Snow Eagle Lord ภาค 26 ตอนที่ 5-21
ตอนที่ 5 ความหวังมาถึง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยป้ายสัญลักษณ์คุ้มกันชีพสำแดงการหลบหลีกในอากาศแข่งกับชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้น ยามที่เขาสำแดงก็ยิ่งเพิ่มความเงียบงันไร้ซึ่งสุ้มเสียง ราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอากาศ แผ่นดินอลหม่านก็ใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่ทันใดนั้นเองตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงบริเวณด้านนอกของหมู่วังที่เชื่อมต่อกันนั้น
“วิญญาณอาวุธ ตรวจสอบได้เพียงพอแล้วหรือยัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับศัตรูเลยนั้น เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป
“เพียงพอแล้ว ทั่วทั้งหมู่วังต่างก็อยู่ในบริเวณการตรวจสอบของข้าทั้งสิ้น” วิญญาณอาวุธของน้ำเต้าสีดำถ่ายเสียงพูด “เฮ้อ โชคดีที่ท่านมิได้บุกเข้าไป ภายในหมู่วังแห่งนี้มีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นเทพอากาศอยู่ถึงสามท่านเลยทีเดียว”
“เทพอากาศสามท่านอย่างนั้นหรือ” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดรัด
“พวกเขาทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่ กำลังหารือกันเรื่องของท่าน แล้วข้าก็จะฟังอย่างตั้งใจ”
วิญญาณอาวุธของน้ำเต้าสีดำเงียบงันไปชั่วขณะจึงเอ่ยว่า “เจ้านาย ผู้ที่ประมือกับท่านเมื่อครู่คือหัวหน้ารอง! พลังยุทธ์ก็ควรจัดอยู่เป็นลำดับที่สอง หัวหน้าสามกับหัวหน้ารองยังใกล้เคียงกัน แต่วิญญาณของหัวหน้าใหญ่นั้นแข็งแกร่งกว่ามาก ทว่าต่างก็เป็นเทพอากาศธรรมดาๆ กันทั้งนั้น!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าใหญ่ดูเหมือนจะกังวลกับความเป็นมาของท่านเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ได้ออกคำสั่งลงไปแล้วว่าให้เริ่มการตรวจสอบสิ่งของที่ท่านทิ้งเอาไว้เหล่านั้น” วิญญาณอาวุธของน้ำเต้าสีดำพูด
“ยังคงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าตรวจสอบมาหรือยังว่าแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร”
ต้องรู้ชื่อ
จึงจะรู้ว่าแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้อยู่ในจุดใดของแผนที่อากาศ
“หากไม่มีใครพูดถึงสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ภายในหมู่วังก็ไม่มีทางรู้ถึงชื่อของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ได้เลย” วิญญาณอาวุธเอ่ยอย่างจนใจ “ใช่แล้ว เจ้านาย หัวหน้าทั้งสามนี้ต่างก็กลืนกินชีวิตจำนวนหนึ่ง ข้าตัดสินได้แล้วว่าพวกเขาคงจะเป็นระบบการบำเพ็ญ ‘เหล่ากลืนกิน’ ที่โง่เง่าที่สุด”
“เหล่ากลืนกินหรือ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววโกรธสายหนึ่งปรากฏขึ้นจางๆ
ห้าโลกทิพย์ อากาศอันสับสนอลหม่านกว้างใหญ่ไพศาล มีจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วน ระบบการบำเพ็ญมีมากมายหลายอย่าง แต่ที่อยู่ไปจนถึงจุดสูงสุดได้กลับมีไม่มากนัก!
สุดท้ายแล้วการสามารถไปถึงระดับขั้นสูงสุดได้ ก่อนอื่นจะต้องมีผู้อาวุโสตรวจสอบว่าสามารถทำได้ และมี ‘เทพจักรวาล’ ของบันทึกประวัติศาสตร์ ซึ่งมีน้อยเสียจนน่าสงสาร ระบบการบำเพ็ญที่ไปถึงจุดสุดท้ายได้ก็ย่อมมีน้อยนัก ระบบที่ง่ายดายที่สุดในนั้นก็คือ…ระบบ ‘เหล่ากลืนกิน’
เหล่ากลืนกิน ก็คือกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปหลอมรวมกับร่างกาย! วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่แต่ละชนิด หรือแม้กระทั่งวิญญาณสิ่งมีชีวิต ล้วนสามารถกลืนกินลงไปได้หมด แม้กระทั่งจักรวาลก็สามารถกลืนกินลงไปได้!
ระบบนี้มีกุญแจหลักใหญ่สองอัน หนึ่งคือเคล็ดวิชากลืนกินที่มีความซับซ้อนยิ่งกว่า กลืนกินชีวิตธรรมดากับกลืนกินทหารเทพอากาศชุดหนึ่ง เคล็ดวิชาที่ต้องใช้ก็ย่อมแตกต่างกัน!
ส่วนกุญแจหลักอีกอันหนึ่งก็คือร่างกายสามารถซึมซับแล้วเปลี่ยนแปรสิ่งที่กลืนกินให้กลายเป็นตนเอง เคล็ดวิชาที่แปรเปลี่ยนแล้วซึมซับนี้ ระดับขั้นไม่เหมือนกันก็มีเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันเช่นเดียวกัน
ทว่าจากขั้นพื้นฐานที่สุดตลอดไปจนถึง ‘ขั้นเทพอากาศรวมเป็นหนึ่ง’ นั้น เคล็ดวิชาของเหล่ากลืนกินนั้นล้วนสามารถสำเร็จได้อย่างง่ายดายยิ่ง เพราะ ‘บรรพชนโลกา’ ผู้สร้างเหล่ากลืนกินเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่หากนึกอยากไปถึง ‘ขั้นอลวน’ ก็จำเป็นต้องเข้าในสำนักของเขา จึงจะได้รับเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น
กลืนกิน…
การกลืนกินเพื่อยกระดับที่ง่ายดายที่สุดนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าก็คือการกลืนกินผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ! ดังนั้นระบบนี้จึงก่อให้เกิดจอมมารขึ้นมามากมาย กลืนกินอย่างหยาบช้ากระหายเลือด ทำให้มวลชนแค้นเคือง
แต่ ‘บรรพชนโลกา’ กล้าแกร่งเกินไป
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด บรรพชนโลกาถูกจัดอยู่ในสามอันดับแรกอย่างลางๆ สถานะของเขามิอาจสั่นคลอนได้ ดังนั้น ระบบ ‘เหล่ากลืนกิน’ ไม่เพียงแต่ไม่ดับสูญ แต่ผู้ที่บำเพ็ญระบบนี้ยิ่งมาก็ยิ่งมาก โดยเฉพาะ ‘ชีวิตแห่งห้วงอากาศ’ ธรรมดาทั่วไปนั้น มีจำนวนมากมายที่บำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกิน
“ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ ระดับสิ่งมีชีวิตขั้นสูงสุดนั้นยังห่างไกลจากเขาเหลือเกิน แต่ก็ยังนับว่าเขาโชคดี ถึงอย่างไรวังทวีสูญก็มีพลังอำนาจกล้าแกร่ง ตอนนี้ก็มีบุคคลขั้นสูงสุดสองท่านอย่างบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบนั่งอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เพียงเอ่ยนามออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกแล้ว
……
“ยังคงหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์อยู่นะ” เพิ่งปรนนิบัติชีวิตแห่งห้วงอากาศเสร็จ ชายหนุ่มผมขาวผู้ดูแลคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในสวนหย่อมของตนเอง ในใจเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
“ที่แท้แล้ววันเวลาเช่นนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อใดกันแน่” ชายหนุ่มผมขาวผู้ดูแลพูดพึมพำ แต่อารมณ์บนใบหน้ายังคงไว้ซึ่งความสงบราบเรียบ ด้วยกลัวว่าจะถูกชีวิตแห่งห้วงอากาศที่ลอบสอดแนมอยู่ค้นพบ
ทันใดนั้น
อากาศด้านข้างก็เกิดการบิดเบี้ยว แล้วบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
ผู้ดูแลผมขาวมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง “เจ้า เจ้า…เจ้ามิใช่…” บุรุษอาภรณ์ดำตรงหน้าก็คือยอดฝีมือระดับผู้ปกครองผู้นั้นที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นว่ากำลังต่อกรอยู่กับชีวิตแห่งห้วงอากาศนั่นเอง
“เจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางพูดติดตลก “นั่นข้าก็แค่หลอกตัวโง่งมอย่างพวกเขาเท่านั้นเอง ที่นี่หลอมรวมกับภาพมายาอย่างแท้จริง ชีวิตแห่งห้วงอากาศที่เจ้าปรนนิบัติตอนนั้นย่อมหาไม่พบอยู่แล้ว”
ชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนั้นก็เป็นระดับผู้ปกครองเช่นเดียวกัน แต่ระดับขั้นกลับห่างชั้นกันมากมาย เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงประสบความสำเร็จบนวิถีโลกเทียม หลอกชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองตนนั้นได้ ก็ยังผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
“อ้อ” ชายหนุ่มผมขาวพยักหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น เขามองเห็นอนาคตแล้ว เขาเองก็มิได้เต็มใจจะเป็นคนหลอกลวง ถึงอย่างไรในตอนนี้สถานะของพวกเขาก็คือข้ารับใช้ ก็คืออาหาร เหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นย่อมไม่ลดตัวลงมาหลอกลวงพวกตนอยู่แล้ว
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าอะไรหรือ”
“มีชื่อเรียกว่าอย่างไรหรือ” ชายหนุ่มผมขาวสะดุ้งแล้วส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้หรอก แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยออกไปมาก่อนเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าแผ่นดินอลหม่านที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่…มีชื่อเรียกว่าอย่างไรในโลกภายนอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าไม่เคยได้ยินผู้อาวุโสของเผ่าเจ้าพูดมาก่อนเลยหรือ”
อ้างอิงจากการสำรวจห้วงอากาศของเขา…ผู้บำเพ็ญทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านยังสามารถรักษาอิสรภาพเอาไว้ได้ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือระดับผู้เคารพ! สำหรับ ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ นั้น ตนเองก็ค้นพบแล้ว แต่ล้วนถูกพลังผนึกกักขังเอาไว้
“ไม่เคยได้ยินเลย” ชายหนุ่มผมขาวส่ายหน้า แต่พอเขาเห็นท่าทีหน้านิ่วคิ้วขมวดของบุรุษอาภรณ์ดำตรงหน้า ก็อดที่จะพูดต่อมิได้ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ แต่เหล่าผู้ปกครองต้องรู้แน่”
“แต่เหล่าผู้ปกครองล้วนถูกคุมขังอยู่ ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าถูกคุมขังเอาไว้ที่ไหน” ชายหนุ่มผมขาวเอ่ยอย่างจนใจ
“เหล่าผู้ปกครองต้องรู้แน่อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
แล้วเขาก็สนทนากับชายหนุ่มผมขาวผู้นี้อีกหลายเรื่อง จึงค่อยเอ่ยออกมาว่า “ตอนนี้อดทนเอาไว้ก่อน ข้าจะช่วยพวกเจ้าออกมาให้ได้อย่างแน่นอน แต่ก็ต้องการเวลาด้วย”
“พวกเรารอได้ รอได้จริงๆ” ชายหนุ่มผมขาวได้ยินคำมั่นจากคนตรงหน้า ก็ราวกับคนจมน้ำที่ไขว่คว้ากิ่งไม้ เขาพยักหน้ารับคำ แม้จะมีความหวังเพียงเส้นเดียว…พวกเขาก็จะไขว่คว้าเอาไว้ให้แน่น
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า แล้วเงาร่างก็หายลับไปอย่างสมบูรณ์ในทันใด
ชายหนุ่มผมขาวรู้สึกได้ว่าทั้งหมดนี้ราวกับความฝัน แต่สีหน้าของเขาก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แล้วจัดการงานของผู้ดูแลอย่างอ่อนน้อมเช่นเดิม ทว่าส่วนลึกภายในใจของเขามีเปลวเพลิงลุกโชน นี่คือเพลิงแห่งความหวัง!
……
ภายในคุกอันหนาวเหน็บมืดมนแห่งหนึ่ง
บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงถูกโซ่หลายเส้นพันธนาการเอาไว้ แม้กระทั่งกระดูกสันหลังของเขาก็ยังถูกโซ่เลื้อยพันเข้าไปล่ามเอาไว้ วิญญาณของเขาก็ถูกผนึกเอาไว้ด้วย อีกทั้งบนโซ่ยังมีผนึกอันหนาหนักซึ่งผนึกตายพลังยุทธ์ของเขาเอาไว้โดยสมบูรณ์
แววตาของเขาหม่นมัว เขาได้ผ่านวันอันมืดมนไร้ซึ่งแสงอาทิตย์มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว
“เพราะเหตุใดกัน เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้”
“พวกเราดินแดนอลหม่านแห่งนี้ เดิมทีก็อยู่กันดีๆ เหตุใดจึงมีชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงใหญ่รุกรานเข้ามาได้”
“แล้วผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนอื่นๆ เล่า เหตุใดจึงปล่อยให้เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้”
นัยน์ตาของบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงปรากฏแววสิ้นหวัง
อ้างอิงจากสิ่งที่เขารู้ ชีวิตแห่งห้วงอากาศโดยทั่วไปมักมิกล้าทำอะไรเช่นนี้ เป็นเพราะเวลายาวนานกว่าเล็กน้อยจึงถูกค้นพบได้ง่าย ก็มีผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่งบุกไล่สังหารชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ แต่ทว่าชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงนี้บุกรุกเข้ามาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเคยถามมาก่อน แม้กระทั่งข่าวคราวที่เขาได้รู้ ไม่เพียงแต่แผ่นดินอลหม่านบ้านเกิดของเขาแห่งนี้เท่านั้น บริเวณรอบๆ ยังมีเขตแดนขนาดใหญ่ที่ถูกชีวิตแห่งห้วงอากาศครอบครองไปแล้วเช่นกัน
“เป็นอาหารของพวกเขา ธรรมดาก็เป็นทาส พวกเขานึกอยากกิน ก็กินเกลี้ยงได้เลย” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงพูด “แม้กระทั่งผู้ปกครองที่แสนยิ่งใหญ่เช่นข้าก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการ มอบให้กับชีวิตแห่งห้วงอากาศคนหนึ่ง”
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ล้วนกลายเป็นอาหารสำรองของหัวหน้าทั้งสามนั้น
มีเพียงส่วนน้อยนักที่แตกต่าง ถูกส่งมอบให้กับลูกมือที่มีหน้ามีความดีความชอบสักหน่อย บุรุษผมยุ่งผู้นี้ก็้คือหนึ่งในนั้น
“เข้ามาช่วยพวกเราสิ”
“วันเวลาเช่นนี้ เมื่อใดจะสิ้นสุดลงกันหนอ” ในใจของบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“เฮ้อ”
ทันใดนั้นบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงก็รู้สึกได้ว่าอากาศตรงหน้าบิดเบี้ยว แล้วก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่ง นี่ทำให้บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงรู้สึกตื่นตระหนกงงงัน เขากะพริบตาอย่างหนักหน่วง แต่ทว่าเบื้องหน้ามีบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นภายในคุกจริงๆ แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เจ้าวางใจเถิด ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“เจ้ามาช่วยพวกเราใช่หรือไม่ มาช่วยเหลือแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ใช่หรือไม่” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงถามขึ้น
“ข้าจะทำอย่างสุดกำลัง ถ้าหากไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมายก็มีโอกาสช่วยได้ถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วนเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
นัยน์ตาของบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงมีประกายสว่างวาบขึ้นในทันใด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ข้ารู้” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงเอ่ยตอบทันควัน “ข้าเคยได้ยินจ้าวพูดว่า เรียกว่าดินแดนจอมละโมบ”
…………………………………….
ตอนที่ 6 วังทวีสูญอันเลื่องชื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกปิติยินดีในใจขึ้นมาทันที แล้วเริ่มต้นเปรียบเทียบกับ ‘แผนที่อากาศ’ ที่ตนรู้จัก
‘ดินแดนจอมละโมบ’ เป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินของอากาศอันสับสนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วน อยู่ห่างไกลจาก ‘โลกทิพย์กิเลนบูรพา’ แห่งมหาโลกทิพย์ทั้งห้ามากที่สุด ออกเดินทางจากที่นี่ไปยังโลกทิพย์กิเลนบูรพา ด้วยความเร็วของตนก่อนหน้านี้ การจะไปถึงได้นั้นต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งร้อยล้านปี
“โลกทิพย์กิเลนบูรพาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “คิดไม่ถึงว่าข้าเร่งเดินทางในอากาศอันสับสนอลหม่านจนเข้าสู่วิถีแห่งห้วงอากาศแล้วจะก้าวข้ามผ่านระยะทางไกลโพ้นเช่นนั้น ถึงกับมาใกล้กับโลกทิพย์กิเลนบูรพา ดูแล้วคงได้แต่ไปที่โลกทิพย์กิเลนบูรพาก่อนแล้วล่ะ”
เขาย่อมไม่กล้าคิดจะกลับไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราภายในระยะเวลาอันสั้น
เพราะว่าห่างไกลเกินไป
เดิมทีโลกทิพย์ทั้งสองแห่งก็อยู่ห่างไกลกันอย่างหาใดเปรียบอยู่แล้ว เป็นเพราะระยะทางห่างไกลเหลือเกิน ภยันตรายระหว่างทางก็ยิ่งมาก ด้วยพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้หากนึกอยากกลับไป ถึงแม้ตลอดทางจะราบรื่นปลอดภัย ก็ยังต้องใช้เวลาเกินกว่ายุคจักรวาลหนึ่งเสียอีก! ภยันตรายมากมายนับไม่ถ้วนบนเส้นทางอันยาวไกลนี้ก็เพียงพอที่จะสังหารเขาแล้ว
ดังนั้นหากยกระดับพลังยุทธ์อย่างสบายใจเสียก่อน ให้พลังยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา หรือในอนาคตจะกลับไปยังจักรวาลภูมิลำเนาก็ล้วนง่ายดายยิ่งขึ้น
“โลกทิพย์กิเลนบูรพา มีเทพจักรวาลสามท่าน กับเจ้าเมืองหลัวท่านหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “สำหรับข้าแล้วก็ยังนับว่าไม่เลว”
เทพจักรวาลสามท่านแห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา มีท่านหนึ่งที่ความสัมพันธ์กับตงป๋อเสวี่ยอิงอาจย่ำแย่อยู่บ้าง ก็คือท่านอาจารย์ของกู่กานหลัว…บรรพชนกู่ผู้นั้น!
มีท่านหนึ่งที่ห่วงใยใกล้ชิดกับตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าบรรพชนกู่เสียอีก ทั้งยังเป็นผู้สร้างระบบผู้ท่องอากาศ…บรรพชนห้วงอากาศ! บรรพชนห้วงอากาศพำนักอยู่ที่ ‘ตำหนักเทพอากาศ’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา ว่ากันว่าตำหนักเทพอากาศมีชีวิตแห่งห้วงอากาศอยู่เก้าล้านชีวิต ในนั้นมีเทพอากาศอยู่นับหมื่น พวกเขาล้วนภักดีต่อบรรพชนห้วงอากาศ ‘ตำหนักเทพอากาศ’ นั้นเป็นขุมอำนาจที่ค่อนข้างมีคุณธรรม ชิงชังความชั่วร้ายราวกับศัตรู ชีวิตแห่งห้วงอากาศที่สามารถเข้าไปได้นั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ชั่วร้าย
มิฉะนั้นบรรพชนห้วงอากาศก็จะสังหารตัดตอนไปก่อนแล้ว!
เฉกเช่นเดียวกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ได้รับถ่ายทอดวิชาผู้ท่องอากาศ ก็มีการทดสอบจิตใจแล้ว
“ราชันย์มีด บรรพชนกู่ บรรพชนห้วงอากาศ และเจ้าเมืองหลัว” ผู้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคารพนับถือมากที่สุดก็คือเจ้าเมืองหลัวผู้นี้ เพราะสามท่านแรกนั้นต่างก็เป็นบุคคลขั้นสุดยอด
ส่วนเจ้าเมืองหลัวนั้น…
เท่าที่รู้ในตอนนี้และในประวัติศาสตร์ เป็นเพียงผู้เดียวในบรรดาผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนของมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน ที่สามารถอาศัยขั้นอลวนเทียบเคียงกับเทพจักรวาลได้
ใช่แล้ว
เทพจักรวาล เป็นระดับขั้นสุดยอด เมื่อเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นนี้แล้วพลังยุทธ์ก็จะมีการเปลี่ยนแปรราวพลิกฟ้าดิน โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็มิอาจเทียบเคียงกับเทพจักรวาลได้ นี่คล้ายกับเป็นกฎเหล็กข้อหนึ่งไปแล้ว แต่ว่าเจ้าเมืองหลัวกลับทำลายกฎเหล็กข้อนี้ไป
เจ้าเมืองหลัวเป็นผู้บำเพ็ญที่ค่อนข้างลึกลับคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวน แต่ก็เคยต่อตีจนบรรพชนกู่หนีเอาชีวิตรอดอย่างน่าอับอาย แม้ยามที่ต่อกรกับบรรพชนห้วงอากาศ พลังนั้นก็ยังเหนือกว่าบรรพชนห้วงอากาศเสียอีก! ต้องรู้เอาไว้ว่าบรรพชนห้วงอากาศนั้นคือผู้ที่สรรสร้างวิชาลับผู้ท่องทั้งหกสิบขั้นออกมา แม้กระทั่งบรรพชนเทียนอวี๋ประลองกับเขาก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย ทว่าเจ้าเมืองหลัวกลับยังสามารถกดดันบรรพชนห้วงอากาศได้
เห็นได้ชัดว่าเขาอาศัยระดับขั้นอลวน ก็สามารถกดดันบรรพชนเทียนอวี๋ได้เช่นเดียวกัน
นี่ก็คือบุคคลเพียงผู้เดียว…ที่มิใช่เทพจักรวาล แต่มีสถานะเทพจักรวาล!
ดังนั้น ‘โลกทิพย์กิเลนบูรพา’ ที่ดูเหมือนมีบุคคลขั้นสุดยอดเพียงสามท่าน แต่ก็สามารถนับเจ้าเมืองหลัวเป็นหนึ่งท่านได้ แม้กระทั่งแห่งบุคคลขั้นสุดยอดคนอื่นๆ แห่งมหาโลกทิพย์ทั้งห้าแต่ละท่านก็ยังเคารพเจ้าเมืองหลัวผู้นี้เป็นอย่างมาก อ้างอิงจากรายละเอียดข้อมูลของผู้ท่องอากาศกู่ฉี เจ้าเมืองหลัวระดับขั้นสูงส่งเป็นทึ่สุด แต่คล้ายจะฝ่าฝืนข้อห้ามบางประการ จึงส่งผลให้มิอาจบรรลุไปถึงขั้นเทพจักรวาลได้ตลอดกาล
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจสถานะของตนดี ทั้งยังมีความมั่นใจ เขาถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ยึดครองดินแดนอลหม่านมากน้อยเพียงใด”
บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงเอ่ยว่า ข้าเองก็ได้ยินจ้าวท่านพูดว่าจ้าวท่านคือเทพอากาศเพียงหนึ่งเดียวในดินแดนอลหม่านแห่งนี้ของพวกเรา คอยปกป้องพวกเรา! จ้าวท่านก็ออกไปเยี่ยมเยียนสหายอยู่เป็นระยะๆ มีความสัมพันธ์อันดีกับเทพอากาศแห่งแผ่นดินอลหม่านบริเวณรอบๆ อยู่จำนวนหนึ่ง วันนั้นจ้าวท่านได้รับข่าวคราวของสหาย บอกว่าดินแดนอลหม่านในบริเวณรอบๆ กว่าสองร้อยแห่ง ล้วนถูกชีวิตแห่งห้วงอากาศยึดครอง ตอนนี้สหายท่านนั้นเองก็หนีเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน กำลังหลบหนีหัวซุกหัวซุนอย่างน่าอนาถ ปล่อยให้เขาหลบหนีไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ลอบทอดถอนใจ
นับว่าจ้าวผู้นี้โชคดีอยู่ไม่น้อย จึงได้มีสหายมาส่งข่าวให้
ต้องรู้เอาไว้ว่าการส่งข่าวสารผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่ง ระยะทางยิ่งห่างไกลเท่าใดก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น! แม้กระทั่งค่ายกลอันซับซ้อนที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ก็ต้องอาศัยกำลังความสามารถมหาศาลเพื่อการส่งข่าวครั้งหนึ่งออกมา เฉกเช่นตนที่จากบ้านเกิดมาก็ไม่มีวิธีติดต่อกับจักรวาลภูมิลำเนาแล้ว
สหายของจ้าวผู้นี้คงจะอยู่ไม่ห่างจากเขาจนเกินไปนัก เช่นนี้จึงสามารถส่งข่าวได้
“จ้าวท่านได้รับข่าวจึงรู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว เดิมทีคิดจะพาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ที่นี่หลบหนีไปก่อน แต่บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ยังแค่รวมตัวกันอยู่ ชีวิตแห่งห้วงอากาศก็มาถึงเสียแล้ว” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงส่ายศีรษะ “ตอนนั้นมีชีวิตแห่งห้วงอากาศมาฝูงใหญ่ มีเทพอากาศอยู่เป็นจำนวนมากพอดู เพียงไม่นานจ้าวท่านของบ้านข้าก็ถูกล้อมจับแล้วกลืนกินไปเสียแล้ว ชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นมีบางส่วนที่จากไป และยังมีส่วนหนึ่งที่อยู่ปักหลักยึดครอง คอยรักษาการณ์อยู่ที่นี่”
“พวกเรากลายเป็นข้าทาสของพวกเขา กลายเป็นอาหารของพวกเขานับแต่บัดนั้น”
“พวกที่มิอาจทนรับได้เหล่านั้นก็พากันตายไปก่อนแล้ว”
“ก็มีเพียงพวกเราเหล่านี้ที่ยืนหยัดกระต่ายขาเดียว ยังคงกระหายว่าความหวังจะมาถึง จึงยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงพูดพลางยิ้มขมขื่น “ทุกครั้งที่ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะบีบบังคับให้พวกเราบำเพ็ญร่างแยกออกมาร่างหนึ่งให้พวกเขากลืนกินเป็นอาหาร พวกเขาทำเหมือนพวกเราเป็นแหล่งอาหารที่ไมมีวันหมดสิ้นเสียแล้ว ถ้าหากมิใช่เพราะยังมีความหวังสายหนึ่งอยู่ เกรงว่าข้าคงทนไม่ไหวไปนานแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
การทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนอลหม่านแห่งนี้กลายเป็นอาหารกันหมด จากสิ่งนี้ก็สามารถเห็นได้ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ‘จักรวาล’ ก็ปลอดภัยกว่ามาก ห้ามเทพอากาศเข้า แม้กระทั่งกฎการสัญจรจักรวาลก็ยังกีดกันผู้มาจากภายนอก ก็มีแต่จักรวาลที่มีผู้ปกป้องดูแลอย่างจักรวาลคีรีมารนี้จึงจะโอบอ้อมอารีต่อผู้มาจากภายนอกเป็นอย่างยิ่ง จักรวาลผู้บำเพ็ญเองก็ค่อนข้างโอบอ้อมอารี เพราะมีหมาไนสีดำปกป้องอยู่ในความมืดเช่นกัน!
“เจ้ารู้ชื่อของดินแดนอลหม่านรอบๆ หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ก็พอรู้อยู่บ้าง” แล้วบุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงก็ร่ายรายชื่อออกมาประมาณยี่สิบกว่าชื่อ ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังดูเทียบกับการรับสัมผัสแผนที่อากาศของตน มิผิด เป็นบริเวณนี้จริงๆ เสียด้วย
“เจ้าวางใจเถิด ข้ารับรองได้ว่าพวกเจ้าจะต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน เพียงแต่พวกเจ้าจะต้องอดทนอีกสักหลายปีหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขอเพียงแค่สามารถช่วยได้ พวกเราก็รอไหว” บุรุษผมสีดำยุ่งเหยิงพยักหน้า
……
ในส่วนลึกของหุบเขาแห่งหนึ่งในดินแดนอลหม่านแห่งนี้มีบ้านไม้ไผ่อยู่หลังหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวกอยู่ที่นี่ชั่วคราว เขาสวมใส่ป้ายสัญลักษณ์คุ้มกันชีพเพื่อซ่อนเร้นกลิ่นอาย เพื่อมิให้เหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศค้นพบ
“ใช้คำสั่งเรียกตัวครั้งแรก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกฝ่ามือหยิบเอาวัตถุโปร่งแสงทรงสามเหลี่ยมหน้าตาแปลกประหลาดออกมา นี่ก็คือคำสั่งเรียกตัวของศิษย์วังทวีสูญ เป็นถึงศิษย์อาภรณ์ทอง คำสั่งเรียกตัวนี้ของเขาก็ล้ำค่ายิ่งกว่ามากมายแล้ว
เกือบจะทุกหนแห่งในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน ต่างก็สามารถส่งข่าวคราวผ่านคำสั่งเรียกตัวนี้กลับไปยังวังทวีสูญได้!
ดังเช่นการขอความช่วยเหลือเป็นต้น…
ถึงแม้ว่าจะมิอาจกลับไปยังวังทวีสูญได้เป็นการชั่วคราว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจขอความช่วยเหลือได้ ถึงอย่างไรก็เป็นถึงศิษย์อาภรณ์ทอง มีบางคนที่ริเริ่มออกมาเสี่ยงอันตราย! ตนเองยังมิได้ประสบอันตรายแล้วจะขอความช่วยเหลือให้คนพาตนกลับไปยังวังทวีสูญ เช่นนั้นจึงจะเป็นเรื่องน่าขัน!
“วิ้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระตุ้นคำสั่งเรียกตัว ส่งข่าวหนึ่งตรงกลับไปยังวังทวีสูญ พลังงานของคำสั่งเรียกตัวทรงสามเหลี่ยมนี้กระเพื่อมไหว พลานุภาพอันน่าหวั่นเกรงกลั่นตัวอยู่ภายใน พลังงานมหาศาลก็ถูกสูบไปพร้อมกับความเงียบงันไร้ซึ่งสุ้มเสียง คำสั่งเรียกตัวก็รับสัมผัสกับวังทวีสูญที่อยู่ห่างไกลหาใดเปรียบ ส่งข่าวคราวออกไป
“สิ้นเปลืองพลังงานไปถึงหกส่วนเชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง “การจะเติมเต็มพลังงานของคำสั่งเรียกตัวนั้น ด้วยพลังยุทธ์ของข้าแล้วเกรงว่าคงต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนกระมัง”
ตอนนี้เหลือพลังงานอยู่เพียงราวๆ สี่ส่วนเท่านั้น ในชั่วระยะเวลาอันสั้นนี้ตนเองคงมิได้ติดต่อกับวังทวีสูญเสียแล้ว
******
วังทวีสูญ
อยู่ในมิติที่พิเศษแห่งหนึ่ง มีทิวเขาที่แขวนลอยอยู่หลายแห่ง บนทิวเขามากมายล้วนมีวังถ้ำอยู่ แต่ที่บริเวณศูนย์กลางกลับเป็นแผ่นดินแขวนลอยขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ด้านบนเป็นหมู่วังที่เชื่อมติดต่อกัน ทั้งยังมีวังขนาดใหญ่โตมโหฬารตระการตาแห่งหนึ่งอยู่ด้วย รัศมีพร่างพรายไปทั่วทั้งเวหา
ที่นี่ก็คือ ‘วังทวีสูญ’ อันเลื่องชื่อไปทั่วมหาโลกทิพย์ทั้งห้า! ต้องรู้เอาไว้ว่าเทพจักรวาลในโลกทิพย์แห่งหนึ่งๆ นั้นมีอยู่น้อยนิดจนสามารถนับนิ้วได้ แต่วังทวีสูญก็มีเทพจักรวาลดำรงอยู่ถึงสองท่าน แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าสถานะของสถานที่แห่งนี้จะมีเสถียรภาพเพียงใด มีชื่อเสียงอันกล้าแกร่งปานใด
เงาร่างสายแล้วสายเล่าทะยานผ่าน
“เขตไท่ซวี ก็คือสถานที่ไต่สวนของวังทวีสูญของข้า กล้ามาวุ่นวายที่สถานที่ของพวกเรา ถึงกับใช้สรรพชีวิตในดินแดนอลหม่านสิบห้าแห่งมาสังเวยจอมมารดา เฮอะ นี่คือเขตไท่ซวี ร่างจริงของจอมมารดาก็ยังไม่กล้ามาสามหาวยังที่ของพวกเรา เร่งให้ศิษย์ผู้หนึ่งมาออกหน้าแทน จับพวกเขาส่งเข้าไปใน ‘คุกหลอมมาร’ ทั้งเป็น แล้วสังหารผู้ที่มิอาจจับเป็นได้ทั้งหมด” เงาร่างสายหนึ่งที่เป็นจ่าฝูง สวมอาภรณ์สีดำหรูหราตระการตาตลอดร่าง เส้นผมยาวสีแดงโลหิตปลิวไสว นัยน์ตาทั้งสองแฝงแววเยียบเย็นน่าหวาดหวั่น
“เจ้าค่ะ ท่านประมุขวัง” หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังรับบัญชาอย่างเคารพ ประมุขวังที่อยู่ด้านหน้านางผู้นี้ก็คือ ‘ประมุขวังลงทัณฑ์’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ…จอมมาร!
ว่ากันว่าจอมมารก็มาจากจักรวาลแห่งเดียวกันกับจอมกระบี่
แต่จอมมารเชื่อในคำที่ว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง หลังจากรับกฎวังของวังทวีสูญแล้ว จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็เริ่มต้นจัดระเบียบ ให้จอมมารรับตำแหน่ง ‘ประมุขวังลงทัณฑ์’! เหล่าผู้บำเพ็ญของวังทวีสูญก็ดีขึ้นอย่างมากในพริบตา มีไม่กี่คนที่กล้ายุแหย่กฎของวังทวีสูญอีก
“มีเรื่องอันใดกัน” จอมมารมองไปยังที่ไกลๆ เบื้องหน้าของกำแพงแก้วผลึกด้านหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ผู้บำเพ็ญวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ที่นั่น เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย
“ที่แท้ก็มีศิษย์อาภรณ์ทองคนใหม่แล้ว!”
