Snow Eagle Lord ภาค 27 ตอนที่ 13-18
ตอนที่ 13 กอดกันกลางตัวเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
ภายในกรงขังหลายสิบคนล้วนมีผู้บำเพ็ญอยู่ พวกเขากว่าครึ่งเป็นผู้ปกครองเทพแท้ และยังมีส่วนน้อยที่เป็นเทพอากาศ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่ทูตทิพย์ชืออวิ๋นอาภรณ์ดำรู้สึกว่าพรสวรรค์สูงส่งพอขณะไปเผยแพร่ลัทธิอยู่ภายนอก ลำพังแค่อาศัยกรงขังก็มิอาจควบคุมได้ ดังนั้นจึงพาไปไว้ข้างกายก่อนชั่วคราว เพื่อเตรียมจะควบคุมด้วยตำหนักทิพย์ใต้ดินหลังกลับไปถึงฐานที่มั่น
จากนั้นเขาก็กลับไปยังฐานที่มั่นอย่างน่าอนาถ ไม่นานนักตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาลอบโจมตี! จนสุดท้ายทูตทิพย์ชืออวิ๋นอาภรณ์ดำได้ตายจากไป…
เพราะเมื่อตอนเริ่มต้นเขาคิดจะเคลื่อนย้ายรูปสลักจอมเทพเพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงเผชิญกับความตายอย่างสิ้นหวัง เขาลืมไปว่าภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ยังจองจำผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งเอาไว้ ในใจเขารู้สึกว่าพวกนั้นก็แค่มดปลวกเท่านั้น เพียงแต่เพื่อให้ได้ผลงาน เขาจึงจงใจพาผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งไปด้วย
“เคราะห์ดีที่พวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมแปรสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แล้วส่งสติรับรู้ลงมายังสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้ จึงถอนหายใจออกมาได้เฮือกหนึ่ง
“ชิงรั่วก็ยังมีชีวิตอยู่”
เพราะเหลยเฉิน บุรุษร่างกำยำ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงตั้งใจเก็บรวบรวมข้อมูลของชิงรั่วภรรยาของเขาเอาไว้ จนรู้จักรูปร่างของอีกฝ่าย จึงจำชิงรั่วซึ่งอยู่ภายในกรงหนึ่งในนั้นได้ทันที
“แกร้กๆๆ…” พละกำลังของตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไป แต่ละกรงล้วนถูกเปิดออก บรรดาผู้บำเพ็ญด้านในซึ่งวิญญาณล้วนถูกผนึกเอาไว้ก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงแก้ผนึกไปทีละคนๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ไยจึงปล่อยพวกเราออกมาแล้วเล่า”
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้พากันมึนงงไปหมด
ลัทธิทิพย์โบราณระมัดระวังมาก ไม่มีทางปลดผนึกวิญญาณของพวกเขาเป็นแน่ เพราะหากปล่อยออกมาแล้ว พวกเขาก็สามารถปลิดชีพตนเองได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับลงมือปล่อยเสียเอง ทำให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้พอจะคาดเดาได้รางๆ ว่า บางทีพวกเขาอาจจะได้รับการช่วยเหลือแล้วก็เป็นได้
“ข้าจะพาพวกท่านไปยังเมืองวารีสวรรค์เร็วๆ นี้ ถึงตอนนั้นพวกท่านก็จะได้อิสรภาพกลับคืนมาแล้ว” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่วสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
“ถูกช่วยไว้แล้ว”
“เมืองวารีสวรรค์หรือ ต้องเป็นทูตพิเศษแห่งเมืองวารีสวรรค์อย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า…”
แต่ละคนล้วนตื่นเต้นยินดี
เหล่าผู้บำเพ็ญซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกทิพย์เหล่านี้ รู้ตั้งนานแล้วว่า ‘ลัทธิทิพย์โบราณ’ และ ‘ลัทธิจอมมารดา’ นั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด เมื่อถูกควบคุมแล้วก็จะต้องภักดีอย่างสิ้นเชิง ในฐานะผู้ปกครองเทพแท้หรือแม้กระทั่งเทพอากาศที่บำเพ็ญมาถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ และพวกเขาก็ยังมีพรสวรรค์สูงส่งมาก แต่ละคนจึงย่อมยืนหยัดต้านทานเอาไว้ ไม่ยอมเสียความเป็นตนเองไป
บัดนี้ ในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือเสียที!
“ฟิ้ว” ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้ ชิงรั่วซึ่งเป็นหนึ่งในนั้นกลับถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วหายวับไปทันที
……
ชิงรั่วพลันรู้สึกว่ารอบด้านเปลี่ยนแปลงไป แล้วนางก็ปรากฏกายขึ้นภายในตัวเมืองปรักหักพังสีดำสนิท
ด้านข้างมีชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวอยู่คนหนึ่ง
“เขาคือผู้ใดกัน” ชิงรั่วสงสัยขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ข้างหนึ่งพลางโบกมือแล้วปล่อยเหลยเฉินออกไป
เหลยเฉินผู้มีร่างกายกำยำกังวลมากมาโดยตลอด เขากลัวว่าผู้อาวุโสตงป๋อแห่งวังทวีสูญจะไม่สามารถฝ่าที่นี่ไปได้! และก็กลัวว่าระหว่างทำลายที่นี่ ภรรยาของตนจะถูกลูกหลงจนสิ้นใจระหว่างการต่อสู้ โดยสรุปแล้ว ก่อนหน้านี้ในใจของเหลยเฉินเต็มไปด้วยความไม่สงบ แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเขาปล่อยออกมา เขาได้เห็นสตรีชุดสีครามตรงหน้า เขาก็สัมผัสได้ว่าวิญญาณสั่นสะท้านไปหมด
“ชิงรั่ว” เหลยเฉินพุ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
“อาเฉิน” ชิงรั่วก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
พวกเขาทั้งสองครองรักกันมาตั้งแต่ยังอ่อนแอแล้ว ก้าวไปก้าวแล้วก้าวเล่า ก็บุกฝ่าเคียงข้างกัน ผ่านอันตรายด้วยกันมามากมาย และเคยประสบสิ่งมหัศจรรย์ร่วมกันมาก่อน พวกเขามองเห็นอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในชีวิต สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก
ทั้งสองโผเข้าหากันอย่างอดมิได้ ก่อนจะกอดกันกลม
ด้านข้างไม่ไกลออกไปนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวมองดูฉากนี้ก็อดเผยรอยยิ้มออกมามิได้
แม้บรรดาศิษย์ทิพย์ภายในตัวเมืองแห่งนี้จะแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไป แต่อย่างน้อยตนก็ได้ช่วยเหลือคนไปบางส่วน รวมทั้งสามีภรรยาคู่นี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงอดคิดถึงภรรยาที่อยู่ไกลออกไปในจักรวาลบ้านเกิดมิได้
“จิ้งชิว เจ้ากับอวี้เอ๋อร์และชิงเหยายังดีอยู่หรือไม่ วางใจเถิด ข้าจะนำวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญที่ดีที่สุดกลับไปด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ บัดนี้ได้กลายเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว เขามั่นใจในอนาคตภายหน้าเป็นอันมาก
บนเส้นทางการบำเพ็ญสายนี้
เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน! ผู้ใดก็มิอาจสกัดกั้นเขาได้!
พลังแข็งแกร่งจึงจะมีโอกาสได้รับสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งขึ้นกลับไปพบภรรยาได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือมีคำสั่งส่งสานปรากฏขึ้นมา เขาติดต่อไปทันที “จอมมาร ข้าคือตงป๋อเสวี่ยอิง”
“มีเรื่องอันใดหรือ” จอมมารรับคำ
“ข้าทำลายฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ “นี่คือที่อยู่ขอรับ” เขาส่งพิกัดแผนที่ไป
“ฐานที่มั่นสำคัญของโลกทิพย์โบราณหรือ เป็นฐานที่มั่นที่มีรูปสลักจอมเทพอยู่ หรือว่าเป็นที่พำนักทั่วไป” จอมมารถาม ทั้งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามีฐานที่มั่นสำคัญทั้งหมดเก้าสิบแห่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงกำจัดไปแห่งหนึ่งแล้วอย่างนั้นหรือ และเท่าที่เขารู้ ค่ายกลของฐานที่มั่นร้ายกาจเป็นอันมาก บัดนี้พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำลายค่ายกลของฐานที่มั่นได้หรือไร คงจะเป็นที่พำนักเล็กๆ สักแห่งมากกว่ากระมัง
“ข้าได้รูปสลักจอมเทพมาไว้ในมือแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ดี ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
จอมมารไม่คลางแคลงใจอีกต่อไป รูปสลักจอมเทพมิอาจปลอมแปลงขึ้นมาได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บคำสั่งส่งสารลงไป
มองดูตัวเมืองสีดำอันเงียบสงบแห่งนี้ ณ สุดขอบฟ้าทางบูรพาทิศของตัวเมืองขาวดุจท้องปลา ท้องฟ้าสว่างรำไรขึ้นมา
“โครมมมม…”
ปณิธานอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งร่อนลงมากลางฟากฟ้าไกลออกไป แล้วเริ่มควบคุมพลังฟ้าดินรอบด้านอย่างบ้าคลัง พลังฟ้าดินโหมซัดและรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งและก่อให้เกิดน้ำวนอันยิ่งใหญ่ ความเคลื่อนไหวนี้ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้เหลยเฉินและชิงรั่วสองสามีภรรยาที่กำลังจมอยู่ท่ามดลางความปีติยินดีนั้นอดเงยหน้ามองออกไปไกลมิได้ น้ำวนไกลออกไปนั้นใหญ่โตเกินไปแล้ว อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เหลยเฉินรีบดึงตัวชิงรั่วผู้เป็นภรรยามาด้วยท่าทางละอายอยู่บ้าง “ขอบคุณผู้อาวุโสตงป๋อที่ช่วยเหลือข้า ทั้งยังช่วยภรรยาข้าด้วย บุญคุณที่ช่วยชีวิต พวกข้าสองสามีภรรยาจะจดจำไปชั่วชีวิตเลยขอรับ”
“ขอบคุณผู้อาวุโสตงป๋อที่ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ” ชิงรั่วก็เอ่ยขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มมองสามีภรรยาคู่นี้พลางกล่าวว่า “ข้าก็แค่ออกแรงไปตามเรื่องเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ก็ยังต้องขอบคุณเหลยเฉินที่ช่วยข้าหาที่แห่งนี้จนพบด้วยซ้ำ”
ลัทธิทิพย์โบราณรอบคอบและระมัดระวังเพียงใด
จะหาฐานที่มั่นแห่งหนึ่งให้พบนั้นยากนัก เคราะห์ดีที่วิญญาณของเหลยเฉินและภรรยาเขาสามารถสัมผัสถึงกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ การสัมผัสผ่านวิญญาณนั้นลึกลับเกินไป ทูตทิพย์ชืออวิ๋นผู้นั้นก็คิดไม่ถึงเช่นกัน! ดังนั้นจึงถูกตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตามรอยไปได้
“นั่นมัน…” เหลยเฉินและชิงรั่วมองดูน้ำวนที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตกตะลึง แต่กลับไม่กล้าถามให้มากความ
ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามอง
น้ำวนไกลออกไปรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็กลายเป็นบุรุษท่าทางเยียบเย็นสวมอาภรณ์สีดำหรูหราคนหนึ่ง เขาไว้ผมยาวสีแดงโลหิต นัยน์ตากวาดมองไป เหลยเฉินและชิงรั่วรู้สึกว่าวิญญาณสั่นสะท้านเสียจนไม่หล้าเงยหน้ามอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกลับถลาขึ้นสู่ฟ้าไปต้อนรับ
“จอมมาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
เนื่องจากอยู่บนดินแดนของวังทวีสูญ ดังนั้นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงสามารถส่งร่างแปรลงไปได้ ทว่าร่างแปรต้องควบคุมพลังฟ้าดินจึงจะรวมตัวกันขึ้นมาได้ ดังนั้นความเคลื่อนไหวจึงใหญ่นัก! ขั้นตอนในการส่งร่างลงไปจึงใช้เวลามากหน่อย และนี่ก็คือสาเหตุที่เมืองอลหม่านแต่ละแห่งล้วนมีร่างแปรของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนประจำการอยู่อย่างยาวนาน
ประจำการอยู่ที่นั่นจึงจะสามารถต่อสู้ได้ทันท่วงที
ส่วนการส่งร่างแปรไปยังที่อันไกลโพ้น ยังต้องควบคุมพลังฟ้าดินให้รวมตัวกันเป็นร่างแปรก็จะต้องถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าไป สำหรับผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงแล้ว เวลาน้อยนิดเท่านี้ก็สามารถเข่นฆ่าจนเกลี้ยงและหนีไปได้ไกลลิบแล้ว
ดังนั้นในฐานะผู้อาวุโสตำหนักใน ป้ายฐานะประจำตัวตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเป็นป้ายคำสั่งรักษาชีวิตด้วย ในยามคับขัน ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน แล้วค่อยเรียกคนมาช่วย!
