Snow Eagle Lord ภาค 27 ตอนที่ 3-4
ตอนที่ 3 รัฐปีกทอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองวารีสวรรค์กินพื้นที่เพียงร้อยล้านลี้เท่านั้น ในฐานะที่ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองอลหม่านสิบสองแห่งจึงปลอดภัยเป็นอย่างมาก ภายในมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ แม้แต่กลางทุ่งร้างนอกเมืองอลหม่านก็ยังมีชุมชนอยู่มากมาย และมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ เนื่องจากเมื่ออยู่ใกล้ ‘เมืองวารีสวรรค์’ ก็ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยทีเดียว
ที่เมืองวารีสวรรค์มีพื้นที่เพียงร้อยล้านลี้นั้น ก็เพราะร่างแปรขั้นอลวนสามารถปกป้องได้ในขอบเขตที่จำกัด ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ หากระยะทางไกลเกินไป ร่างแปรขั้นอลวนก็ยากที่จะป้องกันได้ทันเวลา
จวนของตงป๋อเสวี่ยอิงกินพื้นที่ถึงพันลี้ ภายในเมืองวารีสวรรค์ก็นับว่าหรูหรามากแล้ว
……
เวลาล่วงเลยไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปในเมืองวารีสวรรค์เพียงลำพังบ้างเป็นครั้งคราว เขาไปยังหอสุราและภัตตาคารต่างๆ แล้วชิมอาหารเลิศรสแปลกใหม่ พร้อมกับฟังผู้บำเพ็ญรอบข้างสนทนากัน
“รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มพลางชิมขนมชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างดื่มด่ำนัก สำหรับผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งแล้ว เมืองวารีสวรรค์ซึ่งมีขอบเขตร้อยล้านลี้ก็เหมือนจะเล็กมาก แต่อันที่จริงแล้วก็มีหอสุราและภัตตาคารจำนวนนับไม่ถ้วน สถานที่ซึ่งสามารถเปิดอยู่ในเมืองวารีสวรรค์ได้อย่างยาวนาน ทั้งยังสามารถทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญทั้งหลายอยากมาลิ้มลอง ก็ล้วนแต่มีเอกลักษณ์เป็นอันมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลากินถึงสามเดือน ก็เพิ่งจะกินอาหารที่หอสุราและภัตตาคารในเมืองวารีสวรรค์ไปได้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น
“เคร้ง…”
มีเสียงส่งมาจากภายในป้ายคำสั่งส่งสาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูทันที…
“เมืองข-29 ด้านตะวันตกของเมือง ประมุขรัฐปีกทองขอความช่วยเหลือ เผชิญหน้ากับการลอบโจมตีด้วยการกลืนกินเป็นวงกว้างของเทพอากาศทั่วไปอย่างน้อยสิบนาย”
นี่คือการขอความช่วยเหลือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นทันที เขาวางก้อนโลหะสีม่วงก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วออกจากหอสุราไปทันที โดยทั่วไปแล้วหอสุราและภัตตาคารของเมืองวารีสวรรค์ล้วนยินดีรับวัสดุล้ำค่า รองลงมาจากมันก็คือผลึกเทพ! หากเป็นผลึกเทพ ก็ต้องเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีหน่วยเป็นล้านผลึกเทพ เจ้าหนุ่มซึ่งทำหน้าที่รับใช้ในหอสุราคนหนึ่งมองแวบเดียวก็เห็นแต่ไกลว่าตงป๋อเสวี่ยอิงวางก้อนโลหะสีม่วงลงบนโต๊ะ จึงรีบปรี่เข้าไปแล้วรับมาด้วยความยินดี “ศิลาหิมะม่วงหรือ ไม่เสียทีที่เป็นเทพอากาศ ลงมือคราหนึ่งก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศในแผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่งนั้น ก็เคยได้รับสายแร่ศิลาหิมะม่วงสายหนึ่ง
สวบ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปในเมืองวารีสวรรค์แล้วเคลื่อนที่ในอากาศ เมื่อบรรลุถึงวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบแปดก็เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นมากทีเดียว เพียงแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็ถึงสถานที่ตั้งของค่ายกลส่งถ่ายมิติของเมืองวารีสวรรค์แล้ว
