Snow Eagle Lord ภาค 27 ตอนที่ 19-24
ตอนที่ 19 น่าอัศจรรย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทางด้านเมืองวารีสวรรค์แห่งนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นเป็นอย่างมากจริงๆ นี่คือศาสตร์ลับที่จนกระทั่งถึงตอนนี้เขารู้สึกว่าเหมาะสมกับระบบวิถีโลกเทียมของเขาเป็นที่สุด สามารถผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง
ศาสตร์ลับศาสตร์นี้ช่างร้ายกาจเป็นที่สุด ในระดับขั้นเดียวกันก็ใกล้เคียงกับศาสตร์ลับขั้นจักรวาลแล้ว! เหล่าผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญที่ต่างก็ครอบครองศาสตร์ลับขั้นจักรวาลก็ยังไม่มีผู้ใดผ่านชั้นที่หกได้เลยแม้แต่คนเดียว แน่นอนว่านี่คือการตระหนักรู้ของแต่ละบุคคลเป็นเหตุ
อย่างเช่นวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกา ตามหลักของขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถตระหนักรู้กระบี่ที่หกได้ พอตระหนักรู้กระบี่ที่หกแล้วก็มีความมั่นใจเต็มที่ในการผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาว
น่าเสียดายที่ปัจจุบันบรรดาผู้อาวุโสตำหนักในแห่งยุคนี้ไม่สามารถทำได้!
“สูงกว่านี้มิได้แล้วนะ สูงกว่านี้มิได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าสมบัติล้ำค่าของเขาก่อนหน้านี้ก็มีมูลค่าเพียงสามร้อยแปดสิบห้าก้อนศิลาปฐมโลกาเท่านั้น จำนำแต้มความดีความชอบก็ได้เพียงหนึ่งร้อยหกสิบก้อนศิลาปฐมโลกา ถึงแม้ว่าจะยังมีวัตถุเบ็ดเตล็ดอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดของตนแล้ว
ยามที่หญิงสาวอาภรณ์ม่วงประกาศในท้ายที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยสีหน้ายินดี
“ยินดีกับผู้อาวุโสตงป๋อด้วย” ประมุขหออวี่ฉีพูด
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “เสียดายก็แต่ราคาออกจะสูงไปสักหน่อย”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ พอท่านศึกษาเสร็จแล้วก็สามารถขายต้นฉบับวิชาโลกอนธการนี้ทิ้งได้” ประมุขหออวี่ฉีพูด “หรือกระทั่งสามารถลองถามทางวังทวีสูญว่าปรารถนาจะให้ราคาเท่าใด แต่ข้าคาดว่าคงจะไม่สูงไปกว่าราคาขั้นต่ำของครั้งนี้สักเท่าใดนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ใช่แล้ว
ราคาขั้นต่ำเพียงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบก้อนศิลาปฐมโลกา ตนกับบรรพชนเฉวียนโหมวท่านนั้นสู้ราคากันไปจนถึงห้าร้อยเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา! ราคานี้ช่างสูงลิ่วจริงๆ ถ้าหากมิใช่ว่าได้บุกทำลายฐานที่มั่นของสำนักทิพย์โบราณแห่งนั้นไป ตนก็ย่อมไม่มีปัญญาเสนอราคาที่่สูงลิ่วเช่นนี้ได้เลย
“ผู้อาวุโสตงป๋อ มีข่าวดีข่าวหนึ่งขอรับ” ประมุขหออวี่ฉีเผยสีหน้ายินดีในทันใดแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ท่านมิได้รู้สึกว่าซื้อมาแพงไปหรือ บรรพชนเฉวียนโหมวเพิ่งจะติดต่อท่านผ่านหอทะเลสัตตดาราของข้ามา เขาต้องการจ่ายหนึ่งร้อยห้าสิบศิลาปฐมโลกาสำหรับการศึกษาเพียงหนึ่งครั้ง ส่วนต้นฉบับก็เป็นของท่านเช่นเดิม”
“บรรพชนเฉวียนโหมวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถคาดเดาเอาไว้ได้ก่อนแล้วว่าอีกฝั่งอาจจะติดต่อตนมา ก็เหมือนกับที่ตนคิดจะติดต่อเขาก่อนหน้านี้นั่นเอง
เพียงแต่ว่าห้ามติดต่อในขณะประมูล ตอนนี้การประมูลเสร็จสิ้นลงแล้วจึงสามารถติดต่อได้
“บอกเขาไปว่าสามร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“สามร้อยก้อนสำหรับการศึกษาครั้งหนึ่งหรือ” ประมุขหออวี่ฉีลิ้นคับปากอยู่บ้าง
“ท่านส่งข่าวออกไปเช่นนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ก็ได้” ประมุขหออวี่ฉีพยักหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเจ้าดาราหมิงอวี๋ที่อยู่บนยกพื้นผู้นั้นอย่างเงียบๆ แล้วขายสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ต่อไป เขาเสนอราคาสามร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาออกไปอย่างมีมาตรฐานอยู่ ในเมื่อขณะที่ประมูล อีกฝ่ายไปถึงราคาห้าร้อยก้อน บวกกับอ้างอิงจากการคาดการณ์ของตน อีกฝ่ายก็เพียงแค่อยากจะใช้กระตุ้นตนเองเท่านั้น เช่นนั้นศึกษาสักครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ต้นฉบับกลับมิได้มีความสำคัญกับอีกฝ่ายถึงเพียงนั้นเลย
ตัวต้นฉบับเองก็มีมูลค่า แต่มูลค่านั้นมีขีดจำกัด คาดว่าคงราวๆ สองสามร้อยศิลาปฐมโลกากระมัง
ศึกษาครั้งหนึ่ง สามร้อยศิลาปฐมโลกา… คงจะถึงขีดจำกัดที่อีกฝ่ายยอมรับได้ อาจจะสูงกว่านี้ได้อีกเล็กน้อย แต่ว่าการโก่งราคาสูงเสียดฟ้า กดราคาต่ำติดดินก็เพราะศิลาปฐมโลกานี้เป็นที่รักหวงแหนของตนหมดทุกก้อน
“บรรพชนเฉวียนโหมวกลับแล้ว” ประมุขหออวี่ฉีมองตงป๋อเสวี่ยอิง “บอกว่าสูงเกินไปแล้ว เขาให้ได้สูงที่สุดเพียงสองร้อยยี่สิบก้อนศิลาปฐมโลกาเท่านั้น”
“บอกเขาว่าข้าซื้อต้นฉบับมาในราคาสูงยิ่งกว่า อย่างต่ำที่สุดก็คือสองร้อยแปดสิบก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ทั้งสองฝ่ายเอาแต่พูดว่าสูงสุดต่ำสุด แต่กลับต่อรองราคากันอย่างไม่จบไม่สิ้น
ฝ่ายหนึ่งคือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ส่วนอีกฝ่ายก็คือผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ กำลังสู้กันไม่หยุดหย่อนเพราะศิลาปฐมโลกา
เพราะทุกคนต่างก็กระจ่างแจ้งแก่ใจดี!
ต่างก็ทำเพื่อการบำเพ็ญ ในท้ายที่สุดจะต้องมีระดับราคาที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ผู้ที่ปรารถนาจะจ่ายเพื่อวิชาโลกอนธการด้วยราคาสูงนั้นมีอยู่ไม่มากนัก เห็นว่าการช่วงชิงสิ่งล้ำค่าในคราวนี้เป็นเขาสู้อยู่กับบรรพชนเฉวียนโหมว ในครั้งอื่นๆ ราคาที่ได้ก็จะยิ่งน้อยกว่านี้ ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นแค่การศึกษาเพียงครั้งเดียว แต่คนที่เต็มใจจ่ายด้วยราคาสูงนั้นยากที่จะพบพานสักคนหนึ่ง
พบพานคนผู้นั้นแล้วราคาจะต่ำมิได้!
สองฝ่ายต่อรองกันจนถึงท้ายที่สุด
สองร้อยสามสิบห้าก้อนศิลาปฐมโลกาสำหรับให้บรรพชนเฉวียนโหมวศึกษาครั้งหนึ่ง!
……
ทั้งงานประมูลดำเนินไปเป็นเวลากว่าครึ่งวัน ท้ายที่สุดแล้วสมบัติเลอค่าชิ้นปิดท้าย ‘เชิงฉวิน’ ก็คือกระโปรงหนังอันแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตสักชนิดหนึ่ง คำอธิบายของหญิงสาวอาภรณ์ม่วงก็คลุมเครือยิ่งนัก แต่การประมูลกลับบ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง ราคาสุดท้ายไปถึงราคาอันน่าหวาดหวั่น สามพันเก้าร้อยแปดสิบสองก้อนศิลาปฐมโลกา! ราคานี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับพูดไม่ออก
“ดูท่าทางจะเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างหนึ่ง เป็นผิวหนังชั้นนอกของร่างกายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “สามารถขายได้ด้วยราคาสูงถึงเพียงนี้ เป็นผิวหนังชั้นนอกของเทพจักรวาลหรือไร”
ถึงแม้ว่าในใจจะสั่นสะท้าน แต่เขาก็ยังมาถึงโถงตำหนักลับใต้ดินของหอย่อยแห่งหอทะเลสัตตดาราแห่งนี้พร้อมกับประมุขหออวี่ฉีด้วยอารมณ์อันดียิ่ง
ตรงกลางของโถงตำหนักใต้ดินมีค่ายกลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณร้อยเมตรอยู่แห่งหนึ่ง
ประมุขหออวี่ฉียืนเคียงไหล่ตงป๋อเสวี่ยอิง เขาชี้ค่ายกลที่อยู่ไกลออกไป “ค่ายกลแห่งนี้ก็เพื่อแสดงตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอน อีกไม่นานผู้แกร่งกล้าจากอีกฝั่งหนึ่งก็จะนำต้นฉบับวิชาโลกอนธการมาส่งแล้วขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ส่งผ่านมาจากระยะไกล…
การส่งผ่านสิ่งมีชีวิตนั้นยากเย็นเป็นที่สุด การส่งผ่านสิ่งของนั้นง่ายดายกว่ามากนัก เช่นตนและจอมมารในตอนแรกที่ถูกบรรพชนทรายส่งผ่านโลกทิพย์กิเลนบูรพามาถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา บรรพชนทรายก็เพียงแค่ถามจอมมารว่าได้พาลูกน้องคนอื่นมาด้วยหรือไม่ แต่กลับมิได้ถามเลยว่าได้พกพาสิ่งของอันใดมาด้วยบ้าง ก็เพราะเหตุนี้หากเป็นสิ่งของไม่มีชีวิต การส่งผ่านก็จะผ่อนคลายกว่าเป็นอย่างมาก
“ต้นฉบับวิชาโลกอนธการ อ้างอิงจากข้อตกลงระหว่างท่านกับบรรพชนเฉวียนโหมว ได้ให้บรรพชนเฉวียนโหมวศึกษาแล้ว เขาทางนั้นได้จ่ายมาแล้วสองร้อยสามสิบห้าก้อนศิลาปฐมโลกา ท่านทางนี้ยังต้องจ่ายอีกสองร้อยหกสิบหกก้อนศิลาปฐมโลกา” ประมุขหออวี่ฉีพูด
“สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ขายทิ้งให้หมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแล้วก็ส่งกำไลเก็บวัตถุให้กับประมุขหออวี่ฉีที่อยู่ข้างกาย
ประมุขหออวี่ฉีรับมาแล้วก็ตรวจตราดูคราหนึ่ง “เอาล่ะ รออีกประเดี๋ยวจะมอบศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยสิบเก้าก้อนให้กับท่านผู้อาวุโสตงป๋อ”
“วิ้ง”
เบื้องหน้ามีทางเชื่อมห้วงที่มิติม้วนพับและบิดตัวอยู่ปรากฏขึ้น
ตำราสีดำเล่มหนึ่งลอยออกมาจากทางเชื่อมแล้วร่อนลงตรงกลางค่ายกลอย่างช้าๆ จากนั้นทางเชื่อมก็สลายตัวไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกายแล้วก้าวเข้าไปหยิบเอาตำราเล่มนี้มาไว้ในมือ ตำราที่ทำขึ้นจากโลหะสีดำเล่มนี้มีอักษรสัญลักษณ์บิดเบี้ยวหลายตัวอยู่บนปก ซึ่งก็มีความหมายว่า ‘โลกอนธการ’ แต่กลับแฝงไว้ด้วยเขตลวงโดยธรรมชาติ ถึงขนาดที่ตำราทั้งเล่มล้วนมีไอหมอกสีดำม้วนตัวอยู่ เกรงว่าผู้ที่จิตวิญญาณอ่อนแอสักหน่อยอาจถูกดูดกลืนเข้าไปในตำราเล่มนี้
เขาค่อยๆ พลิกเปิดตำราอย่างช้าๆ
“ฟิ้ว!”
