Snow Eagle Lord ภาค 26 ตอนที่ 34-35
ตอนที่ 34 เทพอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ล้วนตกใจอยู่บ้าง พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววยินดีออกมา พวกเขาเข้าใจดีมากว่า การที่ ‘รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นผู้ปกครอง’ นั้นหมายความว่าอะไร! นี่หมายความว่าเป็นไปได้มากว่าวังทวีสูญจะมีสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนถือกำเนิดขึ้นอีกคนแล้ว!
ถึงอย่างไรด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของขั้นผู้ปกครองก็อ่อนแอมาก สามารถรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาได้บนพื้นฐานของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายและอ่อนแอเช่นนี้ ก็ต้องมี ‘การรับรู้’ ที่ชวนผวามากทีเดียว!
ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้คนก่อนหน้า ก็คือประมุขตำหนักของ ‘ตำหนักหมื่นรูป’ แห่งวังทวีสูญคนปัจจุบัน ประมุขตำหนักหมื่นรูปถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างยิ่ง เขาตั้งใจบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว แต่ในบรรดาประมุขตำหนักทั้งหลายในวังทวีสูญ พลังของเขาก็จัดอยู่ในสามอันดับแรก ยังแข็งแกร่งกว่าจอมมารอยู่ขุมใหญ่
“ตงป๋อเสวี่ยอิงเยาว์วัยนัก” บรรพชนเทียนอวี๋ยิ้มจนตาหยี “มีการรับรู้เช่นนี้ได้ ฮ่าฮ่า หาได้ยากๆ”
ศิษย์เทพแท้ยุคแล้วยุคเล่า
ผู้ที่สำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทองได้ล้วนแต่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ จะสำเร็จเป็นเทพอากาศก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ศิษย์เทพแท้ยุคแล้วยุคเล่านี้ โดยทั่วไปล้วนมิได้อยู่ในสายตาของบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เลย! ทว่าศิษย์เทพแท้อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงที่รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกานั้นก็พบเห็นได้ยากยิ่งนัก ช่างเป็นหยกงามก้อนหนึ่งโดยแท้ เพียงแค่ต้องเพิ่มการขัดเกลาอีกหน่อย ก็จะเปล่งประกายออกมาได้แล้ว!
“เขาเยาว์วัยกว่าประมุขวังหมื่นรูปในตอนนั้นเสียอีก” จอมกระบี่ก็เอ่ยขึ้น “การรับรู้เช่นนี้ ในภายหน้าต้องมีความหวังที่จะสำเร็จเป็นขั้นอลวนมากเลยทีเดียว
“ลอบดูแลและบ่มเพาะอย่างลับๆ ก็แล้วกัน” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “ให้เขาได้เคี่ยวกรำมากหน่อย”
เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ
เสียงของวิญญาณอาวุธแห่งตำหนักกาลเวลาก็ดังก้องขึ้นอีกครา “ประมุขวัง ศิษย์อาภรณ์ทองตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบรรลุเป็นเทพอากาศ เขาเหนี่ยวนำพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านลงมา วิธีการบรรลุเป็นของสายผู้ท่องอากาศ สามารถมั่นใจได้ว่า เขาก็คือผู้ท่องอากาศคนหนึ่ง”
“ผู้ท่องอากาศหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่สบตากันแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึง
“เจ้าหนุ่มนี่ยังบำเพ็ญสายผู้ท่องอากาศไปควบคู่กันด้วยหรือนี่” บรรพชนเทียนอวี๋พูดอย่างตกตะลึง “อาจารย์ของเขาคือผู้ใดกัน”
สายผู้ท่องอากาศ
จัดอยู่ในระบบการบำเพ็ญพิเศษ ไม่เหมือนกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ การบำเพ็ญสายโลหิต ลัทธิจอมมารดาและศาสตร์โบราณอื่นๆ ที่แพร่หลายกันโดยทั่วไป ผู้ท่องอากาศในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านรวมกันแล้วก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร มีจำนวนมากสู้สิ่งมีชีวิตขั้นสุดมิได้เสียด้วยซ้ำ!