เขารออยู่นานสองนาน
กองกำลังซึ่งประกอบด้วยผู้อาวุโสตำหนักนอกสองคนและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกสามสิบคนก็ปรากฏขึ้นที่นี่ พวกเขาคือกองกำลังย่อยกองหนึ่งซึ่งซึ่งผลัดเวรพอดี แล้วรับคำสั่งให้มุ่งหน้าไปยังรัฐปีกทอง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ผู้อาวุโสตำหนักนอกสองคนและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกสามสิบคนนี้ตกใจจนสะดุ้งโหยง พากันรีบคำนับทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “พวกเจ้าจะไปรัฐปีกทองหรือ”
“เรียนผู้อาวุโสตงป๋อ กำลังไปรัฐปีกทองขอรับ” ชายหนุ่มผู้มีเขาสีเขียวมรกตคนหนึ่งตอบด้วยความเคารพ
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย ออกเดินทางเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ “วางใจเถิด แต้มความดีความชอบเล็กน้อยเท่านี้ข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก”
“ผู้อาวุโสตำหนักในผู้องอาจจะไปทำภารกิจพรรค์นี้ด้วยหรือ”
“ขอเพียงไม่แย่งแต้มความดีความชอบของพวกเราไปเป็นใช้ได้”
ผู้อาวุโสตำหนักนอกทั้งสองและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกกลุ่มใหญ่ต่างก็ลอบคิด นี่เป็นภารกิจที่ค่อนข้างธรรมดา รางวัลแต้มความดีความชอบจึงมีเพียง ‘หนึ่งแต้ม’ เท่านั้น ซึ่งหนึ่งแต้มนี้ ผู้อาวุโสตำหนักนอกต่างก็แบ่งกันคนละ 0.3 แต้ม ผู้ดำเนินงานตำหนักนอกกลุ่มใหญ่ที่เหลืออยู่ก็ยังต้องแบ่งกันต่อไป! อย่าเห็นว่าน้อย เพราะตลอดคืนวันอันยาวนาน หากสั่งสมภารกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสตำหนักนอกคนหนึ่งจะเก็บสะสมแต้มความดีความชอบได้หมื่นแต้มก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
“ตู้มมม…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและกองกำลังนี้ล้วนเข้าไปในค่ายส่งถ่ายมิติ
โดยทั่วไปแล้วค่ายส่งถ่ายมิตินั้นมีการส่งถ่ายเพียงปีละครั้ง นอกเสียจากมีผู้ใดยอมจ่ายในราคาที่สูงลิ่ว เพื่อส่งถ่ายเพียงลำพัง! ทว่าพวกตงป๋อเสวี่ยอิงไปทำภารกิจจึงจำเป็นต้องส่งถ่ายในทันที ทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย
……
ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ แม้ค่ายส่งถ่ายมิติจะเป็นสิ่งที่บรรดาประมุขวังและประมุขตำหนักร่วมมือกันหลอมขึ้นมา ทว่าแต่ละครั้งก็ส่งถ่ายได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ที่นี่คือเมืองข-26” เขามาถึงตัวเมืองซึ่งมีขอบเขตเพียงแสนลี้ ตัวเมืองแห่งนี้มีค่ายกลอยู่หลายด่านซึ่งปกคลุมทั่วทั้งตัวเมืองอยู่ตลอดเวลา อานุภาพก็ยิ่งใหญ่ ทั้งยังมีผู้อาวุโสตำหนักนอกนำบรรดาไพร่พลใต้บังคับบัญชาคอยเฝ้าดูแลอยู่อีกด้วย
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
โลกทิพย์ใหญ่โตเกินไปแล้ว
บริเวณที่ ‘เมืองวารีสวรรค์’ สามารถส่งผลกระทบได้ ก็คือบริเวณเมืองที่การส่งถ่ายครอบคลุมถึง แม้รอบเมืองวารีสวรรค์จะมีเมืองเล็กเมืองน้อยทั้งเมือง ก เมือง ข นับร้อยแห่ง แต่ก็ส่งผลกระทบเพียงส่วนน้อยเท่านั้น บริเวณไกลออกไปล้วนเต็มไปด้วยความเวิ้งว้าง…ด้วยทรัพย์สมบัติของวังทวีสูญ เมืองที่ติดตั้งการส่งถ่ายก็ครอบคลุมเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
ยังมีบริเวณที่กว้างขวางยิ่งกว่า บ้างก็ถูกแกนนำขั้นอลวนบางคนยึดครอง แล้วปกครองทั้งแถบ!
