Snow Eagle Lord ภาค 27 ตอนที่ 1-2
ภาคที่ 27 รักษาการณ์เมืองอลหม่าน ตอนที่ 1 แผนภาพคลื่นจาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ศิษย์เทพแท้จำนวนมากของวังทวีสูญ และเหล่าผู้อาวุโสตำหนักนอกต่างก็มองดูรัศมีที่เปล่งประกายเจิดจรัสที่สุดทั่วทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วังทวีสูญอยู่ห่างๆ พวกเขาต่างก็ใคร่รู้ยิ่งนักว่าที่แท้เล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นถึงขนาดที่ต้องรวมตัวชนชั้นสูงของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เพียงไม่นาน ในบรรดาพวกเขาก็มีผู้รอบรู้ข่าวสารรู้ข่าวคราวเข้า “ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วหรือ”
จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ในขณะเดียวกันก็มีผู้อาวุโสตำหนักใน แม้กระทั่งเหล่าประมุขวังก็บอกเล่าข่าวนี้ผ่านทางลูกน้องหรือศิษย์ของตนเช่นเดียวกัน
“เขาเพิ่งบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกันเชียว”
“เพิ่งมายังวังทวีสูญก่อนหน้านี้ไม่นาน ตั้งแต่การประลองของศิษย์เทพแท้สิ้นสุดลงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยล้านปีเลยด้วยซ้ำ เขาก็ได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วหรือ”
“มิเสียแรงเลยจริงๆ ที่เป็นผู้บำเพ็ญผู้มีพรสวรรค์ที่มาจากจักรวาลเดียวกันกับจอมมารและจอมกระบี่ ภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจากพลิกอ่านตำราในตำหนักหมื่นรูปจำนวนนับไม่ถ้วน ก็แปรเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสตำหนักในได้ในทันทีแล้ว”
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
“เทพอากาศขั้นกำเนิดก็ผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวได้! ว่ากันว่ามีผู้อาวุโสตำหนักนอกขั้นรวมเป็นหนึ่งหลายคนยังต้องบำเพ็ญเป็นระยะเวลาหนึ่งจึงจะสามารถผ่านชั้นที่สามไปได้”
ข่าวนี้ทำให้เหล่าศิษย์เทพแท้จำนวนมากและเหล่าผู้อาวุโสตำหนักนอกพรั่นพรึง นี่คือความสำเร็จที่เพียงพอจะทำให้พวกเขามองขึ้นไป
บน ‘เกาะท่องเอกา’
เหล่าศิษย์อาภรณ์ทองจำนวนหนึ่งก็ออกมาจากคูหาแล้วมองมายังทิศทางของตำหนักทวีสูญเช่นกัน พวกเขาต่างก็สนใจว่าที่แท้เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นกันแน่ แล้วพวกเขาก็ได้รับข่าวคราวอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ศิษย์พี่ตงป๋อได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วหรือ”
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
บรรดาศิษย์อาภรณ์ทองเหล่านี้ต่างก็เคยรับมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงมาก่อน แต่ละคนทั้งประหลาดใจทั้งอิจฉา
“ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าศิษย์พี่ตงป๋อค่อนข้างล้ำเลิศอยู่แล้ว เพิ่งมายังวังทวีสูญ พลังยุทธ์ก็ใกล้เคียงกับศิษย์พี่อวี่เจี้ยนเค่อแล้ว” ศิษย์น้องหญิงเชียนเชวียพูดพลางยิ้มน้อยๆ “เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นานสักเท่าใดเลย ศิษย์พี่ตงป๋อก็กลายเป็นเทพอากาศ ทั้งยังกลายเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วอีกด้วย”
“น้องหญิงเชียนเชวีย ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกให้เจ้าสนิทสนมกับตงป๋อเขาเข้าไว้ ตอนนี้สำนึกเสียใจแล้วหรือไม่เล่า” ขุนนางโลหิตผู้อ้วนพีพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ
ศิษย์น้องหญิงเชียนเชวียมีผมยาวสีทองประบ่า อาภรณ์ยาวสีทองสว่างสูงส่งงดงาม เมื่อได้ยินวาจาเย้ยหยันของขุนนางโลหิต นางก็เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ เท่านั้น