อย่างบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ก็ล้วนสามารถส่งร่างแปรลงไปได้ ความเร็วในการส่งร่างแปรของพวกเขาทั้งสองไปนั้น เมื่อเทียบกันแล้วก็เร็วกว่ามากทีเดียว
และนี่ก็คือสาเหตุ…ว่าทำไมภายในวังดินแดนของทวีสูญ ลัทธิทิพย์โบราณจึงทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในความมืด ไม่กล้าต่อสู้ในที่แจ้ง
“ร้ายกาจพอตัวทีเดียว” จอมมารมองตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “ทำลายฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณลงได้หรือ”
“โชคดีน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาโบกมือคราหนึ่ง แล้วหยิบรูปสลักจอมเทพออกมา
“นี่คือรูปสลักจอมเทพที่ทำลายได้ค่อนข้างยากขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
จอมมารมองดูรอยยุบบนหน้าอกของรูปสลักจอมเทพแล้วก็อดตกใจขึ้นมาเล็กน้อยมิได้ เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง เห็นทีหนุ่มน้อยจากบ้านเกิดของตนคนนี้จะยังมีกลเม็ดซ่อนอยู่อีก! มิเช่นนั้นแล้วจะทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งลงไปได้อย่างไรกัน ทั้งยังสามารถทำให้รูปสลักจอมเทพได้รับความเสียหายได้อีกด้วย
“รูปสลักจอมเทพ หากขายให้โลกทิพย์โบราณก็คงได้กำไรงามทีเดียว น่าเสียดายที่ขายไม่ได้” จอมมารเอ่ย “ต้องนำออกไปทำลาย ระดับความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศขั้นกลาง จะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ร่างแปรร่างนี้ของข้ามิอาจจัดการได้”
จากนั้นจอมมารก็มองเห็นเหลยเฉินและชิงรั่ว คู่สามีภรรยาซึ่งอยู่กลางตัวเมืองสีดำด้านล่าง
“ให้พวกเขามานี่เถิด ข้าจะทำลายตัวเมืองแห่งนี้ทิ้งเสีย” จอมมารกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จากนั้นก็ทะยานตรงไปถามว่า “เหลยเฉิน พวกเจ้าสองคนจะกลับไปยังรัฐปีกทองหรือเมืองวารีสวรรค์กันเล่า” เพราะครั้งนี้มีเหลยเฉินอยู่ ตนจึงสามารถสร้างคุณูปการใหญ่หลวงได้ ดังนั้นเขาจึงยินดีเดินทางอ้อมเพื่อเหลยเฉิน!
เหลยเฉินและชิงรั่วสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเหลยเฉินก็พูดขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อ พวกเราไปยังเมืองวารีสวรรค์กันเถิด”
พวกเขาวางแผนจะไปตั้งนานแล้ว
อีกทั้งครั้งนี้ก็ยังเผชิญกับหายนะด้วย สถานที่เล็กๆ อย่างรัฐปีกทองอันตรายเกินไปแล้ว หากมีโอกาสได้ไปยังเมืองวารีสวรรค์ ก็แน่นอนว่าต้องไป! แม้แต่ค่าใช้จ่ายในการส่งถ่ายค่ายกลก็ยังได้รับการยกเว้นด้วย
“ดี พวกท่านรออยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บพวกเขาเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ แล้วบินกลับไปอยู่ข้างกายจอมมาร
จอมมารกลับมองลงไปเบื้องล่าง มือขวายื่นออกไปกลบด้านล่างเอาไว้
“โครมมม…”
ลมหนาวอันไร้ที่สิ้นสุดถือกำเนิดขึ้นจากกลางอากาศ แล้วทำให้ทั้งตัวเมืองสีดำแข็งค้างไปอย่างรวดเร็ว แล้วตัวเมืองสีดำก็ส่งเสียงดังแกร๊กๆๆ ไปตามการควบคุมของจอมมาร ในที่สุดหลายบริเวณก็เริ่มถล่มลงอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วครู่เดียว ตัวเมืองสีดำแห่งนี้ก็แหลกสลายเป็นผุยผงจนสิ้นเช่นเดียวกับโถงตำหนักทิพย์ใต้ดินอันผุพังและผืนดินรอบด้าน และกลายเป็นความว่างเปล่าไป
หลุมใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา
“ไป” จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงแหวกทางเชื่อมกาลมิติตรงเข้าไปในทางเชื่อมกาลมิติแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
………………………..
ตอนที่ 14 หอหมื่นโลกา
โดย
Ink Stone_Fantasy
โลกทิพย์โบราณ
โลกทิพย์โบราณแรกเริ่มสุดได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะศึกใหญ่อันน่าหวาดหวั่นครั้งหนึ่ง โลกทิพย์โบราณที่หลงเหลืออยู่มีขนาดราวหนึ่งในร้อยส่วนของที่แล้วมาเท่านั้น แต่กลับยังคงใหญ่โตที่สุดในบรรดาโลกทิพย์ทั้งห้า
ภายในโลกทิพย์โบราณมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สงบสุขที่สุด ระหว่างผู้บำเพ็ญไม่มีการเข่นฆ่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหมื่นปี ล้านปี หรือนับร้อยล้านปี…ทั้งโลกทิพย์โบราณก็หาผู้บำเพ็ญที่เข่นฆ่าซึ่งกันและกันไม่พบเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ฟิ้ววว…”
แม้จะมีดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่
แต่ก็ยังคงมีแสงสีดำอันยิ่งใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ มันแผ่ออกมาจากศูนย์กลางของโลกทิพย์โบราณแล้วแผ่ออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณ แม้แต่รัศมีของดวงอาทิตย์ก็ยังมิอาจข่มแสงสีดำนี้ได้
หากกล่าวว่ารูปสลักจอมเทพสามารถควบคุมผู้บำเพ็ญได้ แสงสีดำที่ปลดปล่อยออกมาจากศูนย์กลางของโลกทิพย์โบราณนั้นมีอานุภาพไม่แพ้รูปสลักจอมเทพเลยแม้แต่น้อย แต่บริเวณที่แสงแผ่รัศมีออกไปถึงนั้นกลับเป็นวงกว้างกว่ามากนัก แต่ละแห่งของโลกทิพย์โบราณล้วนอยู่ภายใต้การปกคลุมของแสงสีดำ ผู้บำเพ็ญแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเหนือธรรมดาที่อ่อนแอหรือว่าผู้ที่แข็งแกร่งจนบรรลุถึงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ก็ล้วนเปี่ยมไปด้วยความภักดีต่อจอมเทพอย่างเต็มที่
ในโลกภายนอก การเผยแผ่ลัทธิทิพย์โบราณก็ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ
แต่ในโลกทิพย์โบราณ ผู้บำเพ็ญแต่ละคนล้วนแต่เป็นศิษย์ผู้เชื่อในจอมเทพ!