การเร่งเดินทางไป…
ภายในโลกทิพย์นั้นเป็นเรื่องแสนลำบากเรื่องหนึ่ง ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอสักหน่อยล้วนแต่เลือกขุมอำนาจใหญ่ที่อยู่ใกล้สุดแล้วเร่งเดินทางไป
เมืองข-26 เมืองข-27 เมืองข-28…ในที่สุดก็มาถึงเมืองข-29
“ฟิ้ว”
กลุ่มของตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกจากเมืองข-29 ไกลออกไปเต็มไปด้วยความเวิ้งว้าง
แม้โลกทิพย์จะมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเทียบกับความกว้างขวางของโลกทิพย์แล้ว ก็ยังถือว่าเบาบางมากอยู่ดี โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่รวมตัวกันอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้แกร่งกล้า ทั้งหมดก็เพื่อความอยู่รอดทั้งสิ้น!
“ผู้อาวุโสตงป๋อ แม้รัฐปีกทองจะอยู่ในขอบเขตการปกครองของเมืองข-29 ระยะทางก็นับว่าค่อนข้างใกล้ แต่คาดว่าพวกเราก็ยังต้องเร่งเดินทางทะลุอากาศไปเป็นเวลาปีกว่าจึงจะไปถึงรัฐปีกทองได้” ผู้อาวุโสตำหนักนอกท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น “ผู้ดำเนินงานจิ่วฉีของพวกเราเป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ในกองกำลังนี้ การทะลุอากาศของเขารวดเร็วที่สุด เขาจะพาพวกเราเดินทางไปด้วย”
ผู้ดำเนินงานจิ่วฉี เดิมทีเป็นสัตว์ประหลาดซึ่งกลายร่างเป็นมนุษย์ มีเก้าศีรษะ ยามนี้เขาเคารพนบนอบเป็นอันมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางพยักหน้า “ได้ รีบเดินทางไปให้เร็วที่สุดเถอะ”
สามารถไปถึงได้ภายในเวลาปีกว่าก็ถือว่าใกล้มากแล้วจริงๆ! เดิมทีการเดินทางในโลกทิพย์ก็ยากยิ่งอยู่แล้ว
“ตู้ม…”
หลังจากผู้ดำเนินงานจิ่วฉีคำนับแล้ว ก็เริ่มควบคุมอากาศเข้ามาโอบล้อมทุกคนในที่นั้น ก่อนจะทะลุอากาศไปทันที…
ฟิ้วๆๆ…
พวกเขาท่องไปกลางอากาศ มุ่งหน้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน
“หยุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
ทันใดนั้นกองกำลังก็หยุดลงแล้วปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ ผู้อาวุโสตำหนักนอกสองคนมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสงสัยอยู่บ้าง ส่วนผู้ดำเนินงานจิ่วฉีผู้นั้นออกจะงุนงงอยู่บ้าง
“ให้ข้าพาพวกเจ้าเดินทางไปเองดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาพูดพลางควบคุมอากาศนำพาคนทั้งหมดในที่นั้นทะลุอากาศไปแทน
สวบ…
ขณะท่องไปกลางอากาศ ผู้อาวุโสตำหนักนอกสองคนและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกกลุ่มใหญ่ต่างก็ตกอกตกใจกันหมด รวดเร็วเกินไปแล้ว! แม้ ‘ผู้อาวุโสตำหนักใน’ ผู้นี้จะเป็นเพียงขั้นกำเนิด แต่ความเร็วในการท่องอากาศเช่นนี้ก็เร็วกว่าผู้ดำเนินงานจิ่วฉีนับสิบเท่า
“ไม่เสียทีที่เป็นผู้อาวุโสตำหนักใน”
