Snow Eagle Lord ภาค 26 ตอนที่ 29-30

 ตอนที่ 29 ปากอ้าตาค้าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ปัง…” อาวุธกระทบกัน เป้าเซียวตกใจจนบินถอยออกไปทางด้านหลัง ร่างกายก็สั่นสะท้าน โลหิตสดๆ เต็มปากพ่นออกมาจากปากคำหนึ่งอย่างควบคุมไม่อยู่ พ่นกระจายไปทั่วเวหา พร้อมกันนั้นก็ถูกเส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายล้างอย่างง่ายดาย


“อะไรกัน!”


“เป็นไปได้อย่างไรกัน”


“เขาถึงกับเหนือกว่าด้วย”


บรรดาผู้ชมจำนวนมากที่ก่อนหน้านี้ยังค่อนข้างสงบนิ่งต่างก็พากันตกอกตกใจในทันใด เป้าเซียวผนวกรวมวิธีการของศาสตร์โบราณกับ ‘เก้ากระบี่อสนีอสรพิษ’ พลังยุทธ์ก็แผ่ขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่ต่างหากจึงจะเป็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของเป้าเซียว! พวกเขารู้สึกว่าเพียงพอที่จะกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงได้แล้ว แต่ว่าผลของการปะทะกันนั้นกลับกลายเป็นว่าเป้าเซียวที่พลังยุทธ์ยกระดับขึ้นถูกกดดันโดยสิ้นเชิงแทน!


“ศิษย์น้องเป้าเซียว เจ้าก็เตรียมรับกระบวนท่าสักหลายกระบวนเถิด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกว้าง มือกุมหอกเล่มหนึ่งแล้วพุ่งสังหารไปโดยตรงด้วยความเร็วสูง


“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ไม่ ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ” เป้าเซียวสำแดงเคล็ดกระบี่ต้านทานโดยฉับพลันอย่างแตกตื่นอยู่บ้าง แต่ทุกๆ หอกของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นนอกจากจะลึกลับยากคาดเดาแล้ว พลานุภาพก็ยังมหาศาลจนน่าหวาดหวั่น ราวกับคลื่นอันปั่นป่วนระลอกแล้วระลอกเล่าโจมตีเข้ามา เขาก็ย่อมต้านทานไม่ไหวอยู่แล้ว ทุกครั้งที่รับกระบวนท่าล้วนถูกกระหน่ำโจมตีจนตัวลอยตีลังกาครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ่งทวีความเดือดดาล เขตแดนค่ายสังหารกระหวัดรัดเกี่ยวศัตรูอย่างไม่หยุดหย่อน หอกยาวก็ไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง!


เช่นเดียวกันกับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา


ถ้าหากร่างกายอ่อนแอ แม้จะสำแดงวิชาผู้ท่องอากาศไปอย่างสุดกำลัง พลังคุกคามก็มีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน วิชาลับผู้ท่องขั้นที่ยี่สิบ… ใช้เพียงร่างกายอันบริสุทธิ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงพอที่จะทำให้ไปถึงธรณีประตูของขั้นเทพอากาศแล้ว ก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งด้านพลังของเขาถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นอีกฝ่ายสำแดงวิชาเก้ากระบี่อสนีอสรพิษ เขาสำแดงวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกา อีกฝ่ายจะสามารถต่อกรมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน


ร่างกายที่มาถึงธรณีประตูของขั้นเทพอากาศ มาส่งเสริมวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา ยังน่าหวาดกลัวกว่าดวงตาสายฟ้าสีทองส่งเสริมเก้ากระบี่อสนีอสรพิษของฝ่ายตรงข้ามเสียอีก


“ปังๆๆ…”


ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ละเว้นผู้ใด เขาไล่สังหารและบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง


“สวบ…” ในที่สุดหอกเล่มหนึ่งก็แหวกกระบี่เทพในมือของเป้าเซียว จ่อบนร่างกายของเขา อาภรณ์สีม่วงที่ปกคลุมร่างทนทานเป็นอย่างยิ่ง แต่พลานุภาพในการทำลายล้างที่รวมอยู่ในหอกยาวยังคงส่งผ่านออกไป ร่างของเป้าเซียวเริ่มที่จะแตกกระจายสูญสลาย


ทันใดนั้น!


พละกำลังอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งห่อหุ้มเป้าเซียวเอาไว้ในทันใด ถึงแม้ว่าส่วนลำตัวของร่างแยกของเป้าเซียวจะเริ่มถูกผลาญทำลาย แต่กะโหลกศีรษะของเขากลับถูกรักษาเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ


รู้สึกได้ถึงการปะทุออกมาของพลังขุมนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่งในทันใด


ชนะแล้ว!


‘ลานโลกสันติ’ เองก็เป็นค่ายกลที่ลึกลับเป็นที่สุดอยู่แล้ว พลานุภาพของลานโลกสันติแผ่กระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อศิษย์ที่ทำการประลองอยู่ในวิกฤติที่อันตรายถึงชีวิต พลานุภาพของลานโลกสันติก็สามารถปกป้องพวกเขาเอาไว้ได้ในทันที! ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่การประลองในขั้น ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ การปกป้องศิษย์เทพแท้ช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกินสำหรับลานโลกสันติที่บรรพชนเทียนอวี๋จัดการด้วยตนเอง


ในระยะเวลาอันเนิ่นนานมานี้ เหล่าศิษย์เทพแท้ห้ำหั่นกันบนลานโลกสันติ แต่ไหนแต่ไรก็ยังไม่เคยมีผู้ใดสิ้นชีพไปจริงๆเลย!


“พรึ่บ…” ร่างกายของเป้าเซียวฟื้นคืน เพียงแต่สีหน้าของเขากลับซีดขาวอยู่บ้าง แววตาก็มีความสูญเสียอยู่บ้าง แพ้แล้ว เขาพ่ายแพ้แล้วหรือ


“ศิษย์น้องเป้าเซียว จำการเดิมพันได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ


เป้าเซียวมองไปทางชายหนุ่มผู้กุมหอกยาวเอาไว้ในมือตรงหน้า พ่ายแพ้ได้อย่างน่าอนาถ ศิษย์อาภรณ์ทองผู้มาจากจักรวาลคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับเหล่าผู้ปกครองที่ร้ายกาจน้อยนิดยิ่งนัก เขายังคิดว่าเป็นโอกาสกอบโกยด้วยซ้ำไป!


การประลองเดิมพัน พ่ายแพ้แล้วก็ต้องรับผิดชอบ!


วันนี้ผู้ที่เข้าชมการประลอง แม้กระทั่ง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ และ ‘จอมกระบี่’ ต่างก็อยู่ด้วย ทั้งยังมีประมุขวังคนอื่นๆ อีกมากมายอยู่ด้วยเช่นกัน เป้าเซียวย่อมมิกล้าทำสิ่งน่าละอาย ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่คิดว่าต้องชนะเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิกล้าทำสิ่งน่าละอายอย่างแน่นอน ตอนนี้ใครจะไปคิดว่าตัวเขาจะเผชิญกับสภาวะวิกฤติเข้าเสียเอง


“ได้สิ” เป้าเซียวพลิกมือ ในมือก็มีแหวนวงหนึ่งปรากฏขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาเกร็งกระตุกคราหนึ่งแต่ก็ยังโยนมันมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเอาแหวนมาหลอมรวมแล้วเริ่มตรวจสอบในทันใด


อีกทั้งป้ายคำสั่งส่งสารของเขายังได้รับข้อความ…จุดความดีความชอบเพิ่มขึ้นสามหมื่นจุด!


“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูวัตถุที่อยู่ภายในแหวนคราหนึ่ง ในบรรดาสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เปล่งประกายจับตาที่สุดก็คือศิลาหลายก้อน บนศิลามีสีสันอันแปลกประหลาดเคลื่อนหมุนวน งดงามจับตา ชวนให้คนใจเต้นโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็ยังถูกดึงดูดจนสั่นสะท้าน เช่นเดียวกันกับคนที่ท้องหิวโหยอย่างที่สุดอยากกินอาหาร ดวงวิญญาณก็มี ‘ความหิวโหย’ อยากกินศิลาปฐมโลกานี้เช่นเดียวกัน


หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูศิลาปฐมโลกาและวัตถุอื่นๆ แล้ว ฉับพลันนั้นก็มิได้ดูป้ายคำสั่งส่งสารอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกหิวโหยในดวงวิญญาณจึงได้เลือนหายไป


“เฮ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจคราหนึ่ง “ศิลาปฐมโลกามีพลังดึงดูดมากเกินไปแล้วจริงๆ ว่ากันว่าแม้กระทั่งขั้นอลวน หรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลต่างก็ให้ความสนใจกับศิลาปฐมโลกากันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผู้ปกครองเทพแท้อย่างข้าคนหนึ่งดูดซับศิลาปฐมโลกาลงไปเลยก็สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว”


ความน่าอัศจรรย์ของศิลาปฐมโลกา


ต่างก็มีประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งหมด รวมถึงเทพจักรวาลด้วย


ทว่ามีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่ง หากพลังยุทธ์ยิ่งแกร่งกล้า ผลลัพธ์ก็ยิ่งอ่อนแอ อย่างเช่น ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งต่อเหล่าผู้ปกครอง แต่สำหรับเทพจักรวาลนั้นหรือ กินไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย!


ดังนั้นศิลาปฐมโลกาจึงยิ่งเหมาะสมให้เหล่าผู้แกร่งกล้าใช้ประโยชน์ สำหรับผู้ที่อ่อนแอแล้วใช้ในการแลกเปลี่ยนกับสิ่งล้ำค่ากลับคุ้มค่ามากกว่า


“มีเพียงแค่ศิลาปฐมโลกาสิบสองก้อนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดไปยังเป้าเซียว บนใบหน้าของเป้าเซียวมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “ศิลาปฐมโลกาสิบสองก้อน วัตถุอื่นๆ ยังมีจุดความดีความชอบที่พอถูไถ สามารถนับเป็นศิลาปฐมโลกาสิบสามก้อนได้”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาปราดหนึ่ง


ศิลาปฐมโลกาสามก้อนสามารถแลกเปลี่ยนเป็นจุดความดีความชอบสามหมื่นจุดได้! แต่จุดความดีความชอบสามหมื่นจุดนั้นไม่มีผู้ใดเต็มใจจะเอาศิลาปฐมโลกามาแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว


“ศิลาปฐมโลกาสิบสองก้อนนี้ ข้าเก็บรวบรวมมาหลายปีแล้ว” เป้าเซียวถ่ายเสียงพูด


“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ “ถ้าหากศิษย์น้องเป้าเซียวต้องการจะเดิมพันการประลองอีกเมื่อใด ข้าก็พร้อมเสมอ”


ใช่แล้ว เขาพร้อมเสมอ


เพราะหลังจากที่การประลองของศิษย์เทพแท้สิ้นสุดลงแล้ว เขาก็จะบรรลุไปถึงระดับขั้นเทพอากาศ…


การประลองในครั้งนี้ทำให้บรรดาศิษย์มากมายปากอ้าตาค้างอย่างแท้จริง ‘เป้าเซียว’ ผู้เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองถึงกับพ่ายแพ้ในการเดิมพันการประลองให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง!


“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มีฝีมืออยู่พอสมควรจริงๆ”


“ร่างกายของเขาดูเหมือนจะแกร่งกล้าเป็นพิเศษด้วย”


เหล่าประมุขวังจำนวนหนึ่งที่ชมการประลองอยู่ต่างก็ประหลาดใจ


ในที่สุดใบหน้าเยียบเย็นดุจน้ำแข็งของจอมมารก็เผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา ในวังทวีสูญพูดถึงตงป๋อเสวี่ยอิง ต่างก็สามารถพูดได้ว่ามาจากจักรวาลเดียวกันกับจอมมารและจอมกระบี่! ดังนั้นการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำตัวน่าตื่นตาตื่นใจได้สักหน่อยก็ทำให้จอมมารรู้สึกได้หน้าอยู่บ้าง จอมมารกับจอมกระบี่นั้นไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกันแล้วจอมกระบี่จะมีความสันโดษมากกว่า แต่จอมมารยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับหน้าตาอยู่


“ชนะเสียแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋มองลงไปยังเบื้องล่างอย่างประหลาดใจ “ร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว เกรงว่าร่างกายของเขาคงจะนับได้ว่าเป็นอันดับที่สองในบรรดาศิษย์เทพแท้กระมัง ร่างกายโน้มเอียงไปทางห้วงอากาศ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ประสบโอกาสอันใดบ้าง”


ร่างกายกล้าแกร่ง มีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน


ศาสตร์โบราณก็มีมากมายหลายชนิด ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุดก็มีผู้สืบทอดที่น่าหวาดเกรงมากมาย ถึงแม้ว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็มีศาสตร์ลับที่บำเพ็ญฝึกฝนร่างกายอยู่มากมาย เช่นในบรรดาศิษย์เทพแท้แห่งวังทวีสูญ มีอยู่คนหนึ่งที่อยู่ใน ‘ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด’ มีความร้ายกาจอยู่ที่ขั้นกลาง ความแข็งแกร่งของร่างกายก็สูงกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ท่องอากาศขั้นที่ยี่สิบผู้นี้อยู่เล็กน้อย


นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สำแดง ‘เกราะพล’ มีสาเหตุมากมายที่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากสำแดงเกราะพลออกไปแล้ว เกรงว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนและประมุขวังสองท่านจะสามารถแยกแยะได้ในทันที


ตนเองเป็นความลับของผู้ท่องอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ล่วงรู้ก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าหากเปิดเผยออกไปที่งานรวมตัวของผู้แกร่งกล้าเช่นนี้อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นได้! เพราะดูเหมือนว่า ‘กู่ฉี’ ท่านอาจารย์ของตนจะไปล่วงเกินศัตรูที่น่าหวั่นเกรงอย่างยิ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าวังทวีสูญจะสามารถปกป้องตนได้ แต่ถ้ายุ่งยากให้น้อยหน่อยได้ ก็ยุ่งยากให้น้อยหน่อยดีกว่า!


ตนเองไม่ใช้เกราะพลก็สามารถเข้าไปอยู่ในสิบลำดับแรกได้!


“ศิษย์พี่ฉีอวิ๋น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้บินกลับไปยังเสาหิน แต่ยืนอยู่กลางเวหาแล้วมองไปทางศิษย์อาภรณ์ทองผู้จัดอยู่ในลำดับที่เจ็ด “เชิญ!”


บุรุษนัยน์ตาสีทองที่ผอมบางอยู่บ้างผู้นั้นสะดุ้งเล็กน้อยคราหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมาแล้วเหินบินตรงออกมา


ทว่าในขณะนี้ บริเวณโดยรอบกลับเงียบกริบ!


จะท้าประลองอีกหรือ


ก่อนหน้านี้ครึ่งปี ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็มิได้ลงมือมาโดยตลอด ตอนนี้เพิ่งเอาชนะเป้าเซียวก็ถึงกับท้าประลอง ‘ฉีอวิ๋น’ ผู้จัดอยู่ในลำดับที่เจ็ดในทันที


“ศิษย์น้องตงป๋อเสวี่ยอิงช่างเผยคมดีเหลือเกิน เพิ่งเดิมพันการประลองไปยกหนึ่งก็มาเชิญข้าไปต่อสู้อีกแล้ว” บุรุษนัยน์ตาสีทองพูดยิ้มๆ “ยกนี้จะวางเดิมพันอีกหรือไม่เล่า”


“ศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนหรือสมบัติล้ำค่าที่มีค่าเทียบเท่ากัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ก็เหมือนกับคราวก่อน ถ้าหากศิษย์พี่ฉีอวิ๋นปรารถนาจะเดิมพันการประลอง ข้าก็ย่อมพึงใจนัก”


บุรุษนัยน์ตาสีทองสะดุ้งเล็กน้อย


รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา


“ฮ่าฮ่า ข้าเอาไว้ก่อนดีกว่า ข้ายังมิอาจหยิบเอาสมบัติล้ำค่ามากมายถึงเพียงนี้ออกมาได้ในคราวเดียวหรอก” บุรุษนัยน์ตาสีทองเอ่ยปฏิเสธพลางหัวเราะเสียงดัง ทว่าในใจของเขากลับขมวดแน่นอยู่บ้าง ในยามที่ยังไม่มีหลักประกัน เขาก็ไม่กล้าหยิบเอาสมบัติล้ำค่ามากมายถึงเพียงนั้นไปเดิมพันหรอก! ต่อให้เป็นศิษย์อาภรณ์ทอง การสะสมสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องง่ายเลย


