Snow Eagle Lord ภาค 27 ตอนที่ 5-10
ตอนที่ 5 ฆ่าไม่เว้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“มีเทพอากาศผู้หนึ่งเก็บงำกลิ่นอายและซุกซ่อนอยู่ จับตัวเขาเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารให้ผู้อาวุโสตำหนักนอกคนหนึ่งทันที ทั้งยังแนบเครื่องหมายบนแผนที่และรูปที่บอกลักษณะของเทพอากาศที่เก็บงำกลิ่นอายผู้นั้นไปด้วย
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที
ทั่วทั้งรัฐปีกทอง เทพอากาศซึ่งเป็นที่รู้จักกันนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่คน ส่วนเทพอากาศนิรนามซึ่งมิได้มีบันทึกเอาไว้ในรายงานนั้น มีคนหนึ่งก็จับคนหนึ่ง! ส่วนเรื่องจะจับผิดตัวหรือไม่นั้น รอให้จับมาให้หมดก่อนแล้วค่อยๆ คัดกรอง
แต่ละครั้งสามารถตรวจสอบได้ในขอบเขตห้าแสนกว่าลี้เท่านั้น จากนั้นเขาก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปยังบริเวณอื่นแล้วตรวจสอบต่อไป ทั้งรัฐปีกทองมีขอบเขตถึงสิบล้านลี้ หากจะตรวจสอบให้ทั่ว…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องสำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมาตรวจสอบหลายร้อยครั้ง แต่ละครั้งล้วนต้องตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ หากจะตรวจสอบให้ทั่ว คาดว่าต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม!
“ตู้มมม…” เชือกร่อนลงไปแล้วแผ่คลุมไปทางบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้คนหนึ่ง บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์เห็นเข้าก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา เขาแปรเป็นลำแสงทะยานหนีไปโดยไม่สนใจอะไรอื่นอีก
เชือกนั้นแผ่ไปทั่วท้องฟ้าเป็นขอบเขตพันลี้ ก่อนจะมัดตัวบุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วพันธนาการเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
ทูตพิเศษทั้งแปดของเมืองวารีสวรรค์มองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
“เป็นเทพอากาศที่ซุกซ่อนอยู่คนหนึ่งจริงด้วย”
“ร้ายกาจยิ่งนัก”
“ผู้อาวุโสตงป๋อช่างร้ายกาจเสียจริง”
“เคล็ดลับการตรวจสอบของเขาสูงส่งกว่าพวกเรามากยิ่งนัก” เดิมทีกองกำลังทูตพิเศษซึ่งประกอบด้วยผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านและผู้ดำเนินงานสามสิบท่านยังสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อาวุโสตำหนักใน แต่เมื่อพวกเขาลงมือจริงๆ ก็พบว่าจับมาแต่ละคนก็ล้วนแม่นยำทั้งสิ้น!
……
ภายในจวนลับแห่งนั้น
บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงยังคงนั่งอุ้มสัตว์ประหลาดอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรไป
“ทูตทิพย์ขอรับ มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำคนหนึ่งถูกจับตัวไป น่าจะเป็นกองกำลังเมืองวารีสวรรค์ขอรับ”
นี่คือข่าวชิ้นแรก
บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงเพิ่งได้รับข่าวก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เป็นไปไม่ได้ พวกเราเพิ่งจะลงมือได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น หากเร่งเดินทางมาจากเมืองอลหม่าน ‘เมืองวารีสวรรค์’ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสกานอวี๋นำกองกำลังมาเองก็ไม่มีทางรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ หรือจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งคณะผู้อาวุโสเมืองวารีสวรรค์ ‘ผู้อาวุโสชุนอู้’ ออกเดินทางมาเอง เป็นไปได้อย่างไรกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผู้อาวุโสชุนอู้ไม่มีทางเคลื่อนไหวแน่”
เขารู้ดีนักว่า
สองคนที่มีสถานะสูงสุดของคณะผู้อาวุโสเมืองวารีสวรรค์ คนหนึ่งคือผู้อาวุโสชุนอู้ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แทบจะไร้ศัตรูในหมู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ส่วนผู้อาวุโสกานอวี๋เป็นรองเพียงแค่เขา จึงน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งเช่นกัน
ทว่าคิดจะเร่งมาถึงรัฐปีกทองให้ได้ภายในเดือนเดียว ก็มีเพียงผู้อาวุโสชุนอู้เท่านั้นจึงจะสามารถทะลุอากาศได้รวดเร็วถึงเพียงนี้กระมัง! แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของคณะผู้อาวุโสคงไม่มีทางจากเมืองวารีสวรรค์มาง่ายๆ หรอก
“ทูตทิพย์ขอรับ มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำสองคนถูกจับตัวไป ต้องเป็นกองกำลังเมืองวารีสวรรค์อย่างแน่นอน มีสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่ง อีกทั้งพวกเขายังร่วมมือกันพลังรบก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
“ทูตทิพย์ มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำคนหนึ่งถูกจับไป…”
“มีศิษย์ทิพย์ระดับต่ำถึงเก้าคนถูกจับตัวไปแล้วขอรับ”
ข่าวชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกส่งมา
บุรุษอาภรณ์สีดำผู้มีผมยาวสีม่วงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป รวดเร็วเกินไปแล้ว ศิษย์ทิพย์ระดับต่ำแต่ละคนล้วนเป็นระดับขั้นเทพอากาศ แต่ละคนล้วนมีเคล็ดลับเก็บงำกลิ่นอายที่สืบทอดกันมาในลัทธิทิพย์โบราณ เมื่อพวกเขาซ่อนตัวก็ล้วนตรวจพบได้ยากนัก ขณะนี้กองกำลังเมืองวารีสวรรค์เพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่ ศิษย์ทิพย์ที่เร้นกายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ในรัฐปีกทองก็ถูกพบตัวอย่างต่อเนื่อง นี่ นี่มิใช่กองกำลังเมืองวารีสวรรค์ธรรมดาเสียแล้ว
“ไม่ดีแล้ว” แม้เขาจะทำนายอย่างไร ก็เชื่อว่าไม่มีทางที่ผู้อาวุโสชุนอู้จะมาเยือน แต่เขาก็ยังคงเข้าใจว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว!
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ศิษย์ทิพย์ทั้งหมดจงแบ่งเป็นสามกองกำลัง รีบรวมตัวกันแล้วจากไปให้เร็วที่สุด” บุรุษอาภรณ์สีดำรีบออกคำสั่ง
หลังจากเขาออกคำสั่งไป
เหล่ายอดฝีมือศิษย์ทิพย์ภายในรัฐปีกทองล้วนเริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว ศิษย์ทิพย์สามคนในจำนวนนั้นที่รู้จักการเคลื่อนที่ในพริบตาก็แยกกันเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าไปอย่างรวดเร็ว ไปพาสหายคนอื่นๆ มา เพื่อที่จะรวมตัวกันให้ได้รวดเร็วที่สุด ที่พวกเขาแบ่งเป็นกองกำลัง…ก็เพราะศิษย์ทิพย์ที่รู้จักเคลื่อนที่ในพริบตาก็มีเพียงสามท่านเท่านั้น
พวกเขาแบ่งกันเป็นสามจุดนัดพบ แล้วเริ่มรวบรวมยอดฝีมืออย่างรวดเร็ว
ในจำนวนนั้น สถานที่ของบุรุษอาภรณ์สีดำนั้นเป็นจุดนัดพบหลักที่สำคัญที่สุด ที่นี่มีเทพอากาศทั่วไปประจำการอยู่ถึงแปดท่าน ยามนี้เทพอากาศจำนวนมากขึ้นอยากมาที่นี่! เพราะในคราวคับขันระหว่างความเป็นความตาย ติดตาม ‘ทูตทิพย์’ ไปก็ปลอดภัยที่สุด
……
ราตรีมืดมิด เหนือท้องฟ้าของรัฐปีกทอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่าง ออกมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวทั้งหมด
ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ทะลุอากาศผ่านบริเวณการตรวจสอบของเขาไป
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “ทะลุอากาศหรือ”
เขาตามรอยไปอย่างเงียบเชียบทันที
เงาร่างสายนี้เร่งทะลุอากาศไปจนถึงบริเวณแห่งหนึ่ง แล้วเก็บพรรคพวกคนหนึ่งเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ทันที จากนั้นก็เร่งเดินทางต่อไป แล้วพาพรรคพวกไปอีกคนหนึ่ง
“พวกเขาเตรียมตัวหนีแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสัมผัสได้รางๆ ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล เพราะเหล่ามารร้ายพวกกลืนกินโดยทั่วไปล้วนเห็นแก่ตัวเป็นอันมาก เวลาจะหนีไปมักจะไม่สนใจพวกเดียวกัน
“พวกเขารวมตัวกันหนีไปเช่นนี้ ไม่กลัวถูกรวบไปรวดเดียวหมดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “มั่นใจมากหรือ”
เขาตามไปด้านหลังอย่างเงียบงัน
อาศัยการตรวจสอบของแผนภาพคลื่นจานแล้วตามรอยไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานนัก
ฝ่ายตรงข้ามก็เข้าไปในจวนแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าไปแล้วก็ปล่อยเทพอากาศสามคนที่เขาไปช่วยเหลือออกมา เมื่อตรวจสอบดูจวนแห่งนี้ ก็ทำให้หนังตาตงป๋อเสวี่ยอิงกระตุกขึ้นมา เพราะว่า…ภายในจวนแห่งนี้มีเทพอากาศทั่วไปถึงสิบห้าคน ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีถึงสองคน! ทั้งยังมีผู้ปกครองจำนวนมากถูกจองจำอยู่ในกรง
“เอ๊ะ” ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบนั้น สัตว์ประหลาดในอ้อมแขนของบุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงก็พลันผงกหัวขึ้นมา แล้วเปล่งเสียงร้อง ‘แคว่กกก’ ดังแสบแก้วหูออกมา
“ไม่ดีแล้ว” บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่
เขารู้ว่ามีศัตรูที่น่าหวาดหวั่นลอบตรวจสอบอยู่ ในฐานะที่เขาเป็นทูตทิพย์ก็ยังมิอาจตรวจสอบได้ วิธีการตรวจสอบเช่นนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
“รีบฝ่าค่ายกลจากไปเดี๋ยวนี้” บุรุษอาภรณ์สีดำรีบออกคำสั่งทันที
“ขอรับ”
ตู้มมมม….
ภายในจวนพลันมีแสงสีดำบาดตาสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วปะทะเข้ากับค่ายกลขนาดมหึมาเหนือฟากฟ้าของรัฐปีกทอง ทว่าเนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่งไว้ก่อนแล้ว ค่ายกลรักษาเมืองนี้จึงถูกพิทักษ์อย่างเต็มกำลังก่อนแล้ว เพียงชั่วครู่ พวกบุรุษอาภรณ์สีดำก็มิอาจฝ่าค่ายกลออกไปได้ทันที แต่ความเคลื่อนไหวที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ก็สะท้านสะเทือนไปทั่วรัฐปีกทองในทันที
กองกำลังซึ่งนำโดย ‘ผู้ดำเนินงานจิ่วฉี’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปก็สังเกตเห็นที่นี่ในทันที เขาเร่งทะลุอากาศมา เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงจนได้
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีตื่นเต้นอยู่บ้าง ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็พบว่าภายในจวนด้านล่างมีเทพอากาศอยู่กลุ่มหนึ่ง บัดนี้เทพอากาศเหล่านี้ล้วนแต่มิได้เก็บงำกลิ่นอาย เห็นได้ชัดว่าจะร่วมแรงกันฝ่าค่ายกล
“ฆ่ามัน!”
ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีออกคำสั่งคราหนึ่ง
ตู้ม!