“คิดว่าผู้อาวุโสตำหนักในเป็นขั้นกำเนิด การทะลุอากาศจะด้อยเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้” พวกเขาต่างก็พากันอ้าปากค้าง
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มตรวจสอบข้อมูลผ่านป้ายคำสั่งส่งสาร เพื่อตรวจดูพิกัดของรัฐปีกทอง! แม้เขาจะมีคำอธิบายแผนที่คร่าวๆ ของโลกทิพย์ทั้งห้าอยู่ก่อนแล้ว แต่อย่างรัฐปีกทองซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ เช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะถูกทำลายลงเมื่อใด จึงไม่อยู่ในการบันทึก มีเพียงตั้งใจตรวจสอบผ่านป้ายคำสั่งส่งสารเท่านั้นจึงจะสามารถตรวจพบได้ นอกจากนี้หากในภายหน้ารัฐปีกทองถูกทำลายลง ข้อมูลที่ป้ายคำสั่งส่งสารตรวจพบก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามด้วย
“ยังคิดว่าผู้ดำเนินงานผู้นั้นจะทะลุอากาศได้เร็วสักเท่าใดกันเชียว ก็แค่ระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็สูงกว่าเล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ท่องอากาศ ซึ่งบรรลุวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบเอ็ด จึงสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเทียบเท่ากับขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว
บัดนี้เป็นชั้นที่ยี่สิบแปด!
ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่ง การเคลื่อนที่ในอากาศของเขาก็นับว่าร้ายกาจอย่างยิ่งแล้ว ทว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่ามีขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ไร้เทียมทานบางคน เช่นในบรรดาผู้อาวุโสตำหนักในก็มีผู้ที่ไร้เทียมทานอย่างยิ่ง สามารถทำได้ถึงขั้นแหวกกาบมิติเพื่อเร่งเดินทางไป ความเร็วนั้นเร็วกว่าตนมากทีเดียว
“คาดว่าหนึ่งเดือนก็จะสามารถไปถึงรัฐปีกทองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงคำนวณข้อมูลอยู่ครู่หนึ่งก็วิเคราะห์ออกมาได้
……
รัฐปีกทอง
เป็นรัฐที่มีอาณาบริเวณสิบล้านลี้ ทั้งรัฐก็คือตัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้นำรัฐคือสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้หนึ่ง แต่รัฐใหญ่เช่นนี้ เทพอากาศเหล่านั้นก็ลอบโจมตีและดูดกลืน หากร่วมมือกันก็ถึงขั้นต้านทานเขาซึ่งหน้าได้ เรื่องนี้ทำให้ประมุขรัฐปีกทองปวดหัวเป็นอย่างมาก
บัดนี้ทั้งรัฐปีกทองเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ถูกดูดกลืนอยู่บ่อยครั้ง แล้วผู้ใดจะไม่ตระหนกเล่า
ภายในจวนแห่งหนึ่งของรัฐปีกทอง
บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น ในอ้อมแขนมีสัตว์ประหลาดหมอบอยู่ตนหนึ่ง เขาพูดเสียงเรียบว่า “กองกำลังเมืองวารีสวรรค์จะเร่งเดินทางมา คาดว่าจะเวลาราวหนึ่งปี! สร้างความตื่นตระหนกต่อไป และคว้าโอกาสเผยแพร่ลัทธิทิพย์โบราณของพวกเรา! ผู้ที่นับถือลัทธิทิพย์โบราณของเราจะได้รับการปกป้อง ระยะเวลาการเผยแผ่ลัทธิควบคุมให้อยู่ภายในครึ่งปี”