ทางสายผู้ท่องอากาศกลับมีเทพจักรวาลอยู่ถึงสองคน นับได้ว่ายิ่งใหญ่มากทีเดียว
“มิน่าเล่าในการต่อสู้ของศิษย์เทพแท้ก่อนหน้านี้ จึงรู้สึกว่าร่างกายเขาแข็งแกร่งมาก” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “ที่แท้แล้วเป็นผู้ท่องอากาศนี่เอง ทว่าเขาก็ระมัดระวังมาก มิได้สำแดงเกราะพลออกมาเลย”
“ผู้ท่องอากาศถ่ายทอดกันอย่างจำกัดยิ่งนัก จำนวนจึงมีน้อยอย่างยิ่ง แต่เขากลับได้รับการถ่ายทอดมาได้ด้วย” บรรพชนเทียนอวี๋ชมเชย
ทางสายผู้ท่องอากาศนั้น เมื่อฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องไปลึกซึ้งยิ่งขึ้น การเคลื่อนที่และความสามารถในการรักษาชีวิตของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็จะค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับอากาศอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น สามารถอาศัยอากาศแทรกซึมเข้าไปถึงข้างกายศัตรูอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วลอบโจมตีได้ การหนีเอาชีวิตรอดก็รวดเร็วยิ่งนัก
……
ภายในตำหนักกาลเวลา
บนดวงดาราที่มีพายุคลั่งพัดหวีดหวิว ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิแล้วทำการบรรลุอยู่จริงๆ ในเมื่อรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาแล้ว เช่นนั้นก็บรรลุถึงระดับขั้นเทพอากาศเสียก่อนก็แล้วกัน! เขารู้แจ้งวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบเอ็ดจนทะลุปรุโปร่งก่อนแล้ว ยามนี้ขึงเหนี่ยวนำพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านลงมาหลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายใช้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นต้นกำเนิด จนเกิดการวิวัฒน์อย่างรวดเร็ว
“ตู้มๆๆ…” แม้จะแค่ก้าวข้ามจากชั้นที่ยี่สิบสู่ชั้นที่ยี่สิบเอ็ด แต่นี่เป็นการบรรลุจากเทพแท้สู่เทพอากาศ จึงเป็นการวิวัฒน์จากแก่นแท้ของชีวิต การเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็รุนแรงอย่างยิ่ง เส้นเอ็นและกระดูกแต่ละสายล้วนอาศัยภาพค่ายกลดูดซับพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน อณูที่เล็กละเอียดที่สุดของร่างกายล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไปในทิศทางของอากาศอันสับสนอลหม่าน ร่างกายของเขาผสานรวมกับอากาศอันสับสนอลหม่านมากกว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นเสียอีก
ขั้นตอนการบรรลุยาวนานยิ่งนัก
ภายในกายก็มี ‘เกราะพล’ ซึ่งเต็มไปด้วยคมมากยิ่งขึ้นก่อตัวขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตากว้าง ทั้งร่างของเขาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ คนก็คืออากาศ อากาศก็คือคน! พลังโดยรวมก็ยกระดับเป็นอย่างมากจนขึ้นไปถึงระดับขั้นใหม่
เขาเป็นส่วนหนึ่งของวังทวีสูญ ในภายหน้าก็ต้องฝึกฝนวิชาลับผู้ท่อง จึงไม่มีทางซ่อนเร้นไปตลอดได้! ใน ‘การประลองของศิษย์เทพแท้’ ก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าร่วมชม ตอนนั้นไม่เหมาะแก่การเปิดเผย แต่ภายในตำหนักกาลเวลาก็มีเพียงวิญญาณอาวุธแห่งตำหนักกาลเวลาเท่านั้นที่ล่วงรู้ วิญญาณอาวุธก็จะรายงานสู่เบื้องบน…
เกรงว่าผู้ที่มีคุณสมบัติล่วงรู้คงจะมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้!