เขาและผู้ดำเนินงานคนอื่นอีกเจ็ดคนด้านหลังพลันแปรเป็นประกายกระบี่อันเจิดจ้าสายหนึ่ง ประกายกระบี่มหึมาพลันพุ่งลงไปเยื้องล่าง
“กองกำลังเมืองวารีสวรรค์” ยามนี้บุรุษอาภรณ์สีดำกำลังนำผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าค่ายกลอยู่ เพราะถึงอย่างไรค่ายกลรักษาเมืองที่ผ่านการจัดการของรัฐปีกทองมานานปี ไม่รู้ว่าเสริมความแข็งแกร่งไปกี่ชั้นแล้ว ด้วยพลังของพวกเขา เกรงว่าต้องโจมตีแปดครั้งสิบครั้งจึงจะสามารถฝ่าออกไปได้ แต่คิดไม่ถึงว่ากองกำลังเมืองวารีสวรรค์จะมาถึงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ฆ่าพวกเขาเสียก่อน” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์สีดำมีแววเยียบเย็นขึ้นมาทันที
ประกายสีดำอันสะดุดตาและประกายกระบี่มหึมาเข้าปะทะกันอย่างจัง
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมาแล้วซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดพลางลอบมองดู การตรวจสอบของเขาสามารถตัดสินอานุภาพการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย และรู้ว่ามิอาจคุกคามชีวิตของพวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีได้ เพราะถึงอย่างไรพวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีก็เข้าถึงค่ายกลที่ร่วมกันทั้งหมดซึ่งถ่ายทอดกันในวังทวีสูญ สำหรับใช้ต่อสู้โดยเฉพาะพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีก็ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ
ตู้มมม…
อานุภาพทั้งสองระลอกปะทะกัน ทันใดนั้นก็กวาดล้างรอบด้านอย่างใหญ่หลวง กำแพงจวนพังถล่มลงมาเป็นจำนวนมาก กรงขังมากมายปรากฏขึ้น ตัวกรงเองมีการป้องกันอันดียิ่ง ทั้งยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงคอยคุ้มกันอย่างลับๆ นักโทษที่ถูกจองจำอยู่ในกรงจึงมิได้รับบาดเจ็บ ส่วนรอบจวนนั้น…ก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมไว้ ถ่ายแรงระลอกคลื่นทั้งหมดออกไปได้อย่างง่ายดาย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์โดยรอบ
พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีทั้งแปดคนบินกลับไปกลางฟากฟ้า สีหน้าไม่น่ามองอยู่บ้าง “แข็งแกร่งนัก เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าพวกเราเสียอีก”
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง
บุรุษอาภรณ์สีดำพาเทพอากาศกลุ่มใหญ่ด้านหลังพวกเขาไป พลางมองไปรอบทิศ คลื่นที่หลงเหลือจากการต่อสู้ของพวกเขาเพิ่งจะพุ่งออกจากอาณาเขตของจวน ก็ถูกถ่ายออกไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้บุรุษอาภรณ์สีดำสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน เขารู้ว่ามียอดฝีมือคนหนึ่งลอบดูทั้งหมดนี้อยู่
“ออกมาเถิด อาศัยแค่กองกำลังใต้บังคับบัญชาของเจ้าน่ะทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก” บุรุษอาภรณ์สีดำพูดพลางยิ้มเย็น
กลางท้องฟ้าไกลออกไปมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น
พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีทั้งแปดคนเห็นเข้าก็รีบบินเข้าไปด้วยความเคารพอย่างสูง “ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเหลือบมองลงมา “กล้าโอหังในรัฐปีกทองเช่นนี้ ช่างบังอาจนัก”
บุรุษอาภรณ์สีดำเห็นเข้าก็ถอนหายใจคราหนึ่ง เพราะเขามองออกว่า ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้เป็นเพียงขั้นกำเนิดคนหนึ่งเท่านั้น “คาดว่าคงจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักนอกสักคนหนึ่งที่บำเพ็ญเคล็ดลับที่ร้ายกาจบางอย่างของวังทวีสูญ”
ขั้นกำเนิด เขาก็ไม่หวั่นเกรง
“พวกเจ้าทำผิดแล้วกระมัง” บุรุษอาภรณ์สีดำพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “มารร้ายเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราเสียหน่อย หากข้าคิดจะกลืนกินตามอำเภอใจจริงๆ รัฐปีกทองจะสกัดกั้นข้าได้อย่างนั้นหรือ”
“สกัดกั้นเจ้าไม่ได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวซึ่งอยู่กลางอากาศพยักหน้า
“ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าใส่ร้ายข้าแล้วล่ะ” บุรุษอาภรณ์สีดำกล่าว “หากไม่ปล่อยข้าไป ข้าจะไม่ยอมตามน้ำไปแน่”
“มารร้ายเหล่านั้นล้วนสมควรตาย พวกเจ้าก็สมควรตายเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเปลี่ยนแปรไปพลางพูดเสียงต่ำว่า “ทำไม จะสู้กันต่อไปจริงรึ เกรงว่าทั้งรัฐปีกทองคงจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีแน่ พวกคนที่เจ้าพามาก็คงจ้องตายกันไปเป็นส่วนใหญ่”
มีแต่ความเงียบงัน
พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
พวกเขามองออกแล้วว่า นี่มิใช่กองกำลังมารร้ายธรรมดาสามัญ หากแต่เป็นขุมอำนาจที่เป็นองค์กร แม้แต่พวกเขาก็ยังพอคาดเดาได้รางๆ แล้ว เพราะพวกเขามองเห็นกรงขังเหล่านั้น
จะหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่ง หรือจะสู้กันต่อไปจริงๆ เล่า
ครั้งนี้พวกเขามาเพียงแค่รับมือมารร้ายธรรมดาทั่วไป พลังจึงไม่แข็งแกร่งพอ เกรงว่าสู้ต่อไปก็คงน่าอนาถนัก
……
ภายในกรงขัง
พวกผู้ที่โชคดีรอดชีวิตต่างพากันมองดูฉากนี้ พวกเขามองเห็นเทพอากาศกลุ่มใหญ่และบุรุษอาภรณ์สีดำ ทั้งยังมองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวและเทพอากาศทั้งแปดที่อยู่กลางอากาศด้วย ทั้งสองฝ่ายกำลังประจันหน้ากัน
“หรือจะกลัวลัทธิทิพย์โบราณเข้าแล้ว ไม่กล้าลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ” พวกเขาร้อนใจขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าปริปาก
เพราะสิ่งมีชีวิตระดับนี้ มิใช่ผู้ที่พวกเขาจะปากมากด้วยได้
“ลงมือสิ”
“ฆ่าพวกเขาเสีย”
ผู้บำเพ็ญที่ถูกคุมขังทั้งหลายต่างก็ร้อนใจเหลือแสน เพราะพวกเขารู้ว่าในเวลานี้รัฐปีกทองประสบหายนะใหญ่หลวงเพียงใด ต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดก็คือสิ่งมีชีวิตจากลัทธิทิพย์โบราณฝูงนี้นั่นเอง
……
“พวกเจ้าสังหารมารเหล่านั้นต่อไป แล้วพวกเราก็จากไป เป็นอย่างไรเล่า” บุรุษอาภรณ์สีดำพูดพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่กลางฟากฟ้าจับตามองโดยละเอียด “หากข้ามิได้ทายผิดแล้วล่ะก็ พวกเจ้าคือลัทธิทิพย์โบราณใช่หรือไม่”
บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเปลี่ยนแปรไปแล้ว
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาด้านหลังเขาก็หน้าถอดสีเช่นกัน พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีเองก็รู้สึกหัวใจบีบรัดแน่นขึ้นมา
พูดออกมาตรงๆ เลยอย่างนั้นหรือ หากพูดออกมาแล้วก็ไม่มีที่เหลือให้กลับตัวได้อีกแล้ว
“คามกฎวังทวีสูญของข้า ศิษย์ลัทธิทิพย์โบราณต้องสังหารให้เกลี้ยงโดยไร้ข้อยกเว้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกล่าว เสียงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ฆ่ามัน” บุรุษอาภรณ์สีดำคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขานำผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งถลาขึ้นสู่ฟ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง
เมื่อชี้มือออกไป
สวบๆๆ…
เกราะพลอันแน่นขนัดนับพันก็แปรเป็นปลาสีม่วงเข้ม ปลาสีม่วงนับพันตัวปกคลุมมาทางบุรุษอาภรณ์สีดำและพวกพ้องของเขาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
บรรดาผู้บำเพ็ญที่อยู่ในกรงขังเหล่านั้นพากันเงยหน้ามอง เมื่อก็เห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นชี้นิ้วออกไป ปลาสีม่วงเข้มจำนวนมากก็ปกคลุมไปทางยอดฝีมือลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มนั้นพร้อมกลิ่นอายทำลายล้าง แต่ละคนอดที่จะตั้งตารอคอยด้วยใจระทึกมิได้
……………………
ตอนที่ 6 หนีไปให้ไกล
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุรุษอาภรณ์สีดำและผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งของเขามองดูฝูงปลาสีม่วงเข้มนับพันตัวที่ปกคลุมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินด้วยความแตกตื่น สวบๆๆ มันทะยานข้ามท้องฟ้ามาราวกับลูกดอกอย่างไรอย่างนั้น รวดเร็วเกินไปแล้ว แม้จะยังมิทันได้สัมผัส แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณสั่นสะท้านไปหมด ระดับขั้นช่างแตกต่างกันมากเกินไปแล้วจริงๆ
ปลาสีม่วงเข้มเหล่านี้สังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งได้เหมือนกับผ่าแตงหรือหั่นผักอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย
“อ๊าก”
“ไม่…”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์”
แต่ละคนล้วนสิ้นหวัง ปลาสีม่วงเข้มจำนวนมากทะลุร่างของพวกเขาเสียงดังสวบๆๆ แล้วทำลายร่างของพวกเขาอย่างง่ายดายด้วยความเร้นลับของการทำลายล้างด้วยวิถีเข่นฆ่า เมื่อทะลุผ่านเพียงคราเดียว นอกจากบุรุษอาภรณ์สีดำและสัตว์ประหลาดในอ้อมแขนของเขาแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแทบทั้งสิ้น ทิ้งไว้เพียงอาวุธและวัตถุต่างๆ เท่านั้นที่ร่วงลงมา
บุรุษอาภรณ์สีดำตัวสั่นทั้งที่มิได้หนาวเหน็บ เขาหวาดผวาเสียจนต้องรีบเคลื่อนที่ในพริบตา “เทพอากาศขั้นกำเนิดเช่นเขาคนหนึ่งไยจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้เล่า”
ขณะที่เขาเคลื่อนที่ในพริบตาก็มีปลาสีม่วงเข้มกว่าร้อยสายทะลุอากาศไล่ล่าเขาต่อในทันที ฟึ่บๆๆๆ…บุรุษอาภรณ์สีดำมิทันได้หลบหลีก ขณะที่เคลื่อนที่ในพริบตาทะลุอากาศ ปลาสีม่วงเข้มเหล่านั้นก็ปะทะเข้ากับร่างของเขา ทว่าผิวกายของเขาก็มีแสงสีดำอันเรืองรองอยู่ชั้นหนึ่งซึ่งสามารถสกัดกั้นการลอบโจมตีเหล่านั้นเอาไว้ได้
บุรุษอาภรณ์สีดำสัมผัสได้ถึงอานุภาพของปลาสีม่วงเข้มเหล่านั้น ที่ปะทะเข้ากับแสงคุ้มกาย เขาอดแตกตื่นขึ้นมามิได้
“เคราะห์ดี เคราะห์ดีที่มีวัตถุคุ้มกายที่ท่านพี่มอบให้ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อครู่ข้าคงจะสิ้นใจไปแล้ว” บุรุษอาภรณ์สีดำสีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมา เขาปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า พลางจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปเขม็ง
“หา ไม่ตายหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลออกไปมองดูพลางตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ไป ฆ่าเขาเสีย!” บุรุษอาภรณ์สีดำโยนสัตว์ประหลาดในอ้อมแขนออกไป สีหน้าเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาทั้งสองฉายแววโกรธเคืองหาใดเปรียบ เขาเกือบ เกือบจะตายไปแล้ว!