ขุนนางโลหิตหันหน้ามองไปทางมารเฒ่าเข็มทองที่อยู่ห่างออกไปพลางตะโกนว่า “มารเฒ่าเข็มทอง ยามที่อยู่ในการประลองของศิษย์เทพแท้มิได้หยิ่งยโสลำพองใจนักหรือไร แต่ไหนแต่ไรศิษย์พี่ตงป๋อก็มิได้เห็นเจ้าในสายตาอยู่แล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่ตงป๋อไม่เพียงแต่เป็นเทพอากาศแล้ว แต่ยังเป็นผู้อาวุโสตำหนักในอีกด้วย ข้าดูท่าแล้ว ชั่วชีวิตนี้ท่านคิดจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักในก็คงจะหมดหวังเสียแล้วกระมัง”
มารเฒ่าเข็มทองส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นหนักๆ คราหนึ่งแล้วหันหน้ากลับเข้าไปภายในคูหาของตน
“ฮ่าฮ่า ถูกข้าพูดเสียจนเอ่ยวาจามิออกเลยแม้แต่ประโยคเดียวล่ะสิ” ขุนนางโลหิตหัวเราะลั่น
“มาดูเร็วเข้า”
“ศิษย์พี่ตงป๋อออกมาแล้ว”
ศิษย์เทพแท้จำนวนมากและเหล่าผู้อาวุโสตำหนักนอกทุกหนแห่งในวังทวีสูญต่างก็เห็นกันแล้ว เห็นว่าประตูตำหนักทวีสูญเปิดออก เงาร่างสายหนึ่งเหินทะยานออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวตลอดร่างเฉยชาเช่นเดียวกับในอดีต เขากับบรรดาผู้อาวุโสตำหนักในคนอื่นๆ รอบๆ สนทนาเกี่ยวกับการเหินทะยานออกไป
“ผู้อาวุโสตำหนักใน ชั่วชีวิตนี้ของข้าจะสามารถเป็นผู้อาวุโสตำหนักในได้เมื่อใดกัน” ขุนนางโลหิตผู้อ้วนพีมองอยู่ห่างๆ พลางบ่นพึมพำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความริษยา
ยากเย็นเกินไปแล้ว
การที่ขั้นกำเนิดผ่านชั้นที่สามของเจดีย์ดาวนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้กระมัง
ขั้นรวมเป็นหนึ่งผ่านชั้นที่ห้าหรือ ชั้นที่ห้าหมายความเช่นไร
‘ชั้นที่หก’ ที่อยู่สูงกว่ามันขึ้นไปอีกนั้นปกติแล้วก็มีเพียงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่านเท่านั้นจึงสามารถผ่านไปได้!
ดังนั้นผู้ที่สามารถผ่านชั้นที่ห้าไปได้นั้น โดยทั่วไปก็ล้วนเป็นบุคคลที่ไปถึงขอบกั้นของขั้นอลวน ต่อให้มีพลังยุทธ์ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่วังทวีสูญบ่มเพาะออกมา ก็มีเพียงน้อยนิดเหลือเกินที่สามารถทำได้ คนอื่นๆ ล้วนได้แค่รับตำแหน่งผู้อาวุโสตำหนักนอกเท่านั้น
******
วันเวลาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักใน บรรดาผู้อาวุโสตำหนักในคนอื่นๆ ก็เชื้อเชิญเขาให้ไปเข้าร่วมงานชุมนุมงานแล้วงานเล่าอย่างต่อเนื่อง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในงานชุมนุมกลับค้นพบลางๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโสตำหนักในเหล่านี้ดูเหมือนจะมีสิ่งใดปิดบังข้าอยู่กระมัง”
“ข้าสอบถาม แต่พวกเขากลับบอกว่าข้าผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็จะรู้ได้เอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคลางแคลงใจ
นอกจากการชุมนุมกับมิตรสหายแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งคืนอาภรณ์และป้ายคำสั่งทองของศิษย์อาภรณ์ทองกลับไป เป็นผู้อาวุโสตำหนักใน ยามอยู่ที่ตำหนักทวีสูญ บรรพชนเทียนอวี๋ได้มอบวัตถุให้สามชิ้น ได้แก่อาภรณ์ ป้ายคำสั่งทอง และป้ายคำสั่งส่งสาร หนึ่งในนั้นป้ายคำสั่งทองที่แสดงตัวตนของผู้อาวุโสตำหนักในก็เป็นวัตถุล้ำค่ารักษาชีวิตชิ้นหนึ่งเช่นเดียวกัน ความเลอค่านั้นยังสูงกว่าน้ำเต้าสีดำเสียอีก
ขณะเดียวกันหลังจากที่ได้เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว ก็ได้รับแต้มความดีความชอบหนึ่งล้านจุดในคราวเดียว! สามารถแลกเปลี่ยนเป็นของล้ำค่านานาชนิดที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญภายในวังทวีสูญได้
ถ้าหากคิดจะได้รับแต้มความดีความชอบเพิ่มอีก ได้รับสมบัติล้ำค่าเพิ่มอีก ก็จำเป็นต้องไปรับภารกิจแล้ว!
ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการหลอมอาวุธที่ร้ายกาจกว่านี้ หรือว่าจะเป็นความต้องการอื่นๆ ล้วนต้องอาศัยตนเองในการไปคว้ามาทั้งสิ้น
“หืม”
ภายในตำหนักหมื่นรูป ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูตำราอยู่ที่ชั้นที่สี่ จำเป็นจะต้องเป็นผู้อาวุโสตำหนักในเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ขึ้นไปยังชั้นที่สี่ได้
ชั้นที่สี่ก็ต้องมีความสำคัญกว่ามาก ที่นี่จัดวางตำราอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกเล่มต่างก็ล้ำค่าเป็นที่สุด ต้นฉบับศาสตร์ลับขั้นจักรวาลแต่ละเล่มก็มีจัดวางเอาไว้ที่นี่ด้วย เป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วก็สามารถเลือกศาสตร์ลับขั้นจักรวาลได้
“เมี้ยว” แมวดำตัวหนึ่งกระโจนขึ้นบนชั้นหนังสือแล้วยอบตัวลงพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ตงป๋อเสวี่ยอิง อย่าละโมบนักล่ะ
การจะหยั่งรู้ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลทุกๆ ศาสตร์นั้นล้วนต้องสิ้นเปลืองพลังจิตมหาศาล หากโลภมากก็จะกลายเป็นส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญของเจ้าแทนได้”
“ต้องขอบคุณแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
เขาเองก็ค้นพบแล้ว
ต้นฉบับศาสตร์ลับขั้นจักรวาลที่จัดวางเอาไว้ที่นี่มีด้วยกันถึงเก้าเล่ม ศาสตร์ทางวิถีเข่นฆ่ามีอยู่สองเล่ม ศาสตร์หนึ่งคือสิบสามกระบี่ผลาญโลกา ส่วนอีกศาสตร์นั้นคือม้วนกระบี่จันทร์แรม ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านก็พบว่าทั้งสองอย่างนั้นมีส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่มากมาย เขาเองก็เข้าใจว่าถ้าหากระดับขั้นของตนสูงพอ ก็จะกลับกลายเป็นว่าสามารถทนต่อทั้งสองอย่างได้ ทว่าถึงอย่างไรตนก็เพิ่งเป็นขั้นกำเนิด การเผชิญกับศาสตร์ลับที่เทพจักรวาลสรรสร้างขึ้นนั้นก็ยังกินแรงเกินไปอยู่บ้าง
“ก็ฝึกฝนสองศาสตร์นี้เป็นหลักก็แล้วกัน” แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยิตำราหินสีฟ้าเล่มหนึ่งออกมา พื้นผิวของหินสีฟ้ายังมีระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว
ฝึกฝนสองศาสตร์เป็นหลัก
ศาสตร์หนึ่งคือสิบสามกระบี่ผลาญโลกาที่ตนสิ้นเปลืองพลังงานไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งก็คือศาสตร์ลับหนึ่งของวิถีระลอกคลื่น แผนภาพคลื่นจาน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เป็นศาสตร์ลับเพียงหนึ่งเดียวที่ ‘บรรพชนชาง’ ทิ้งเอาไว้
อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงก็นึกอยากจะหาศาสตร์ลับขั้นจักรวาลของวิถีโลกเทียม แต่น่าเสียดายที่ไม่มี!ตั้งแต่สมัยโบราณ ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ไปถึงระดับขั้นสุดท้ายมีเพียงสามท่านเท่านั้น ก็ได้แก่ท่าน ‘บรรพชนชาง’ บรรพชนเทียนอวี๋ และจอมกระบี่ ไม่มีพวกเขาแม้แต่คนเดียวที่บำเพ็ญวิถีโลกเทียม
“ตงป๋อเสวี่ยอิง มาหาข้าทีสิ” น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งลอยตรงเข้าสู่โสตประสาทของตงป๋อเสวี่ยอิง
“จอมมารหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางตำราหินสีฟ้าที่กระเพื่อมไหวในมือของตนลงแล้วเดินมุ่งหน้าลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