ท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ ก็เคยบอกว่า ในภายหน้าหากคิดจะตามหาเขาจริงๆ ก็สามารถถามบรรพชนเทียนอวี๋หรือจอมกระบี่ได้ เห็นได้ชัดว่ากู่ฉีไว้วางใจพวกบรรพชนเทียนอวี๋เป็นอันมาก! ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้สึกว่าสถานะผู้ท่องอากาศของตนจะถูกคนระดับสูงสุดของวังทวีสูญล่วงรู้ก็ไม่เป็นไร
“ท่านอาจารย์ ที่แท้แล้วตอนนั้นท่านล่วงเกินผู้ใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เมื่อเขาจากจักรวาลบ้านเกิดมาถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราจึงเข้าใจว่าท่านอาจารย์กู่ฉีมีสถานะระดับใด เขาเป็นถึงหนึ่งในสิ่งมีชีวิตขั้นสุด! ตอนแรกเขาบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะต้องสังเวยชีวิต ถึงขั้นห้ามตนเปิดเผยออกไปโดยเด็ดขาดว่าอาจารย์คือกู่ฉี มิเช่นนั้นแล้วก็คงต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
รู้ทั้งรู้ว่าตนเป็นศิษย์ของวังทวีสูญ ก็ยังเตือนตนเช่นนี้
ที่แท้แล้วล่วงเกินผู้ใดไว้กันแน่
“เจ้าหนูตงป๋อเสวี่ยอิง” เสียงเบิกบานเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินแล้วก็จำได้ทันที จึงรีบพูดด้วยความเคารพทันที เขาเคยได้ยินเสียงของบรรพชนเทียนอวี๋มามิใช่แค่ครั้งเดียว
“ท่านอาจารย์ทางสายผู้ท่องอากาศของเจ้าคือผู้ใดกัน” เสียงของบรรพชนเทียนอวี๋ถามต่อไป
พายุคลั่งรอบกายยังคงพัดหวีดหวิว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไม่เห็นบรรพชนเทียนอวี๋แต่ก็ยังคงเอ่ยปากพูดด้วยความเคารพว่า “กู่ฉีขอรับ”
“เป็นเขา อุ๊บ เป็นเขาจริงๆ ด้วย นี่มันชักจะยุ่งยากใหญ่แล้ว เจ้าจำเอาไว้นะ อย่าได้เผยไปภายนอกเป็นอันขาดว่าเจ้าเป็นศิษย์ของกู่ฉี เอ้อ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะส่งสารให้บรรพชนห้วงอากาศ แล้วเจ้งเรื่องของเจ้าให้เขาทราบ หากมีผู้ใดพบสถานะผู้ท่องอากาศของเจ้าเข้า ก็รีบบอกเสียว่าเป็นศิษย์ของบรรพชนห้วงอากาศ” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยเตือน “จำเอาไว้ อย่าได้บอกว่าเป็นศิษย์ของกู่ฉีเด็ดขาด”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ จากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านบรรพชนขอรับ ท่านอาจารย์ของข้ามีศัตรูตัวฉกาจอยู่หรือขอรับ”
“เหอๆ…กู่ฉีน่ะค่อนข้างบ้าบิ่น อะไรก็กล้าทำทั้งนั้น” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “สรุปแล้วตอนนี้อย่าเพิ่งไปโยงความสัมพันธ์อะไรกับเขาเลย มิเช่นนั้นเจ้าก็คงได้แต่มุดหัวอยู่ในวังทวีสูญโดยไม่ออกไปไหนแล้ว เพราะเมื่อออกไปก็จะเผชิญกับการลอบสังหารต่างๆ”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ
“ยังมีเรื่องที่เจ้าบรรลุกระบี่ที่สองผลาญโลกาตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นผู้ปกครอง ก็อย่าได้ไปโอ้อวดข้างนอกเด็ดขาด ตอนนี้เจ้าถ่อมตัวเอาไว้หน่อยดีกว่า ข้าและจอมกระบี่จะคอยดูเจ้าให้ดี” บรรพชนเทียนอวี๋กำชับ
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ การโอ้อวดนั้นไม่มีผลดีเลย
“ในเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นเทพอากาศแล้ว เช่นนั้นก็รีบสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในให้ได้ในเร็ววันเถิด” บรรพชนเทียนอวี๋กำชับอีก
“ขอรับ”
……
ผู้อาวุโสตำหนักในมีสถานะสูงส่งอย่างยิ่งในวังทวีสูญ ชื่อเสียงก็เกริกก้องไปทั่วโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน
มีสถานะและชื่อเสียงเช่นนี้ ก็เพราะมีพลังที่สอดคล้อง!