หลังจากสัตว์ประหลาดตนนั้นบินออกไปแล้ว ก็เปล่งเสียง ‘แคว่ก’ แหลมบาดหูอยู่กลางอากาศ ดวงตาของมันจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง กลางอากาศรอบด้านพลันมีอสนีบาตฟาดดังเปรี้ยงปร้าง อานุภาพของอสนีบาตเหล่านี้ทำเอาพวกยอดฝีมือที่อยู่ไกลออกไปเช่นผู้ดำเนินงานจิ่วฉีใจสะท้านไปหมด สามารถมีอานุภาพเช่นนี้ได้ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง พลังของสัตว์ประหลาดตนนี้ก็นับว่าน่าหวาดหวั่นมากแล้ว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก็ยังคงมองดูทั้งหมดนี้อย่างสงบ
สัตว์ประหลาดมีขนมันเงาวับทั้งร่าง เท้าทั้งสี่ย่ำอากาศก่อนจะหายวับไปแล้วเข้าสังหารในทันใด
“ตั้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบาคราหนึ่ง
ฟึ่บๆๆ…
ระลอกคลื่นเป็นสายละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพลันแทรกเข้าไปในอากาศ ขณะเดียวกันก็ยังมีปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดที่เข้าไปในอากาศแล้วหายวับไป เพียงพริบตาเดียว สัตว์ประหลาดกลางอากาศตนนั้นก็ถูกพบเข้าแล้ว มันถูกระลอกคลื่นเล็กละเอียดอันโปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนพันธนาการเอาไว้ ขณะเดียวกันปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดนั้นก็โจมตีเข้าไปในร่างของมันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่ง มันร้องคำรามอย่างโกรธเคืองพลางดิ้นรนสุดกำลัง ถึงขั้นทำให้ระลอกคลื่นเล็กละเอียดจำนวนมากขาดสะบั้นลงในพริบตา แต่ในขณะที่ขาดสะบั้นลงนั้น กลับยังมีคลื่นเล็กละเอียดพันมัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มันมิอาจสกัดกั้นการลอบโจมตีของฝูงปลาเกราะพลได้อย่างเต็มกำลัง ปลาเกราะพลเข้าไปในร่างของมันอย่างไม่หยุดหย่อน
ภายใต้การล้อมโจมตีของปลาสีม่วงเข้มนับพันตัว แรงดิ้นรนของมันก็อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็เงียบลงไป
มันได้กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างๆ เช่นกำไลเก็บวัตถุเป็นต้น
“เป็นสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจนัก เกรงว่าคงจะนับได้ว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “หากเป็นก่อนที่จะฝึกฝนแผนภาพคลื่นจาน เกรงว่าข้าคงต้องเข้าห้ำหั่นประชิดตัวจึงจะมีหวังคว้าชัยได้”
แผนภาพคลื่นจาน ศาสตร์ลับวิถีระลอกคลื่นขั้นสุด
ในด้านบริเวณ มันเป็นอันดับหนึ่งของวังทวีสูญอย่างไม่ต้องสงสัย! ในฐานะศาสตร์ลับจำพวกบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุดผนวกกับ ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นขณะบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สามในตอนนั้น ท่าไม้ตายล้อมโจมตีกระบวนนี้ร่วมกับศาสตร์ลับจำพวกบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม สัตว์ประหลาดขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดถูกเจาะพรุนจนตายไปเช่นนี้เอง
“น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว นี่คือพลังของผู้อาวุโสตงป๋อหรือ” ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีและผู้ดำเนินงานคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง พวกเขาเห็นสัตว์ประหลาดตนนั้นถูกปลาสีม่วงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนชอนไชเข้าไปในกายจนท้ายที่สุดก็กลายเป็นความว่างเปล่า พวกเขามองพลังของสัตว์ประหลาดออก ขณะที่สัตว์ประหลาดปะทุพลังออกมานั้น พวกเขาล้วนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอันเข้มข้น พวกเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มนี้ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้นั่นเอง
แต่ผลลัพธ์น่ะหรือ
ผู้อาวุโสตงป๋อยืนอยู่ตรงนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ยืนอยู่กลางอากาศ ก็สามารถสังหารศัตรูได้อย่างง่ายดาย
“แม้จะเป็นขั้นกำเนิด แต่ก็ไม่เสียทีที่ผู้อาวุโสตงป๋อเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน หากจะสังหารพวกเรา เกรงว่าเพียงชั่วลมหายใจเดียวก็คงจะสามารถจัดการพวกเราได้แล้ว” พวกผู้ดำเนินงานจิ่วฉีทั้งตื่นตระหนกทั้งนับถือ พลังของผู้บำเพ็ญนั้น ผู้แกร่งกล้าก็เป็นที่เคารพ พวกเขาจึงย่อมเคารพผู้แกร่งกล้ายิ่งกว่าเป็นธรรมดา
……
ภายในกรงมากมายท่ามกลางซากปรักหักพัง เหล่าผู้บำเพ็ญที่ถูกจองจำอยู่ในกรงต่างก็เคืองแค้นลัทธิทิพย์โบราณเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นของผู้แกร่งกล้าลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มนั้น แต่เมื่อชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกลางอากาศที่กลิ่นอายก็ดูเหมือนจะมิได้นับว่าแข็งแกร่งผู้นั้นยังมิทันได้ขยับตัว เพียงแค่ชี้นิ้วออกไปคราหนึ่ง ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าปกคลุม…
ยอดฝีมือลัทธิทิพย์โบราณกลุ่มใหญ่ถูกสังหาร
แม้ภายหลังสัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาจะดูเหมือนน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าประมุขรัฐปีกทองเสียอีก แต่ก็ถูกชายหนุ่มอาภรณ์ขาวสังหารไปอย่างง่ายดาย
พลังอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำให้พวกเขาทั้งตื่นเต้นทั้งตื่นตระหนก แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
“ไม่” บุรุษอาภรณ์สีดำเห็นฉากนี้เข้าก็ตะลึงงันไป
สัตว์ประหลาดตนนี้เป็นสิ่งที่พี่ชายส่งมาให้ติดตามเขา ดูคล้ายจะเป็นสัตว์เลี้ยง แต่อันที่จริงมีไว้เพื่อปกป้องเขาโดยเฉพาะ! หากพูดถึงพลังแล้วก็คือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดโดยสมบูรณ์ ขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไป เพียงปากของสัตว์ประหลาดตนนี้อ้าออกมาคราหนึ่งก็สามารถกลืนกินไปเป็นสิบเป็นร้อยได้แล้ว เท่าที่เขารู้ ทั่วทั้งเมืองวารีสวรรค์ก็มีแต่ ‘ผู้อาวุโสชุนอู้’ เท่านั้นที่จะสามารถสังหารสัตว์ประหลาดตนนี้ได้อย่างง่ายดาย
หาก ‘ผู้อาวุโสกานอวี๋’ ที่รองลงมาจากเขาลงมือเอง สัตว์ประหลาดก็ยังสามารถต้านทานได้บ้างเล็กน้อย
แต่ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งเป็นเพียงขั้นกำเนิดตรงหน้าผู้นี้กลับน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้
“เขา เขาเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ” บุรุษอาภรณ์สีดำก็พอจะเดาออก ขั้นกำเนิดก็น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้แล้ว จะต้องเป็นผู้อาวุโสตำหนักในอย่างแน่นอน!
พูดแล้วเหมือนจะช้า
ความคิดเพียงแค่แวบผ่านสมองของบุรุษอาภรณ์สีดำ จากนั้นก็มีเสียงตะคอกดังสนั่น “เจ้าเป็นใครกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวเหลือบมองลงไปยังบุรุษอาภรณ์สีดำผู้นั้น มองดูแสงสีดำคุ้มกายเหนือผิวของเขาพลางกล่าวว่า “เขาคงจะมีวัตถุจำพวกเดียวกับป้ายอักขระรักษาชีวิตของข้า ทว่าเมื่อพลังงานเผาผลาญจนสิ้น ก็คงมิอาจต้านทานได้แล้ว” เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง ปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดนั้นก็พลันเปลี่ยนทิศมุ่งโจมตีมาทางบุรุษอาภรณ์สีดำทันที
บุรุษอาภรณ์สีดำเห็นเข้าก็โกรธเสียจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาอำมหิตแวบหนึ่ง
“วิ้ง!”
ระลอกคลื่นมิติอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งห่อหุ้มเขาเอาไว้ แล้วบังคับเคลื่อนย้ายเขาไป
สวบ!
ขณะที่บุรุษอาภรณ์สีดำถูกเคลื่อนย้ายไปนั้น ก็ยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยแววอาฆาตแค้น
“หายไปแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว ระลอกคลื่นมิตินี้หายวับไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว อีกทั้งระยะที่หายไปนั้นก็ห่างออกไปมาก เกินกว่าขอบเขตที่ตนจะสามารถรับรู้ได้
“ปล่อยให้ปลาตัวใหญ่ที่สุดเล็ดรอดไปได้เสียนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดาออกว่า บุรุษอาภรณ์สีดำผู้นี้สามารถบัญชาการคนได้มากมายถึงเพียงนี้ คงจะต้องเป็นระดับ ‘ทูตทิพย์’ ของลัทธิทิพย์โบราณอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้เขาหนีไปได้เสียแล้ว
“มีสมบัติล้ำค่าคุ้มกาย ทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าที่ใช้หลบหนี นี่ต้องมิใช่ทูตทิพย์ธรรมดาสามัญเป็นแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงหงุดหงิดใจอยู่บ้าง การสังหารทูตทิพย์คนหนึ่งนั้นมี ‘แต้มความดีความชอบ’ เป็นรางวัล สถานะทูตทิพย์ยิ่งสูงเท่าใด รางวัลก็ยิ่งสูงตามไปด้วย! ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญ หรือเพื่อการบำเพ็ญในตำหนักกาลเวลา ตนก็ล้วนต้องการแต้มความดีความชอบจำนวนมากทั้งสิ้น
น่าเสียดาย ทูตทิพย์เช่นนี้คนหนึ่งกลับหนีไปเสียแล้ว
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ของตนสั่นคลอนแสงทิพย์คุ้มกายของอีกฝ่ายมิได้เลย บริเวณที่หนีไปก็อยู่นอกเหนือจากบริเวณการรับรู้ของตนไปไกลลิบ ทูตทิพย์ซึ่งมีสถานะสูงส่งพอเช่นนี้ การรักษาชีวิตก็ร้ายกาจ จะสังหารก็ยากยิ่งนัก
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงมา กวักมือคราหนึ่งก็เก็บวัตถุของเทพอากาศที่ตายไปเหล่านั้นลงไปจนสิ้นแล้ว ขณะเดียวกันก็หมุนกายไปพลางกำชับว่า “ผู้ดำเนินงานจิ่วฉี ปกป้องรอบด้านเอาไว้ให้ดี รอบซากปรักหักพังของจวนแห่งนี้ผู้ใดก็มิได้รับอนุญาตให้ออกไปโดยเด็ดขาด รอให้ข้ามาตรวจสอบโดยละเอียดเสียก่อน”
“ขอรับ” ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีน้อมรับคำสั่งทันที
เขาก็รู้ว่าหากเกี่ยวพันกับลัทธิทิพย์โบราณแล้ว มิอาจประมาทได้แม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปยังอีกสองทิศทางไกลออกไป ทั้งสองแห่งนั้นล้วนกำลังต่อสู้กันอยู่ ทว่าที่หนึ่งนั้นดูเหมือนว่าฝ่ายตนใกล้จะได้รับชัยชนะแล้ว เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็เคลื่อนที่ในอากาศจากไปในทันที
……………………………………
ตอนที่ 7 พบผู้อาวุโสตงป๋อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สมาชิกของสำนักทิพย์โบราณ โดยหลักแล้วจะแบ่งออกเป็นสามพื้นที่ติดต่อกัน หนึ่งในนั้น พวกบุรุษในอาภรณ์ดำนี้จะเป็นพื้นที่ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงจัดการไปแล้ว ส่วนอีกสองพื้นที่ที่เหลือเมื่อเทียบกันแล้วก็อ่อนแอกว่ามาก ไม่มีขั้นรวมเป็นเอกภาพอยู่เลยแม้แต่คนเดียว! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีค่ายกลร่วมมือที่สำนักทิพย์โบราณลอบสืบทอดกันมาอย่างลับๆ แต่ค่ายกลร่วมมือที่วังทวีสูญสืบทอดต่อกันมาก็มิได้อ่อนแอกว่าเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งพลังยุทธ์ของกองกำลังของวังทวีสูญก็ยังแข็งแกร่งกว่าอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ประมือกันมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะว่าพวกเขาได้รู้มาจากทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงว่าศัตรูคือสมาชิกของสำนักทิพย์โบราณ ดังนั้นจึงวางแผนที่จะจับเป็น!
ฟิ้ว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่หลบหลีกในอากาศ มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่ติดต่อกันแห่งหนึ่งในนั้นอย่างรวดเร็ว
ณ ที่แห่งนั้น กองกำลังแห่งหนึ่งของเมืองวารีสวรรค์กำลังโอบล้อมเทพอากาศเก้าท่านของสำนักทิพย์โบราณ แต่การคิดจะจับเป็นนั้นก็ยังต้องการเวลาอยู่พอสมควร
“หนีไม่พ้นแล้ว”
“พวกเราหนีไม่พ้นแล้ว ทำอย่างไรกันดีเล่า”
“สู้เถิด สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง เพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ฆ่ามัน!” เทพอากาศเหล่านี้ต่างก็มีความบ้าคลั่งอยู่พอตัว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ก็สำแดงแผนภาพคลื่นจานในทันใด เส้นด้ายโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากบริเวณที่ว่าง กระหวัดรัดอยู่บนร่างของเทพอากาศทุกคน นอกจากนี้ยังทะลวงผ่านเข้าไปในร่างกายของศัตรูแล้วเริ่มผนึกจิตวิญญาณของอีกฝ่าย แต่เทพอากาศเหล่านี้ระแวดระวังยิ่งนัก ยามที่รู้สึกได้ว่ามีพลังทะลุทะลวงเข้าไปภายในร่างกาย พวกเขาทั้งหลายต่างก็ถึงกับระเบิดตนเองอย่างบ้าคลั่งตามๆ กันไป!
ปังๆๆ
เทพอากาศเก้าคนระเบิดตนเองไปแล้วหกคนอย่างดูเหมือนว่าจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นกวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ ถูกระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนกดดันลงไปอย่างรวดเร็ว มีเทพอากาศเพียงสามคนเท่านั้นที่ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้าไปเล็กน้อยจึงถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกดดัน ผนึกสกัดดวงวิญญาณเอาไว้
“ล้วนเป็นผู้วิปลาสกันทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น “สำนักทิพย์โบราณกับลัทธิจอมมารดา”
สำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดา…
เป็นขุมอำนาจอันน่าหวั่นเกรงสองแห่งที่แพร่หลายไปทั่วมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน เบื้องหลังของสำนักทิพย์โบราณคือผู้แกร่งกล้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด ต้องศรัทธาในตัว ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ บุคคลผู้ครอบครองโลกทิพย์โบราณ ส่วนลัทธิจอมมารดานั้นก็คาดเดาได้อย่างง่ายดาย ผู้ที่ลัทธิจอมมารดาต้องเชื่อมั่นศรัทธาก็คือจอมมารดาผู้ครอบครองหนึ่งในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ‘โลกจอมมารดา’ นั่นเอง ทั้งสองสำนักนี้ก็คือเนื้อร้ายสองก้อน
พอเข้าสู่สำนัก ศรัทธาต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าจะเป็นการศรัทธาต่อจอมมารดาภายในลัทธิจอมมารดา ก็ต้องสวามิภักดิ์อย่างแน่นอน!