“คิดไม่ถึงว่านอกจากศิษย์อาภรณ์ทองผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิบแล้วจะมีศิษย์อาภรณ์ทองเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง นี่คือผู้ที่ผ่านการทดสอบของท่านบรรพชนที่ก่อตั้งจักรวาล”
“จักรวาลแรกเริ่มอย่างนั้นหรือ จักรวาลแห่งนี้ จอมกระบี่และจอมมารก็เป็นคนของจักรวาลแห่งนี้กระมัง”
ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน
ศิษย์อาภรณ์ทองผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิบ…นั่นล้วนเป็นผู้ร้ายกาจที่สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ เดิมทีการที่มีศิษย์อาภรณ์ทองคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นในทันทีทันใด ข่าวลือก็สะพัดไปอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมาจากจักรวาลแห่งเดียวกันกับจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารอีกด้วย
“หืม”
จอมมารเองก็ได้ยินข่าวคราวแล้ว
เพียงก้าวยาวๆ ก้าวเดียว เขาก็มาถึงตรงหน้ากำแพงแก้วผลึกนั้นแล้ว ผู้บำเพ็ญบริเวณรอบๆ เหล่านั้นพอได้เห็นจอมมารแล้วต่างก็ตกใจแล้วพากันถอยไปทางด้านข้างอย่างเคารพ ถึงแม้ว่าเดือนปีที่จอมมารใช้ในการบำเพ็ญจะสั้น แต่ก็เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนมานานแล้ว ด้วยความที่เป็นยักษ์ใหญ่คนหนึ่งในวังทวีสูญ
อีกทั้งวิธีการลงมือของเขายังเผ็ดร้อน ทั้งยังเป็นประมุขวังลงทัณฑ์อีกด้วย ทำให้ผู้บำเพ็ญแห่งวังทวีสูญต่างก็หวาดกลัวด้วยกันทั้งสิ้น
แต่จอมมารกลับเงยหน้ามองไป บนกำแพงแก้วผลึกมีภารกิจแน่นขนัดปรากฏอยู่ สิ่งที่เขาต้องการจะดูก็คือข้อมูลที่จารึกอยู่สูงบริเวณแถวที่สาม ภารกิจเหล่านี้…จัดเรียงโดยอ้างอิงตามลำดับเวลาและความสำคัญ
“ดินแดนจอมละโมบและดินแดนอลหม่านอีกกว่าสองร้อยแห่งเป็นอย่างน้อย ล้วนถูกชีวิตแห่งห้วงอากาศยึดครอง ใช้ชีวิตผู้บำเพ็ญเป็นอาหารอย่างอุกอาจ ภารกิจนี้ผ่านการอนุมัติจาก ‘วังปุจฉาสวรรค์’ อย่างถูกต้องแล้วว่าสามารถสังหารชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ได้ ผู้ที่รับภารกิจสามารถรับข้อมูลโดยละเอียดได้ ภารกิจนี้เผยแพร่โดยศิษย์อาภรณ์ทอง (จักรวาลแรกเริ่ม) ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’”
…………………………………..
ตอนที่ 7 ลงมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
จอมมารมองดูภารกิจแถวนี้แล้วมุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขาทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ของวังทวีสูญที่อยู่รอบๆ รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” จอมมารกระซิบเสียงเบา “จักรวาลแรกเริ่มของพวกเรา ในที่สุดหลังจากพวกเราก็มีเจ้าเด็กที่ดูเหมือนจะไม่เลวออกมาสักคนเสียที แต่เขาถึงกับวิ่งมาถึงโลกทิพย์กิเลนบูรพานี่เลยทีเดียว”
“ถึงแม้ว่าจะไกลสักหน่อย รีบเร่งไปก็ยังวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ว่าข้าเองก็มิได้ออกไปเดินเล่นนานพอดูแล้วเหมือนกัน ออกไปเดินเล่นสักครา สังหารให้ดีสักรอบ ระหว่างนี้ก็ไปดูสหายตัวน้อยจากบ้านเกิดของข้าผู้นี้สักหน่อย”
จอมมารครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็ตอบรับภารกิจ
ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจแถวนั้นที่เดิมทีปรากฏอยู่บนกำแพงแก้วผลึกก็หายวับไปในทันใด พลังยุทธ์ของจอมมารย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับภารกิจนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนที่เยาว์วัยที่สุดคนหนึ่งในวังทวีสูญ ทว่าพลังยุทธ์ก็มิได้ด้อยไปกว่าขั้นอลวนที่บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลานานปีเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย และชื่อเสียงของเขาก็เป็นที่เลื่องลืออีกด้วย!
พรึ่บ จอมมารหมุนกายแล้วก้าวจากไปในทันใด ทำให้ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ค่อยผ่อนลมหายใจได้
******
ณ ดินแดนจอมละโมบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะหยั่งรู้ในระบบผู้ท่องอากาศ วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียม ทว่าจิตใจส่วนใหญ่ของเขาก็ยังอยู่บนสิบสามกระบี่ผลาญโลกาแห่งวิถีเข่นฆ่า ถึงอย่างไรหากพูดว่าระบบผู้ท่องอากาศสามารถทำให้เขามีร่างกายที่น่าหวาดเกรงและมีเกราะพลที่มีพลังโจมตีอันแข็งแกร่ง เช่นนั้นสิบสามกระบี่ผลาญโลกาก็คือการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ระดับสุดยอด อีกทั้งความเร้นลับของกฎเกณฑ์ยังมีสถานที่ที่ร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่แห่งหนึ่งด้วย… เมื่อหยั่งรู้แล้ว ร่างแปรก็จะสามารถสำแดงได้เช่นกัน
“หืม” ร่างแปรตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำกำลังฝึกฝนวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาอยู่ที่ส่วนลึกของทะเลทรายผืนหนึ่ง ถึงแม้ว่าฝีมือที่ซ่อนเร้นเอาไว้ของเขาจะสูงส่งเป็นที่สุด แต่เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชา ถ้าหากศัตรูกำลังตรวจหาอย่างเอาจริงเอาจังก็ยังสามารถค้นพบได้อย่างง่ายดายยิ่ง ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้อาศัยร่างแปรฝึกวิชาจากที่ห่างไกล มิอาจเปิดเผยร่างจริงได้
“ข้าล่องลอยอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่กว่าห้าสิบล้านปี เดิมที่ก็หยั่งรู้เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว มีเพียงอุปสรรคบางอย่างที่ไม่สามารถรับรู้ได้จริงๆ เท่านั้น ข้าประมือกับบรรดาชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นเพียงไม่กี่ครั้ง กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาของข้าก็บรรลุตามๆ กันมา ตอนนี้เมื่อคิดทบทวนถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ก็ยังถือว่าบรรลุไปอย่างใหญ่หลวงทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี “ตอนนี้เมื่อข้าแทงหอกออกไปคราหนึ่ง แต่ก็สามารถควบคุมได้ถึงสามสิบห้ารูแล้ว”
อันที่จริงแล้วธรรมดายิ่งนัก
การปลีกวิเวกเพื่อบำเพ็ญเป็นเวลายาวนานก่อนหน้านี้ เดิมทีก็ตระหนักรู้วิชา ‘กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา’ ไปถึงระดับขั้นสูงสุดแล้ว เหลือเคล็ดวิชาเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้นที่ต้องการการต่อสู้จริงเพื่อยืนยัน!
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่านไป
ณ เมืองแห่งหนึ่งในดินแดนจอมละโมบ ภายในลานบ้านของช่างตีเหล็ก ชายหนุ่มหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งกำลังถือค้อนใหญ่ตีใบมีด ทันใดนั้นพละกำลังอันไร้รูปร่างก็เคลื่อนทะลุเข้าไปภายในร่างของชายหนุ่ม ผนึกดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ เขานึกอยากจะฆ่าตัวตายก็ไม่สามารถทำได้
ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยแล้ววางค้อนใหญ่ในมือลงเบาๆ
“เทพโลกาตงเย่” ทันใดนั้นชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นภายในลานบ้าน น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “นายท่านเลือกเจ้า”
หนุ่มช่างตีเหล็กหมุนกายมองไปทางชายชราอาภรณ์สีเทาอย่างเงียบสงบ อารมณ์บนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เลือกข้าหรือ เลือกข้าเป็นอาหารหรืออย่างไร”
“ใช่” ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยเสียงต่ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า อาหาร อาหาร” หนุ่มช่างตีเหล็กยิ้มอย่างวิปลาส ผิวดินโดยรอบต่างก็สั่นสะเทือน เครื่องไม้เครื่องมือชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่างก็ลอยละลิ่วขึ้นมาแล้วระเบิดเสียงดัง ปัง ปัง ปัง แต่ต่อให้เป็นพลังที่แกร่งกล้ากว่านี้ก็ล้วนถูกจำกัดอยู่ภายในบริเวณลานบ้าน ไม่กระทบไปถึงมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายนอก
“บำเพ็ญจนเป็นเทพโลกาสวรรค์สามชั้น สุดท้ายก็กลายเป็นอาหารอยู่ดี” หนุ่มช่างตีเหล็กมองชายชราอาภรณ์สีเทา นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววยิ้มเย็น “สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่สันโดษเช่นพวกเจ้าเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเขี้ยวเล็บของสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านั้น คอยจับพวกเราให้กับพวกเขา พวกเจ้าก็คือผู้อาวุโสของพวกเรา!”
ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างมืดมน “นายท่านเพียงแค่นึกคิดก็สามารถปกคลุมทั่วทั้งดินแดนอลหม่านได้แล้ว ต่อให้ไม่ส่งพวกเราไปลงมือ เพียงแค่ความคิดเดียว นายท่านก็สามารถจับเจ้าไปได้อย่างง่ายดายแล้ว ที่ส่งข้ามาก็เพียงเพราะคร้านจะลงมือด้วยตัวเองก็เท่านั้น”
“เป็นเพราะพวกเจ้ากลัวตายต่างหากเล่า!” หนุ่มช่างตีเหล็กยิ้มเยาะ “พวกเราเหล่าเทพโลกานี้แทบจะถูกกินกันจนเกลี้ยง แต่พวกเจ้านั้นอย่างมากที่สุดก็แค่ถูกกินร่างแยก พวกเจ้าก็ยังสามารถบำเพ็ญออกมาใหม่ได้อีก”
“ก็ไม่พ้นเป็นแหล่งอาหารที่ยาวนานหน่อยเท่านั้น” ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกันเล่า” นัยน์ตาของหนุ่มช่างตีเหล็กเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “ก็แค่รักตัวกลัวตายเท่านั้น ข้าเกลียด เกลียดเหลือเกิน เกลียดที่มิได้อยู่เห็นวันที่สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศพวกนี้พินาศย่อยยับ ภรรยาของข้าถูกพวกเจ้าจับตัวไป ท่านอาจารย์ของข้าก็ถูกพวกเจ้าจับตัวไป สหายของข้าก็ถูกพวกเจ้าจับตัวไปเช่นกัน แต่ละคนล้วนถูกสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศกินจนสิ้น สุดท้ายก็ถึงตาข้าแล้วสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ข้าแค่เกลียดนัก เกลียดที่มิได้อยู่เห็นวันที่พวกมันถูกผลาญย่อยยับ” หนุ่มช่างตีเหล็กดูราวกับวิปลาส
ชายชราอาภรณ์สีเทาถอนหายใจเบาๆ
เขายื่นมือออกไปจับหนุ่มช่างตีเหล็กเอาไว้แล้วเคลื่อนผ่านอากาศจากไปพร้อมกัน ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เลือกที่จะรอคอย เขาเองก็ชิงชังเหล่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศพวกนั้นเข้ากระดูกดำเช่นเดียวกัน! ร่างแยกถูกเขมือบทั้งเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกเช่นนี้จะมิให้เจ็บปวดขมขื่นได้อย่างไรกัน อยู่ก็มิสู้ตายหรอก!
ทว่าพวกเขาก็อดทน ต้องมีชีวิตรอด! ในใจของพวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยความหวังมาถึง แต่ผู้คนมากมายในบรรดาพวกเขาตั้งตารอวันที่เหล่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศถูกผลาญย่อยยับมากยิ่งกว่า! พวกเขาอยากจะแก้แค้นเหลือเกิน!
……
ภายในโถงตำหนัก
ชีวิตแห่งห้วงอากาศที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ตนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น แขนของเขายาวเป็นอย่างยิ่ง กะโหลกศีรษะก็ผอมยาว นัยน์ตาข้างหนึ่งทอประกายสีเขียวอมฟ้าอันเยียบเย็น มองเหยียดลงไปยังกรงขังแต่ละกรงที่อยู่เบื้องล่าง เทพโลกาจำนวนมากที่ถูกคุมขังอยู่ภายในกรงเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นมนุษย์ ยังมีสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่บางส่วนด้วย พวกเขาแต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าโกรธแค้น บ้าคลั่ง และเกลียดชัง
“ฮิๆๆ” ชีวิตแห่งห้วงอากาศผอมสูงตนนี้หัวเราะฮิๆ อย่างแปลกประหลาด เพียงแค่นึกคิด บรรดา ‘อาหาร’ ภายในกรงเหล่านี้แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าสามารถส่งเสียงออกมาได้แล้ว
“สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศ กินเสียเถิด กินเสียเถิด พวกเราไม่กลัวหรอก!”
“สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศ ท้ายที่สุดแล้วจะต้องมีผู้บำเพ็ญที่กล้าแกร่งมาถึงแล้วบั่นคอสังหารเจ้า!”
“พวกเราเพียงแค่เดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งเท่านั้น อีกไม่ช้าพวกเจ้าก็จะตามมาเช่นกัน!”
“สิ่งมีชีวิตผู้สูงส่งเหนือผู้ใดเอ๋ย ขอร้องท่าน โปรดบั่นคอสังหารสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ด้วยเถิด ข้าจะใช้ทั้งชีวิตนี้ของข้าเชื่อฟังและสวามิภักดิ์ต่อท่านไปตลอดกาล” เหล่าเทพโลกาที่อยู่ภายในกรงขังเหล่านี้บ้างก็ด่าทอ บ้างก็เงียบงัน บ้างก็อาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
พวกเขาเกลียดนัก
เกลียดสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ เพราะสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านกลายเป็นแดนนรก เพื่อนฝูงที่พวกเขารู้จักมากมาย แม้กระทั่งคนรัก พี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย อาจารย์และเหล่าศิษย์… ล้วนถูกบรรดาสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้กินเสียจนสิ้น
สำหรับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่สันโดษ เหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศยังสามารถเหลือแสงสุดท้ายแห่งการมีชีวิตเอาไว้ให้ได้ เพราะการกลืนกินสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่นั้นยังมีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่บ้างเล็กน้อย ส่วนเทพโลกาที่อ่อนแอนั้น…สำหรับบรรดาสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศที่อย่างน้อยก็เป็นระดับผู้ปกครองเหล่านี้แล้ว กลืนกินลงไปก็ย่อมมิได้มีส่วนช่วยต่อพลังยุทธ์แต่อย่างใดเลย
สิ่งที่พวกเขาชมชอบยิ่งกว่าก็คือการได้เห็นท่าทีสิ้นหวังของเทพโลกาที่อ่อนแอเหล่านี้
“อืม” ชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงหรี่ตาฟังอยู่ที่นั่น “ข้าได้ยินความหวาดหวั่น ได้ยินความโกรธแค้น ได้ยินความสิ้นหวัง ช่างเปี่ยมความหมายเหลือเกิน น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว”
เหล่าผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต่างก็เงียบงัน
สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้… แต่ทว่าผู้ที่อ่อนแอก็ถูกกินไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แล้วยังมีวิญญาณเทพ เหนือธรรมดา และเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอกว่าอีกเป็นจำนวนมากด้วย บ่อยครั้งที่ถูกกินไปทีละเมือง ทีละเมือง หรือกระทั่งทีละประเทศ ทีละประเทศ ก็ล้วนถูกกลืนกินจนสิ้น เพียงเพราะว่าเหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศรู้สึกว่าทำเช่นนี้แล้วเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ คงจะถึงเวลามีความสุขกับอาหารอร่อยแล้วสินะ” ชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงเอ่ยปากพูด บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข นี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขา
“พรึ่บ…”
หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในทันใด หอกยาวหมุนควงเข้ามา บนปลายหอกยังมีประกายอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งสีดำจางๆ ทำให้ชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงเผยสีหน้าพรั่นพรึงออกมาในทันใด จากนั้นเขาก็แกว่งแขนเพื่อปัดป้อง เกราะชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท่อนแขน แต่ทว่าหอกครานี้ในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าในตอนแรกเป็นหลายเท่าตัวแล้ว
ฟึ่บๆๆๆๆ…ร่างกายของชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงถูกแทงทะลุออกมาเป็นรูยี่สิบหกรูในทันใด จำนวนรูที่ลดลง สวนทางกับพลังคุกคามที่พุ่งพรวดขึ้น ภายในรวบรวมเอาพลังของค่ายสังหารจำนวนนับไม่ถ้วนมาทำลายร่างกายของชีวิตแห่งห้วงอากาศร่างผอมสูงนี้ในทันใด
ในยามนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยเดินออกมาจากกลางเวหา กุมหอกยาวเล่มหนึ่งเอาไว้พลางมองบัลลังก์ที่กลายเป็นผุยผงไร้มวลสารไปโดยสมบูรณ์แล้วอย่างเย็นชา ด้านข้างบัลลังก์ก็เหลือวัตถุอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
ชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนั้นก็ถูกผลาญไปเสียแล้ว
“เดิมทีข้าคิดจะบำเพ็ญให้แข็งแกร่งกว่านี้ก่อน คิดจะอดทนไม่ลงมือ เพราะกลัวว่าการลงมือของข้าจะไปยุแหย่ชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้แล้วจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มากมาย” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววอาฆาตเย็นเยียบ “แต่ข้าผิดพลาดเสียแล้ว พอข้าไม่ลงมือ เหล่าเทพโลกา วิญญาณเทพ เหนือธรรมดา และเหล่ามนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนอลหม่านกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า… ก็กลายเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาแล้ว”
“เพื่อชีวิตของสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มเล็กๆ ไม่กี่สิบชีวิต ก็ต้องดูชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกลืนกินไม่หยุดหย่อน”
“ข้าทำไม่ลงหรอก”
“เช่นนั้นก็สังหารเสียเถิด ด้วยกำลังทั้งหมดของข้า สังหารพวกมันเสียให้สิ้น” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววอาฆาตล้นฟ้า
……………………………………………
ตอนที่ 8 ความซาบซึ้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหล่าเทพโลกาผู้ถูกคุมขังอยู่ภายในกรงที่กำลังจะถูกกิน หนึ่งในนั้นก็มีหนุ่มช่างตีเหล็กผู้นั้นอยู่ด้วย พวกเขาแต่ละคนล้วนปากอ้าตาค้างมองดูสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศที่มีพลังคับฟ้าที่แสนสูงส่งเมื่ออยู่ต่อหน้าหอกยาว เพียงแค่กระบวนท่าเดียว สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศนั่นก็จบชีวิตลงเสียแล้ว
“ตายแล้ว เขาตายแล้ว”
“ในที่สุด ในที่สุดก็มีผู้แกร่งกล้ามาถึงแล้วหรือ”
“มีสิ่งมีชีวิตผู้สูงส่งเหนือผู้ใด ได้รับฟังคำภาวนาอ้อนวอนของข้าแล้วหรือ”
เทพโลกาเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งเหล่าผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต่างก็รู้สึกถึงความตื่นเต้น เหล่าผู้ดูแลล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ร่างแยกของพวกเขาถูกกินหมดครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาทั้งเจ็บปวดขมขื่นทั้งสิ้นหวัง
พวกเขารู้สึกแม้กระทั่งว่าหัวใจก็ล้วนบิดเบี้ยวไปแล้ว! แม้กระทั่งไม่แยแสสนใจว่าตนจะสิ้นชีวิต มีชีวิตอยู่ไปก็เพียงปรารถนาว่าเหล่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศที่พวกเขาเกลียดชังที่สุดจะตายสิ้น!
และตอนนี้สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศนั่นก็ตายหมดแล้วจริงๆ หรือ
มองดูบุรุษอาภรณ์ดำผู้กุมหอกยาวเอาไว้ในมือที่เดินออกมาจากกลางอากาศ ในขณะนั้นเอง เหล่าผู้ดูแลและเหล่าเทพโลกากลุ่มนี้ล้วนหลั่งน้ำตาแห่งความปีติออกมา แล้วทำการจดจำรูปลักษณ์ของบุรุษอาภรณ์ดำตรงหน้าเอาไว้อย่างลึกล้ำ ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื่นเต้นอย่าางไร้ที่สิ้นสุด
พวกเขากระทั่งปรารถนาให้บุรุษอาภรณ์ดำเป็นอมตะชั่วนิรันดร์! สวามิภักดิ์ตลอดกาล!
“เป็นเขาหรือ” ผู้ดูแลเหล่านั้นมีจำนวนมากที่จดจำขึ้นมาได้แล้ว บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้ก็คือผู้ที่ประมือกับชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงหนึ่งเมื่อคราวก่อนจนสุดท้ายตัวตายผู้นั้นนั่นเอง แต่ว่าตอนนี้กลับมีชีวิตขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำหันหน้ามา สายตากวาดผ่านผู้ดูแลกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังกวาดผ่านเหล่าเทพโลกาภายในกรงขังเหล่านั้นด้วย เขาเปิดปากเอ่ยว่า “นี่คือคนแรก!”
พอพูดจบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวไปก้าวหนึ่งแล้วหายไปไม่เห็นเงา
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที!”
“แม้ยามฝันข้าก็ยังกระหายอยากถึงวันนี้”
“เพียงแค่ได้เห็นวันนี้ ข้าก็ตายตาหลับแล้ว!”
“เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้ว ได้เห็นสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศตายก็เพียงพอแล้ว” เหล่าเทพโลกาจำนวนมากมายถึงกับหลั่งน้ำตา
แม้กระทั่งเหล่าผู้ดูแลเหล่านั้นต่างก็มองดูฉากนี้ด้วยร่างกายอันสั่นสะท้าน
และเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้รับการถ่ายเสียงผ่านเหตุปัจจัย “พี่ฉีเหยียน สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศที่พวกเรารับใช้ท่านนี้ถูกผู้อาวุโสชุดดำที่กุมหอกยาวท่านหนึ่งสังหาร ก็คือท่านที่ตอนนั้นรับมือกับสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศท่านนั้นนั่นแหละ”
“พวกเราทางนี้ก็เช่นกัน”
“ตายแล้ว ตายแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นตายแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้เห็นวันนี้เสียที”
……
อันที่จริงแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมร่างแปรสามร่างในเวลาเดียวกัน นี่ก็คือขีดจำกัดพลังที่พลังโจมตีอันแข็งแกร่งที่สุดของร่างแปรที่เขารักษาเอาไว้ในตอนนี้สามารถรักษาได้ ร่างแปรทั้งสามเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน ในครั้งแรกก็สังหารชีวิตแห่งห้วงอากาศไปสามตนพร้อมกัน! ทุกครั้งต่างอาศัยเพียงหอกเดียวก็สังหารจนสิ้นได้แล้ว
หลังจากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ลังเล เคลื่อนย้ายผ่านอากาศในทันใด แล้วไปบุกโจมตีสังหารสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศอีกสามตน
พูดได้ว่าในขณะที่เหล่าชีวิตแห่งห้วงอากาศยังไม่มีการตอบสนอง หรือแม้กระทั่งยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลยนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สังหารสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศไปเก้าตนติดๆกันแล้ว! รวมกับอีกสองตนที่เขาสังหารไปตอนเข้าสู่ดินแดนอลหม่านในตอนแรก ก็รวมเป็นสิบเอ็ดตนแล้ว…
สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองในดินแดนอลหม่านแห่งนี้เหลืออยู่เพียงห้าท่านเท่านั้น และในเวลานี้หัวหน้าทั้งสามถึงเพิ่งได้รับการถ่ายเสียงจากหนึ่งในชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นก่อนที่จะตายว่า “มีศัตรู!”
แต่ชีวิตแห่งห้วงอากาศที่ตายไปตนนั้นไปรายงานเพียงแค่หัวหน้าเท่านั้น ส่วนชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองตนอื่นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกห้าตนนั้นกลับยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดิม ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยการเคลื่อนที่ผ่านอากาศแล้วบุกสังหารชีวิตแห่งห้วงอากาศอีกสามตนในทันใด
ในขณะนี้เอง
หัวหน้าทั้งสามจึงออกฆ่า จึงได้ล้อมกรอบสำรวจทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่าน แล้วจึงเพิ่งค้นพบว่าลูกน้องของพวกเขาเหลืออยู่เพียงแค่ชีวิตแห่งห้วงอากาศสองตนเท่านั้น
“ตายแล้ว”
“สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศตายแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที พวกเขาตายกันหมดแล้ว”
“สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศของข้าทางนี้ก็ตายแล้ว”
“ของข้าทางนี้ก็เช่นกัน!”
“ทางนี้ก็ตายแล้ว ถูกผู้อาวุโสชุดดำที่ถือหอกยาวสังหารภายในกระบวนท่าเดียวเช่นกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ข่าวสารแพร่สะพัดออกไป
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าเทพโลกา และเหล่าวิญญาณเทพทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านต่างก็ตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่ง พวกเขาบอกต่อกันจากหนึ่งเป็นสิบ สิบเป็นร้อยเป็นหมื่น เป็นล้าน…สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ตื่นเต้น มีมากมายที่ถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความยินดีออกมา มีบางคนที่ถึงกับศรัทธาในผู้อาวุโสชุดดำที่ถือหอกยาวในคำเล่าขานผู้นั้นขึ้นมา
ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงโบกแขนคราหนึ่ง เกรงว่าอาจทำให้ชีวิตในดินแดนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ปรารถนาจะติดตามไปในทันที
“หยุดมือนะ!”
“ที่แท้เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่!”
หัวหน้าทั้งสามต่างก็เดือดดาล ถึงแม้ว่าในขณะนี้พวกเขาจะค้นพบร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว แต่ว่า…สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญที่สุดคือสิ่งใด ก็คือการลอบสังหารอย่างไรเล่า นอกจากนี้เขายังครองความได้เปรียบในการเคลื่อนที่ในอากาศอีกด้วย เขาไปถึงข้างกายของชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองสองตนที่ยังรอดชีวิตอยูนั้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นแล้วแทงหอกออกไปในทันใด!
ชีวิตแห่งห้วงอากาศหนึ่งในนั้นคำรามอย่างหวาดหวั่นแต่ก็ถูกสังหารไป
แต่ในยามที่จะสังหารอีกตนหนึ่งนั้นกลับเผชิญกับความยุ่งยากเล็กน้อย
“เฮอะ” หลังจากเสียงเฮอะเย็นชา สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ผ่าลงมาจากกลางเวหามาทางร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิง หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันจะแทงถูกศัตรู ทว่าสายฟ้าสีเขียวกลับสัมผัสบนร่างของเขาแล้วเดิมทีวิชาหอกของเขาก็มิอาจต้านทานอยู่แล้ว ร่างกายจึงแตกสลายไปในทันที
“สมกับที่เป็นหัวหน้าใหญ่จริงๆ แต่ว่าไม่มีประโยชน์เลย” ชั่วขณะที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำสูญสลายไปนั้น นัยน์ตาทั้งสองก็ยังคงมีแววอาฆาตลุกโชนเช่นเดิม
เพราะในขณะเดียวกัน ร่างแปรทั้งสามก็ปรากฏขึ้นในบริเวณรอบข้างแล้วโอบล้อมโจมตีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนั้นพร้อมๆ กัน
ร่างแปร…
ย่อมมิกลัวการถูกสังหาร เพราะถูกสังหารไปแล้วก็สามารถก่อกำเนิดใหม่ได้อีก!
“ฟึ่บ” การโจมตีพร้อมกันของร่างแปรทั้งสาม สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศตนนั้นยืดลำคอเรียวเล็กขึ้น บนกะโหลกศีรษะสีชมพูนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หัวหน้าใหญ่ผู้นั้นก็มาได้ทันเพียงโจมตีร่างแปรร่างหนึ่ง ทำได้แค่จ้องมองดูลูกน้องขั้นผู้ปกครองคนสุดท้ายของตนถูกปลิดชีพ
บนร่างของสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศตนนี้ วิชาหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปถึงระดับขั้นใหม่… วิชาหอกสามารถควบคุมได้จนเหลือเพียงสิบสองรูแล้ว!
จากการต่อสู้ในครั้งนี้ที่โจมตีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนแรก มีถึงยี่สิบหกรูเต็มๆ ถึงตอนนี้เหลือเพียงสิบสองรูเท่านั้น
ทุกการโจมตีสังหารหนึ่งตน…
สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้มีวิธีการป้องกันตัวแตกต่างกัน บ้างก็อาศัยเกราะ บ้างก็ใช้ผิวหนังถ่ายพลังออกไปอย่างแรง บ้างก็ใช้พลังเปลวเพลิง บ้างก็ใช้การแยกร่างกาย… ก็เพราะวิธีการป้องกันตัวที่แตกต่างกันนี้เองที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้ในวิชาหอกของตนอย่างไม่หยุดหย่อนในยามโจมตี กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาซึ่งเดิมทีก็ขาดเพียงแค่การทดสอบในการต่อสู้จริง ตอนนี้จึงก้าวกระโดดอย่างฉับพลัน
เปรียบเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้าสู่แผ่นดินอลหม่านที่มีกว่าร้อยรูแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงสิบสองรู พลานุภาพของวิชาหอกกลับเพิ่มพูนขึ้นกว่าสิบเท่า
……
สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองที่มีอยู่ล้วนถูกสังหารจนสิ้น ผ่านการส่งข่าวระหว่างเหล่าผู้ดูแลแต่ละคน เพียงไม่นานก็ส่งข่าวไปถึงเทพโลกาและเหล่าวิญญาณเทพ พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นยินดีอย่างแท้จริง
“สามารถรอมาจนถึงวันนี้ได้ ได้เห็นพวกเขาสูญสลายย่อยยับจนสิ้น ก็เพียงพอแล้วจริงๆ”
“นอกจากตัวหัวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนนั้นแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศอื่นๆ เหลืออยู่อีกแล้ว สามารถทำมาจนถึงขั้นนี้ได้ก็ดีมากแล้วจริงๆ”
เหล่าผู้ดูแลปลดปล่อยเหล่าผู้เคารพที่ถูกคุมขังอยู่ออกมาส่วนหนึ่ง และปล่อยบรรดาผู้ปกครองที่ถูกคุมขังอยู่ออกมา
พวกเขาแต่ละคนรอคอยอย่างกระหาย…
มองดูห้วงอากาศที่อยู่ห่างไกลออกไป ที่นั่นมีบุรุษอาภรณ์ดำสามคนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับหัวหน้าทั้งสาม แต่ทั้งสามคนนั้นล้วนเป็นเทพอากาศที่น่าหวั่นเกรง!
“พวกเราใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว”
“ถึงจะตายก็เต็มใจแล้ว”
“แต่ผู้อาวุโสชุดดำท่านนี้ ตอนนี้เขากลับต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว หัวหน้าทั้งสามของสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน” ผู้ที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านห้วงอากาศจากที่ไกลๆ ได้ ต่างก็เกิดความร้อนรนขึ้นในใจ
พวกเขาตกอยู่ในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดมาโดยตลอด
คราวนี้สัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศฝูงใหญ่ดับสูญ ถึงแม้ว่าจะยังมีหัวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่อีกสามตน แต่สำหรับชนพื้นเมืองของแผ่นดินอลหม่านแล้ว นี่ก็คือชัยชนะที่ก่อนหน้านี้มิเคยพบพานแล้ว! พวกเขาได้รับความยากเย็นเข็ญใจมามาก สามารถทำมาจนถึงขั้นนี้ได้พวกเขาก็อิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว มิกล้าหวังลมๆ แล้งๆ เกินตัว
ตอนนี้พวกเขาเป็นห่วงผู้อาวุโสชุดดำท่านนี้ กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา
เหล่าเทพโลกาจำนวนมากก็ได้รู้จากสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ว่าผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตพวกเขาท่านนั้น ตอนนี้ก็ตกอยู่ในอันตราย ทุกคนต่างก็หวังให้ผู้อาวุโสสามารถมีชีวิตรอดปลอดภัยต่อไปได้ อดไม่ไหวที่จะใช้ชีวิตของตนไปแลกกับความปลอดภัยของผู้อาวุโสท่านนั้น
……
แต่ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่มีความตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย ร่างแปรทั้งสามของเขาแต่ละร่างต่างก็กุมหอกยาวอันหนึ่ง ยืนกระจายตัวกันอยู่กลางเวหา มองดูเทพอากาศสามตนที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า พวกเขามีลักษณะที่แตกต่างกัน ผู้ที่เป็นผู้นำมีปีกสีทอง ศีรษะดูดุร้าย นัยน์ตาสีทองเข้มทั้งคู่ถลึงจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง ที่ด้านข้างของเขานั้น ตนหนึ่งก็คือสัตว์ประหลาดที่มีเกล็ดสีดำที่เคยรับมือแล้วเมื่อคราวก่อน ส่วนอีกตนหนึ่งนั้นก็คือชีวิตแห่งห้วงอากาศที่มีร่างกายขนาดมหึมา เป็นร่างมนุษย์ที่มีขนและมีตาสามข้าง
“คราวก่อนเจ้าไม่ตายก็ควรจะไปหลบซ่อนตัวสิ คิดไม่ถึงว่ายังกล้าเสนอหน้าออกมารนหาที่ตายอีก” สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำเดือดดาลอยู่บ้าง คราวก่อนก็เป็นเขาที่สังหารร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำทั้งสามเปิดปากเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “ข้าออกมาก็เพราะต้องการจะสังหารพวกเจ้าทั้งสามนั่นแหละ”
……………………………….
ตอนที่ 9 ร่างจริงที่หาไม่พบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้ามันก็แค่ผู้ปกครองเทพแท้ตัวกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง ยังถึงกับกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้ด้วยหรือ” ชีวิตแห่งห้วงอากาศในร่างมนุษย์สามตาที่เต็มไปด้วยขนเอ่ยด้วยเสียงดังสนั่น “ผู้ปกครองเทพแท้กับเทพอากาศมีความแตกต่างกันอย่างมิอาจล้ำเส้น ถึงจะเป็นผู้ปกครองหลายสิบจนถึงร้อยคน ข้าก็สามารถกลืนกินลงไปในคำเดียวได้”
สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำที่อยู่ด้านข้างก็ดูแคลนเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะปลิดชีพชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองไปหนึ่งฝูงใหญ่ แต่พวกเขาหัวหน้าทั้งสามก็มิได้รู้สึกถึงภัยอันตรายเลยแม้แต่น้อยเฉกเช่นเดิม
เพราะอ้างอิงจากประสบการณ์ของพวกเขา ผู้ปกครองคิดอยากข้ามขั้นมาต่อสู้กับเทพอากาศอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี!