โลกทิพย์โบราณ บนทะเลสาบอันเงียบสงัดมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้น เงาร่างสายหนึ่งบินขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ เขามีผมสีม่วงประบ่า สวมอาภรณ์สีครามที่ปักรูปสัญลักษณ์อันแปลกประหลาดเอาไว้ นัยน์ตาทั้งสองของเขาฉายแววขมขื่นอย่างลึกล้ำ
“น้องชายข้า” บุรุษผมม่วงพูดเสียงเบา
เขาเพิ่งได้รับการขอความช่วยเหลือจากน้องชายของเขา
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
“พี่ใหญ่ ช่วยด้วย”
การขอความช่วยเหลือของน้องชาย ทำให้เขาร้อนใจขึ้นมา เขาพยายามคิดหาวิธีเข้าใจสถานการณ์ด้วยหมายจะช่วยเหลือน้องชาย แต่หลังจากนั้นติดๆ เขาก็พบว่า น้องชายได้สิ้นใจไปแล้ว ฐานที่มั่นที่น้องชายอยู่นั้นก็ได้ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน
นัยน์ตาของบุรุษผมม่วงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกอย่างยากจะปิดบัง บำเพ็ญมาจนถึงบัดนี้ เขาก็มีญาติคือน้องชายเพียงคนเดียว ในวัยเยาว์ น้องชายกับเขาเป็นพี่น้องที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งฟ้า ทว่าจากนั้นระดับขั้นก็สูงขึ้นเรื่อยๆ น้องชายค่อยๆ ถูกเขาทิ้งห่าง บัดนี้เขาบรรลุถึงขั้นอลวนและอยู่ในตำแหน่งผู้วิเศษแห่งลัทธิทิพย์โบราณแล้ว…ส่วนน้องชายเป็นเพียงเทพอากาศคนหนึ่งเท่านั้น
น้องชายก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาไปยังสถานที่อันตรายเพื่อเผยแพร่ลัทธิและเคี่ยวกรำตนเอง
เขามิอาจขัดขวางน้องชายได้ ทำได้เพียงมอบสมบัติล้ำค่าคุ้มกายบางอย่างให้เขาเท่านั้น แต่บัดนี้ผลนี้กลับทำให้หัวใจของเขาเย็นวาบไปหมด
“น้องชายข้า ไม่ว่าผู้ใดสังหารเจ้า มันจะต้องตายอย่างแน่นอน จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับเจ้า” บุรุษผมม่วงพูดเสียงเบา
……
ณ อีกจุดหนึ่งของโลกทิพย์โบราณ กลางฟากฟ้าเหนือหมู่วังสีดำอันสูงตระหง่านที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน พลังฟ้าดินโหมซัดแล้วรวมตัวกันก่อให้เกิดเป็นน้ำวนขึ้นมา มันรวมตัวกันอย่างไม่หยุดหย่อนแล้วค่อยๆ ก่อร่างขึ้นเป็นเงาร่างสายหนึ่ง ซึ่งก็คือบุรุษผมม่วงผู้นั้น
สวบ
ภายในหมู่วังสีดำมีเงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมา ซึ่งนั่นก็คือบุรุษเกราะทองคนหนึ่ง
“ผู้วิเศษหวั่งหมิง เหตุใดท่านถึงมาหาข้าถึงที่นี่ได้เล่า” บุรุษเกราะทองถาม
“น้องชายข้าสิ้นใจแล้ว ฐานที่มั่นที่เขาอยู่ก็ถูกทำลายจนหมด ผู้ลงมือก็คือ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ” บุรุษผมม่วงกล่าว “ข้าหวังว่าภายในลัทธิจะสามารถส่งกองกำลังย่อยทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์สักกองหนึ่งออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้วหาโอกาสกำจัดตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งให้ได้ นอกจากเพื่อล้างแค้นให้น้องชายแล้ว พรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สู.ส่งนัก หากสามารถกำจัดไปเสียได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็เป็นเรื่องดี อีกทั้งฐานที่มั่นถูกทำลาย พวกเราก็ควรที่จะโจมตีกลับ”
บุรุษเกราะทองฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้อาวุโสตำหนักในขั้นกำเนิดตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่ควรค่าแก่การใส่ใจหรอก ต่อให้มีขั้นอลวนโผล่มาอีกคน สำหรับจอมเทพแล้วก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเลย”
จอมเทพเป็นสิ่งมีชีวิตระดับใดกัน
ผู้แกร่งกล้าที่สุดในหมู่สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุด! พลังของตนคนเดียว โลกทิพย์อีกสี่แห่งก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
บุรุษผมม่วงเอ่ยขึ้นว่า “ฐานที่มั่นถูกทำลาย แล้วจะทำเป็นเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“นั่นเป็นดินแดนของวังทวีสูญ พวกเราจะสู้สุดแรงไปก็ไม่เหมาะ การเผยแพร่ลัทธิก็ทำได้เพียงลับๆ เท่านั้น เมื่อถูกพวกเขาทำลายฐานที่มั่นแล้ว ก็ได้แต่ตำหนิว่าพวกเราระวังไม่พอเท่านั้น” บุรุษเกราะทองพูดต่อว่า “ในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ยิ่งพวกเราสู้อย่างร้ายกาจเท่าใด ความเสียหายก็ยิ่งมากเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็สามารถส่งร่างแปรต่างๆ ลงมาได้อย่างง่ายดายอยู่ดี”
บุรุษผมม่วงก็รู้ในข้อนี้ดี
แต่ทว่า หรือเขาต้องบุกไปสังหารด้วยตนเองเสียแล้ว แค่ส่งร่างแปรไป เขาก็ไม่มั่นใจนัก ส่วนจะใช้ร่างจริงบุกไปสังหาร ต่อให้สังหารตงป๋อเสวี่ยอิงได้สำเร็จ ก็เกรงว่าร่างจริงของบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่จะร่อนลงมาทันที ร่างจริงของเขาก็คงจะหนีไม่พ้น ถึงตอนนั้นก็ต้องสังเวยชีวิตอย่างแน่นอน
“ผู้วิเศษหวั่งหมิง” บุรุษเกราะทองกล่าว “กฎภายในลัทธิเคร่งครัดนัก ข้าก็มิอาจฝ่าฝืนได้ เรื่องนี้ท่านคงได้แต่คิดหาวิธีเองแล้วล่ะ”
บุรุษผมม่วงขมวดคิ้วมุ่น
“เช่นหอหมื่นโลกา จะต้องทำให้ท่านพึงพอใจได้อย่างแน่นอน” บุรุษเกราะทองยิ้มน้อยๆ
“หอหมื่นโลการึ” บุรุษผมม่วงยังคงขมวดคิ้ว
……
หอหมื่นโลกานั้นเร้นลับนัก
สิ่งมีชีวิตที่รู้จักมันก็มีน้อยมาก โดยทั่วไปจะต้องเป็นบุคคลระดับสูงของโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะล่วงรู้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รู้ถึงการมีอยู่ของ ‘หอหมื่นโลกา’ จากรายงานที่ท่านอาจารย์กู่ฉีมอบให้
เนื่องจากในโลกทิพย์โบราณ แต่ละแห่งล้วนถูกแสงของจอมเทพปกคลุมเอาไว้
ดังนั้นภายในโลกทิพย์โบราณจึงไม่มีหอหมื่นโลกาอยู่ บนแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโลกทิพย์โบราณเท่าใดนัก มีตัวเมืองอันคึกคักที่มีไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนค้าขายโดยเฉพาะ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายของโลกทิพย์โบราณล้วนแต่มาแลกเปลี่ยนกันที่นี่ สถานที่แห่งนี้ก็คือ ‘หอหมื่นโลกา’
“ฟิ้ว”
บุรุษผมม่วงเดินเท้าไปในตัวเมือง เขาเดินมาถึงหน้าหอสุราที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หอสุรานั้นธรรมดาสามัญ แต่ชื่อด้านบนกลับเหิมเกริมนัก…‘หมื่นโลกา’
ภายในหอสุราเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีแขกเหรื่อเลยแม้แต่คนเดียว!
บุรุษผมม่วงเดินเข้าไปแล้วกวาดตามองโดยรอบ ก็เห็นว่าข้างโต๊ะไกลออกไปมีชายชราผู้หนึ่งกึ่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ชายชราผู้นี้ก็คือประมุขหอสุรานั่นเอง
“ประมุขหอหมื่นโลกา” บุรุษผมม่วงเอ่ยปาก
ชายชราเปิดเปลือกตาอันหย่อนคล้อยขึ้นมา แล้วเหลือบมองบุรุษผมม่วงแวบหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “สถานที่นี้ของข้าแพงนัก หากกินที่ด้านล่าง โต๊ะหนึ่งก็ศิลาปฐมโลกาหนึ่งก้อน หากกินด้านบน โต๊ะหนึ่งก็ศิลาปฐมโลกาสิบก้อน”
นี่เป็นราคาที่น่าหวาดหวั่นนัก
ต้องรู้ไว้ว่าตอนที่จอมมารส่งตงป๋อเสวี่ยอิงจากโลกทิพย์กิเลนบูรพาไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา บรรพชนทรายก็เก็บแค่ศิลาปฐมโลกาสามสิบก้อนเท่านั้น ซื้อเรือบินอลวนธรรมดาลำหนึ่งก็แค่ศิลาปฐมโลกาห้าสิบก้อนเท่านั้น อาวุธเทพอากาศชั้นบนของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่เกือบสามสิบศิลาปฐมโลกาเท่านั้น ตอนนี้แค่กินข้าว ชั้นล่างก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาหนึ่งก้อน ชั้นบนก็ตั้งสิบก้อนเชียวหรือ
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ยังทำใจกินเช่นนี้ไม่ลงเลย
“ชั้นบน” บุรุษผมม่วงเอ่ย
ชายชรายิ้มพลางยืดกายขึ้น ก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นบนอย่างเนิบช้า
บุรุษผมม่วงกลับมิกล้าดูถูกชายชราผู้นี้เลยแม้แต่น้อย โลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านมีหอหมื่นโลกานับพันแห่ง ภายในหอหมื่นโลกาก็ล้วนมีชายชราผู้นี้อยู่ทั้งสิ้น! บุรุษผมม่วงรู้ดีว่า…ชายชราคนนี้ก็คือ ‘ประมุขหอหมื่นโลกา’ หนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดซึ่งเร้นลับเป็นอย่างมาก
หอหมื่นโลกาชั้นสอง
“มาๆๆ นั่งสิๆๆ มิได้รับแขกมาตั้งนานแล้ว” ประมุขหอหมื่นโลกาหัวเราะคิกคัก เขาโบกมือคราหนึ่งก่อนจะวางสุราไหหนึ่งและผลไม้จานหนึ่งลงไป
สุรา เป็นสุราผลไม้ธรรมดาทั่วไป
ผลไม้ก็เป็นผลไม้ที่พบเห็นได้เป็นประจำ แม้แต่ชีวิตเหนือธรรมดาก็ยังสามารถกินได้ตามอำเภอใจ
แต่สองสิ่งนี้…กลับต้องใช้ศิลาปฐมโลกาถึงสิบก้อน!
บุรุษผมม่วงนั่งลงข้างโต๊ะ มองดูชายชราที่หยิบผลไม้ในจานลูกหนึ่งติดมือขึ้นมาก่อนจะนั่งลงตรงหน้า ชายชราแทะผลไม้ไปพลางพูดว่า “ว่ามาเถิด จะสังหารผู้ใด”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ” บุรุษผมม่วงกล่าว
ชายชราพยักหน้า
“เป็นเจ้าหนุ่มที่ร้ายกาจนัก พรสวรรค์สูงส่งมาก เทียนอวี๋และจอมกระบี่ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับเขามากทีเดียว ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักใน วัตถุรักษาชีวิตก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!”
“ศิลาปฐมโลกาแปดร้อยก้อน ข้าสามารถส่งคนไปลงมือได้ ทว่ามิกล้ารับรองว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอนหรอกนะ ล้มเหลวแล้วก็จะลอบสังหารต่อไป หากล้มเหลวสามครั้ง ภารกิจเป็นอันสิ้นสุด”
“อีกแบบหนึ่งก็คือ ศิลาปฐมโลกาห้าพันก้อน ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องตายแน่นอน” ชายชรามองบุรุษผมม่วง
ใบหน้าของบุรุษผมม่วงเครียดขึ้งขึ้นมา
เหตุใดเขาจึงอยากให้กองกำลังย่อยทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ภายในลัทธิลงมือน่ะหรือ ก็เพราะราคาของหอหมื่นโลกาช่างหน้าเลือดเสียเหลือเกินอย่างไรเล่า!
ในฐานะสิ่งมีชีวิตขั้นอลวน ทำให้เขาหยิบสมบัติล้ำค่าออกมาทันที แต่ก็หยิบศิลาปฐมโลกาออกมาได้เพียงสองพันกว่าก้อนเท่านั้น! แม้จะนำอาวุธที่ตนใช้ในการต่อสู้ไปขายทิ้งแล้วรวบรวมขึ้นมา ก็ได้ศิลาปฐมโลกาเพียงหกพันกว่าก้อนเท่านั้น!
ศิลาปฐมโลกาห้าพันก้อนหรือ
แม้แต่เทพจักรวาล สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดก็ยังต้องเจ็บปวดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงสามารถจ่ายได้
สำหรับขั้นอลวน ก็พอจะให้ทุ่มสมบัติล้ำค่าที่มีทั้งหมดไปได้แล้ว
“ถึงจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน ก็ยังต้องตายอยู่ดี” ชายชราพูดยิ้มๆ “เบื้องหลังเจ้าหนุ่มนี่เกี่ยวโยงไปไม่น้อยทีเดียว ข้าดูภาพที่เขาทำลายฐานที่มั่นของพวกเจ้าแล้ว เกรงว่าเบื้องหลังเขาคงจะมีขุมอำนาจอีกแห่งที่ไม่แพ้วังทวีสูญเลย ศิลาปฐมโลกาห้าพันก้อน ไม่สูงเลยแม้แต่น้อย”
………………………..