ตัวอักษรบนตำราเปลี่ยนแปรกลายเป็นตัวอักษรสัญลักษณ์ตัวแล้วตัวเล่าเหินลอยมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเจาะเข้าไปในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่อง
โลกอนธการ
นี่คือศาสตร์ลับที่ไม่เสร็จสมบูรณ์เล่มหนึ่ง ‘ประมุขโลกอนธการ’ ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้ล้ำเลิศน่าอัศจรรย์ผู้นั้นได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดแจ้งในตอนต้นของตำราเล่มนี้ เขาต้องการจะสร้างท่าไม้ตายสามท่าของวิชาโลกอนธการ กระบวนท่าแรกสามารถผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว ส่วนกระบวนท่าที่สองนั้นสามารถผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้ กระบวนท่าที่สามตามแผนนั้นถึงขนาดสามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดได้!
ด้วยความเย่อหยิ่งของประมุขโลกอนธการ ก็คือจะไปให้ถึงขีดจำกัดของประวัติศาสตร์ขั้นรวมเป็นหนึ่ง… บุกผ่านชั้นที่เจ็ดด้วยระดับขั้นรวมเป็นหนึ่ง!
ถึงแม้ว่าสองกระบวนท่าแรกในตำราจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทว่ากระบวนท่าที่สามกลับไม่มีบันทึกเอาไว้ ตอนนั้นเขายังมิทันได้สรรสร้างเคล็ดวิชาที่แกร่งยิ่งขึ้นก็มาตายตกไปเสียก่อน
วิชา ‘ฟองอากาศอนธการ’ กระบวนท่าแรกของวิชาโลกอนธการ โลกที่สร้างขึ้นสามารถห่อหุ้มศัตรูเอาไว้แล้วหดเล็กลงโดยฉับพลัน หดเล็กลงจนถึงขีดสุดในทันที โลกขนาดมหึมาแห่งหนึ่งทำให้ศัตรูที่ถูกห่อหุ้มโดยสมบูรณ์ตัวหดเล็กลง ราวกับฟองอากาศที่ห่อหุ้มศัตรูเอาไว้ แต่ทว่าฟองนี้กลับผนวกเอาพละกำลังของโลกใบหนึ่งเอาไว้ โลกที่สร้างขึ้นสำหรับการระเบิดโดยเฉพาะ หลังจากนั้นเพียงชั่วความคิดเดียวโลกก็ระเบิดออก! โลกทั้งใบแตกสลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกก็แหลกสลายจนสิ้น พลังคุกคามน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด
กระบวนท่าที่สองของวิชาโลกอนธการ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ พื้นฐานของโลกใบนี้ก็เพื่อสร้าง ‘ใบมีด’ นี้ขึ้นมาอันหนึ่ง ซึ่งนี่ก็คือใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ มาจากภาพมายา ซึ่งกะทันหันเป็นที่สุด โดยทั่วไปแล้วศัตรูต่างยากที่จะเข้าใกล้ตัว ก็ถูกมีดแทงปลิดชีพเสียก่อนแล้ว! ประมุขโลกอนธการยืนอยู่ที่เดิมก็มี ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ อันแล้วอันเล่าพุ่งมากลางอากาศ! ศัตรูอยู่รอบด้านทุกทิศทาง อาศัยกระบวนท่านี้ ชื่อเสียงของเขาก็สะท้านสะเทือนไปทั่วมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ด้วยพลังยุทธ์ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถเทียบเคียงกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนได้
น่าเสียดายที่ยังมิทันสรรสร้างกระบวนท่าที่สามออกมา ก็มาตายตกไปเสียแล้ว
……………………………………………..
ตอนที่ 20 ห้องเงียบไม้หอมชีหยา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงถือตำราสีดำเอาไว้ แต่กลับจ่อมจมอยู่กับศาสตร์ลับโลกเขตลวงที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ศาสตร์นี้ของประมุขโลกอนธการอย่างสมบูรณ์แล้ว การสร้างโลกขนาดมหึมาใบหนึ่งขึ้นมาเพียงเพื่อท่าไม้ตายท่าหนึ่ง เดิมทีความคิดนี้ก็เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว แต่ยังสรรสร้างศาสตร์ลับออกมาโดยอิงจากสิ่งนี้อีกด้วย ‘ประมุขโลกอนธการ’ ท่านนี้ช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์โดยแท้
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็มีผู้มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์หาใดเปรียบอยู่บ้าง แม้กระทั่งขั้นรวมเป็นหนึ่งที่บุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ก็ยังมี แม้กระทั่งผู้ที่มาเยือนวังทวีสูญแล้วปลีกวิเวกครั้งเดียวก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดได้ดังเช่นจอมกระบี่นี้ก็มีเช่นกัน!
สำหรับบรรดาผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับถือเป็นอย่างยิ่ง
“โลกอนธการ…” ห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับข้อมูลโดยละเอียดของศาสตร์ลับนี้แล้วก็ถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว
สำหรับการสร้างโลก หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงโลกตามอำเภอใจ ที่ง่ายดายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือเขตลวง!
เพราะเป็นมายาอยู่แล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจึงง่ายดายที่สุด
‘วิถีโลกเทียม’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความจริงนั้นยากเย็นนัก แต่กับโลกเทียมนั้นเขานึกอยากจะให้เปลี่ยนเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น ประกอบฟ้าดินโลกเทียมขึ้นมาก่อน! หลังจากนั้นค่อยแปลงโลกเทียมให้กลายเป็นจริง เพราะถึงอย่างไรโลกเทียมก็ผนวกความจริงเข้ามา และวิวัฒน์ความจริง…สำหรับระดับขั้นเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ง่ายดายยิ่งนัก ยามที่เป็นขั้นบุกเบิกเขาก็สามารถทำให้โลกเทียมเปลี่ยนเป็นความจริงได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย!
ก่อนอื่นต้องให้โลกเทียมสร้างโลกของท่าไม้ตายที่สมบูรณ์แบบออกมาก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็นความจริง! สำแดงท่าไม้ตาย!
“ฟองอากาศอนธการ” รัศมีจำนวนมหาศาลวับวาบอยู่ภายในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง
วิถีสามสาย
พรสวรรค์ทางด้านวิถีโลกเทียมของเขาสูงส่งที่สุด ขณะนี้หยั่งรู้ศาสตร์ลับโลกอนธการศาสตร์นี้ ก็กระตุ้นแสงทิพย์วิญญาณ์ต่างๆ แล้วหยั่งรู้ในทันใด
“ประมุขหออวี่ฉี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเบิกตากว้างมองไปทางประมุขหออวี่ฉีที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ประมุขหออวี่ฉีพูด เขามองผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้รับถ่ายทอดศาสตร์ลับแต่กลับจมดิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็เกิดความฉงนอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงศาสตร์ลับที่ผู้แกร่งกล้าเปี่ยมพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งเขียนขึ้น ปริมาณข้อมูลก็ย่อมมีอยู่ไม่มากอย่างแน่นอน การรับถ่ายทอดควรจะรวดเร็วเป็นที่สุด แล้วเหตุใดผู้อาวุโสตงป๋อจึงได้จมดิ่งอยู่ที่นั่นเนิ่นนานนัก แต่เขาก็มิกล้ารบกวน
“รีบพาข้าไปเร็วเข้า ไปที่ห้องเงียบสำหรับบำเพ็ญที่ดีที่สุดของหอทะเลสัตตดาราของพวกเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง “จำเอาไว้นะ ห้องที่ดีที่สุด”
“ขอรับ” ประมุขหออวี่ฉีดวงตาเป็นประกาย “เชิญตามข้ามาเลยขอรับ”
พรึ่บ
ถึงแม้ว่าห้องเงียบในคฤหาสน์ของตนก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว แต่เมื่อเทียบกับห้องเงียบที่ดีที่สุดของหอทะเลสัตตดาราที่สร้างขึ้นเพื่อตัดสิ่งเร้าภายนอกโดยเฉพาะแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่มากนัก!
“ห้องเงียบระดับรากฐาน” ประมุขหออวี่ฉีเดินไปพลางแนะนำไปพลาง “คือห้องเงียบสำหรับบำเพ็ญที่ดีที่สุดของหอทะเลสัตตดาราของพวกเรา ตัวห้องเงียบนั้นสร้างขึ้นจาก ‘ไม้หอมชีหยา’ ไม้หอมชีหยาสามารถปล่อยกลิ่นหอมตามธรรมชาติออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเป็นอย่างมาก เมื่อไม้หอมชีหยาที่สมบูรณ์ปล่อยกลิ่นหอมไปเป็นเวลามากกว่าสามร้อยล้านปีแล้วก็จะไม่มีกลิ่นหอมอีก กลายเป็นไร้ค่าทั้งหมด จำเป็นต้องเปลี่ยนไม้หอมชีหยาใหม่มาแทน”
“ดังนั้นยามปกติ ห้องเงียบระดับรากฐานนี้ก็จะหยุดเวลาเอาไว้” ประมุขหออวี่ฉีพูด “พอผู้บำเพ็ญเข้าไปแล้วเวลาจึงจะกลับมาเคลื่อนตามปกติ ราคาสำหรับการบำเพ็ญในนั้นก็คือ… หนึ่งร้อยล้านปี ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาหนึ่งพันก้อน หรือก็คือหนึ่งแสนปีใช้ศิลาปฐมโลกาก้อนหนึ่ง”
“ข้ารู้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะบำเพ็ญอยู่ภายในนี้เป็นระยะเวลายาวนาน ถ้าหากจะบำเพ็ญเป็นระยะเวลายาวนานก็จะต้องกลับไปยัง ‘ตำหนักกาลเวลา’ อย่างแน่นอน เพราะเวลาของตนมิอาจใช้อย่างสิ้นเปลืองตามอำเภอใจได้
สิ่งที่เขาต้องการก็คือการบำเพ็ญระยะสั้น!
เพราะตอนที่เปิดดูวิชา ‘โลกอนธการ’ เป็นครั้งแรกนั้นก็เกิดแสงทิพย์วิญญาณ์ขึ้นมากมาย เวลานี้คือโอกาสดีที่สุดสำหรับการปลีกวิเวกอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ยังต้องเลือกห้องเงียบที่ดีที่สุด ให้แสงทิพย์วิญญาณ์เหล่านี้แปรเปลี่ยนเป็นการตระหนักรู้และพลังยุทธ์!