เกรงว่าคงมีแต่ขุมอำนาจระดับสุดยอดของสุดยอดในตำนานเท่านั้นจึงจะสามารถบ่มเพาะตัวร้ายกาจจำนวนน้อยนิดจนนับนิ้วได้ ที่สามารถเป็นผู้ปกครองข้ามขั้นสังหารเทพอากาศได้ ทว่าตัวร้ายกาจเช่นนั้นหายากสักเพียงใดกัน อีกทั้งพวกเขายังมิใช่เทพอากาศเพียงหนึ่งเดียว หากแต่มีกันถึงสามตน… โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าใหญ่ ที่บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนาน พลังยุทธ์สูงส่งเป็นที่สุด
“พี่ใหญ่” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาที่เต็มไปด้วยขนหันหน้ามองไปทางหัวหน้าใหญ่ของพวกเขา สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำตนนั้นก็มองไปทางหัวหน้าใหญ่เช่นเดียวกัน
หัวหน้าใหญ่ก็หรี่ตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วออกคำสั่ง “ลงมือเลย สังหารเขาเสีย”
“ขอรับ”
“ฮ่าฮ่า ฆ่ามัน”
พอสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำและสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาได้รับคำอนุญาตก็ลงมือในทันใด
เห็นเพียงผิวกายของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำก่อเกิดเป็นระลอกคลื่นสีดำล้อมรอบ ระลอกคลื่นสีดำซัดสาดกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง สำหรับสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตานั้น ตาดวงที่สามของเขาปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างออกมา ระลอกคลื่นกวาดไปทางร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิง และกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน
ที่แปลกประหลาดก็คือ อาณาบริเวณของกฎเกณฑ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นมิได้ถูกรบกวนเลยแม้แต่น้อย
“เฮอะ” ร่างแปรทั้งสามร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ซ่อนอยู่ในฟ้าดินโลกเทียม ลดทอนอิทธิพลของระลอกคลื่นสีดำลงไปเป็นอย่างมาก สำหรับระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างนั้นเป็นการโจมตีของวิญญาณอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ส่วนร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็อาศัยร่างจริงควบคุมจากระยะไกล เป็นเพียงแค่สติรับรู้ส่งมาเท่านั้น ย่อมไม่กลัวการโจมตีของวิญญาณอยู่แล้ว
“ก่อนหน้านี้การโจมตีชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองเหล่านั้นทำให้กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาของข้ายกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก ตอนนี้สามารถเหลือเพียงสิบสองรูได้ เทพอากาศทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าพลังยุทธ์ยิ่งสูงส่ง การรับมือกับพวกเขา… ยิ่งมีส่วนช่วยในการขัดเกลาของข้ามากยิ่งขึ้น จะต้องอาศัยโอกาสนี้ในการตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เขาเองก็เข้าใจดี
หากไม่ตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา การจะสังหารเทพอากาศสามท่านนั้นก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ
ดังนั้นตระหนักรู้ให้เร็วที่สุดก่อนดีกว่า…
สิ่งที่ตนยังขาดแคลนในกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาก็คือการต่อสู้สนามจริง
“ปัง…” ภายในฟ้าดินโลกเทียม หนึ่งในร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำย้ายร่างเคลื่อนไปใกล้กับสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตา พร้อมกันนั้นหอกยาวในมือก็แทงออกไป หอกยาวหมุนติ้วควงสว่านออกไป ราวกับล้อรถอันไร้รูปร่างกลิ้งมา ความมั่นคงของปลายหอกนั้นมีความยากที่จะควบคุมอยู่บ้างจึงแทงไปทางศัตรูด้วยความสั่นสะท้านเล็กน้อย
ทว่าสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตากลับยื่นมือตรงออกมา มือใหญ่ที่มีขนดกหนาก็คว้าไปทางด้ามหอกของตงป๋อเสวี่ยอิง กึง… ด้ามหอกขยับหมุนควงตลอดเวลา มือใหญ่ที่มีขนดกหนาของเขาไม่สามารถจับนิ่งๆ ได้ ปลายหอกแทงลงบนร่างของเขาเช่นเดิม แทงทะลุเส้นขนอันดกหนาและชั้นผิว ปลายหอกทิ่มแทงเข้าไปเล็กน้อย “ทำร้ายข้าได้ด้วยหรือ พี่รอง ท่านมิได้บอกว่าการโจมตีของเขาอ่อนแอมากหรอกหรือ” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาเอ่ยด้วยเสียงกึกก้องดังสนั่น
ในขณะนี้บนเกล็ดเกราะบริเวณทรวงอกของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำมีรูขนาดเล็กสิบเอ็ดรูปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง รูขนาดเล็กเหล่านี้ต่างก็สมานตัวกันอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ส่งเสียงคำราม “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า พลานุภาพของวิชาหอกของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล ถึงกับสามารถทำร้ายข้าได้แล้ว แต่การบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้มิอาจนับเป็นอะไรได้ รีบสังหารเขาเร็วเข้าสิ”
ถ้าหากกล่าวว่าร่างแปรทั้งสองประมือกับหัวหน้ารองและหัวหน้าสามแล้วยังพอมีผลการต่อสู้อยู่บ้าง
ในยามที่การโจมตีมุ่งมาทางหัวหน้าใหญ่นั้นเอง…
ปีกสีทองของหัวหน้าใหญ่ตระหง่านอยู่กลางเวหา ไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีทองเข้มนั้นของเขากวาดมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำที่โจมตีเข้ามา ทันใดนั้น “เปรี้ยง” สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งฟาดลงสู่ฟ้าดินโลกเทียม โจมตีลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำ วิชาหอกใดๆ ล้วนไม่สามารถต้านทานสายฟ้าสีเขียวอันแปลกประหลาดนี้ได้ ร่างแปรร่างหนึ่งพลันสูญสลายไปในทันใด
แต่ทันทีที่ร่างแปรร่างหนึ่งถูกทำลาย บริเวณห้วงอากาศที่อยู่ไกลออกไปก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด
ร่างแปรนั้นสามารถอาศัยพลังของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ ใช้ศาสตร์ลับเคล็ดวิชาสามพันร่างแปร เพียงความนึกคิดเดียวก็สามารถสร้างร่างแปรใหม่ได้ เป็นเพราะพลังที่สามารถนำมาใช้ได้ไม่นับว่ามาก ระดับความแข็งแกร่งของร่างแปรที่สร้างขึ้นจึงค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อเทียบกับผู้ปกครองธรรมดาๆ ที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอแล้ว ก็ยังห่างชั้น ไม่มีทางเทียบกับร่างจริงได้เลย
……
เมื่อเห็นร่างแปรอีกร่างปรากฏขึ้น หัวหน้าใหญ่ก็หรี่ตา “เป็นผู้ปกครองเทพแท้ที่ร้ายกาจเสียจริง
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่เคยเปิดเผยร่างจริงเลย ที่ออกมาต่อสู้ก็ล้วนเป็นบรรดาร่างแปรเท่านั้น นอกจากนี้เคล็ดวิชาที่เขาใช้รวบรวมร่างแปรก็สูงส่งยิ่งนัก…การรวบรวมร่างแปรโดยทั่วไป ก็ใช้พลังภายในร่างกายรวบรวมขึ้น ทว่าเขากลับดูเหมือนจะอาศัยพลังจากโลกภายนอกมาสร้าง ดังนั้นจึงย่อมมิอาจหาร่างจริงของเขาได้พบ”
เหมือนกับเทพอากาศ
ใช้พลังเทพอากาศภายในร่างกายรวบรวมร่างแปรร่างหนึ่งมาใช้ในการต่อสู้ เมื่อร่างแปรสิ้นชีพแล้ว การรวบรวมก็จำเป็นต้องใช้พลังเทพอากาศภายในร่างกายอีก…เช่นนั้นศัตรูก็สามารถอาศัยการเคลื่อนไหวของการรวบรวมร่างแปรในการตามหาที่อยู่ของร่างจริงได้โดยสมบูรณ์
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เหมือนกัน เขาใช้พลังของฟ้าดินโลกเทียมในการรวบรวมร่างแปร ดังนั้นจึงไม่มีทางหาร่างจริงของเขาพบได้เลย
“สามารถสร้างร่างแปรได้ภายในความนึกคิดเดียว ร่างจริงของเขาจะต้องซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนักเป็นแน่แท้” หัวหน้าใหญ่พูดพึมพำ
ถ้าหากเป็นยักษ์ใหญ่ฝ่ายหนึ่งของขั้นอลวน ก็สามารถฝืนบังคับรวบรวมเอาร่างแปรออกมาจากระยะทางที่ไกลกว่าได้ แต่ตอนนี้บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้เป็นเพียงผู้ปกครองเทพแท้คนหนึ่งเท่านั้น เขาสามารถรวบรวมร่างแปรได้ภายในความนึกคิดเดียว เช่นนั้นร่างจริงจะต้องอยู่ในบริเวณใกล้ๆ เป็นแน่
เรื่องราวที่แท้จริงก็เป็นเช่นนี้ ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ภายในอาณาเขตของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’!แต่ศัตรูกลับมิอาจหาพบมาโดยตลอด
“จะต้องหาเขาให้พบ มิฉะนั้นถึงจะสังหารร่างแปรไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” หัวหน้าใหญ่เองก็วุ่นวายใจยิ่งนัก
“ปัง!”
หัวหน้าใหญ่ทดลองสำแดงอาณาเขตของกฎเกณฑ์ ทันใดนั้นกลางเวหาอันกว้างใหญ่ก็มีอสนีบาตสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่พลานุภาพของอสนีบาตสีดำเหล่านี้กลับมิอาจเทียบได้กับ‘สายฟ้าสีเขียว’ เพียงเส้นเดียว แต่ชนะในด้านของจำนวนที่มากกว่า และอาณาบริเวณที่กว้างกว่า กวาดไปอย่างป่าเถื่อน กระทั่งจู่โจมเข้าสู่ภายในของฟ้าดินโลกเทียม
แต่กวาดไปรอบหนึ่งแล้ว หัวหน้าใหญ่ก็ยังมิอาจค้นพบความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเดิม
“หาอย่างไร ที่แท้แล้วเขาไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่ เขาควรจะซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนักหรอก” หัวหน้าใหญ่ทวีความอมทุกข์ยิ่งขึ้น
เขามิใช่ระบบ‘ทิพย์’ ที่ศึกษาหมื่นสรรพสิ่งเหล่านั้น และมิใช่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่มีวิธีการอันลึกลับเป็นที่สุด แล้วก็มิใช่ระบบที่มีความพิเศษอย่างระบบผู้ท่องอากาศ เขาบำเพ็ญระบบที่ง่ายดายที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด…ระบบเหล่ากลืนกิน ระบบเช่นนี้ก็จะกลืนกินอย่างต่อเนื่องแล้วทำให้ร่างของตนแข็งแกร่งขึ้น แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็เห็นได้ชัดเจนว่าการต่อสู้ออกจะโง่เง่ากว่ามาก
อยากจะหาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงที่เร้นกายอยู่ในความมืดนั้น ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว!
ฟ้าดินโลกเทียม การหลบหลีกในอากาศ ผนวกกับป้ายสัญลักษณ์เร้นกายของศิษย์อาภรณ์ทอง สามวิธีการใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่มีความลึกลับกว่ามากมาเอง ก็ไม่สามารถหาตัวศิษย์ของตนพบได้
……
เขาหาไม่พบ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหมกมุ่นอยู่กับการตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา ผ่านเวลาหยั่งรู้มาเนิ่นนานกว่าห้าสิบล้านปี ท่ามกลางการต่อสู้สนามจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ย่อมรู้กระจ่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้สนามจริงสามารถพิสูจน์ผลสำเร็จของการต่อสู้ได้เป็นอย่างมาก! ถ้าหากหมกมุ่นกับการหยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะกินเวลาสิบล้านปี จึงค่อยๆ หยั่งรู้ได้สำเร็จทีละน้อย แต่หากผนวกรวมการหยั่งรู้และการต่อสู้สนามจริงเข้าด้วยกัน ผลสำเร็จก็จะรวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก!
“พี่ใหญ่ พลังยุทธ์ของผู้ปกครองผู้นี้กำลังยกระดับขึ้น” สิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์สามตาคำรามด้วยเสียงดังสนั่น บนผิวกายเขามีรูขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดสามรู “ท่านลงมือให้เร็วสักหน่อยเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแทงหอกออกไปคราหนึ่งก็สามารถควบคุมทั้งสามรูนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าจวนจะเข้าถึงกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้ที่เขาเผชิญหน้ากับหัวหน้ารองและหัวหน้าสาม กลับมิได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย
“ไม่หาร่างจริงของเขาออกมา ถึงจะสังหารร่างแปรไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” หัวหน้าใหญ่กลับเอ่ยอย่างเย็นชา พูดแล้วสองตาของเขาก็กวาดมองปราดหนึ่ง สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งก็มุ่งโจมตีไปทางร่างแปรร่างนี้ในทันใด แต่คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสำแดงวิชาหอกออกมาต้านทาน
หอกยาวหมุนติ้วๆ แฝงไว้ด้วยความลึกลับแปลกประหลาด ทิศทางที่ปลายหอกมุ่งไป แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของวิถีเข่นฆ่าอันน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด ฝืนบังคับให้สายฟ้าสีเขียวฉีกกระจายแยกออก ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวจำนวนเล็กน้อยกวาดผ่านร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดิม แต่กลับมิอาจทำให้ร่างแปรสูญสลายได้แล้ว
“พลังยุทธ์เพิ่มพูนขึ้นจริงๆ เสียด้วย” หัวหน้าใหญ่เองก็วิตกกังวลเช่นกัน
ทว่าร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกำลังใคร่ครวญถึงประสบการณ์ที่หอกทำลายอสนีบาตนั้น “วิถีเข่นฆ่าลึกล้ำขึ้นอีกหน่อยแล้ว มิอาจเผยต่อภายนอกมากเกินไปได้…” ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาจากการต่อสู้นั้นทำให้เขาปรับปรุงวิชาหอกอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกได้ว่าอยู่ห่างจากการตระหนักรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาอีกไม่มากแล้ว
…………………………………………..
ตอนที่ 10 กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หัวหน้าใหญ่ยังคงคิดวิธีตามหาร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ กระจ่างแจ้งขึ้นจากการต่อกรระหว่างหัวหน้ารองและหัวหน้าสาม ในห้วงสมองมีความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างหนึ่งขึ้นมา ในที่สุดก็รับรู้กระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาได้อย่างชัดเจน
กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกานี้ไม่มีกลิ่นควันไฟเลยแม้แต่น้อย ร้ซึ่งกลิ่นอายเข่นฆ่า สิ่งที่มีก็คือความงดงามอันทำให้คนลุ่มหลง ราวกับทุกสิ่งง่ายดายและบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรอย่างนั้น
ความงดงามจนถึงขั้นสุดพรรค์นี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลุ่มหลงอย่างลึกล้ำ เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าวิถีเข่นฆ่าซึ่งแฝงอยู่ภายในกระบี่นี้ เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ซับซ้อน แต่ก็เหมือนกับถ่านไม้ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอันน่ามหัศจรรย์แล้วกลายเป็นเพชรที่งดงามหาใดเปรียบ ‘กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา’ ซึ่งเกิดจากความเร้นลับวิถีเข่นฆ่าซึ่งไม่ซับซ้อนรวมตัวกันอย่างน่าประหลาดก็น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เช่นเดียวกัน
“นี่ก็คือระดับขั้นของบรรพชนเทียนอวี๋ ว่ากันว่ากระบี่ที่สองผลาญโลกา ขั้นผู้ปกครองก็มีโอกาสฝึกให้สำเร็จได้ แม้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณมาจนถึงบัดนี้ มีผู้ปกครองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ บรรดาศิษย์อาภรณ์ทองแต่ละคนล้วนไร้เทียมทาน แต่ต่อให้มีศาสตร์ลับวางอยู่ตรงหน้า โดยทั่วไป อย่างมากพวกเขาก็ศึกษากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาสำเร็จตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นผู้ปกครอง แต่บรรพชนเทียนอวี๋กลับสามารถคิดค้นกระบี่ที่สองซึ่งเป็นขั้นผู้ปกครองที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าขึ้นมาได้ เรียกได้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าโดยแท้
“ฟึ่บ”
หอกยาวพลิกหมุนแล้วแทงออกไป ครั้งนี้เหมือนจะพลิกหมุนไปอย่างเชื่องช้านัก แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด อันที่จริงมันกลับรวดเร็วยิ่งนัก ปลายหอก ‘แตะ’ ลงบนแผ่นอกของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำคราหนึ่งดุจดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ ทันใดนั้นก็แตะจนเกิดเป็นรูใหญ่ และรูขนาดใหญ่นี้ก็แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทางแล้วทำลายร่างของมันอย่างบ้าคลั่งอีกด้วย เมื่อทำลายไปกว่าครึ่งแล้วจึงหยุดลง ทำให้สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์สามตาซึ่งเต็มไปด้วยขนตัวนั้นประสบกับการโจมตีของร่างแปรสองร่าง ขณะเดียวกัน วิถีหอกที่เหมือนกันซึ่งเป็นเพียงแค่การ ‘แตะ’ อย่างง่ายๆ คราหนึ่งเท่านั้น ร่างกายของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์สามตากลับมีรูใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นถึงสองรู นอกจากนี้รูอันเย็นเยียบยังแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย
“ไม่” สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์สามตาตัวนี้ตะโกนด้วยความตื่นตระหนกว่า “พี่ใหญ่ ไว้ชีวิตด้วยเถิด”
“ช่วยด้วย” หัวหน้ารอง สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำไม่ต่อสู้และหนีอย่างบ้าคลั่งแทนแล้ว
พวกเขาทั้งสองล้วนคิดไม่ถึงว่า ร่างแปรที่ยังห้ำหั่นกับพวกเขาได้อย่างสูสีเมื่อครู่นี้ จู่ๆ พลังจะปะทุขึ้น แล้วกดดันพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง คาดว่าอีกไม่กี่กระบวนท่า พวกเขาก็ต้องสังเวยชีวิตแล้ว
“อะไรกัน” หัวหน้าใหญ่ที่ตามหาร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงมาโดยตลอดตกใจใหญ่ เขารีบเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเข้ามา “หยุดมือนะ!”
“ฟึ่บ”
แทงออกไปอีกหอกหนึ่ง
ในที่สุดร่างของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์สามตาที่อาการสาหัสขึ้นก็แหลกสลายลงในที่สุด ขณะที่สิ้นใจนั้น นัยน์ตาของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะถูกผู้ปกครองคนหนึ่งสังหาร! ทั้งยังเป็นเพียงร่างแปรของผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้นด้วย ทว่าเขาก็ควรตายตาหลับ เพราะผู้ที่สังหารเขานั้นเป็นถึงศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ! ทั้งยังเป็นผู้ท่องอากาศคนหนึ่งอีกด้วย!
เนื่องจากสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำเพียงแค่เผชิญกับการโจมตีของร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นหัวหน้าใหญ่จึงสามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยการเก็บเขาลงไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ชั่วขณะที่ถูกช่วยเอาไว้ได้นั้น สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำจึงคลายใจลง
กลางอากาศ
ชายหนุ่มชุดดำสามคนที่เหมือนกันทุกประการยืนอยู่กลางอากาศ รายล้อมหัวหน้าใหญ่เอาไว้
นัยน์ตาสีเหลืองเข้มของหัวหน้าใหญ่กวาดผ่านร่างแปรสามร่างตรงหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววสังหาร เขาพูดเสียงต่ำว่า “ข้าได้ยินมาตั้งนานแล้วว่ามีผู้ปกครองในตำนานบางคนที่บำเพ็ญหลายระบบควบคู่กัน บางคนถึงขั้นคารวะเข้าอยู่ในสำนักของเทพจักรวาล พวกเขาสามารถอาศัยร่างผู้ปกครองแล้วต่อสู้ข้ามขั้นมาสังหารเทพอากาศได้! แต่แค่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นเลย ครั้งนี้ได้เห็นแล้ว เพียงแค่ส่งร่างแปรมาก็สังหารเทพอากาศได้แล้ว ช่างเก่งกาจจริงๆ ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากขุมอำนาจใดหรือ เป็นโลกทิพย์ใดในห้าโลกกันแน่เล่า”
“เจ้าเดาไม่ออกรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามกลับ
“เห็นๆ กันอยู่ว่าร่างแปรนั้นอ่อนแอมาก แต่วิถีหอกพิสดารเช่นนี้และเหนี่ยวนำอานุภาพที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ขึ้นมาได้ เจ้าเป็นคนของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์หรือ” หัวหน้าใหญ่ถาม “ได้ยินมาว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ตกต่ำลงไปตั้งนานแล้ว บัดนี้ที่แข็งแกร่งที่สุดเห็นจะเป็นวังทวีสูญแห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา เจ้าเป็นคนของวังทวีสูญหรือ แต่ผู้ปกครองเช่นเจ้าคนหนึ่ง ไม่อยู่ในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่มาจนถึงแถบโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้ เหตุใดจึงล่องลอยมาไกลถึงเพียงนี้เล่า เห็นทีข้าคงจะเดาผิดไปแล้ว เจ้ามิใช่คนของวังทวีสูญ หากแต่บังเอิญได้รับมรดกที่ร้ายกาจบางอย่างของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มาโดยบังเอิญใช่หรือไม่เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “เจ้ารู้อะไรมากมายทีเดียว ยังคิดว่าเจ้าจะเข้าใจโลกทิพย์ทั้งห้าน้อยมากเสียอีก”
“เจ้าจากไปเสียเถิด ข้าจะไม่สังหารเจ้าก็ได้” หัวหน้าใหญ่พูดเสียงเย็นชา
“จากไปรึ จะไม่สังหารข้ารึ ทำไมกัน เจ้าหาร่างจริงของข้าพบได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มหยัน “หาร่างจริงของข้ายังไม่พบเลย ก็อย่ามาพูดว่าจะไม่สังหารข้าอะไรนั่น ยิ่งไปกว่านั้นลำพังแค่ร่างแปรสามร่างของข้า เกรงว่าเจ้าก็คงจะสังหารไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”
หัวหน้าใหญ่สีหน้าเปลี่ยนแปรไป
“รับความตายเสียเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะเย็นชาคราหนึ่ง ร่างแปรสามร่างลงมือพร้อมกัน
เขาไม่มีทางไว้น้ำใจเด็ดขาด
ครั้งนี้หัวหน้าใหญ่ได้รับการเหยียดหยามมากมายเช่นนี้ แม้แต่หัวหน้าสามก็ยังสู้จนตัวตาย หากตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปเช่นนี้ หัวหน้าใหญ่ระบายโทสะคราหนึ่ง สิ่งมีชีวิตภายในดินแดนอลหม่านแห่งนี้ก็คงประสบภัยไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่! ดังนั้นแน่นอนว่าตนจึงต้องลงมือถอนรากถอนโคนเสีย!
……
ทั้งสองฝ่ายพลันประมือกันขึ้นมา
ร่างแปรสามร่างท่องไปในฟ้าดินโลกเทียม เข้าล้อมโจมตีหัวหน้าใหญ่ หอกยาวหลายเล่มโจมตีเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดหัวหน้าใหญ่ก็สยายปีกสีทองของเขา ก่อนจะกลายเป็นสายฟ้าอันเลือนรางสายหนึ่ง ความเร็วสูงยิ่งนัก อานุภาพในการพัดกระพือของปีกก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ขนสีทองแต่ละเส้นเหนือปีกของเขาล้วนคมกริบและทนทานประหนึ่งปลายกริชอย่างไรอย่างนั้น! เคร้งๆๆ…
หอกยาวแทงลงบนปีก ทิ้งไว้เพียงจุดสีขาวเท่านั้น มิอาจแทงทะลุได้เลย
“ส่วนท้องของเขาอ่อนแอกว่ามากทีเดียว” ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังร่วมมือกันล้อมโจมตี
ทางด้านหัวหน้าใหญ่ก็ปลดปล่อยบริเวณออกมากดดันทั่วสารทิศ บางครั้งก็ปล่อยสายฟ้าสีเขียวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ปีกและกรงเล็บโจมตีเข้ามาหลายต่อหลายครั้ง และถึงขั้นทำให้ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรมิได้ ปีกของมันแค่ประสานกันเล็กน้อยก็สามารถป้องกันส่วนท้องของมันเอาไว้ได้แล้ว
“พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าหัวหน้ารองและหัวหน้าสามมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังหรือความเร็วหรือการป้องกันก็ล้วนร้ายกาจกว่าทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังคงรู้สึกว่าโชคดี
เคราะห์ดีที่เป็นเพียงเหล่ากลืนกินซึ่งรู้จักแต่อาศัยความสามารถพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
หากเป็นเทพอากาศจำพวกความเร้นลับของกฎเกณฑ์ บริเวณกฎเกณฑ์ก็จะน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะพวกเขาอาศัยกฎเกณฑ์ในการสำเร็จเป็นเทพอากาศ บริเวณกฎเกณฑ์ของพวกเขา…ก็จะใช้กฎเกณฑ์ที่พวกเขาเชี่ยวชาญที่สุดเป็นตัวกำหนด! วิธีการต่อสู้ก็จะพิสดารกว่ามากทีเดียว
ส่วนเหล่ากลืนกินน่ะหรือ ยังโง่เง่ากว่าพวกต่อสู้อย่างลัทธิจอมมารดาเสียอีก
ดังนั้นแม้ว่าจะทำร้ายฝ่ายตรงข้ามมิได้ในชั่วพริบตา แต่การป้องกันตนเองของร่างแปรทั้งสามกลับไร้ข้อบกพร่อง เนื่องจากการโจมตีของอีกฝ่ายตรงไปตรงมามากเกินไป ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถแก้ไขไปทีละเปลาะได้อย่างง่ายดาย
“สมควรตาย”
“ไยจึงมิอาจฆ่าเขาให้ตายได้ แม้แต่ร่างแปรทั้งสามของเขาก็ยังฆ่าไม่ได้เสียที” หัวหน้าใหญ่ร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว เขาโจมตีอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ อานุภาพยิ่งใหญ่โหมซัด เห็นๆ กันอยู่ว่าร่างแปรทั้งสามของมนุษย์ตรงหน้าผู้นี้มีร่างกายที่อ่อนแอมาก แต่วิถีหอกกลับพิสดารอย่างยิ่ง แต่ละหอกล้วนสามารถจัดการสายฟ้าของเขาได้อย่างง่ายดาย แล้วถ่ายเทพลังกวาดล้างของปีกเขาออกไป…
“ฟึ่บ!”
นี่คือหอกยาวด้ามไม้สีม่วงเข้มเล่มหนึ่ง บนด้ามหอกมีลวดลายที่ดูเหมือนจะธรรมดามากอยู่ ทว่าท้ายที่สุดชวดลายเหล่านี้ก็ไปรวมตัวกันตรงปลายหอก นอกจากนี้ทั้งหอกยาวยังมีประกายสีดำเป็นมันชั้นหนึ่งไหลเวียนอยู่ ซึ่งก็คือเกราะพลนั่นเอง
ปลายหอกแทงออกไปจากกลางอากาศประหนึ่งแมลงปอแตะผิวน้ำ และดุจดั่งจุมพิตของคู่รัก หัวหน้าใหญ่รีบสยายปีกออกไปสกัดกั้นอย่างรู้ตัว แต่ปลายหอกก็ยังคงแทงทะลุปีกสีทองนั้นมาและแทงเข้าสู่ส่วนท้องของเขา ก่อนจะทะลุร่างกายไป
เก็บหอกโดยพลัน
หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สลายหายไปอย่างสิ้นเชิงราวกับไม่เคยลงมือมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“ร่างจริง ร่างจริงของเขา” ดวงตาของหัวหน้าใหญ่เบิกกว้างจนแทบถลน พลางมองไปด้านหลังด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม แต่ให้อย่างไรก็หาไม่พบอีกแล้ว
“อ๊าก” รูใหญ่ที่แทงทะลุปีกและร่างกายของเขากลับแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วและกัดกินพลังชีวิตของเขา ทำให้เขาเผยสีหน้าร้อนรนใจออกมา เขาสัมผัสได้ว่าความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ “มิได้ว่ากันว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือกฎเกณฑ์ จนร่างจริงและร่างแปรของพวกเขามีความแตกต่างกันมากมายอย่างยิ่งหรอกหรือ เหตุใด เหตุใดคนผู้นี้…แตกต่างกันแค่นี้เองหรือ”
เพียงพอจะเทียบกับพละกำลังของเทพอากาศทั่วไปได้แล้ว!
เป็นเกราะพลที่มีพละกำลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่น!
บวกกับอาวุธเทพอากาศเล่มหนึ่งซึ่งมีเพียงศิษย์อาภรณ์ทองเท่านั้นจึงจะได้มา แล้วผสานกับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาในท้ายที่สุด! อานุภาพจึงย่อมเหนือกว่าร่างแปรมากเป็นธรรมดา
“ไม่”
เขาเคลื่อนที่ในอากาศหมายจะรุดหนีไป
“ฟึ่บ” เขาเคลื่อนที่ในอากาศตามสัญชาตญาณล้วนๆ ไหนเลยจะสู้ผู้ท่องอากาศซึ่งเข้าถึงวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบได้ หอกยาวแทงถูกร่างของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็แทงออกไปอีกหอกหนึ่งอย่างไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย
เพียงสามหอกเท่านั้น!
หัวหน้าใหญ่ที่หมายจะรุดหนีไปก็ทรุดร่วงลงไป ร่างกายของเขาประสบกับการกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว เขาเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมาพลางมองไกลออกไปด้านหลัง ขณะนี้กลางอากาศไกลออกไปมีชายหนุ่มในชุดขาวพลิ้วไสวซึ่งในมือถือหอกยาวสีม่วงเข้มเล่มหนึ่งเอาไว้เดินออกมา ดวงตาของเขาเยียบเย็นหาใดเปรียบ ส่วนร่างแปรสามร่างโดยรอบก็สลายหายไปทันที
“ร่างจริง ในที่สุดก็เห็นร่างจริงของเจ้าแล้ว บอกข้ามาสิว่าที่แท้แล้วเจ้ามาจากที่ใดกันแน่” ร่างกายของหัวหน้าใหญ่ถูกกัดกินไปอย่างรวดเร็ว เขาถูกกัดกินไปจนถึงศีรษะแล้ว เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างกายก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้นแล้ว
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ
น่าเสียดายที่หัวหน้าใหญ่ไม่ได้ยิน
…………………………………..