“ครึ่งปีให้หลัง พวกเจ้าก็ต้องหลบซ่อนให้ดี ห้ามเปิดเผยออกไปโดยเด็ดขาด รอให้กองกำลังของเมืองวารีสวรรค์จากไปก่อน ค่อยปกครองรัฐปีกทองต่อไป” บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงกำชับ
“ขอรับ”
เทพอากาศสามคนด้านข้างรับบัญชาแต่โดยดี
………………………
ตอนที่ 4 นับถือลัทธิทิพย์โบราณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามถอยไป ภายในลานแห่งนี้ก็เหลือเพียงบุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เขาลูบขนสัตว์ประหลาดในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล สัตว์ประหลาดตนนี้ก็หลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ตื่นตระหนกเถิด ยิ่งตื่นตระหนกเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” บุรุษอาภรณ์สีดำผมสีม่วงพูดเสียงต่ำ “ต้องล้มตายไปพร้อมกับความตื่นตระหนก หรือไม่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณ มีสิทธิ์ได้นับถือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็นับว่าเป็นโชคของพวกเจ้าแล้ว”
เขามิได้เห็นประมุขรัฐปีกทองอยู่ในสายตาเลย
บัดนี้พละกำลังที่ทางฝ่ายพวกเขามีนั้นเหนือกว่าประมุขรัฐปีกทองอย่างสิ้นเชิง หากทำเพื่อจะกลืนกินทั้งรัฐปีกทองไปจริงๆ บัดนี้ทั้งรัฐปีกทองก็คงจะไม่มีชีวิตรอดแม้แต่ผู้เดียวแล้ว! พวกเขามิได้ทำเพื่อกลืนกิน หากแต่ต้องการทำให้ผู้บำเพ็ญกลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณมากขึ้นต่างหากเล่า
“ฟิ้ว”
ข้างถนนสายหนึ่งมีจวนมากมายตั้งอยู่แน่นขนัด ทันใดนั้นเงาดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า พลางเปล่งเสียงหัวเราะแหลมแสบหู จากนั้นพละกำลังดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็เข้าปกคลุมจวนด้านล่าง ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญทั้งหลายภายในจวน รวมทั้งตัวจวนเองก็พลันลอยขึ้นมา แล้วลอยไปทางเงาดำนั้น
“ไม่!”
“เป็นมารร้าย”
“เป็นมหามารร้ายดูดกลืน”
สิ่งมีชีวิตจำนวนมากภายในจวนทั้งห้าแห่งที่ถูกดูดกลืนไปนั้นตื่นตระหนกเหลือแสน พวกเขาเหล่านี้ล้วนอยู่ท่ามกลางความแตกตื่นไม่สงบสุขมาตลอดทุกวันคืน ด้วยกลัวว่าสักวันหนึ่งมารร้ายเหล่านั้นจะกลืนกินพวกเขาลงไป แต่พวกเขาก็พยายามปลอบประโลมตนเอง ตัวเมืองของรัฐปีกทองก็กินพื้นที่ถึงสิบล้านลี้แล้ว ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์โลกทิพย์ แต่ละครั้งมารร้ายก็ทำได้เพียงกลืนกินเป็นบริเวณเล็กๆ เท่านั้น คงจะไม่บังเอิญถึงขนาดกินตนลงไปหรอกกระมัง
ทว่าฝันร้ายก็ยังมาเยือนอยู่นั่นเอง
“อ๊าก”
“ไม่…”
“ไม่!”