แมวดำบนชั้นวางหนังสือเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงจากไป นัยน์ตาก็มีแววคาดหวังรอคอยสายหนึ่ง “ช่างเป็นผู้อาวุโสตำหนักในที่เยาว์วัยเสียเหลือเกิน จะต้องคอยดูให้ดีๆ สักหน่อยแล้ว”
……
วังลงทัณฑ์ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะแขวนลอยขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สถานที่นี้แผ่กลิ่นอายสังหารอันหนาวเหน็บ บรรดาศิษย์โดยทั่วไปล้วนมิกล้าเหยียบย่างเข้ามายังสถานที่แห่งนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงเป็นลำแสงแล้วร่อนลงบนเกาะ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังวังลงทัณฑ์อย่างรวดเร็ว
ภายในโถงตำหนักของวังลงทัณฑ์
มีเพียงบุรุษผู้สวมอาภรณ์สีดำอันหรูหรางดงามผู้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ตำแหน่งสูงของวังลงทัณฑ์ ใบหน้าของเขาเย็นชาเช่นเคย เพียงแค่ลืมตามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“จอมมาร” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วก็เอ่ยทักทายในทันที
“นอกเหนือจากการบำเพ็ญแล้วก็ยังต้องการการขัดเกลาอย่างมหาศาล ต่อจากนี้มีแผนจะไปที่ใดหรือไม่” จอมมารเอ่ยถามอย่างเฉยเมย
“ยังมิได้คิดให้ละเอียดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
จอมมารพยักหน้า “วังทวีสูญของข้ากับโลกทิพย์โบราณและโลกจอมมารดามีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีต่อกันสักเท่าใดนัก ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งก็อย่าไปจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเลยจะเป็นการดีที่สุด เช่นนี้ก็แล้วกัน วังทวีสูญของข้าสร้างเมืองอลหม่านขึ้นมาสิบสองแห่งที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ซึ่งต้องรักษาการณ์ทุกที่ให้ดี เจ้าสามารถไปรักษาการณ์ยังเมืองอลหม่านสักแห่ง ถึงแม้ว่าจะมีร่างแปรของประมุขวังรักษาการณ์อยู่ที่นั่น และมีพวกผู้อาวุโสคนอื่นๆ รักษาการณ์อยู่ แต่ก็อาจมีเรื่องของค่ายสังหารมากมายที่จะสามารถขัดเกลาเจ้าได้เช่นเดิม”
“ได้ ข้าจะเลือกไปรักษาการณ์ที่เมืองอลหม่านสักแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด อันที่จริงเขาก็เคยขบคิดปัญหานี้เอาไว้ก่อนแล้ว
จอมมารเป็นกังวลกับตนในเรื่องนี้
ทั้งยังเป็นเพราะว่าภายในวังทวีสูญ สถานะของจอมกระบี่สูงส่งเกินไป ไม่สามารถมายุ่งกับเรื่องของตนได้ ตนเองก็สามารถนับได้เลาๆ ว่าเป็นสาขาหนึ่งของจอมมารแล้ว! จอมมารผู้นี้เย็นชาโหดเหี้ยมเกินไป บวกกับระยะเวลาที่เข้ามาที่วังทวีสูญยังสั้นเกินไปมาก ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสตำหนักในจึงล้วนมิอยากพึ่งพาเขา ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของจอมมารดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักนอกจำนวนหนึ่งทั้งสิ้น เป็นไปได้ว่าตนเองจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักในเพียงคนเดียว
แน่นอนว่าการกระทำของตนต้องมีหลักการ มิอาจทำลายมาตรฐานของตนเองได้ แต่กฎเกณฑ์ของวังทวีสูญเคร่งครัดยิ่ง นับได้ว่าจอมมารรักษากฎเกณฑ์เป็นอย่างยิ่งภายในวังทวีสูญ ยิ่งกว่ายามที่อยู่ในจักรวาลภูมิลำเนามากมายนัก
………………………………….