“ศิษย์พี่ฉีอวิ๋น ระวังด้วย” เสียงพูดของตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยออกไป รอบด้านก็มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปรากฏขึ้นมาในทันที พร้อมกันนั้นเส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่กระจายออกไป


ด้านหลังของบุรุษนัยน์ตาสีทองกลับมีปีกสีทองคู่หนึ่งกางออกมาในทันใด ร่างกายของเขาวูบไหวคราหนึ่งก็มีร่างแปรสามร่างปรากฏขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงฉีกยิ้ม แต่รอบด้านกลับมีร่างแปรสามร่างปรากฏขึ้น รวมกับร่างจริงก็เป็นทั้งหมดสี่ร่างแล้ว


“แย่แล้ว” ฉีอวิ๋น บุรุษนัยน์ตาสีทองหนาวเหน็บในใจ


……


เขตพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสกัดกั้นการยึดโยงหลอมรวมของร่างแปร ทั้งยังยับยั้งเคล็ดวิชาร่างแปรของศิษย์พี่ฉีอวิ๋นเอาไว้อีกด้วย พอไม่มีข้อได้เปรียบของร่างแปร พลังยุทธ์ของฉีอวิ๋นก็ยังอ่อนแอยิ่งกว่าเป้าเซียวอยู่เล็กน้อยด้วย!


การต่อสู้ยกนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คว้าชัยชนะเช่นเดิม! แล้วแทนที่อีกฝ่าย กลายเป็นลำดับที่เจ็ดในบรรดาศิษย์อาภรณ์ทอง ถูกจัดชื่อเข้าอยู่ในสิบลำดับแรกอย่างเป็นทางการ!


“พ่ายแพ้เสียแล้ว”


ฉีอวิ๋นก็มิได้รู้สึกว่ายากเกินทนรับแต่อย่างใด ถึงอย่างไรได้เห็นเคล็ดวิชาร่างแปรของฝ่ายตรงข้ามว่าร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาก็เตรียมตัวเอาไว้แล้ว และเขายังยินดีเป็นอย่างยิ่ง “โชคดี โชคดีที่เมื่อครู่ข้ามิได้เดิมพันการประลอง” แพ้แล้วก็แพ้ไป ก็แค่ตกจากลำดับเจ็ดเป็นลำดับแปดเท่านั้นเอง


แต่บรรดาศิษย์เทพแท้ในที่นั้นและบุคคลระดับสูงของวังทวีสูญที่อยู่ด้านบนต่างก็ค่อนข้างประหลาดใจ


ศิษย์อาภรณ์ทองหน้าใหม่ที่โผล่มาจากจักรวาลคนหนึ่งก็เข้ามาเป็นสิบลำดับแรกเช่นนี้ได้แล้วหรือ นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วังทวีสูญ! นอกจากนี้ ดูจากกลิ่นอายของดวงวิญญาณ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเป็นผู้ที่เยาว์วัยที่สุดในบรรดาศิษย์อาภรณ์ทองที่จัดอยู่ในสิบลำดับแรกอีกด้วย!


…………………………………….


ตอนที่ 30 สะดุดตา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จอมมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มาจากจักรวาลเดียวกับท่านกระมัง เจ้าหนุ่มคนนี้ร้ายกาจใช้ได้ทีเดียว มายังวังทวีสูญได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เข้าสู่สิบอันดับแรกของศิษย์เทพแท้แห่งวังทวีสูญแล้ว”


“จอมกระบี่ก้าวเข้าสู่ระดับขั้นยอดสุด จอมมารอย่างท่านก็บรรลุถึงขั้นอลวนตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าในภายหน้าเจ้าหนุ่มที่มาจากจักรวาลเดียวกับพวกท่านนี้จะบรรลุถึงระดับขั้นใดกัน”


บรรดาประมุขวังทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ ต่างพากันชมเชย


แม้ในสายตาของจอมมารจะฉายแววชื่นชมและพึงพอใจ ทว่าปากกลับพูดว่า “เขาเป็นเพียงผู้ปกครองเทพแท้เท่านั้น ยังเร็วไปมากทีเดียว ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในได้หรือไม่”


“ผู้อาวุโสตำหนักในหรือ”


ประมุขวังคนอื่นๆ แย้มยิ้มโดยไม่พูดอะไรให้มากความอีก


ล้อเล่นแล้ว!


