้ว สามารถมีอายุขัยชั่วนิรันดร์ ได้อยู่เคียงคู่กัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง เขาบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนานจนกระทั่งถึงบัดนี้ คนใกล้ชิดก็เหลืออยู่เพียงแค่บุตรสาวคนเดียวเท่านั้น
“อีจื่อ เจ้าออกไปก่อน” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” แม่นางอีจื่อจากไปอย่างเชื่อฟัง
ภายในลานบ้านก็เหลืออยู่เพียงพวกเขาสองคน หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์จึงเอ่ยว่า “หากต้องการจะเข้าไปในกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ต้องใช้ปิ่นทองห้าอัน ท่านรวมกับข้าเพิ่งจะมีปิ่นทองทั้งหมดเพียงสองอันเท่านั้นเอง… ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง ในบรรดาผู้บำเพ็ญที่เขารู้จักก็สามารถส่งมอบปิ่นทองให้ได้สามอัน แน่นอนว่าความจริงแล้วปิ่นทองสามอันนั่นอยู่กับผู้บำเพ็ญคนใดเขาก็มิได้บอกข้า แต่ขอเพียงข้าได้มาสองอัน ก็จะสามารถร่วมมือกับเขาทางนั้นได้”
“ร่วมมือหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพูด “ถ้าหากพวกเราพบหน้ากันก็อาจเจอกับการคิดบัญชีได้ใช่หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกำลังเสาะหาปิ่นทองอยู่อย่างลับๆ ก็เป็นได้”
“วางใจเถิด”
หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูดยิ้มๆ “ถ้าหากจะพบหน้าก็จะต้องไปพบกันที่คูเมืองที่บรรพชนกฎฉุนอีสร้างขึ้น ที่ใกล้ที่นี่ที่สุดก็คือ ‘เมืองฉุนอวี้” ที่เมืองฉุนอวี้นั้นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนก็มิกล้าบุกเข้ามาตามอำเภอใจ ก็เพราะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนของมหาโลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่ล้วนมิกล้าล่วงเกินบรรพชนกฎฉุนอี”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ดินแดนเก้าเมฆา…
สุดท้ายแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็คือบรรพชนกฎฉุนอีท่านนั้นนั่นเอง! ถึงแม้ว่าเขาจะสันโดษ ไม่อยากเข้าร่วมในการต่อสู้ของสองขุมอำนาจใหญ่ แต่ก็ไม่อยากเห็น ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ ที่ตนอาศัยอยู่อย่างสันโดษแห่งนี้ถูกสองขุมอำนาจใหญ่ทำลายทิ้ง ดังนั้นจึงกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้มากมาย
อย่างเช่นห้ามสร้างค่ายกลห้วงมิติใดๆ! ทำให้ดินแดนเก้าเมฆายากที่จะติดต่อกับสถานที่อื่นๆ
หรืออย่างเช่นการที่เขาสร้างคูเมืองขึ้นมามากถึงสิบสองแห่ง กระจายอยู่ทั่วทุกที่ในดินแดนเก้าเมฆา คูเมืองทุกแห่งล้วนมีค่ายกลที่เขาวางไว้ด้วยตนเอง รวมถึงร่างแปรที่เขาทิ้งเอาไว้รักษาการณ์ที่นั่น!ร่างแปรของเทพจักรวาลท่านหนึ่ง… ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปก็มิอาจสังหารร่างจริงของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนได้ แต่ภายในอาณาเขตของตนมีค่ายกลช่วยเหลืออยู่ก็ไม่เหมือนกันแล้ว
คูเมืองสิบสองแห่งนี้ แต่ละแห่งล้วนมีค่ายกลที่บรรพชนกฎสร้างขึ้นด้วยตนเอง พอร่างแปรของบรรพชนกฎฉุนอีอยู่ในนั้นก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว
นอกจากนี้เขายังมีบัญญัติว่า…ห้ามขั้นอลวนเข้ามาในคูเมืองของเขา!