ตอนที่ 15 สิ่งที่ได้รับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุรุษผมม่วงลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้นว่า “ศิลาปฐมโลกาแปดร้อยก้อน คนที่ท่านส่งไป มั่นใจเพียงใดกัน”
“ทุกครั้งที่ลงมือก็น่าจะมั่นใจราวห้าส่วน” ชายชรากล่าว “หากล้มเหลวต่อเนื่องกันสามครั้ง ภารกิจเป็นอันสิ้นสุด นอกจากนี้ หากเขาเก็บตัวบำเพ็ญอย่างยาวนาน หรือว่ากลับไปอยู่ในวังทวีสูญ ก็ล้วนมิอาจลอบสังหารได้ทั้งสิ้น”
“อื้ม” บุรุษผมม่วงพยักหน้า
เขาก็รู้
ในเมืองวารีสวรรค์ ตงป๋อเสวี่ยอิงแทบจะมีสถานะสูงสุด ‘ประมุขตำหนักวารีสวรรค์’ ซึ่งมีสถานะสูงส่งกว่าเขานั้นเป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น! ดังนั้นจวนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยอยู่จึงเป็นใจกลางสำคัญที่สุดของค่ายกลทั้งเมืองวารีสวรรค์ หากเขาไม่ออกมา ก็มิอาจบุกเข้าไปสังหารได้จริงๆ
“ศิลาปฐมโลกาแปดร้อยก้อน ข้าต้องการให้เขาตาย” บุรุษผมม่วงกล่าว
แม้จะมีความผูกพันลึกล้ำกับน้องชาย แต่การบำเพ็ญของตัวเขาเองก็สำคัญมากเช่นกัน หากจะให้เขาขายแม้แต่อาวุธเพื่อรวบรวมศิลาปฐมโลกาห้าพันก้อนให้ครบ ในใจของเขาก็รู้สึกต่อต้านนัก เพราะถึงอย่างไรเพื่อให้ได้รับอาวุธที่เหมาะสมกับตนที่สุด เขาก็ได้ทุ่มเทร่างกายและจิตใจจำนวนนับไม่ถ้วนจึงสามารถหลอมแปรให้สำเร็จได้
******
ณ เมืองวารีสวรรค์
ภายในจวนของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ตรงนั้นพลางโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ที่แน่นขนัดปรากฏขึ้น ซึ่งนี่ก็คือผู้บำเพ็ญที่เขาช่วยออกมาในครั้งนี้
“ที่นี่คือเมืองวารีสวรรค์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองพวกเขาพลางกล่าวว่า “พวกเจาปลอดภัยกันหมดแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้คืนสู่อิสรภาพแล้วด้วย”
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
ผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้ต่างก็ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ ในจำนวนนั้นมีเหลยเฉินและชิงรั่วสองสามีภรรยารวมอยู่ด้วย
“ส่งพวกเขาออกไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองสาวใช้ชุดเขียวด้านข้างแวบหนึ่ง
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ชุดเขียวรับคำ
“พวกท่านจงตามข้ามาให้หมด ห้ามเดินเพ่นพ่านเด็ดขาด” สาวใช้ชุดเขียวตะโกน แม้นางจะเป็นสาวใช้ก็จริง แต่กลับเป็นเทพอากาศแล้ว เดิมทีเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินงานแห่งเมืองวารีสวรรค์ ครั้งนี้นางถูกเตรียมมาเพื่อคณะผู้อาวุโสโดยเฉพาะ
สาวใช้ชุดเขียวก็พาพวกเขาเดินออกไปไกล
เหลยเฉินและชิงรั่วยังทำความเคารพไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มให้พวกเขาพลางถ่ายเสียงพูดว่า “ไปเถิด หากพบความยุ่งยากอันใดก็สามารถมาหาข้าได้”
การโจมตีฐานที่มั่นจนแตกในครั้งนี้ เหลยเฉินมีผลงานอย่างแท้จริง ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมจำได้อย่างแน่นอน
“ขอบคุณผู้อาวุโส” เหลยเฉินและชิงรั่วกลับเต็มไปด้วยความยินดีจนล้นใจ
พวกเขาทั้งสองพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ทั้งยังมาถึงเมืองวารีสวรรค์ สำหรับผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้แล้ว พวกเขามีแต่ความซาบซึ้งจนล้นใจเท่านั้น! หากมิใช่เพราะตงป๋อเสวี่ยอิง เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคงถูกควบคุมและสวามิภักดิ์ต่อจอมเทพไปตลอดกาลในท้ายที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองส่งพวกเขาจากไปแล้วจึงค่อยหมุนกาย ไม่นานนักก็ไปถึงกลางห้องเงียบ
……
ภายในห้องเงียบ
ห้องเงียบเงียบสนิท ธูปดอกหนึ่งถูกจุดขึ้น กลิ่นหอมแผ่กำจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะไหมน้ำแข็งสีเงิน โบกมือคราหนึ่ง บนพื้นก็มีวัตถุแน่นขนัดปรากฏขึ้นมา ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ได้รับจากการต่อสู้กับลัทธิทิพย์โบราณในครั้งนี้ หลังจากทูตทิพย์และศิษย์ทิพย์เหล่านั้นสิ้นใจไปแล้ว แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมต้องเก็บสมบัติล้ำค่าไปด้วย! นอกเหนือจากรางวัลของวังทวีสูญแล้ว นี่ก็คืออีกสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับจากการทำลายฐานที่มั่นของลัทธิทิพย์โบราณแต่ละแห่ง! บางครั้งสิ่งที่ได้จากการชนะศึกยังเหนือกว่ารางวัลของวังทวีสูญเสียอีก
วัตถุมีมากมายหลายประเภท ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ จำแนกทีละประเภทแล้วประเมินราคา
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดที่แข็งแกร่งที่สุดในฐานที่มั่นแห่งนั้นและทูตทิพย์อาภรณ์ดำผู้นั้น พวกเขาสามคนทิ้งสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา
มนุษย์น้ำแข็งสู้จนตัวตาย มูลค่าของสมบัติล้ำค่าที่ทิ้งเอาไว้ราวหกสิบศิลาปฐมโลกา
สมบัติที่สตรีหกกรทิ้งเอาไว้มีมูลค่าราวห้าสิบศิลาปฐมโลกา
ทูตทิพย์อาภรณ์ดำ…สมบัติล้ำค่ามากที่สุด! ป้ายสัญลักษณ์เคลื่อนย้ายและวัตถุหลายอย่างคล้ายจะมีข้อจำกัดอยู่ ใ้มีเพียงทูตทิพย์อาภรณ์ดำเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ คนภายนอกมิอาจกระตุ้นได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆ ของเขา เมื่อรวมกันแล้วก็เกือบสองร้อยศิลาปฐมโลกาเลยทีเดียว!
ทูตทิพย์กลุ่มใหญ่คนอื่นๆ ก็มีน้อยแล้ว เมื่อรวมกันก็แค่ห้าสิบกว่าศิลาปฐมโลกาเท่านั้น
ศิษย์ทิพย์ทั้งหลาย แม้จะมีจำนวนมากแต่สมบัติล้ำค่ากลับน้อยเสียจนน่าสงสาร เมื่อรวมกันแล้วก็แค่เกือบๆ ยี่สิบศิลาปฐมโลกาเท่านั้น
ทั้งหมด…
มูลค่าราวสามร้อยแปดสิบศิลาปฐมโลกา! นี่ยังมิได้นับรางวัลแต้มความดีความชอบหนึ่งล้านแต้มของวังทวีสูญเข้าไปด้วย
“ทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณได้กำไรก้อนโตจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกบานใจนัก แม้มูลค่าของน้ำเต้าสีดำของเขาจะสูงยิ่งกว่า แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่กู่ฉีกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนหลอมแล้วว่า มีไว้ให้ผู้สืบทอดเช่นเขาใช้งานเท่านั้น มิอาจขายได้ ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักในป้ายอักขระก็มีประโยชน์มากในการรักษาชีวิต มันยังล้ำค่ากว่าน้ำเต้าสีดำเสียอีก แต่ป้ายอักขระของผู้อาวุโสตำหนักในก็ไม่สามารถขายได้เช่นกัน! คนภายนอกไม่มีทางได้ไป และไม่สามารถใช้ได้ด้วย
ดังนั้นครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้สมบัติล้ำค่าจำนวนมากที่สามารถนำไปขายได้อย่างแท้จริง
“สังหารทูตทิพย์อาภรณ์ดำผู้นั้นก็ได้ศิลาปฐมโลกามาเกือบสองร้อยก้อนแล้ว สถานะของเขาน่าจะพิเศษอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา
โบกมือคราหนึ่ง
สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่เต็มพื้นก็ถูกเก็บขึ้นมา ธูปดอกนั้นก็ดับมอดไปในพริบตา ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไปจากห้องเงียบ
ภายในจวนมีบ่าวรับใช้
“นายท่านเจ้าคะ” สาวใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเดินมา พลางพูดเสียงใสด้วยความเคารพว่า “หอทะเลสัตตดาราส่งเทียบเชิญมาเจ้าค่ะ”
“หอทะเลสัตตดาราหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง
หอทะเลสัตตดารา เป็นองค์กรค้าทรัพยากรที่ใหญ่ที่สุดในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา เบื้องหลังก็คือวังทวีสูญ เกาะปฐมบรรพชนและแดนทิพย์เหยากวง
ต้องรู้ไว้ว่า…
สิ่งที่ผู้บำเพ็ญให้ความสำคัญที่สุดก็คือทรัพยากร เมื่อเทียบกันแล้วระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ดีกว่าอยู่บ้าง ระบบศาสตร์โบราณ ระบบการบำเพ็ญสายโลหิตและระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุดล้วนปรารถนาทรัพยากรและวัสดุล้ำค่าพิสดารต่างๆ ดังนั้นสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงได้ตั้ง ‘หอทะเลสัตตดารา’ ขึ้นมาเพื่อเลือกซื้อและขายทรัพยากรออกไปโดยเฉพาะ! ผู้บำเพ็ญจำนวนมากล้วนอยากไปซื้อขายยังหอทะเลสัตตดารา เพราะหอทะเลสัตตดารานั้นยุติธรรมใช้ได้ทีเดียว
หอทะเลสัตตดาราครอบคลุมทั่วเมืองใหญ่ต่างๆ ภายในเมืองวารีสวรรค์จึงย่อมมีหอทะเลสัตตดาราอยู่แห่งหนึ่ง
“เชิญข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเทียบเชิญแวบหนึ่ง “สามพันปีให้หลังหรือ”
หอทะเลสัตตดารา สมบัติล้ำค่าทั่วไปล้วนสามารถค้าขายกันโดยตรงได้
ส่วนบางอย่างที่ล้ำค่า อาจถึงขั้นที่ภายในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านอาจจะมีอยู่เพียงชิ้นเดียว ก็ไม่สามารถขายตามอำเภอใจได้ แต่จะมีการจัดงานขึ้นมาเป็นการเฉพาะ แล้วแจ้งให้เหล่าผู้แกร่งกล้าฝ่ายต่างๆ ทราบ ให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามาเรียกราคา ผู้ที่ให้ราคาสูงก็จะได้ไป!
หอทะเลสัตตดาราครอบคลุมทั่วเมืองใหญ่ของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ผู้ที่อยู่ภายในเมืองใหญ่แต่ละแห่งล้วนสามารถเข้าร่วมงานได้ และจะได้เห็นเพียง ‘เงาราง’ ของสมบัติล้ำค่าเท่านั้น หากซื้อไป สมบัติล้ำค่าก็จะถูกส่งไปให้ถึงมือเอง! หากสมบัติล้ำค่าจำนวนมากวางเอาไว้ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะดึงดูดให้ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายมาโจมตีและแย่งชิงเอาไปได้! ดังนั้นสถานที่วางสมบัติล้ำค่าจึงไม่เป็นที่ล่วงรู้
หากซื้อไปแล้ว สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะจัดผู้แกร่งกล้าไปส่งสมบัติล้ำค่าให้
และงานประมูลที่หอทะเลสัตตดาราจัดขึ้นในครั้งนี้มีนามว่า ‘งานประมูลเชิงฉวิน’
เนื่องจากสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดก็มีนามว่า ‘สมบัติล้ำค่าเชิงฉวิน’ ด้านบนมิได้มีคำอธิบายแต่อย่างใด เพียงแต่ราคาเริ่มต้นของสมบัติล้ำค่านี้ก็คือหนึ่งพันศิลาปฐมโลกา!