ผู้อาวุโสตำหนักในนั้นยากเย็นเพียงใดกัน


การแบ่งสถานะภายในวังทวีสูญได้แก่ ประมุขวัง ประมุขตำหนัก รองลงมาก็คือผู้อาวุโสตำหนักในแล้ว! ถัดไปอีกก็คือผู้อาวุโสตำหนักนอก


ต่อให้เป็นศิษย์อาภรณ์ทองบรรลุแล้วสำเร็จเป็นเทพอากาศ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสตำหนักนอก คิดจะสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในนั้นก็ยากเกินไปแล้ว ‘ผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ’ นั้น หากอยู่ภายนอกก็เพียงพอจะทำให้ฟากฝั่งหนึ่งสะท้านสะเทือนได้แล้ว! แม้แต่แกนนำขั้นอลวนก็ยังต้องให้ความสำคัญ


……


แม้ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดอย่างบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่จะชื่นชมเป็นอันมาก แต่ในใจกลับสงบนิ่งนัก เพราะถึงระดับอย่างพวกเขาแล้ว สิ่งที่สามารถทำให้พวกเขาสะทกสะท้านได้ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


การประลองยกแล้วยกเล่าดำเนินไปอย่างไม่ขาดสายกลางลานโลกสันติ


หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงได้เป็นอันดับเจ็ดแล้ว ก็กลับไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาศิลา พลางชมการประลองยกแล้วยกเล่าอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงชมการประลองแต่ละยกด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง แตกต่างจากศิษย์เทพแท้คนอื่นๆ เขาถึงขั้นวิเคราะห์ความเร้นลับชนิดต่างๆ ที่อีกฝ่ายใช้ในการต่อสู้ แม้จะมีศิษย์น้องชายหญิงบางคนที่พลังอ่อนแอกว่าเขาอยู่บ้าง แต่การใช้งานความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ทำให้เขานัยน์ตาเป็นประกายได้


ยิ่งเข้าใจมากขึ้น เขาก็เข้าใจ กระบี่ที่สองของ ‘สิบสามกระบี่ผลาญโลกา’ ได้แจ่มแจ้งขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว


สำหรับศิษย์คนอื่นๆ แล้ว…การประลองจัดอันดับนั้นเป็นการกำหนดสถานะของพวกเขา!


แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิง กลับเป็นสถานที่สำหรับการซึมซับประสบการณ์ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นการต่อสู้ด้วยความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่แท้จริงมาน้อยเกินไปแล้ว! หากเป็นการต่อสู้ระหว่างแกนนำขั้นอลวน เขาก็มองไม่ทันเอาเสียเลย การประลองจัดอันดับนี้ต่างหากที่เหมาะสำหรับให้เขาชมดูเป็นที่สุด


……


ผ่านไปปีแล้วปีเล่า


ศิษย์เจ็ดร้อยกว่าคนประลองกันยกแล้วยกเล่า บ้างก็แทบจะตัดสินเป็นตายกัน บ้างก็มีฝ่ายหนึ่งยอมแพ้เสียเอง หากการต่อสู้มิอาจตัดสินแพ้ชนะได้ ‘วิญญาณค่ายกลลานโลกสันติ’ ก็จะยื่นมือเข้าไปตัดสินแพ้ชนะให้! เช่นฝ่ายหนึ่งมีความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดอันแข็งแกร่ง แล้วหนีไปตลอด อีกฝ่ายก็ไล่สังหารไปตลอด เช่นนั้นวิญญาณค่ายกลก็จะตัดสินว่าฝ่ายที่เอาแต่หนีนั้นเป็นผู้แพ้!