จุดประสงค์ที่เขาสร้างคูเมืองก็คือให้เหลือดินแดนที่บริสุทธิ์แห่งหนึ่งเอาไว้ ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าที่มิได้มีเจตนาจะสู้รบจำนวนหนึ่งสามารถบำเพ็ญอย่างสงบสุขที่นี่ได้
“ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าก็จะแจ้งสหายผู้นั้นของข้าแล้วล่ะนะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูด
“ได้ กรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา หากไปได้ข้าก็จะต้องไปแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ฮ่าฮ่า นี่คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญคนใดๆ ในดินแดนเก้าเมฆาของพวกเราต่างก็ปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น”หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์หัวเราะแล้วก็ส่งสารติดต่อไป เพียงชั่วครู่เขาก็เอ่ยว่า “ทางนั้นตกลงเรียบร้อยแล้ว พวกเราสามารถพบปะกันที่เมืองฉุนอวี้ได้! พวกเขาทางนั้นมีบางคนที่อาศัยอยู่ที่เมืองฉุนอวี้ มีบางคนที่อาศัยอยู่ใกล้กว่า คาดว่าต้องใช้เวลาห้าสิบล้านปีเป็นอย่างช้าที่สุดจึงจะไปถึงได้ ข้าทางนี้ต้องช้าหน่อยต้องใช้เวลาแปดสิบล้านปี น้องเฟยเสวี่ย…เพื่อความปลอดภัย เจ้ากับข้าแยกกันเดินทาง เช่นนี้ก็จะปลอดภัยกับทั้งเจ้าและข้า”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาเข้าใจในความระมัดระวังของอีกฝ่าย
เพียงแค่แยกกันเดินทาง เช่นนั้นจะใช้เส้นทางอย่างไร ต่างฝ่ายต่างก็รู้ของตัวเอง ศัตรูจะลอบวางแผนซุ่มโจมตีก็มิสามารถทำได้
“เส้นทางยาวไกล ข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ข้าต้องใช้เวลาเดินทางแปดสิบล้านปี เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอกนะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูด เขายังอยากให้บุตรสาวและยอดฝีมือผู้นี้ใกล้ชิดกันให้มากๆ ถ้าหากสามารถคารวะเป็นศิษย์ในสำนักของอีกฝ่ายได้ก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรก็ได้ยินบุตรสาวพูดว่าคราวนี้อีกฝ่ายบรรลุแล้วจึงได้ออกจากการปลีกวิเวก ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจยังสามารถก้าวเข้าไปใกล้ขั้นรวมเป็นหนึ่ง สถานะอันไร้เทียมทานก็เป็นได้
พลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวก็ย่อมเป็นระดับสูงในแดนศักดิ์สิทธิ์ของมหาโลกทิพย์ทั้งสามอย่างแน่นอน ที่ดินแดนเก้าเมฆา เพียงแค่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนไม่กี่คนไม่ออกมาก็สามารถเดินยืดอกได้แล้ว
ต่อให้มิได้ยกระดับอีกก็มีพลังยุทธ์เทียบเคียงกับเขาผู้เป็นหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์แล้ว ทั้งยังมีบุญคุณช่วยชีวิตตนอีกด้วย
“ข้าเพิ่งออกมาจากการปลีกวิเวกได้ไม่นานสักเท่าใด ก็เลยอยากจะอาศัยโอกาสนี้ไปเตร็ดเตร่ข้างนอกให้มากหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ก็ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งน้องเฟยเสวี่ยเอาไว้แล้วล่ะนะ” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์พูดยิ้มๆ “พอถึงเวลาพวกเราก็พบกันที่เมืองฉุนอวี้ ไปยังกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาพร้อมกัน”
……
วันที่สอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อำลาจากไป บนเขากระบี่สวรรค์ แม่นางอีจื่อก็ยังมิอาจตัดใจได้อยู่บ้าง นางมีความรู้สึกซาบซึ้งและยกย่องตงป๋อเสวี่ยอิง คิดอยากจะกราบเป็นอาจารย์ แต่น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินจากไปง่ายๆ เสียแล้ว
วันต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินอยู่บนพื้นดินของดินแดนเก้าเมฆาแห่งนี้