“สมบัติล้ำค่าอันใดกัน ราคาเริ่มต้นก็สูงถึงเพียงนี้แล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจอยู่บ้าง “สมบัติล้ำค่าระดับนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นพวกยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจึงจะทำใจซื้อได้ ก็ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อันใด ข้ายังไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ”
งานประมูลครั้งนี้ ได้ส่งเทียบเชิญออกไปล่วงหน้าหลายพันปี
ยิ่งล่วงหน้านานเท่าใด ก็หมายความว่ายิ่งล้ำค่าขึ้นเท่านั้น
และในประวัติศาสตร์…
เคยมีอาวุธขั้นเทพจักรวาลออกมาให้ประมูล จึงมีการส่งเทียบเชิญล่วงหน้าถึงหนึ่งร้อยล้านปีเต็ม และยังส่งเทียบเชิญให้โลกทิพย์โบราณอีกด้วย
“ถึงตอนนั้นต้องไปดูเสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสนอกสนใจนัก ‘เชิงฉวิน’ สมบัติล้ำค่าที่เขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยิน และเขาก็ไม่มีปัญญาซื้อด้วย แต่ในงานประมูลครั้งหนึ่งก็ย่อมมีสมบัติล้ำค่าอื่นๆ มากมายเผยโฉมออกมาพร้อมกันด้วยเช่นกัน และย่อมมีวัตถุที่พบเห็นได้ยากจำนวนมากอยู่ด้วย
………………………………
ตอนที่ 16 ขั้นอลวนที่น่าสงสาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจงานประมูลสมบัติล้ำค่าของหอทะเลสัตตดารามากทีเดียว
วันคืนต่อจากนั้น เขากลับอยู่ภายในจวนตลอดเวลา ภายในจวน หากมิได้รับรู้และบำเพ็ญอยู่ในห้องเงียบ เขาก็จะไปยังโถงตำหนักสำหรับฝึกแสดงพลังโดยเฉพาะ แล้วทดลองกระบวนท่าต่างๆ ท่ามกลางความไม่รีบร้อน เขาก็ค่อยๆ รับรู้สิบสามกระบี่ผลาญโลกาและแผนภาพคลื่นจานได้ลึกล้ำขึ้น ส่วนกระบี่ที่สี่ผลาญโลกาก็รู้สึกว่ามีหวังแล้ว สาเหตุหลักก็คือตอนนั้นเมื่ออยู่ในวังทวีสูญ หลังสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ก็บำเพ็ญภายในตำหนักกาลเวลามากว่าเจ็ดพันล้านปี!
เจ็ดพันล้านปีนี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพื้นฐานแน่นหนามากทีเดียว ถึงขั้นทำให้กระบี่ที่สามผลาญโลกาแปรเป็น ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ที่ง่ายขึ้น ซึ่งการที่สามารถทำให้ง่ายขึ้นได้นี้ แสดงให้เห็นถึงระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิง
บัดนี้ทำลายฐานที่มั่นของลัทธิทิพย์โบราณลงไปได้ เขาจึงอารมณ์ดียิ่ง ภายใต้การผ่อนคลายก็ยังมีความก้าวหน้า เขารู้จัก ‘กระบี่ที่สี่ผลาญโลกา’ ค่อนข้างชัดเจนขึ้น ขอเพียงใช้เวลาให้มากหน่อย ก็เชื่อว่าจะสามารถรับรู้ได้
“อืม รอให้งานประมูลของหอทะเลสัตตดารายุติลงก่อน ข้าก็จะกลับไปยังวังทวีสูญสักครา แล้วไปเก็บตัวยังตำหนักกาลเวลาเพื่อรับรู้กระบี่ที่สี่ผลาญโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบรำพึง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญอย่างสบายใจ แต่กลับทำให้คนผู้หนึ่งลำบากขึ้นมา
“คนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นอยู่แต่ภายในจวนโดยมิได้ออกมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ” บุรุษร่างอ้วนเตี้ยที่เรียกหาอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะในหอสุราแห่งหนึ่งดื่มสุราไปพลางกินอาหารไปพลาง เขาขมวดคิ้วขึ้นมา เขาปราดตามองไกลออกไปนอกหน้าต่างหอสุราแวบหนึ่ง แม้ระยะห่างกว่าหมื่นลี้ แต่เขากลับยังคงสามารถมองเห็นจวนแห่งนั้นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
นั่นคือจวนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่!
บุรุษร่างอ้วนเตี้ยสวมอาภรณ์ธรรมดาสามัญ บนใบหน้ามีลวดลายสีดำ นัยน์ตาสีทองเข้มคู่หนึ่งฉายแววรำคาญใจ
กลิ่นอายของเขาถูกเก็บงำเอาไว้ เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว ก็แค่เทพอากาศธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้นเอง!
แต่ในความเป็นจริง…เขาก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ‘บรรพชนกาฬสยบ’ ในช่วงที่โลกทิพย์โบราณยังสมบูรณ์ดีเขาก็มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่แล้ว สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดส่วนใหญ่ล้วนมิได้มีชีวิตอยู่นานเท่าเขา หากพูดถึงพลังแล้ว ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเขาก็จัดอยู่ในอันดับต้นๆ แข็งแกร่งกว่าจอมมารและเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงอยู่ขุมใหญ่ อีกทั้งนิสัยของเขาก็ค่อนข้างโหดร้าย ทั้งยังมิได้สวามิภักดิ์ต่อเทพจักรวาล หากแต่ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เขามีชื่อเสียงเรื่องความเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร
แน่นอนว่า
มีเพียงร่างแปรของเขาเท่านั้นที่มาถึงเมืองวารีสวรรค์ เพราะเมื่อสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นถึงผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ ทั้งยังลงมือใน ‘เมืองวารีสวรรค์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองอลหม่านสิบสองแห่งของวังทวีสูญ วังทวีสูญย่อมเดือดแค้นอย่างแน่นอน เขาจะหนีก็หนีไม่พ้น จึงย่อมมิอาจส่งร่างจริงมาได้
ร่างแปรสามารถเก็บงำและเปลี่ยนแปลงลักษณะและกลิ่นอายได้ เมื่อลอบสังหารได้สำเร็จแล้ว ร่างแปรก็จะสลายหายไปทันที! ขอเพียงไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้ วังทวีสูญก็จะตรวจสอบไม่ได้เลย
“ตามรายงาน ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพิ่งจะมาถึงเมืองวารีสวรรค์ ก็ชอบไปตามหอสุราและร้านอาหารต่างๆ แทบจะเดินเล่นอยู่ภายนอกทุกวัน เหตุใดหลังจากทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณไปแล้วกลับไม่ออกมาตลอดเลยเล่า” บุรุษร่างอ้วนเตี้ย ‘บรรพชนกาฬสยบ’ พูดไม่ออกอยู่บ้าง เขาเร่งมาด้วยความเร็วสูงสุด ด้วยหวังว่าจะลอบสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงขณะเดินเล่นอยู่ข้างนอก เมื่อลอบสังหารสำเร็จแล้ว เขาก็จะสามารถจากไปได้อย่างสบายอกสบายใจแล้ว แต่ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ออกมา เขาก็ไม่มีวิธีอื่นใดอีก
******
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามพันปีแล้ว
ภายในห้องเงียบของจวน
กลิ่นหอมของธูปหอมแผ่กำจายไปทั่ว ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรม ผิวหนังของเขามีพละกำลังอันดำทะมึนปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง พละกำลังนี้ร่อนลงมาจากกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่ไกลโพ้นอย่างไม่ขาดสาย! ซึ่งก็คือพละกำลังของอากาศอันสับสนอลหม่านที่รวมตัวกันอย่างดียิ่งซึ่งถูกเคล็ดวิชาลับผู้ท่องเหนี่ยวนำมา เพราะถูกเคล็ดวิชาบีบอัดจนรวมตัวกันกลายเป็นสีดำ มันหนาวเย็นอย่างยิ่งยวด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยแววทำลายล้างอีกด้วย…
“ฟึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากสำรอกออกมา แสงหลากสีสายหนึ่งลอยออกมา จากนั้นก็หายวับไป แสงหลากสีค่อยๆ สลายไปภายในห้องเงียบ
นั่นเป็นส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านที่มิอาจดูดซับพลังมาใช้งานได้
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า สามพันปีนี้ยังสามารถทำให้วิชาลับผู้ท่องของข้าก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา แม้ด้านอื่นๆ จะค่อยๆ ยกระดับขึ้นแต่กลับไม่มีความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด บัดนี้วิชาลับผู้ท่องกลับบรรลุถึงชั้นที่ยี่สิบเก้า!
“อื้ม อีกครึ่งเดือนก็จะเป็นวันจัดงานประมูลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดีนัก หลังจากเพิ่งจะบรรลุเขาก็รับรู้วิชาลับผู้ท่องต่อไป เขาก็คิดจะบรรลุชั้นที่สามสิบเอ็ดให้ได้รวดเร็วที่สุด ถึงวันนั้น ระบบผู้ท่องอากาศนี้ของตนจึงจะนับได้ว่าบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เกราะพล หรือว่าการควบคุมอากาศก็จะมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้
ครึ่งเดือนผ่านไปไวราวกะพริบตา ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น “โครม!” ประตูห้องเงียบเปิดออก
“หวังว่างานประมูลครั้งนี้จะสามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้บ้างนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยอยู่บ้าง นี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้เข้าร่วมงานประมูลขอหอทะเลสัตตดารา
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงกลางลานของจวนแล้วหายวับไป
เขาสำแดงการเคลื่อนที่ในอากาศเร่งมุ่งหน้าไปทางหอทะเลสัตตดารา เพราะถึงอย่างไรจวนก็อยู่ห่างจากหอทะเลสัตตดาราเป็นระยะทางถึงสามแสนลี้ เขาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะบินไปอย่างเชื่องช้า
……
“เอ๊ะ”
‘บรรพชนกาฬสยบ’ ซึ่งถึงขั้นซื้อเรือนแห่งหนึ่งเอาไว้ปลดปล่อยเคล็ดลับอยู่ตลอดเวลา เพื่อตรวจสอบรอบจวนของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งแถบอย่างระมัดระวัง เนื่องจากจวนของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงใจกลางสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของค่ายกลทั้งเมืองวารีสวรรค์ ดังนั้นการตรวจสอบด้วยเคล็ดลับของเขาก็ไม่กล้าแทรกซึมเข้าไปในจวนแห่งนี้ กล้าเพียงอยู่นอกจวนเท่านั้น
เวลาสามพันปี บรรพชนกาฬสยบเตรียมตัวที่จะเฝ้าดูแลเป็นระยะเวลายาวนาน ในฐานะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ต่อให้เป็นระยะเวลาร้อยล้านปีก็ยังไม่ควรค่าให้เขาพูดถึง
ทันใดนั้นบรรพชนกาฬสยบก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีทองเข้มฉายแววตกใจ!
เพราะว่าขอบเขตการตรวจสอบด้วยเคล็ดลับ…
สัมผัสได้ถึงการทะลุอากาศสายหนึ่ง สวบ ทะลุผ่านระยะทางสามแสนลี้ไปถึงหอทะเลสัตตดารา
รวดเร็วเกินไปแล้ว!
บัดนี้ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาภายใต้การกดดันกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์ เคลื่อนที่ในพริบตาครั้งหนึ่งก็เป็นระยะกว่าแสนห้าหมื่นลี้ สำหรับเขาแล้วระยะทางเพียงแค่สามแสนลี้ก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น!