เสียงแหลมสูงสะพัดออกไป ทำให้ผู้อาศัยจำนวนนับไม่ถ้วนอดตื่นตระหนกมิได้ พวกเขาหลายคนกราบทูลขึ้นไปยังราชวงศ์รัฐปีกทอง แต่แทบจะในพริบตาเดียว เงาร่างกลางอากาศก็สลายตัวและจากไปอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อผู้อาวุโสคุ้มรัฐทั้งสองมาถึง ก็เห็นเพียงบริเวณที่ก้อนอิฐถูกกลืนกินลงไป และชาวบ้านที่แตกตื่นหาใดเปรียบทั้งหลายโดยรอบ
“สมควรตาย”
“หนีไปรวดเร็วนัก” ผู้อาวุโสคุ้มรัฐทั้งสองโกรธเสียจนขบกรามกรอด
……
มารร้ายกลุ่มหนึ่งแทรกซึมไปทั่วรัฐปีกทอง แล้วลอบโจมตีอย่างเงียบเชียบครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งล้วนกลืนกินพื้นที่เพียงเล็กน้อยแล้วจากไปทันที! ทั้งรัฐปีกทองแทบจะมีผู้บำเพ็ญถูกกลืนกินอยู่ตลอดเวลา ผู้คนทั้งรัฐพากันใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าหนีไปจากรัฐปีกทอง เพราะหากหนีออกไป เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากประมุขรัฐ พวกเขาก็จะตายเร็วยิ่งกว่าเสียอีก
และในยามนี้เอง ลัทธิคำสอนลับแขนงหนึ่งก็กำลังเผยแผ่ลัทธิ
ขอเพียงนับถือลัทธิทิพย์โบราณ ก็จะได้รับความคุ้มครองจากพวกเขา! มารร้ายเหล่านั้นก็ไม่กล้าล่วงเกินลัทธิทิพย์โบราณ
บรรดา ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ ซึ่งนับว่าเป็นระดับยอดภายในรัฐปีกทองยังถูกเผยแพร่ลัทธิอย่างต่อเนื่อง บางคนที่หัวแข็งหน่อยก็ถูกจับตัวไปทันที จำต้องนับถือลัทธิทิพย์โบราณ…หากหลังจากจับไปแล้วมีผู้ที่มิอาจเปลี่ยนให้เป็นศิษย์ของลัทธิได้จริงๆ ในท้ายที่สุด สถานการณ์เช่นนั้นก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ภายในกรงทั้งหลาย
แต่ละคนล้วนจองจำผู้บำเพ็ญเอาไว้คนหนึ่ง อย่างต่ำที่สุดก็เป็นผู้ปกครองเทพแท้ และยังมีเทพอากาศสองคนถูกจองจำอยู่ด้วย
“วิ้งๆๆ…” ที่ผิวกรงมีลำแสงสีดำแผ่กำจายออกมา อักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่เหนือกรง คลื่นเสียงอันไร้รูปร่างแทรกเข้าไปในห้วงสมองของผู้บำเพ็ญที่ถูกจองจำอย่างต่อเนื่อง
“อ๊ากๆๆ” ผู้บำเพ็ญที่ถูกจองจำล้วนแต่เจ็บปวดเป็นอันมาก พวกเขาดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน
บางคนเดิมทียังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด แต่กลับค่อยๆ เผยสีหน้าสุขสำราญออกมาแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความร้อนเร่า หว่างคิ้วมีตราเทพสีดำปรากฏขึ้นจากนั้นก็ซ่อนเร้นไป
“พวกเรามีพี่น้องเพิ่มมาอีกคนแล้ว ปล่อยเขาออกมา” ผู้ดูแลด้านข้างปล่อยตัวผู้ที่มีตราเทพสีดำปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วเหล่านั้นออกมาทันที
“ที่แท้แล้วเขาเป็นลัทธิใดกันแน่ ไยจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้ ผู้ปกครองก็ยังต้องยอมศิโรราบเลย” ภายในกรงหนึ่ง บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งขบกรามทนเอาไว้ คลื่นเสียงอันไร้รูปร่างแทรกเข้าไปในวิญญาณของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เขายากจะทานทน ราวกับน้ำวนอันดำมืดจะดูดกลืนวิญญาณของตนไป ขอเพียงตนไม่ต้านทานเอาไว้ วิญญาณจมดิ่งลงไป ก็คล้ายว่าจะสามารถหลุดพ้นได้แล้ว