ชมดูทัศนียภาพของชิ้นส่วนที่แตกสลายของ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ที่หลงเหลืออยู่ชิ้นนี้แล้วนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญบนพื้นที่รกร้างเป็นระยะๆ บ้างก็พบกับเรื่องอยุติธรรม บ้างก็พบฝูงมารที่กลืนกินหมู่บ้านสักแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเข้าก็ลงมือในทันที หลังจากตรวจสอบวิญญาณโดยสัญชาตญาณแล้วก็สังหารทิ้งทันใด!…ทั้งยังได้ชี้แนะเด็กจำนวนหนึ่งอยู่เป็นระยะๆ ด้วย
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าสิบล้านปีแล้ว
บนยอดเขา
ภายในเคหาสน์ไม้ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก้าวเดินออกมาพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น “ข้าได้เรียนรู้ความลึกลับของวิชาโลกอนธการกระบวนท่าที่สองอย่างกระจ่างแจ้งทั้งหมดแล้ว แต่ก็มิอาจสำแดงออกมาได้ นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน”
บำเพ็ญอยู่ภายในตำหนักกาลเวลาแห่งวังทวีสูญเป็นเวลาหนึ่งหมื่นแปดพันล้านปี วิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกาและแผนภาพคลื่นจานต่างก็บำเพ็ญไปจนถึงระดับพลังยุทธ์ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวแล้ว แม้กระทั่งกระบี่ที่ห้าผลาญโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อยให้ง่ายลง กลายเป็นเคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพอันใหม่…ในส่วนทางด้านวิถีโลกเทียมที่มีพรสวรรค์สูงส่งที่สุด ตงป๋อเสวี่ยอิงได้หยั่งรู้ความลับต่างๆ นานาที่ผนวกรวมอยู่ในกระบวนท่าที่สองของวิชาโลกอนธการ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ จนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็มิอาจสำแดงออกมาได้
แม้ว่าเขาจะแก้ไขและปรับปรุงกระบวนท่าที่หนึ่ง‘ฟองอากาศอนธการ’ ไปแล้วหลายครั้ง ปรับปรุงจนเหมาะสมกับตนเองอย่างหาใดเทียม
ตอนนี้มาถึงดินแดนเก้าเมฆา ท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทิศตลอดห้าสิบล้านปีมานี้ แต่กลับมิได้บำเพ็ญอย่างผ่อนคลายเลยมาโดยตลอด
“นี่มันเรื่องอันใดกัน”
“เห็นๆ อยู่ว่าตระหนักรู้จนหมดแล้ว กระบวนท่าใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์นี้ สำหรับข้าแล้วไม่มีส่วนใดที่สับสนอีก แต่เวลาที่สำแดงนั้นกลับสำแดงไม่ออกอยู่ตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง “ข้าดัดแปลงวิชากระบี่ที่ห้าผลาญโลกาให้ง่ายลงเรียบร้อยแล้ว กระบี่ที่หกผลาญโลกาก็หยั่งรู้ไปไม่น้อยแล้ว อ้างอิงจากความเร็วเช่นนี้ ไม่แน่ว่าพอหยั่งรู้กระบี่ที่หกผลาญโลกาแล้ว ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ นี้ก็อาจยังสำแดงออกมามิได้เช่นเดิม”
ดังเช่นศาสตร์ลับของวังทวีสูญ พอเรียนได้แล้วก็คือเรียนได้เลย!
แต่เห็นได้ชัดว่าวิชาโลกอนธการกระบวนท่าที่สองนี้ พอเรียนได้แล้วแต่กลับมิอาจสำแดงออกมาได้ อีกทั้งประมุขโลกอนธการผู้นั้นก็ยังมิได้อธิบายเอาไว้ในศาสตร์ลับด้วย
“หรือว่าข้าจะเข้าใจผิดเสียแล้ว เป็นไปไม่ได้ ด้วยความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมของข้าแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดความผิดพลาดในระดับต่ำได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “จะต้องมีปัญหาตรงไหนอย่างแน่นอน”
“ควรออกเดินทางได้แล้ว”
“ไปเมืองฉุนอวี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสเล็กน้อย ภายในรัศมีสามสิบล้านลี้รอบด้านไม่มีผู้บำเพ็ญคนใดอยู่เลย
ฟิ้ว
โบกมือคราหนึ่ง
กลางเวหาเบื้องหน้ามีน้ำวนกาลมิติอันบิดเบี้ยวที่กินอาณาบริเวณร้อยจั้งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ก้าวเข้าไปข้างใน เข้าสู่ช่องทางของน้ำวนกาลมิติแล้วเริ่มออกเดินทาง!