บรรพชนกาฬสยบเพิ่งจะพบตงป๋อเสวี่ยอิง…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปถึงหอทะเลสัตตดาราแล้ว
“หอทะเลสัตตดาราหรือ” บรรพชนกาฬสยบร้อนใจขึ้นมา
“เจ้าบินไปช้าๆ ไม่ได้หรือ”
“จะออกมาเดินเล่นสักหน่อยไม่ได้หรือไรกัน อุดอู้มาตั้งสามพันปี จะไม่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจบ้างเลยหรือ” บรรพชนกาฬสยบโมโหขึ้นมาบ้าง แต่ตัวเขาเองก็เข้าใจว่า ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งเก็บตัวครั้งหนึ่งเป็นหมื่นล้านปีก็มีให้พบเห็นได้โดยทั่วไป เพียงแค่สามพันปีไหนเลยจะรู้สึกว่าต้องออกมาพักผ่อนหย่อนใจกันเล่า
บรรพชนกาฬสยบรู้สึกคับข้องใจ
เพิ่งจะพบตงป๋อเสวี่ยอิง เขาก็เข้าไปในหอทะเลสัตตดาราเสียแล้ว
“หอทะเลสัตตดารา สมควรตาย” บรรพชนกาฬสยบร่ำร้อง “หอทะเลสัตตดาราเป็นสิ่งที่สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราร่วมมือกันสร้างขึ้น เพื่อไว้ค้าขายสมบัติล้ำค่าโดยเฉพาะ ความเข้มงวดของการตระเตรียมสถานที่นี้นั้นเหนือกว่าจวนของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่มากโข ทันทีที่แทรกซึมเข้าไปก็จะถูกพบเข้า จึงมิอาจลอบสังหารภายในหอทะเลสัตตดาราได้”
“รอ”
“รอเขาออกมา” บรรพชนกาฬสยบพึมพำเบาๆ “ครั้งนี้เตรียมตัวให้ดี ต่อให้เขาทะลุอากาศจากหอทะเลสัตตดารา ข้าก็ต้องสกัดขัดขวางเขาเอาไว้ให้ได้ในทันที”
เขาตัดสินใจระมัดระวังขั้นสูงสุดต่อไป
ทันทีที่พบว่าตงป๋อเสวี่ยอิงออกมา ก็จะเข้าไปสกัดกั้นทันที! เพราะความเร็วในการทะลุอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิง จากหอทะเลสัตตดารามาถึงจวนก็แค่ชั่วอึดใจเท่านั้น เวลาช้าเกินไป มิอาจแบ่งสมาธิไปได้เลยแม้แต่น้อย
การระมัดระวังขั้นสูงสุดพรรค์นี้…ก็เหนื่อยมากทีเดียว ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงวันสองวัน บรรพชนกาฬสยบก็ยังยินดี เพราะถึงอย่างไรเมื่อสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้รับรางวัลเป็นศิลาปฐมโลกาห้าร้อยหกสิบก้อน!
……
สวบ
ทางเข้าหอทะเลสัตตดารา มีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ผู้ดำเนินการของหอทะเลสัตตดาราประจำเมืองวารีสวรรค์ก็เข้ามาต้อนรับด้วยตนเองด้วยสีหน้ากระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยม
……………………………………….
ตอนที่ 17 งานประมูล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ดำเนินการสวมอาภรณ์สีทองตลอดร่าง เขาหัวเราะน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าชื่ออวี่ฉี เป็นประมุขหอของหอทะเลสัตตดาราแห่งเมืองวารีสวรรค์แห่งนี้ แม้จะรับหน้าที่เป็นประมุขหอแห่งนี้แต่ข้าก็ยังเป็นศิษย์วังทวีสูญอีกด้วย”
“อ้อหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
ก็ไม่น่าแปลกใจเลย ถึงอย่างไรเบื้องหลังของหอทะเลสัตตดาราก็คือวังทวีสูญ เกาะปฐมบรรพชน และแดนทิพย์เหยากวง สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ คาดว่าสมาชิกที่สำคัญต่างก็เป็นสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ส่งออกไปทั้งสิ้น
เมืองใหญ่ทุกแห่งต่างก็มีหอทะเลสัตตดาราอยู่แห่งหนึ่งและต่างก็มีประมุขหออยู่คนหนึ่ง
“ผู้อาวุโสตงป๋อโปรดตามข้ามา” ประมุขหออวี่ฉีกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เขานำทางอยู่ด้านหน้าไปพลางพูดไปพลาง “หอย่อยของทางเมืองวารีสวรรค์เรามีผู้เข้าร่วมงานประมูลคราวนี้เพียงสิบห้าคนเท่านั้น ถึงเวลาก็จะเข้าร่วมการประมูลสมบัติล้ำค่ากับหอย่อยอื่นๆ การแข่งขันก็จะขับเคี่ยวกันเป็นอย่างมากแล้ว ได้ยินว่าคราวนี้ดึงดูดขั้นอลวนมาไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงขนาดที่มีบางส่วนมาจากโลกทิพย์กิเลนบูรพาและที่อื่นๆ อีกด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างประหลาดใจ
หอย่อยต่างๆ มาแย่งชิงสิ่งล้ำค่าพร้อมๆ กัน ช่างน่าสนใจนัก
“เชิญ” ประมุขหออวี่ฉีนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องมีหญิงรับใช้คอยท่าอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถือกาสุราเอาไว้ด้วย ห้องนี้มีหน้าต่างขนาดใหญ่อยู่บานหนึ่ง มองทะลุผ่านหน้าต่างไปก็เห็นยกพื้นอยู่ลิบๆ
“งานประมูลสมบัติล้ำค่าครั้งนี้มีชื่อว่า ‘งานประมูลเชิงฉวิน’ ก็เพราะสมบัติล้ำค่าที่สูงค่าที่สุดก็มีชื่อเรียกว่าวัตถุมหัศจรรย์ ‘เชิงฉวิน’ อันที่จริงข้าก็ไม่เคยเรียกมาก่อน ว่ากันว่าที่คราวนี้ขั้นอลวนของโลกทิพย์แห่งอื่นๆ พากันมาก็เพราะมันนั่นเอง” ประมุขหออวี่ฉีพูด “ใช่แล้ว ก่อนจะถึงตอนนั้นข้ายังจำเป็นต้องดูสักหน่อยว่าผู้อาวุโสตงป๋อมีสมบัติล้ำค่าอันใดอยู่บ้าง จะได้กำหนดขีดจำกัดที่ผู้อาวุโสตงป๋อสามารถเรียกราคาได้”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง
พรึ่บ!
สมบัติล้ำค่าจำนวนมากวางอย่างแน่นขนัดเรียงรายเต็มครึ่งหนึ่งของห้อง ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดที่จะขายวัตถุเหล่านี้ทิ้งไป
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ประมุขหออวี่ฉีตกตะลึงอยู่บ้างแล้วเริ่มต้นประเมินอย่างละเอียดในทันที รับหน้าที่ประมุขหอย่อย การประเมินสมบัติล้ำค่าก็คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด ความเร็วในการประเมินของเขายังรวดเร็วกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนแรกเสียอีก
“สมบัติล้ำค่าเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาปฐมโลกาได้สามร้อยแปดสิบห้าก้อน” ประมุขหออวี่ฉีพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ศิลาปฐมโลกามากมายเช่นนี้เพียงพอที่จะซื้อวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ได้เลยทีเดียว”
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ประมุขหออวี่ฉีอยู่สนทนาเป็นเพื่อนตงป๋อเสวี่ยอิง เพียงพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ในที่สุดบนยกพื้นนอกหน้าต่างก็มีหญิงสาวอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น หญิงสาวอาภรณ์ม่วงมีบุคลิกไม่ธรรมดา นางกวาดตามองบริเวณรอบๆ คราหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้า หมิงอวี๋ เป็นหนึ่งในเก้าผู้อาวุโสแห่งหอทะเลสัตตดารา ข้าเป็นผู้จัดการงานประมูลเชิงฉวินในคราวนี้เอง!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงไป เจ้าดาราหมิงอวี๋ บุคคลขั้นอลวนแห่งแดนทิพย์เหยากวงน่ะหรือ
ประมุขหออวี่ฉีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นในทันใด “เจ้าดาราหมิงอวี๋เป็นเพียงแค่เงารางเท่านั้น ตอนนี้นางจะต้องคอยจัดการอยู่ที่หอทะเลสัตตดาราของเมืองใหญ่สักแห่งในอาณาเขตของแดนทิพย์เหยากวงเป็นแน่”
“พวกเราก็มาเริ่มกันเลยเถิดนะ” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวอาภรณ์ม่วงมีประสบการณ์อย่างมากอยู่แล้ว นางยื่นมือออกมา กลางฝ่ามือก็มีดอกไม้สีแดงดอกหนึ่งปรากฏขึ้น กลีบดอกไม้แต่ละดอกล้วนมีสีสันสดใสงดงาม บนพื้นผิวมีหยาดน้ำควบแน่นรวมกันอยู่ นางโบกฝ่ามือคราหนึ่ง ดอกไม้สีแดงดอกนี้ก็เปลี่ยนแปรไปในทันใด กลายเป็นหญิงสาวในชุดเกราะสีแดงคนหนึ่ง
“นี่ก็คือสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดขั้นรวมเป็นหนึ่งที่มีพลังยุทธ์สามารถผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวได้” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ราคาขั้นต่ำหนึ่งร้อยศิลาปฐมโลกา”
“หนึ่งร้อยสิบก้อนศิลาปฐมโลกา”
“หนึ่งร้อยสิบเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา”
เห็นเพียงว่านอกหน้าต่างมีเสียงลอยมาจากทิศทางต่างๆ กัน
ประมุขหออวี่ฉีอธิบายอยู่ข้างๆ ในทันที “เสียงเหล่านี้ล้วนเป็นเสียงจากหอย่อยแต่ละแห่งที่ร่วมประมูล หากผู้อาวุโสตงป๋อประมูล เสียงของท่านก็จะดังขึ้นที่หอย่อยแต่ละแห่งเช่นเดียวกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอยู่ข้างๆ เขามิได้มีความสนใจในสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดขั้นรวมเป็นหนึ่งตนนี้เลย เขามีสมบัติล้ำค่าอยู่ไม่มากนัก ต้องใช้ในคราววิกฤติเท่านั้น
การประมูลของงานประมูลนี้ก็ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งมาถึงช่วงหลัง ราคาก็เพิ่มทีละหนึ่งก้อนศิลาปฐมโลกา! มีบางเวลาที่ลังเลอยู่นานพอสมควร ถึงขนาดที่รอจนใกล้ถึงเวลาที่หญิงสาวอาภรณ์ม่วงใกล้จะประกาศว่าสิ้นสุดแล้วจึงค่อยประมูล
……
“สามสิบหกก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนพูดอยู่ตรงริมหน้าต่าง เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณรอบๆ ยกพื้น
หญิงสาวอาภรณ์ม่วงบนยกพื้นกำลังถือขวดหยกใบหนึ่งพลางมองไปรอบๆ อย่างยิ้มๆ
“สามสิบเจ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา”
“สามสิบแปดก้อนศิลาปฐมโลกา”
ราคาประมูลเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน
เพียงไม่นานตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่ายศีรษะ ภายในขวดหยกก็คือยาวิเศษที่หลอมออกมาเม็ดหนึ่ง มีฤทธิ์ส่งเสริมการบำเพ็ญ! ตงป๋อเสวี่ยอิงให้ความสำคัญกับสมบัติล้ำค่าจำพวกนี้เป็นอย่างยิ่ง สามารถซื้อกลับไปมอบให้กับภรรยาและบุตร ทั้งยังใช้เองได้ด้วย แต่ก็ต้องดูว่าราคาเหมาะสมหรือไม่ด้วย! ถ้าหากราคาสูงเกินไปก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
เพราะว่าตนเองยังเยาว์วัยนัก ยังมีเวลาในยุคจักรวาลภูมิลำเนาเหล่านี้อีกเนิ่นนานยิ่ง ยิ่งพลังยุทธ์ของตนแข็งแกร่งขึ้น ก็สามารถได้รับวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย! ตอนนี้ยังมิต้องรีบร้อน
……
สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ อย่างต่ำที่สุดก็มีราคาเกินกว่าสามสิบก้อนศิลาปฐมโลกา บางอย่างก็มีราคาถึงกระทั่งหลายร้อยศิลาปฐมโลกา! แต่สิ่งล้ำค่าชิ้นสุดท้าย ‘เชิงฉวิน’ กลับมิได้ปรากฏขึ้นเลยมาโดยตลอด ราคาขั้นต่ำนั้นก็คือหนึ่งพันศิลาปฐมโลกา ตามกฎของการประมูลเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าราคาประมูลที่สำเร็จสุดท้ายจะต้องเพิ่มไปเป็นเท่าตัว
ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นที่ยี่สิบสองแล้ว
มือขวาของหญิงสาวอาภรณ์ม่วงบนยกพื้นยื่นออกมา บนฝ่ามือมีตำราสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ตำราดูคล้ายกับทำจากโลหะสีดำชั้นแล้วชั้นเล่า ห่อหุ้มด้วยกลิ่นอายดำมืดรางๆ
“นี่ก็เป็นสมบัติเลอค่าอีกชิ้นหนึ่ง” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงพูด
พอตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังก็รู้ว่าสมบัติเลอค่าโดยทั่วไปก็ต้องมีมูลค่าหลายร้อยศิลาปฐมโลกา
“ที่โลกทิพย์กิเลนบูรพาเคยมีผู้บำเพ็ญศาสตร์โบราณที่ล้ำเลิศน่าตื่นตะลึงคนหนึ่ง มีนามว่า ‘ประมุขโลกอนธการ’” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงพูด “คิดว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่นี่จะต้องรู้จักแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึง
รู้จักหรือ
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ
“ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง แต่ก็ผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงพูด “พลังยุทธ์สามารถเทียบเคียงได้กับขั้นอลวน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้อย่างนั้นหรือ ปัจจุบันยังไม่มีใครในบรรดาผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญแม้แต่คนเดียวที่สามารถผ่านชั้นที่หกได้เลย
“ศาสตร์ลับที่เขาสรรสร้างขึ้นมีชื่อเรียกว่าวิชาโลกอนธการ” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงมองไปยังตำราสีดำในมือพลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “น่าเสียดายที่เขาสิ้นชีพไปตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง มิฉะนั้นด้วยศักยภาพของเขาแล้ว พอได้เป็นขั้นอลวนก็จะต้องแข็งแกร่งกว่าข้าเป็นอย่างมากแน่นอน เกรงว่าจะสามารถผ่านชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวได้ ชั้นที่เก้าก็มิใช่ว่าจะไร้ซึ่งความหวัง”
“เป็นถึงศาสตร์โบราณ เขาก็เชี่ยวชาญในการควบคุมโลกเขตลวงเป็นที่สุด เดิมทีโลกเขตลวงเชี่ยวชาญการวางกับดักและล่อลวงศัตรู ส่วนทางด้านการโจมตีนั้นอ่อนแอเป็นที่สุด แต่เขากลับสร้างแนวทางของตนเอง เขาสร้างโลกขึ้นมาเพื่อบ่มเพาะท่าไม้ตายอันบริสุทธิ์ โลกแห่งหนึ่งที่เอาไว้สำหรับการสร้างสรรค์ท่าไม้ตายออกมา”
“ศัตรูยังมิทันเข้าใกล้เขา พลังของโลกก็มารวมกันเป็นท่าไม้ตายหนึ่ง พอท่าไม้ตายมาถึง พลังคุกคามก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด”
“…”
หญิงสาวอาภรณ์ม่วงยังคงสาธยายต่อไป ถึงอย่างไรนี่ก็คือศาสตร์ลับ อยากจะให้ผู้บำเพ็ญซื้อไป ก็ได้แต่ทำให้คนเข้าใจว่าที่แท้แล้วสิ่งนี้คือศาสตร์ลับอันใด มีความร้ายกาจทางด้านใด พอเข้าใจโดยละเอียดแล้วทุกคนจึงจะตัดสินใจได้ว่าเหมาะสมกับตนเองหรือไม่
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรู้สึกว่าในห้วงสมองระเบิดเปรี้ยงปร้าง
ราวกับว่ามีอสนีบาตสายหนึ่งฟาดลงมาท่ามกลางความมืดมิด ทำให้ความมืดมิดกลับสว่างไสว
“สร้างโลกขึ้นมาเพื่อบ่มเพาะท่าไม้ตายอันบริสุทธิ์หรือ”
“โลกใบหนึ่ง ก็เพื่อท่าไม้ตายหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
“พลังของโลกมารวมกันเป็นท่าไม้ตายท่าเดียวหรือ”
ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรัศมีเปล่งประกายวาบอย่างต่อเนื่อง บางทีสิ่งที่ขาดไปก็คือความคิดอย่างหนึ่ง วิชาโลกอนธการ ทิศทางที่ศาสตร์ลับสร้างขึ้น ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบด้วยความพรั่นพรึงว่า…สิ่งที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดก็คือ ‘วิถีโลกเทียม’ ถึงขนาดที่แม้วิถีโลกเทียมไม่มีศาสตร์ลับขั้นจักรวาล แต่กลับเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเทพอากาศได้เป็นอย่างแรกอยู่ดี
แต่ว่าอันที่จริงแล้ววิถีโลกเทียมไม่เชี่ยวชาญทางด้านการต่อสู้ นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมืดแปดด้านมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้เขาเห็นหนทางแล้ว
“ท่าไม้ตาย สร้างโลกขึ้นมาเพื่อท่าไม้ตาย”
ถึงแม้ว่าในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความคิดหลายๆ อย่าง แต่ตัวเขาเองก็เข้าใจดีว่ามีความคิด อาศัยสิ่งนี้อ้างอิงในการริเริ่มสรรสร้าง ทดลอง ไตร่ตรอง และปรับแก้…การจะสร้างศาสตร์ลับขึ้นมาสักศาสตร์หนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง และการสรรสร้างศาสตร์ลับที่น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดขึ้นมาสักศาสตร์หนึ่งนั้นก็ยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีก
ปรัชญาคลื่นลมและมังกรมัจฉาปลิดชีพของตนนั้นต่างก็มีศาสตร์ลับขั้นจักรวาลเป็นพื้นฐาน มิฉะนั้นให้ตนเองไปสรรสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า เช่นนั้นก็คงสิ้นเปลืองเวลาเนิ่นนานเหลือเกิน
“ข้าจะต้องคว้าศาสตร์ลับศาสตร์นี้มาให้จงได้! ”ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจโดยฉับพลัน
“ต้นฉบับของวิชาโลกอนธการมีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวเท่านั้น ราคาขั้นต่ำหนึ่งร้อยห้าสิบศิลาปฐมโลกา” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงพูด
รอบด้านเงียบสงัด
ไม่มีผู้ใดเสนอราคา
“หนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงช่องหน้าต่าง อดใจรออยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดปากตะโกน เสียงสะท้อนก้องโดยรอบบริเวณยกพื้น และสะท้อนก้องไปทั่วทั้งหอย่อยทุกแห่งภายในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
………………………………..
ตอนที่ 18 โลกอนธการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้อง ประมุขหออวี่ฉีก็ยืนอยู่ด้านข้างพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อต้องการต้นฉบับเล่มเดียวของศาสตร์ลับนี้หรือ ต้นฉบับของศาสตร์ลับพรรค์นี้ มีบางทีที่ผู้บำเพ็ญที่ต้องการเป็นอย่างยิ่งอาจจะประมูลด้วยราคาสูงลิ่ว แต่ถ้าไม่ต้องการศึกษาศาสตร์ลับนี้ก็ย่อมไม่อยากจะประมูลอยู่แล้ว ดูท่าทางการประมูลในคราวนี้คงจะมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น เชื่อว่าราคาคงจะไม่สูงเกินไปนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาถามตัวเองแล้วว่ามีพรสวรรค์ด้านโลกเทียมเป็นที่สุด ที่ตำหนักหมื่นรูปแห่งวังทวีสูญก็พลิกอ่านตำรามาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการบำเพ็ญนั้นเดิมทีก็มีอยู่ไม่มากนัก!
สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดก็มีอยู่เพียงสองท่าน รวมกับ ‘บรรพชนชาง’ บรรพชนของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ล่มสลายไปแล้วก็เพิ่งจะแค่สามท่านเท่านั้น! ระดับขั้นอลวนก็มีอยู่ไม่มาก…ดังนั้นตำราที่มีระดับสูงเพียงพอจริงๆ ก็มีอยู่น้อยนัก ตำราทางด้านโลกเทียมก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ ทางด้านวิธีการโจมตีก็ยิ่งขาดแคลน
มีเพียงวิชาโลกอนธการเท่านั้นที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นแสงอรุณ
ไม่มีศาสตร์ลับขั้นจักรวาล วิถีโลกเทียมก็ยังยกระดับได้เร็วกว่าวิถีระลอกคลื่นและวิถีเข่นฆ่า ถ้าหากมีศาสตร์ลับที่เหมาะสมทำให้ตนเองเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นก็เกรงว่าจะยิ่งยกระดับได้เร็วขึ้นอีก!
โลกเทียม…
นี่คือสัจจาที่ตนเองตระหนักรู้ในยามที่เป็นขั้นเหนือธรรมดา ทั้งยังเป็นวิถีแรกที่ตนเองเปิดโลกอีกด้วย! ได้พบกับศาสตร์ลับที่เหมาะสม ก็ต้องมิอาจพลาดได้อยู่แล้ว!