อย่างเช่นการเข้าสู่สำนักทิพย์โบราณ นับแต่บัดนั้น ความปรารถนาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็พร้อมตายอย่างเต็มใจ แม้กระทั่งคนรักและมิตรสหายของตนก็ล้วนสามารถสังหารได้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์! ถึงขนาดฆ่าตัวตายได้โดยไม่ลังเลสักนิด!
นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญที่พอจะมีความใฝ่ฝันอยู่บ้างก็ไม่อยากจะเข้าร่วมสำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดา แต่วิธีการที่สืบทอดกันมาของสำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดานั้นร้ายกาจเกินไป
ขุมอำนาจอื่นๆ ของมหาโลกทิพย์ทั้งสามไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย…เมื่อค้นพบสำนักทิพย์โบราณแล้ว ลัทธิจอมมารดาก็จะสังหารอย่างไร้ปรานี! แน่นอนว่าระบบการบำเพ็ญมิได้มีความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่กับสำนักวิชา อย่างเช่นระบบศาสตร์โบราณแผ่ขยายไปทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้เป็น ‘ระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดา’ ถ้าหากบำเพ็ญในช่วงแรกก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ถึงขนาดที่รู้ว่าไม่ดีแล้วต่างก็สามารถละทิ้งระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาแล้วไปบำเพ็ญระบบอื่นแทนได้
แต่ว่าเมื่อดวงวิญญาณถูกตีตราด้วยรอยประทับทิพย์โบราณ หรือถูกตีตราด้วยรอยประทับจอมมารดา เช่นนั้นก็จบสิ้นแล้ว! คิดจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างนั้นหรือ ถึงแม้ว่าภายใต้การสัญจรของกฎเกณฑ์จะยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่สายหนึ่งดังเดิม อย่างเช่นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้เก็บรอยประทับกลับคืน หรืออย่างเช่นในระบบศาสตร์โบราณก็มีผู้ที่มีความล้ำเลิศจนสามารถ ‘ทำให้กาลเวลาไหลย้อนกลับ’ ได้ เปลี่ยนแปลงอดีตไปเล็กน้อย!
สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ นี่คือเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น! บริเวณที่เกี่ยวข้องก็ต้องน้อยนิดอย่างยิ่ง และผู้บำเพ็ญที่เกี่ยวข้องนั้นยิ่งอ่อนแอก็ยิ่งดี
ในท้ายที่สุดแล้วหากดวงวิญญาณถูกตีตราด้วยรอยประทับ ก็สามารถประกาศได้ว่าหมดสิ้นแล้ว แม้แต่เทพจักรวาลคิดจะช่วยเหลือเขาก็ยังยากเย็นนัก
“ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ทูตพิเศษแปดท่านแห่งเมืองวารีสวรรค์ทักทายด้วยความเคารพในทันใด
“ระเบิดตนเองกันอย่างตรงไปตรงมาเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูซากปรักหักพังเบื้องล่าง เขาโบกมือคราหนึ่งก็เก็บเอาสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากการระเบิดตนเองขึ้นมา แม้กระทั่งผู้ที่ถูกจับเป็นสามคนนั้นก็ถูกเก็บขึ้นมาด้วย
……
การต่อสู้ในพื้นที่ที่ติดต่อกันแห่งสุดท้ายก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ต่างก็กลับไปยังคฤหาสน์อันพังพินาศที่บุรุษในอาภรณ์ดำอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เคยเป็นจุดศูนย์กลางที่อยู่อาศัยของศัตรูมาก่อน
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเทพอากาศที่ถูกผนึกพลังยุทธ์แล้วจับเป็นห้าท่านตรงหน้า สิ่งของติดกายของพวกเขาล้วนถูกริบจนหมด ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่งในทันที “จับพวกเขาห้าคนไปคุมขังรวมกับเทพอากาศที่จับตัวมาในตอนแรกเหล่านั้น ภายหลังค่อยคุมตัวกลับไปยังเมืองวารีสวรรค์พร้อมกัน”
“ขอรับ” ผู้อาวุโสตำหนักนอกสองคนและผู้บังคับกฎสามสิบท่านต่างก็รับบัญชาด้วยความเคารพ
ประมุขรัฐปีกทองที่อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “สำนักทิพย์โบราณแห่งนี้ถึงกับกล้ามาเผยแผ่คำสอนที่รัฐปีกทองของข้า ผู้อาวุโสตงป๋อมีสิ่งใดต้องการสั่งการ ขอเพียงแค่บัญชามา ข้าจะต้องทุ่มเทสุดกำลังอย่างแน่นอน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาปราดหนึ่ง
ประมุขรัฐปีกทองเกิดความไหวสั่นในหัวใจ
ในเดือนนี้อันที่จริงเขาก็ค่อยๆ ล่วงรู้ว่าเป็นสำนักทิพย์โบราณที่แทรกซึมเข้ามา แต่เรื่องพรรค์นี้เขาก็ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น! สำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดา สองขุมอำนาจนี้สามารถตาต่อตา ฟันต่อฟันกับอีกสามมหาโลกทิพย์อื่นๆ ได้! สุ่มส่งลูกสมุนตัวเล็กๆ มาก็สามารถผลาญทำลายรัฐปีกทองของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แล้วเขาจะกล้าสอดมือยุ่งเกี่ยวเสียที่ไหนกัน ขอเพียงแค่สำนักทิพย์โบราณไม่โอหังจองหองจนเกินไป เขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ให้ข้าตรวจสอบโดยละเอียดก่อน ดูว่าสามารถตรวจหาร่องรอยของสำนักทิพย์โบราณแห่งนี้ได้พบหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง เขาสุ่มเข้าไปในคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้ๆ หลังหนึ่ง คฤหาสน์หลังนี้สามารถตั้งอยู่ใกล้ที่มั่นของสำนักทิพย์โบราณได้ ย่อมต้องหรูหราเป็นที่สุดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ถูกประมุขรัฐปีกทองจัดการให้เจ้าของเดิมจากไปชั่วคราว ให้เหล่าทูตพิเศษพำนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในตัวบ้านแล้วโบกมือคราหนึ่ง ก็นำสิ่งของที่ได้มาตอนที่สังหารสมาชิกสำนักทิพย์โบราณเหล่านั้นออกมาวางจนหมด แล้วเริ่มต้นหลอมรวมและตรวจสอบโดยละเอียดเพื่อเสาะหาเบาะแส
“หวังว่าจะสามารถหาเบาะแสได้พบ หาที่มั่นที่สำคัญของสำนักทิพย์โบราณจนพบได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ที่มั่นในรัฐปีกทองเป็นเพียงที่มั่นเล็กๆ เท่านั้น
จะต้องมีฐานที่มั่นที่สำคัญกว่าอยู่อย่างแน่นอน! เพียงแค่หาพบ ความดีความชอบก็จะยิ่งใหญ่ แต้มความดีความชอบก็จะยิ่งมาก! ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รังเกียจเลยสักนิดที่ตนมีสมบัติล้ำค่าจำนวนมาก
……
ผู้บำเพ็ญที่อยู่ภายในคุกเหล่านั้นแต่ละคนถูกปล่อยตัว แต่ละคนถูกสอบสวน ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็ค่อนข้างมีอำนาจชื่อเสียงภายในรัฐปีกทอง บวกกับการที่พวกเขาต่างก็ทนทุกข์ทรมานอยู่ภายในคุก
ดังนั้นจึงคู่ควรที่จะได้รับความเชื่อถือ หลังผ่านการสอบสวนไปแล้วก็ถูกถอนผนึกออก แต่พวกเขายังมิอาจจากไปได้ชั่วคราว รั้งอยู่ในพระราชวังของรัฐปีกทองเป็นการชั่วคราว รอให้ตรวจสอบให้ละเอียดกว่านี้ก่อน
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว”
“ถูกเรียกอย่างเคารพว่าผู้อาวุโสตงป๋อ ประมุขรัฐของพวกเราอยู่ต่อหน้าเขาก็ยังระมัดระวังยิ่งนัก”
“ช่างร้ายกาจจนน่ากลัวทีเดียว พรึ่บๆๆ ฝูงปลาแน่นขนัดลอยลงมา เทพอากาศมากมายถึงเพียงนั้นก็ถูกปลิดชีพเสียแล้ว”
เหล่าผู้บำเพ็ญที่ได้รับการปลดปล่อยออกมาเหล่านั้นผ่อนคลายขึ้นมาก มิอาจจากไปได้ชั่วคราว มีสองสามคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่
หนึ่งในนั้นมีบุรุษร่างกำยำอยู่คนหนึ่งกำลังมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ “ชิงรั่วไม่อยู่! นางคงจะมิได้ถูกจับไปหรอกกระมัง”
เพราะว่าก่อนหน้านี้วัตถุส่งสารได้ถูกริบเก็บเอาไปหมดแล้ว เขาจึงไม่มีทางสื่อสารได้เลย
“ตึง”
เพราะบุรุษร่างกำยำได้รับการคลายผนึกแล้วพลังยุทธ์จึงฟื้นฟู ในขณะนี้จึงเริ่มสำแดงเคล็ดวิชาลับ เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งรัฐปีกทอง ส่วนภรรยาก็เปล่งประกายจับตายิ่งกว่าเขาเสียอีก นอกจากการขัดเกลาตนเองแล้ว พวกเขาทั้งสองยังเคยผจญภัยมาก่อนด้วย การผจญภัยในคราวนั้นทำให้ดวงวิญญาณของพวกเขาต่างก็ได้รับการแปลงสภาพ แต่ก็ทำให้ดวงวิญญาณของพวกเขาทั้งสองสามารถสร้างความเชื่อมโยงกันขึ้นมาได้
เคล็ดวิชาลับที่เขาสำแดงทำให้ดวงวิญญาณรับสัมผัสอยู่ไกลๆ อย่างพากเพียร
“ท่าไม่ดีแล้วสิ” บุรุษร่างกำยำสีหน้าแปรเปลี่ยน
อาศัยดวงวิญญาณรับสัมผัส
เขารับสัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณของภรรยาอยู่ห่างไกลจากที่นี่เหลือเกิน ทั้งยังห่างจากรัฐปีกทองอย่างไกลแสนไกลเช่นกัน นอกจากนี้ยังมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ไกลออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงอีกด้วย ความเร็วสูงเช่นนี้จะต้องเป็นการเคลื่อนที่ผ่านอากาศอย่างแน่นอน… ภรรยาของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองคนหนึ่งย่อมไม่มีทางเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้อยู่แล้ว
“หรือว่า…” บุรุษร่างกำยำเดาออกในทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปรอย่างใหญ่หลวงโดยไม่รู้ตัว
ฉับพลันนั้นเขาก็เดินไปหาผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านที่เป็นผู้นำของเทพอากาศกลุ่มใหญ่แห่งเมืองวารีสวรรค์แล้วพูดกับหนึ่งในสองคนนั้นอย่างเคารพ “ผู้อาวุโส ข้าต้องการพบผู้อาวุโสตงป๋อขอรับ”
“เจ้าต้องการพบผู้อาวุโสตงป๋ออย่างนั้นหรือ ”ผู้อาวุโสตำหนักนอกทั้งสองท่านต่างก็มองไปทางบุรุษร่างกำยำที่เพิ่งถูกช่วยเหลือออกมาผู้นี้ “มิใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเข้าพบผู้อาวุโสตงป๋อได้หมดหรอกนะ”
ล้อเล่นแล้ว
เขาผู้นั้นคือผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ! มีสถานะสูงส่งเป็นที่สุดในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า เผชิญหน้าได้แม้กระทั่งบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวน
“เรื่องเกี่ยวกับสำนักทิพย์โบราณ” บุรุษร่างกำยำถ่ายเสียงพูด
ผู้อาวุโสตำหนักนอกทั้งสองประสานสายตากันคราหนึ่ง
“ข้าจะพาเขาไปพบผู้อาวุโสตงป๋อ เจ้า มากับข้า!” ผู้อาวุโสตำหนักนอกที่มีเขาเดี่ยวสีเขียวมรกตอันหนึ่งอยู่บนศีรษะเอ่ยขึ้น เขานำทางบุรุษร่างกำยำไปพบตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่เป็นกังวล ผู้ปกครองเทพแท้ที่ไม่มีอาวุธสมบัติล้ำค่าใดๆ แม้แต่ชิ้นเดียวก็ย่อมไม่มีอันตรายอยู่แล้ว
ภายในคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้ๆ ด้านข้าง
ภายในห้องโถง
บนพื้นมีสิ่งของกองใหญ่วางอยู่แน่นขนัด ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกำลังนั่งอยู่ข้างหนึ่ง สิ่งของชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา เขากำลังตรวจสอบดูอย่างละเอียด ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง! การที่ฐานที่มั่นของสำนักทิพย์โบราณแทรกซึมเข้ามานั้นเป็นข้อมูลที่เป็นความลับอย่างที่สุด ย่อมมิอาจเล็ดรอดออกไปได้เลย
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองออกไปนอกห้องโถง ภายนอกห้องโถง ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวนำทางบุรุษร่างกำยำเดินเข้ามา
บุรุษร่างกำยำผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้ารู้ว่า ‘มนุษย์ชุดดำ’ หัวหน้าผู้นั้นของสำนักทิพย์โบราณอยู่ที่ไหน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกาย
………………………………..