ในท้ายที่สุดดินแดนเก้าเมฆาก็กว้างใหญ่เกินไป หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์เลือกที่ตั้งของสำนัก ‘เขากระบี่สวรรค์’ ก็ย่อมเข้าใกล้หนึ่งในคูเมืองแห่งหนึ่งที่บรรพชนกฎฉุนอีสร้างขึ้นอย่างสุดกำลัง เขากระบี่สวรรค์นั้นนับได้ว่าอยู่ค่อนข้างใกล้กับเมืองฉุนอวี้แล้ว หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์จำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางแปดสิบล้านปีจึงจะมาถึงได้ ในดินแดนเก้าเมฆาก็นับได้ว่าระยะเวลาเดินทางแสนสั้นเป็นอย่างยิ่งแล้ว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางผ่านน้ำวนกาลมิติก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว
เพียงสามร้อยปีให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบบริเวณสถานที่รกร้างไร้ซึ่งผู้คนแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้การเคลื่อนที่ผ่านอากาศบินทะยานไปเป็นระยะเวลาหนึ่งจิบชาก็เห็นคูเมืองโบร่ำโบราณอันตระการตาที่อยู่ห่างออกไปแห่งหนึ่งคูเมือง ด้านบนมีแสงสีไหลวน นั่นก็คือรัศมีของค่ายกลนั่นเอง
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วบินมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง เพิ่งร่อนลงที่ปากประตูเมืองเพียงไม่กี่ก้าว ก็เคลื่อนที่ผ่านอาณาบริเวณของประตูเมืองออกมา ปากประตูเมืองก็มีรัศมีของค่ายกลโคจรอยู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มิได้ประสบกับการขับไล่ของคูเมืองที่เทพจักรวาลสร้างขึ้นแห่งนี้เลย
……………………………………….
ตอนที่ 14 เจดีย์เทพขุมทรัพย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองฉุนอวี้ เป็นเมืองที่เทพจักรวาล ‘บรรพชนกฎฉุนอี’ สร้างขึ้น ปริมาณและคุณภาพของผู้บำเพ็ญที่รวมตัวกันอยู่ภายในเมืองแห่งนี้สูงกว่าเมืองอลหม่านที่อยู่ภายใต้การปกครองของวังทวีสูญเสียอีก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็ปลอดภัยกว่ามาก อย่างมากที่สุดสองสำนักใหญ่ก็เพียงแค่ส่งร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนให้ลอบเข้ามายังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ผู้ที่มีสถานะสูงส่งพอโดยทั่วไปต่างก็สามารถรายงานโดยตรงได้ ดังเช่นบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนคีรีมารและสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแต่ละคนต่างก็ส่งร่างแปรมาโดยตรงกันทั้งสิ้น
ดังนั้นผู้แกร่งกล้าจำนวนหนึ่งที่สามารถไปถึงชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ ต่างก็สามารถครอบครองอาณาบริเวณผืนหนึ่งในมหาโลกทิพย์ทั้งสามได้ ย่อมมิต้องกลัวเกรงสองสำนักใหญ่
ทว่า ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ นั้นไม่เหมือนกัน!