ตอนที่ 2 เมืองวารีสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้จะวางแผนไปรักษาการเมืองอลหม่านแห่งหนึ่งก็ตาม ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้รีบร้อนออกเดินทาง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งจะสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน ยังมี ‘ตำหนักหมื่นรูปชั้นที่สี่’ ซึ่งมีคัมภีร์แสนล้ำค่าอยู่มากมายที่เขาต้องไปตรวจดูให้ละเอียด หากไปรักษาการเมืองอลหม่านแล้ว ก็เกรงว่าคงจะมิได้กลับมาอีกนานเลยทีเดียว
ดังนั้น…
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในวังทวีสูญมายี่สิบล้านปี นอกจากพลิกอ่านคัมภีร์ในตำหนักหมื่นรูปแล้ว ก็แทบจะบำเพ็ญอยู่ใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ มาตลอด เขาอยู่ภายในตำหนักกาลเวลามานานเกือบสองพันล้านปี และยังเสียแต้มความดีความชอบไปหนึ่งหมื่นแต้มซึ่งเทียบเท่ากับศิลาปฐมโลกาหนึ่งก้อน เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสตำหนักในบางคนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อบำเพ็ญมาเป็นเวลายาวนานนัก ไยจึงต้องบำเพ็ญอยู่ในตำหนักกาลเวลาตลอดเวลาด้วยเล่า แต้มความดีความชอบหนึ่งล้านแต้มที่มอบให้เมื่อสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในนั้น เป็นการให้เพียงครั้งเดียว หากภายหน้าอยากจะได้อีกก็ต้องฟันฝ่าด้วยตนเองแล้ว ทรัพยากรล้ำค่า จะสิ้นเปลืองเช่นนี้มิได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มโดยมิได้อธิบายแต่อย่างใด
เวลาหรือ
ตลอดช่วงการสั่งสมที่ใช้เวลายาวนานอย่างยิ่ง ตนก็พยายามอยู่ในตำหนักกาลเวลาอย่างเต็มที่ บัดนี้แผนภาพคลื่นจานของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาก็ติดอุปสรรคอยู่ ที่เขาใช้เวลาในตำหนักกาลเวลานานถึงเกือบสองพันล้านปีนั้น ก็เพราะแผนภาพคลื่นจานของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลที่เพิ่งได้มาใหม่เป็นหลัก เคราะห์ดีที่บัดนี้ระดับขั้นของเขาสูงส่งนัก เวลาเพียงเช่นนี้ก็สามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับขั้นที่สูงส่งยิ่งแล้ว
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งบินไปเหนือผืนดินที่ลอยคว้างอยู่ตรงกลาง ไม่นานนักก็เข้าไปยัง ‘ตำหนักอลหม่าน’ ตำหนักโบราณซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่ง
ประตูตำหนักอลหม่านมีเทพอากาศหญิงคนหนึ่งมาต้อนรับ
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เทพอากาศหญิงผู้นี้เอ่ยเรียกด้วยความเคารพ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เทพอากาศที่สามารถอยู่ภายในวังทวีสูญได้เป็นเวลายาวนาน นอกจากประมุขตำหนักและผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว ก็มีเพียงผู้ที่ทำหน้าที่จิปาถะจำนวนหนึ่งเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรเรื่องจิปาถะทั้งหลายก็ย่อมให้เหล่าผู้อาวุโสตำหนักในทำเองไม่ได้อยู่แล้วกระมัง ในฐานะที่ผู้อาวุโสตำหนักในเป็นบุคคลระดับสูง อีกทั้งพลังก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงรังเกียจที่จะทำเรื่องจิปาถะเหล่านี้ โดยทั่วไปผู้ที่ทำหน้าที่จิปาถะเหล่านี้ ก็คือผู้อาวุโสตำหนักนอกที่ประมุขวังเรียกใช้งาน พวกเขามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า…‘ผู้ดำเนินงานตำหนักใน’
ผู้ดำเนินงาน ก็คือทำเรื่องต่างๆ