ณ ประตูใหญ่ของ ‘ตำหนักกาลเวลา’ กาลเวลาบิดเบี้ยว เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศที่บิดเบี้ยวนั้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง
เขาทอดสายตามองออกไปยังเจดีย์ดาวอันสูงตระหง่านแห่งนั้น
เจดีย์ดาวคือสิ่งเดียวที่มีความสูงเทียบได้กับตำหนักทวีสูญ สถานะของมันภายในวังทวีสูญก็สำคัญและพิเศษเป็นอันมาก ทว่าจะเข้าไปได้อย่างต่ำที่สุดก็ต้องเป็นเทพอากาศ
“ว่ากันว่าเจ้าเมืองหลัวเป็นผู้หลอมเจดีย์ดาวขึ้นมา ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกล้วนมีเจดีย์ดาวอยู่ที่ละแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ว่ากันว่าเจดีย์ดาวเกี่ยวโยงกับความลับใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง ต้องบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปให้ได้ก่อนจึงจะล่วงรู้ได้”
วังทวีสูญมีกฎเกณฑ์
เทพอากาศ ‘ขั้นกำเนิด’ ต้องผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่สามให้ได้ภายในหมื่นล้านปี แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน บัดนี้ทั้งวังทวีสูญก็มีผู้อาวุโสตำหนักในขั้นกำเนิดเพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากยากเกินไปแล้ว ยากเสียจนเกินเหตุ! คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสตำหนักในขั้นรวมเป็นหนึ่ง
ขั้นรวมเป็นหนึ่งต้องผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปให้ได้ก่อน แต่สำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน!
“ข้าเข้าไปดูเสียหน่อยก่อนดีกว่า ว่าที่แท้แล้วมีความลับอันใดอยู่กันแน่ ท่านอาจารย์กู่ฉีก็ไม่บอกข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงไปทางเจดีย์ดาว
……………………………..
ตอนที่ 35 เข้าสู่เจดีย์ดาวเป็นครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจดีย์ดาวอันสูงตระหง่าน ทางเข้าประตูเจดีย์มิได้มียามรักษาการณ์แต่อย่างใด และที่แห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมียามรักษาการณ์ เพราะเทพอากาศคนใดของวังทวีสูญก็ล้วนมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้ทั้งสิ้น
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นลำแสง บินทะยานไปยังทางเข้าเจดีย์ดาว
“ดูสิ นั่นมิใช่ตงป๋อเสวี่ยอิงหรอกหรือ”
“เป็นศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง เขา เขาบินเข้าไปในเจดีย์ดาวแล้วหรือ”
“เข้าไปในเจดีย์ดาวแล้วจริงๆ ด้วย!”
เหล่าศิษย์เทพแท้จำนวนหนึ่งที่บินสัญจรไปมาอยู่ภายในวังทวีสูญ มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในเจดีย์ดาวจากที่ไกลๆ ทันใดนั้นต่างก็ตื่นตระหนกไปเสียแล้ว เพราะการกดดันของโลกทิพย์ ระยะทางไกลสักหน่อย พวกเขาก็ยากจะตรวจหากลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ข้อกำหนดในการเข้าสู่เจดีย์ดาวคือจะต้องไปถึงระดับขั้นเทพอากาศแล้วเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่มิอาจฝ่าฝืนได้
“เขาเป็นเทพอากาศแล้วหรือ” ศิษย์เทพแท้จำนวนมากต่างก็จนคำพูดอยู่บ้าง เขาผู้นี้เพิ่งจะมาถึงยังวังทวีสูญ เพิ่งเคยเข้าร่วมการประลองของศิษย์เทพแท้ก็เหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศแล้วหรือ แต่ศิษย์จำนวนมากก็ยังมีความยินดีอยู่บ้าง เพราะเมื่อมีศิษย์อาภรณ์ทองได้กลายเป็นเทพอากาศ พวกเขาก็มีความหวังที่จะได้เข้าเป็นสิบอันดับแรกมากยิ่งขึ้นในการประลองของศิษย์เทพแท้ครั้งต่อไป
ถ้ามีแปดคนสิบคนพากันบรรลุให้หมดในชั่วครู่เดียวก็จะเป็นการดีที่สุด! แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ‘วิถีความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