ตอนที่ 8 สะกดรอย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวมองบุรุษร่างกำยำปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง ผู้ปกครองตัวเล็กจ้อยผู้นี้ ตนเองยังมิได้เปิดปากพูด เขาก็ชิงเอ่ยวาจาขึ้นมาก่อนเสียแล้ว
“เรียนผู้อาวุโสตงป๋อ เขาชื่อเหลยเฉิน เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญที่ถูกสำนักทิพย์โบราณจับตัวไปคุมขังในคราวนี้ เป็นผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในรัฐปีกทอง ส่วนภรรยาของเขานั้นมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเหนือกว่าเขาเสียอีก” ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวพูดอย่างเคารพ ก่อนหน้านี้เขาก็รับผิดชอบการตรวจตรา ความทรงจำของเขาร้ายกาจถึงเพียงไหน ย่อมต้องจดจำได้อย่างกระจ่างแจ้งอยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วมองบุรุษผู้ปกครองเทพแท้ที่มีร่างกายค่อนข้างบึกบึนตรงหน้าผู้นี้ปราดหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ภรรยาของเขายังมีพรสวรรค์เหนือกว่าเขาอีกหรือ
“เจ้ารู้หรือว่าทูตทิพย์ของสำนักทิพย์โบราณผู้นั้นอยู่ที่ไหน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจหรือ ตอนนี้เขาเร่งร้อนหลบหนีอยู่ ส่วนจะหลบหนีไปที่ใดนั้นเกรงว่านอกจากตัวเขาเองแล้วก็มิมีผู้ใดแน่ใจได้หรอกกระมัง”
“ข้ามีความมั่นใจเกินเก้าส่วนเสียอีก! ” เหลยเฉิน บุรุษร่างกำยำพูด
“พูดให้กระจ่างสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
บุรุษร่างกำยำเหลยเฉินเผชิญหน้ากับบุรุษในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้แล้วก็อดที่จะรู้สึกถึงความวิตกกังวลและกระวนกระวายมิได้ เขารู้แจ้งแก่ใจดีว่าพลังยุทธ์อันน้อยนิดเช่นนี้ของตนย่อมมิอาจช่วยเหลือภรรยาได้! ส่วนสำนักทิพย์โบราณ…ว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้สูงส่งเหนือผู้ใดของโลกทิพย์โบราณ เมื่ออยู่ต่อหน้าขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ เขาก็เป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ประมุขรัฐปีกทองที่แข็งแกร่งกว่าเป็นพันเป็นหมื่นเท่าก็ยังเป็นมดปลวกเลย!
และชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้ก็มีสถานะอันสูงส่งเป็นที่สุด เป็นผู้แกร่งกล้าแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วังทวีสูญ! ยามอยู่ต่อหน้าเขา แม้กระทั่งบรรดาทูตพิเศษแห่งเมืองวารีสวรรค์คนอื่นๆ และประมุขรัฐปีกทองก็ยังมีความเคารพนบนอบเป็นอย่างยิ่ง และเกรงว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือภรรยาของตนได้!
เขาย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
เพื่อช่วยเหลือภรรยา เขาก็ไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น!
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เหลยเฉินเอ่ยอย่างเคารพ “ข้ากับภรรยาชิงรั่วบำเพ็ญมาทีละก้าวๆ จนถึงบัดนี้ก็ประสบภยันตรายกันมามากมาย แต่ก็เคยผจญภัยกันมาก่อนด้วย! การผจญภัยครั้งหนึ่งในนั้นทำให้ดวงวิญญาณของข้าและภรรยาต่างก็ได้รับการแปลงสภาพ จนกระทั่งดวงวิญญาณต่างก็สามารถรับสัมผัสซึ่งกันและกันได้ ถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาลับรับสัมผัสอย่างสุดกำลัง ระยะห่างที่รับสัมผัสได้นั้นก็จะยิ่งห่างไกลเป็นที่สุด ข้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสตงป๋อให้ออกมาจากสำนักทิพย์โบราณแห่งนั้น หลังจากที่คลายผนึกฟื้นฟูพลังยุทธ์แล้วก็รับสัมผัสระบุตำแหน่งของภรรยาข้าในทันที พอรับสัมผัสแล้วข้ากลับพบว่าภรรยาของข้าอยู่ห่างไกลจากรัฐปีกทองอย่างเหลือแสน! ทั้งยังมุ่งหน้าไกลออกไปด้วยความเร็วสูงที่สุดอย่างไม่หยุดหย่อนอีกด้วย ความเร็วที่สูงจนน่าหวาดกลัวเช่นนี้จะต้องกำลังเคลื่อนที่ผ่านอากาศอยู่อย่างแน่นอน! ชิงรั่วนางยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่มีทางเคลื่อนที่ในพริบตาได้อยู่แล้ว ดังนั้นจะต้องมีผู้แกร่งกล้าคนอื่นพาตัวนางหนีไปอย่างแน่นอน”
“ในรัฐปีกทอง จะมีใครพาตัวนางหนีไปได้หรือ นอกจากนี้ยังสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อีกด้วย ทั้งยังห่างไกลจากรัฐปีกทองอย่างมากมาย” เหลยเฉินพูด “ข้าเพียงแค่คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น! ข้าถูกจับตัวไปแล้ว พรสวรรค์ของชิงรั่ว ภรรยาข้าเหนือกว่าข้า ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วรัฐปีกทอง เกรงว่าสำนักทิพย์โบราณจะไม่ยอมละเว้นนาง คาดว่าคงไปจับตัวนาง หรืออาจเป็นเพราะภรรยาข้าต้องตาทูตทิพย์ท่านนั้นเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าจะถูกคุมขังเอาไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของทูตทิพย์ท่านนั้น”
พอเหลยเฉินพูดจบก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
เขาตื่นเต้นนัก
จะไปช่วยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อาวุโสตงป๋อผู้ลึกลับแห่งวังทวีสูญผู้นี้
เขาจะรับปากหรือไม่ หากไปช่วยแล้วอาจประสบอันตรายก็ได้ ผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้จะเต็มใจไปเผชิญอันตรายหรือไม่กันหนอ
“ระยะห่างจากรัฐปีกทองช่างไกลแสนไกล การเคลื่อนที่ผ่านอากาศ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังคิดไตร่ตรอง
ทั่วทั้งรัฐปีกทองมีผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้น้อยจนสามารถนับนิ้วได้! คนอื่นๆ อีกหลายคนถ้าไม่ต่อสู้จนตัวตายก็ยังอยู่ในรัฐปีกทอง มีเพียงบุรุษในอาภรณ์ดำคนเดียวเท่านั้นที่หนีออกมาได้! แต่การที่ไปปรากฏตัวในตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลแสนไกลจากรัฐปีกทอง การเคลื่อนที่ผ่านอากาศธรรมดาๆ นั้นยากยิ่งที่จะไปถึงบริเวณไกลๆ เช่นนั้นได้ เพราะตนเองเร่งเดินทางมาจากเมือง ข-29 ก็ยังสิ้นเปลืองเวลาไปถึงหนึ่งเดือน! บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้นสำแดงการเคลื่อนย้ายอากาศจากที่ห่างไกลเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ก็ตรงตามการคาดเดานี้
นอกจากนี้ยามที่เหลยเฉินรับสัมผัส อีกฝ่ายก็ยังรีบเร่งอยู่!
บวกกับ…
สำนักทิพย์โบราณให้ความสำคัญกับผู้ที่มีพลังยุทธ์กล้าแกร่งหรือผู้มีพรสวรรค์สูงส่งเป็นที่สุด และยิ่งอยากให้พวกเขาศรัทธาต่อสำนักทิพย์โบราณ! ดังนั้นทูตทิพย์ท่านนั้นจึงไปจับตัว ‘ชิงรั่ว’ ผู้มีพรสวรรค์สูงส่งแล้วควบคุมด้วยตนเอง นี่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเหลยเฉินพลางพูดยิ้มๆ “แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง”
“ที่ข้าพูดนั้นไม่มีความเท็จเลยแม้แต่ประโยคเดียวขอรับ” เหลยเฉินร้อนรนเสียแล้ว “ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้า…”
สีหน้าที่เดิมทีกระวนกระวายและอารมณ์อันปั่นป่วนของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทันใด
เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเหนี่ยวนำดวงวิญญาณของเขาเข้ามาในเขตลวงอย่างไร้สุ้มเสียง เขาสำเร็จวิชา ‘ระบบกฎเกณฑ์โลกเทียม’ มาก่อนแล้ว นอกจากนี้ยังประสบผลสำเร็จเป็นอย่างสูงอีกด้วย ถ้าหากเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นเทพอากาศที่ค่อนข้างโง่เง่าจำนวนหนึ่งก็อาจจะติดกับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหลยเฉินผู้อยู่ตรงหน้ายังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น เขาจึงติดอยู่ในนั้นโดยสมบูรณ์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ข้าถามเจ้า เจ้ากับภรรยาของเจ้า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อไป
ผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวที่อยู่ด้านข้างฉงนใจอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นเขาก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าผู้ปกครองที่ชื่อว่าเหลยเฉินผู้นี้มีความมึนงงอยู่บ้างจนเริ่มต้นตอบคำถามอย่างต่อเนื่อง
เพียงชั่วครู่
เหลยเฉินรู้สึกว่าดวงวิญญาณสั่นสะท้านคราหนึ่งแล้วก็ตื่นตัวโดยสมบูรณ์ ทว่าเขารู้สึกคลุมเครือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขามองชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้อย่างตกตะลึงอยู่บ้าง เขาไม่ใคร่กระจ่างแจ้งนักว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ แต่ก็เข้าใจอยู่เล็กน้อยว่า…ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวผู้นี้จะต้องเล่นลูกไม้อะไรกับเขาอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้เพื่อช่วยเหลือภรรยาแล้วเขาก็มิได้มีปากเสียงแต่อย่างใดเลย
“เอาล่ะ เจ้าสร้างร่างแยกออกมาร่างหนึ่งก่อน หลังจากสร้างร่างแยกแล้วพวกเราจะออกเดินทางในทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวพูด
“ไม่ต้องหรอก พวกเราต้องร่นเวลาให้สั้นที่สุด” เหลยเฉินเอ่ยอย่างเร่งร้อน
“สะกดรอยไปก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน แค่นี้ก็มิได้ต่างกันหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพูด “ไปเถิด”
เหลยเฉินกระวนกระวายทว่าก็ได้แต่รับบัญชาไป
พร้อมกันกับที่เขาฟูมฟักตัวอ่อนจากเลือดเนื้อออกมาตัวหนึ่งด้วยความเร็วสูงสุด ดวงวิญญาณก็แบ่งออกเป็นสองส่วน นอกจากนี้เวลาก็ยังเร่งความเร็วขึ้นด้วย เพียงสองชั่วยามเขาก็กลับมาพบตงป๋อเสวี่ยอิงอีกครั้งด้วยการนำทางของผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยว
“ข้าจะไปสะกดรอยสำนักทิพย์โบราณ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวแล้วเอ่ยบัญชาว่า “พวกเจ้ามาจัดการปิดฉากเรื่องราวที่นี่ด้วย หลังจากนั้นก็ตรงกลับไปยังเมืองวารีสวรรค์”
“ขอรับ” ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสตำหนักนอกเขาเดี่ยวจะมีความกังวลใจอยู่บ้างแต่ก็มิกล้าทัดทาน เขารับบัญชาในทันที
“พวกเราไปกันเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนำทางเหลยเฉินออกเดินทางกลางราตรี
กลางผืนฟ้ายามราตรี ดวงจันทราแห่งโลกทิพย์ลอยเด่น ตงป๋อเสวี่ยอิงนำทางเหลยเฉินอยู่กลางเวหาเบื้องบนของรัฐปีกทอง บนคูเมืองของรัฐปีกทองยังคงมีค่ายกลรักษาเมืองล้อมรอบอยู่
“ทูตทิพย์อาภรณ์ดำผู้นั้นอยู่แห่งหนใด อยู่ไกลจากที่นี่สักประมาณเท่าใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“เรียนผู้อาวุโสตงป๋อ” เหลยเฉินโบกมือคราหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีแผนที่ขนาดมโหฬารฉบับหนึ่งปรากฏขึ้น บนแผนที่ทำเครื่องหมายไว้บนพื้นที่บริเวณหนึ่ง เขาเอ่ยด้วยเสียงต่ำๆว่า “เพราะว่าอยู่ไกลเกินไป ข้าจึงรับสัมผัสได้อย่างเลือนรางนัก สามารถแน่ใจได้เพียงว่าอยู่ในบริเวณแถบๆ นี้เท่านั้นขอรับ”
“การรับสัมผัสของเจ้าช่างเลือนรางเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า พื้นที่บริเวณนี้กว้างใหญ่พอดูทีเดียว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง
สิ่งที่เขาตกตะลึงก็คือทูตทิพย์อาภรณ์ดำเคลื่อนย้ายไปด้วยระยะทางที่ไกลเหลือเกิน!