“หวังว่าจะไม่มีคู่แข่งนะ” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคาดหวัง สามารถสิ้นเปลืองศิลาปฐมโลกาน้อยลงไปได้สักก้อนหนึ่งก็ประหยัดไว้ดีกว่า
“หนึ่งร้อยห้าสิบสองก้อนศิลาปฐมโลกา” มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังมาจากอีกฟากหนึ่งของยกพื้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น
ยังอุตส่าห์มีคู่แข่งเสียได้
“หนึ่งร้อยห้าสิบสามก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงดัง
“สองร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา” น้ำเสียงเย็นชานั้นเอ่ยขึ้นทันควัน
หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดรัดคราหนึ่ง ไม่ได้การแล้ว อ้างอิงจากประสบการณ์ที่ชมดูการเรียกราคามา โดยทั่วไปแล้วการเรียกราคาต่างก็เพิ่มขึ้นทีละน้อยนิด นอกเสียจากคิดอยากจะปรามคู่ต่อสู้เอาไว้จริงๆ จึงจะยกระดับเพดานราคาขึ้นไปมากๆ
“สองร้อยเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อไป
“สองร้อยห้าสิบก้อนศิลาปฐมโลกา” ยังคงเป็นน้ำเสียงเย็นชานั้นเช่นเดิม
“พี่เฉวียนโหมว ท่านจะต้องชนะแน่ สองร้อยห้าสิบเอ็ดก้อน” น้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในใจ
เฉวียนโหมวหรือ
นี่ก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่อยู่อย่างสันโดษในอากาศอันสับสนอลหม่านท่านหนึ่ง มีชื่อว่า ‘บรรพชนเฉวียนโหมว’ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงอย่างแท้จริง
“เขาเป็นถึงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่งก็นึกอยากได้ต้นฉบับศาสตร์ลับเช่นนี้ด้วยหรือ นี่คือศาสตร์ลับที่ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นเอกภาพสรรสร้างขึ้น สำหรับบรรพชนเฉวียนโหมวแล้ว ระดับขั้นออกจะต่ำไปสักหน่อยกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว สำหรับบรรพชนเฉวียนโหมวแล้วศาสตร์ลับศาสตร์นี้ย่อมไม่มีทางยกระดับพลังยุทธ์ได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรความสมบูรณ์ของการบำเพ็ญก็ผ่านชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้ว เกรงว่าอย่างมากที่สุดก็สามารถทำให้บรรพชนเฉวียนโหมวได้กระตุ้นตนเอง หรือบางทีตัวเขาเองอาจสร้างเคล็ดวิชาใหม่ขึ้นมาได้
แต่การกระตุ้นตนเอง สร้างเคล็ดวิชาใหม่นั้น เดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างมากอยู่แล้ว
“สามร้อยศิลาปฐมโลกา” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยต่อไป
“สามร้อยเอ็ดศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างสงบราบเรียบ
“ไม่ทราบว่าเป็นสหายท่านใด จะสู้กับข้าจริงๆ น่ะหรือ” น้ำเสียงเย็นชาพูด “สามร้อยห้าสิบศิลาปฐมโลกา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว เขามิได้หวั่นกลัวบรรพชนเฉวียนโหมวเลย ถึงอย่างไรตนก็เป็นสมาชิกของวังทวีสูญ ยังต้องกลัวบุคคลขั้นอลวนที่ไร้สังกัดคนหนึ่งด้วยหรือ
แต่ว่า
สมบัติล้ำค่าของตนน้อยเกินไป สมบัติล้ำค่าที่สามารถขายได้เหล่านี้ ก่อนหน้านี้ประมุขหออวี่ฉีก็ตัดสินราคามาแล้วว่าสามารถให้ราคาได้สามร้อยแปดสิบห้าก้อนศิลาปฐมโลกา ทว่าตอนนี้บรรพชนเฉวียนโหมวผู้นั้นประกาศออกมาถึงสามร้อยห้าสิบก้อนแล้ว ถ้าหากเกินขีดจำกัดของตนไปจะทำเช่นไรดีเล่า
“ประมุขหออวี่ฉี มีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนท่านหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดกับประมุขหออวี่ฉีที่อยู่ข้างกาย “สามารถติดต่อกับบรรพชนเฉวียนโหมวผู้นั้นได้หรือไม่ ข้าปรารถนาจะศึกษาวิชาโลกอนธการนั่นครั้งหนึ่งด้วยราคาหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนศิลาปฐมโลกา พอศึกษาจบแล้วก็จะส่งคืนต้นฉบับให้กับเขาดังเดิม แล้วข้าก็จะไม่ประชันกับเขาอีกแล้ว”
“ไม่ได้หรอก”
ประมุขหออวี่ฉีส่ายศีรษะ “กฎของหอทะเลสัตตดาราก็คือผู้ที่ให้ราคาสูงสุดได้รับไป ย่อมไม่อนุญาตให้พวกท่านต่อรองกันอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะต่อรองกับบรรพชนเฉวียนโหมวตรงช่องหน้าต่างอย่างเปิดเผย หอทะเลสัตตดาราก็จะตัดเสียงของท่านไปอยู่ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
ช่างเหลือเกินจริงๆ…
ที่หอทะเลสัตตดาราทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อให้ขายออกไปด้วยราคาสูงที่สุด
หลังจากที่บรรพชนเฉวียนโหมวประกาศราคาสามร้อยห้าสิบก้อนศิลาปฐมโลกาออกไปแล้ว น้ำเสียงแก่ชราอีกเสียงหนึ่งก็ไม่เสนอราคาอีกต่อไปแล้ว เขาก็แค่จงใจเย้าแหย่บรรพชนเฉวียนโหมวสักครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่มิได้ปรารถนาจะย่อยยับคามือตนเอง
“สามร้อยห้าสิบเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อ
บรรพชนเฉวียนโหมวเงียบงันไปชั่วครู่
หญิงสาวอาภรณ์ม่วงก็เอ่ยปากพูดขึ้น “สามร้อยห้าสิบเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา ทุกท่าน หากไม่มีศิลาปฐมโลกามากกว่านี้ ต้นฉบับศาสตร์ลับนี้ก็จะตกเป็นของ…”
“สี่ร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา” บรรพชนเฉวียนโหมวเอ่ยปากอีกครั้ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
สี่ร้อยก้อน…
ทำอย่างไรดีเล่า
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านมิอาจเสนอราคาได้อีกแล้วล่ะ” ประมุขหออวี่ฉีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยตักเตือน
“ขีดจำกัดการเสนอราคาของท่านอยู่ที่สามร้อยแปดสิบห้าก้อนศิลาปฐมโลกา นอกเสียจากว่าท่านจะหยิบเอาสมบัติล้ำค่าออกมามากกว่านี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าตนเองจะยังมีสมบัติเลอค่าอยู่อีก แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่สามารถขายได้ ที่สามารถขายได้ก็อย่างเช่นอาวุธของตน! และยังมี ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ แต่ในใจ ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ นี้ก็มิใช่ว่าจะขายไม่ได้ ถึงอย่างไรหากพลังยุทธ์ของตนแกร่งกว่านี้ การจะได้มาซึ่งวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ดีกว่าผลปัดจิตวิญญาณก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น
อีกทั้งการได้ต้นฉบับหนึ่งเดียวของศาสตร์ลับมาไว้ในมือ ในอนาคตก็สามารถขายต้นฉบับหนึ่งเดียวของศาสตร์ลับทิ้งได้!
“สามารถติดหนี้ศิลาปฐมโลกาบางส่วนเอาไว้ชั่วคราวได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม ตนเองเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ สถานะนี้สามารถติดหนี้ศิลาปฐมโลกาเอาไว้บางส่วนได้หรือไม่
ประมุขหออวี่ฉีดูออกว่าผู้อาวุโสตงป๋อผู้นี้ต้องการเป็นอย่างมากจริงๆ แต่เขาก็ยังส่ายศีรษะ “กฎกติกามิอาจฝ่าฝืนได้ นอกเสียจากว่าผู้อาวุโสตงป๋อจะมีสมบัติล้ำค่ามาจำนำ! พวกเราจึงจะยอมให้ผู้อาวุโสตงป๋อยืมศิลาปฐมโลกา สิ่งที่ใช้จำนำจะต้องถูกยึดเอาไว้ชั่วคราว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยว่า “ข้ามีแต้มความดีความชอบอยู่สองล้านแต้ม สามารถจำนำได้หรือไม่”
“แต้มความดีความชอบของวังทวีสูญย่อมสามารถจำนำได้อย่างแน่นอน” ประมุขหออวี่ฉีพูด ถึงอย่างไรแต้มความดีความชอบก็คือสิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติล้ำค่าได้มากมายภายในวังทวีสูญ “แต่การจำนำแต้มความดีความชอบสองล้านแต้มนั้นสามารถให้ยืมได้อย่างมากที่สุดก็คือหนึ่งร้อยหกสิบก้อนศิลาปฐมโลกาเท่านั้น”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“สืบทราบแล้วว่าผู้อาวุโสตงป๋อมีแต้มความดีความชอบอยู่สองล้านแต้มจริงๆ ตอนนี้สามารถเสนอราคาต่อไปได้แล้ว” ประมุขหออวี่ฉีพูด
“สี่ร้อยเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากอย่างสงบราบเรียบต่อไป
……
คราวนี้ถึงตาบรรพชนเฉวียนโหมวเดือดดาลขึ้นมาบ้างแล้ว บรรพชนเฉวียนโหมวนั่งด้วยสีหน้าอึมครึมพลางยกจอกสุราบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นดื่มเบาๆ อึกหนึ่ง “ที่แท้เป็นใครกันแน่ที่กำลังประชันกับข้าอยู่ ข้าเสนอราคาไป เขาก็ให้มากกว่าข้าก้อนหนึ่ง ต้นฉบับโลกอนธการนี้ข้าเสาะหามาโดยตลอด บางทีอาจจะมีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของข้า แต่ตอนนี้ดันมีคู่แข่งโผล่มาเสียได้”
ประมูลมาจนถึงขั้นนี้เขาก็ลังเลเสียแล้ว
ถึงอย่างไรเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็มิได้มีศิลาปฐมโลกาอยู่มากมายสักเท่าใดนัก นอกจากนี้นี่ยังเป็นเพียงแค่ศาสตร์ลับที่ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นเอกภาพสรรสร้างขึ้น ท้ายที่สุดก็จะมีค่าต่อขั้นอลวนเช่นเขาอย่างมีขีดจำกัด สามารถทำได้เพียงแค่เปิดทิศทางใหม่ แล้วก็เป็นไปได้ว่าสุดท้ายแล้วอาจจะมิได้ช่วยอะไรเลย
“ห้าร้อยก้อนศิลาปฐมโลกา” บรรพชนเฉวียนโหมวเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา น้ำเสียงอันเยียบเย็นนั้นทะลุหน้าต่างแล้วส่งผ่านออกไป ก่อนจะดังขึ้นภายในหอทะเลสัตตดาราแห่งเมืองวารีสวรรค์ที่อยู่ห่างไกลออกไปเช่นกัน
“เท่านี้แหละนะ”
ในใจของบรรพชนเฉวียนโหมวก็ตัดสินใจแน่วแน่ “นี่คือขีดจำกัดราคาสูงสุดที่ข้าสามารถให้กับวิชาโลกอนธการได้ ถ้าสูงกว่านี้ก็ยกให้เขาไปเถิด โอ้ ราคาสูงลิ่วเช่นนี้ อีกฝ่ายก็คงจะปวดใจอย่างยิ่งเลยทีเดียว”
เขากำลังรอ
รอการเสนอราคา
“ห้าร้อยเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา” น้ำเสียงสายนั้นสงบนิ่งเช่นเดิม
ดูเหมือนไม่ว่าบรรพชนเฉวียนโหมวจะเสนอราคามากน้อยเท่าใด น้ำเสียงสายนั้นก็จะบอกให้มากกว่าก้อนหนึ่ง
บรรพชนเฉวียนโหมวแค่นเสียงเฮอะอย่างโมโหเสียงหนึ่ง มือขวาคว้าจอกสุรา ทันใดนั้นจอกสุราก็ถูกบดขยี้กลายเป็นผุยผง เพียงไม่นานหลังจากที่หญิงสาวอาภรณ์ม่วงเรียก ก็ไม่มีการเสนอราคาใหม่เลย หญิงสาวอาภรณ์ม่วงจึงประกาศออกมาในท้ายที่สุด “วิชาโลกอนธการ ห้าร้อยเอ็ดก้อนศิลาปฐมโลกา ตอนนี้เริ่มลงสมบัติล้ำค่าชิ้นใหม่ได้…”
บรรพชนเฉวียนโหมวมองประมุขหอย่อยที่อยู่ด้านข้างผู้มาเป็นเพื่อนเป็นการเฉพาะแล้วออกคำสั่งว่า “การประมูลต้นฉบับวิชาโลกอนธการสิ้นสุดลงแล้ว พวกเจ้าหอทะเลสัตตดาราช่วยข้าติดต่อผู้ที่ได้วิชาโลกอนธการไปผู้นั้นให้ข้าที บอกเขาว่าข้าปรารถนาจะจ่ายหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนศิลาปฐมโลกาสำหรับการศึกษาวิชาโลกอนธการครั้งหนึ่ง ส่วนต้นฉบับก็ให้เป็นของเขาตามเดิม”
………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น