ห้องเงียบที่มีราคาหนึ่งก้อนศิลาปฐมโลกาต่อหนึ่งแสนปี…เป็นการฟุ่มเฟือยก็จริง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เต็มอกเต็มใจ
“ภายในห้องเงียบสามารถฝึกแสดงพลังได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ขอเพียงแค่พลังที่โจมตีกำแพงไม้ของห้องเงียบไม่เกินกว่าระดับขั้นอลวนก็สามารถทำได้” ประมุขหออวี่ฉีเอ่ยตอบ “ค่ายกลของห้องเงียบแห่งนี้อย่างน้อยๆ ก็เป็นระดับขั้นประมุขตำหนักมาติดตั้งเอาไว้ด้วยตัวเอง”
“อ้อ”
ภายในหอทะเลสัตตดารา ณ บริเวณริมทะเลสาบแห่งหนึ่งมีห้องเงียบที่สร้างจากไม้แห่งหนึ่งอยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่าการไหลของเวลาของมันหยุดนิ่ง
“เชิญ” ประมุขหออวี่ฉีพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวตรงไปข้างหน้าแล้วผลักประตูไม้เปิดออก ทันใดนั้นกาลเวลาของห้องเงียบก็กลับมาไหลอย่างเป็นปกติ หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปแล้วประตูไม้ก็ปิดผนึกตัวเองโดยอัตโนมัติ!
กลิ่นหอมอ่อนจางอย่างยิ่งแผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ ทว่ากลิ่นหอมนี้ทำให้จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสบายเป็นอย่างยิ่ง เขาลงนั่งขัดสมาธิแล้วสงบจิตใจเริ่มต้นบำเพ็ญ ‘โลกอนธการ’ ในทันที มิให้สิ้นเปลืองเวลาเลยแม้แต่น้อย พรึ่บ กระทั่งกลางอากาศของห้องเงียบแห่งนี้มีโลกมายาใบหนึ่งปรากฏขึ้น โลกเต็มไปด้วยความมืดมิด เส้นสายอันลึกลับจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนหมุนวน โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหอทะเลสัตตดารา ‘บรรพชนกาฬสยบ’ บุรุษอ้วนเตี้ยผู้รั้งรออยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้วมีสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ทำไมไม่ออกมาเสียทีเล่า”
“เท่าที่ข้ารู้ งานประมูลสมบัติล้ำค่าในครั้งนี้สิ้นสุดลงตั้งนานแล้ว สิ้นสุดมาตั้งครึ่งเดือนแล้ว!” บรรพชนกาฬสยบร้อนรนจริงๆ เสียแล้ว เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้รวดเร็วอย่างยิ่ง จากหอทะเลสัตตดาราไปถึงจวนที่พักก็ใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องรักษาความระแวดระวังในระดับสูงสุดเอาไว้ จึงจะสามารถสกัดกั้นในชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านอากาศนั้นได้!
การรักษาความระแวดระวังในระดับสูงสุดมิใช่เพียงวันสองวัน ชั่วพริบตาเดียวก็ครึ่งเดือนแล้ว
มิอาจผ่อนคลายได้มาเป็นเวลาครึ่งเดือน ดีร้ายอย่างไรบรรพชนกาฬสยบก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นคนแรกในโลกทิพย์โบราณ รักษาสถานะนี้มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ก็ย่อมต้องโมโหโกรธาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“กลับได้”
บรรพชนกาฬสยบไม่รอในโรงเตี๊ยมอีกต่อไปแล้วกลับไปยังลานเล็กที่ตนซื้อเอาไว้
เขาไม่มีอารมณ์จะรักษาความระแวดระวังในระดับสูงสุดเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว เพียงแค่แบ่งความคิดสายหนึ่งไปรับสัมผัสบริเวณรอบนอกของหอทะเลสัตตดาราและรอบนอกคฤหาสน์ของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ออกมาเที่ยวเล่นไปตลอดกาล” บรรพชนกาฬสยบตัดสินใจแล้วว่าจะรอคอยอย่างช้าๆ รอเวลาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกแล้วค่อยลงมือ เวลาน่ะหรือ เขารอไหวอยู่แล้ว!
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกวิชาโลกอนธการกระตุ้นความสนใจที่มีต่อวิถีโลกเทียมอย่างแท้จริง หากพูดถึงการบำเพ็ญวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นนั้นก็ยังนับว่ากินแรงอยู๋บ้าง แต่การบำเพ็ญวิถีโลกเทียมนั้นแล้วทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างแท้จริง!
ภายในห้องเงียบไม้หอมชีหยา
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ อากาศโดยรอบมีโลกดำมืดกึ่งโปร่งแสงปรากฏชัดขึ้นมาพร้อมกับแผ่กลิ่นอายที่ชวนให้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง เส้นสายลึกลับจำนวนนับไม่ถ้วนพลิ้วไหวอยู่ภายในโลกดำมืดนี้
“อีกนิดเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตา หัวคิ้วขมวดมุ่น
เขาบำเพ็ญอยู่ภายในห้องเงียบมาเจ็ดหมื่นกว่าปีแล้ว ถึงขนาดที่เขาได้ตระหนักรู้ในส่วนรายละเอียดของ ‘ฟองอากาศอนธการ’ กระบวนท่าแรกของวิชาโลกอนธการแล้ว แต่พอยิ่งตระหนักรู้มากเข้า เขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงปัญหาที่มีอยู่มากขึ้นตาม! นั่นก็คือการจะสร้าง ‘ฟองอากาศอนธการ’ ได้นั้น โลกดำมืดที่สร้างขึ้นก็จำเป็นต้องเป็นร่างที่สมบูรณ์แบบ
ต้องการจะสร้างร่างที่สมบูรณ์แบบ ดังเช่น ‘ระบบกฎเกณฑ์โลกเทียม’ การใช้วิถีโลกเทียมเหนี่ยวนำกฎเกณฑ์อื่นๆ ให้สร้างระบบก็ไม่เหมาะสมเสียแล้ว
จำเป็นต้องก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง!
ทำให้ระบบกฎเกณฑ์โลกเทียมเข้าใกล้การเปลี่ยนแปรเป็น ‘รากฐานโลกเทียม’! มีเพียงการที่วิถีโลกเทียมทั้งหมดไปถึงระดับขั้น ‘รากฐานโลกเทียม’ ทำให้การควบคุมโลกเทียมไปถึงการรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์เท่านั้นจึงมีหวังที่จะสำแดงฟองอากาศอนธการออกมาได้สำเร็จ
ดังนั้นการทำให้วิถีโลกเทียมไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ตนสำแดงกระบวนท่าแรกของโลกอนธการได้!
และการบำเพ็ญ ‘โลกอนธการ’ ตลอดเจ็ดหมื่นกว่าปีนี้ การตระหนักรู้ต่างๆ นานาก็ทำให้ตนเข้าใกล้ ‘รากฐานโลกเทียม’ มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และเขายังอยากจะรวบรวมระบบทั้งหมดให้รวมเป็นหนึ่งในท้ายที่สุดด้วย! แปรเปลี่ยนเป็นรากฐานโลกเทียม แต่ก็ยังรู้สึกว่าขาดอีกเล็กน้อยอยู่ตลอด… อีกเล็กน้อยนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างหงุดหงิดใจ อย่างไรก็ไม่สามารถก้าวออกมาจากจุดนี้ได้เลย
“จุดคอขวดสุดท้าย” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม
“สู้ให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีกล่องแก้วผลึกใบหนึ่งปรากฏขึ้น กล่องแก้วผลึกนั้นโปร่งแสงจนสามารถเห็นได้ว่าด้านในมีผลไม้สีม่วงเข้มอยู่ผลหนึ่ง ซึ่งก็คือ ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ล้ำค่าที่สุดในครอบครองของตนนั่นเอง
เดิมทีในความคิดของเขา ควรจะเป็นระบบผู้ท่องอากาศที่ไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งเป็นอย่างแรก! แต่เพราะได้ศาสตร์ลับวิชาโลกอนธการมาโดยบังเอิญ และ ‘ฟองอากาศอนธการ’ กระบวนท่าแรกของวิชาโลกอนธการก็จำเป็นต้องใช้การรวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ของโลกเทียม ยามที่บำเพ็ญตนก็ย่อมเข้าใกล้ขั้นรวมเป็นหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ก็มาจนถึงจุดคอขวดสุดท้ายแล้ว
หนึ่งในนั้นมีโลกอนธการเป็นองค์ประกอบ การบำเพ็ญศาสตร์ลับนั้นมีส่วนช่วยในการยกระดับพลังยุทธ์อย่างแท้จริง
ทั้งยังมีพรสวรรค์ทางด้านวิถีโลกเทียมของตนด้วย! แล้วก็มีประโยชน์จาก ‘ห้องเงียบไม้หอมชีหยา’ นี่เป็นห้องเงียบที่ดีที่สุดเท่าที่ตนเคยบำเพ็ญมาเลยทีเดียว
ตอนนี้มาถึงจุดคอขวด กว่าจะบรรลุนั้นไม่แน่ว่าอาจจะต้องค้างคาอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานยิ่ง
“ผลปัดจิตวิญญาณ ใช้ก็ใช้เถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูผลไม้ที่อยู่ในกล่องแก้วผลึกในมือ
ผลปัดจิตวิญญาณเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง โดยทั่วไปจะมอบให้กับศิษย์อาภรณ์ทองที่เข้ามาใหม่อย่างเปิดเผย มิอาจซื้อหาได้ทั่วไป
แต่ถ้าหากบุคคลระดับสูงของวังทวีสูญต้องการจริงๆ ก็มีสิทธิ์ได้มา ดังเช่นประมุขวังสองท่าน เหล่าประมุขตำหนัก และผู้อาวุโสตำหนักใน หากอยากได้จริงๆ ก็สามารถหาได้ หลังจากที่ได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถพลิกอ่านศาสตร์ลับขั้นจักรวาลได้ตามใจชอบ วัตถุล้ำค่าหายากมากมายก็สามารถใช้แต้มความดีความชอบไปแลกเปลี่ยนมาได้ ทว่าสมบัติล้ำค่าที่ศิษย์อาภรณ์ทองสามารถแลกเปลี่ยนได้ก็มีขอบเขตจำกัด
ผู้อาวุโสตำหนักในก็สามารถแลกเปลี่ยนผลปัดจิตวิญญาณได้ ชั่วชีวิตกำหนดเอาไว้ที่สามผล ทุกผลต้องใช้แต้มความดีความชอบหกแสนแต้ม
แม้กระทั่งสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ดีกว่าผลปัดจิตวิญญาณได้ แต่ราคาก็จะสูงกว่านี้
ด้วยเหตุนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงตัดสินใจใช้ผลปัดจิตวิญญาณ! นอกจากนี้ยิ่งพลังยุทธ์ของตนแกร่งขึ้น สมบัติล้ำค่าก็ยิ่งมาก ก็ย่อมได้สิ่งที่ดีกว่าผลปัดจิตวิญญาณมาอย่างง่ายดายขึ้นอยู่แล้ว
“ลองชิมรสดูหน่อย รับสัมผัสผลลัพธ์ดูสักครั้งก่อนดีกว่า ผลนี้ก็มีราคาราวๆ ห้าสิบก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดกล่องแก้วผลึกแล้วหยิบเอาผลไม้สีม่วงเข้มออกมากัดลงไปคำหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ตาลุกวาว เคี้ยวกร้วมๆ อย่างต่อเนื่องหลายคำก็กินผลไม้ผลนี้ลงไปจนหมดเกลี้ยง
……………………………………
ตอนที่ 21 รวมเป็นหนึ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องเงียบไม้หอมชีหยา หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่กัดผลปัดจิตวิญญาณคำแรกลงไปแล้วก็รู้สึกว่าความเย็นเฉียบราวน้ำแข็งขุมหนึ่งไหลผ่านคอหอยแล้วแผ่ไปทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแผ่ซ่านไปถึงจิตวิญญาณ ทำให้จิตวิญญาณก็พลอยเย็นเฉียบไปด้วย แม้กระทั่งความสับสนเกี่ยวกับวิถีโลกเทียมในห้วงสมองจำนวนหนึ่งก็พลันมีรัศมีสายแล้วสายเล่าเปล่งประกายออกมา มีแนวคิดจำนวนมากที่ืทะลุจุดคอขวดได้
นี่ทำให้เขาปิติยินดียิ่งในทันใด แล้วกินผลปัดจิตวิญญาณต่อไปจนหมดเกลี้ยง ร่างกายและจิตใจทั้งหมดไปหยั่งรู้วิถีโลกเทียม
จิตวิญญาณที่เย็นเฉียบในขณะนี้กลับมีความคิดที่รวดเร็วเป็นที่สุด อีกทั้งแสงทิพย์วิญญาณ์สายแล้วสายเล่าก็ปรากฏขึ้นโดยฉับพลัน…
เดิมทีการบำเพ็ญมาถึงจุดคอขวดนั้นน่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เพราะยามที่ค้างอยู่ที่จุดคอขวดก็รู้สึกเพียงแค่ว่าถูกมัดมืออย่างไร้ทางแก้ หัวสมองขาวโพลนไปหมด ย่อมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะขบให้แตกได้อย่างไร ดังนั้นบรรดาผู้บำเพ็ญจึงได้แต่เลือกที่จะออกไปผจญภัย ออกไปต่อสู้ บำเพ็ญศาสตร์ลับอื่นๆ เป็นต้น หมายจะเริ่มต้นกลั่นกรองแนวคิดใหม่ๆ ออกมาท่ามกลางการสั่งสมอันยาวนาน!