ตำหนักใน…แสดงว่าสามารถอาศัยอยู่ภายในวังทวีสูญได้
ส่วนผู้อาวุโสตำหนักนอกนั้น มีเพียงเวลาที่ต้องทำเรื่องทางการอย่างต้องการจะบุกฝ่า ‘เจดีย์ดาว’ หรือบำเพ็ญใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ หรือไม่ก็ส่งศิษย์เทพแท้คนใหม่เข้ามาเท่านั้นจึงจะสามารถมาได้ ตามปกติล้วนมิอาจรั้งรออยู่ได้ เพราะภายในวังทวีสูญก็ไม่มีคูหาที่ให้พวกเขารั้งอยู่ได้
ภายในวังทวีสูญ…เทพอากาศของตำหนักในก็มีแค่ร้อยกว่าท่านเท่านั้น
“อืม ข้าจะไปยังเมืองวารีสวรรค์” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“เชิญผู้อาวุโสตงป๋อเจ้าค่ะ” เทพอากาศหญิงนำทางอยู่ด้านหน้า เมื่อบินไปกลางทางเชื่อมอันคดเคี้ยวและยาวไกล ไม่นานนักก็เห็นว่าเบื้องหน้ามีน้ำวนอันสับสนอลหม่านอันใหญ่โตอยู่แห่งหนึ่ง ด้านข้างของน้ำวนอันสับสนอลหม่านนี้ยังมีเทพอากาศหนึ่งคนและหุ่นเชิดสองตนคอยดูแลอยู่
“นี่ก็คือทางเข้าของทางเชื่อมเข้าสู่เมืองวารีสวรรค์” เทพอากาศหญิงเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า แล้วบินตรงไปยังทางเชื่อมน้ำวนอันสับสนอลหม่าน
ตู้ม…
เทพอากาศหญิงและเทพอากาศอีกคนหนึ่งด้านข้างมองตงป๋อเสวี่ยอิงตรงเข้าไปด้วยความอิจฉา ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้ดำเนินงานตำหนักใน ก็มีเพียงตอนที่มีงานทางการเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอจะมุ่งหน้าไปยังเมืองอลหม่านแห่งอื่นได้อย่างง่ายดาย มิเช่นนั้นแล้ว หากมุ่งหน้าไปด้วยเรื่องส่วนตัว ก็จะต้องจ่ายค่าผ่านทางสูงลิ่ว ทว่าผู้อาวุโสตำหนักในนั้นมีสถานะแตกต่างกัน สิทธิพิเศษที่มีก็สูงกว่าพวกเขามากมายทีเดียว
“ผู้อาวุโสตงป๋อมาวังทวีสูญได้ไม่นานเท่าไหร่ก็สำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในเสียแล้ว” เทพอากาศหญิงร่ำร้อง
“พวกเราจะเทียบได้เสียที่ไหนกัน ขั้นกำเนิดก็สำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในได้ เก่งกาจเกินไปแล้ว นอกจากนี้เบื้องหลังเขายังมีจอมมารและจอมกระบี่อีกด้วย” เทพอากาศด้านข้างก็เอ่ยขึ้นบ้าง
พลังแข็งแกร่ง ความสามารถที่ซ่อนอยู่ก็สูงส่ง ทั้งยังมีพละกำลังอันแข็งแกร่งของจอมมารและจอมกระบี่คอยหนุนหลังอีกด้วย ผู้ดำเนินงานตำหนักในอย่างพวกเขาต่างก็ต้องแหงนมองขึ้นไป
……
โครมมม…
ภายในน้ำวนอันสับสนอลหม่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงบินทะยานไปอย่างต่อเนื่อง ทางเชื่อมน้ำวนอันสับสนอลหม่านนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับทางเชื่อมจักรวาล
“เมืองอลหม่านสิบสองแห่งที่วังทวีสูญสร้างขึ้นมา กระจายตัวกันอยู่ในขอบเขตราวหนึ่งส่วนสามของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่ละแห่งล้วนห่างกันไกลลิบลับ ต่อให้เป็นแกนนำขั้นอลวน จะแหวกกาลมิติจากเมืองอลหม่านแห่งหนึ่งแล้วเร่งเดินทางไปโดยทั่วไปก็ต้องราวแสนปีจึงจะสามารถไปถึงเมืองอลหม่านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างเคียงกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ
โลกทิพย์ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว
การกดดันของกฎเกณฑ์ก็ร้ายกาจเกินไปด้วย ดังนั้นการเร่งเดินทางไปจึงยากมาก เพื่อที่จะเพิ่มอำนาจในการควบคุม วังทวีสูญจึงสร้างทางเชื่อมอลหม่านอันคงที่ขึ้นถึงสิบสองแห่งโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น เพื่อเชื่อมเมืองอลหม่านและวังทวีสูญเอาไว้!