สองสำนักใหญ่มีขั้นอลวนประจำการอยู่ที่นี่ในระยะยาว ระดับความปลอดภัยค่อนข้างย่ำแย่อยู่สักหน่อย พวกที่คิดจะทุ่มเทจิตใจให้กับการบำเพ็ญจำนวนหนึ่งพอใจที่จะอยู่ภายในคูเมืองที่บรรพชนกฎฉุนอีสร้างขึ้นเพื่อรับการปกป้องของบรรพชนกฎมากกว่า
“เอี๊ยด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวผลักประตูลานบ้านให้เปิดออกแล้วเดินออกจากลาน “ในที่สุดหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ที่ช้าที่สุดก็มาถึงเสียที”
เพิ่งได้รับข่าว หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ส่งสารให้แก่เขาว่าให้ไปพบกันที่จุดนัดพบ แล้วก็จะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาแล้ว
“ที่เมืองวารีสวรรค์ไม่ทีผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวอยู่เลยแม้แต่คนเดียว พลังยุทธ์ระดับชั้นที่สี่ก็มีอยู่เพียงสามคนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองคูเมืองที่มีกลิ่นอายอันใหญ่โต ผู้แกร่งกล้าดุจเมฆแห่งนี้แล้วก็ทอดถอนใจอยู่บ้าง สามสิบล้านปี เขาก็มีความคุ้นเคยกับเมืองฉุนอวี้เป็นอย่างมากแล้ว “ส่วนเมืองฉุนอวี้ มีผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวอยู่คนหนึ่ง พลังยุทธ์ชั้นที่สี่มีอยู่สิบสองคน ส่วนพลังยุทธ์ชั้นที่สามนั้นมีอยู่มากมายจนชวนให้คนตกใจ…”
พูดถึงยอดฝีมือ
โลกทิพย์ย่อมมีอยู่มากยิ่งกว่ามาก แต่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในโลกทิพย์ ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนในโลกทิพย์มีอยู่มากมายก่ายกอง ดังเช่นโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา นอกจากวังทวีสูญ เกาะปฐมบรรพชน และแดนทิพย์เหยากวงแล้ว เพราะว่าโลกทิพย์กว้างใหญ่เกินไป ในสถานที่อันห่างไกลมากมายต่างก็มีขุมอำนาจระดับอลหม่าน…มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกว่าครึ่งที่มิปรารถนาจะหลบภัยในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เลือกที่จะอยู่กับตนเอง ผู้ใดก็มิอาจไปยุ่งกับพวกเขาได้
อย่างเช่น ‘วังบรรพชนทราย’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพาก็มิได้อาศัยใบบุญของเทพจักรวาลเลย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านอากาศภายในตัวเมืองแล้วมาถึงลานกว้างแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
บริเวณปากประตูของลานกว้างมีสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดชั้นเทพแท้ตนหนึ่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดตนนั้นยื่นมือออกมาขวาง “ช้าก่อน”
“ห้าท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด นี่คือรหัสลับที่หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์บอกให้รู้
“เชิญ” ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดก็มิได้ขัดขวางอีกต่อไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป
ลานนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ผ่านลานด้านหน้าไป เพียงไม่นานก็เห็นว่าภายในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านในมีเงาร่างสามสายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้จักทั้งสามท่านนี้เลย
“น้องเฟยเสวี่ย” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ถ่ายเสียงพูด “ข้ามาถึงแล้ว ผู้ที่สวมอาภรณ์สีทองทางด้านซ้ายก็คือข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงอาภรณ์ขาวผมขาวและสวมหน้ากากสีเงินเช่นเดิม
“พบหน้ากันคราวนี้ คนอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและรูปลักษณ์ พยายามไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกันอย่างสุดกำลัง มิฉะนั้นพอจบเรื่องแล้ว…ข่าวที่ได้ขุมทรัพย์มาแพร่ออกไป ก็อาจจะนำมาซึ่งเรื่องราวยุ่งยากมากมาย” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ส่งสาร “รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถ้าหากข้าคว้าขุมทรัพย์ส่วนหนึ่งมาได้สำเร็จ ข้าก็จะอยู่ที่เมืองฉุนอวี้ในระยะยาว อย่างมากที่สุดก็ส่งร่างแปรกลับไปที่เขากระบี่สวรรค์ เจ้าก็ต้องระมัดระวังสักหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนเชียวล่ะ”