แสงทิพย์วิญญาณ์ช่างเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนัก
‘วิถีโลกเทียม’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ใช้เป็นเคล็ดร่างแปรเท่านั้น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยสำแดงออกมาอย่างจริงจังเลย ยามที่พบเข้ากับศาสตร์ลับวิชาโลกอนธการ แสงทิพย์วิญญาณ์ก็พวยพุ่งราวกับน้ำพุ ดังนั้นเขาจึงปลีกวิเวกบำเพ็ญอย่างฉับพลัน ถึงขนาดเลือกใช้ห้องลับที่ล้ำค่าที่สุดแห่งหอทะเลสัตตดารา ‘ห้องเงียบไม้หอมชีหยา’ อย่างฟุ่มเฟือย ปลีกวิเวกเจ็ดหมื่นกว่าปีเขาก็ได้รับผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หยั่งรู้ ‘ฟองอากาศอนธการ’ กระบวนท่าแรกของวิชาโลกอนธการจนไปถึงขั้นสูงสุด แม้กระทั่งวิถีโลกเทียมก็ไปถึงจุดคอขวดอันสูงสุดของขั้นกำเนิดแล้ว
แต่ผ่านไปเจ็ดหมื่นกว่าปี แสงทิพย์วิญญาณ์ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง หลังจากเข้าสู่จุดคอขวดแล้วก็ยิ่งขาดแคลนมากขึ้นไปอีก
ต่อไปหากอ้างอิงจากกฎเกณฑ์โดยทั่วไปแล้ว หากไม่อาศัยเวลาเข้าว่า อย่างเช่นบำเพ็ญอยู่ภายใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ เป็นร้อยสองร้อยล้านปี บางทีอาจสามารถบรรลุจุดคอขวดแล้วเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ นี่ก็นับได้ว่าล้ำเลิศเป็นที่สุดแล้ว
หรือไม่ก็ออกไปต่อสู้เสาะหาโอกาส
นอกจากนี้แล้วก็มีวิธีการที่ฟุ่มเฟือยเป็นอย่างยิ่งอยู่อีกวิธีหนึ่ง! ก็คือการใช้วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญ!
แต่ไหนแต่ไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เคยใช้ของจำพวก ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ มาก่อนเลย การใช้เป็นครั้งแรกนี้ หนึ่งก็เพื่อการบำเพ็ญของตนเอง ส่วนอีกทางหนึ่งก็คิดอยากจะให้ตัวเองได้ลองรับผลที่เกิดขึ้นดูก่อนที่จะให้จิ้งชิวภรรยาและอวี้เอ๋อร์บุตรชายได้ใช้!
ผลลัพธ์นี้ช่างยอดเยี่ยมเป็นที่สุด!
“ระบบกฎเกณฑ์โลกเทียม ต้องรวมเป็นหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลรวมเป็นหนึ่งเดียว” ห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแสงทิพย์วิญญาณ์พุ่งขึ้นมามากมายแล้วเริ่มต้นหยั่งรู้ไตร่ตรอง ประสิทธิภาพการหยั่งรู้ในขณะนี้ก็รวดเร็วเป็นที่สุดเช่นกัน…
ขั้นรวมเป็นหนึ่ง
ก็นับได้ว่าเป็นชั้นผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านเช่นเดียวกัน อ้างอิงจากระดับความยากง่ายของระบบ หลังจากบรรลุแล้วพลังยุทธ์ก็ไม่เท่ากัน
ดังเช่นระบบการบำเพ็ญสายโลหิตระบบลัทธิจอมมารดา และระบบเหล่ากลืนกินเป็นต้น เมื่อเทียบกันแล้วขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ค่อนข้างอ่อนแอ! อย่างเช่นระบบ ‘ทิพย์’ หรือ ระบบ ‘ความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ นี้เมื่อเทียบกันแล้วก็แข็งแกร่งกว่าอยู่มากนัก
ขั้นรวมเป็นหนึ่งของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ระยะเวลาบำเพ็ญก็จะเนิ่นนานสักหน่อย การผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวก็มิใช่เรื่องยากนัก ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่ร้ายกาจหน่อยก็สามารถผ่านได้แม้กระทั่งชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาว หรือกระทั่งผู้ที่ร้ายกว่านั้นก็ผ่านกระทั่งชั้นที่ห้าได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จัดได้ว่าร้ายกาจเป็นที่สุด สามารถผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวได้ตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นกำเนิด!
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาดำสนิททอประกายชุ่มฉ่ำ ตลอดร่างแผ่กลิ่นอายอันน่าอัศจรรย์ออกมา นั่นคือกลิ่นอายที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง ตลอดร่างราวกับทหารเทพที่ผ่านการหล่อหลอมมานับครั้งไม่ถ้วน กลิ่นอายอัดแน่นเป็นอย่างยิ่ง โลกลวงที่ปรากฏขึ้นบริเวณรอบกายเขาพลันหดเล็กลงรวมตัวกันกลายเป็นจุดขนาดเล็กอย่างที่สุดจุดหนึ่ง
จุดนี้มีขนาดเล็กมาก
แต่กลับควบแน่นกันอย่างบริสุทธิ์ยิ่ง! แกร่งกล้ามั่นคงกว่าโลกลวงก่อนหน้านี้มากมายเหลือเกิน
“ขั้นรวมเป็นหนึ่ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบา
……
โลกภายในกาย
“ตึง…” ต้นฉบับเปลี่ยนแปรเป็นดาวเคราะห์ขนาดมหึมาราวกับดวงอาทิตย์ ในอดีตดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรโดยอ้างอิงจาก ‘ระบบกฎเกณฑ์โลกเทียม’ แต่ตอนนี้เมื่อระบบกฎเกณฑ์โลกเทียมรวมเป็นหนึ่งเปลี่ยนแปรเป็นจุดที่บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์แล้ว…นี่ก็คือ ‘รากฐานโลกเทียม’ ระดับขั้นใหม่ล่าสุดของวิถีโลกเทียม ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นรากฐานขั้นสุดยอดของโลกเทียม
ดาวเคราะห์ขนาดมหึมาส่งเสียงตึงตังดังกึกก้อง มันหมุนโคจรแต่กลับหดเล็กลงไม่หยุดหย่อน ปริมาตรของมันเล็กลงเรื่อยๆ
เดิมทีมีขนาดใหญ่พอๆ กับดวงอาทิตย์ เพียงไม่นานก็หดเล็กลงสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า ล้านเท่า ร้อยล้านเท่า… เล็กกว่าดาวเคราะห์ธรรมดาๆ ดวงหนึ่งเสียอีก เส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าร้อยเมตร จนกระทั่งเล็กกว่ากำปั้นของมนุษย์…ในกระบวนการการยุบตัว ความหนาแน่นของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นการพุ่งสูงขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย
ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง ดังเช่น ‘ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด’ ก็จะทำให้ความหนาแน่นของร่างกายตนเองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งการยกระดับน่าหวาดหวั่นมากเท่าใด ร่างกายก็จะยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่มีบางร่างกายที่สามารถเทียบเคียงได้กับอาวุธเทพอากาศเลยทีเดียว ดังนั้นใน ‘ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด’ พลังการต่อสู้ของขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับปกติก็สูงเช่นกัน การผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวก็ไม่ยากเลย ผู้ที่ล้ำเลิศก็สามารถผ่านได้แม้กระทั่งชั้นที่ห้า ผู้ที่บุกผ่านชั้นที่เจ็ดในประวัติศาสตร์ก็มีท่านหนึ่งที่เป็นระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด ในตอนนั้นร่างกายแข็งแกร่งถึงขั้นเกินธรรมดา ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเทียบเคียงได้กับอาวุธเทพอากาศ!
“พรึ่บ”
ดาวเคราะห์ที่เดิมทีใหญ่มหึมาราวกับดวงอาทิตย์ สุดท้ายก็หดเล็กลงจนถึงขีดสุด แปรเปลี่ยนเป็นจุดสีดำจุดหนึ่ง มันเล็กจนยากที่จะวัดขนาดได้ หรือไม่มีขนาดในความหมายเชิงกายภาพ เป็นเพียง ‘จุด’ จุดหนึ่งที่มีพลังงานบริสุทธิ์เป็นที่สุด
บริเวณโดยรอบของมันกำลังยุบตัวและบิดเบี้ยว
กฎเกณฑ์ของ ‘รากฐานโลกเทียม’ กลายเป็นศูนย์กลางของการดำรงอยู่ของมัน ถ้าหากไม่มีกฎเกณฑ์รากฐานโลกเทียม เกรงว่าพลังงานอันน่าหวาดหวั่นของมันอาจจะระเบิดออกมาในทันที ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงถูกเผาจนร่างแหลกสลายเป็นเถ้าธุลี
“รากฐานโลกเทียม”
“ก็คือรากฐานของทั้งหมดทั้งมวล”
“ก็คือรากฐานของจักรวาลในอนาคต”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ สิ่งนี้ก็คือรากฐานสุดท้ายที่แท้จริงของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์จากจุดจุดนี้จึงสามารถพัฒนากลายเป็นจักรวาลอันอลหม่านขนาดเล็กที่แท้จริงได้ นั่นจึงจะเป็นแบบจำลองของจักรวาลอันแท้จริง มีจักรวาลภายในกายเช่นนี้ เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์จึงมีพลังต่อสู้อันแข็งแกร่ง แน่นอนว่าเพียงแค่สามารถกลายเป็นขั้นอลวนได้ ระบบอื่นๆ ต่างก็มีความแกร่งกล้าล้ำเลิศเป็นของตัวเองเช่นกัน! และถ้าหากเปิดฟ้าทลายดินท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ทำให้วิวัฒน์เป็นจักรวาลอันแท้จริงออกมาท่ามกลางความสับสนอลหม่านได้
นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด…เทพจักรวาล!