ตอนที่ 11 การต่อสู้ระหว่างทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หัวหน้าใหญ่สิ้นใจไปแล้ว วัตถุต่างๆ ที่หัวหน้าใหญ่ทิ้งไว้ล่องลอยอยู่รอบด้าน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันได้เก็บลงไป เงาดำสายหนึ่งก็พลันทะยานออกมาจากหนึ่งในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จากนั้นก็หนีอย่างสุดชีวิต นั่นก็คือ ‘สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำ’ หัวหน้ารองก่อนหน้านี้นั่นเอง
“หนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก้าวออกไปก้าวหนึ่ง แล้วก็หลบหลีกในอากาศไล่ตามไป เพียงส่งหอกยาวในมือออกไป ฟึ่บ ไม่ว่าจะพูดถึงการหลบหลีกในอากาศหรือว่าความพิสดารของวิถีหอก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่ากลืนกินพวกนี้อยู่ลิบลับ
“ไม่ ไม่…” สัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำเปล่งเสียงคำรามอย่างไม่ยอมจำนนออกมา แต่ร่างกายของเขากลับประสบกับการทำลายล้างอย่างง่ายดาย ใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมก็พลันแหลกสลายเป็นผุยผงไปในพริบตา แล้วทิ้งวัตถุต่างๆ เอาไว้จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งเห็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นอาหารเหล่านี้ เขาไม่รู้สึกสงสารเลยสักนิด! อันที่จริงหากพูดจากก้นบึ้งหัวใจแล้วล่ะก็ ตอนที่เขาเพิ่งจากบ้านเกิดมา ก็ยังรู้สึกดีต่อสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเป็นอย่างมาก เพราะบรรพชนของผู้ท่องอากาศก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็น ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ หรือว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่มีทางไว้น้ำใจพวกที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตตามอำเภอใจอย่างหัวหน้าใหญ่เป็นอันขาด
เขาพลิกมือแล้วเก็บวัตถุต่างๆ ลงไปจนหมดแล้วหลอมแปรสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์และที่เก็บวัตถุบางอย่างดูเพื่อตรวจสอบ
“พกสมบัติล้ำค่าติดตัวจริงๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ก่อนหน้านี้ตอนที่ตรวจสอบดูนั้น เขาเคยให้วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำตรวจดูหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกันนั้นมาก่อน ก็มิได้พบสมบัติล้ำค่าที่ร้ายกาจแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าทั้งสามไม่เชื่อใจบ่าวรับใช้ของพวกเขา สิ่งที่สำคัญจึงต้องพกติดตัวเอาไว้
“วัตถุส่งสารหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบป้ายสีทองอันน่าพิศวงออกมา คิ้วขมวดเล็กน้อย “จะส่งสารผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นยากมาก ยิ่งระยะห่างมากก็ยิ่งยาก เขาคงจะทำได้เพียงส่งสารให้ดินแดนอลหม่านบางแห่งที่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าข้าถูกเปิดโปงไปแล้วหรือยัง”
“ได้อะไรมาไม่น้อยเลยจริงๆ วัตถุพิเศษมากมายถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา หากพูดกันอย่างจริงจังแล้ว เขาก็ยังนับว่าค่อนข้าง ‘ยากจน’ สมบัติล้ำค่าบนร่างของเขามีได้ก็เพราะฐานะศิษย์อาภรณ์ทองและฐานะของผู้ท่องอากาศซึ่งล้วนสำคัญอย่างยิ่ง มิอาจทำการแลกเปลี่ยนได้
ตอนที่เขาเพิ่งจากบ้านเกิดมานั้น สิ่งที่เคยสั่งสมมาก็ได้ทิ้งเอาไว้ให้จิ้งชิว อวี้เอ๋อร์และชิงเหยาแทบจะทั้งหมด ครั้งนี้สังหารเทพอากาศสามท่านก็ได้อะไรมายกใหญ่ ทั้งวัตถุประหลาดพิสดารต่างๆ อาวุธ สมบัติล้ำค่าและหุ่นเชิดก็ล้วนมีไม่น้อย น่าเสียดายที่เขามิได้ค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่งเช่นเดียวกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต สำหรับเขาแล้ว วัตถุพวกนี้ก็แค่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเท่านั้น
“สมบัติล้ำค่ายิ่งมากก็ยิ่งดี ในภายหน้าจะได้ใช้แลกเปลี่ยนเพื่อช่วยเหลือพวกจิ้งชิวได้” บนใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา
……
เพียงชั่วหนึ่งจอกชาให้หลัง
ณ กลางอากาศ
ผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ของดินแดนจอมละโมบรวมตัวกันอยู่ที่นี่ นำโดยผู้ปกครองห้าท่านที่ได้รับการปลดปล่อยออกมา ยังมีผู้เคารพและสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป รวมทั้งเทพโลกาอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาต่างก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ พลางมองไปยังผู้ที่ช่วยเหลือทั้งแผ่นดินอลหม่านของพวกเขาด้วยความซาบซึ้งใจ
“ผู้อาวุโสช่วยชีวิตพวกเราจำนวนนับไม่ถ้วนในแผ่นดินนี้เอาไว้ ตอนนี้พวกเรายังไม่ทราบนามของท่านผู้อาวุโสเลย” ผู้ปกครองชุดดำร่างผอมซูบซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งเอ่ยอย่างซาบซึ้งด้วยความเคารพ
“ข้ามีนามว่าตงป๋อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
“ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ผู้ปกครอง ผู้เคารพ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่และเทพโลกาเหล่านี้ล้วนเรียกขานโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนต่างโค้งคำนับด้วยความเคารพ การคำนับนี้ ข้อแรกก็เพราะพลัง ข้อที่สองก็ด้วยความซาบซึ้งใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะคลายใจได้ พวกเจ้าควรจะเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ นอกจากที่ข้าสังหารไปกลุ่มหนึ่งแล้ว ในแผ่นดินอลหม่านอื่นๆ ก็มีเช่นกัน หากข่าวที่นี่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกไป ดินแดนจอมละโมบก็น่าจะปลอดภัยไปค่อนข้างนานทีเดียว แต่หากเปิดเผยออกไปแล้ว ก็อาจจะมีอันตรายได้ ข้าจะลอบปกป้องพวกเจ้าอย่างลับๆ เป็นเวลาแสนปี หากภายในแสนปีไม่พบศัตรู ข้าก็จะจากไป”
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็ซาบซึ้งใจเหลือแสน
ผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้ช่วยพวกเขาเอาไว้ก็ด้วยวาสนาต่อกันล้วนๆ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยผูกสัมพันธ์กันมาก่อน เขายินดีปกป้องอย่างลับๆ เป็นเวลาแสนปีก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
“สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ก็มีเท่านี้เอง จากนี้ไปชะตาชีวิตของพวกเจ้าก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย พูดจบเขาก็หมุนกายไปแล้วก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะทะลุอากาศไปถึงส่วนที่สูงที่สุดของแผ่นดินอลหม่าน เขาทะลุผ่านสิ่งกีดขวางไป แล้วเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล
ขณะที่ชนพื้นเมืองเหล่านี้มองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงจากไป ในใจก็รู้สึกซับซ้อนนัก
ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมา…พวกเขาล้วนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองไม่เห็นความหวัง แต่ผู้อาวุโสตงป๋อที่ไร้เทียมทานซึ่งเป็นเพียงผู้ปกครองคนนี้ มาจากท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่กลับสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหมดซึ่งรวมถึงเทพอากาศสามท่านด้วยกำลังของตัวคนเดียวได้
“ผู้อาวุโสตงป๋อมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อดินแดนจอมละโมบของพวกเรา ทุกท่านจงจำเอาไว้ให้มั่น”ผู้ปกครองชุดดำร่างผอมซูบกล่าว
“ต้องจำเอาไว้แน่นอนอยู่แล้ว”
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ไม่มีทางลืมวันนี้ไปได้ตลอดกาล
ตำนานเรื่องผู้อาวุโสตงป๋อก็ถูกเล่าขานกันปากต่อปากภายในดินแดนจอมละโมบแห่งนี้ ถึงขั้นนานแสนนานหลังจากนั้น ดินแดนจอมละโมบแห่งนี้ก็ได้มีผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้วเขาก็ได้ไปเยี่ยมคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยเหตุนี้ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนั้นนานมากทีเดียว
*******
นอกดินแดนอลหม่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านพลางอาศัยการสัมผัสรับรู้อากาศแผ่คลุมไปรอบแผ่นดินอลหม่าน
“ตามพิกัดตำแหน่งในแผนที่อากาศ หากแผ่นดินอลหม่านที่อยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุดได้รับข่าวแล้วเร่งมาที่นี่ก็คงจะสามารถมาถึงได้ในเวลาสามหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หากมีใครเร่งมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ปกป้องเป็นเวลาแสนปีก็เพียงพอแล้ว ถึงอย่างไรตนก็มิอาจปกป้องที่นี่ไปตลอดกาลได้
ทุกสิ่งทำตามใจ ทำสิ่งที่ตนควรทำ
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสัมผัสรับรู้อากาศนั้น ก็หลับตาเพื่อบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ไปด้วย
ตามคำชี้แนะที่บรรพชนเทียนอวี๋ทิ้งเอาไว้ให้ การบำเพ็ญทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นต้องรับรู้ศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หรือถึงขั้นคิดค้นศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งอย่างมากขึ้นมาเอง! แล้วใฝ่หาขั้นสุดอย่างไม่หยุดหย่อน การเข้าใจความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งลึกล้ำขึ้น เมื่อการสั่งสมลึกล้ำพอแล้ว การบรรลุก็สำเร็จไปเกือบหมดแล้ว
การฝึกกระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาได้สำเร็จนั้นทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง และยังรู้จักการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากขึ้น ขณะที่เขาชมดูภาพค่ายกลชั้นที่ยี่สิบเอ็ดของวิชาลับผู้ท่องนั้น ที่ผ่านมาเขาแทบจะมองไม่ออกเลย ตอนนี้กลับพบว่ามีหลายแห่งที่พอจะดูแล้วเข้าใจได้
แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นการยกระดับขั้นขึ้นอย่างช้าๆ
“ข้ารู้ตัวดี จึงไม่กล้าคิดที่จะคิดค้นศาสตร์ลับวิถีเข่นฆ่าที่แข็งแกร่งกว่ากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ทว่ากลับสามารถนำความเร้นลับของวิถีระลอกคลื่นไปเสริมกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาได้”
“อื้ม เริ่มต้นเถิด”
ปรัชญาคลื่นลมก็คือศาสตร์ลับซึ่งเป็นการผสานกันระหว่างวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาเอง
กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาสูงส่งเหลือเกิน!
สมบูรณ์แบบเสียจนไม่มีจุดให้แก้ไขอีกแล้ว! ทว่าวิถีระลอกคลื่นนั้นก็ใช้เพื่อส่งเสริม ‘เติมแต่งลวดลายบนแพรไหม’ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าก็ยังสามารถลองดูได้ เพียงแต่อันที่จริงการเสริมก็ยากมากทีเดียว เพราะหากไม่ถูกต้องเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นการ ‘วาดงูเติมขา’ ซึ่งเกินจำเป็นไปเสีย ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นยอดฝีมือผู้คิดค้นปรัชญาคลื่นลมขึ้นมา จึงพอจะมีประสบการณ์อยู่แล้ว และมีความมั่นใจที่จะลองดู
……
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปแสนปีแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวซึ่งอารักขาอยู่นอกดินแดนอลหม่านเปิดเปลือกตาขึ้น เขาไม่พบผู้ที่มาลอบโจมตีแต่อย่างใด
“ควรไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแผ่นดินอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลด้านหลังแห่งนี้ จากนั้นก็หลบหลีกในอากาศจากไปอย่างเงียบๆ
เขาเร่งหลบหลีกในอากาศไปเป็นระยะเวลายาวนาน
หกพันกว่าปีให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นดินแดนอลหม่านอีกแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คงจะถูกสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศครอบครอง” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่กลืนกินและกวาดล้างสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ล้วนสมควรตายทั้งสิ้น การประมือกับพวกเขาก็นับว่าเป็นการเคี่ยวกรำกระมัง”
สวบ สวบ สวบ
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามร่างก็ปรากฏขึ้น แต่ละร่างต่างก็พกเกราะพลมาด้วย พลางทะยานตรงไปทางดินแดนอลหม่านแห่งนี้พร้อมกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โง่เง่าจนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของศัตรู เขาจึงย่อมต้องส่งร่างแปรออกไปบุกสังหารเป็นธรรมดา แต่หากข้างในมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอยู่จริง เช่นนั้นร่างจริงของตนก็จะหนีออกไปไกลลิบท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ทว่าตามที่คาดการณ์เอาไว้ โอกาสที่จะพบสิ่งมีชีวิตระดับ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ นั้นค่อนข้างต่ำ
……………………………………………
ตอนที่ 12 ข้ามีนามว่าหลัวไห่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่ร่อนลงบนแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงฟ้าดินโลกเทียมแล้วหลบไปไกลลิบอย่างรวดเร็ว
“ระลอกคลื่น…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำสามคนยืนอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างส่งถ่ายออกมาแล้วแผ่คลุมไปทั่วทุกบริเวณของแผ่นดินอลหม่านอย่างรวดเร็ว ร่างจริงนั้นผ่านการหล่อหลอมของอากาศอันสับสนอลหม่าน เป็นที่โปรดปรานของอากาศอันสับสนอลหม่าน ส่วนร่างแปรเป็นเพียงพละกำลังของฟ้าดินโลกเทียมที่รวมตัวกันแล้วก่อร่างขึ้นมาเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วการควบคุมอากาศก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว ยามนี้หากพูดถึงการตรวจสอบเป็นวงกว้างแล้ว ‘วิถีระลอกคลื่น’ กลับเหมาะสมเสียมากกว่า!
ทุกหนแห่งล้วนเต็มไปด้วยระลอกคลื่น
สิ่งมีชีวิตมีระลอกคลื่น ก้อนหินมีระลอกคลื่น พืชพันธุ์มีระลอกคลื่น แสงก็มีระลอกคลื่น…ระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดล้วนอยู่ในการตรวจสอบของตงป๋อเสวี่ยอิง
“มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองเก้าตน และเทพอากาศหนึ่งตน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในทันที “นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ก็ถูกพวกเขากลืนกินเป็นอาหารด้วย”
ระหว่างที่ตรวจสอบก็พบว่า บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่บ้างก็ถูกจองจำ บ้างก็กลายเป็นบ่าวรับใช้ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญ
ส่วนบรรดาเทพโลกาน่ะหรือ
ไม่มีความมุ่งมั่น ความกระหายสงครามและความสิ้นหวังเช่นนั้นอีกต่อไป ส่วนความท้อถอย ความคลุ้มคลั่งและความเกลียดชังและอื่นๆ กลับสูงเทียมฟ้า
“สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้กล้าได้อย่างไรกัน ไยจึงเหิมเกริมถึงเพียงนี้ได้” แววสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพลุ่งพล่าน เมื่อมองเห็นแววตาสิ้นหวังของสิ่งมีชีวิตซึ่งถูกขังไว้ในกรง จวนจะถูกกินอยู่รอมร่อ เพลิงโทสะของเขาก็ลุกโชนอย่างมิอาจควบคุมได้ “บรรพชนห้วงอากาศมีคำสั่งมาเนิ่นนานแล้ว วังทวีสูญ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหยากวงและอื่นๆ ก็ล้วนมีคำสั่งอันเคร่งครัด เหตุใดสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้จึงกล้ากลืนกินผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจเช่นนี้ได้เล่า”
“ฆ่ามัน!”
ร่างแปรสามร่างเคลื่อนไหวพร้อมกัน
อันที่จริงขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยวิถีระลอกคลื่นตรวจตราดูนั้น เทพอากาศผู้นั้นก็รู้ตัวบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังคงเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปโดยไม่แยแสเลยสักนิด เขารู้สึกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะสามารถจัดการเจ้าหนุ่มคนนั้นได้
แต่เพียงครู่เดียว เทพอากาศผู้นี้ก็รู้ว่าผิดไปแล้ว!
“ช่วยด้วย!”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นผู้ปกครองใต้บังคับบัญชาทั้งเก้าคนของเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเอาไว้ได้ทัน นอกจากนี้สุดท้ายยังถูกสังหารอีกด้วย
“สามารถแปรเป็นหลายร่างลูกแล้วเอาชีวิตรอดได้ด้วยหรือนี่” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเพียงตนเดียวซึ่งสามารถช่วยไว้ได้ทันนั้นมีรูปร่างเหมือนรังนกที่ค่อนข้างพิเศษ เขาสามารถแยกร่างออกเป็นหมื่นร่างได้ ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงบริเวณการเข่นฆ่าออกมา! ด้วยความเข้าใจวิถีเข่นฆ่าของเขาในตอนนี้ บริเวณการเข่นฆ่าก็ได้บรรลุไปบ้างแล้ว การสังหารร่างลูกที่ค่อนข้างอ่อนแอนั้นสามารถกวาดล้างได้ในชั่วพริบตา
ฟิ้วๆๆ
จากนั้นร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะลุผ่านอากาศตรงมาถึงหน้าวังของเทพอากาศท่านนั้น
วังสีทองโดดเด่นพร่างพรายตา
สัตว์ประหลาดสี่เท้าผมขาวขนขาวตนหนึ่งเดินออกมาจากประตูวัง ขนของเขาขาวพิศุทธิ์นัก กรงเล็บเท้าย่ำอากาศเข้ามาก้าวแล้วก้าวเล่า ดวงตาสีทองคู่หนึ่งมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้ามิได้เห็นผู้ปกครองตัวเล็กๆ อย่างเจ้าเป็นภัยคุกคาม แต่เจ้ากลับสามารถสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งเก้าคนของข้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว”
“ต่อไปเป็นตาเจ้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“เช่นนั้นหรือ” สัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวสัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวพูดเสียงเย็นชา “พวกเขาจะตายก็ตายไปเถิด ได้พบขั้นผู้ปกครองที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นเจ้าคนหนึ่งท่ามกลางคืนวันที่น่าเบื่อเช่นนี้ ก็นับว่าน่าสนใจดี”
“พูดจาไร้สาระมากเกินไปเสียจริง รับความตายเสียเถอะ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามคนก็หายวับเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมพร้อมกัน หมายจะลอบโจมตีประชิดตัว
สัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวกลับยิ้มเย็นพลางพูดว่า “คุกเพลิง!”
ฟิ้วววว…
รอบบริเวณอันกว้างขวางหาใดเปรียบพลันมีเปลวเพลิงปะทุขึ้น เปลวเพลิงลูกแล้วลูกเล่าล้วนแต่เป็นสีฟ้าราวกับบุปผา ดอกเพลิงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมได้อย่างง่ายดาย และโอบล้อมร่างแปรทั้งสามร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ร่างแปรทั้งสามร่างล้วนแต่สำแดงวิถีหอกออกมา เมื่อสำแดงกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาออกมา แคว่กกก…มันทำให้เปลวเพลิงสีฟ้าโดยรอบที่เข้ามาโจมตีแตกกระจายไป
ทว่ากลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งแทรกซึมเข้าไป พละกำลังเช่นนี้เย็นเยียบจนถึงขีดสุด แต่หลังจากเข้าไปในกายแล้ว กลับกลายเป็นร้อนระอุถึงขีดสุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามร่างสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่
ร่างแปรของเขาสั่นสะท้านไปหมด จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงเสียงดังฟึ่บๆๆ
“อยู่ไหนน่ะ ร่างจริงของเขาอยู่ที่ใดกัน” ดวงตาสีทองของสัตว์ประหลาดสี่เท้าขนสีขาวกวาดมองรอบด้าน ขณะเดียวกันระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็พลันกวาดผ่านทั้งแผ่นดินอลหม่าน และยังมุ่งไปตรวจตราอากาศอันสับสนอลหม่านอีกด้วย แต่กลับตรวจไม่พบเลย
……
สวบ
เดิมทีร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หนีห่างไปไกลยิ่งนักอยู่แล้ว เมื่อพบว่าร่างแปรสู้จนตัวตาย ก็รีบเคลื่อนที่ในอากาศหลบหนีไปอย่างรวดเร็วในทันที
“บริเวณกฎเกณฑ์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “เขาไม่ได้อยู่ในระบบการบำเพ็ญของเหล่ากลืนกินอย่างแน่นอน น่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญอื่นๆ เขาทำให้บริเวณกฎเกณฑ์สมบูรณ์ได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ ระดับขั้นเช่นนี้น่าจะเป็นระดับยอดสุดของขั้นกำเนิดอากาศแล้ว จวนจะเข้าใกล้ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วกระมัง”
ภายในบริเวณกฎเกณฑ์ พูดคำไหน คำนั้นก็กลายเป็นกฎ สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้
เช่นจะกำหนดกฎเกณฑ์ว่า…สิ่งมีชีวิตที่ข้าปรารถนาจะสังหารต้องตายหมดในทันที!
อย่างสถานที่แรกเริ่มในจักรวาลบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีการกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ทำให้ทุกผู้ที่เข้าไปจะต้องเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั้งหมดทันที! แน่นอนว่า ‘จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ’ มีพลังแข็งแกร่งพอ สามารถฝืนต้านทานกฎเกณฑ์นี้ได้
นี่ก็คือพละกำลังของกฎเกณฑ์
แน่นอนว่ากฎเกณฑ์มิได้กำหนดมั่วซั่วตามอำเภอใจ ผู้บำเพ็ญต้องเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งค่อนข้างมากเสียก่อน ด้านเปลวเพลิงของเทพอากาศตนนี้ประสบผลสำเร็จสูงยิ่งนัก จึงสามารถทำให้ ‘บริเวณกฎเกณฑ์’ บรรลุถึงระดับขั้นสูงส่งเช่นนี้ได้ สิ่งมีชีวิต ‘ขั้นอลวน’ ในตำนานนั้น บริเวณกฎเกณฑ์ของพวกเขาถึงขั้นสามารถแปรเป็นจักรวาลขนาดเล็กอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งได้เลยทีเดียว
บริเวณก็คือจักรวาลขนาดเล็ก
ภายในจักรวาลขนาดเล็กมีดวงดารา มีท้องฟ้า มีสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกฎเกณฑ์ที่พวกเขากำหนดขึ้นด้วย! ผู้ที่ทนรับกฎเกณฑ์ไม่ไหว เกรงว่าคงจะต้องตายไปในทันทีอย่างแน่นอน
“ร่างจริงของข้าค่อนข้างแข็งแกร่ง ความสามารถในการรักษาชีวิตก็แข็งแกร่งเช่นกัน คาดว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่เมื่อได้รับการกดดันจากบริเวณกฎเกณฑ์ เกรงว่าพลังของข้าคงจะสำแดงออกมาได้เพียงสามสี่ส่วนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากประมือเลย เพราะความแตกต่างค่อนข้างชัดเจนนัก
ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ
ต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ ก็แค่ผู้ปกครองข้ามขั้นไปห้ำหั่นเทพอากาศทั่วไปเท่านั้น
หากพบเทพอากาศขั้นกำเนิดซึ่งร้ายกาจอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว! นอกเสียจากจะรู้แจ้งกระบี่ที่สองผลาญโลกาซึ่งซับซ้อนและพิสดารกว่านับร้อยเท่าได้ แต่ความยากของกระบี่ที่สองผลาญโลกานี้ เทพอากาศขั้นกำเนิดบางคนก็ยังมิอาจรู้แจ้งได้ ในประวัติศาสตร์ของวังทวีสูญ ก็มีผู้ปกครองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ จะเห็นได้ว่ายากเย็นเพียงใด!
******
ศึกนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่า ตอนนี้เขาก็แค่รังแกเทพอากาศทั่วไปหรือเทพอากาศที่ค่อนข้างทึ่มทื่อในด้านการต่อสู้ได้บ้างเท่านั้น หากพบผู้ที่ร้ายกาจเข้าหน่อยก็ยุ่งยากแล้ว
เส้นทางต่อจากนั้นก็ได้พิสูจน์ทั้งหมดนี้
คืนวันต่อจากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เร่งเดินทางและบำเพ็ญต่อไป จากนั้นก็ส่งร่างแปรบุกเข้าไปในแผ่นดินอลหม่านเพื่อทำการต่อสู้ และได้สังหารเทพอากาศไปหลายตน ทว่าเหมือนพวกเขาจะค่อยๆ ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน เทพอากาศเริ่มหลบซ่อนตัว ไม่อยู่ในดินแดนอลหม่านอีกต่อไปแล้ว
ผู้ที่ยังคงอยู่ในแผ่นดินอลหม่านต่อไปนั้น ล้วนค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังเคยพบกับ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ เข้าตนหนึ่ง ร่างแปรของตนเพิ่งจะร่อนลงไป บริเวณกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็ร่อนลงมา และเขาก็ถูกจับทั้งเป็นเสียแล้ว! เคราะห์ดีที่เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น เพียงชั่วความคิดเดียว ร่างแปรก็สลายหายไปแล้ว ตนมีคัมภีร์รัศมีเทพและวิชาลับผู้ท่องคอยป้องกันจึงสามารถต้านทานการโจมตีวิญญาณผ่านร่างแปรของอีกฝ่ายเอาไว้ได้
“น่ากลัวนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมา ยอดฝีมือขั้นกำเนิดอากาศมิใช่ผู้ที่ตนจะสามารถต่อกรได้ ส่วนขั้นรวมเป็นหนึ่ง…ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
……
เวลาล่วงเลยไป เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามล้านกว่าปีแล้ว เนื่องจากทุกครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ส่งร่างแปรเข้าไป แล้วตนเองก็อาศัยป้ายอักขระรักษาชีวิตหลบอยู่ห่างๆ จึงมิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น ทว่าชื่อเสียงของเขาก็เริ่มเลื่องลือออกไปทั่วขุมอำนาจในแผ่นดินอลหม่านเหล่านี้
“เจ้าก็คือเจ้าหนุ่มผู้บำเพ็ญที่กล้าใช้แค่ร่างแปรต่อสู้น่ะหรือ” กลางฟากฟ้าเหนือแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำสามคนกำลังล้อมโจมตีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างมนุษย์ตนหนึ่งอยู่ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างมนุษย์ตนนั้นมีลักษณะเป็นบุรุษเกราะสีเขียว ผิวหนังสีดำ การควบคุมอากาศของเขาไม่แพ้ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงเลยแม้แต่น้อย
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างมนุษย์ตนนี้มิอาจสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงได้ในชั่วพริบตา แต่ร่างแปรทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจทำร้ายเขาได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับห้ำหั่นอย่างสุขสันต์
“เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีคนหนึ่ง สามารถเคี่ยวกรำวิถีหอกทั้งหลายของข้าได้” ร่างแปรทั้งสามล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าสังหารข้าไม่ได้หรอก แม้แต่เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งจะสังหารข้าก็ยากนัก” บุรุษผิวดำผู้สวมเกราะสีเขียวตนนี้ก็ยินดีต่อสู้ด้วย เขาซึมซับประสบการณ์จากการต่อสู้อันพิสดารกับผู้ปกครองตรงหน้า ก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน
“เจ้าหนุ่ม ไม่เลวเลย ผู้ปกครองอย่างเจ้าคนหนึ่งก็สามารถสังหารเทพอากาศได้เช่นนี้เชียวหรือ”
หลังจากเสียงก้องกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
เงาร่างสีเงินสายหนึ่งก็ร่อนลงมา
นี่คือบุรุษอาภรณ์เงินคนหนึ่งซึ่งสวมเกือกรบโลหะอันแปลกประหลาด เขาสะพายดาบรบเล่มหนึ่งเอาไว้ด้านหลัง จู่ๆ เขาก็ร่อนลงมาอย่างไร้วี่แววมาก่อนแล้วตะกายคว้ามาทางเทพอากาศเกราะสีเขียว ดูเหมือนจะเป็นการคว้าธรรมดาๆ ครั้งหนึ่ง แต่ที่น่าประหลาดก็คือบุรุษผิวดำผู้สวมเกราะสีเขียวจะหลบหลีกอย่างไรก็มิอาจหลบได้พ้น คิดจะลงมือโจมตีกลับยังคงถูกคว้าศีรษะเอาไว้
“ปัง” “ตู้ม” “ฟึ่บ” บุรุษอาภรณ์เงินอาศัยมือและเท้าทั้งคู่รุกคืบเข้ามาใกล้ บางครั้งก็กระแทกเข่าออกมา บางครั้งก็ใช้ฝ่ามือฟาดลงมาอย่างแรง บางครั้งก็ใช้ศอกถองเข้าไปอย่างแรง กระบวนท่าที่ดูเหมือนจะธรรมดากลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปกับความพิสดารของมัน การต่อสู้ของอีกฝ่ายยังพิสดารกว่ากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาเสียอีก
แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองออกว่าบุรุษอาภรณ์เงินผู้นี้เป็นเทพอากาศคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
“ฆ่าไม่ตายหรือนี่” บุรุษอาภรณ์เงินตกตะลึงอยู่บ้าง
“ฆ่าข้าให้ตายไม่ได้หรอก เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งยังยากที่จะฆ่าข้าให้ตายเลย” เทพอากาศเกราะสีเขียวคำรามเสียงต่ำ เขาก็โกรธแค้นนัก โกรธแค้นที่ตนถูกเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง ทว่าร่างกายของเขาแปลกประหลาดผิดธรรมดา ภายในร่างกายมีมิติทับซ้อนกันอยู่ ทำให้อานุภาพการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามถูกหักเหออกไปอย่างต่อเนื่อง
“ยังฝึกไม่ได้อยู่ดี ช่างเถิด” บุรุษอาภรณ์เงินชักดาบที่สะพายเอาไว้ด้านหลังออกมาทันใด
ฟิ้ว!
ประกายดาบแปลบปลาบ
รวดเร็วเกินไปแล้ว
น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำทั้งสามร่างด้านข้างต่างก็เบิกตากว้าง เขาถึงขั้นพยายามอาศัยฟ้าดินโลกเทียมรับรู้ดาบนี้ แต่มันรวดเร็วเกินไปแล้ว ความพิสดารของมันทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ แต่ก็มิใช่ว่ามิอาจไขว่คว้าได้เลย ตนเคยรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกามาก่อน แม้จะมิได้รู้แจ้ง แต่ก็พอจะเข้าใจบ้าง เขารู้สึกว่าดาบนี้น่าจะสูงส่งกว่ากระบี่ที่สองผลาญโลกาอยู่ขุมหนึ่ง
“เคร้ง” บุรุษอาภรณ์เงินจึงเสียบดาบรบกลับลงฝักด้านหลัง
“ทำให้ข้าต้องชักดาบออกมา เจ้าตายก็คุ้มค่าแล้วล่ะ” บุรุษอาภรณ์เงินหันไปมองตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนบุรุษเกราะสีเขียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังคงยิ้มเยาะ “ดาบนั้นของเจ้าไม่…” พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ร่างกายของเขาก็พลันอ่อนยวบ นัยน์ตาก็หม่นหมองลง จากนั้นเขาก็ร่วงหล่นลงไป ร่างกายของเขายังคงสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย แต่กลิ่นอายวิญญาณกลับหมดไปอย่างสิ้นเชิง สมบัติต่างๆ ก็ร่วงหล่นลงมา
บุรุษอาภรณ์เงินกวักมือคราหนึ่ง สมบัติเหล่านั้นก็ถูกเขาเก็บลงไป
“หนุ่มน้อย กล้าหาญดีนี่” บุรุษอาภรณ์เงินมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ใช่แล้ว ข้ามีนามว่าหลัวไห่”
“ข้ามีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดยิ้มๆ เขารู้สึกดีมากต่ออีกฝ่ายเช่นกัน ในที่สุดก็ได้เห็นผู้แกร่งกล้าคนอื่นลงมือกับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศพวกนี้เสียที
…………………………………….
ตอนที่ 13 เดือดแค้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หากไม่รังเกียจล่ะก็ เจ้ากับข้ามาเรียกกันเป็นพี่น้องเถิด” บุรุษอาภรณ์เงินหลัวไห่โพล่งออกมา เขามีความหยิ่งผยองจนเข้ากระดูก ด้วยนิสัยนี้นี่เอง ทำให้ตอนที่เขาท่องไปทั่วโลกภายนอกนั้นก็มักถูกผู้ที่เขาเรียกว่าเป็น ‘สหายรัก’ คิดบัญชีเป็นประจำ แต่เขาก็มิได้แยแสเรื่องนี้เลย เมื่อลอบคิดบัญชีแล้ว ก็ย่อมเป็นสหายกันต่อไปมิได้เป็นธรรมดา
“พี่หลัวไห่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเรียกขานทันที
หลัวไห่โบกมือเพื่อเก็บสมบัติที่ล่องลอยอยู่เหล่านั้นลงไป คิ้วก็ขมวดมุ่น “น้องตงป๋อ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนี้ข้าเป็นผู้สังหาร สมบัติที่ได้จากการรบชนะก็ต้องตกเป็นของข้าล่ะนะ”
“นี่เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ครั้งต่อไปหากเจ้าเป็นผู้สังหารก็จะตกเป็นของเจ้า แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแล้ว” หลัวไห่ถามต่อว่า “ใช่แล้ว นี่คงเป็นร่างแปรของเจ้ากระมัง แล้วร่างจริงของเจ้าเล่า”
“ข้ามิได้มีพลังเช่นพี่หลัวไห่ จึงมิกล้าเข้ามาในแผ่นดินอลหม่านง่ายๆ ร่างจริงยังคงอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“เจ้าช่างระวังตัวเสียจริง”
จากนั้นหลัวไห่และร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงจากแผ่นดินอลหม่านไปพร้อมกัน แล้วไปพบกับร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างนอก
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวหลัวไห่ ข้อแรกก็คือเขายินดีที่จะสังหารผู้บำเพ็ญซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ ก็ควรค่าให้เขานับถืออยู่แล้ว ข้อต่อมาก็คือสำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นกำเนิดอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมั่นใจว่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้ ศิษย์อาภรณ์ทองของวังทวีสูญมิได้ตายได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น
หลัวไห่มองเห็นร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา ผู้ปกครองคนหนึ่งยอมให้ร่างจริงมาพบเขา ก็นับว่าเชื่อใจเขามากทีเดียว
จะผูกมิตรก็ต้องดูคนด้วย
ในสายตาของหลัวไห่ ผู้ปกครองคนหนึ่งกล้าลอบโจมตีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งอย่างเห็นได้ชัดครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เขาจึงยินยอมที่จะผูกสัมพันธ์ด้วย
“เจ้า…” ทันใดนั้นหลัวไห่ก็เบิกตากว้าง เขาเพ่งพินิจตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียด “เจ้า เจ้าอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่”
เมื่อเห็นร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิง จากกลิ่นอายวิญญาณที่แผ่ออกมาข้างนอกก็พอจะประมาณระยะเวลาในการบำเพ็ญได้คร่าวๆ เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเยาว์วัยยิ่งนัก
“ขาดทุนแล้วๆ ยังคิดว่าเจ้าบำเพ็ญมาเนิ่นนานแล้วเสียอีก จึงได้เรียกขานเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้า เมื่อดูตอนนี้แล้ว เจ้าอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ แม้ผู้บำเพ็ญจะไม่ค่อยสนใจอายุสักเท่าใดนัก แต่เจ้าก็อ่อนวัยเกินไป ขาดทุนแล้วจริงๆ” หลัวไห่ร่ำร้อง
“พี่หลัวไห่บำเพ็ญมานานเท่าใดแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขามองระยะเวลาในการบำเพ็ญของหลัวไห่ไม่ออก รู้สึกเพียงว่าเลือนรางอยู่บ้าง
แม้แต่วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำก็ยังบอกเขาว่า “คนที่มีนามว่าหลัวไห่ผู้นี้ ข้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเขาเป็นขั้นกำเนิดอากาศ แต่เรื่องอื่นก็มิอาจตรวจสอบให้รู้ชัดได้แล้ว คล้ายว่าจะมีสมบัติล้ำค่าคุ้มกายอยู่”
“ข้ารึ”
หลัวไห่ลูบศีรษะพลางยิ้มอย่างลึกลับ “ข้าบำเพ็ญมานานเท่าใดแล้วหรือ ปัญหานี้ยากที่จะพูดได้จริงๆ ช่างเถิด เจ้าอย่าถามอีกเลย แม้แต่ในบรรดาเทพอากาศ อายุของข้าก็นับว่ามากแล้ว เฮ้อ ช่วยไม่ได้ มิอาจเทียบกับผู้มีพรสวรรค์เช่นพวกเจ้าได้เลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นในตอนนี้ได้ต้องลำบากลำบนไปตั้งเท่าใดกัน เจ้าคิดก็คิดไม่ออกหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกว้าง เขาบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นนัก จากที่ฟังดู พี่หลัวไห่ผู้นี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกที่ใช้เวลายาวนานอย่างยิ่งแล้วสำเร็จเป็นเทพอากาศได้อย่างยากลำบาก
แต่ทว่า…
เขายังคงคิดผิดไป! สิ่งที่ ‘พี่หลัวไห่’ ของเขาคนนี้ประสบมาเกินกว่าที่เขาจินตนาการไปมากนัก
“ไป พวกเราไปต่อสู้ในแผ่นดินอลหม่านแห่งต่อไปกันเถิด ระหว่างการต่อสู้จึงจะสามารถเคี่ยวกรำพลังได้มากกว่า อีกทั้งสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศพวกนี้ควรจะฆ่าทิ้งให้เกลี้ยง” หลัวไห่มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้เต็มเปี่ยม
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยินดีร่วมทาง
ความเร็วในการทะลุอากาศของหลัวไห่ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง ในฐานะผู้ท่องอากาศซึ่งมีวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบ ลำพังแค่การหลบหลีกในอากาศเพียงอย่างเดียว ก็คงจะแข็งแกร่งกว่าเทพอากาศทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว! แต่ความเร็วของหลัวไห่ในการทะลุผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านเหนือกว่าตนหลายสิบเท่า ตงป๋อเสวี่ยอิงลองคำนวณดู…เกรงว่าตนคงต้องศึกษาวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดจึงจะสามารถเทียบกับพี่หลัวไห่ได้กระมัง
ความเร็วในการทะลุอากาศน่ากลัวมากทีเดียว
เพียงเก้าร้อยปี
หลัวไห่ก็พาตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงดินแดนอลหม่านอีกแห่งหนึ่ง
“น้องตงป๋อ ฆ่า บุกเข้าไปฆ่าเลย” หลัวไห่มองแผ่นดินอลหม่านแห่งนั้นอยู่ห่างๆ สายตาผิดแผกออกไปจากเดิม ราวกับหมาป่ามองเห็นเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ตรวจตราดูเสียหน่อยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าจะส่งร่างแปรเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้รู้ข้อเท็จจริงเสียก่อน”
“เจ้ายังคิดจะใช้ร่างแปรอีกรึ” หลัวไห่ส่ายหน้ารัว “ร่างแปรต่อสู้ก็ไม่มีอันตรายอันใด หากไม่ห้ำหั่นท่ามกลางความอันตราย ก็ไม่มีทางทำให้โลหิตสูบฉีดได้น่ะสิ! นอกจากนี้พลังของร่างแปรของเจ้าก็คงจะต่ำกว่าร่างจริงมากทีเดียว ต้องส่งร่างจริงไปต่อสู้จึงจะรับมือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ เมื่อต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็จะมีประโยชน์ต่อเจ้ามากกว่ามากเลยทีเดียว”
“แต่หากส่งร่างจริงไป ก็อาจจะเอาชีวิตไปทิ้งได้ง่ายๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไม่ออกอยู่บ้าง เส้นทางการบำเพ็ญนั้นยาวไกล หลัวไห่ผู้นี้เอาแต่ใจเช่นนี้ ไม่สนใจอันตรายเช่นนี้ สามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้เชียวหรือนี่
บนเส้นทางการบำเพ็ญ การรักษาชีวิตต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง!
หากตนเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เมื่ออยู่ในแผ่นดินอลหม่านต่างๆ ก่อนหน้านี้ เช่นเมื่อพบกับสิ่งมีชีวิต ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ เกรงว่าตนก็คงต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว
“เจ้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังอาจจะต้องระวัง แต่เมื่อติดตามข้าก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ” หลัวไห่พูดต่อไป “ครั้งนี้ข้าออกมาฟันฝ่า ก็พบว่าแผ่นดินอลหม่านจำนวนมากของดินแดนแถบนี้ถูกครอบครองไปหมด ข้าตัดสินใจสังหารไปตลอดทาง ต้องฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยงภายในล้านปี”
“ภายในล้านปีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “ทั้งยังต้องฆ่าจนเกลี้ยงด้วยหรือ”
อย่างตนที่ส่งเพียงร่างแปรเข้าไปลอบสังหาร ก็แค่สามารถสังหารเทพอากาศบางคนให้ตายได้เท่านั้น ส่วนผู้ที่ร้ายกกาจหน่อยตนสู้ไม่ไหว อีกทั้งเมื่อข่าวการมีอยู่ของตนแพร่ออกไป เทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอเหล่านั้นก็ซ่อนตัวไปตั้งนานแล้ว จึงยากมากที่ตนจะประสบผลสำเร็จได้อีก แต่ในขณะเดียวกัน ขุมอำนาจเหล่านี้ก็จะไม่ลงมือกับคนตัวเล็กๆ อย่างตนให้มากมาย! เพราะไม่คุ้มค่าเลย!
แต่หลัวไห่กวาดล้างสังหารเช่นนี้…สามารถดึงดูดให้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมอำนาจปรากฏตัวออกมาได้ง่ายดายนัก
“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” หลัวไห่เห็นตงป๋อ น้องชายคนใหม่ที่ตนเพิ่งจะผูกสัมพันธ์ด้วยนี้ระวังตัวเกินไป ไม่กล้าบ้าคลั่งเช่นนี้ ก็อดที่จะลังเลครู่หนึ่งมิได้ เขาพลิกมือแล้วหยิบป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมา บนป้ายคำสั่งมีตัวอักษรทรงจัตุรัสเขียนว่า ‘หลัว’ จารึกเอาไว้ ขณะเดียวกันกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นก็แผ่ซ่านออกมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นป้ายคำสั่งนี้ ประหนึ่งมองเห็นประกายดาบอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบอย่างไรอย่างนั้น ประกายดาบฟาดฟันหมื่นสรรพสิ่ง ฟาดฟันทุกสิ่ง…
“เจ้าเมืองหลัวเป็นบิดาของข้า” หลัวไห่พูดเสียงต่ำ “ครั้งนี้เจ้าคงวางใจแล้วกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองหลัวไห่อย่างตกตะลึง
เจ้าเมืองหลัวหรือ
เจ้าเมืองหลัวอาศัยร่างขั้นอลวน พลังของเขาก็จัดอยู่อันดับต้นๆ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดทั้งหลาย อย่างเทพจักรวาลทั้งสามแห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา ได้แก่ ‘ราชันย์มีด’ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ‘บรรพชนกู่’ ก็มีเพียงราชันย์มีดเท่านั้นที่สูงกว่าเจ้าเมืองหลัวอยู่เล็กน้อย อีกสองท่านล้วนอ่อนแอกว่าเจ้าเมืองหลัว
เนื่องจากเขาเป็นขั้นอลวน แต่กลับสำแดงพลังรบเช่นนี้ออกมา ดังนั้นหากพูดถึงระดับขั้นในการต่อสู้จริงๆ แล้ว ในข้อมูลที่ท่านอาจารย์ ‘ผู้ท่องอากาศกู่ฉี’ ให้มานั้น ล้วนเชื่อว่าเจ้าเมืองหลัวเป็นผู้ที่มีระดับขั้นแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในบรรดาผู้แกร่งกล้าทั้งหมด สถานะของเขาก็พิเศษอย่างยิ่ง
ในข้อมูลที่ท่านอาจารย์กู่ฉีทิ้งเอาไว้ให้นั้นมีคำอธิบายไม่มากนัก แต่โดยสรุปแล้วก็นับถือเจ้าเมืองหลัวเป็นอันมาก บวกกับได้ยินมาว่า ‘ราชันย์มีด’ มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับ ‘เจ้าเมืองหลัว’
ดังนั้นในโลกทิพย์กิเลนบูรพา เมื่อเจ้าเมืองหลัวเอ่ยคำ เกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าฝ่าฝืน!
“เจ้าเมืองหลัวเป็นบิดาของท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองชายหนุ่มอาภรณ์สีเงินตรงหน้าซึ่งสะพายดาบรบเอาไว้ผู้นี้ เขามิกล้าจินตนาการเลยว่าตนจะพบกับผู้ที่มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เข้าได้
“ครั้งนี้คงจะวางใจได้แล้วกระมัง ทว่าหากยังไม่ถึงเวลาที่จำเป็น ข้าก็ไม่อยากขอร้องท่านพ่อหรอก” ขณะที่หลัวไห่พูดถึงบิดานั้น นัยน์ตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
อีกฝ่ายเปิดเผยความลับเช่นนี้ออกมา ป้ายคำสั่งนั้นก็ไม่มีทางปลอมแปลงได้ บวกกับที่นี่เดิมทีก็อยู่ใกล้ลับโลกทิพย์กิเลนบูรพาอยู่แล้ว นอกจากนี้ ‘หลัวไห่’ สามารถบำเพ็ญมาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้และมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็ไม่มีทางเลินเล่อและโง่งมมากนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากจะบ้าคลั่งดูสักตั้ง
สวบ สวบ
พวกเขาทั้งสองแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางแผ่นดินอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าจะกวาดล้างไปตลอดทางอย่างโอหังถึงเพียงนี้ได้! ตามปกติแล้วก็ให้เขาเข้าไปโจมตีแผ่นดินอลหม่านก่อน หากจัดการไม่ได้ หลัวไห่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็จะให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต่อสู้จนหนำใจแล้วค่อยลงมือ! เทพอากาศทั่วไปนั้น หลัวไห่ล้วนสามารถสังหารได้ด้วยมือเปล่า
ผู้ที่มีความสามารถในการรักษาชีวิตแข็งแกร่งยิ่งหรือเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงจะสามารถทำให้หลัวไห่ชักดาบรบด้านหลังออกมาได้
เมื่อชักดาบออกมา
เขาก็สามารถห้ำหั่นกับเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งหน้าได้ ทั้งยังสามารถพาตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีไปได้ไกลลิบลิ่วอย่างรวดเร็ว!
*******
ภายในดินแดนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาล
เงาร่างอันเกรียงไกรห้าสายกระจายตัวกันอยู่ตามด้านต่างๆ พวกเขาล้วนแปลงเป็นรูปร่างมนุษย์ อุ้งเท้าและรยางค์มหึมาทั้งหลายต่างก็ถือจอกสุราเอาไว้ แล้วดื่มสุราอึกใหญ่
กลิ่นอายของพวกเขายิ่งใหญ่ ทำให้รอบด้านมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งเมฆดำม้วนตัว ทั้งอสนีบาตฟาดลงมา ทั้งเกล็ดน้ำแข็งแผ่กำจายไปทั่ว
“มือดาบอาภรณ์สีเงินคนหนึ่งและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งเป็นเพียงผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น ผู้บำเพ็ญสองคนกล้าโอหังถึงเพียงนี้ด้วย” เงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น บนร่างมีรยางค์หลายสิบเส้น รยางค์ของมันถือจอกสุราเอาไว้ ศีรษะใหญ่โตพูดด้วยเสียงทุ้มลึกว่า “พวกเขามิได้ปกปิดเส้นทางที่เข่นฆ่ามาตลอดทางเลย แทบจะสังหารมาตลอดทางตามแผ่นดินอลหม่านที่ใกล้ที่สุด ตามเส้นทางของพวกเขา น่าจะเกือบถึงที่นี่แล้ว”
“ครั้งนี้อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย ต่อให้เป็นเทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนบุกมา ก็ต้องสังเวยชีวิต”
“อย่าสังหารพวกเขาง่ายๆ เลย ต้องทำให้พวกเขาเจ็บปวดทรมานครวญครางเป็นล้านล้านปีเสียก่อน ให้รู้เสียบ้างว่าล่วงเกินพวกเราแล้วต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“กล้าหาเรื่องพวกเรารึ เฮอะๆๆ”
แววอาฆาตของพวกเขาเข้มข้น
ที่ผ่านมาบางครั้งก็มีผู้บำเพ็ญลงมือบ้าง ทว่าโดยทั่วไปก็ล้วนระมัดระวังเป็นอันมาก ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าขุมอำนาจนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นสิ่งมีชีวิตระดับสูงของขุมอำนาจจึงมิได้ใส่ใจ มองว่าเป็นการขัดเกลาผู้ใต้บังคับบัญชาเบื้องล่างเท่านั้น!
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ผู้อารักขาแผ่นดินอลหม่านถูกเข่นฆ่าไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังกวาดล้างมาตลอดทางอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับสูงเบื้องหลังพวกเขาเดือดแค้นขึ้นมา ต้องจัดการผู้บำเพ็ญที่บังอาจเหิมเกริมสองคนนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!
……………………………
ตอนที่ 14 ปรากฏแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เงาร่างสองสายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันบุกเข้ามานั่นเอง พวกเขาทั้งสองพุ่งทะยานมายังดินแดนอลหม่านอันใหญ่โตเบื้องหน้าแห่งนี้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดพวกเจ้าก็มาเสียที!”
เมื่อเสียงอันก้องกังวานนั้นแผ่มาตามอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดสีหน้าเปลี่ยนแปรไปไม่ได้ ไม่ดีแล้ว ตนและพี่หลัวไห่เข่นฆ่ามาตลอดทาง ในที่สุดก็ยั่วโมโหผู้แกร่งกล้าของขุมอำนาจฝั่งนี้ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว พวกเขายังมิทันได้เข้าไปในดินแดนอลหม่านเลย อีกฝ่ายก็ตรวจพบก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ารออยู่ก่อนแล้ว
“น่าสนใจดีนี่ น้องตงป๋อ อย่ากังวลไปเลย มาดูกันสิว่าที่แท้แล้วพวกเขามีผู้แกร่งกล้าหน้าไหนบ้าง” หลัวไห่กลับมองอย่างสนอกสนใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจนัก
หลัวไห่สามารถข้ามขั้นไปต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ แต่หากตนเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็ต้องถูกกวาดล้างอย่างสิ้นเชิง
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันเปลี่ยนแปรไป “ระวังด้วย พวกเขาวางค่ายกลเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งขอบเขตก็ยังกว้างอย่างยิ่งอีกด้วย”
หลัวไห่ก็หันไปมอง
ทันใดนั้นกลางอากาศอันสับสนอลหม่านด้านหลังที่กว้างใหญ่หาใดเปรียบ ซึ่งหนาวเหน็บและเงียบเหงานั้น บัดนี้กลับมีเมฆหมอกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนม้วนตัวอยู่ เมฆดำบดบังทุกสิ่ง ขอบเขตนั้นกว้างใหญ่กว่าขอบเขตในการรับรู้อากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก! ซึ่งหมายความว่าขอบเขตของค่ายกลแห่งนี้ต้องมากกว่าขนาดของจักรวาลแห่งนี้ไปแล้ว
“ผู้ที่สามารถวางค่ายกลเช่นนี้ได้ ในขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีเพียงผู้แกร่งกล้าที่เชี่ยวชายทางด้านค่ายกลจำนวนหยิบมือหนึ่งเท่านั้น” หลัวไห่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “วางค่ายกลที่มีขอบเขตกว้างขวางมากเช่นนี้ขึ้นมา ก็ด้วยกลัวว่าพวกเราจะเคลื่อนที่ในพริบตาหนีไป ถึงได้วางไว้กว้างถึงเพียงนี้”
“ไม่ นี่ นี่เป็นค่ายกลที่สิ่งมีชีวิตขั้นอลวนวางขึ้นมาต่างหาก” หลัวไห่พลันหน้าถอดสี “อย่างน้อยส่วนของค่ายกลก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่หลอมขึ้นมา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นแล้วเช่นกัน
เมฆดำม้วนตัวไปปกคลุมทั่วทุกหนทุกแห่ง กลางเมฆดำยังมีงูสายฟ้าเลื้อยไปทั่ว นอกจากนี้ใต้ชั้นเมฆยังมีหยาดฝนสาดซัด ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงรสชาติของ ‘อากาศ’ เลยทีเดียว ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล สามารทำให้สายฝนและอากาศปรากฏขึ้นเป็นวงกว้างได้…
นี่เป็นวิธีการบุกเบิกโลกขึ้นมาจากกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ในค่ายกลต้องมีส่วนใจกลางซึ่งสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนเป็นผู้หลอมขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ยุ่งยากใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเช่นกัน
วิธีการรักษาชีวิตของศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญก็ไม่เคยคำนึงถึงการต้านทานขั้นอลวนมาก่อน
‘น้ำเต้าสีดำ’ สมบัติพิทักษ์วิถีของผู้ท่องอากาศ ต่อให้ในภายหน้าตนสำเร็จเป็นเทพอากาศ ก็ทำได้เพียงอาศัยสิ่งนี้รับมือขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งสูงกว่าอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น! ไม่มีทางรับมือสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนได้เลย!
สิ่งใดที่เรียกว่าขั้นอลวนน่ะหรือ
เทพอากาศนั้นมีมากมาย โดยเฉพาะอย่างเช่นระบบลัทธิจอมมารดา ระบบสายโลหิตและระบบเหล่ากลืนกิน ความยากในการกำเนิดเทพอากาศนั้นเมื่อเทียบกันแล้วก็ต่ำกว่ามากทีเดียว! แต่ ‘ขั้นอลวน’ นั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญใด ก็ล้วนมีจำนวนน้อยเสียจนน่าสงสาร ถึงขั้นที่ว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงเกรียงไกรในโลกทิพย์ทั้งห้า
จากขั้นรวมเป็นหนึ่งก้าวไปสู่ขั้นอลวนนั้น พลังต้องเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้! เช่นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ภายในกายสามารถวิวัฒน์ขึ้นมาเป็นจักรวาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งได้! ทุกการกระทำล้วนมีการรวมตัวกันของพละกำลังของจักรวาลขนาดเล็ก
โดยทั่วไปหากร่างจริงของเทพจักรวาลมิได้มาเอง เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น ก็ไม่สามารถทำอะไรขั้นอลวนได้!
“คงจะไม่ถึงกับขั้นอลวนมาเองหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง “ต่อให้เป็นดินแดนอลหม่านสองร้อยกว่าแห่ง ก็คงไม่อยู่ในสายตาของสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนหรอกกระมัง”
……
ในใจเขาคิดเช่นนี้ แต่รอบด้านกลับมีเมฆดำ สายฟ้า หยาดฝนและอากาศต่างๆ อยู่ ค่ายกลอันมหึมาแห่งนี้หมุนเวียนไปจนเป็นกฎเกณฑ์ของจักรวาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งแล้ว ค่ายกลเช่นนี้ก็ควบคุมได้ยากยิ่งนัก จะกระตุ้นและควบคุมก็เกรงว่าต้องให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งหลายคนร่วมมือกันจึงจะทำได้สำเร็จ
“รู้จักกลัวแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำสายหนึ่งดังก้องขึ้น เงาร่างอันใหญ่มหึมาห้าสายปรากฏให้เห็นรางๆ ท่ามกลางเมฆดำ
“กลัวรึ อาศัยแค่พวกเจ้าน่ะหรือ” หลัวไห่ในอาภรณ์สีเงินทั้งร่างกลับพูดพลางยิ้มเย็น “มีวิธีการอันใดก็ใช้มาให้เต็มที่เถิด ให้ข้าได้เห็นลูกไม้ของเจ้าเสียหน่อย”
“รนหาที่ตายจริงๆ”
อุ้งเท้าอันเต็มไปด้วยขนดกหนายื่นออกมาท่ามกลางเมฆดำ มันใหญ่โตเกินไปแล้ว เมื่อทุบลงมาคราหนึ่งก็ทุบมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่พร้อมกัน หลัวไห่เห็นเข้าก็พลันชักดาบรบด้านหลังออกมาทันที ดาบรบเป็นประกายวาบขึ้นมา แล้วประกายดาบอันเรืองรองสายหนึ่งก็เข้าไปรับอุ้งเท้ามหึมาที่เต็มไปด้วยขนดกหนานั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบป้ายอักขระขึ้นมาก่อนแล้ว ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญมีป้ายอักขระทั้งหมดสามอัน ซึ่งได้แก่ป้ายอักขระซ่อนเร้น ป้ายอักขระเคลื่อนย้ายและป้ายอักขระป้องกัน ภายในค่ายกลอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เคลื่อนย้ายย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ซ่อนเร้นก็คาดว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากนัก มีเพียงป้องกันเท่านั้น
ป้ายอักขระป้องกันนั้นสามารถต้านทานการโจมตีระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ หากเผชิญหน้ากับขั้นอลวนก็ใช้ไม่ได้แล้ว ทว่าวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำบอกเขาก่อนแล้วว่า ตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งห้าตน
“ตู้มมม…”
ประกายดาบปะทะเข้ากับอุ้งเท้ามหึมา
ร่างกายของหลัวไห่สั่นสะเทือนคราหนึ่ง แล้วรอยเลือดก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ทว่าก็ยังคงสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เขาแสยะยิ้มก่อนจะหันมามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง “น้องตงป๋อ เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยบอกแล้วว่าจะปกป้องเจ้า ตัวโง่งมอย่างพวกเขาทำร้ายเจ้าและข้ามิได้หรอก”
“อาศัยกฎเกณฑ์ของค่ายกลก็ไม่สามารถตะปบเขาให้ตายได้หรือนี่”
“ปรับเปลี่ยนอานุภาพค่ายกลให้สุดกำลัง”
“บีบเขาให้ตาย”
“ลงมือ”
อุ้งเท้ามหึมาโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้บนอุ้งเท้ามีโลกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาด้วย ในโลกนั้นมีเมฆดำม้วนตัวอยู่ มีสายฟ้า หยาดฝนและอากาศ ราวกับภาพย่อส่วนของค่ายกลอันใหญ่โตอย่างไรอย่างนั้น อานุภาพของมันก็ปะทุสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลัวไห่เห็นเข้าก็แค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ผิวกายของเขาพลันเปล่งประกายสีทองออกมา ประกายสีทองนั้นราวกับที่บังแสงซึ่งปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ และปกป้องตัวเขาเองด้วยเช่นกัน
“ฟิ้ว” ขณะที่อุ้งเท้าตะปบลงมา มือทั้งคู่ของหลัวไห่ก็คว้าดาบรบขึ้นมาแล้วตวัดขวางด้านบน
ตู้ม…
ครั้งนี้อานุภาพแข็งแกร่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ร่างของหลัวไห่สั่นสะท้านคราหนึ่งแล้วละอองโลหิตก็ถูกพ่นออกมาจากปาก ประกายสีทองรอบด้านก็สั่นสะท้านคราหนึ่ง ทว่ายังคงสมบูรณ์ดี
“ต่อให้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง เมื่อพวกเราร่วมแรงกัน ก็สามารถบีบให้ตายได้อย่างง่ายดาย แค่ขั้นกำเนิดอย่างเขาคนหนึ่งไยจึงต้านทานได้ดีถึงเพียงนี้เล่า” เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งห้าต่างก็ตกใจใหญ่ ทว่าพวกเขายังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป ตู้ม ตู้ม ตู้ม…อุ้งเท้าตะปบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีการควบคุมค่ายกลนี้ก็กินแรงพวกเขาอย่างมากแล้ว การนำอานุภาพของค่ายกลเสริมเข้าไปในอุ้งเท้าหนึ่งก็ถือว่าทำอย่างสุดกำลังแล้ว ดังนั้นทุกครั้งจึงแค่ใช้อุ้งเท้าโจมตีเท่านั้น
แต่พวกเขาเข้าใจดีมากว่า เมื่ออุ้งเท้านี้ตะปบลงไป ก็เพียงพอให้ดินแดนอลหม่านแห่งหนึ่งแหลกเป็นผุยผงได้แล้ว!
แต่ชายหนุ่มอาภรณ์สีเงินผู้นี้กลับต้านเอาไว้ได้เสียนี่! โจมตีต่อเนื่องกันสิบกว่าครั้งก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า วางใจเถิด” หลัวไห่ถูกกระแทกเสียจนกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลัง “น้องตงป๋อ เห็นแล้วใช่หรือไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าปกป้องเจ้าได้ พวกเขาก็ไม่มีทางทำให้เจ้าบาดเจ็บได้หรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ ยามนี้ สถานะของหลัวไห่ในใจเขายกระดับขึ้นมากทีเดียว
“อาศัยวิธีการเหล่านี้น่ะหรือ”
“ยังบกพร่องไปมากทีเดียว! หากพูดถึงร่างเทพของข้า ก็แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศอย่างพวกเจ้ามากนัก” หลัวไห่พูดพลางหัวเราะเสียงดัง
“เป็นแค่เศษสวะฝูงหนึ่งจริงๆ!”
น้ำเสียงเย็นชาดังก้องขึ้น มันสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่ง ราวกับมีลมอันเย็นเยียบระลอกหนึ่งพัดผ่านวิญญาณ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ใจสะท้านขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้
ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งห้าที่อยู่ไกลออกไปล้วนเผยร่างจริงออกมา พวกเขายืนตัวสั่นงันงกอยู่ด้านข้าง แล้วต้อนรับด้วยความเคารพ ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีบุรุษผิวสีเทาร่างผอมแห้งผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เหนือผิวกายทั่วร่างของเขามีโลหะอันแปลกประหลาดฝังอยู่ พวกมันปกป้องต้นขา หน้าอก และแผ่นหลังเอาไว้เป็นอย่างดี เขาผอมแห้งอย่างยิ่ง ผอมเสียจนมองเห็นกระดูกทั่วร่างของเขาได้ ราวกับโครงกระดูกร่างหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป ตนเพิ่งจะจากบ้านเกิดมาได้นานสักเท่าใดกัน เจ้าหนุ่มที่แม้แต่เทพอากาศก็ยังมิใช่เช่นเขา มาพบขั้นอลวนเข้าเช่นนี้น่ะหรือ ตอนนั้นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็บรรลุถึงระดับขั้นนี้ในจักรวาลบ้านเกิด แม้แต่กฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่มเขาก็สามารถฝืนต้านทานได้
หลัวไห่ก็รู้สึกลำคอแห้งผากไปหมด “มิใช่ว่าเพิ่งจะสังหารไปแค่ไม่กี่ตนหรือไร ขั้นอลวนผู้เกรียงไกรคนหนึ่งถึงกับปรากฏกายขึ้นมาเองเลยหรือนี่ ยุ่งยากใหญ่แล้ว! หรือจะต้องขอร้องท่านพ่อจริงๆ เสียแล้ว”
……………………………………
ตอนที่ 15 จอมมารปรากฏกาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ที่สามารถไปถึง ‘ขั้นอลวน’ ได้ในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีน้อยนัก แต่ละคนต่างก็สามารถทำให้ฝ่ายหนึ่งตกตะลึง จนกลายเป็นบรรพชนของฝ่ายหนึ่ง ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนสวามิภักดิ์ติดตาม แม้กระทั่งพวกเขากับ ‘เทพจักรวาล’ ก็เป็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันชนิดหนึ่ง เพราะประสบการณ์ของเทพจักรวาลนั้นก็มีประโยชน์กับพวกเขาไม่มากนัก
มิฉะนั้นผู้ที่ไปถึงระดับขั้น ‘เทพจักรวาล’ ก็คงจะไม่น้อยนิดถึงเพียงนั้นแล้ว!
เหมือนกับแผ่นดินอลหม่านเพียงสองร้อยกว่าแห่ง เพียงแค่สังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ ‘ขั้นกำเนิด’ จำนวนหนึ่ง ก็สามารถยั่วยุสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนคนหนึ่งได้แล้ว นี่ก็คือเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
“เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง” ตงป๋อเสวี่ยอิงศึกษาข้อมูลโดยละเอียด เขามองเพียงปราดเดียวก็จำบุคคลที่น่าหวาดเกรงตรงหน้าผู้นี้ได้ เขาก็คือ ‘เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง’ หนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ทางฝ่ายบรรพชนกู่ ต่อให้บุตรทิพย์ดังเช่นกู่กานหลัวนั้นตายไปเสียแล้ว บรรพชนกู่ก็ตาไม่กะพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่สำหรับ ‘เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง’ นั้น ต่อให้เป็นบรรพชนกู่เองก็ยังต้องต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร นี่ต่างหากเล่าจึงจะเป็นแขนซ้ายขวาของเขา
ในยามนี้ผู้ที่หยิ่งทะนงอย่างหลัวไห่ก็ยังเอ่ยวาจาไม่ออก
……
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงดูเหมือนจะผอมแห้งจนสามารถมองเห็นกระดูกทั้งร่างกายได้ ทว่ากระดูกแต่ละท่อนของเขาล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับจะแข็งแกร่งมิอาจบุบสลายยิ่งกว่าอาวุธเทพอากาศเสียอีก แม้กระทั่งยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างที่เกือบจะกลายเป็นโครงกระดูกนี้ของเขาก็ยังทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหายใจติดขัด
ขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคน ชัดเจนว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงขั้นอลวนแล้ว ทว่าความแตกต่างของพลังยุทธ์กลับห่างชั้นกับความแตกต่างระหว่าง ‘ผู้เคารพ’ กับ ‘ผู้ปกครอง’ อยู่มากมายนัก!
“สวะฝูงหนึ่ง เคล็ดลับที่ข้าบำเพ็ญ ให้พวกเจ้าอารักขาที่นี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังทำให้ดีมิได้” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยอย่างเย็นชา
ลูกน้องทั้งห้าคนต่างก็แสดงความเคารพอย่างตึงเครียด กระทั่งโต้เถียงก็ยังมิกล้า
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงส่งสายตามองตามไปบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ ด้วยระดับขั้นของเขากลับมิอาจลงมือสำแดงค่ายสังหารได้ตามใจชอบ เพราะเขาเข้าใจดีว่าในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีบุคคลผู้น่าหวั่นเกรงที่เขามิอาจล่วงเกินได้อยู่ และบรรพชนกู่ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็มิอาจล่วงเกินได้เช่นกัน
แม้กระทั่งผู้ที่เป็นหนึ่งในเทพจักรวาลอย่างผู้ท่องอากาศกู่ฉี ก็ยังต้องหนีสะเปะสะปะอย่างน่าอนาถเพราะศัตรูตัวฉกาจ แม้กระทั่งเคยบาดเจ็บสาหัสจนเกือบตาย แต่เห็นได้ว่ายิ่งพลังยุทธ์กล้าแกร่ง ก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
“โอ้” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมองไปทางหลัวไห่ก่อน เพราะร่างกายของหลัวไห่ก่อนหน้านี้เกินต้านทานได้ “ช่างเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งนัก เทพอากาศทั่วไปในสำนักของข้าไม่มีใครเทียบเขาได้เลยสักคนเดียว ส่วนผู้ปกครองเทพแท้ที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ก็มีร่างกายที่ค่อนข้างพิเศษ จะต้องผ่านการบำเพ็ญเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดในฝั่งห้วงอากาศมาเป็นแน่”
ให้ร่างกายเอนเอียงไปทางเคล็ดลับจำนวนมากของทางฝั่งห้วงอากาศ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ไม่มีทางมั่นใจได้ว่าเป็นผู้ท่องอากาศ
“เจ้าเด็กทั้งสอง”
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยื่นมือออกมา
ปัง…
หยาดฝนสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏให้เห็นชัดในอากาศบริเวณรอบๆ หยาดฝนสีดำเหล่านี้ก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่มหึมาแล้วคว้าตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่เอาไว้ในทันใด พวกเขาทั้งสองมิอาจหลบหลีกได้ทัน แม้กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิอาจกระตุ้นป้ายสัญลักษณ์คุ้มกันชีพในมือได้ เพราะยามที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงลงมือนั้น แรงกดดันอันไร้รูปร่างได้ทำให้วิญญาณของเขาชะงักงันไปบ้างไปก่อนแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าภายใต้การกดดันอำนาจจิตใจนั้น ตนเองจะหายใจก็ยังยากลำบาก ไม่สามารถควบคุมพลังเทพแท้ในร่างกายได้เลย เบื้องหน้าล้วนมืดสลัว ข้างหูล้วนมีเสียงอื้ออึง
ความตาย กลิ่นอายของความตายอยู่ใกล้เหลือเกิน
“หรือว่าจะต้องตายเช่นนี้เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่ยอมจำนนอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ายามที่จากจักรวาลภูมิลำเนามานั้น เขาได้เตรียมตัวสำหรับการตายเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรบนเส้นทางการบำเพ็ญนั้น เดิมทีก็มีอันตรายอย่างมากอยู่แล้ว แต่ตนเพิ่งจะจากบ้านเกิดมา ยังมิทันได้ไปเยือนโลกทิพย์สักแห่งเดียวเลย จะต้องมาตายเช่นนี้ก็ออกจะไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยแล้ว นอกจากนี้การกวาดล้างอย่างอุกอาจเช่นนี้ก็เพราะมีหลัวไห่โน้มน้าวเป็นเหตุ ด้วยหลัวไห่เป็นบุตรชายของเจ้าเมืองหลัว ด้วยสถานะของเจ้าเมืองหลัวในโลกทิพย์กิเลนบูรพาย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
“บอกข้ามาเสีย เรื่องความเป็นมาของพวกเจ้า! นี่คือโอกาสรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้า” น้ำเสียงของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถ่ายทอดไปสู่ดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงโดยตรง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองเริ่มเสียการควบคุมอยู่บ้าง จึงเปิดปากเอ่ยว่า “ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ ตงป๋อเสวี่ยอิง”
“ข้า มาจากแผ่นดินต้นกำเนิด…” หลัวไห่ก็เพิ่งเปิดปากพูดอย่างสูญเสียการควบคุมเช่นกัน พร้อมกับที่ลำแสงสีทองกะพริบวาบในดวงตาของเขา ก็หลุดพ้นจากการควบบคุมจนได้
“แผ่นดินต้นกำเนิดอย่างนั้นหรือ”
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงได้ยินแล้วก็เกิดความสงสัยอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกว่าชายหนุ่มอาภรณ์สีทองผู้นี้ น่าจะมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่ว่า ‘แผ่นดินต้นกำเนิด’ นั้น ด้วยสถานะของเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย “หรือว่าเป็นชื่อของแผ่นดินอลหม่านธรรมดาๆ สักแห่งหนึ่ง แผ่นดินอลหม่านมีมากจนมิอาจนับได้ บางทีอาจมีบางแห่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก”
สำหรับแผ่นดินต้นกำเนิดนี้ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผ่านห้วงสมองคราหนึ่ง พร้อมกันนั้นสายตาก็ไปจับบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ปกครองเทพแท้ที่เดิมทีไม่สะดุดตาเลยผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างแท้จริง
“ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ช่างอาจหาญยิ่งนัก วังทวีสูญเป็นของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ศิษย์อาภรณ์ทองผู้หนึ่งอย่างเจ้าถึงกับมายังโลกทิพย์กิเลนบูรพาทำลายเรื่องดีของข้า ช่างไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมาปะเข้ากับสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนคนหนึ่ง! เขาอ้าปากหมายจะเอ่ยวาจา แต่ภายใต้แรงกดดันอันไร้รูปร่างนี้ เขากลับเอ่ยวาจาไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไม่ปรารถนาให้เขาเอ่ยปากพูด
ในทางกลับกัน หลัวไห่กลับสามารถฝืนเปิดปากเอ่ยวาจาออกมาได้ “น้องตงป๋อ ร้ายกาจเหลือเกิน ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ! ได้ยินว่าศิษย์อาภรณ์ทองต่างก็เป็นที่รักใคร่หวงแหนของวังทวีสูญ ต่างก็บ่มเพาะกันมาอย่างสุดกำลัง ใครกล้าสังหาร วังทวีสูญก็จะส่งผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่ไปฆ่ามัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงคลี่รอยยิ้มออกมา เขาเอ่ยวาจาไม่ออก
แต่หลัวไห่พูดได้ไม่ผิดเลย
ศิษย์อาภรณ์ทอง…
ล้วนแล้วแต่เป็นที่รักใคร่หวงแหนของวังทวีสูญ ถ้าหากศิษย์ระดับล่างหรือศิษย์ธรรมดาทั่วไปออกไปท่องโลกแล้วตาย ก็ตายไป ถึงอย่างไรก็เผชิญกับความตายกันอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีการสืบหาสาเหตุการตาย แต่น้อยนักที่จะนำไปสู่สงคราม นอกเสียจากว่าจะอยุติธรรมเกินไป แต่ถ้าเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง หากถูกสังหารแล้ว วังทวีสูญก็จะเคร่งครัดกว่ามาก ไม่มีทางยอมปล่อยไปโดยง่าย ถึงอย่างไรศิษย์อาภรณ์ทองทั้งวังทวีสูญในตอนนี้ รวมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย ก็มีเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นอนาคตของวังทวีสูญ!
ดังนั้นหากต้องการสังหาร ก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าสามารถรับมือกับเพลิงโทสะของวังทวีสูญได้หรือไม่!