“พี่เทียนเจี้ยนอย่าได้แปลกใจไปเลย รูปลักษณ์ของข้าในตอนนี้ก็เป็นร่างที่ข้าเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและรูปลักษณ์เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้สอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของท่านกับประมุขหุบเขาเปลวอัคคี ข้าเองก็มิได้มีความมั่นใจเต็มร้อย แต่ข้าก็ไม่อยากพ่ายแพ้ ยังไปกระตุ้นประมุขหุบเขาเปลวอัคคี ศัตรูตัวฉกาจผู้นี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารตอบ
ในขณะนี้ หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ในอาภรณ์สีทองตลอดร่างตะลึงงันไปในทันใด
เจ้าเด็กตัวดี…
เจ้าเฟยเสวี่ยผู้นี้ ที่แท้แล้วเดิมทีก็มีใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงอยู่แล้ว
“ท่านที่สี่มาถึงแล้ว” ภายในห้องโถง ทั้งสามคนล้วนกำลังนั่งอยู่ นอกจากหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ในอาภรณ์สีทองตลอดร่างแล้วยังมีเงาร่างที่สวมอาภรณ์สีดำผู้ที่มีไอหมอกดำทะมึนจางๆ ปกคลุมทั่วร่าง ยากที่จะแยกแยะชายหญิงได้ คนที่สามก็คือชายร่างใหญ่ผู้มีเรือนกายกำยำและมีท่อนแขนทั้งสองที่หยาบหนาเป็นพิเศษ ท่อนขาใหญ่ของเขานับได้ว่ามีความหยาบกร้านในระดับปกติ แต่ท่อนแขนทั้งสองกลับหยาบกร้านยิ่งกว่าท่อนขาเสียอีก ทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันดุร้ายออกมาอีกด้วย
“นั่งสิ” ชายหนุ่มผู้องอาจผู้นี้พูด “พวกเรารอท่านสุดท้ายอีกท่านหนึ่ง”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนทนาพาที เขาตรงไปเลือกที่นั่งที่หนึ่งแล้วนั่งลง
เงาร่างสี่สายอยู่กันภายในห้องโถงใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน เพราะทุกคนต่างก็รู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่ามารวมตัวกันเพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากปิ่นทองของอีกฝ่าย นอกจากนี้ หลังจากที่เข้าสู่กรุขุมทรัพย์แล้ว พอถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะกลับกลายเป็นคู่แข่งกัน เพื่อขุมทรัพย์แล้วก็พร้อมที่จะทำการสังหาร…ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในเรื่องเล่าขาน ดังนั้นทุกคนต่างก็รักษาความตื่นตัวอยู่ตลอด แม้กระทั่งตัวตนก็ยังมิปรารถนาจะเปิดเผย
ผ่านไปเพียงชั่วครู่
เงาร่างสายสุดท้ายปรากฏขึ้น ก็คือหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรกคนหนึ่ง รูปโฉมที่หญิงสาวผู้นี้แสดงออกมาดูธรรมดาทั่วไป แต่นัยน์ตาทั้งสองกลับมีแรงกดดันอันไร้รูปร่าง
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองผ่านแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านมิได้ “ดวงจิตระดับที่สามหรือ”
ดวงจิตแบ่งออกเป็นสามระดับ
ถึงแม้ว่าจักรวาลภูมิลำเนาก็มีเทพอากาศจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็มีเพียงแค่จอมกระบี่และจอมมารเท่านั้นที่ไปถึงดวงจิตระดับที่สาม ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะหยั่งรู้ในระดับสูงที่สุด แต่พอมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วังทวีสูญแล้วเรื่องราวที่ประสบมานั้นในที่สุดแล้วก็น้อยเกินไป เวลาส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ ทางด้านดวงจิตนั้นมิได้มีการบรรลุอันใหญ่หลวงแต่อย่างใดเลยจริงๆ
ดังเช่นจอมมารและจอมกระบี่ ในตอนนั้นทั้งสองเป็นศัตรูกัน ก่อนหน้านั้นจอมมารแข็งแกร่งกว่า ต่อมาพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ทวีความลึกล้ำยิ่งขึ้น จนกระทั่งทิ้งห่างกับจอมมารอย่างสิ้นเชิง! จอมมารมีใจคิดว่าจอมกระบี่เป็นศัตรู ในที่สุดก็บรรลุระดับจิตใจ