แต่ว่า…
บำเพ็ญจนสำเร็จเป็นผู้ปกครอง ไหนเลยจะจมดิ่งลงไปได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเล่า
“ไม่” บุรุษร่างกำยำนี้ยังคงทนเอาไว้
“ลัทธิทิพย์โบราณนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว มีเคล็ดลับที่สามารถติดต่อกับวิญญาณของพวกเราได้ แล้วทำลายร่างแยกร่างอื่นๆ ของพวกเราทิ้ง” บุรุษร่างกำยำยิ่งคิดก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความกดดัน เดิมทีเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ภายในรัฐปีกทอง ระยะเวลาในการบำเพ็ญสั้นมากก็สำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว เขายังวางแผนว่าจะออกเดินทางไปยังเมืองวารีสวรรค์พร้อมภรรยาของตน และคิดจะคารวะเข้าอยู่กับวังทวีสูญ
คิดไม่ถึงว่ายังมิทันได้ออกเดินทาง ก็พบกับลัทธิทิพย์โบราณอันน่าหวาดหวั่นนี่เข้าเสียแล้ว
“ไม่รู้ว่าชิงรั่วเป็นอย่างไรบ้าง นางฉลาดกว่าข้า คงจะไม่โชคร้ายถูกจับไปหรอกกระมัง” บุรุษร่างกำยำลอบคิด เขาขบกรามฝืนทนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าการบำเพ็ญจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าเหล่าผู้ปกครองโดยรอบมากนัก จึงสามารถทนเอาไว้ได้
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงพาผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกกลุ่มหนึ่งทะลุอากาศไปด้วยความเร็วสูง
“ใกล้ถึงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงกำชับ “เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี”
“ขอรับ”
แต่ละคนต่างก็รับคำ ครั้งนี้เป็นถึงผู้อาวุโสตำหนักในนำทัพ พวกเขาล้วนไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย
ฟิ้ว
ในที่สุดก็เข้าไปในเขตของตัวเมืองรัฐปีกทอง ไม่นานนักพวกตงป๋อเสวี่ยอิงกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้าเหนือราชวังของรัฐปีกทอง พวกเขากลุ่มนี้มีจำนวนถึงสามสิบสามคน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นเทพอากาศ ในจำนวนนั้นมีขั้นรวมเป็นหนึ่งถึงสองคน กลิ่นอายปลดปล่อยออกมาตามอำเภอใจ ที่นี่ยังเป็นสถานที่สำคัญของราชวัง ประมุขรัฐปีกทองจึงสังเกตเห็นในทันที จากนั้นเขาก็ยินดีปรีดาเป็นอันมาก
สวบ ประมุขรัฐปีกทองก็พาผู้อาวุโสคุ้มรัฐสามท่านบินมาถึงกลางอากาศทันที จากนั้นก็พูดด้วยความเคารพหาใดเปรียบว่า “ยินดีต้อนรับทูตพิเศษขอรับ”
เขาออกจะแปลกใจอยู่บ้าง
ขากเครื่องแต่งกายเขาก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ในจำนวนนั้นมีสามสิบคนที่เป็นผู้ดำเนินงาน และมีสองท่านที่เป็นผู้อาวุโสตำหนักนอก! ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำคนนั้นเป็นใครกัน
“กระตุ้นค่ายกลรักษาเมืองของรัฐปีกทองขึ้นมา นับแต่นี้เป็นต้นไป ห้ามผู้ใดจากไปเป็นอันขาด หากมีผู้ใดจะฝืนแหวกค่ายกลจากไป ท่านต้องรีบรายงานโดยทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