******
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินบินเข้าไปในประตูเจดีย์ของเจดีย์ดาว ประตูเจดีย์เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา ลึกล้ำยากคาดคะเน
ยามที่บินเข้าไปก็รู้สึกถึงเพียงมิติบริเวณรอบๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า บินอยู่ชั่วขณะหนึ่งจึงเห็นแผ่นดินอันรกร้างว่างเปล่ากว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง
“นั่นมันอะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นยอดเขาที่ค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนแผ่นดินรกร้างว่างเปล่า ด้านหนึ่งของยอดเขาถูกตัดจนเรียบเตียนโล่ง ด้านบนมีตัวอักษรอันแปลกประหลาดอยู่สามคำ ความหมายที่แฝงอยู่ในตัวอักษรก็ยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้ขึ้นมาในทันใด ก็คือ ‘เจดีย์ดาว’ สามคำนี้นั่นเอง
บริเวณขอบของกำแพงภูเขายังมีรูปสลักอยู่ด้วย นั่นคือรูปสลักมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ เขาดูเหมือนจะตัวเล็กผอมบางอยู่บ้าง ชุดเกราะก็เป็นเกราะชั้นในที่พอดีตัว เขากำลังมอง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ที่อยู่ด้านนอกอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
ปัง…
ชั่วขณะที่ประสานสายตากับรูปสลักนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกถึงความสะพรึงกลัวในใจขึ้นทันที
ถึงแม้ว่ายามที่ได้เห็นบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ก็รู้สึกถึงความกดดันอันมหาศาลไร้ขอบเขต แต่อย่างน้อยบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ก็มิได้มีความเป็นศัตรูต่อเขา ความรู้สึกกดดันเช่นนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดจากความแตกต่างอันใหญ่หลวงของระดับขั้นชีวิตเท่านั้น
ทว่าในขณะนี้!
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสั่นสะท้าน สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ รูปสลักมีชีวิตบนกำแพงหินนั้นคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา กลิ่นอายอันไร้รูปร่างทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นฉากอันน่าสะพรึงกลัว…
นี่คือสิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กที่สวมเสื้อแขนยาวอแนบลำตัว ศีรษะล้านเลี่ยนเป็นประกายมัน รอบด้านของมันมีผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่แน่นขนัด กลิ่นอายของบรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านั้นมีทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนแอ แต่ที่อ่อนแอที่สุดต่างก็เป็นขั้นรวมเป็นเอกภาพ สองคนที่แกร่งกล้าที่สุดถึงขนาดที่แผ่กลิ่นอายของขั้นอลวนออกมา
“โฮก…” สิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กที่ร่างสูงเพียงราวๆ หนึ่งเมตรครึ่งคำรามเสียงต่ำอย่างดุร้ายเสียงหนึ่ง ร่างกายของมันแปรเปลี่ยนเป็นประกายสีดำกลุ่มหนึ่งในทันใดแล้วระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง กวาดล้างไปทั่วทุกทิศโดยพลัน
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดรวมถึงสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่านถูกประกายสีดำกวาดไปในทันใด แต่ละคนสูญสลายมลายไป ไม่เพียงแต่ร่างกายของพวกเขาเท่านั้นที่สูญสลาย แม้กระทั่งเกราะและอาวุธของพวกเขาต่างก็สูญสลายไปจนสิ้น
ประกายสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวเข้าด้วยกันในทันใดแล้วแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กอีกครั้ง เขากวาดตามองบริเวณโดยรอบที่ว่างเปล่าไปแล้วอย่างเย็นชาดุจน้ำแข็ง ในแววตาไม่มีระลอกคลื่นแห่งอารมณ์เลยแม้แต่น้อย
แล้วฉากนี้ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว!