ถ้าหากเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงอยู่ที่ ‘โลกทิพย์โบราณ’ เขาก็ย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว คงสังหารไปโดยไม่เอ่ยวาจาซ้ำสอง! เพราะวังทวีสูญย่อมมิกล้าเข้ามาสังหารยังโลกทิพย์โบราณ แต่โลกทิพย์กิเลนบูรพานั้นไม่เหมือนกัน วังทวีสูญกับขุมอำนาจหลายแห่งของโลกทิพย์กิเลนบูรพามีความสัมพันธ์อันดียิ่งต่อกัน และมีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับบรรพชนกู่
ดังนั้นหากฆ่าไปแล้ว วังทวีสูญจะต้องบุกมาสังหารอย่างแน่นอน ส่วนบรรพชนกู่นั้นเกรงว่าคงจะต้านไม่ไหวอยู่บ้าง! ถึงอย่างไรวังทวีสูญในตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากมายเหลือเกินแล้ว
“กล้ารุกรานข้า ก็ไปรอใน ‘เจดีย์มารครวญ’ ของข้าสักแสนปีเถิด ถ้าหากโชคดีไม่ตาย ก็จะเห็นแก่หน้าวังทวีสูญยอมปล่อยเจ้าไป” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยอย่างเย็นชา เจดีย์มารครวญเป็นสถานที่ที่เขาใช้สำหรับการคุมขังเพื่อทรมานโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นเทพอากาศเข้าไป ต่างก็ต้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทรมาน ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกว่า ‘มารครวญ’
โดยทั่วไปแล้วต่างก็ถูกทรมานจนตาย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิอาจทนได้ถึงหนึ่งแสนปีจริงๆ แต่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็พูดอยู่กับปากว่าเขาจะทรมานให้หนักหน่วง ก่อให้เกิดเพลิงโทสะ แต่จะไว้ชีวิตน้อยๆ ของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ถ้าหากศิษย์อาภรณ์ทองไม่ตาย วังทวีสูญก็จะมิอาจก่อสงครามโดยอาศัยเหตุนี้
“เจดีย์มารครวญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงงงันอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะรู้ข้อมูลมากมาย แต่กลับไม่รู้เลยว่าเจดีย์มารครวญคือสิ่งใด แต่ฟังดูแล้วก็มิใช่สถานที่ที่ดีแต่อย่างใดเลย
“สวรรค์กันแสง เจ้านี่ช่างร้ายกาจเสียจริง ถึงกับจะให้ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญของข้าไปรอในเจดีย์มารครวญของเจ้าตั้งแสนปีเชียวหรือ” น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งสะท้อนก้องในห้วงอากาศอันเวิ้งว้าง
เห็นเพียงว่าที่บริเวณไกลๆ เงาร่างสายหนึ่งออกมาจากเมฆดำที่ล่องลอยอยู่ ค่ายกลขัดขวางเขาเอาไว้เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำหรูหรางดงาม ผมยาวสีแดงโลหิตปลิวไสว นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งทั้งคู่ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ต่างก็สั่นสะท้าน พวกเขาล้วนชมชอบค่ายสังหาร แต่ในยามที่สิ่งมีชีวิตท่านนี้มาถึง พวกเขาต่างก็รู้สึกหัวใจสั่นไหว
“หรือไม่ ให้ข้าพาเจ้าไปยังคุกหลอมมารของวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญของข้า ให้เจ้าลองลิ้มชิมรสดูสักหน่อยดีไหม” อาภรณ์ดำไหวพลิ้ว ผมยาวสีแดงโลหิตปลิวไสว แววสังหารเย็นเยียบดุจน้ำแข็งในนัยน์ตาของผู้มาเยือน แม้กระทั่งเริ่มที่จะทะลุทะลวงผ่านวิญญาณภายในร่างของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสง นั่นคือความหนาวสะท้านอย่างที่สุด ค่ายสังหารและความเย็นเยือก
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่งพลางกดดันขับไล่แรงกดดันอันไร้รูปร่างของอีกฝ่าย “วังทวีสูญ จอมมารหรือ”
ปึงๆๆๆๆ
ทันใดนั้นร่างกายแต่ละร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่อยู่ด้านข้างก็ระเบิดออกกลายเป็นเศษน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับน้ำแข็งแตก แล้วกลับกลายเป็นไร้มวลสาร ในขณะเดียวกันมือใหญ่หยาดฝนสีดำที่เดิมทียังคว้าจับตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่เอาไว้ ทว่ามือใหญ่หยาดฝนสีดำนั้นกลับถูกแช่แข็งและแตกสลายไปเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ต่างถูกควบคุมให้เหินลอยไปยังด้านหลังของจอมมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังแววตาของจอมมารแล้วก็เต็มไปด้วยความยินดี จอมมารหรือ
จอมมารยืนอยู่ที่นั่น แม้แต่จะมองก็ยังไม่มองขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่ตายไปนั้นเลย เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แผ่นดินอลหม่านสองร้อยแปดสิบเก้าแห่ง สังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหลายอย่างไร้ปรานี ก็ฆ่าเจ้าห้าคนนี้ไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน”
…………………………………….
ตอนที่ 16 ท่านมาถึงแล้วหรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดิมทีเพราะไม่มีผู้จัดการดูแล ค่ายกลจึงกระจัดกระจายหายไป นั่นก็คือค่ายกลที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ตอนนี้เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงลงมือด้วยตัวเอง ก็ย่อมไม่แยแสค่ายกลอยู่แล้ว!
“จอมมาร ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าโอหังจองหอง แล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย เจ้าเพิ่งจะบำเพ็ญจนเป็นขั้นอลวนกำเนิดใหม่ได้นานสักเท่าใดกันเชียว ถึงได้กล้ามายุแหย่ข้าเช่นนี้” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงโมโหจริงๆ เสียแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แยแส แต่ถึงอย่างไรก็เป็นลูกมือขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขา นี่เป็นการดูแคลนเขาอย่างสมบูรณ์
มาถึงระดับขั้นนี้อย่างเขาย่อมมิอาจดูแคลนได้ ห้วงอากาศอันกว้างใหญ่โดยรอบถล่มทลายลงตามโทสะของเขา แต่รอบกายจอมมารกลับเต็มไปด้วยความนิ่งสงัด เขามองเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่อยู่ไกลออกไปอย่างเย็นชาเช่นเดิม
จากหัวจรดเท้าของจอมมารมีเพียงความเย็นชา การเย้ยหยันสักเล็กน้อยก็ไม่มี
“จอมมาร…” ในจิตของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงปรากฏข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับจอมมาร
จอมมาร เป็นผู้ที่จองหองอย่างที่สุด
ว่ากันว่าตอนนั้นที่เขามายังวังทวีสูญ ไม่เห็นผู้ร่วมสำนักโดยทั่วไปอยู่ในสายตา หรือแม้กระทั่งเรียกตัวเองว่า ‘จอมมาร’ ต้องรู้ว่าสมญานามเช่นนี้ ในตอนแรกยังเป็นเพียงการอยู่ภายใต้สถานการณ์ขั้นสุดยอดที่รวมเป็นเอกภาพ สมญานามเช่นนี้ออกจะโอหังอยู่บ้าง ถึงจะเป็นสถานที่อย่างวังทวีสูญก็มีไม่กี่คนที่กล้าใช้เรียกบรรพชน!
ถึงแม้ว่าตอนตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาจะถูกเรียกหาอย่างเคารพว่าจ้าวตงป๋อ แต่หากไปถึงวังทวีสูญ เขาก็คงไม่กล้าเอ่ยนามว่า ‘จ้าวตงป๋อ’ อย่างเย่อหยิ่งเช่นนี้
ยามที่พลังยุทธ์อ่อนแอก็ควรถ่อมตนสักหน่อย
แต่มิใช่กับจอมมาร!
ตอนนั้นเขาก็ยั่วยุท้าทายผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นเอกภาพกลุ่มหนึ่งของวังทวีสูญ ผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญกับโลกภายนอกนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนอื่น พลังยุทธ์โดยทั่วไปของ ‘เหล่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ต่างก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง บรรดาชนชั้นสูงก็ยิ่งล้ำเลิศ! แต่พวกเขาท้าทายจอมมาร กลับไม่มีผู้ใดชนะเลยแม้แต่คนเดียว!
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นานจอมมารก็ก้าวย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้ว เขาจิตใจทะเยอทะยานหมายจะท้าทายจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! แต่สิ่งที่ทำให้จอมมารจนใจก็คือ จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบที่ปลีกวิเวกฝึกฝนเป็นระยะเวลายาวนาน ยามที่ออกจากการปลีกวิเวกแล้วกลับไปถึงระดับขั้นสุดยอดของการบำเพ็ญ…กลายเป็นเทพจักรวาลเสียแล้ว!
ถ้าหากบอกว่าจอมมารเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งอย่างที่สุด ยามอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาก็ไปถึงระดับสุดยอดของขั้นรวมเป็นเอกภาพแล้ว พอเข้าสู่วังทวีสูญแล้วได้รับทรัพยากร ก็สามารถเปลี่ยนแปรแล้วก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบผู้นั้น…ในสายตาของมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านล้วนเห็นเป็นบุคคลที่สุดยอดไร้เทียมทาน ระหว่างที่เขาอ่านตำราจำนวนมากในวังทวีสูญ จู่ๆ ก็พลันกระจ่างแจ้งและก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลได้
“เขาคือประมุขวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญ ได้ยินว่าสามารถเอาชนะประมุขวังวารีสวรรค์แห่งวังทวีสูญได้ ต่อมาถูกประมุขวังปุจฉาสวรรค์เอาชนะได้อย่างง่ายดาย” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงลอบคิดใคร่ครวญ “เขาบรรลุขั้นอลวนได้ในระยะเวลาค่อนข้างสั้น มีความแตกต่างระหว่างพลังยุทธ์กับประมุขวังปุจฉาสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด เอ่อ…”
ความจริงจอมมารมาถึงขั้นอลวนเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ในสายตาของบุคคลที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานหาใดเปรียบอย่างเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงแล้ว ก็ยังสั้นยิ่งนัก
……
พูดมาเสียยืดยาว อันที่จริงในใจก็มีเพียงความคิดเดียวที่วาบขึ้นมา
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ตัดสินใจลงมือ เขาไม่เชื่อว่าเขาที่บำเพ็ญมาเป็นเวลาเนิ่นนานจะไม่สามารถเอาชนะชนรุ่นหลังที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่คนหนึ่งได้
“ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็แค่มีลูกเล่นมากหน่อยเท่านั้นเอง ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ถึงความโง่เง่าของตัวเอง!” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงน้ำเสียงเปี่ยมพลัง ทันใดนั้นอากาศอันสับสนอลหม่านอันไร้ที่สิ้นสุดโดยรอบก็มีหยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พายุฝนใหญ่กระหน่ำลงมา หยาดฝนสีดำเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ต่างก็รู้สึกว่าสายฝนโดยรอบนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
ทว่าจอมมารก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นเช่นเดิม รอบด้านมีไอหนาวเหน็บเย็นเยียบอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น ไอหนาวเหน็บกวาดไปทั่วทุกหนแห่ง บริเวณโดยรอบกลายเป็นดินแดนอันหนาวเหน็บที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง หยาดฝนโปรยปรายเหล่านั้นล้วนถูกแช่แข็ง
“จักรวาลอันเล็กจ้อยของเจ้า สู้ข้ามิได้หรอก” จอมมารเอ่ยปาก
“เฮอะ”
แต่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ยื่นมือตรงออกมา ผิวหนังบริเวณฝ่ามือของเขาแห้งเหี่ยว ฝ่ามือใหญ่ที่มีกรงเล็บราวกับโครงกระดูกเอื้อมคว้ามา บริเวณที่ผ่านก็ปกติธรรมดาไม่เกิดระลอกคลื่นใดเลยแม้แต่น้อย ทว่าจอมมารกลับเคร่งขรึมขึ้นมาเสียแล้ว เขารู้ว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเข้าสู่ขั้นอลวนมาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว บางทีระดับความลึกลับของการต่อสู้คงจะธรรมดาเป็นอย่างยิ่งจึงสามารถถูกตนยั่วยุได้โดยง่าย แต่พลังการโจมตีนั้นกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
จอมมารเพียงแค่ซัดฝ่ามือออกมาคราหนึ่ง ฝ่ามือของเขาขาวกระจ่างราวแก้วผลึก เรืองแสงจางๆ ภายในร่างของเขาวิวัฒน์เป็นจักรวาลขนาดย่อมอยู่ก่อนแล้ว ขณะนี้พลังของจักรวาลขนาดย่อมทั้งหมดทั้งมวลมารวมเข้าด้วยกันอยู่ที่ฝ่ามือ แม้กระทั่งพลังของร่างแท้หมื่นมารที่เขาพาไปถึงขั้นอลวนด้วยตนเองก็ปะทุออกมาด้วย
พลั่ก!
ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน รอบด้านมีรอยแยกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น บริเวณที่มีรอยแยกสีดำอยู่ พลังงานและห้วงมิติทั้งหมดก็หายวับไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่เพียงแค่ชมดู ถึงแม้จะมีจอมมารคุ้มกันอยู่ข้างๆ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าวิญญาณพลันสั่นสะท้านคราหนึ่ง
ร่างกายของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารต่างก็สั่นสะท้านน้อยๆ คราหนึ่ง แล้วทั้งคู่ต่างก็ถอยร่นไปหนึ่งก้าวเล็กๆ
“อะไรกัน” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงตกตะลึง “พละกำลังของร่างกายเขาไม่ด้อยไปกว่าข้าเลยหรือ ร่างกายนี้ของข้าบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ไม่คิดเลย ไม่คิดเลย…” เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต่อกรกับเขาโดยใช้พลังอันบริสุทธิ์ มิได้เล่นลูกไม้เล่ห์กลเช่นอิสตรี
พละกำลังของเขาอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นอลวน นับได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง สามารถจัดอันดับค่อนไปทางด้านบนที่ล้ำเลิศได้ ถึงอย่างไรขั้นอลวนทุกคนต่างก็เหนือกว่าธรรมดาด้วยกันทั้งนั้น
“ร่างแท้หมื่นมารของข้านั้นยังอ่อนแอเกินไป แต่เมื่อผนวกรวมกับพลังของจักรวาลขนาดย่อมภายในกายแล้ว แม้กระทั่งเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ไม่สามารถกดให้จมได้” จอมมารไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว “เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผู้นี้มีฝีมือที่ร้ายกาจอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าข้าจะถือครองความได้เปรียบ ความได้เปรียบนั้นก็คงมิได้เด่นชัดนัก”
“เขาเชี่ยวชาญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ข้าคงไม่ได้เปรียบในด้านพละกำลัง ต่อให้มีฝีมือเหนือกว่าก็คงมิอาจเอาชนะได้อยู่ดี” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไม่อยากยอมรับผลลัพธ์นี้ แต่นี่คือเรื่องจริง
……
“พวกเจ้าไปเสียเถิด” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยเสียงเยียบเย็น
“ไปหรือ” จอมมารเอ่ยเสียงเย็นดุจน้ำแข็ง “ข้าบอกไปแล้วว่าต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหมดในแผ่นดินอลหม่านสองร้อยแปดสิบเก้าแห่งอย่างไม่ปรานี”
“ข้าจะถ่ายทอดคำสั่งให้พวกเขาจากไปเดี๋ยวนี้แหละ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยอย่างไม่แยแส “สำหรับที่ว่าเจ้าจะสังหารได้เท่าไหร่ ก็ต้องดูพลังยุทธ์ของเจ้าแล้วล่ะนะ” แผ่นดินอลหม่านมากมายถึงเพียงนี้กระจัดกระจายไปทั่ว สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่มีอยู่ทั้งหมดต่างก็หลบหนีไป ร่างแยกของจอมมารที่ขาดทักษะจะสามารถสังหารได้สักเท่าใดกันเชียว
“สังหารพวกเขาให้สิ้นซากนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น อาภรณ์ที่เจ้าหล่อหลอมมาโดยตลอดชุดนั้นก็ต้องถูกทำลายด้วย” จอมมารพูดต่อไป
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
อาภรณ์หรือ
เขาสิ้นเปลืองระยะเวลายาวนานเพื่อเก็บรวบรวมวัสดุและหล่อหลอมมันขึ้นมา ตอนนี้กำลังรวบรวมความหวาดกลัวและความคับแค้นจากแผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่ง หลอมรวมเข้าไปในอาภรณ์ ก็เพื่อหลอมเป็นอาภรณ์ชุดหนึ่งที่เขาอยากได้มาโดยตลอด กระทั่งตัวเขาเองได้ตั้งชื่ออย่างคาดหวังรอคอยเอาไว้แล้ว เรียกว่า ‘อาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสง’ ตั้งชื่อล้อกับชื่อของตัวเขาเอง ผนวกรวมกับพลังยุทธ์ของตัวเขา ก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มพูนได้กว่าห้าส่วน
ตอนนี้อาภรณ์ชุดนี้หลอมสำเร็จไปเก้าส่วนแล้ว ยังต้องการความคับแค้นและความหวาดกลัวที่เพียงพออีกจำนวนหนึ่งจึงจะสำเร็จเสร็จสิ้น
“เจ้าก็รู้ด้วยหรือนี่” สีหน้าของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมีความดุร้ายอยู่บ้าง “ดูท่าทางเจ้าคงจะสืบพบมาก่อนแล้ว”
“ข้าลอบสืบค้นมานานพอดูแล้ว” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ด้วยอารมณ์ของข้า เจ้าหลอมอาภรณ์ชุดนั้นไปก็มิอาจนับเป็นอะไรได้ แต่วังทวีสูญของข้าคุมกฎอยู่ที่นั่น วัตถุที่หล่อหลอมขึ้นจากความหวาดกลัวและความคับแค้นของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นจะต้องถูกทำลายทิ้งเสีย!”
“อาศัยเจ้าน่ะหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยิ้มเยาะ
ให้เขาละทิ้งดินแดนกว่าสองร้อยแห่งเขาก็ไม่แยแส ลูกน้องจำนวนหนึ่งตายไปเขาก็ไม่สนใจ แต่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับ ‘อาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสง’ ไปมากมายเหลือเกินแล้ว ต่อให้เป็นบรรพชนกู่ออกหน้าให้เขาละทิ้งเขาก็ไม่มีทางละทิ้งหรอก! เพราะสำหรับผู้แกร่งกล้าแล้ว พลังยุทธ์ของตนเองจึงจะเป็นสิ่งพื้นฐาน!
“ใช่แล้ว อาศัยข้านี่แหละ!” นัยน์ตาของจอมมารยิ่งทวีความเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แววสังหารล้นฟ้า ถึงแม้จะไม่มั่นใจ แต่เขาก็ยังต้องสู้ ต้องสังหารเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผู้นี้ให้ตายกันไปข้าง
“ปัง…”
กลิ่นอายแปลกประหลาดสายหนึ่งเคลื่อนมา โดยรอบมีท่อนกระดูกมากมายไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น ดินแดนอันหนาวเหน็บที่อยู่โดยรอบ และหยาดฝนสีดำหายวับไปจนสิ้น เหลือเอาไว้เพียงแผ่นดินกระดูกอันกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นขอบเขต
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ต่างก็มองดูแผ่นดินกระดูกอันไร้ขอบเขตแห่งนี้แล้วต่างก็กลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาต่างก็คาดเดาไว้ลางๆ
เห็นเพียงว่าตรงบริเวณไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏออกมา
เขามีผมสีขาวยาวประบ่า ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างแก่ชรา แต่ก็ยังสามารถเห็นความหล่อเหลาอย่างยิ่งจากองคาพยพทั้งห้าได้อยู่ อีกทั้งบนร่างยังสวมใส่อาภรณ์สีขาวงดงามหรูหรา
ชายชราผมขาวในอาภรณ์สีขาวงดงามหรูหราตลอดร่างมองจอมมารจากที่ไกลๆ “จอมมารแห่งวังทวีสูญ พาคนของเจ้าไปเสียเถิด”
“หืม”
จอมมารมีแววต่อสู้ฉายชัดในดวงตา “บรรพชนกู่ ร่างแปรร่างเดียวของท่านขู่ให้ข้ากลัวมิได้หรอก เป็นหนึ่งไม่มีสอง ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งมาก็ยิ่งมีความหมายแล้ว!” พูดแล้วรอบกายของจอมมารก็มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าเดินออกมา เป็นเงาร่างที่มีเงาสีแดงโลหิต มีเงาร่างที่กำยำล่ำสัน มีเงาร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดเกราะ มีเงาร่างที่มีเสน่ห์ร้ายกาจ…
ร่างแปรทั้งหก กระจายไปแต่ละทิศ
ร่างจริงอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง!
เสียงหัวเราะของจอมมารมีความบ้าคลั่งอยู่บ้าง “ร่างแปรร่างแท้หมื่นมารทั้งหกของข้า ถึงแม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่ก็สามารถต่อสู้ได้แล้ว มาสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ที่อยู่ด้านหลังจอมมารต่างก็กลั้นหายใจ
เด็กอย่างพวกเขาสองคนยุแหย่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็แล้วไปเถิด แต่จอมมารปรากฏกาย ตอนนี้แม้กระทั่งบุคคลขั้นสุดยอดอย่างบรรพชนกู่ก็ถึงกับส่งร่างแปรร่างหนึ่งมาด้วยแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านมาถึงแล้วหรือ ตอนนี้ความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ ยิ่งมาก็ยิ่งใหญ่โตแล้ว หากไม่ระวัง ข้าก็จะถูกผลกระทบไปด้วยแล้ว” หลัวไห่ถ่ายเสียงส่งไปยังบิดาของตน ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยื่นมือมาจับพวกเขา เขาก็ส่งสารขอความช่วยเหลือไปในทันทีแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า มาถึงก่อนแล้วล่ะ จอมมารแห่งวังทวีสูญก็มีความหมายอยู่บ้าง มาดูความครึกครื้นก่อนดีกว่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงสมองของหลัวไห่
……………………………………
ตอนที่ 17 เจ้าเมืองหลัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลัวไห่พลันผ่อนลมหายใจออกจากปาก ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ชมดูเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยจิตใจที่มีชีวิตชีวา “หึๆ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง ปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวเจ้า เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผู้นี้ก็จะกลายเป็น ‘ตัวเองกันแสง’ แล้ว”
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับผ่อนคลายไม่ลง ถึงแม้ว่าจอมมารจะร้ายกาจ แต่ฝั่งตรงข้ามกลับเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน ‘เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง’ และร่างแปรหนึ่งของบรรพชนกู่ที่เล่าลือกัน
……
ขณะนี้จอมมารซึ่งมาพร้อมกับร่างแปรทั้งหกก็มีแววอาฆาตสูงเทียมฟ้า
ชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรเห็นเช่นนี้แล้วกลับส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้ม ก่อนจะนั่งลงตามสบาย กระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนด้านหลังรวมตัวกันเป็นบัลลังก์ เขานั่งลงบนบัลลังก์ มือซ้ายวางเท้าลงบนท่อนกระดูกที่เปล่งประกาย พลางมองจอมมารที่อยู่ไกลออกไปอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จอมมารแห่งวังทวีสูญ ข้ากับเทียนอวี๋แห่งวังทวีสูญของพวกเจ้ารู้จักกันมานมนาน ข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง มิใช่ว่าเจ้าควรทำความเคารพตาเฒ่าเช่นข้าผู้นี้สักคราหนึ่งหรอกหรือ ไม่ใช่ว่ารวบรวมเอาความหวาดกลัวและความคับแค้นมาฟูมฟักสมบัติล้ำค่า ผู้แกร่งกล้ารอดชีวิต ผู้อ่อนแอตาย พวกเขาอ่อนแอ พวกเขาก็สมควรตายน่ะสิ”
“เฮอะ ถ้าหากไม่มีกฎเกณฑ์ ข้าก็คร้านจะมายุ่งเรื่องนี้เหมือนกัน” เสียงของจอมมารสั่นสะเทือนท่อนกระดูกจำนวนมหาศาลที่อยู่รอบบริเวณ ในใจจริงของเขาเชื่อมั่นว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงได้สร้างหุบเหวลึกดำมืดออกมา เขาเอ่ยอย่างเย็นชาต่อไปว่า “แต่วังทวีสูญของข้าและตำหนักเทพอากาศกับขุมอำนาจอีกหลายแห่งได้บัญญัติกฎเกณฑ์เอาไว้ก่อนแล้ว ข้าเป็นประมุขวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญก็ย่อมต้องทำตามกฎเกณฑ์ อ้างอิงจากกฎเกณฑ์ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะต้องได้รับโทษทัณฑ์!”
“กฎเกณฑ์ นั่นมันเป็นกฎเกณฑ์ที่พวกเจ้าบัญญัติขึ้น ข้ามิได้เคยเห็นชอบด้วยเสียหน่อย” ชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรยิ้มน้อยๆ “นอกจากนี้ ข้าก็ไว้หน้าวังทวีสูญของพวกเจ้าแล้ว ให้เจ้าพาคนของเจ้าจากไป มิฉะนั้นแล้ว เจ้ามาถึงที่ของข้า มาก่อเรื่องวุ่นวายใต้ชายคาของข้า แล้วเจ้าจะรอดไปได้อย่างนั้นหรือ”
“ไปมิรอดหรือ” จอมมารกวาดสายตามองเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงปราดหนึ่ง
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ยิ้มหยัน “ใช่แล้ว หากเจ้ายังไม่ไปอีกก็จะไปมิรอดแล้วนะ ข้ายังขอเตือนให้เจ้าจากไปโดยเร็วที่สุดเสียดีกว่า เช่นนี้ก็จะยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้”
“ให้โอกาสเจ้าอีกรอบหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย พาคนของเจ้าไสหัวไปให้ไกลๆ เสีย” ชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรออกคำสั่งด้วยรอยยิ้มหยัน
แววตาของจอมมารก็เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “หืม อาศัยพวกเจ้าน่ะหรือ”
“ช่างรนหาที่ตายโดยแท้”
มือซ้ายของชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรเคาะที่วางแขน ทว่าร่างกายกลับพลันแปรเปลี่ยนแล้วรวมตัวกันขึ้นมาใหม่ กลิ่นอายของเขาเริ่มพุ่งทะยานขึ้น กระดูกจำนวนมหาศาลที่อยู่โดยรอบค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น กระดูกสีขาวทุกท่อนล้วนกลายเป็นหยก บริเวณโดยรอบเริ่มปรากฏการเคลื่อนไหวของกฎเกณฑ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจนสามารถสัมผัสรับรู้ได้อย่างแจ่มชัด นี่ช่างเยียบเย็นและเหิมเกริมอย่างยิ่ง นี่คือการเคลื่อนไหวของกฎเกณฑ์ที่เยียบเย็นอหังการที่สุด กฎเกณฑ์สูงส่งล้ำเลิศอย่างที่สุด ไม่ด้อยไปกว่ากฎการสัญจรจักรวาลเลย
จอมมารมองไปทางชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “ร่างจริงหรือ”
ด้วยระดับขั้นของเขา ในเวลานี้ก็ค้นพบว่ากลิ่นอายของบรรพชนกู่ได้แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์แล้ว มิใช่ร่างแปรอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นร่างจริง!
“สายไปแล้วล่ะ!” บรรพชนกู่ยื่นมือออกมาอย่างไม่แยแส ในมือก็มีขวานใหญ่สีดำที่ดูโหดเหี้ยมปื้นหนึ่งปรากฏขึ้น บนขวานใหญ่มีพื้นผิวสีทองอันเรียบง่ายอย่างยิ่ง อากาศจางๆ บริเวณคมขวานสับลงอย่างไม่หยุดหย่อน เขาสะบัดมือขว้างคราหนึ่ง ขวานใหญ่สีดำก็ลอยตรงไปยังเจ้าสำนักสวรรค์กันแสง
“ร่างจริงของบรรพชนกู่อยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีพลังยุทธ์อ่อนแอแต่ก็สามารถคาดเดาได้แล้ว
ในข้อมูลของท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศกู่ฉีมีบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดทุกคนเอาไว้ บรรพชนกู่เคยใช้กระดูกซี่โครงของตนเองสองซี่เป็นแก่นกลาง แล้วใช้วัสดุล้ำค่านานาชนิดหลอมขึ้นมาเป็นศาสตราวุธที่น่าหวาดหวั่นชิ้นหนึ่งขึ้นมาในที่สุด…ขวานหวายดำ ดูเหมือนจะโอหัง แต่ความจริงแล้วเป็นอาวุธเทพขั้นสุดยอดที่ร้ายกาจที่สุดชิ้นหนึ่ง
อาวุธเทพขั้นสุดยอด ก็คืออาวุธเทพขั้นจักรวาล! ซึ่งก็คือสมบัติล้ำค่าขั้นสูงที่สุด
พูดถึงพลังยุทธ์ บรรพชนกู่จัดเป็นพวกระดับล่างในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด แต่ ‘ขวานหวายดำ’ ปื้นนี้ของเขากลับมีชื่อเสียงลือลั่น สามารถจัดเป็นแถวหน้าในบรรดาอาวุธเทพขั้นสุดยอดจำนวนมากมายได้ เพราะหนึ่งในส่วนที่เป็นแก่นก็คือกระดูกสองซี่ของตัวเขาเอง ดังนั้นจึงสามารถสำแดงพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ในยามที่อยู่ในมือของเขาเท่านั้น
ศาสตราวุธที่สำคัญที่สุดของบรรพชนกู่ก็ปรากฏขึ้นแล้ว ร่างจริงย่อมต้องอยู่ที่นี่แน่!
“หยุดมือนะ” จอมมารตะโกนขึ้นทันควัน
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่เพิ่งคว้าขวานหวายดำเอาไว้กลับค่อนข้างตื่นเต้น เขารู้สึกว่าในขวานหวายดำเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลอย่างมิอาจคาดคิดได้ ดูเหมือนว่าเขาจับศาสตราวุธเอาไว้ก็จริง แต่ความจริงแล้วพลานุภาพของศาสตราวุธนั้นล้วนเป็นบรรพชนกู่ควบคุมทั้งสิ้น เพียงแค่อาศัยมือของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมาสำแดงเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้ให้เจ้าไป เจ้าก็ไม่ไป ตอนนี้นึกอยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว เจ้ายังจะให้ข้าหยุดมืออีกหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยิ้มเยาะ
จอมมารไม่ยั้งมือ ทั้งยังส่งสารให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปพร้อมกันด้วย “ตงป๋อเสวี่ยอิง ข้ารู้ว่าเจ้าก็มาจากจักรวาลแรกเริ่ม ทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมบ้านเกิดของข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงตอบรับภารกิจนี้แล้วมาดูเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะมาพบแผนการลับของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเข้า ตอนนี้ก็วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว ร่างจริงของบรรพชนกู่อยู่ที่นี่ ข้าก็ย่อมหนีไม่รอดอย่างแน่นอนแล้ว! อีกประเดี๋ยวข้าจะสำแดงเคล็ดวิชาลับส่งเจ้าจากไป บรรพชนกู่อาจลงมือกับข้า แต่เขาไม่สนใจที่จะลงมือกับเจ้าหรอก”
“ผู้อาวุโสจอมมาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
“วางใจเถิด ต่อให้ถูกเขาจับตัว อย่างมากที่สุดก็แค่ทนทุกข์ทรมานหน่อย ต่อให้เจ้าเฒ่าโครงกระดูกผู้นั้นกล้ากว่านี้ เขาก็ไม่กล้าสังหารผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนของวังทวีสูญของข้าหรอก” จอมมารถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้ข้าเบนความสนใจของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงแล้ว หลังจากนั้นจะส่งเจ้าจากไป! บรรพชนกู่ถือศักดิ์ศรี รังเกียจที่จะลงมือ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะต้องขัดขวางข้าอย่างแน่นอน”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจถึงความเร่งร้อนของสถานการณ์
“สหายตัวน้อยผู้นี้ ข้าจะส่งเจ้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงไปพร้อมกันนะ” จอมมารมองไปทางหลัวไห่
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า ข้ามีวิธีรักษาชีวิตของตัวเองได้” หลัวไห่ถ่ายเสียงพูดอย่างมั่นใจในตนเอง
จอมมารฟังแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง
ในเวลานี้ ยังมีความมั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้ มีความเป็นมาเช่นไรกัน
อันที่จริงด้วยความหลักแหลมของจอมมารก็ค้นพบอยู่ก่อนแล้วว่าหลัวไห่ดูเหมือนจะสงบนิ่งยิ่งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก ในเวลาเช่นนี้ยังสามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้ หรือว่าจะเตรียมตัวรับความตายเอาไว้แล้วจริงๆ ถึงได้มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวด
……
จอมมารลอบถ่ายเสียงพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง พูดด้วยรอยยิ้มเย็นกับเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไปพลาง “สวรรค์กันแสง ต่อให้เจ้าถือขวานหวายดำ ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน! เอาชนะร่างแปรทั้งหกของข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!” เอ่ยวาจาออกไปแล้ว ร่างแปรทั้งหกที่อยู่ล้อมรอบจอมมารก็พลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงแล้วไปล้อมรอบเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงแทบจะในทันที
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถือขวานหวายดำไว้ในมือ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นไม่แยแส เขาเพียงแค่แกว่งขวานกวาดไปคราหนึ่งในทันใด
พรึ่บ
แสงเงาสีดำอันอ่อนจางยิ่งสายหนึ่งพลันกวาดผ่านร่างแปรทั้งหกของจอมมาร ยามที่แสงเงาสีดำสับผ่านไปราวกับพัดนี้ จอมมารค้นพบด้วยความพรั่นพรึงว่าร่างแปรทั้งหกของเขา แต่ละร่างต่างก็ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแปลกประหลาด พันธนาการอันไร้รูปร่างนี้ราวกับเชือกเส้นแล้วเส้นเล่ามัดพันเอาร่างแปรทั้งหกของเขาเอาไว้ การเคลื่อนไหวอย่างสุดกำลังของเขาล้วนเปลี่ยนไปเป็นความเชื่องช้าอย่างยิ่ง
ขวับ…ร่างแปรหกร่างในที่นั้นมีสี่ร่างแปรที่ถูกตัดผ่านแล้วหายวับไปในทันใด มีร่างแปรเพียงสองร่างที่ถูกตัดจนขาดแยกจากกันแล้วสามารถกลับไปรวมร่างกันใหม่ได้สำเร็จ
ร่างหนึ่งคือร่างแปรที่มีเงาสีแดงโลหิต ส่วนอีกร่างก็คือร่างที่เป็นของเหลวสีดำ ซึ่งก็คือสองร่างแปรที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด
“อะไรกันนี่” จอมมารพรั่นพรึง
ถึงแม้ว่าวังทวีสูญก็มีอาวุธเทพขั้นสุดยอด แต่ยามที่บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบสนทนากับจอมมารเป็นครั้งคราวนั้นต่างก็ควบคุมพลังยุทธ์อยู่เสมอ ยิ่งไม่สามารถใช้อาวุธเทพขั้นสุดยอดได้
ถึงแม้ว่าจอมมารจะเคยมีโอกาสได้ลิ้มรสอาวุธเทพขั้นสุดยอดมาก่อนแล้ว แต่ ‘ขวานหวายดำ’ ก็ยังน่าหวาดหวั่นกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากมายนัก
“เจ้าหนีไม่รอด เจ้าเด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังเจ้านั่นก็หนีไม่รอดเช่นเดียวกัน” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถือขวานหวายดำไว้ในมือ เขาคร้านที่จะไปใส่ใจร่างแปรทั้งสองของจอมมาร จึงโจมตีเข้าใส่ร่างจริงของจอมมารโดยตรง “อีกไม่นานเจ้ากับเด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังเจ้าก็จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่”
ทันใดนั้นเวลาก็หยุดชะงักลง
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่ถือขวานหวายดำเอาไว้ในมือก็หยุดค้างอยู่กลางเวหา จอมมารที่ลอบสำแดงเคล็ดวิชาเองก็มิได้ขยับแม้แต่น้อย หลัวไห่ยังมองดูพร้อมมุมปากแย้มยิ้ม สีหน้าแข็งค้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตระหนกก็แข็งค้างไปเช่นเดียวกัน
ความจริงแล้วด้วยระดับขั้นของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารนั้น คิดจะทำอะไรที่กระทบต่อความเร็วในการเคลื่อนของเวลาล้วนเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา การทำให้เวลาของพวกเขาหยุดชะงักลงก็เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่นั้นหยุดชะงักลงแม้กระทั่งความคิดอ่าน ในขณะนี้เวลาของพวกเขาได้หยุดนิ่งลงโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
ส่วนเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารดีกว่าเล็กน้อย วิญญาณของพวกเขายังสามารถรักษาความนึกคิดที่ค่อนข้างเชื่องช้าเอาไว้ได้!