“ดูเหมือนว่าวัตถุคุ้มกันชีพที่เขาใช้ในการเคลื่อนย้ายจะให้ผลลัพธ์ที่สูงส่งกว่าป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายของศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ
“ขอเพียงแค่ระยะทางใกล้ การรับสัมผัสของข้าก็จะกระจ่างชัดขึ้นกว่านี้ขอรับ” เหลยเฉินพูด
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพาเขาหลบหลีกในอากาศไปโดยตรง
ถึงแม้ว่าเขาจะยังรักษาป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายที่สามารถเคลื่อนย้ายไปด้วยระยะทางที่ไกลแสนไกลได้ยามที่เป็นศิษย์อาภรณ์ทองเอาไว้อยู่เช่นเดิม ซึ่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นเหนือกว่าที่ตนจะสามารถควบคุมได้ คาดว่าอย่างน้อยป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายก็เป็นระดับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่าบรรพชนเทียนอวี๋หลอมขึ้นมาด้วยตนเอง ภายในยังประกอบด้วยพลานุภาพอีกด้วย เมื่อพลานุภาพหมดสิ้นลงเมื่อใดก็จำเป็นต้องใช้ป้ายสัญลักษณ์ในการฟื้นฟูเติมเต็ม
ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีสมบัติล้ำค่าที่ล้ำเลิศในการหลบหนีมากกว่าอยู่ก็จริง แต่หากยังไม่ถึงคราวจำเป็น เขาก็จะไม่รีบใช้งาน
ถึงอย่างไรวัตถุประสงค์ของเขาก็คือการสะกดรอยทูตทิพย์อาภรณ์ดำ ค้นหาฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณให้พบ!
……
สะกดรอยมาตลอดทาง
นอกจากสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายที่ทูตทิพย์อาภรณ์ดำสำแดงออกมาในตอนเพิ่งเริ่มต้นแล้ว เวลาอื่นๆ ก็รีบเร่งเคลื่อนที่ผ่านอากาศอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นถึงผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่งก็มิได้สนใจการเคลื่อนผ่านของเวลาสักเท่าใดนักอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะสิ้นเปลืองเวลาไปกว่าหกร้อยปี ไม่ไปยังเมือง ข-29 ที่อยู่ใกล้ที่สุด หากแต่จงใจใช้ทางอ้อมไปยัง ‘เมือง ก-29’ ที่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วอยู่ไกลกว่า
บรรดาผู้รักษาการณ์เมือง ก-29 ต่างก็ไม่รู้ว่ามนุษย์ชุดดำผู้นี้เป็นคนของสำนักทิพย์โบราณ ก็ย่อมปล่อยไปตลอดอยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวหายนะ ถูกบีบให้สำแดงสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายสะกดรอยไปถึงเมือง ก-29
……
ด้วยการเคลื่อนผ่านคูเมือง ในท้ายที่สุดก็ไปถึงเมือง ก-35 สุดท้ายก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศมาสิบเก้าปีแล้ว
“ถึงแล้ว” ทูตทิพย์อาภรณ์ดำมองดูคูเมืองสีดำอันไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นยังที่ไกลๆ ทั้งคูเมืองกินบริเวณเพียงหนึ่งแสนลี้ ดูเหมือนจะเป็นขุมอำนาจที่เล็กจ้อยอย่างยิ่ง! แต่ความจริงแล้วที่นี่กลับเป็นฐานที่มั่นที่ค่อนข้างสำคัญแห่งหนึ่งของสำนักทิพย์โบราณ
“คราวนี้ลูกน้องข้าตายกันไปหมดแล้ว” ทูตทิพย์อาภรณ์ดำกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง “แต่ไหนแต่ไรข้าก็ทำภารกิจมากมายสำเร็จมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานจนเกือบจะได้ยกระดับเป็นทูตทิพย์ระดับสูงอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ลูกน้องมาตายกันไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องรอคอยไปอีกนานเพียงไหนกว่าจะได้เป็นทูตทิพย์ระดับสูง”
ภายในสำนักทิพย์โบราณนั้นมีลำดับขั้นอันเข้มงวด
คิดอยากจะยกระดับสักขั้นหนึ่งนั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก
“คนที่ชื่อผู้อาวุโสตงป๋ออะไรนั่นน่ะหรือ” ทูตทิพย์อาภรณ์ดำมีเพลิงโทสะฉายชัดในดวงตา แต่เขาก็รู้ดีว่าถึงแม้ขุมอำนาจ ‘โลกทิพย์โบราณ’ จะแข็งแกร่งกว่าวังทวีสูญ! แต่ที่นี่คืออาณาเขตของวังทวีสูญ เขาอยากจะต่อสู้จริงๆ ก็เอาชนะผู้อาวุโสตงป๋อผู้นั้นมิได้ ก็ได้แต่อดทนแล้ว
พรึ่บ
ทูตทิพย์อาภรณ์ดำแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วบินตรงเข้าไปในคูเมืองสีดำแห่งนั้น
เวลาผ่านไปเพียงชั่วจิบชาถ้วยหนึ่ง
กลางผืนฟ้ายามราตรีมีเงาร่างสองสายปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงและเหลยเฉิน
“ผ่านการสะกดรอยมาหกร้อยกว่าปี ในที่สุดก็ค้นพบสถานที่แห่งนี้เสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูคูเมืองสีดำที่อยู่ไกลออกไปด้วยใบหน้าคลี่รอยยิ้ม
…………………………………………
ตอนที่ 9 เปิดเผย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่าฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามีทั้งสิ้นเก้าสิบแห่ง อ้างอิงจากที่อาณาเขตของวังทวีสูญกินบริเวณหนึ่งในสามส่วนของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา คาดว่าในอาณาเขตของวังทวีสูญมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ประมาณสามสิบแห่ง ฐานที่มั่นเหล่านี้มีสถานะทัดเทียมกันมิได้แบ่งเป็นขั้นสูงขั้นต่ำแต่อย่างใด และต่างก็เชื่อมโยงกับโลกทิพย์โบราณโดยตรง
สมาชิกของฐานที่มั่นคนหนึ่งก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฐานที่มั่นอื่นเลย
ดังนั้นถึงแม้ว่าจะสามารถทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งได้ แต่ก็ไม่สามารถทำลายพวกมันจนหมดสิ้นได้ แต่ทั่วทั้งอาณาเขตของวังทวีสูญมีฐานที่มั่นอยู่สามสิบแห่ง หากตนทำลายล้างได้สักแห่งนั้นก็จะมีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง!
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเหลยเฉินที่อยู่ด้านข้างปราดหนึ่ง “ต้องขอบคุณเขามากที่ดวงวิญญาณของเขาและภรรยาสามารถรับสัมผัสซึ่งกันและกันได้”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ขอโปรดจงช่วยภรรยาข้าอย่างแน่นอนด้วย ข้าสามารถรับสัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณของภรรยาข้ายังคงถูกผนึกอยู่เช่นเดิม นางถูกผนึกอยู่ ย่อมไม่มีทางจำนนอย่างแน่นอน” เหลยเฉินพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
ทูตทิพย์อาภรณ์ดำผู้นั้นหลบหนีอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าคงจะไม่มีเวลามาควบคุมบรรดาผู้คนที่ถูกคุมขังอยู่แล้ว
“ต่อไปอาจสามารถลงมือได้ เจ้าก็ไปอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของข้าก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางโบกมือคราหนึ่งแล้วก็เก็บร่างเหลยเฉินไป เหลยเฉินเองก็ยอมถูกเก็บเข้าไปอย่างเชื่อฟัง มิได้ทัดทานแต่อย่างใด ในเวลานี้เขาทำได้เพียงแค่รอคอย รอคอยให้ผู้อาวุโสตงป๋อท่านนี้สามารถช่วยเหลือภรรยาของเขาได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้…ก็มีเพียงแค่สิ่งเหล่านี้แล้ว! ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ก็อ่อนแอเกินไป เขาย่อมมิอาจเข้าร่วมในการต่อสู้ระดับนั้นได้อยู่แล้ว!
เก็บตัวเหลยเฉินไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เบนสายตาไปทางคูเมืองสีดำที่อยู่เบื้องล่างแห่งนี้
******
ภายในคูเมืองสีดำ
ภายในโถงตำหนักอันทึบทึมแห่งหนึ่ง หนึ่งบุรุษหนึ่งอิสตรีกำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่ พวกเขามิได้เป็นมนุษย์ธรรมดาแต่อย่างใด ตลอดร่างของฝ่ายชายปกคลุมด้วยเกราะน้ำแข็งชั้นหนึ่ง อีกทั้งบนใบหน้ายังปกคลุมด้วยแผ่นเกล็ดสีขาว ส่วนฝ่ายหญิงนั้นเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ผู้มีหกแขน กลิ่นอายของพวกเขาสองคนย่อมแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนักโดยอัตโนมัติ
“ทูตทิพย์ชืออวิ๋นใกล้จะมาถึงแล้ว” มนุษย์น้ำแข็งถือจอกสุรา สุราภายในจอกสุรามีสีเหลืองอร่ามราวกับอำพัน อีกทั้งกลิ่นสุราก็หอมกำจายออกมา
“คราวนี้ทูตทิพย์ชืออวิ๋นช่างน่าอนาถเสียจริง” สองตาของหญิงสาวทรงเสน่ห์ผู้มีหกแขนมีประกายไฟฟ้าแปลบปลาบ “คอยสั่งสอนลูกน้องอยู่ข้างนอกอย่างยากลำบากมาโดยตลอด พี่ชายของเขายังมอบสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งไว้ให้คอยช่วยเหลือ วันเวลาอันยาวนานนี้ก็สั่งสมความดีความชอบมาไม่น้อย อยู่ห่างจากการยกระดับเป็นทูตทิพย์ระดับสูงไม่มากแล้ว แต่ตอนนี้คราวนี้ลูกน้องของเขาสูญหายไปสิ้น! สัตว์ประหลาดนั่นสู้จนตายก็แล้วไปเถิด ถึงอย่างไรก็มิได้เป็นของเขาอยู่แล้ว แต่บรรดาศิษย์ทิพย์คนอื่นๆ จำนวนมากต่างก็ถูกบ่มเพาะให้เหมาะสมต่อการสืบทอดลัทธิ ตอนนี้หมดสิ้นเสียแล้ว ความดีความชอบของเขาจึงลดลงอย่างมหาศาลเลยทีเดียว คิดอยากจะเป็นทูตทิพย์ระดับสูง ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องผ่านไปอีกเนิ่นนานสักเท่าใด นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีพี่ชายของเขาคอยช่วยเหลืออีกด้วย”
“อย่ามายินดีบนความทุกข์ของผู้อื่นเช่นนี้เลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายของผู้วิเศษหวั่งหมิงนะ” มนุษย์น้ำแข็งพูด
“หึๆ” หญิงสาวทรงเสน่ห์ผู้มีหกแขนหัวเราะ
กฎเกณฑ์ของสำนักทิพย์โบราณเคร่งครัดยิ่ง
คิดอยากจะเป็นทูตทิพย์ระดับสูง โดยปกติแล้วพลังยุทธ์ก็ต้องไปถึงระดับขั้นรวมเป็นเอกภาพขั้นสุดยอด! แน่นอนว่าภายในสำนักยังมีหนทางยกระดับเอาไว้ให้อีกสายหนึ่ง…ซึ่งนั่นก็คือการสะสมความดีความชอบให้มากเพียงพอ!