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินทะยานอยู่ในทางเชื่อมอลหม่านราวชั่วจอกชาหนึ่ง ก็มาถึงทางออกของทางเชื่อมในที่สุด
“ตู้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกจากกลางน้ำวนอันสับสนอลหม่าน เพียงมองแวบเดียวก็เห็นว่าภายในโถงตำหนักมหึมานั้นมีเทพอากาศกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ มองไปแวบหนึ่งก็เห็นว่ามากถึงกว่าพันท่าน ในจำนวนนั้นยังมีบางคนที่กลิ่นอายแข็งแกร่งเป็นพิเศษอีกด้วย
“คารวะผู้อาวุโสตงป๋อ” ผู้ที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดาสองคนซึ่งเป็นผู้นำคารวะทันที ส่วนคนด้านหลังก็พากันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง
“เป็นผู้อาวุโสชุนอู้และผู้อาวุโสกานอวี๋ใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ผู้อาวุโสชุนอู้เป็นบุรุษสวมอาภรณ์สีครามตัวหลวมซึ่งสวมหมวกทรงสูงเอาไว้
ผู้อาวุโสกานอวี๋คือชายชราผมสีดอกเลาซึ่งสวมเสื้อผ้าตามสบาย
ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน ก่อนจะมาก็สามารถตรวจดูข้อมูลคร่าวๆ โดยผ่านป้ายคำสั่งส่งสารได้แล้ว จึงย่อมตรวจดูข้อมูลเมืองวารีสวรรค์มาแล้ว
เมืองวารีสวรรค์เป็นหนึ่งในสิบสองเมืองอลหม่าน
ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดก็คือร่างแปรของ ‘ประมุขตำหนักวารีสวรรค์’ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเมืองอลหม่าน ทว่าด้วยสถานะอย่างประมุขตำหนักวารีสวรรค์แล้วยังมีเรื่องสำคัญให้ทำ ตามปกติแล้วร่างแปรล้วนแต่ตกอยู่ในห้วงนิทราทั้งสิ้น! มีแต่ในคราวคับขันเท่านั้น ปณิธานของประมุขตำหนักวารีสวรรค์จึงมาถึง แล้วร่างแปรก็จะฟื้นตื่นขึ้นมา ดังนั้นแม้จะกล่าวว่าร่างแปรของประมุขตำหนักวารีสวรรค์มีสถานะสูงส่งที่สุดก็ตาม แต่กลับแทบจะมิได้ปรากฏกายเลย
รองลงมาก็คือคณะผู้อาวุโส!
คณะผู้อาวุโสจึงจะเป็นผู้ที่จัดการเรื่องราวต่างๆ ภายในเมืองวารีสวรรค์
คณะผู้อาวุโสล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสตำหนักนอกทั้งสิ้น! แม้จะกล่าวว่าผู้ที่เป็นผู้อาวุโสตำหนักนอกได้จะมิใช่ยอดฝีมือที่ล้ำเลิศคนหลักที่สุดของวังทวีสูญ แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากวังทวีสูญเช่นเดียวกัน นอกจากนี้สำหรับโลกภายนอกก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว
รองจากคณะผู้อาวุโส…ก็คือคณะผู้ดำเนินงานซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ดำเนินงานตำหนักนอกทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ก็คือ ‘ลูกมือ’! เทพอากาศจำนวนมากที่คิดจะกอดขา ‘วังทวีสูญ’ ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นผู้ดำเนินงาน เนื่องจากผู้ดำเนินงานก็มี ‘แต้มความดีความชอบ’ ในภายหน้าก็จะมีโอกาสพลิกอ่านคัมภีร์ล้ำค่าและแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่ามาได้ ทว่าแต้มความดีความชอบของผู้ดำเนินงานก็ล้วนแต่น้อยมาก เพราะการทำเรื่องต่างๆ ก็ล้วนแต่ ‘นำโดยผู้อาวุโสตำหนักนอก’ ดังนั้นภารกิจชิ้นหนึ่ง ผู้อาวุโสตำหนักนอกก็จะเป็นหัวเรือใหญ่ก่อน ส่วนที่เหลือเล็กน้อยจึงเป็นพวกผู้ดำเนินงานแบ่งสรรกันไป
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีผู้ดำเนินงานตำหนักนอกกลุ่มใหญ่อยู่นั่นเอง
เมืองวารีสวรรค์มีผู้อาวุโสตำหนักนอกทั้งหมดหกสิบเอ็ดคน ขั้นรวมเป็นหนึ่งมีสองคน ส่วนขั้นกำเนิดมีห้าสิบเก้าคน!