“ใคร ที่แท้เป็นใครกัน”
พวกเขาทั้งสองต่างก็ตื่นตระหนกและพรั่นพรึงอยู่บ้าง
ต่อให้เป็นเทพจักรวาล ถ้าหากเป็นเพียงร่างแปรพวกเขาก็ไม่กลัว ถ้าหากร่างจริงของเทพจักรวาลมาเยือนก็ชนะเพียงเพราะความแตกต่างของพลังยุทธ์ตามระดับขั้นและความสามารถในการบดขยี้เท่านั้น ย่อมไม่มีทางควบคุมเวลาจนทำให้พวกเขามิอาจเคลื่อนไหวได้ นี่ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้วจริงๆ
เห็นเพียงว่ามีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางแผ่นดินกระดูก บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีฟ้าเข้มหลวมโพรกผู้หนึ่งก้าวเดินมาอย่างช้าๆ
“เจ้าเมืองหลัวหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารกระจ่างแจ้งในทันใด
เทพจักรวาลที่ครอบครองพละกำลังของทั้งจักรวาลแห่งหนึ่งจึงไร้พ่ายเช่นนั้นได้ ทว่าเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่า ‘เจ้าเมืองหลัว’ กลับเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนเท่านั้น แต่ระดับขั้นของเขาสูงส่งเหลือเกิน เขาควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์… แต่กลับน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบผู้เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแห่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์เสียอีก! ระดับขั้นของเขาไปถึงระดับที่เหนือจินตนาการแล้ว
พูดถึงระดับขั้น ต่อให้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกทิพย์โบราณและมหาโลกทิพย์ทั้งห้าผู้นั้น และบุคคลอันน่าหวั่นเกรงที่มืดบ้างสว่างบ้างท่านอื่นๆ แต่ละท่าน หรือแม้แต่ในความคิดของผู้ท่องอากาศกู่ฉี ระดับขั้นของเจ้าเมืองหลัวก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด
“เฒ่าโครงกระดูก” บุรุษหนุ่มอาภรณ์สีฟ้าเข้มหลวมโพรก ‘เจ้าเมืองหลัว’ มองไปทางบรรพชนกู่ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกที่อยู่ไกลออกไป
สีหน้าของบรรพชนกู่ไม่น่าดูอยู่บ้าง เขาลุกจากบัลลังก์กระดูกขึ้นยืนอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“ว่ามาสิ ควรจะอธิบายกับข้าเช่นไร” เจ้าเมืองหลัวมองบรรพชนกู่
…………………………………
ตอนที่ 18 คำถาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้จอมมารและเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะขยับก็มิอาจขยับได้ หูก็มิอาจได้ยินเสียงใดๆ เห็นเพียงแค่ว่าบรรพชนกู่ที่อยู่ไกลออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองหลัว คล้ายจะมีท่าทีที่นอบน้อมลงมาไม่น้อย พวกเขาต่างก็รู้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเมืองหลัวแข็งแกร่งกว่าบรรพชนกู่อยู่มากมาย แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนห้วงอากาศเสียอีก
เพียงแต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด เอาชนะมิได้ก็ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ จำเป็นจะต้องมาระมัดระวังเช่นนี้ทำไมกัน
ดีร้ายอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังสามารถเห็นสถานการณ์ได้ ส่วนตรงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่อยู่นั้น เวลาได้หยุดชะงักไปโดยสมบูรณ์แล้ว
……
บรรพชนกู่ลุกจากบัลลังก์กระดูกขึ้นยืนพลางพยายามฝืนยิ้ม “ฮ่าฮ่า เจ้าเมืองหลัว ช่างบังเอิญเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าเมืองหลัวในสถานที่อันไกลโพ้นเช่นนี้ด้วย ที่แท้แล้วเป็นเรื่องอันใดกันแน่หนอที่ดึงดูดท่านเจ้าเมืองหลัวมา เป็นจอมมารหรือ เป็นเจ้าเด็กสองคนนั่นหรือ คงมิได้เจาะจงมาจ้องมองข้ากับสวรรค์กันแสงโดยเฉพาะหรอกกระมัง”
“ข้ากำลังถามเจ้าว่า จะอธิบายกับข้าเช่นไร!” เจ้าเมืองหลัวมองเขา
บรรพชนกู่มีสีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง
“ตอนแรกข้ารับปากจะให้เจ้าเข้าสู่โลกทิพย์กิเลนบูรพา รับการคุ้มกันจากโลกทิพย์กิเลนบูรพา แต่ก็ทำข้อตกลงกันเอาไว้ก่อนแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูดต่อไป “หากมิใช่หยวนขอให้ข้าช่วยเหลือ เจ้าจะสามารถเข้าสู่โลกทิพย์กิเลนบูรพาได้หรือ ตอนนี้เข้ามายังโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้ว แต่กลับไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่ข้าบัญญัติขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเมืองหลัว” บรรพชนกู่เอื้อนเอ่ย “ก่อนอื่นเลย ข้ามิได้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ท่านบัญญัติ แผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่งที่ประสบเคราะห์ถูกสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศยึดครอง กลืนกินค่ายสังหารก่อให้เกิดความหวาดกลัว ความคับแค้นและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย! ท่านจะไปตรวจสอบผ่านห้วงมิติเวลาดูเลยก็ได้ ข้าไม่ได้รู้มาก่อนเลยจริงๆ เป็นความคิดของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเองทั้งสิ้น”
“ประการถัดมา ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะทำเรื่องเหล่านี้ แต่แผ่นดินอลหม่านเหล่านี้ก็อยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน มิได้อยู่ในอาณาบริเวณของโลกทิพย์กิเลนบูรพาเสียหน่อย! ท่านสามารถห้ามปรามไม่ให้พวกเขาสังหารหมู่อย่างหยาบช้าป่าเถื่อนในโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้ก็จริง แต่ในโลกทิพย์แห่งอื่นๆ และแม้กระทั่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน…นี่ก็ยากยิ่งที่จะห้ามปราม”
เจ้าเมืองหลัวมองบรรพชนกู่พลางเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ก็ได้ ข้ายอมรับว่าเจ้าไม่รู้เรื่องมาก่อน แต่เมื่อครู่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงขอความช่วยเหลือจากเจ้า พอร่างแปรของเจ้ามาถึง ก็ควรจะรู้เรื่องนี้แล้วกระมัง”
“พอรู้แล้ว เจ้าไม่เพียงแต่ไม่จัดการอะไรเท่านั้น แต่ยังช่วยเหลือสวรรค์กันแสงอีกมิใช่หรือ” เจ้าเมืองหลัวมีแววหนาวเหน็บในดวงตา “ในเมื่อได้รับการคุ้มกันจากโลกทิพย์กิเลนบูรพา เจ้าก็ต้องทำตัวให้ดีสักหน่อยสิ ลืมๆ วิธีการชั่วร้ายในอดีตเหล่านั้นของเจ้าไปเสียบ้าง”
บรรพชนกู่กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็มิใช่ว่าจะปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง
ตอนนั้นที่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีถูกไล่ล่าสังหารจนไม่มีที่ไป แม้กระทั่ง ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ก็ยังคุ้มกันให้ไม่ได้! ต้องรู้ไว้ว่าโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดในตอนนั้นก็คือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทั้งมวล โลกทิพย์โบราณในตอนนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกินแล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนของโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดเท่านั้นเอง
โลกทิพย์โบราณเช่นนั้นมีเสถียรภาพปานใด กฎเกณฑ์แกร่งกล้าปานใด ในท้ายที่สุดก็ยังถูกตีจนแตกพ่ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้!
บรรพบุรุษสายหนึ่งของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็พากันตายไปจนสิ้น
เช่นบรรพชนกู่ที่นับเป็นระดับล่างในบรรดาเทพจักรวาล ตอนนั้นสามารถหนีจากศัตรูเข้ามารับการคุ้มกันในโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้ ช่างโชคดีอย่างแท้จริง
“ข้าเองก็เพิ่งรู้นี่แหละ” บรรพชนกู่พูด
เขาเองก็ไม่พอใจอยู่บ้าง
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงช่างเป็นตัวโง่งมโดยแท้ ลูกน้องฆ่าเด็กสองคนไม่สำเร็จ เขาก็จำเป็นต้องปรากฏตัวด้วยหรือ ก็ปล่อยเจ้าเด็กสองคนนั่นให้หนีไปเสียก็สิ้นเรื่อง! แต่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงกลับต้องปรากฏตัวมาลงมือด้วยตนเอง ถ้าหากปรากฏตัวลงมือแล้วเรื่องราวคลี่คลายก็แล้วไปเถิด แต่กลับไปยุแหย่เอาจอมมารแห่งวังทวีสูญเข้าเสียนี่!
ให้จอมมารไป จอมมารก็ไม่อยากไป! สุดท้ายเขาขอร้องบรรพชนกู่ สถานที่ที่บรรพชนกู่ปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญก็คือในอากาศอันสับสนอลหม่านนอกโลกทิพย์กิเลนบูรพาไม่ไกลจากที่นี่นัก นี่ก็เป็นเหตุผลที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเลือกพื้นที่แห่งนี้
บรรพชนกู่เองก็ให้ค่ากับลูกน้องของตนมาก ในขณะเดียวกันก็คิดในใจว่าตนโชคดี คิดว่าเจ้าเมืองหลัวจะไปรู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไรกัน เขาก็แค่ปิดบังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ พอเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว เช่นนั้นผู้ใดก็มิอาจหาหลักฐานได้พบ
แต่ว่า…
เจ้าเมืองหลัวกลับปรากฏตัวขึ้นเสียเฉยๆ เช่นนี้ได้!
โลกทิพย์กิเลนบูรพากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนั้น เหตุใดเจ้าเมืองหลัวจึงได้เก่งกาจเช่นนี้ เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ครู่เดียวก็มาถึงที่นี่ได้
“เพิ่งได้รู้ จึงยังไม่ได้คิดอะไรมาก ย่อมต้องปกป้องลูกน้องของข้าอยู่แล้ว” บรรพชนกู่พูดต่อ
“เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรดีเล่า” เจ้าเมืองหลัวมองเขา
บรรพชนกู่มองดูเจ้าเมืองหลัว ความทรงจำในห้วงสมองฉายภาพที่ ‘หยวน’ เคยฝากฝังเอาไว้กับเขา “เจ้าอย่าเป็นศัตรูกับเจ้าเมืองหลัวจะเป็นการดีที่สุด แต่ก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไปนัก เขาไม่มีทางสังหารใครโดยง่าย เขามีพลังยุทธ์ที่สามารถสังหารเทพจักรวาลได้ แต่เมื่อลงมือสังหารแล้วเขาก็ต้องชดใช้! ขอเพียงแค่อย่าทำให้เขาเดือดดาลจริงๆ เท่านั้น เขาก็ไม่มีทางลงมือกับเจ้าหรอก”
สำหรับหยวน…
บรรพชนกู่เชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าจะจ่ายให้หนึ่งพันศิลาปฐมโลกา ยังมี ยังมีอาภรณ์ชุดนั้นที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงหลอมขึ้นมาด้วย” บรรพชนกู่เอ่ย
“ห้าพันศิลาปฐมโลกา รวมถึงอาภรณ์ชุดนั้นของเขา แล้วก็ปล่อยเรื่องนี้ให้แล้วๆ กันไป” เจ้าเมืองหลัวพูด
บรรพชนกู่เจ็บปวดใจนัก
ศิลาปฐมโลกา ตอนนั้นหลังจากมหาสงครามอันน่าหวาดหวั่นครานั้น ทำให้โลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดระเบิดออก พลังดั้งเดิมของโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดกระจัดกระจายไปทั่ว มีบางส่วนที่เปลี่ยนแปรกลายเป็นศิลาปฐมโลกา ศิลาปฐมโลกาทุกก้อนจึงล้วนล้ำค่าเป็นที่สุด! สมบัติพิทักษ์วิถีเฉกเช่นน้ำเต้าสีดำของตงป๋อเสวี่ยอิง มีมูลค่าเหนือกว่าเรือบินอลวนธรรมดาๆ ลำหนึ่งอยู่มากโข ใช้ศิลาปฐมโลกาห้าร้อยก้อนก็เพียงพอแล้ว!
ตอนนั้นที่กู่ฉีหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีขึ้นมาก็ไม่ง่ายเลย พลังขับเคลื่อนภายในต่างก็เทียบเคียงได้กับพลังเทหวัตถุของดวงอาทิตย์เลยทีเดียว
แต่ตอนนี้เจ้าเมืองหลัวพูดตรงๆ ว่า…ต้องการขอห้าพันศิลาปฐมโลกา! นั่นเทียบเท่ากับสมบัติพิทักษ์วิถีสิบชิ้นแล้ว เป็นถึงเทพจักรวาล แต่บรรพชนกู่ก็ยังเจ็บปวดใจ
“ก็ได้” บรรพชนกู่รับคำ
……
เพียงไม่นานการหยุดชะงักของเวลาก็ถูกถอนไป
ตงป๋อเสวี่ยอิง หลัวไห่ จอมมาร และเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงต่างก็ฟื้นฟูการควบคุมตนเองกลับมาได้
“มอบอาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสงของเจ้าให้กับเจ้าเมืองหลัวเสีย” บรรพชนกู่เอ่ยกำชับ สำหรับเรื่องการให้ศิลาปฐมโลกาห้าพันก้อนนั้นเป็นการให้อย่างลับๆ มิอาจมอบให้ซึ่งๆหน้าได้ มิฉะนั้นก็จะเสียหน้ามากเกินไป
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถลึงตาเอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านบรรพชน!”
เขาถ่ายเสียงถามอย่างร้อนรน “ท่านบรรพชน ไยต้องกลัวเจ้าเมืองหลัวด้วยเล่า มีท่านอยู่ทั้งคน แม้มิอาจสู้ได้ หากพวกเราหนีก็ยังหนีรอดได้”
“ข้าสามารถหนีรอดได้ แต่การที่เขาจะสังหารเจ้านั้นกลับเป็นเรื่องง่ายดายเพียงความนึกคิดเดียว ข้าจะช่วยเจ้าก็ไม่ทัน! ไม่ฆ่าเจ้า เพียงแค่ให้เจ้าหยิบเอาอาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสงที่เจ้าหลอมขึ้นออกมา ก็นับว่าข้ายอมเสียหน้าไปขอร้องแล้ว” บรรพชนกู่ถ่ายเสียงพูด
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ถึงอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองหลัว แม้แต่จะขยับเขยื้อนสักคราหนึ่งเขาก็ยังทำมิได้เลย
“แต่ว่า แต่ว่าข้าทุ่มเท…” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไม่ยอมจำนน
“ข้าเคยเตือนเจ้าตั้งนานแล้วว่าให้เจ้าไปทำเรื่องเหล่านี้ไกลๆ โลกทิพย์กิเลนบูรพาหน่อย ใครใช้ให้เจ้ามาใกล้ถึงเพียงนี้เล่า” บรรพชนกู่ถ่ายเสียงพูด “ให้เจ้าเมืองหลัวพบเข้า ก็ได้แต่โทษที่เจ้าโชคร้ายเองแล้วล่ะ”
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจนใจ
พบเข้าได้อย่างไรกัน
เขาส่งลูกน้องไปจัดการเรื่องนี้ เขาซ่อนเร้นอยู่ในความมืดไม่มีผู้ใดล่วงรู้! จอมมารเองก็สืบหาอยู่นานจึงค้นพบ
คราวนี้เพิ่งปรากฏตัว เจ้าเมืองหลัวก็ค้นพบแล้วหรือ
“เอาเถอะ รักษาชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนี้ข้าจะช่วยเจ้าหลอมสมบัติล้ำค่า ต่อจากนี้ไปหากจะทำเรื่องพรรค์นี้อีก ก็ให้ห่างจากโลกทิพย์กิเลนบูรพายิ่งไกลก็ยิ่งดี” บรรพชนกู่ถ่ายเสียงเตือน
“ขอรับ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงได้แต่พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาก็กลัวว่าจะมีคนทำเสียเรื่อง รู้สึกว่าอยู่ให้ใกล้สถานที่ที่ท่านบรรพชนปลีกวิเวกสักหน่อยก็นับว่ามีภูผาคุ้มกัน ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าเมืองหลัวจะโผล่มา ถึงแม้ว่าบรรพชนกู่จะปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ แต่ก็ต้องชดใช้อย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
……
เพียงไม่นาน เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็หยิบเอาอาภรณ์สีเทาที่รวมเอากลิ่นอายของความคับแค้นและความหวาดหวั่นอันไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ แล้วจากไปพร้อมกับบรรพชนกู่อย่างรวดเร็ว
เจ้าเมืองหลัวหยิบอาภรณ์ชุดนี้มาแล้วเก็บไปอย่างลวกๆ
“เจ้าเด็กนี่ มาขอให้ข้าลงมือเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าเมืองหลัวมองหลัวไห่ยิ้มๆ ปราดหนึ่ง “ไปเถิด ตามข้ากลับไปได้แล้ว”
“ที่แท้แล้วเขาก็เป็นชนรุ่นหลังของเจ้าเมืองหลัวนี่เอง” จอมมารค่อยเอ่ยขึ้น “มิน่าเล่าเจ้าเมืองหลัวจึงบังเอิญมาที่นี่ได้”
หลัวไห่หันไปยิ้มกับตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้ามิได้โกหกเสียหน่อย เขาคือบิดาของข้า! ข้าถ่ายเสียงบอกเขาไว้ก่อนแล้ว เขาเองก็มาถึงก่อนแล้ว เพียงแต่มิได้รีบลงมือเท่านั้นเอง”
“เดิมทีอยากจะดูพลังยุทธ์ของประมุขวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญคนใหม่เสียหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าบรรพชนกู่จะถึงกับเอาขวานหวายดำให้กับลูกน้องของเขา” เจ้าเมืองหลัวส่ายหน้า “คราวก่อนที่จอมกระบี่แห่งวังทวีสูญมาหาข้าที่นี่ ก็ยังชมเชยเจ้ากับข้าอยู่เลย”
จอมมารเพียงแค่เผยรอยยิ้มน้อยๆ แต่มิได้เอ่ยวาจาอันใด
จอมกระบี่หรือ
นี่คือผู้ที่เขาถือเป็นศัตรูชั่วชีวิต
“ตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเรากลับวังทวีสูญกันเถิด” จอมมารเอ่ย
“ผู้อาวุโสจอมมาร ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากถามเจ้าเมืองหลัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
เจ้าเมืองหลัวสะดุ้งคราหนึ่งพลางมองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้า
“หืม มีเรื่องอันใดหรือ” เจ้าเมืองหลัวถาม
“ข้าอยากถามสักหน่อยว่ามีสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นบรรลุได้อยู่บ้างหรือไม่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้น สถานะของเจ้าเมืองหลัวไม่ธรรมดา ระดับขั้นก็สูงส่งเป็นที่สุด มีโลกทัศน์ที่ตนย่อมมิอาจเทียบได้! เขามิได้หน้าหนาพอที่จะไปขอสมบัติล้ำค่า เพียงแค่ถามหาข้อมูลเท่านั้น… มีพี่หลัวไห่อยู่ เจ้าเมืองหลัวก็น่าจะตอบคำถามของตน
ถึงแม้ว่าจะรังเกียจที่จะตอบ ตนก็มิได้เสียหายอะไร
“บรรลุหรือ” เจ้าเมืองหลัวสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเผยรอยยิ้มพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เพื่อคนใกล้ชิดหรือ”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
……………………………..
ตอนที่ 19 สูงส่งมิอาจเอื้อมถึง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้ยินคำถามของตงป๋อเสวี่ยอิง จอมมารที่อยู่ข้างๆ กลับอดที่จะส่ายหน้าน้อยๆ มิได้ หลัวไห่ก็ขมวดคิ้วมุ่น
ทว่าเจ้าเมืองหลัวกลับเงยหน้ามองอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างด้านบน “มนุษย์ธรรมดามีเกิดแก่เจ็บตาย ชีวิตเหนือธรรมดาก็มีขีดจำกัดใหญ่เช่นกัน ต่อให้เป็นเทพโลกาวิญญาณเทพก็ยังยากที่จะบรรลุอยู่ที่มหานทีแห่งกาลเวลา สูญสลายไปตามกาลเวลาในที่สุด มีเพียงการข้ามผ่านมหานทีแห่งกาลเวลาไปได้เท่านั้นจึงจะสามารถเสพสุขกับชีวิตนิรันดร์กาลได้ แต่ทว่าต่อให้ข้ามผ่านไปได้แล้ว ก็ย่อมไม่มีทางต้านทานพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านได้อยู่ดี… นอกจากเคล็ดวิชาที่ทำลายร่างกายซึ่งมีจำนวนน้อยนักและวัตถุล้ำค่าอันแปลกประหลาดแล้ว โดยปกติต้องกลายเป็นเทพอากาศ จึงจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านได้!”
“เทพอากาศก็มีศัตรูมากมาย”
“ต่อให้ ‘ขั้นกำเนิด’ ‘รวมเป็นเอกภาพ’ ‘ขั้นอลวน’ ทั้งหมดบรรลุไปถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด พวกเขาก็ยังต้องมีการต่อสู้เช่นเดียวกัน ต่างก็ต้องรับขีดจำกัดของกฎเกณฑ์ที่สูงที่สุดเช่นกัน” เจ้าเมืองหลัวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “ดังนั้นจึงได้มีเทพจักรวาลจำนวนมากหล่นหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน
ตนเองถามถึงการทำให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นบรรลุ แล้วเจ้าเมืองหลัวพูดเรื่องเหล่านี้ทำไมกัน
“นี่ก็คือกฎเกณฑ์!” เจ้าเมืองหลัวมองตงป๋อเสวี่ยอิง “กฎเกณฑ์ที่สูงที่สุด ทุกหนแห่งล้วนมีกฎเกณฑ์ ถ้าหากไม่มีกฎเกณฑ์ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็คงมีชีวิตยืนยาวกันหมด แล้วโลกจะทานทนไหวได้อย่างไรกัน”
“เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นอยากจะบรรลุ โดยปกติแล้วก็จำเป็นต้องอาศัยตนเองไปบำเพ็ญหยั่งรู้!”
“ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าบางอย่างก็ยังต้องอาศัยการบำเพ็ญบางส่วนด้วย เวลาที่ให้เจ้าบำเพ็ญ วิญญาณก็จะยิ่งละเอียด ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดี” เจ้าเมืองหลัวพูด “เจ้าเด็กที่ยังมิได้เป็นแม้กระทั่งเทพอากาศอย่างเจ้า คิดอยากจะช่วยให้คนใกล้ชิดบรรลุ คิดมากเกินไปเสียแล้ว ไปบำเพ็ญให้ดีๆ เสียก่อนเถิด!”
จอมมารก็พูดอยู่ข้างกาย “ความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติ เจ้าบำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้ เรื่องแค่นี้ก็ยังมองไม่ทะลุอีกหรือ”
“มองทะลุ แต่ก็ต้องทำให้สุดกำลัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“น้องตงป๋อ การอาศัยพลังภายนอกในการบรรลุนั้นยากเย็นเกินไปจริงๆ” หลัวไห่ก็พูดพึมพำ
สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกายวูบหนึ่ง
ยากเย็นเกินไปหรือ ก็แสดงว่ายังมีความหวังน่ะสิ!
เจ้าเมืองหลัวมองคนวัยเยาว์ตรงหน้าพลางเอ่ยว่า “กฎเกณฑ์ทั้งหมด ต่างก็เหลือโอกาสสายหนึ่งเอาไว้เสมอ เท่าที่ข้ารู้ หากอยากจะให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นอาศัยพลังภายนอกในการบรรลุนั้นมีอยู่สามวิธี”
“สามวิธีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว
“หนึ่ง โลกจอมมารดาแห่งมหาโลกทิพย์ทั้งห้า จอมมารดาบำเพ็ญ จะฟูมฟักตัวอ่อนออกมาตัวหนึ่ง ยามที่ตัวอ่อนเพิ่งสร้างขึ้นมาแล้วดวงวิญญาณเข้าไปในนั้น ก็จะอาศัยตัวอ่อนกะเทาะเปลือกออกมา พอถือกำเนิดออกมาก็จะบรรลุได้โดยตรง แต่ข้อเสียกลับเป็น…จะต้องภักดีต่อจอมมารดา! จอมมารดาให้ฆ่าตัวตาย ก็มิอาจขัดขืนได้แม้แต่น้อย” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
วิธีการเช่นนั้น ดูเหมือนว่าจะบรรลุ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับกลายเป็นข้ารับใช้ที่ภักดีของจอมมารดาไปตลอดกาล
“สอง คือ ‘บรรพชนทิพย์’ แห่งโลกทิพย์โบราณ บรรพชนทิพย์ศึกษาสรรพสิ่ง สามารถสรรสร้าง ‘หัวใจนิรันดร์’ ออกมาได้ เพียงแค่ดูดซับเอาหัวใจนิรันดร์เข้าไปในดวงวิญญาณ หัวใจนิรันดร์ก็จะสามารถช่วยเหลือดวงวิญญาณ ฝืนให้ข้ามผ่านมหานทีแห่งกาลเวลาได้” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างตื่นเต้น
“สาม ก็คือ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ แห่งโลกทิพย์โบราณ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีต้นผลไม้ที่พิเศษยิ่งต้นหนึ่งคือ ‘ต้นผลสัจธรรม’ ‘ผลสัจธรรม’ ผลไม้ที่เกิดขึ้นมานั้นมีเวทมนตร์นานาชนิด กินไปผลหนึ่งก็สามารถบรรลุได้แล้ว”
เจ้าเมืองหลัวพูด “หัวใจนิรันดร์และผลสัจธรรมต่างก็ไม่มีผลกระทบตามมา”
ฟังถึงตรงนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกิดความกระหายอยากอันแรงกล้าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“บรรพชนทิพย์หล่อหลอมหัวใจนิรันดร์ขึ้นมาอย่างยากลำบากเหลือเกิน เท่าที่ข้ารู้ จนกระทั่งบัดนี้ก็ผ่านมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้ว เขาก็เพิ่งหลอมออกมาได้เพียงสามดวงเท่านั้น สองดวงในนั้นก็เพื่อคนใกล้ชิดและสหายรัก ยังมีอีกดวงหนึ่งที่เป็นการทำข้อตกลงกับราชันย์มีด” เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ “เพื่อให้ได้หัวใจนิรันดร์ดวงนั้นมา ราชันย์มีดและบรรพชนทิพย์ก็ร่วมมือกันปลิดชีพเทพจักรวาลท่านหนึ่ง นึกอยากให้บรรพชนทิพย์หลอมอีกดวงหรือ ข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าจะต้องจ่ายด้วยราคาเช่นไร!”
“ผลสัจธรรมมีจำนวนน้อยนัก ด้วยความหยิ่งทระนงของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมมิปรารถนาจะมอบให้แก่คนนอกอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะมอบให้กับลูกน้องที่มีความดีความชอบ! เท่าที่ข้ารู้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เคยทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเทพจักรวาลอื่นด้วยผลสัจธรรมเพียงสองผลเท่านั้น” เจ้าเมืองหลัวมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ดังนั้นต่อให้เป็นเทพจักรวาล ต้องการผลสัจธรรมสักผลหนึ่งก็ยังมิอาจขอได้เช่นกัน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังด้วยสีหน้าซีดขาว
เขารู้…
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ครอบครองโลกทิพย์โบราณ กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลผู้แข็งแกร่งที่สุดในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน! คิดจะได้ผลสัจธรรมสักผลหนึ่งจากเขาอย่างนั้นหรือ
พลังยุทธ์ของจอมมารดาก็แข็งแกร่งเป็นที่สุดเช่นกัน พลังยุทธ์ของจอมมารดาและบรรพชนโลกาเป็นรองเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ต่างก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสามอันดับแรก
บรรพชนทิพย์ก็จัดได้ว่าเป็นแถวหน้าเช่นเดียวกัน ใกล้เคียงกับบรรพชนโลกจอมมารดา
ท่านเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลผู้น่าเกรงขามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุด
“มีเทพจักรวาลบางส่วนที่ผนึกคนใกล้ชิดและมิตรสหายของพวกเขาเอาไว้ก่อนที่จะไปถึงขีดจำกัด เวลาหยุดชะงัก” จอมมารเอ่ยเสียงเยียบเย็น “พวกเขาก็ปรารถนาจะทำให้บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาสามารถบรรลุได้เช่นกัน! แต่พวกเขาก็มิอาจได้ตามที่ขอ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง เช่นนั้นบรรดาผู้ที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุดท้ายคิดอยากจะได้ก็ยังยากเย็นถึงเพียงนี้
“นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญบางอย่าง” เจ้าเมืองหลัวพูด “สิ่งเหล่านี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถามหรอก ในวังทวีสูญของพวกเจ้าจะต้องมีบันทึกอยู่อย่างแน่นอน มีสิ่งล้ำค่าที่ช่วยในการบำเพ็ญจำนวนหนึ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญอย่างร้ายกาจเป็นที่สุด ถ้าหากหยั่งรู้มาไม่ผิด ก็สามารถช่วยให้บรรลุได้เช่นเดียวกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เขาเองก็รู้จักวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญอยู่มากมาย ยิ่งน่าอัศจรรย์ก็ยิ่งมีมูลค่าสูงลิ่ว เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นเพียงผู้ปกครองตัวเล็กๆ อย่างเขาในตอนนี้ย่อมไม่กล้าวาดฝันอยู่แล้ว
“หลัวไห่ ควรไปกันได้แล้วล่ะ” เจ้าเมืองหลัวมองไปทางบุตรชายของตน
“น้องตงป๋อ ที่เจ้าพูดมาเหล่านั้นก็ยุ่งยากเหลือเกินสำหรับข้า ข้าช่วยเจ้ามิได้หรอกนะ” หลัวไห่เดินมาถึงข้างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง “หลังจากนี้เจ้าสามารถไปหาข้าได้ที่ ‘เมืองดาราราย’ นะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
เจ้าเมืองหลัวแย้มยิ้มแล้วก็พาบุตรชายของตนเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจากไปในทันใด ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเจ้าเด็กที่ชื่อว่า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้นี้จะค่อนข้างมีพรสวรรค์ แต่ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ แม้กระทั่งในสายตาเทพอากาศก็ยังมิใช่เด็กน้อย เขาจึงมิอาจใส่ใจมากจนเกินไปได้
……
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านหนาวเหน็บเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้สึก แต่ตอนนี้กลับอดมิได้ที่จะรู้สึกหนาวขึ้นมาวูบหนึ่ง เป็นความหนาวเหน็บในจิตใจ
หัวใจนิรันดร์และผลสัจธรรม ต่างสูงส่งมิอาจเอื้อมถึงเกินไปแล้ว!
คิดจะอาศัยพลังภายนอกในการบรรลุนั้นยากเย็น ยากเย็นเกินไปแล้วจริงๆ
“พอคนในครอบครัวเจ้าตายกันไปหมดตามวัฏจักรของจักรวาล เจ้าก็จะปรับตัวรับได้ไปตามกาลเวลาเอง” จอมมารเอ่ยอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็งอยู่ข้างๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่นในทันใด
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะทำอย่างสุดกำลัง! ตอนนี้จากจักรวาลภูมิลำเนาของตนเองมา กว่าจะถึงวันสิ้นยุคจักรวาลก็ยังเหลือเวลาอีกยาวนาน เพียงพอให้ตนเติบโตก้าวหน้าได้ ต่อให้ไม่ได้หัวใจนิรันดร์และผลสัจธรรมมา พากเพียรจนได้สุดยอดสิ่งล้ำค่ามาแล้วนำกลับไปบ้างก็ใช้ได้แล้ว
ถึงอย่างไรการหยั่งรู้ของภรรยาและบุตรก็นับว่าไม่เลว ต่างก็เป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นกันมาก่อนแล้ว
บางที…
วันที่ตนกลับไปนั้น ภรรยาและบุตรอาจบรรลุด้วยตนเองแล้วก็ได้!
“ไปเถิด ไปกวาดล้างแผ่นดินอลหม่านที่อยู่รอบๆ กันสักคราหนึ่ง” จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนย้ายผ่านอากาศ
ความเร็วของเขาช่างรวดเร็ว รวดเร็วเสียเหลือเกิน
ใช้เวลาเพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้นก็ก้าวข้ามผ่านแผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่ง ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะแอบถ่ายทอดคำสั่งอย่างลับๆ ไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรเพื่อซ่อนเร้นตัวตน เขาก็ ติดต่อกับผู้แกร่งกล้าที่รวมเป็นเอกภาพที่สนิทใจที่สุด แล้วให้ผู้แกร่งกล้าที่รวมเป็นเอกภาพเหล่านี้สั่งการลงไปอีกที แม้กระทั่งเพราะระยะห่างของแผ่นดินอลหม่าน ก็ถ่ายทอดกันไปคนแล้วคนเล่า…
เพราะก่อนหน้านี้ได้สังหารผู้แกร่งกล้าห้าคนรวมเป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ก็สังหารเทพอากาศไปด้วย ส่งผลให้การถ่ายทอดข่าวสารถูกรบกวน บวกกับการที่มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศบางส่วนยังคงหลับใหลในห้วงนิทราอย่างงดงาม
ยามที่จอมมารกวาดล้างก็พบเทพอากาศกว่าหกสิบคน สำหรับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองนั้นมีมากยิ่งกว่า แน่นอนว่า… สังหารสิ้นอย่างไม่ปรานี!
“พรึ่บ”
จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน
“ตรงหน้าก็คือโลกทิพย์กิเลนบูรพา” จอมมารก็หยุดลงเช่นกัน เบื้องหน้ามีแผ่นดินที่ใหญ่โตโอฬารไร้เทียมทานแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ใหญ่โตเสียจนมิอาจมองเห็นขอบเขต ใหญ่โตยิ่งกว่าจักรวาลแห่งหนึ่งมากมายนัก แผ่นดินอันใหญ่โตไร้เทียมทานแห่งนี้ยังมีชั้นเมฆชั้นแล้วชั้นเล่าล้อมอยู่รอบนอกสุด ท่ามกลางชั้นเมฆที่คล้อยเคลื่อนต่างก็มีสิ่งมีชีวิตอสนีบาตเจ็ดสีจำนวนนับไม่ถ้วนบินเดินเหินว่ายไปมาอยู่ตลอดเวลา
เพียงเคลื่อนเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าความเร็วในการเหินทะยานของตนต่างก็ได้รับผลกระทบด้วย ถ้าหากเข้าไปในโลกทิพย์ก็เกรงว่าความเร็วของตนจะเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก
“โลกทิพย์กิเลนบูรพาอยู่ห่างจากโลกทิพย์ทะเลสัตตดารามากเกินไป พวกเราไม่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านอันไร้ที่สิ้นสุดไปได้ นั่นต้องสิ้นเปลืองเวลายาวนาน ยาวนานเหลือเกิน” จอมมารพูด “พวกเราเข้าไปยังโลกทิพย์กิเลนบูรพาไปเชิญยอดฝีมือขั้นอลวนท่านหนึ่งมาช่วยเหลือ เขาคงสามารถส่งตัวพวกเรากลับไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ สามารถส่งตัวผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอย่างที่สุดได้ เทพจักรวาลจำนวนมากล้วนทำไม่ได้กันทั้งนั้น! ในทางกลับกัน ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนน้อยนิดที่สุดที่บำเพ็ญระบบพิเศษกลับสามารถทำได้ หากจะเชิญพวกเขาให้เป็นธุระช่วยส่งตัว ก็จะต้องจ่ายด้วยราคาสูงลิบลิ่ว
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านี้ ลำพังแค่เก็บค่าผ่านทาง ก็สามารถกลายเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในบรรดาขั้นอลวนเหล่านั้นได้แล้ว!