อันที่จริงแล้วพลังยุทธ์ของบุรุษในอาภรณ์ดำเองค่อนข้างอ่อนแอ แต่ภายใต้ความช่วยเหลือของพี่ชายเขา ก็มีผู้ช่วยที่ร้ายกาจซึ่งสะสมความดีความชอบเอาไว้มากมายจนได้เป็นทูตทิพย์ระดับสูง
นอกจากนี้หลังจากที่เขาได้เป็นทูตทิพย์ระดับสูงแล้วก็มีพี่ชายของเขาคอยช่วยเหลืออีกด้วย ก็ย่อมมีอำนาจเหนือกว่าทูตทิพย์ระดับสูงทั่วไป ประโยชน์ที่ได้รับก็มากกว่าอยู่มากมายนัก
ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วในใจของมนุษย์น้ำแข็งและหญิงสาวทรงเสน่ห์ผู้มีหกแขนจะริษยา ทว่าก็ได้แต่มองดูเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้น พวกเขาต่างก็ไม่กล้าลอบทำร้ายในความมืด ได้แต่มองดูบุรุษในอาภรณ์ดำสะสมความดีความชอบไม่หยุดหย่อนตาปริบๆ ตอนนี้พ่ายแพ้ครั้งหนึ่งทำให้ในใจของพวกเขาทั้งสองไร้ซึ่งกังวลเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าพวกเขาก็ได้แต่ลอบลำพองใจเท่านั้น
แต่ก็มิกล้าแสดงออกซึ่งหน้า
ผู้วิเศษหวั่งหมิง…ผู้วิเศษอันใดกัน ที่สำนักทิพย์โบราณ โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงจะมีสิทธิ์เรียกว่าเป็นผู้วิเศษได้! แน่นอนว่าขั้นรวมเป็นเอกภาพที่สามารถข้ามขั้นไปสู้กับขั้นอลวนได้เหล่านั้นก็มีสิทธิ์เรียกได้ว่าเป็นผู้วิเศษ ใช้เจดีย์ดาวในการตัดสิน อย่างน้อยก็มีพลังยุทธ์ที่จะผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้! เช่นที่วังทวีสูญก็ไม่มีขั้นรวมเป็นเอกภาพแม้แต่คนเดียวที่สามารถผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้ ขนาดวังทวีสูญที่นับได้ว่าเชี่ยวชาญในการต่อสู้ข้ามขั้นแล้วก็ยังทำมิได้เลย
เห็นได้ว่าการที่ขั้นรวมเป็นเอกภาพคิดจะเทียบเคียงขั้นอลวนนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นขั้นอลวนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้
“ฟิ้ว”
เงาร่างสายหนึ่งทะยานจากที่ไกลๆ เข้ามาในโถงตำหนัก ก็คือบุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้น สีหน้าของเขาในยามนี้ไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย
มนุษย์น้ำแข็งและหญิงสาวหกแขนลุกขึ้นต้อนรับ
“น้องชืออวิ๋น” มนุษย์น้ำแข็งเดินผ่านไป บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีขาวมีความเจ็บปวดใจ “เหตุใดจึงเคราะห์ร้ายเช่นนี้ น้องชืออวิ๋น เจ้าอยู๋ห่างจากการเป็นทูตทิพย์ระดับสูงไม่มากแล้ว แต่กลับมาประสบเคราะห์ร้ายอันใหญ่หลวงนี้เข้าเสียได้”
หญิงสาวหกแขนก็เอ่ยต่อว่า “น้องชืออวิ๋น ไม่ต้องรีบร้อน ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ความดีความชอบถูกลดทอนลงไปไม่น้อย แต่พวกเราค่อยเป็นค่อยไป พี่สาวเช่นข้าจะต้องช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดกำลังแน่นอน”
พวกเขาทั้งสองลอบหัวเราะเยาะอย่างไร้กังวลอยู่เบื้องหลัง แต่ในยามนี้ต่างก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อบุรุษในอาภรณ์ดำผู้นี้
“ผู้อาวุโสตงป๋อที่สมควรตาย” บุรุษในอาภรณ์ดำนั่งพรวดลงในทันใดแล้วหยิบกาสุราด้านข้างขึ้นดื่มลงไปก่อนจะดื่มอย่างเจ็บปวดอึกหนึ่งแล้ววางกาสุราลงอย่างฉับพลัน กาสุรากระแทกโต๊ะเสียงดังปึงเสียงหนึ่ง เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ก็เพราะผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้ที่มาทำลายเรื่องดีของข้า ข้าเพิ่งจะออกเดินทางได้เดือนเดียวเขาก็มาถึงเสียแล้ว!”
มนุษย์น้ำแข็งที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดว่า “ข้าตรวจสอบดูแล้ว ในสำนักก็ส่งข้อมูลลงมาว่าผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้มีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง! ว่ากันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศคนหนึ่งที่มาจากจักรวาลสักแห่งหนึ่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน ได้เป็นศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญในจักรวาล ว่ากันว่าเขามาจากจักรวาลแห่งเดียวกันกับจอมมารและจอมกระบี่”
“จอมมารและจอมกระบี่หรือ” บุรุษในอาภรณ์ดำพึมพำ
จอมมารคือประมุขวังทวีสูญ
อีกทั้งจอมกระบี่…ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดด้วย
“นอกจากนี้เขายังมาที่วังทวีสูญไม่ถึงหนึ่งร้อยล้านปีก็ได้เป็นเทพอากาศแล้ว ทั้งยังผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาว ได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วด้วย” มนุษย์น้ำแข็งเอ่ยอย่างจนใจ “ผู้อาวุโสตำหนักในขั้นกำเนิด วังทวีสูญย่อมต้องเห็นเขาเป็นสิ่งล้ำค่าแน่นอนอยู่แล้ว! ที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของวังทวีสูญ พวกเราสู้เขามิได้หรอก การที่บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดสองท่านนี้จะทิ้งร่างแปรเอาไว้ในเวลาวิกฤติก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก”
บุรุษในอาภรณ์ดำหายใจสะดุด
เขาเองก็รู้ดีว่าหากพูดถึงพลังยุทธ์ซึ่งๆ หน้า เขาย่อมสู้ไม่ไหว และหากพูดถึงพลังสนับสนุนเบื้องหลัง เขาก็สู้ไม่ไหวเช่นเดียวกัน!
แม้ว่าสำนักทิพย์โบราณจะแข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของวังทวีสูญ พวกเขาก็ได้แต่พัฒนากันอย่างลับๆ ย่อมมิอาจต้านทานซึ่งๆ หน้าได้อยู่แล้ว
เดือดดาล หายใจสะดุด
แต่ทั้งหมดนี้ก็ได้แต่อดทนเอาไว้!
“รอก่อน รอก่อน ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวันสิ” บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยพึมพำ เขาก็ได้แต่คำรามก้องอยู่ในใจเท่านั้น มิได้พูดออกมาโดยตรง เพราะถึงพูดออกมาก็กลัวว่าจะถูกเพื่อนร่วมสำนักหัวเราะเยาะ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังรู้ดีว่าไม่มีโอกาสแก้แค้นแต่อย่างใดเลย
“น้องชืออวิ๋น เจ้าพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถิด เรื่องการสืบทอดคำสอนนั้นไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ” มนุษย์น้ำแข็งพูด
บุรุษในอาภรณ์ดำพยักหน้า
แล้วเขาก็ต้องติดต่อพี่ชายด้วย เพราะสัตว์ประหลาดตายในการต่อสู้ แล้วเขาก็ไม่มีลูกน้องที่ร้ายกาจเพียงพอ ลำพังอาศัยแค่ศิษย์ทิพย์จำนวนหนึ่ง…ก็ยากที่จะสืบทอดคำสอนอย่างรวดเร็วแล้ว จำเป็นจะต้องมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากเพียงพอ ประสิทธิภาพในการสืบทอดคำสอนจึงจะยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากได้
“มาสิ มาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าที” ชืออวิ๋น บุรุษในอาภรณ์ดำเอ่ยขึ้น
“ก็ได้”
“มาๆ พี่สาวเช่นข้ามีสุราชั้นดีมากมายยิ่งนัก” ชัดเจนว่าพวกเขาสองคนเป็นระดับชั้นสูงที่สุดในฐานที่มั่นแห่งนี้ เป็นทูตทิพย์ระดับสูงสองคน แต่เผชิญหน้ากับทูตทิพย์ระดับล่างคนหนึ่งก็ยังต้องเกรงใจเป็นอย่างมาก มิกล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อย
เพิ่งดื่มไปได้เพียงชั่วครู่เล็กๆ เท่านั้น
หญิงสาวหกแขนสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย นางถ่ายเสียงพูดว่า “ระวังด้วย ค่ายกลเตือนภัยค้นพบว่ามีเทพอากาศคนหนึ่งกับผู้ปกครองเทพแท้อีกคนปรากฏตัวขึ้นที่นอกเมือง กำลังลอบสังเกตการณ์อยู่ โอ้ ผู้ปกครองเทพแท้ผู้นั้นถูกเขาเก็บตัวเอาไว้ภายในคูหาสวรรค์ รูปลักษณ์ของเขา…คงจะเป็นผู้อาวุโสตงป๋อที่พวกเราเคยตรวจพบ”
“ผู้อาวุโสตงป๋อหรือ ผู้อาวุโสตำหนักในขั้นกำเนิดผู้นั้นน่ะหรือ” มนุษย์น้ำแข็งสีหน้าแปรเปลี่ยน ทว่านัยน์ตาของบุรุษในอาภรณ์ดำกลับมีแววสังหารปะทุออกมาในทันใด
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะระมัดระวัง แต่เขารู้จักสำนักทิพย์โบราณน้อยเกินไป ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในมหาโลกทิพย์ทั้งห้า! จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คือบุคคลผู้เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแทบทุกคน! พร้อมกันกับที่เขามาถึงที่นี่ก็ถูกค่ายกลเตือนภัยของคูเมืองสีดำค้นพบเข้าเสียแล้ว
………………………………………….
ตอนที่ 10 บดขยี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หญิงสาวหกแขนและมนุษย์น้ำแข็งต่างก็มีสีหน้าไม่น่าดู พวกเขามองบุรุษในอาภรณ์ดำปราดหนึ่งอย่างเดือดดาลอยู่บ้าง
“ฐานที่มั่นของพวกเรามีความสำคัญเป็นที่สุด ทั่วทั้งโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็มีฐานที่มั่นอยู่ทั้งสิ้นเก้าสิบแห่ง เป็นศูนย์กลางแห่งการสืบทอดลัทธิ” มนุษย์น้ำแข็งถ่ายเสียงพูดโดยสัญชาตญาณ “ตอนนี้ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญมาถึงฐานที่มั่นของพวกเราแล้ว ฐานที่มั่นแห่งนี้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือพยายามให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด”
บุรุษในอาภรณ์ดำขบกรามแล้วถ่ายเสียงพูดทุ้มต่ำ “นี่ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากปัดความรับผิดชอบทิ้ง
หญิงสาวหกแขนและมนุษย์น้ำแข็งต่างก็มองเขาปราดหนึ่งแต่ก็มิได้พูดอะไรมากเพราะการลงโทษในท้ายที่สุด…ชนชั้นสูงของสำนักทิพย์โบราณก็ต้องมีการตัดสินอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว! บุรุษในอาภรณ์ดำ ‘ทูตทิพย์ชืออวิ๋น’ สืบทอดลัทธิอยู่ที่รัฐปีกทอง แต่กลับกระตุ้นให้ผู้อาวุโสตำหนักในตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญมาที่นี่ ตอนนี้ทูตทิพย์ชืออวิ๋นหลบหนีมาโดยตลอด เพิ่งกลับมายังฐานที่มั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามมาติดๆ!
ขอเพียงแค่มิได้โง่งมก็สามารถเดาออกได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องแอบตามหลังมาแน่นอน หรือบางทีบนร่างของทูตทิพย์ชืออวิ๋นก็อาจมีรอยประทับสะกดรอยบางอย่างอยู่ก็เป็นได้
“พวกเจ้านำทางทูตทิพย์คนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังตำหนักทิพย์ใต้ดินเดี๋ยวนี้” มนุษย์น้ำแข็งออกคำสั่ง “เคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยความเร็วสูงสุด เคลื่อนย้ายสำเร็จแล้วพวกเจ้าก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศจากไปในทันทีเลยนะ”
“ได้” หญิงสาวหกแขนและทูตทิพย์ชืออวิ๋นบุรุษในอาภรณ์ดำต่างก็รับคำสั่ง
เพราะเหตุใดโลกทิพย์ทะเลสัตตดารากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ แต่ทั้งอาณาบริเวณกลับมีฐานที่มั่นเพียงแค่เก้าสิบแห่งเท่านั้นเล่า
ก็เพราะว่าฐานที่มั่นทุกแห่งล้วนจำเป็นต้องมี ‘รูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ อยู่รูปหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับโลกทิพย์โบราณอันแสนห่างไกล ก็ยังควบคุมผู้บำเพ็ญมากมาย ล้วนจำเป็นต้องอาศัย ‘รูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ จึงจะสามารถทำได้
เหมือนกับที่รัฐปีกทอง การควบคุมผู้บำเพ็ญเหล่านั้นเป็นวิธีการที่ค่อนข้างระดับต่ำ ควบคุมได้เพียงแค่ผู้บำเพ็ญที่ค่อนข้างอ่อนแอ กระทั่งผู้ปกครองเทพแท้จำนวนมากก็สามารถควบคุมได้! ผู้บำเพ็ญจิตใจอ่อนแอจำนวนน้อยเท่านั้นจึงจะคุมไว้ไม่อยู่
แต่พออยู่ต่อหน้ารูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว…
อาศัยรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ปกครองเทพแท้จำนวนหนึ่งมีจิตวิญญาณแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นขั้นกำเนิด หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นเอกภาพที่มีจิตวิญญาณอ่อนแอสักหน่อย โดยทั่วไปแล้วต่างก็สามารถฝืนบังคับควบคุมได้! ตีตราลงรอยประทับบนดวงวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
“ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาถึงที่นี่ แต่เกรงว่าเขาคงยังมิกล้ามั่นใจอย่างแน่นอนได้ว่าที่นี่คือฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณของพวกเรา” มนุษย์น้ำแข็งพูด “ข้าจะไปจัดการเขา ยืดเวลาออกไปให้ได้อย่างสุดกำลัง”
“ถ้าหากสามารถสังหารเขาได้ เช่นนั้นก็จะเป็นความดีความชอบอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว” ทูตทิพย์ชืออวิ๋น บุรุษในอาภรณ์ดำพูด
“สังหารผู้อาวุโสตำหนักในคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ วิธีการคุ้มกันชีวิตของพวกเขาจะต้องร้ายกาจมากเป็นแน่” ในใจของมนุษย์น้ำแข็งค่อนข้างเดือดดาล ถึงแม้ว่าจะเคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องละทิ้งฐานที่มั่นแห่งนี้ ทางฝั่งสำนักทิพย์โบราณนั้นจะต้องกำหนดบทลงโทษบางอย่างลงมาเช่นเคย! ถ้าหากแม้แต่รูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นบทลงโทษก็จะต้องน่าหวาดหวั่นมากเป็นแน่แท้
พรึ่บ!