ดีร้ายอย่างไรพวกเขาสองคนก็เป็นคู่แข่งกัน เมื่อเทียบกับพวกเขาสองคนแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีประสบการณ์น้อยกว่าอยู่มากมายเลยทีเดียว
“หญิงสาวผู้นี้ไปถึงดวงจิตระดับที่สามแต่กลับไม่ปกปิดเลย มีความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยมเลยใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง ถ้าหากอีกฝ่ายเจตนาปกปิด ตนเองก็ย่อมมิอาจค้นพบว่าแรงปรารถนาของอีกฝ่ายน่าหวาดหวั่นเช่นนี้
“เอาล่ะ มาถึงกันหมดแล้วสินะ” ชายหนุ่มผู้องอาจยืนขึ้น เขาเพียงแค่ปรายตามองหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรกผู้มาเป็นคนสุดท้ายอย่างมิได้ใส่ใจนักปราดหนึ่งเท่านั้น
เพราะระดับขั้นของดวงจิตสูงส่ง
ก็มิได้หมายความว่าพลังยุทธ์ก็จะต้องสูงส่งมากอย่างแน่นอน มีบางระบบการบำเพ็ญที่ให้ความสำคัญกับดวงจิตเป็นอย่างมาก ดังเช่นระบบทิพย์และระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นก็นับได้ว่าให้ความสำคัญกับดวงจิตเป็นอย่างมาก แต่กลับมีบางส่วนที่มิได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังเช่นระบบเหล่ากลืนกินและระบบสายโลหิตเป็นต้น…
“ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของทุกท่านล้วนมิได้พกเอาวิญญาณมีชีวิตมาด้วยใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้องอาจถามเสียงต่ำ อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความกดดัน “ค่ายกลส่งตัวปิ่นทองสามารถส่งผ่านสิ่งมีชีวิตได้เพียงห้าชีวิตเท่านั้น ถ้าหากภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของพวกเราพกวิญญาณมีชีวิตอื่นๆ มาด้วย การส่งตัวก็จะล้มเหลว”
“ไม่มี”
“มิได้พกมาด้วยอย่างแน่นอน”
“เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว”
ทุกคนต่างก็ตอบรับ
หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ในอาภรณ์ทองเอื้อนเอ่ย “หยิบปิ่นทองออกมากันดีกว่า”
“อืม” ทุกคนในที่นั้นพลิกมือคราหนึ่งอย่างมิได้ลังเล ในมือของทุกคนต่างก็มีปิ่นทองหนึ่งอันปรากฏขึ้นมา นี่ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในที่นั้นผ่อนคลายลง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนสื่อสารทางเดียวกับอีกฝ่าย ต่างก็ยืนยันกันแล้ว แต่หากมิได้เห็นกับตาตนเองก็ยังกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้
“กระตุ้น”
ทั้งห้าคนต่างก็ควบคุมพลังเทพอากาศ กระตุ้นปิ่นทองในมือทันที
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
หลังจากที่ปิ่นทองทั้งห้าอันได้รับการกระตุ้นแล้วผิวนอกของปิ่นทองก็มีลวดลายสีทองอันลึกลับคล้ายมีคล้ายไม่มีพรั่งพรูออกมาในทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าปิ่นทองในมือไม่รับการควบคุมของตนอีกต่อไปแล้วพลานุภาพของห้วงมิติอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งถูกปิ่นทองสลัดออกไป ปิ่นทองห้าอันต่างก็ลอยขึ้นมา ยามที่บินไปถึงกลางอากาศของห้องโถงใหญ่ ลวดลายสีทองของพวกมันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลห้วงมิติอันน่าหวาดหวั่นแห่งหนึ่ง
ฟิ้ว…
ห้วงมิติในยามนี้ราวกับสายน้ำไหลอย่างไรอย่างนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนผ่าน ห้วงมิติที่ราวกับสายน้ำไหลไปอย่างสบายอยู่บ่อยๆ รอจนทัศนียภาพเบื้องหน้าแจ่มชัด ก็มาถึงยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งแล้ว
ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองฉุนอวี้เป็นอย่างมากแล้ว
เงาร่างทั้งห้าสายของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ยืนอยู่บนหาดหินผืนหนึ่ง ห่างไปหลายลี้ทางด้านหลังของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่าขาวโพลน ห้วงมิติบิดเบี้ยวน้อยๆ
แต่ทางด้านหน้า ณ บริเวณไกลออกไปกลับมีเจดีย์สูงสีทองอันโอ่อ่าอยู่แห่งหนึ่ง!