และรากฐานที่วิวัฒน์ขึ้นมาของจักรวาลสุดท้ายนั้นก็คือรากฐานที่สร้างขึ้นจากการที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งควบรวมเป็นหนึ่งในท้ายที่สุด
“พรึ่บ” ภายในห้วงคำนึง ร่างจริงจิตเทพก็เริ่มแปรสภาพจิตวิญญาณของตนในทันทีโดยอาศัยกฎเกณฑ์ ‘รากฐานโลกเทียม’ ที่ตระหนักรู้ใหม่ เห็นเพียงว่าจิตวิญญาณพลันแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงที่รวมตัวกัน จิตวิญญาณก็มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างมากมาย ความเร็วในการหยั่งรู้วิวัฒน์ก็ยกระดับอย่างฉับพลันอีกครั้ง! ระดับขั้นยิ่งสูง ความเร็วในการหยั่งรู้วิวัฒน์ก็ยิ่งรวดเร็วขึ้น ดังนั้นระดับขั้นดังเช่นเทพจักรวาลจึงสามารถสรรสร้างจักรวาลขึ้นมาได้ หรือกระทั่งตระหนักรู้ศาสตร์ลับอันน่าหวั่นเกรงที่สามารถผลาญทำลายโลกทิพย์แห่งหนึ่งได้
นั่นคือพลังที่ชวนให้คนเคารพนับถือโดยแท้
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ลืมตาขึ้นเผยสีหน้ายินดี เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งด้วยวิถีโลกเทียมสามารถไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็อยู่นอกเหนือความคาดการณ์ของตน ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุระดับขั้นใหญ่ได้รวดเร็วกว่าระบบผู้ท่องอากาศเป็นครั้งแรก!
“กินผลปัดจิตวิญญาณลงไปสองพันสามร้อยปีเห็นจะได้ ข้าก็บรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งเรียบร้อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบที่หลงเหลืออยู่ในจิตวิญญาณ “พลังอันน่าอัศจรรย์ที่อยู่ในผลปัดจิตวิญญาณยังไม่หมดสิ้นเลย บำเพ็ญต่อไปดีกว่า!”
เขามิกล้าสิ้นเปลืองเลยแม้แต่น้อย
พอบริโภคผลปัดจิตวิญญาณไปแล้วก็จะคงอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต้องบำเพ็ญอย่างสุดกำลังในชั่วระยะเวลาที่คงอยู่นี้
“โลกอนธการ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญศาสตร์ลับศาสตร์นี้ต่อไป เพิ่งจะรู้แจ้งและได้ครอบครองรากฐานโลกเทียม ก่อนหน้านี้ก็เชี่ยวชาญ ‘ฟองอากาศอนธการ’ กระบวนแรกของวิชาโลกอนธการเป็นอย่างมากแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงค้างคาอยู่ที่นั่น ก็เพราะระดับขั้นของตนไม่เพียงพอ ตอนนี้บรรลุวิถีโลกเทียมครั้งยิ่งใหญ่ ไปถึงระดับขั้นรากฐานโลกเทียมแล้ว ระดับขั้นก็เพียงพอแล้ว การหยั่งรู้ฟองอากาศอนธการ กระบวนท่าแรกของวิชาโลกอนธการก็ง่ายดายขึ้นมากในทันที ก่อนหน้านี้ไม่มีทางทะลุปรุโปร่งได้ แต่ในขณะนี้มีวิธีที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งได้แล้ว ปริศนาทุกอย่างได้รับการไขอย่างรวดเร็ว แสงทิพย์วิญญาณ์ก็พรั่งพรูไม่หยุดหย่อน…
……………………………………………………………….
ตอนที่ 22 ออกมาเดินเล่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ โลกดำมืดอันเลือนรางรอบด้านปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งยังสั่นสะเทือนและถูกทำลายไป
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ‘โลกอนธการ’ อันเลือนรางที่ปรากฏขึ้นก็คงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“ช่างซับซ้อนเสียจริง”
“ยิ่งใกล้จะหลอมสำเร็จเท่าใด โครงสร้างของโลกอนธการนี้ก็ยิ่งพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่นชมอยู่ในใจ ความหมายของการมีอยู่ของโลกอนธการก็เพื่อการแตกทลายในตอนท้ายสุด ยิ่งมันคงตัวและมีพลังงานที่แฝงอยู่มั่นคงเท่าใด อานุภาพของการแตกทลายในตอนท้ายสุดก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น! ตงป๋อเสวี่ยอิงไปรับรู้สิ่งที่ตนสงสัยทีละจุดๆ อย่างต่อเนื่อง แบบค่อยเป็นค่อยไป…
เขาก็ยิ่งสงสัยเกี่ยวกับกระบวนท่านี้น้อยลงเรื่อยๆ!
ในที่สุด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา โลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่ง ‘ฟองอากาศอนธการ’ ทั้งหมดล้วนซึมลึกถึงทรวง ไม่มีความข้องใจแม้แต่น้อยอีกต่อไป!
“ฝึกสำเร็จแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูผนังไม้หอมชีหยาของห้องเงียบด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง กลิ่นหอมจางๆ โชยมาแตะปลายจมูก
“ฝึกโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่งสำเร็จเช่นนี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
เขาคาดคะเนถึงชั่วขณะนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากเข้าถึงรากฐานโลกเทียมและก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว เมื่อฝึกกระบวนท่านี้สำเร็จ ในใจก็ยังคงรู้สึกซับซ้อนไปหมด
เพราะเขาเข้าใจว่าการรู้แจ้งกระบวนท่านี้หมายความว่าอะไร!
ศาสตร์ลับวิชานี้มีทั้งหมดก็แค่สองกระบวนท่าเท่านั้น
เข้าถึงกระบวนท่าที่หนึ่งก็เพียงพอจะบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้ว ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงแล้ว ต่อให้เผชิญหน้ากับร่างจริงของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็มีหวังที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ นับได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอย่างยิ่งทางแถบหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งห้า เมื่อเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ ต่อให้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดสุดก็สามารถกวาดล้างได้ขนานใหญ่
ชั้นที่ห้ากลับบรรลุถึงขีดจำกัดพลังขั้นอลวนแล้ว ค่อนข้างใกล้เคียงกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่แท้จริงแล้ว
“แม้ก่อนหน้านี้ข้าจะมีน้ำเต้าสีดำ แต่ข้อแรก การควบคุมน้ำเต้าสีดำจะต้องดึงจุกออกแล้วปล่อยลูกไฟออกมา นี่ต้องใช้ชั่วขณะที่สั้นอย่างยิ่ง หากมีผู้แกร่งกล้าที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งลอบโจมตี เวลาเพียงชั่วขณะนั้นก็เพียงพอให้ลอบสังหารได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดีนัก ถึงอย่างไรวัตถุคุ้มกายก็มิใช่การรับรู้ของตนเอง ถึงอย่างไรก็มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง “นอกจากนี้อานุภาพของมันแม้จะแข็งแกร่งยิ่ง แต่กลยุทธ์การต่อสู้ก็ยังอ่อนแอเกินไป แค่ตัวคำว่า ‘ปะทะ’ คำเดียว หากพบกับยอดฝีมือที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้จริงๆ แล้ว ก็สามารถปั่นหัวข้าเล่นได้อย่างง่ายดาย”
อานุภาพแข็งแกร่ง ระดับขั้นอ่อนแอเกินไป เป็นจุดอ่อนของก่อนหน้านี้! ก็แค่จุดประจำการแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณ ทูตทิพย์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็แค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดเท่านั้น จึงสามารถทำให้อานุภาพลูกไฟของน้ำเต้าสีดำปะทุออกมาได้อย่างเต็มที่
หากพบผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่า ก็เกรงว่าลูกไฟของน้ำเต้าสีดำจะมิอาจปะทะถูกศัตรูได้
“ตอนนี้ระดับขั้นของข้าเติมเต็มแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงจิ้มออกไปเบาๆ คราหนึ่ง
ฟิ้ว!
ฟองอากาศอนธการฟองหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว ฟองอากาศอนธการนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายเมตร จากนั้นก็ ‘ภาพลวงกลายเป็นความจริง’ ระหว่างที่กลายเป็นความจริงนั้น ก็ย่อมต้องดูดซับพลังฟ้าดินรอบด้านเป็นธรรมดา จากนั้นก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วแล้วก็ระเบิดออกเสียงดัง ‘ปัง’ ทันที ทว่าเพียงแค่มิติภายในฟองอากาศระเบิดออกมาเท่านั้น อากาศแตกสลายกลายเป็นผุยผงแล้วกลายเป็นความดำมืดไปหมด นี่ก็คือโลกทิพย์ อากาศมั่นคงเพียงใดกัน ก็ยังแตกสลายกลายเป็นผุยผงไปอยู่ดี!
“แม้พลังฟ้าดินที่หอบม้วนเข้ามาจะน้อยมาก แต่อาศัยระดับความพิสดารของฟองอากาศอนธการ อานุภาพการระเบิดนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าวิถีหอกของข้าก่อนหน้านี้มากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ฝึกสำแดงออกมาเท่านั้น มิได้สำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาแต่อย่างใด
หากสำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ก็ต้องหอบม้วนพลังฟ้าดินเข้ามาให้มากพอ ความเคลื่อนไหวก็จะใหญ่โตเกินไป!
“กินผลปัดจิตวิญญาณหมดไปตั้งแปดพันกว่าปีได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบภายในวิญญาณ พลังงานพิเศษของผลนั้นยังเผาผลาญไปไม่หมด
“รีบรับรู้วิชาลับผู้ท่องให้เร็วที่สุด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำใจไม่ได้ที่จะสิ้นเปลืองเวลาที่ผลไม้เผาผลาญพลังงานไปอย่างต่อเนื่อง วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นยังห่างจากการบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่บ้าง เมื่อเทียบกันแล้ว ‘วิชาลับผู้ท่อง’ นั้นใกล้จะบรรลุมากกว่า!
แท้ที่จริงแล้ว
ยามนี้วิญญาณบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง แข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมามากนัก และยังกินผลไม้ลงไปอีก และยังมีห้องลับไม้หอมชีหยาช่วยส่งเสริม จึงสามารถบำเพ็ญได้รวดเร็วยิ่งอย่างแท้จริง
เพียงแค่สามปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็บรรลุถึงวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สามสิบ!
จากนั้นก็ผ่านไปอีกหกร้อยปี…
“อา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปิดเปลือกตาขึ้นมา นัยน์ตาฉายแววจนใจและเสียใจ “เผาผลาญจนสิ้นเสียแล้ว! ในที่สุดพลังงานของผลปัดจิตวิญญาณก็หมดไปแล้ว นับว่าวันคืนที่การบำเพ็ญยกระดับด้วยความเร็วสูงนั้นไม่มีอีกแล้ว”
ชั่วขณะที่ความเย็นเยียบชนิดนั้นมลายหายไปจนสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าความเร็วในการรับรู้ของวิญญาณตนพลันลดฮวบลง ความรู้สึกสูญเสียเช่นนี้ช่างทนรับได้ยากเสียจริง
“ไม่เลว ประสิทธิผลของผลไม้นี้ดียิ่งจริงๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพอใจนัก “ดำเนินต่อเนื่องกันถึงเก้าพันปีก่อนหน้านี้ข้าเป็นขั้นกำเนิด บัดนี้ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว! เมื่อข้ากินผลไม้นี้ลงไป ก็ย่อมเผาผลาญอย่างรวดเร็วยิ่งเป็นธรรมดา หากเป็นจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์กินแล้วล่ะก็ วิญญาณพวกเขาอ่อนแอกว่าข้ามากเสียยิ่งกว่ามาก เมื่อเผาผลาญก็ต้องช้ากว่าข้ามากอย่างแน่นอน อีกทั้งประสิทธิผลก็มีแต่ดียิ่งขึ้นเท่านั้น!”