…………………………………………..
ตอนที่ 20 วังบรรพชนทราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้ายังไม่เคยเข้าไปในโลกทิพย์ทั้งห้ากระมัง” จู่ๆ จอมมารก็คิดอะไรขึ้นได้ เขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ขอรับ หลังออกจากจักรวาลบ้านเกิดมา ข้าก็เร่งเดินทางไปตามอากาศอันสับสนอลหม่านมาโดยตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
จอมมารพยักหน้าน้อยๆ
สวบ
เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งตรงไปยังผิวโลกทิพย์กิเลนบูรพา มีสิ่งมีชีวิตสายฟ้าอยู่กลางเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า และยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งแอบซ่อนอยู่ ทว่าในฐานะที่จอมมารเป็นแกนนำของขั้นอลวนจึงไม่แยแสทุกสิ่ง เพียงชั่วอึดใจเดียวเขาก็ทะลุผ่านชั้นเมฆมากมาย จนมองเห็นฟ้าดินไกลสุดลูกหูลูกตาอันไร้ที่สิ้นสุด
บัดนี้ท้องฟ้าสว่างรำไร ไกลออกไปมีดวงอาทิตย์ขนาดมหึมากำลังโผล่พ้นขอบฟ้า
ใช่แล้ว
มิใช่เพียงจักรวาลบ้านเกิดเท่านั้นที่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่! ตามตำนานเล่าว่า ในยุคโลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดนั้น ก็มี ‘ดวงอาทิตย์’ ที่ร้อนระอุและพลุ่งพล่านหาใดเปรียบอยู่แล้ว และยังมี ‘ดวงจันทรา’ ที่เย็นเยียบและเก็บเนื้อเก็บตัวหาใดเปรียบรายล้อมโลกทิพย์โบราณเอาไว้ หลังจากโลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดระเบิดไปแล้ว โลกทิพย์อีกหลายแห่งซึ่งสร้างขึ้นหลังจากนั้น…ก็ล้วนแต่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รายล้อมและคอยส่องสว่างทั้งสิ้น
เช่นตอนที่บรรพชนเทียนอวี๋สร้างจักรวาลบ้านเกิดของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ก็ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่มีขนาดเล็กลงขึ้นมาด้วย
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สาดส่อง ก็เหมาะสมต่อการวิวัฒน์และเอาชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิตมากกว่า
“เป็นดวงอาทิตย์ที่ใหญ่โตนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกตื่นตระหนก ดวงอาทิตย์ซึ่งขึ้นมาจากทางตะวันออกสุดของโลกทิพย์นั้นใหญ่โตมโหฬาร ดวงอาทิตย์ของจักรวาลบ้านเกิดนั้นมิอาจเทียบกับมันได้เลย
“กฎเกณฑ์ของที่นี่ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึงเบาๆ
โลกทิพย์นั้นมั่นคงยิ่งนัก กฎเกณฑ์ที่หมุนเวียนก็ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปใหญ่ มีแต่บรรดาเทพจักรวาลซึ่งบรรลุถึงระดับขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงอาจจะพอทำลายมันได้ และยังแค่ ‘อาจจะ’ เท่านั้น บรรดาเทพจักรวาลจะทำลายโลกทิพย์สักแห่งหนึ่งนั้นก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเลย อย่างกระบี่ที่สิบสาม ซึ่งเป็นกระบี่สุดท้ายของสิบสามกระบี่ผลาญโลกานั้นสามารถทำให้โลกทิพย์เสียหายได้อย่างแท้จริง หากสำแดงออกมาสักหลายกระบวนท่า ทั้งโลกทิพย์ก็อาจจะแตกทำลายลงได้ แต่นั่นก็เป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดหวั่นและต้องห้ามที่สุดในบรรดาลูกไม้การโจมตีของบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว หากไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย บรรพชนเทียนอวี๋ก็ไม่มีทางสำแดงกระบวนท่าต้องห้ามเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน
กระบวนท่านี้เป็นภาระที่ใหญ่หลวงยิ่งนักทั้งสำหรับตัวเขาเอง และจักรวาลภายในกายของเขา
“กฎเกณฑ์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว กดดันข้าอย่างร้ายกาจเกินไปแล้ว” ก่อนหน้านี้เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใกล้โลกทิพย์กิเลนบูรพาก็รู้สึกว่าถูกกดดันแล้ว บัดนี้เมื่อเข้าไปในโลกทิพย์กิเลนบูรพา กฎเกณฑ์นี้ก็กดดันมากยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่การมองเห็นและการได้ยินของเขาก็ถูกกดดันอย่างรุนแรง
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังลองบินทะยานคราหนึ่ง เขากะพริบวาบคราหนึ่งก็บินกลับมาที่เดิม “ช้านัก!”
ตอนนี้ความเร็วของเขาช้าเสียจนบินได้เพียงห้าหกลี้ในชั่วพริบตา
“ฟ้าดินโลกเทียมหรือ เคลื่อนที่ในอากาศหรือ ทั้งยังมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้จริงๆ น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขารู้ตั้งแต่ก่อนจะมาถึงแล้ว
กฎเกณฑ์ของโลกทิพย์แข็งแกร่งยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็มีผู้แกร่งกล้ามากมายราวกับเมฆ เทพแท้ก็มีเหลือคณานับ จำนวนของเทพอากาศก็มากมายยิ่งนัก แกนนำขั้นอลวนก็มีเป็นกอง เทพจักรวาลที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุดก็มีหลายท่านด้วยกัน!
ตามที่เขาล่วงรู้มา…
ระดับผู้ท่องอากาศซึ่งเชี่ยวชาญด้านการหลบหลีกเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องหลังจากสำเร็จเป็นเทพอากาศจึงจะสามารถ ‘ทะลุอากาศในระยะทางที่สั้นยิ่งนัก’ ได้ เทียบเท่ากับการเคลื่อนที่ในพริบตา ส่วนผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ เกรงว่าคงจะต้องถึงระดับ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ จึงจะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้
ส่วนผู้ที่สามารถทะลุอากาศเร่งเดินทางเป็นระยะทางอันไกลลิบยิ่งนักอย่างแท้จริงได้นั้น บรรดาแกนนำขั้นอลวนย่อมสามารถทำได้เป็นธรรมดา ส่วนในหมู่ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ นั้น มีสิ่งมีชีวิตเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถทำได้
ส่วนผู้ปกครองเทพแท้น่ะหรือ
ไม่เคยได้ยินว่าสามารถทะลุอากาศภายในโลกทิพย์ได้เลย! กฎเกณฑ์ที่นี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“เทพแท้ยังสามารถบินเหินได้ ส่วนเทพโลกานั้นจะบินก็ยังทำมิได้เสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองไปยังเบื้องล่าง ไกลออกไปด้านล่างเป็นตัวเมืองแห่งหนึ่ง ภายในตัวเมืองมีผู้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก บัดนี้ฟ้าดินโลกเทียมของเขาปกคลุมบริเวณเล็กเกินไป เหลืออาณาบริเวณเพียงแค่พันเมตรเท่านั้น! อาศัยการสัมผัสอากาศ ก็สามารถสัมผัสกลิ่นอายของผู้อาศัยภายในตัวเมืองแห่งนั้นได้อย่างพอถูไถ
ผู้อาศัยภายในตัวเมืองนั้น…
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นชีวิตเหนือธรรมดา! แม้แต่เด็กน้อยที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หรือว่าเด็กทารกที่ยังดื่มนม ก็ล้วนเป็นชีวิตเหนือธรรมดาทั้งสิ้น
และผู้ที่เจริญวัยแล้ว ไปจนถึงหนุ่มสาววัยเยาว์ที่เก่งกาจอยู่บ้าง โดยทั่วไปล้วนเป็นเทพทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าในโลกทิพย์…ผู้ที่เจริญวัยแล้ว โดยทั่วไปก็ล้วนสำเร็จเป็นเทพได้! ทว่าภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์อัน แข็งแกร่ง แรงทำลายล้างของพวกเขาก็ต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ
ส่วนจำนวนของ ‘เทพโลกา’ ก็น้อยยิ่งนัก ดีร้ายอย่างไรผู้อาศัยภายในตัวเมืองก็มีนับล้าน แต่เทพโลกามีเพียงแค่ไม่กี่สิบท่านเท่านั้น ทั้งยังมิอาจบินเหินได้อีกด้วย
“แม้จะได้รับการกดดันจากกฎเกณฑ์ แต่อย่างน้อยเกิดมาก็เป็นเหนือธรรมดาแล้ว เมื่อเจริญวัยก็เป็นเทพ อายุขัยของพวกเขาล้วนแต่ยาวนานนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ดีกว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลบ้านเกิดมากทีเดียว”
“แข็งแกร่งกว่าไม่น้อยก็จริง ทว่าพวกเขาก็มีหายนะอยู่มากมายเช่นกัน” จอมมารเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางพูดเสียงเรียบ “ระบบการบำเพ็ญเหล่ากลืนกินนั้นง่ายดายที่สุด ทั้งยังแพร่ออกไปเป็นวงกว้างที่สุด ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินบางตนลงมืออย่างกะทันหัน กลืนกินสิ่งมีชีวิตลงไปชุดใหญ่ กลืนกินลงไปทั้งตัวเมืองก็มีให้เห็นบ่อยยิ่งนัก”
“ดังนั้น…”
“สิ่งมีชีวิตภายในโลกทิพย์ ตามปกติแล้วมีอายุขัยกว่าร้อยล้านปี แต่ก่อนอื่นก็ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นให้ได้เสียก่อน!” จอมมารกล่าว “เอาล่ะ เคยสัมผัสมาก่อนกระมัง พอจะเข้าใจโลกทิพย์บ้างแล้วใช่ไหม”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ไป”
จอมมารเริ่มพาตงป๋อเสวี่ยอิงแหวกอากาศไป
ก่อนหน้านี้เมื่อเร่งเดินทางไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน จอมมารก็ผ่อนคลาย มิได้มีความคุกรุ่นแต่อย่างใด แต่เมื่ออยู่ในโลกทิพย์ การเคลื่อนไหวก็ใหญ่โตกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
“แคว่กกก…” น้ำวนกาลมิติอันบิดเบี้ยวสายหนึ่งซึ่งมีขอบเขตถึงร้อยจ้างปรากฏขึ้นตรงหน้า จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงตรงเข้าไปในน้ำวนกาลมิตินั้น
ห่างจากจอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิงไปราวพันลี้
จวนแห่งหนึ่งพลันมีเงาร่างกำยำหนวดดกเฟิ้มสายหนึ่งบินไปกลางอากาศแล้วมอดสายตามองออกไปยังน้ำวนกาลมิติที่ปรากฏขึ้นไกลออกไป บุรุษร่างกำยำหนวดดกเฟิ้มผู้นี้มีดวงตาสีทอง เขาพูดด้วยความตกตะลึงว่า “นี่คือการใช้น้ำวนกาลมิติเร่งเดินทางอย่างนั้นหรือ เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนหรือ ข้า ข้าพลาดโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้ไปเชียวหรือ!”
โลกทิพย์ใหญ่เกินไปแล้ว
ค่อยๆ บินไปช้าๆ…ผู้บำเพ็ญทั้งหลายรวมทั้งเทพอากาศล้วนไม่มีโอกาสได้เห็นแกนนำขั้นอลวนเลยตลอดชีวิต!
******
วันคืนที่เร่งเดินทางไปช่างแห้งแล้งนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปท่ามกลางน้ำวนกาลมิติอย่างไม่หยุดหย่อน ความคิดจิตใจกว่าครึ่งของเขาถูกใช้ไปกับการค้นคว้าปรัชญาคลื่นลม
สามหมื่นกว่าปีให้หลัง
“ถึงแล้ว” จู่ๆ จอมมารซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดทางก็เอ่ยปากขึ้นทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งแล้วได้สติคืนมา
“ในที่สุดก็ถึงเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง ในฐานะแกนนำขั้นอลวน ล้วนสามารถทะลุไปเป็นระยะทางอันยาวไกลภายในโลกทิพย์ได้ ความเร็วในการเดินทางเช่นนี้ ก็ยังต้องใช้เวลาสามหมื่นกว่าปีจึงไปถึงสถานที่ที่เขาจะไปพบสหายได้! หากมิอาจทะลุไปเป็นระยะทางอันยาวไกลได้ การเร่งเดินทางภายในโลกทิพย์ก็ช่างทำให้คนสิ้นหวังเสียจริง
แน่นอนว่าผู้ที่อ่อนแอสามารถเร่งเดินทางไปโดยค่ายกลต่างๆ ได้ แต่นั่นก็ต้องใช้สมบัติล้ำค่าเป็นค่าผ่านทาง!
เมื่อบินออกไปจากทางเชื่อมกาลมิติ
จอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าวังสีดำอันสูงตระหง่าน
“รอบวังบรรพชนทรายห้ามโบยบิน” ทันใดนั้นก็มีทหารคุ้มกันซึ่งสวมเกราะโบราณสองนายถลาขึ้นสู่ฟ้า พร้อมแววอาฆาตคมกริบอันน่าหวาดหวั่น เกราะบนร่างของพวกเขาล้วนมีสายฟ้าไหลเวียนอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอดรู้สึกประหวั่นใจมิได้ เขารู้สึกว่าทหารคุ้มกันสองนายนี้ก็เพียงพอจะคุกคามถึงชีวิตของพวกเขาได้แล้ว
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง เขามองออกแล้ว ทหารคุ้มกันสองตนนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้นเองหรือนี่!
“จอมมารแห่งวังทวีสูญ” จอมมารพูดเสียงเรียบ “บอกนายของเจ้าว่าข้ามาเยี่ยม”
ทหารคุ้มกันสองนายสะดุ้งเล็กน้อย
“ขอรับ” พวกเขาทั้งสองรีบคำนับ แม้รอบอาณาเขตอันกว้างขวางของวังบรรพชนทรายล้วนแต่ห้ามโบยบิน แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนซึ่งมีพลังระดับเดียวกับเจ้านายของพวกเขานั้น มิได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์นี้
ที่เบื้องล่าง
มีผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่กำลังรวมตัวกัน ส่วนใหญ่ในจำนวนนั้นล้วนแต่เป็นเทพแท้ และยังมีเทพอากาศจำนวนน้อยนิด พวกเขาทยอยกันนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น
ผู้บำเพ็ญที่มาใหม่บางคนยังได้รับแจ้งว่า “ยังไม่ถึงเวลาเลย วังบรรพชนทรายยังมีเวลาประกาศรับศิษย์อีกตั้งสิบหกวัน ครั้งนี้ประกาศรับศิษย์เพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น เป็นเทพอากาศสิบคนและและเทพแท้เก้าสิบคน เท่าที่ข้ารู้ เทพแท้และเทพอากาศที่กำลังเร่งเดินทางมาก็มีกว่าหมื่นคนแล้ว”
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ข้าผ่านความยากลำบากมามากมายทุกรูปแบบ เกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งตั้งหลายต่อหลายครั้ง ใช้เวลาไปหนึ่งร้อยสามสิบล้านปี ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าไปจนสิ้นและยังต้องอาศัยค่ายกลส่งถ่ายกาลมิติ จึงมาถึงที่นี่ได้ในที่สุด ตามตำนานเล่าว่า เมื่อเทียบกันแล้วการเข้าไปในวังบรรพชนทรายนั้นง่ายดายกว่าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่ารับศิษย์ร้อยคน จะมีผู้บำเพ็ญมามากมายถึงเพียงนี้”
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็ทอดถอนใจ ทำได้เพียงนั่งรอคอยอยู่บนพื้น นอกวังบรรพชนทรายมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง…คืออย่างน้อยก็ปลอดภัย! ไม่มีผู้ใดกล้าวิ่งโร่มาถึงที่นี่เพื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตหรอก
แน่นอนว่ามีเพียงตอนที่วังบรรพชนทรายประกาศรับศิษย์เท่านั้นจึงอนุญาตให้ผู้มาจากภายนอกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้ ตามปกติแล้วล้วนต้องขับไล่ไปให้พ้นทันที
……………………………..
ตอนที่ 21 ในที่สุดก็ถึงวังทวีสูญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้บำเพ็ญทั้งหลายซึ่งรวมตัวกันอยู่บนทุ่งอันเวิ้งว้างนอกวังบรรพชนทรายต่างก็สังเกตเห็นเงาร่างสองสายซึ่งยืนตระหง่านอยู่กลางฟากฟ้า
“รีบดูเร็วเข้า”
“กล้าบินเหินรอบวังบรรพชนทรายด้วยหรือนี่”
เมื่อผู้บำเพ็ญเหล่านี้เงยหน้ามองจอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิง จอมมารก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพลันปลดปล่อยแรงกดดันอันไร้รูปร่างออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญเบื้องล่างพลันลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกเพียงว่ามองเห็นเงาร่างสายนั้น วิญญาณก็พลันได้รับแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่น จนต้องก้มหัวลงอย่างมิอาจควบคุมได้
ไม่ว่าจะเป็นเทพแท้หรือเทพอากาศ เพียงครู่เดียวก็ล้วนแต่ต้องก้มหัวลงกันถ้วนหน้า
แต่ภายในใจของพวกเขากลับตื่นตระหนกยิ่งกว่า
“พลังลึกล้ำเกินหยั่ง”
“บรรพชนทราย เป็นถึงขั้นอลวนในตำนาน ต่อให้เป็นศิษย์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา ก็ยังต้องร่อนลงมาตั้งแต่ไกลโพ้น แล้วค่อยๆ เดินเท้าเข้ามาแต่โดยดี คนของวังบรรพชนทรายที่กล้าเข้ามากลางฟากฟ้าเหนือวังบรรพชนทราย…เกรงว่าคงจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวน”
“ขั้นอลวนหรือ”
“นี่คือขั้นอลวนท่านหนึ่งหรือ”
บรรดาเทพแท้ที่พบเห็นอะไรมาน้อยต่างก็รู้สึกว่าเมื่อเงยหน้ามองนั้น วิญญาณก็ได้รับผลกระทบรุนแรงยิ่งนัก แต่ก็ยังคงอดพยายามเงยหน้ามองสักแวบหนึ่งมิได้ จากนั้นแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นก็ทำให้พวกเขาต้องก้มหัวลงอย่างมิอาจควบคุมได้
“ขั้นอลวน ชาตินี้ข้าก็มีโอกาสได้พบกับขั้นอลวนคนหนึ่งด้วย” เทพแท้บางคนตื่นเต้นจนยากจะควบคุมเอาไว้ได้
ขั้นอลวน เป็นแกนนำในฟากหนึ่งของโลกทิพย์
มีจำนวนน้อยยิ่งนัก!
ต่อให้เป็นพวกที่สามารถมาถึงนอกวังบรรพชนทรายได้เหล่านี้ ท้ายที่สุดก็ยังต้องถูกคัดทิ้งไป มีเพียงร้อยคนเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นศิษย์ของวังบรรพชนทราย! แต่ต่อให้ได้เป็นศิษย์ของวังบรรพชนทราย ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้พบ ‘บรรพชนทราย’ ผู้มีสถานะสูงสุดที่สุดในวังบรรพชนทราย
……
กลางฟากฟ้าเหนือวังบรรพชนทราย จอมมารยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเยียบเย็น ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ข้างหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงต่างๆ ด้านข้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ภายในโลกทิพย์ คิดจะเข้าร่วมขุมอำนาจสักฝ่ายหนึ่งต้องยากเข็ญถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่”
“ผู้ที่สามารถยืนหยัดเป็นขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นขุมอำนาจที่มีขั้นอลวนประจำอยู่” จอมมารพูดเสียงเรียบ “หากเป็นเทพอากาศทั่วไป หรือว่าขั้นรวมเป็นหนึ่ง…ไม่แน่ว่าสักวันอาจถูกสังหารตายก็เป็นได้ จึงมิอาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงโดยแท้จริง หากไม่แข็งแกร่งพอ ทรัพยากรไม่มากพอ ก็ไม่มีทางกลายเป็นขุมอำนาจของฝ่ายหนึ่งได้อย่างแท้จริง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ดังเช่นโลกทิพย์กิเลนบูรพา ขุมอำนาจที่มีเทพจักรวาลอยู่ได้แก่องค์บรรพชนกู่ ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศ พวกเขาทั้งสามล้วนมีขุมอำนาจอยู่ในมือ” จอมมารกล่าว “แต่บรรพชนห้วงอากาศยินดีที่จะปกป้องสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศและผู้ท่องอากาศซึ่งได้รับการถ่ายทอดของเขาจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น! ดังนั้นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์ที่อยากเข้าร่วมสำนักของบรรพชนห้วงอากาศก็ได้แต่ฝันไปเท่านั้น”
“เจ้าเมืองหลัวค่อนข้างไม่ธรรมดา แม้พลังจะไม่แพ้เทพจักรวาล แต่กลับไม่รับศิษย์เลย” จอมมารกล่าว
“ดังนั้น…”
“ภายในโลกทิพย์กิเลนบูรพา ผู้ที่รับศิษย์จริงๆ ก็มีแค่ราชันย์มีด องค์บรรพชนกู่และขั้นอลวนไม่กี่สิบท่านเท่านั้น” จอมมารเอ่ย “อีกทั้งแต่ละฝ่ายก็รับศิษย์เป็นจำนวนค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ของโลกทิพย์แล้ว ผู้ที่สามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้อย่างแท้จริงนั้น ก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร”
“ไยจึงไม่รับให้มากหน่อยเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “หากขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ รับศิษย์ให้มากหน่อย ขุมอำนาจก็จะแข็งแกร่งขึ้น แล้วเป็นประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์เป็นอันมาก”
จอมมารมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง “อ่อนต่อโลกนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“พวกเขาจะไปสวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งเพื่ออะไรกัน เคล็ดการบำเพ็ญต่างๆ ก็เผยแพร่ออกไปตั้งนานแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงต้องเข้าร่วมขุมอำนาจใหญ่ด้วยน่ะหรือ” จอมมารกล่าว “ก็เพื่ออย่างไรเล่า!”
“ทรัพยากรหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายกำลังครุ่นคิด
“อย่างระบบลัทธิจอมมารดานั้น ทุกครั้งที่ยกระดับก็ล้วนต้องการวัตถุภายนอกทั้งสิ้น หรืออย่างระบบการบำเพ็ญสายเลือด ก็ต้องการวัตถุภายนอกมาช่วยส่งเสริมเช่นกัน! เหล่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ต้องใช้วัตถุภายนอกมาช่วยด้านร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน” จอมมารกล่าว “ต่อให้เป็นระบบ ‘ทิพย์’ และ ‘ความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ซึ่งให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญเป็นที่สุดก็ตามที ทิพย์ต้องค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่งพวกเขาต้องการคัมภีร์จำนวนมากที่ผู้อาวุโสค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่งเอาไว้มาช่วยเหลือ ทั้งยังต้องการสิ่งล้ำค่าและวัสดุนานาชนิดมาส่งเสริม… อย่างระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ก็บรรลุได้ยากมาก ก็ต้องการคัมภีร์ที่ผู้อาวุโสบันทึกเอาไว้เป็นจำนวนมาก ยิ่งเข้าใจความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากเท่าไหร่ เมื่อบำเพ็ญจึงจะสบายขึ้นเท่านั้น”
“นอกจากนี้ ระบบทิพย์และระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ซึ่งเน้นด้านการรับรู้นั้น วัตถุภายนอกก็สามารถช่วยเหลือได้ หากไม่อาศัยวัตถุภายนอก ตลอดชีวิตก็อาจเป็นได้เพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีสมบัติล้ำค่าช่วยในการบำเพ็ญ อาจจะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้” จอมมารมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “และนี่ยังเป็นระบบที่เน้นด้านการรับรู้ด้วย หากเป็นระบบอื่นๆ ถ้าไม่มีทรัพยากรนั้นก็มิอาจยกระดับได้เลย”
“หากบุกฝ่าในโลกทิพย์เพียงลำพัง จะได้รับทรัพยากรสักเท่าใดกันเชียว”
“หากสวามิภักดิ์เข้าไปอยู่ในขุมอำนาจใหญ่สักแห่ง ขุมอำนาจใหญ่ก็ย่อมต้องช่วยเหลือสิษย์ในสำนักเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องได้รับทรัพยากรพื้นฐานที่สุด” จอมมารกล่าว “เนื่องจากต้องทุ่มเททรัพยากรให้ศิษย์ ดังนั้นขุมอำนาจใหญ่ใดๆ ก็ตามจึงรับศิษย์ได้อย่างจำกัด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ถูกต้อง
ทรัพยากร! เพื่อจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์ตนก็กำลังคิดหาวิธีพยายามให้ได้วัตถุล้ำค่าที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมาเช่นเดียวกัน!
“นอกจากนี้การรับศิษย์ก็ยังต้องรอบคอบมากด้วย” จอมมารเหลือบมองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง “โลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมิได้สงบเลย! ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ลอบช่วงชิงกัน เทพจักรวาลก็อาจจะตกอับได้! การส่งสายลับแทรกซึมเข้าไปในขุมอำนาจที่เป็นปฏิปักษ์นั้นเป็นเรื่องที่เห็นกันเป็นประจำ ดังนั้นการรับศิษย์จึงต้องระวังเสียยิ่งกว่าระวัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“เจ้าน่ะยังดี เจ้ามาจากจักรวาลบ้านเกิดของเรา ทั้งยังผ่านการทดสอบของสถานที่แรกเริ่ม จนสำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญของพวกเรา” จอมมารกล่าว “ผู้บำเพ็ญในโลกทิพย์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ล้วนต้องอิจฉาเจ้า แน่นอนว่าผู้ที่เดินออกมาจากจักรวาลอย่างพวกเรา ภายในจักรวาลนั้นขาดแคลนเคล็ดวิชาต่างๆ เป็นอันมาก ความยากในการบำเพ็ญก็มากกว่า ทารกในโลกทิพย์ล้วนแต่เป็นเหนือธรรมดาทั้งสิ้น เมื่อเจริญวัยก็กลายเป็นเทพ เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาก็บำเพ็ญได้สบายกว่า วิชาต่างๆ ก็มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ต่อให้การแย่งชิงทรัพยากรดุเดือดเป็นอย่างยิ่งก็ตามที แน่นอนว่าศาสตร์ลับระดับยอดสุดนั้น มิได้แพร่ออกไปภายนอกกันง่ายๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจแจ่มแจ้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า จอมมาร ก่อนหน้านี้ท่านเพิ่งจากพวกเราไปไม่นานเท่าไหร่ก็มาใหม่อีกแล้วหรือ” เสียงแจ่มใสเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น เงาร่างอ้วนท้วนสายหนึ่งบินเข้ามาจากที่ไกลๆ เขามีหกแขน ผิวหนังสีเขียว และยิ้มจนตาหยี
“จัดการธุระเสร็จหมดแล้วก็ย่อมต้องกลับไปเป็นธรรมดา ต้องรบกวนบรรพชนทรายส่งข้ากลับโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้ว” จอมมารกล่าว
“ได้ๆๆ ข้าต้องยินดีอยู่แล้ว ครั้งนี้เจ้ามาก็เพื่อเจ้าหนุ่มคนนี้น่ะหรือ” บรรพชนทรายผู้มีร่างอ้วนท้วนมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง
“ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญของข้าน่ะ” จอมมารพยักหน้า
“เจ้าพาผู้ปกครองเทพแท้ไปด้วยอีกคนหนึ่ง ข้าจะไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มก็แล้วกัน” บรรพชนทรายพูดยิ้มๆ “เจ้าคงจะรู้กฎดี อย่าพกสิ่งมีชีวิตไว้ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์มากจนเกินไป หากเกินกว่าขีดจำกัดที่ข้ากำหนดไว้ การส่งถ่ายก็อาจจะล้มเหลวได้นะ”
“ข้ารู้ ที่เพิ่มจากตอนมาก็แค่เขาคนเดียวเท่านั้น” จอมมารพยักหน้า
“ดี ตามกฎเดิมนะ ศิลาปฐมโลกาสิบห้าก้อน” บรรพชนทรายพูดยิ้มๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ลอบอ้าปากค้าง
ช่างโหดร้ายเสียจริง!
การส่งถ่ายไปกลับครั้งหนึ่งก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาถึงสามสิบก้อนแล้ว ตามที่ตนรู้มา เรือบินอลวนธรรมดาลำหนึ่งก็แค่ราวศิลาปฐมโลกาห้าสิบก้อนเท่านั้น ทว่าจอมมารเข่นฆ่าตามอำเภอใจและเก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าไปไม่น้อยในดินแดนสองร้อยกว่าแห่ง ครั้งนี้ต้องได้กำไรอย่างแน่นอน
“รีบเข้าเถิด” จอมมารโบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นศิลาซึ่งเปล่งแสงสีอันพิสดารที่อยู่กระจัดกระจายกันก็ลอยไป ศิลาเหล่านั้นแค่มองดูก็มีพละกำลังที่ทำให้คนใจสั่นได้แล้ว วิญญาณก็สั่นสะท้านไปหมด มีแรงผลักดันอันแรงกล้าที่ปรารถนาจะกลืนกินลงไปอยู่
ศิลาปฐมโลกา…
เมื่อโลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดระเบิดออกนั้น พลังต้นกำเนิดกระจัดกระจายไปทั่วทิศ บ้างก็แปรเป็นศิลาปฐมโลกา ว่ากันว่ามีความสำคัญต่อเทพจักรวาลเป็นอย่างมาก
“ตามข้ามา” บรรพชนทรายหัวเราะฮิฮิด้วยความกระตือรือร้นเป็นอันมาก ธุรกิจส่งถ่ายเช่นเขามีไว้เพื่อผู้แกร่งกล้าเหล่านี้โดยเฉพาะ ผู้ที่อ่อนแอกว่านี้บ้างก็ไม่มีปัญญาหาศิลาปฐมโลกามาได้มากถึงเพียงนี้ หรือหากหามาได้ ก็ทำใจไม่ได้!
……
บรรพชนทรายพาตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมมารมาถึงในโถงตำหนักอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง ซึ่งมีค่ายกลแห่งหนึ่งอยู่ตรงกลาง
จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปภายในค่ายกลด้วยความคุ้นเคยนัก
“วิ้ง” นัยน์ตาทั้งสองของบรรพชนทรายพลันมีลำแสงพุ่งออกมาสองสายก่อนจะปกคลุมทั่วบริเวณของค่ายกล อานุภาพพิเศษระลอกหนึ่งปกคลุมที่นี่
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลั้นหายใจ
บรรพชนทรายนั้นจัดอยู่ในระบบ ‘ศาสตร์โบราณ’
ศาสตร์โบราณหมายถึงระบบการบำเพ็ญในระยะแรกสุดของโลกทิพย์โบราณยุคเริ่มแรก ‘ระบบศาสตร์โบราณ’ นั้นมีทั้งที่พลังแข็งแกร่งและอ่อนแอ วิธีการที่เชี่ยวชาญก็มีต่างกันไปเป็นร้อยเป็นพันอย่าง! บ้างก็สามารถตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นไกลออกไปได้อย่างง่ายดาย บ้างก็สามารถทะลุผ่านโลกทิพย์ที่แตกต่างกันไปได้อย่างง่ายดาย บ้างก็ถึงขั้นสามารถ ‘ทำนาย’ ได้ ทั้งยังมีความแม่นยำกว่าแปดส่วนอีกด้วย!
โดยสรุปแล้ว ความสามารถร้อยแปดพันประการ ล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากศาสตร์โบราณทั้งสิ้น
อย่าง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้ครอบครอง ‘โลกทิพย์โบราณ’ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบศาสตร์โบราณเช่นกัน
“วิ้ง!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นแล้ว มองเห็นมิติรอบด้านบิดเบี้ยวแล้วยุบตัวลง มิติอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลลิบหาใดเปรียบก็กำลังยุบตัวลงเช่นกัน ทั้งสองเริ่มเชื่อมต่อกัน ก่อให้เกิดเป็นระเบียงอากาศที่สั้นยิ่งนักแห่งหนึ่งขึ้นมา
พละกำลังอันไร้รูปร่างโอบล้อมจอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในระเบียงอากาศ แม้มิติรอบด้านจะบีบอัดและฉีกทึ้งบ้างเป็นครั้งคราว แต่แทบจะในชั่วพริบตาเดียว ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนแปลงไป
“ตู้มมม… ” มิติรอบด้านกลับคืนสู่สภาพปกติ
จอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้า
จอมมารกวาดตามองรอบด้านแวบหนึ่งก่อนจะแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง “ส่งถ่ายคลาดเคลื่อนไปหน่อย ยังต้องเดินทางต่อไปอีก”
เนื่องจากระยะทางไกลเกินไป
การส่งถ่ายจึงไม่มีทางแม่นยำอย่างแน่นอนได้
“แคว่กกก…” ทางเชื่อมน้ำวนกาลมิติถูกแหวกขึ้นมา จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในนั้น ครั้งนี้เร็วนัก เพียงครึ่งวันก็ออกจากน้ำวนกาลมิติ รอบด้านยังคงเป็นท้องฟ้า
จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงบินเหินต่อไป ทันใดนั้นก็ปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง อากาศรอบด้านมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปรากฏขึ้น พวกเขาทั้งสองทะลุผ่านอากาศแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนไป เขารู้ว่าได้เข้าสู่มิติพิเศษแห่งหนึ่งแล้ว
ไกลออกไปมียอดเขาสูงตระหง่านมากมายลอยคว้างอยู่ ยอดเขาเหล่านี้มีคูหาและราชวัง ณ ศูนย์กลางซึ่งมียอดเขาจำนวนมากรายล้อมอยู่นั้น คือแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่ล่องลอยอยู่! เหนือแผ่นดินแห่งนี้มีหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน ตรงใจกลางคือวังอันโดดเด่นสะดุดตาหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง
วังอันสูงตระหง่าน แสงเรืองรองแผ่คลุมไปทั่วทุกบริเวณของมิติ
“วังทวีสูญ ข้ามาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้า
ไกลออกไปยังมีผู้บำเพ็ญโบยบินอยู่ พวกเขาล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของวังทวีสูญ บางคนในหมู่พวกเขาหันมามอง ก็เห็น ‘จอมมาร’ ซึ่งเป็นประมุขวังลงทัณฑ์ ทำเอาพวกเขาไม่กล้ามองอีกต่อไป ทว่าพวกเขาก็ลอบร่ำร้องในใจ “ข้างกายประมุขวังลงทัณฑ์เหมือนจะมีผู้ปกครองเทพแท้อยู่อีกคนหนึ่ง คือผู้ใดกัน ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเลยนี่นา”
…………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น