“นี่ นี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักมีชีวิตร่างผอมเล็กข้างๆ คำว่าเจดีย์ดาว สามพยางค์บนกำแพงภูเขา “ฉากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสังหารหมู่เหล่านั้น รวมถึงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่าน ความตื่นตระหนกของพวกเขาล้วนจริงแท้เป็นอย่างยิ่ง! คงจะมิใช่ของปลอมแน่”
เจดีย์ดาวนี้เป็นสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวสร้างขึ้น เหลือข่าวคราวฉากนี้ทิ้งเอาไว้ เป็นข่าวปลอมฉากหนึ่งก็มิได้มีนัยสำคัญอันใด
“สิ่งมีชีวิตขั้นอลวนในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านแทบทุกคนล้วนมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ เพียงแค่เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างระมัดระวัง บางทีอาจจะสามารถหาตัวตนของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่านที่ถูกสังหารไปนั้นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคิด ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์กู่ฉีจะให้ข้อมูลกับเขาไว้แล้ว แต่นั่นล้วนเป็นข้อมูลของสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในฉากนี้ปรากฏภาพสองท่านที่ถูกเข่นฆ่า…ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งไม่มีรายละเอียดข้อมูล เป็นไปได้ว่าอาจตายไปในการต่อสู้แล้ว
“สิ่งมีชีวิตร่างผอมเล็กนี้ที่แท้คือผู้ใดกันแน่ หรือว่านี่ก็คือความลับใหญ่ที่ซ่อนเร้นเอาไว้ที่ท่านอาจารย์กู่ฉีพูดถึงกันหนอ”
“แต่ต้องผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวก่อนจึงจะรู้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าหรือว่าตนเองยังอ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าข้อมูลที่ท่านอาจารย์กู่ฉีบอกกล่าวจะมากพอดู แต่มีบางส่วนที่เป็นความลับมากเกินไปก็ยังไม่ได้พูดเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะทำลายระดับจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิง
อย่างเช่น ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ แห่งโลกทิพย์โบราณ ที่ดูเหมือนจะมีความแค้นกับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดทุกคน! อย่างเช่นโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดซึ่งต่อสู้กันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในท้ายที่สุด และมีสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เคยตกอับ…
ความลับต่างๆ นานา ล้วนมิใช่ผู้ที่มีระดับขั้นเช่นตนคู่ควรจะล่วงรู้
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปต่อ บินข้ามผ่านกำแพงภูเขาพลางมองดูแผ่นดินรกร้างว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
บนแผ่นดินรกร้างว่างเปล่า รัศมีสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมาจากพื้นดินแล้วรวมตัวกันเป็นเงาร่างอันลางเลือนสายหนึ่ง สุดท้ายก็รวมตัวกันโดยสมบูรณ์! นี่คือนักรบเกราะสีเทาร่างสูงราวๆ สามเมตรคนหนึ่ง บนเกราะบ่าของเขายังประดับด้วยชิ้นส่วนโค้งอันแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง ศีรษะที่มีผิวหนังสีฟ้าของเขาถลึงมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“สังหารเขาเสีย แล้วก็จะได้ไปยังชั้นที่สอง” เสียงของวิญญาณอาวุธแห่งเจดีย์ดาวดังขึ้นข้างหูของตงป๋อเสวี่ยอิง
“การทดสอบหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจคู่ต่อสู้อย่างละเอียดแล้วอดที่จะสะดุ้งในใจมิได้
นักรบชุดเกราะสีเงินผู้นี้ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเย็นชา กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาโดดเด่นสะดุดตาไม่เข้ากันกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่อยู่บริเวณรอบๆ เหมือนกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิง ระบบลัทธิจอมมารดา ระบบศาสตร์โบราณ ระบบสายโลหิต หรือระบบอื่นๆ ต่างก็เข้ากันได้กับกฎเกณฑ์ที่สัญจรในห้วงฟ้าดิน
แต่นักรบชุดเกราะสีเงินตรงหน้านี้ กลิ่นอายของเขาถึงกับทำให้ห้วงอากาศโดยรอบบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย นั่นคือการที่กฎเกณฑ์ฟ้าดินได้รับการรบกวน
“หืม เป็นคู่ต่อสู้ของข้าในคราวนี้หรือ” นักรบชุดเกราะสีเงินก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน พรสวรรค์ของเขาทำให้เขารับสัมผัสถึงกลิ่นอายของดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ “อ่อนแอเสียจริง ก็แค่สวะไร้ค่าคนหนึ่ง!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจอยู่คู่หนึ่่งแล้วก็ลงมือ
เขามิได้สำแดงเคล็ดวิชาเช่นเขตแดนค่ายสังหาร เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเทพอากาศแล้ว แต่สิ่งที่พึ่งพาได้ก็คือเชื้อสายผู้ท่องอากาศ เขามิได้ยกระดับทางด้านกฎเกณฑ์เลย ‘เขตแดนค่ายสังหาร’ ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างมากในการประลองของศิษย์เทพแท้ แต่การจัดการกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าผู้นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ลางๆ ว่านั่นเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์!