โดยสรุปแล้ว
วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญนั้นให้ผลในการยกระดับการรับรู้อย่างแท้จริง จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวก็คือระยะเวลาสั้น
แต่การบำเพ็ญเก้าพันปีนี้ คาดว่าหากตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในตำหนักกาลเวลาแล้ว เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาสักพันหรือสองพันล้านปี วิถีโลกเทียมจึงจะสามารถบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ จากนั้นค่อยใช้เวลาอีกสักพันหรือสองพันล้านปีจึงจะสามารถเข้าถึง ‘ฟองอากาศอนธการ’ ได้
เมื่อเคยได้ลิ้มรสของวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญเข้าไป ก็รู้สึกไม่ค่อยชินกับการบำเพ็ญอย่างช้าๆ ตามปกติเสียแล้ว
“ยิ่งข้ามีพลังแข็งแกร่งขึ้น วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญก็ยิ่งมีส่วนช่วยน้อยลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ขั้นกำเนิดกินผลปัดจิตวิญญาณ ข้ารู้สึกว่ามีส่วนช่วยอย่างยิ่ง แต่หลังจากเข้าถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว เมื่อรับรู้ฟองอากาศอนธการ ก็รู้สึกว่าผลปัดจิตวิญญาณมีส่วนช่วยลดลงแล้ว”
“หากเป็นขั้นอลวน ผลลัพธ์ก็จะอ่อนแอมากนัก”
อย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์ต่อขั้นอลวนเล็กน้อย สำหรับเทพจักรวาลก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ถึงจะกินลงไปก็เสียเปล่า
บวกกับที่วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญล้ำค่ายิ่งนัก ราคาก็สูงเสียเหลือเกิน ดังนั้นการบำเพ็ญเป็นระยะเวลายาวนานต่างหากจึงจะเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปมีแต่คราวคับขันเท่านั้น เช่นรู้แจ้งศาสตร์ลับบางชนิดแล้วติดอุปสรรคอยู่ อย่างยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงจะยอมใช้ศิลาปฐมโลกาหลายร้อยก้อนเพื่อไปซื้อวัตถุล้ำค่าบางอย่างมาช่วยในการบำเพ็ญเสียหน่อย แต่ผลก็อาจจะเป็นว่า ช่วยส่งเสริมแล้ว แต่ยังมิอาจบรรลุได้อยู่ดีก็เป็นได้!
วัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญมิใช่วัตถุเอนกประสงค์! ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพรสวรรค์ด้านวิถีโลกเทียมอย่างแท้จริงจึงให้ผลนี่น่าแปลกใจเช่นนี้ หากไม่กินผลไม้ แล้วใช้เวลามากหน่อยก็สามารถสำเร็จได้เช่นกัน!
……
นอกห้องเงียบไม้หอมชีหยา
เอี๊ยด
ประตูเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวเดินออกมาจากในนั้น ประมุขหออวี่ฉีกำลังเฝ้ารออยู่ด้านนอก
“แสนปีพอดี ผู้อาวุโสตงป๋อรีบร้อนเก็บตัว เกรงว่าคงจะได้อะไรมาอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่…โอ้…” ประมุขหออวี่ฉีโค้งคำนับพลางชมเชยอย่างกระตือรือร้น แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แข็งค้างไปแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึงอยู่บ้างว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อท่านบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือนี่”
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา เขารวบรวมเวลาให้ถึงแสนปีเต็มแล้วค่อยออกมา เพราะการบำเพ็ญข้างในเป็นเวลาแสนปีต้องใช้ศิลาปฐมโลกาก้อนหนึ่งพอดี หากไม่ถึงแสนปี ก็ยังต้องเก็บในราคาหนึ่งก้อนอยู่ดี
“ยินดีด้วยๆ” ประมุขหออวี่ฉีพูดรัว “ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสตงป๋อด้วย ที่ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ คิดว่าอีกไม่นานคงจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปได้อย่างแน่นอน”
เขากลับไม่รู้เลยว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้มีพลังพอที่จะบุกฝ่าชั้นที่ห้าได้แล้ว
ในด้านวิถีโลกเทียม พรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงส่งกว่าวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นโดยแท้ ตอนที่เขายังเยาว์วัยมากก็เข้าถึงสัจจาโลกเทียมแล้ว แม้กระทั่งสัจจาชั้นหนึ่งซึ่งบรรลุตอนที่เป็นเหนือธรรมดาก็ยังเป็น ‘สัจจาโลกา’ เห็นได้ชัดว่า เขามีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในด้านการสร้างโลก ดังนั้นศาสตร์ลับ ‘โลกอนธการ’ วิชานี้จึงค่อนข้างเหมาะสมกับเขา
“หลังหักค่าห้องเงียบไปหนึ่งศิลาปฐมโลกาแล้ว นี่คือศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยสิบแปดก้อนของท่านผู้อาวุโสขอรับ” ประมุขหออวี่ฉีส่งกำไลเก็บวัตถุให้ด้วยความเคารพ
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็ตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง ด้านในคือก้อนศิลาที่ส่องแสงหลากสีสันอย่างน่าประหลาดจำนวนมาก ต่อให้เป็นระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ วิญญาณก็ยังคงมีแรงผลักดันที่จะกินมันลงไปอย่างแรงกล้า
“ขอบคุณท่านด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายมาแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปด้านนอก ประมุขหออวี่ฉีตามส่งตลอดทางจนถึงประตูหน้าของหอทะเลสัตตดารา
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางฟากฟ้าไกล นี่คือดวงอาทิตย์ของโลกทิพย์
“นานแล้วที่ไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่งนัก การก้าวกระโดดของพลังทำให้จิตใจของเขาเบิกบานขึ้นเป็นอันมาก บัดนี้ด้วยพลังของเขา การจะได้วัตถุช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ร้ายกาจยิ่งกว่ามานั้น ก็ง่ายกว่าเมื่อก่อนมากนัก
“ออกไปเดินหาหอสุราลิ้มรสอาหารรสเลิศสักหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อารมณ์ดีอย่างยิ่งเดินออกจากหอทะเลสัตตดารา แล้วเดินทอดนองเข้าไปบนทางสัญจรของเมืองวารีสวรรค์ หมายจะหาหอสุราดีๆ สักแห่ง แล้วกินมื้อใหญ่สักมื้อ!
……
“เอ๊ะ ออกมาแล้วหรือ” ภายในเรือนเล็กหลังหนึ่ง บุรุษร่างอ้วนเตี้ย ‘บรรพชนกาฬสยบ’ ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องพลางปลดปล่อยการรับรู้ออกมาตลอดเวลาพลันเปิดเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาสีทองเข้มเต็มไปด้วยแววหนาวเหน็บ “ให้ท่านบรรพชนอย่างข้ารอนานมากทีเดียว!”
…………………………..
ตอนที่ 23 บริเวณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุรุษร่างอ้วนเตี้ย บรรพชนกาฬสยบ’ สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากหอทะเลสัตตดารา แล้วเดินทอดน่องบนทางสัญจรอย่างผ่อนคลาย เขามิได้รีบร้อนถึงเพียงนั้นแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มีเวลาเตรียมตัวเล็กน้อย เขา บรรพชนกาฬสยบจึงจะสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้
“เอ๊ะ”
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ”
จากนั้นบรรพชนกาฬสยบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มิน่าเล่า รออยู่ในหอทะเลสัตตดาราตั้งแสนปี ที่แท้แล้วก็ได้รับรู้อะไรบางอย่างและบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้นับได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย ความเร็วในการบำเพ็ญก็เร็วมากทีเดียว หากให้เวลามากหน่อย หลังจากเขาบรรลุถึงระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งและทำให้ระดับขั้นมั่นคงแล้ว และใช้ศาสตร์ลับยกระดับพลัง เกรงว่าคงจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้ หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาก็ยุ่งยากแล้ว”
“ตอนนี้หรือ” นัยน์ตาของบรรพชนกาฬสยบแฝงแววหนาวเหน็บ
เพิ่งจะบรรลุ ระดับขั้นยังมิทันได้เปลี่ยนแปรเป็นพลัง บรรพชนกาฬสยบก็ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
แค่แสนปีเท่านั้น…เวลาสั้นเกินไปแล้ว! หอทะเลสัตตดารามิได้มีการเร่งเวลาอย่าง ‘ตำหนักกาลเวลา’ ต่อให้กินของล้ำค่าที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญบางชนิดลงไป โดยทั่วไปในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแสนปีก็ไม่มีทางก้าวหน้าเช่นนี้ได้! แต่บรรพชนกาฬสยบคิดไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านวิถีโลกเทียมจะสูงส่งอย่างยิ่ง จึงสามารถรับรู้ศาสตร์ลับ ‘โลกอนธการ’ ได้รวดเร็วยิ่งนัก ทั้งยังกินผลปัดจิตวิญญาณลงไปอีก จนฝึกโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่งสำเร็จแล้ว
“ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักใน เขาจึงมีสมบัติล้ำค่าคุ้มกาย! สมบัติล้ำค่าคุ้มกายของผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญล้วนแต่เพียงพอจะสกัดกั้นขั้นอลวนได้ แต่จำเป็นต้องเร็ว! การลอบโจมตีของข้า จะต้องรวดเร็วเสียจนเขาตั้งตัวไม่ทัน มิทันได้กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมา” บรรพชนกาฬสยบเข้าใจความยากของการลอบวังหารครั้งนี้เป็นอย่างดี
ทันทีที่กระตุ้นขึ้นมา
อย่าว่าแต่แค่ร่างแปรเลย ต่อให้เป็นร่างจริงมาเอง จะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เกรงว่าบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญคงจะต้องมาเยือนแน่!
“มั่นใจห้าส่วน” บรรพชนกาฬสยบมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา
เขามั่นใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง
แต่จะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงให้ตาย ทำให้อีกฝ่ายมิอาจตอบโต้ได้ และมิทันได้กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายเขาก็กล้าพูดแค่ว่ามั่นใจห้าส่วนเท่านั้น!
……
บนทางสัญจร
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ทั้งยังเข้าถึงศาสตร์ลับใหม่จนอารมณ์ดีอย่างยิ่งกำลังเดินอยู่บนท้องถนนพลางมองดูฝูงชนอันคึกคัก ในบรรดาฝูงชนเหล่านั้น มีเทพและเทพโลกาอยู่มากมาย และยังมีเด็กน้อยระดับขั้นเหนือธรรมดาอยู่ด้วย แต่ฝูงชนบนท้องถนนกลับหลบหลีกตงป๋อเสวี่ยอิงตามธรรมชาติ เพราะถึงอย่างไรกลิ่นอายของ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ ก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพียงพอจะทำให้พวกเขาคร้ามเกรงได้แล้ว!
ระดับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น สามารถเข้าร่วมกองผู้ดำเนินงานแห่งเมืองวารีสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย! ในลัทธิทิพย์โบราณก็สามารถเป็น ‘ทูตทิพย์’ ได้
“ตู้ม”
เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยังเดินเล่นด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรไป
“ใครน่ะ!!!”
เสียงตวาดพลันดังลั่นขึ้น
มิติในรัศมีพันลี้หยุดนิ่งไปสิ้น รวมถึงผู้คนบนถนนและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในจวนโดยรอบทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหนือธรรมดาที่อ่อนแอ หรือแข็งแกร่งอย่างขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ตาม! ขณะนี้ทุกคนล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน แต่ละคนล้วนมิอาจขยับได้
รัศมีพันลี้เต็มไปด้วยความมืดมิด
โลกอันมืดมิดปกคลุมไปนับพันลี้ กดดันทุกสิ่งจนหมด ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลายเป็นจักรพรรดิในรัศมีพันลี้! ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง มองไปทางโลกดำมืดด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยแววอาฆาต ณ จุดหนึ่งในจำนวนนั้นมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เงาร่างสายนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวในโลกอนธการที่สามารถขยับเขยื้อนได้ นอกจากตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเอง
เขามีรูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาธรรมดาสามัญ เพียงแต่นัยน์ตาสีทองเข้มมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง
“แข็งแกร่งนัก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่า ตอนนี้ หลังจากพละกำลังระลอกหนึ่งของอีกฝ่ายปะทุออกมาแล้ว ได้ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อบริเวณของกฎเกณฑ์ของตน
ใช่แล้ว บริเวณของกฎเกณฑ์
สำเร็จเป็นผู้ปกครองเทพแท้ มีกฎเกณฑ์นิรันดร์กาลก็เพียงพอจะสร้างบริเวณได้แล้ว บริเวณนั้นถูกปลดปล่อยออกมาภายนอกตลอดเวลาอยู่แล้ว ภายในบริเวณนี้ ผู้ปกครอง ‘พูดคำใดกฎก็เป็นไปตามนั้น’ เมื่อศัตรูเข้าไปในบริเวณแล้วก็แทบจะถูกค้นพบ นอกเสียจากระดับขั้นสูงเสียยิ่งกว่าสูง
เทพอากาศ ขั้นกำเนิด ขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน เมื่อยกระดับขึ้น บริเวณของกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในจำนวนนั้น
ระดับขั้นใหญ่เดียวกัน ยิ่งใช้กฎเกณฑ์ได้พิสดารเท่าใด ก็จะสามารถปรับปรุงบริเวณกฎเกณฑ์ให้สมบูรณ์ได้มากขึ้นเท่านั้น ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยวิถีโลกเทียมสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่ง และยังเข้าถึง ‘ฟองอากาศอนธการของโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่ง’ ดังนั้นจึงสร้างกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของบริเวณกฎเกณฑ์ของตนตามวิธีของ ‘ฟองอากาศอนธการ’ ทำให้บริเวณของกฎเกณฑ์ของเขาพิสดารและแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง!
สามารถผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง สำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนแล้ว ความพิสดารของ ‘ฟองอากาศอนธการ’ ก็ยังเป็นเอกลักษณ์อยู่บ้าง!
ขั้นอลวนโบราณอย่างบรรพชนกาฬสยบผู้นี้ อาจจะสามารถแทรกซึมเข้าไปในบริเวณของกฎเกณฑ์ของขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจพอจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น จะแทรกซึมเข้าไปในบริเวณของกฎเกณฑ์ของเขาก็ได้แต่ฝันไปแล้ว
……
รัศมีพันลี้เต็มไปด้วยความมืดมิดและเงียบงัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวประจันหน้ากับบรรพชนกาฬสยบอยู่ห่างๆ
“ตู้ม” ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงกระตุ้นแสงสีทองชั้นแล้วชั้นเล่าขึ้นมา ซึ่งก็คือป้ายคำสั่งรักษาชีวิตของผู้อาวุโสตำหนักในนั่นเองที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา
ขณะเดียวกับที่กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ฟิ้ววว…โลกดำมืดของภาพลวงร่อนลงมายังโลกจริงจากความว่างเปล่า แล้วดูดกลืนพลังฟ้าดินทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ พลังฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ทำให้พลังงานทั่วทั้งเมืองวารีสวรรค์สั่นสะท้านไปหมด โลกดำมืดนี้หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มันหลีกเลี่ยงผู้บำเพ็ญทั้งหมด แล้วโอบล้อมไปทางบรรพชนกาฬสยบซึ่งอยู่ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
บรรพชนกาฬสยบมองดูฉากนี้ นัยน์ตาสีทองเข้มมองตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มสายหนึ่ง
“เพิ่งจะสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่ง ความละเมียดละไมและพิสดารของบริเวณกฎเกณฑ์ของเจ้าก็เกือบจะเป็นจักรวาลขนาดเล็กจิ๋วแล้ว ดูจากกระบวนท่านี้ของเจ้าเกรงว่าคงเพียงพอที่จะฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้วกระมัง ข้าพ่ายแพ้แล้วทั้งปากทั้งใจ” บรรพชนกาฬสยบถ่ายเสียงพูดทันที จากนั้นโลกดำมืดก็หดเล็กลงจนเหมือนกับฟองอากาศ แล้วโอบล้อมบรรพชนกาฬสยบเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
โพละ!
ฟองอากาศอนธการระเบิดออกในพริบตา ภายในแตกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้น
บรรพชนกาฬสยบอยู่ในฟองอากาศอนธการด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม พลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสนอกสนใจนัก อยากนั้นก็มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
ทุกสิ่งคืนสู่ความสงบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่บนถนน ผิวกายมีแสงสีทองเจิดจ้า โลกดำมืดรอบด้านยังคงแผ่กำจายออกไป เขาจงใจสำแดงโลกดำมืดให้แผ่ขยายออกไปเป็นรัศมีถึงสิบล้านลี้! ในโลกทิพย์ บริเวณกฎเกณฑ์ของผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งสามารถคงไว้ได้ที่รัศมีพันลี้เท่านั้น แต่เมื่อสำแดงกระบวนท่า ‘ฟองอากาศอนธการ’ นี้ออกไปจริงๆ แล้ว รัศมีที่ใหญ่ที่สุดสามารถคงไว้ได้ถึงสิบล้านลี้เลยทีเดียว
“สลายไปแล้วจริงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “เหมือนจะสลายไปเองหรือนี่”
อานุภาพการทำลายของฟองอากาศอนธการนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่ขณะทำลายกลับสัมผัสมิได้ถึงแรงต้านเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมิได้ต้านทานแต่อย่างใด แล้วสลายหายไปด้วยตนเอง
“ภายในสิบล้านลี้ไม่มีผู้ต้องสงสัย” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบดูโดยละเอียด
“ตู้ม!”
ค่ายกลพิทักษ์เมืองของทั้งเมืองวารีสวรรค์พลันถูกกระตุ้นขึ้นมา แสงหลากสีโดดเด่นสะดุดตา ทำให้ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองวารีสวรรค์พากันแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยความตกใจ พละกำลังของค่ายกลพิทักษ์เมืองที่โหมซัดทำเอาฟ้าดินสะท้านสะเทือนไปหมด
ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในรัศมีสิบล้านลี้ของโลกดำมืดต่างก็ตกใจและงุนงงไปหมด พวกเขาสามารถเห็นดวงอาทิตย์กลางฟากฟ้าได้ผ่านโลกดำมืด และมิได้รู้สึกว่าทำร้ายพวกเขาแต่อย่างใด
สวบ
เงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนที่ในพริบตาลงมาปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ซึ่งก็คือบุรุษสวมอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่ง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” บุรุษสวมอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้มถาม “เมื่อครู่มีระลอกคลื่นอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่ง”
เป็นการทำลายของฟองอากาศอนธการนั่นเอง แม้การทำลายจะเป็นเพียงแค่ภายในฟองอากาศเท่านั้น แต่ระดับความแข็งแกร่งของระลอกคลื่นนี้ก็ยังคงแข็งแกร่งเกินไปอยู่ดี ทำให้วิญญาณค่ายกลของเมืองวารีสวรรค์ผวาเสียจนต้องแจ้งร่างแปรของประมุขตำหนักวารีสวรรค์ซึ่งอยู่ในห้วงนิทราให้ทราบทันที
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บโลกดำมืดลงไปแล้วบินไปถึงข้างร่างแปรของประมุขตำหนักวารีสวรรค์ที่อยู่กลางฟากฟ้า เพียงแต่แสงทองคุ้มกายเขายังคงอยู่ เขาไม่กล้าประมาทเลย
“ข้าเพิ่งถูกลอบโจมตี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจริงจัง “น่าจะเป็นร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนสักคนหนึ่ง”
………………………..
ตอนที่ 24 ร่องรอย
โดย
Ink Stone_Fantasy
บัดนี้ค่ายกลพิทักษ์เมืองของเมืองวารีสวรรค์ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดภายในเมืองก็อย่าได้คิดที่จะหนีออกไปภายนอก ซึ่งนี่ร้ายกาจกว่าค่ายกลรักษาเมืองของรัฐเล็กๆ เช่นรัฐปีกทองตั้งไม่รู้มากมายเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋ตั้งใจหลอมแปรขึ้นมา ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนก็มิอาจเล็ดรอดไปได้
กลางฟากฟ้า
ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ในอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้มทั้งร่างยืนกลางอากาศเคียงข้างกับตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว
“ลอบสังหารหรือ” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์สีหน้าเปลี่ยนแปรไป “ท่านถูกลอบสังหารหรือ”
“ถูกต้อง ร้ายกาจนัก เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้ข้าบรรลุได้บ้าง จนถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้คงจะอันตรายจริงๆ แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง วิธีการแทรกซึมของอีกฝ่ายร้ายกาจอย่างยิ่งโดยแท้ เคราะห์ดีที่บัดนี้บริเวณของกฎเกณฑ์ซึ่งตนวางโครงสร้างขึ้นมาใหม่ตาม ‘ฟองอากาศอนธการ’ แข็งแกร่งขึ้นมาก ขึงสามารถพบศัตรูได้
หากเป็นก่อนที่จะบรรลุ อาศัยบริเวณของกฎเกณฑ์ที่อาศัยแผนภาพคลื่นจานสร้างขึ้นมา เป็นเพียงแค่ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สาม ก็ไม่มั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถพบศัตรูได้
หากมิอาจพบได้ล่ะก็
เกรงว่าการโจมตีของศัตรูคงต้องมาถึงร่างตนเสียก่อนจึงจะรู้ตัว! ถ้าโชคดีก็อาจจะกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกาขึ้นมาระหว่างเส้นกั้นความเป็นความตายได้ หากโชคร้ายหน่อยแล้ว ตนก็อาจจะถูกโจมตีจนต้องสังเวยชีวิตก็เป็นได้!