โดยทั่วไปแล้วผู้อาวุโสตำหนักนอกขั้นกำเนิดก็ล้วนแต่มีพลังรบขั้นรวมเป็นหนึ่ง
ส่วนผู้อาวุโสตำหนักนอกขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคน
ผู้อาวุโสชุนอู้นั้นผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู! เพราะถึงอย่างไรพวกสิ่งมีชีวิตที่เยี่ยมยอดอย่างในเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าก็ล้วนแต่บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นอลวน ตามปกติล้วนแต่มิอาจพานพบได้ ส่วน ‘ผู้อาวุโสกานอวี๋’ นั้นผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่สาม เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดสุด สามารถล้างสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งกลุ่มได้อย่างง่ายดาย
ในวังทวีสูญ…โดยทั่วไปเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นก็มีพลังถึงชั้นที่สามหรือสี่เท่านั้น ผู้ที่สามารถผ่านชั้นที่ห้าได้นั้นยากเกินไปแล้ว หากผ่านได้ก็จะพุ่งทะยานกลายเป็นผู้อาวุโสตำหนักในทันที!
“ผู้อาวุโสตงป๋อรู้นามของข้าสองคนด้วยหรือนี่ ช่างเป็นเกียรติของพวกข้ายิ่งนัก” ‘ผู้อาวุโสกานอวี๋’ ชายชราผมสีดอกเลาพูดพลางหัวเราะแหะๆ
“เมื่อทราบว่าผู้อาวุโสตงป๋อประจำการอยู่ที่เมืองวารีสวรรค์ของพวกเรา ข้าและพี่กานอวี๋ต่างก็ยินดีนัก และได้ตระเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว หวังว่าผู้อาวุโสตงป๋อจะเห็นแก่หน้าบ้าง” ผู้อาวุโสชุนอู้กล่าว
แม้จะกล่าวว่าการมาถึงของตงป๋อเสวี่ยอิง
ทำให้เหนือหัวของผู้อาวุโสชุนอู้และผู้อาวุโสกานอวี๋ซึ่งเดิมทีเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดของเมืองวารีสวรรค์ในทางปฏิบัติมีผู้อาวุโสตำหนักในเพิ่มขึ้นอีกคนก็ตามที ทว่าพวกเขาทั้งสองก็ไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย! แต่กลับดีใจอีกต่างหาก เพราะพวกเขาทั้งสองล้วนเข้าใจดีว่า ผู้ที่ร้ายกาจถึงขั้นสามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวได้ถึงสามชั้นตั้งแต่ยังเป็นขั้นกำเนิดนั้น ทันทีที่บรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง การจะผ่านชั้นที่ห้าได้ก็เป็นเรื่องง่ายเพียงยกฝ่ามือเท่านั้น นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นนัก…เกรงว่าในภายหน้าจะมีหวังได้เป็นประมุขตำหนักอีกด้วย!
สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับนี้แล้ว กลับยอมประจำการที่เมืองวารีสวรรค์ช่วงหนึ่ง เช่นนั้นในช่วงนี้ที่เขาประจำการอยู่ที่นี่ ก็เป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาทั้งสองจะได้ผูกสัมพันธ์กับตงป๋อเสวี่ยอิง!
ระดับพลังของพวกเขาทั้งสองก็น่ากระอักกระอ่วนนัก
เพราะถึงอย่างไรก็บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาตั้งไม่รู้กี่ล้านล้านปีแล้ว ระดับอย่างพวกเขาคิดจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็ยากนัก คิดจะกอดขาก็ยังหาโอกาสมิได้เสียด้วยซ้ำ! เป็นไปได้มากว่าในภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงจะกลายเป็นขาอันมั่นคง ตาเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานตั้งไม่รู้เท่าไหร่นี้จะพลาดโอกาสอันงามไปได้อย่างไรกันเล่า
“ก็ได้ เช่นนั้นรบกวนผู้อาวุโสชุนอู้และผู้อาวุโสกานอวี๋แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาเกรงใจพวกผู้อาวุโสชุนอู้ทั้งสองคนแค่เล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว เพราะต่อให้ทำตัวเย็นชาใส่ พวกผู้อาวุโสชุนอู้ก็คงได้แต่อดทนเอาไว้เท่านั้น ส่วนผู้อาวุโสตำหนักนอกคนอื่นๆ ไปจนถึงผู้ดำเนินงาน ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจจนเกินไปแล้ว
………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น