“เจดีย์เทพขุมทรัพย์” ชายหนุ่มผู้องอาจที่ท่อนแขนทั้งสองหยาบกร้านเป็นที่สุดผู้นั้นอดที่จะพูดอย่างตื่นเต้นมิได้
“เป็นเจดีย์เทพขุมทรัพย์ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” เงาร่างที่ห่อหุ้มอยู่ภายใต้ไอหมอกดำทะมึนจางๆ ก็เปิดปากพูดขึ้นมาเช่นกัน น้ำเสียงของเขามีความแหลมเล็กอยู่บ้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูเจดีย์เทพอันสูงตระหง่านที่สูงเกือบพันจั้งแห่งนั้นด้วยสองตาเป็นประกายเช่นกัน
เจดีย์เทพขุมทรัพย์!
ก่อนที่เทพจักรวาล ‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’ จะสิ้นชีพไปในตอนนั้น ได้เหลือกรุขุมทรัพย์เอาไว้สิบหกแห่ง ซึ่งก็คือเจดีย์เทพขุมทรัพย์ทั้งสิบหกแห่งนั่นเอง!
เจดีย์เทพขุมทรัพย์ซ่อนตัวอยู่ที่ดินแดนเก้าเมฆา ภายในห้วงมิติพิเศษในพื้นที่ต่างๆ กัน ด้วยพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา สถานที่ที่เขาลงแรงจัดการอย่างสุดกำลัง แม้แต่เทพจักรวาลคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถหาพบได้ ทำลายทั้งดินแดนเก้าเมฆาทิ้งก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเจดีย์เทพขุมทรัพย์สิบหกแห่งนี้…มิได้อยู่ภายในโลกธรรมดาของดินแดนเก้าเมฆา
นี่คือห้วงมิติอันว่างเปล่าขาวโพลนที่มีอาณาบริเวณรัศมีหลายสิบลี้ จุดศูนย์กลางของห้วงมิติก็คือเจดีย์เทพนั่นเอง
ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีข้อมูลเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว
การจะจากไปนั้นหรือ
มีอยู่สองวิธี หนึ่งก็คือทะยานผ่านพื้นที่ว่างเปล่าขาวโพลนอันไกลโพ้นไปตรงๆ เผชิญกับห้วงมิติอันบิดเบี้ยวว่างเปล่าขาวโพลนแห่งนั้นโดยตรง ก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกธรรมดาของดินแดนเก้าเมฆา
ส่วนอีกวิธีการหนึ่งนั้นก็คือรออยู่ภายในมิติแห่งนี้เป็นเวลาสามวัน ผ่านไปสามวันเต็มแล้ว แม้ว่าจะไม่เต็มใจไป ก็ต้องถูกบังคับให้เคลื่อนย้ายออกไปอยู่ดี“จะต้องได้ขุมทรัพย์มาให้มากพอภายในสามวัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเจดีย์เทพขุมทรัพย์ตรงหน้าด้วยแววตาอันดุเดือด ขอเพียงแค่คราวนี้ทำกำไรงามๆ ได้
เช่นนั้นก็เพียงพอสำหรับวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญของจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์แล้ว คราวนี้ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะมาขัดขวางตนเลย!
ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความกระหายอยาก อีกสี่คนที่เหลือก็กระหายอยากเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือขุมทรัพย์ของเทพจักรวาลเลยทีเดียว!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
คนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็แปลงร่างเป็นลำแสงเหินทะยานไปทางประตูเจดีย์ที่เปิดอ้าเอาไว้ของเจดีย์เทพขุมทรัพย์ที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางไกลออกไป ตามการเหินทะยานออกนำของหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรก
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น