มนุษย์น้ำแข็งเหินบินออกจากโถงตำหนักอันอึมครึมในทันที
ส่วนหญิงสาวหกแขนและทูตทิพย์ชืออวิ๋นในอาภรณ์ดำก็ดำเนินการทันที ถึงขนาดที่ต่างก็ถ่ายเสียงไปยังเหล่าทูตทิพย์คนอื่นๆ ให้มุ่งหน้าไปยังตำหนักทิพย์ใต้ดินโดยเร็ว ทั้งยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ออกไปโดยเร็วที่สุด
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวบนเวหาเบื้องบนมองดูคูเมืองสีดำตรงหน้าแห่งนี้ เขาสำแดงแผนภาพคลื่นจานออกมาโดยตรง ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างผ่านทะลุออกไป แต่ว่าคูเมืองสีดำมีค่ายกลทำงานอยู่ ขัดขวางการแทรกผ่านเอาไว้ได้
“ผู้ใดมารุกรานเมืองภูผาดำของข้ากัน” เงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมา ซึ่งก็คือมนุษย์น้ำแข็งผู้นั้นนั่นเอง เขาแผ่กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ออกมา ห้วงอากาศโดยรอบล้วนมีเกล็ดหิมะและเกล็ดน้ำแข็งปลิวว่อน มนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ขมวดคิ้วตะโกนว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวคร้านจะถ่วงเวลา
เขารู้กระจ่างดียิ่งว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานที่มั่นของสำนักทิพย์โบราณก็คือรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าการเคลื่อนย้ายรูปปั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะใช้เวลาน้อย แต่ก็มิอาจใช้เวลาเนิ่นนานเกินไปได้
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ในมือก็มีป้ายคำสั่งอันหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือป้ายคำสั่งแสดงตัวตนของผู้อาวุโสตำหนักใน ป้ายคำสั่งแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นอันยิ่งใหญ่ออกมา แม้กระทั่งด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเงารางของวังอันยิ่งใหญ่สูงตระหง่านตระการตาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น กลิ่นอายของเงารางเต็มไปด้วยแรงกดดันที่เพียงพอจะเทียบเทียมกับกลิ่นอายของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนได้
นี่ก็คือเงารางของวังทวีสูญ! มิอาจปลอมแปลงได้!
“ข้าคือผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะโกนก้อง “จงถอนค่ายกลเมืองภูผาดำของเจ้าออกไปโดยเร็ว ถ้าหากขัดขืนก็เท่ากับต่อต้านวังทวีสูญของข้า เป็นสาวกของสำนักทิพย์โบราณ ฆ่าอย่างไร้ปรานี!”
“ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญหรือ” มนุษย์น้ำแข็งเห็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสีแล้วลุกลี้ลุกลนพูดอย่างเคารพว่า “ท่านใต้เท้าผู้อาวุโสขอรับ ข้าเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอย่างสันโดษอยู่ที่นี่ เหตุใดใต้เท้าผู้อาวุโส…”
“อย่าเปลืองน้ำลายอีกเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่นราวกับปลายกระบี่ ย่อมมิปล่อยให้มนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ประวิงเวลา “ถอนค่ายกลเร็วเข้าสิ”
“ข้ากำลังหลอมสมบัติล้ำค่าอยู่น่ะขอรับ เวลาและเลือดเนื้อมากมายทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในเตาเดียว ไม่สามารถ…” มนุษย์น้ำแข็งยังต้องการถ่วงเวลาอีก
“ฆ่ามัน!”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีลำแสงหนาวเหน็บสายหนึ่งวาบผ่าน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความมั่นใจเต็มที่ว่าคูเมืองสีดำแห่งนี้จะต้องเป็นฐานที่มั่นสำคัญของสำนักทิพย์โบราณอย่างแน่นอน แต่ก็มั่นใจถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนหน้านี้บุรุษในอาภรณ์ดำผู้นั้นก็เข้าไปด้วย ตอนนี้ตัวเองแสดงตนอย่างชัดเจนว่าจะตรวจสอบก็ไม่ยอม! จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
“สวบๆๆ” ตามเสียงตะโกนอย่างเดือดดาลของตงป๋อเสวี่ยอิง ปลาสีม่วงเข้มแน่นขนัดสามร้อยตัวก็เหินลอยออกมาจากผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง ทั้งหมดบุกสังหารไปทางมนุษย์น้ำแข็ง ในขณะเดียวกันเส้นใยพลิ้วไหวที่โปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็เกี่ยวกระหวัดพันไปทางมนุษย์น้ำแข็งผู้นั้น มนุษย์น้ำแข็งก็ตะโกนว่า “ใต้เท้าผู้อาวุโสขอรับ ข้าหลอมสมบัติล้ำค่าอยู่ ตอนนี้ร่างแปรกำลังอยู่หน้าเตา มิอาจถูกกระทบได้นะขอรับ”
ปากตะโกนไปมนุษย์น้ำแข็งก็ต่อต้านในทันที ผิวกายของเขามีชุดเกราะแก้วผลึกโปร่งแสงรวมตัวกันขึ้นมา ขณะเดียวกันในมือก็มีกระบี่น้ำแข็งเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
ถึงแม้ว่าร่างกายจะถูกเส้นใยพลิ้วไหวจำนวนนับไม่ถ้วนเกี่ยวกระหวัดรัดเอาไว้ แต่เขาก็กวัดแกว่งกระบี่อย่างฉับพลันเฉกเช่นเดิม
“แกรก”
ห้วงมิติเริ่มเยือกแข็ง ก่อให้เกิดพันธนาการที่ส่งผลกระทบต่อเส้นใยที่กระเพื่อมไหวในบริเวณรอบๆ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อเกราะพลที่ลอยมาเหล่านั้นด้วย ทำให้ความเร็วของบรรดาเกราะพลเหล่านั้นลดลงอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันประกายกระบี่อันเจิดจรัสก็ออกรับเกราะพลเหล่านั้นเอาไว้
ปลาสีม่วงเข้มสามร้อยตัวพลันปะทะเข้ากับประกายกระบี่น้ำแข็งในทันใด ราวกับปลาฝูงหนึ่งกรูเข้ามาพร้อมกัน เกราะพลที่เดิมทีลดความเร็วลงอย่างมากอยู่แล้วก็ถูกกระบี่ทำลายไปเป็นจำนวนมาก
แต่ว่ามีปลาสีม่วงเข้มอยู่สี่ตัวที่กลับมีพลังพุ่งสูงขึ้นโดยฉับพลัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พวกมันราวกับมังกรเทพสี่ตัวเคลื่อนผ่านเวหา บุกสังหารไปทางมนุษย์น้ำแข็งโดยตรง ถึงแม้ว่ามนุษย์น้ำแข็งจะถูกระลอกเส้นใยเกี่ยวรัดจนความเร็วได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่พลังอันน่าหวาดหวั่นของเขาก็ยังคงกวัดแกว่งกระบี่น้ำแข็งในมืออย่างอุกอาจเช่นเดิม ปัดป้องไปทางเกราะพลที่ราวกับมังกรเทพสี่สายที่ดุร้ายอย่างที่สุดนั้น สิ่งที่เกราะพลทั้งสี่สายนี้สำแดงก็คือกระบี่ที่สามของวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกานั่นเอง!
นี่ก็คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดจึงมีปลาทั้งหมดสามร้อยตัว ก็เพราะสำแดงเกราะพลมากเกินไป เป็นภาระใหญ่หลวงต่อพลังจิตมากเกินไป ก็มิอาจสำแดงกระบี่ที่สามผลาญโลกาอย่างสบายใจได้อีกแล้ว
“ฟิ้วๆๆๆ”
ประกายกระบี่อันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสาดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ประกายกระบี่ของมนุษย์น้ำแข็งน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถต้านรับการจู่โจมของเกราะพลสี่สายเอาไว้พร้อมๆ กันได้ ถึงแม้ว่ามัจฉาเกราะพลตัวอื่นๆ ก็ล้อมโจมตีเข้ามาเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถทำลายเกราะน้ำแข็งของเขาได้เลย เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขาเท่านั้น ทำให้ ‘กระบี่ที่สามผลาญโลกา’ ที่มาถูกเขาเป็นครั้งคราว ได้แต่ทำให้บนร่างของเขามีรูหนึ่งปรากฏขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นฝูงปลาแน่นขนัดก็เลือนหายไปจนสิ้น
เหลือเอาไว้เพียงเกราะพลที่ราวกับมังกรเทพสี่สายที่กระหน่ำล้อมโจมตี และตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลๆ ก็หายวับไปในอากาศ
พรึ่บ!
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายของมนุษย์น้ำแข็ง หอกอันดุดันแทงมาคราหนึ่ง
“การเคลื่อนที่ในพริบตาหรือ” มนุษย์น้ำแข็งลอบยิ้มเย็น ไม่มีผลกระทบจากฝูงปลาจำนวนมากเหล่านั้นแล้ว ภายใต้สถานการณ์การต้านทานเกราะพลสี่สาย ประกายกระบี่กะพริบวาบคราหนึ่งก็ต้านรับหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ได้เช่นเดิม
“ปัง…”
ในขณะที่เขาต้านรับเอาไว้นั้นเอง
ก็มีหอกยาวอีกเล่มหนึ่งแทงออกมาจากกลางอากาศ! ฉับพลันเกินไปแล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็กำลังรับมือกับเกราะพลสี่สาย ทั้งยังต้านรับหอกหนึ่งเอาไว้อย่างสุดกำลัง ตอนนี้ในท้ายที่สุดก็มีหอกหนึ่งแทงมาในระยะประชิด เขาก็รับไม่ทันเสียแล้ว แต่ร่างกายของมนุษย์น้ำแข็งก็ต้านรับเอาไว้อย่างสงบเช่นเคย เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยต้านรับเกราะพลของกระบี่ที่สามผลาญโลกามาก่อนแล้ว
“ปัง…” หอกยาวแทงเข้ามาในร่างกายของมนุษย์น้ำแข็ง ทำให้สีหน้าของมนุษย์น้ำแข็งแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงในทันที
ผิดแล้ว
เขาผิดอย่างมหันต์ทีเดียว!
หอกนี้ก็คืออาวุธเทพอากาศชั้นสูง! ปลายหอกห่อหุ้มด้วยเกราะพล! อีกทั้งพลังอันน่าหวาดหวั่นที่วิชาลับผู้ท่องขั้นที่ยี่สิบแปดรวบรวมเข้ามายังประกอบอยู่ในหอกนี้ด้วย พลังคุกคามของกระบี่ที่สามผลาญโลกาที่สำแดงออกมานั้น…แข็งแกร่งกว่ากระบี่ที่สามผลาญโลกาที่เกราะพลสำแดงออกมาอย่างมหาศาล ร่างกายของเขาพลันถูกฉีกทึ้งในทันใด พลังทำลายล้างกวาดโอบล้อมร่างของเขาในทันที
“เปรี้ยงๆๆ” เพราะว่าร่างกายถูกฉีกทึ้ง ทันใดนั้นบนหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงเกราะพลสายหนึ่งออกมา มัจฉาเกราะพลจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงออกมาสามครั้งติดต่อกันราวกับสายฟ้าฟาด
หลังจากแทงหอกไปเพียงสามครั้ง ร่างกายอันแหลกสลายของมนุษย์น้ำแข็งสูญสลายไปเสียแล้ว เขายังมีความยากที่จะเชื่อและความสิ้นหวังอยู่
เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้กับเทพอากาศขั้นกำเนิดคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ แต่ก็ยังเป็นเพียงขั้นกำเนิดเท่านั้น
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้อย่างเย็นชา มิได้บำเพ็ญแผนภาพคลื่นจาน ตนก็บุกผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวได้แล้ว ตอนนี้ยามต่อสู้ยังมีแผนภาพคลื่นจานพันธนาการคู่ต่อสู้ ทำให้คู่ต่อสู้สำแดงพลังยุทธ์ได้เพียงบางส่วน ถูกฆ่าตายก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
……
พูดไปก็เนิ่นช้า อันที่จริงการต่อสู้ระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงกับมนุษย์น้ำแข็งรวดเร็วเป็นที่สุด ตอนแรกก็เป็นการโจมตีแบบหมู่ ตามด้วยการต่อสู้ประชิดตัว เพียงไม่ถึงอึดใจ อีกฝ่ายก็ตายในการต่อสู้เสียแล้ว
“แย่แล้ว” สีหน้าของหญิงสาวหกแขนที่อยู่ภายในตำหนักทิพย์ใต้พื้นคูเมืองสีดำแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง นางอาศัยค่ายกลเตือนภัยก็เห็นได้ว่ามนุษย์น้ำแข็งตายในการต่อสู้ไปเสียแล้ว!
………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น