“มา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดคำนึง ฟึ่บๆๆ ข้างกายของนักรบชุดเกราะสีเงินที่อยู่บริเวณไกลๆ ผู้นั้นมีตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีดำสามคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แต่ละคนกุมหอกยาว ทันใดนั้นก็สำแดงกระบวนสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีอยู่ในครอบครองตอนนี้ กระบี่ที่สองผลาญโลกา
“พรึ่บๆๆ…”
ทันใดนั้นเงาหอกแน่นขนัดก็กะพริบวาบ หอกยาวทุกเล่มต่างก็แทงออกมาอย่างต่อเนื่องแปดสิบเอ็ดครั้ง เงาหอกแปดสิบเอ็ดสายก่อตัวเป็นภาพค่ายกลขนาดมหึมารางๆ ค่ายกลหอกสามแห่งห่อหุ้มไปทางนักรบชุดเกราะสีเงินโดยตรง
นักรบชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ภาพค่ายกลหอกทั้งสามโจมตีบนร่างกายเขา ชุดเกราะสีเทาของเขาเหลือจุดสีขาวเอาไว้จำนวนหนึ่ง
“ช่างอ่อนแอเสียจริง” นักรบชุดเกราะสีเงินเอ่ยปากพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
สวบ
นักรบชุดเกราะสีเงินเคลื่อนไหวแล้ว เขาหายตัวไปจากที่นั่นในทันใดแล้วปรากฏตัวขึ้นข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง มือขวาของเขาพลันโบกออกมา บนแขนทั้งสองข้างของเขามีมีดโค้งสองเล่มปรากฏขึ้นในทันใด
มือขวาขยับโบก ฉับพลันนั้นใบมีดซึ่งแฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายล้างก็กวาดผ่านร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เลือนหายไป
แต่ก็ปรากฏขึ้นอีกที่บริเวณไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงมองนักรบชุดเกราะสีเงินอย่างเคร่งขรึม “การเคลื่อนที่ในพริบตาหรือ”
ความกดดันของโลกทิพย์นั้นร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง
ขั้นกำเนิดอากาศโดยทั่วไปส่วนใหญ่ล้วนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็น ‘ผู้ท่องอากาศ’ ที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นกำเนิด จึงสามารถทำการเคลื่อนที่ในพริบตาได้ คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ก็จะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นเดียวกัน
“เจ้าก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นกันหรือ” ชั่วขณะที่นักรบชุดเกราะสีเงินเหวี่ยงมีดก็ค้นพบแล้วว่าการโจมตีของเขาเป็นเพียงแค่เงาที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจดีว่าร่างกายของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเหลือเกิน การโจมตีของร่างแปรของตนย่อมมิอาจคุกคามอีกฝ่ายได้ ทันใดนั้นก็กุมหอกยาวสีม่วงเข้มเอาไว้ในมือแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาแล้วไล่สังหารแบบประชิดตัว
พรึ่บๆๆ…
เงาร่างของนักรบชุดเกราะสีเงินและตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบไม่หยุดหย่อน บุกสังหารในระยะประชิดครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่อาวุธกระทบกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยพละกำลังของร่างกายก็เพียงแค่เป็นรองอยู่เล็กน้อย
“กลิ่นอายของวิญญาณที่รับสัมผัสได้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก แต่ทว่าพลังยุทธ์กลับสามารถใกล้เคียงกับข้าได้ ผู้บำเพ็ญแห่งวังทวีสูญผู้นี้มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ข้ามระดับขั้นอย่างแท้จริง ”นักรบชุดเกราะสีเงินเอ่ยพึมพำ แววสังหารในใจทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น