“ขอรับ” ประมุขรัฐปีกทองรับคำด้วยความเคารพทันที
“ที่ผ่านมาพวกท่านรับมือกับมารร้ายเหล่านั้นอย่างไร ตอนนี้ก็รับมืออย่างนั้นต่อไปล่ะ ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับอีก
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสตำหนักนอกสองท่านและผู้ดำเนินงานตำหนักนอกสามสิบท่านต่างพากันรับคำสั่ง
จากนั้นพวกเขาก็แบ่งเป็นสี่กองกำลังอย่างรวดเร็ว แต่ละกองนำโดยผู้อาวุโสตำหนักนอกหรือไม่ก็ผู้ดำเนินงานขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง พวกเขาแยกย้ายกันเร่งทะยานไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มตรวจสอบและไล่ล่าทันที
“ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้มีสถานะอันใดกัน เหมือนทุกคนจะฟังคำสั่งเขากันหมด” ประมุขรัฐปีกทองลอบพึมพำ
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่เหนือราชวังโดยมิได้สนใจประมุขรัฐปีกทองเลย หากแต่สำแดงแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลออกมา เขาบำเพ็ญอยู่ในตำหนักกาลเวลาเกือบสองพันล้านปี ทำให้ผลสำเร็จทางด้านแผนภาพคลื่นจานของเขาไม่ย่อหย่อนไปกว่าสิบสามกระบี่ผลาญโลกาเลย
“วิ้ง…”
น้ำวนอันไร้รูปร่างซึ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลางแผ่กำจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง
การตรวจสอบภายในโลกทิพย์นั้นทำได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูที่เจ้าเล่ห์ทั้งหลายก็จะจงใจเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ ดังนั้นวิธีตรวจสอบธรรมดาก็จะไร้ประโยชน์ โดยทั่วไปการตรวจสอบตามปกติก็จะใช้ ‘บริเวณกฎเกณฑ์’ ภายใต้การกดดันของโลกทิพย์…โดยทั่วไปบริเวณกฎเกณฑ์ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ปกคลุมบริเวณเพียงแค่หมื่นลี้ ต่อให้เป็นแกนนำขั้นอลวน บริเวณกฎเกณฑ์ก็ปกคลุมเพียงแค่ล้านลี้เท่านั้น
นี่ก็คือขอบเขตการตรวจสอบตามปกติของพวกเขา นอกเสียจากจะรู้เคล็ดลับการตรวจตราที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง! ส่วนแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลนั้นเป็นศาสตร์ลับขั้นจักรวาลวิถีระลอกคลื่นเพียงหนึ่งเดียวของวังทวีสูญและเป็นศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทางด้านการตรวจตราที่สุดของวังทวีสูญอย่างไร้ข้อกังขา
“เขากำลังทำอะไรน่ะ” ประมุขรัฐปีกทองสงสัยขึ้นมา เขาถึงขั้นไม่มีวิชาที่จะตรวจสอบตงป๋อเสวี่ยอิงได้
น้ำวนระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับกับระลอกคลื่นปกติในโลก มันตรวจสอบอย่างไร้สุ้มเสียง เพียงพริบตาเดียวก็ครอบคลุมขอบเขตถึงห้าแสนกว่าลี้ และนี่ก็คือขีดจำกัดที่เขาสามารถตรวจสอบได้ในขณะนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าแสนกว่าลี้เขาล้วนแต่ตรวจสอบโดยละเอียดยิ่งนัก คิดจะหลบหลีกให้พ้นจากการตรวจสอบของแผนภาพคลื่นจานของเขานั้นเป็นเพียงความฝันโดยแท้
……………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น