“ผู้ใดกัน ผู้ใดที่กล้าลอบสังหารผู้อาวุโสตำหนักในของวังทวีสูญเรา” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์เหลือบมองลงไปยังเมืองวารีสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง “ยังคงอยู่ภายในเมืองอลหม่านของพวกเรา”
สายตาของประมุขตำหนักวารีสวรรค์หยุดอยู่ที่ตำแหน่งของระลอกคลื่นก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือสถานที่ที่ฟองอากาศอนธการซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมาก่อนหน้านี้แตกทำลายไปนั่นเอง
ฟิ้ววว…
ด้วยสภาพรอบด้าน จะต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อตรวจดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ประมุขตำหนักวารีสวรรค์มองภาพการย้อนเวลาบนถนน เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง รอบด้านเต็มไปด้วยความมืดมิด จากนั้นการย้อนเวลากลับสั่นสะเทือนแล้วพังทลายลงในที่สุด
“มิอาจตรวจสอบได้หรือนี่” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ขบกรามแน่น “ช่างระมัดระวังเสียจริง แม้แต่ข้ายังมิอาจตรวจดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้เลย”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านพอจะจำได้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ถามทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง
“ไม่รู้จักน่ะสิ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนไปจนถึงเทพจักรวาลที่ข้ารู้จัก ไม่มีเขาอยู่ในนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “คงจะปลอมแปลงรูปร่างหน้าตา”
“เทพจักรวาลหรือ ฮ่าฮ่า สถานะระดับนั้นคงไม่ถึงกับมาลอบโจมตีสังหารท่านหรอก เสียหน้าเกินไปแล้ว” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ส่ายศีรษะ “ไม่รู้ว่าขั้นอลวนคนไหนที่บังอาจถึงเพียงนี้”
เรื่องนี้เพียงพอจะทำให้วังทวีสูญโกรธเกรี้ยวได้แล้ว เมื่อมาลอบสังหาร การปลอมแปลงรูปโฉมไปจนถึงกลิ่นอายก็เป็นเรื่องปกตินัก
“ท่านรีบกลับไปวังทวีสูญโดยเร็วเถิด ข้าได้รายงานเรื่องนี้ขึ้นไปแล้ว ภายในวังต้องมีการตรวจสอบโดยละเอียดแน่ เรื่องนี้วังทวีสูญของเราไม่มีทางรามือง่ายๆ แน่นอน!” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์กล่าว “การจะสืบหาร่องรอย นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วยังมีวิธีอื่นอีกตั้งมากมาย เจ้าคนที่ลงมือนั่นคิดหนีรึ ไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอก!”
“อื้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เมื่อเพิ่งจะบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง เดิมทีเขาก็คิดจะกลับไปยังวังทวีสูญเช่นกัน อีกทั้งการลอยสังหารในครั้งนี้ก็ทำให้เขาเกิดความระแวดระวังเพิ่มขึ้น ที่แท้แล้วผู้ใดคิดจะสังหารตนกันแน่ ในโลกทิพย์ทั้งห้า ตนน่าจะไม่มีศัตรูคู่แค้นที่แข็งแกร่งมากเท่าใดนัก แม้ท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ จะสร้างภัยใหญ่หลวงขึ้นมา ทว่าแต่ไหนแต่ไรตนก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
******
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับจากเมืองวารีสวรรค์ไปยังวังทวีสูญทันที
ณ ตำหนักทวีสูญ
บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่นั่งอยู่ ณ จุดสูงสุด
ทั้งสองข้างของพวกเขายังมีประมุขตำหนักหกท่านนั่งอยู่ สองข้างของตำหนักใหญ่คือผู้อาวุโสตำหนักในทั้งหลาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่ท่ามกลางผู้อาวุโสตำหนักใน
“กล้าลอบสังหารผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญของเราเชียวรึ” บรรพชนเทียนอวี๋นั่งอยู่ตรงนั้นพลางพูดเสียงเย็นชา “ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ต้องรบกวนท่านแล้ว”
“ได้ ข้าจะดูเสียหน่อยว่าที่แท้แล้วเป็นผู้ใดที่บังอาจถึงเพียงนี้”
หนึ่งในประมุขตำหนักหกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นยืดกายขึ้น เขามีผมยาวสีเงิน ผิวหนังสีดำ ซึ่งก็คือ ‘ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์’ ผู้มีสถานะค่อนข้างพิเศษในบรรดาประมุขตำหนักแห่งวังทวีสูญทั้งหลาย ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์…ต่อให้อยู่ภายในวังทวีสูญ ขอเพียงยินดีก็ล้วนสามารถตรวจตราโลกทิพย์ทั้งห้าไปจนถึงอากาศอันสับสนอลหม่านได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นจุดใดก็ตาม
“วิ้ง”
นัยน์ตาดำขลับของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองไปยังอากาศอันเวิ้งว้างตรงหน้า กลางอากาศก็มีภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นกลางถนนสายหนึ่งภายในเมืองวารีสวรรค์ ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเดินอยู่บนถนนแห่งนี้อย่างสบายอกสบายใจ ทันใดนั้นการลอบโจมตีก็มาถึงตัว
ภายในขอบเขตพันลี้เงียบงันและหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิง
มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในขอบเขตพันลี้มิอาจขยับเขยื้อนได้ มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและศัตรูผู้นั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้
“เอ๊ะ” บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่และประมุขตำหนัก รวมถึงผู้อาวุโสตำหนักในด้านล่างทั้งหลายพากันตกตะลึง เป็นบริเวณของกฎเกณฑ์ที่ร้ายกาจนัก!
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถอนหายใจออกมา ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ช่างเก่งกาจโดยแท้ เห็นได้ชัดว่ามือสังหารผู้นั้นทำให้กาลมิติสับสน จนประมุขตำหนักวารีสวรรค์ยากจะตรวจสอบได้ แต่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กลับสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย
“บุรุษร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้ มิใช่ผู้แกร่งกล้าที่รู้จักกันอยู่แล้ว เขาจะต้องปลอมแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายมาอย่างแน่นอน” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ขอเพียงเขาลงมือ ก็สามารถวิเคราะห์ตัวตนของเขาได้จากกระบวนท่าที่เขาลงมือแล้ว”
“เขาน่าจะระมัดระวังตัวมากทีเดียว จึงสำแดงกระบวนท่าที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนอออกมา” ประมุขตำหนักคนอื่นๆ พากันเอ่ยปาก ในโลกทิพย์ทั้งห้า บรรดาผู้แกร่งกล้าทั้งหลายมีสิ่งที่เชี่ยวชาญแตกต่างกันไป
โดยทั่วไปจึงสามารถคาดเดาตัวตนที่เป็นไปได้ของคนร้ายจากวิธีการที่เชี่ยวชาญ
“เอ๊ะ”
ทุกคนในที่นั้นพากันหน้าถอดสี
เพราะต่อจากนั้นกลางอากาศอันเวิ้งว้าง ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีแสงสีทองคุ้มกายปรากฏขึ้น นอกจากนี้โลกดำมืดก็ยังปกคลุมลงมาแล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว แปรเป็นฟองอากาศอนธการฟองหนึ่งก่อนจะเข้าทำลายบุรุษร่างอ้วนเตี้ยผู้นั้น ทว่าบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่และอีกหลายคนมีสายตาสูงส่งยิ่งนัก จึงมองออกว่าบุรุษร่างอ้วนเตี้ยผู้นั้นมิได้ต่อต้านแต่อย่างใด และเป็นฝ่ายสลายร่างแปรไปด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแต่ละคนตกใจจนหน้าถอดสีก็คือ…อานุภาพของฟองอากาศอนธการนี้!
พวกเขาแต่ละคนส่งสายตามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาแฝงแววตกใจ ตกตะลึง นับถือและสงสัยไปพร้อมกัน
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยปากพูด “ตอนนี้เจ้าคงจะสามารถผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้วกระมัง”
“เรียนท่านบรรพชน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยความเคารพ “ข้าได้ซื้อศาสตร์ลับโลกอนธการซึ่งมีเพียงเล่มเดียวมาจากงานประมูลสมบัติล้ำค่าของหอทะเลสัตตดารา ศาสตร์ลับนี้เหมาะกับข้านัก ทำให้ข้ารู้แจ้งและบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง และเข้าถึงโลกอนธการกระบวนท่าที่หนึ่ง ‘ฟองอากาศอนธการ’ ได้ในรวดเดียว แน่นอนว่าผลปัดจิตวิญญาณก็มีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน”
“แค่ข้าเห็นก็จำได้แล้วว่าเป็นหนึ่งในกระบวนท่าอันเลื่องลือของประมุขโลกอนธการในตอนนั้น” ชายชราผมดำซึ่งเป็นหนึ่งในประมุขตำหนักทั้งหกที่นั่งอยู่ตรงนั้นพูดพลางหัวเราะฮิฮิ “ครั้งที่แล้วผู้อาวุโสตงป๋อยังเป็นขั้นกำเนิด เพิ่งจะไปยังเมืองวารีสวรรค์ได้เพียงแสนกว่าปี ก็ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งและยังสามารถเข้าถึงศาสตร์ลับเช่นนี้ได้ เมื่อเห็นพวกเจ้าก็รู้สึกว่าแก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ”
“ประมุขตำหนักอลหม่านชมเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นทันที
ชายชราผมดำผู้นี้ก็คือ ‘ประมุขตำหนักอลหม่าน’ ซึ่งมีพลังลึกล้ำเกินหยั่ง จนจัดเป็นอันดับหนึ่งของวังทวีสูญ
“หากข้าจะก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง คิดว่าคงจะต้องบำเพ็ญเป็นแสนล้านปีจึงจะสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปได้ เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสตงป๋อแล้ว ช่างน่าละอายเสียจริง”
“เพิ่งสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีพลังเช่นนี้แล้ว นับถือๆ”
ผู้อาวุโสตำหนักในกลุ่มหนึ่งพากันชมเชย
พวกเขาล้วนรู้สึกนับถือจากก้นบึ้งของหัวใจ!
บัดนี้ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญในยุคนี้ ล้วนแต่มีพลังชั้นที่ห้า ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไร้เทียมทานเกินไปแล้ว บัดนี้มีพลังชั้นที่ห้า เกรงว่าในภายหน้าคงมีโอกาสมากที่จะสำเร็จเป็นชั้นที่หกได้ การรับรู้เช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าจะสำเร็จเป็นขั้นอลวน บวกกับที่วังทวีสูญมีกฎเกณฑ์เข้มงวด ภายในจึงค่อนข้างสามัคคีกันมาก พวกเขาจึงดีใจมากที่ได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ท่านสามารถตรวจสอบตัวตนของเขาได้หรือไม่” บรรพชนเทียนอวี๋ถาม
“เขาเป็นฝ่ายสลายหายไปเองโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยสักนิด ข้าหมดหนทางที่จะสืบหาตัวตนของเขาได้แล้ว” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่ายศีรษะแล้วกลับไปยังที่นั่งของตน
“ข้าลองดูเสียหน่อยซิ”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมา
แต่ละคนพากันมองไป ผู้ที่เอ่ยวาจาก็คือจอมกระบี่นั่นเอง
นัยน์ตาทั้งสองของจอมกระบี่ลึกล้ำเกินหยั่ง อักขระเทพจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่กลางอากาศอันเวิ้งว้างตรงหน้าเขา เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏให้เห็นรางๆ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีเงาร่างอีกสายหนึ่งพยายามก่อตัวขึ้น
ทันใดนั้นเงาร่างอันเลือนรางสายนั้นก็พลันกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง ชายชราแสยะยิ้ม “ฮ่าฮ่า หอหมื่นโลกา ซื้อขายอย่างยุติธรรม หวังว่าจะให้อภัยด้วย”
จากนั้นเงารางทั้งหมดก็มลายหายไป
สีหน้าของบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เปลี่ยนแปลงไป
“ปีศาจเฒ่าหมื่นโลกา!” จอมกระบี่แค่นเสียงเหอะคราหนึ่ง บรรพชนเทียนอวี๋ก็เข้าใจว่าแค้นนี้ไม่มีทางชำระได้แล้ว
“หอหมื่นโลกาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจแล้วว่า มีศัตรูคู่แค้นขอให้หอหมื่นโลกาสังหารตนเอง “ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกัน”
………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น