ฝ่ายที่มีความสามารถในการรักษาชีวิตแข็งแกร่งและตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง แต่กลับอาศัยความสามารถในการรักษาชีวิตฝืนต้านทานไปโดยตลอด มิอาจโจมตีกลับได้ ท้ายที่สุดก็จะถูกตัดสินว่าแพ้


การต่อสู้ดุเดือดนัก


แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ท้าทายเลย เขาชมการต่อสู้อย่างตั้งใจ และก็มีหลายครั้งที่ศิษย์คนอื่นๆ เข้ามาเชิญให้เขาร่วมการต่อสู้ แต่ผลก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงชนะ พลังของเขาก็ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป


“การประลองจัดอันดับครั้งนี้ดำเนินต่อเนื่องกันมานานถึงแปดปีแล้ว อืม ควรจะต่อสู้ได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นมา “ข้ามีโอกาสพ่ายแพ้ในการต่อสู้ได้สามครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องคว้าโอกาสเหล่านี้เอาไว้ให้ดี”


การประลองจัดอันดับ


ข้อแรกคือเพื่อเข้าสู่สิบอันดับแรกแล้วได้สมบัติล้ำค่ามา เป้าหมายนี้เป็นจริงแล้วในตอนนี้! ถูกจัดอยู่ในอันดับเจ็ดก็ยังนับว่าปลอดภัยมาก เพราะถึงอย่างไรหากอันดับก่อนหน้ามีใครพ่ายแพ้ เขาก็แค่ขยับลงมาเพียงอันดับเดียวเท่านั้น


ข้อที่สองก็คือเพื่อซึมซับประสบการณ์  ทำให้ตนเติบโตและยกระดับขึ้นได้!


คิดจะช่วยจิ้งชิวผู้เป็นภรรยาและอวี้เอ๋อร์ ตนก็ต้องเติบโตแข็งแกร่งขึ้น! ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี พลังแข็งแกร่งแล้ว จึงจะได้วัตถุล้ำค่าที่ช่วยเสริมมาได้อย่างง่ายดาย


การชมดูการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนนั้นมีส่วนช่วย!


แต่การต่อสู้จริงๆ นั้นมีส่วนช่วยมากยิ่งกว่า!


“สวบ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกไปทันควัน


“เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง”


“เขาออกมาอีกแล้ว”


บรรดาศิษย์ทั้งหลายสะท้านไปถึงวิญญาณ การต่อสู้ระดับศิษย์อาภรณ์ทองจึงจะดึงดูดพวกเขาได้มากกว่า


“ศิษย์น้องมังกรเหิน เชิญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเอาไว้ในมือพลางมองดูศิษย์อาภรณ์ทองคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งนั่นก็คือศิษย์อาภรณ์ทองผู้จัดอยู่ในอันดับแปดนั่นเอง


“ท้าทายข้ารึ” ศิษย์น้องมังกรเหินคือผู้แกร่งกล้าซึ่งมีศีรษะเป็นเกราะ เดิมทีเขาเป็นสัตว์ประหลาด แม้จะแปรเป็นรูปร่างคน แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าลักษณะศีรษะของร่างจริงของตนนั้นงดงามที่สุด แม้จะมีศีรษะเป็นเกราะตลอดเวลา “ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง ท่านจัดอยู่ในอันดับเจ็ด แต่กลับท้ายทายข้าซึ่งอยู่ในอันดับแปดน่ะรึ หากชนะแล้วก็ยังคงเป็นที่เจ็ดอยู่ แต่หากแพ้แล้วท่านก็จะต้องร่วงลงไปเป็นอันดับแปด การต่อสู้ครั้งนี้ท่านมิได้ประโยชน์เลยสักนิด หรือจะวางเดิมพันกัน ข้าไม่มีทางพนันกับท่านแน่!”


“ไม่พนันหรอก เพียงแต่น้องมังกรเหินก็ฝึกฝนสิบสามกระบี่ผลาญโลกาเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงรู้สึกคันไม้คันมือน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“ได้ สุขใจนัก” ศิษย์น้องมังกรเหินหัวเราะเสียงดัง


เขาชมชอบการต่อสู้เช่นนี้


แพ้แล้วก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่ออันดับ ตงป๋อเสวี่ยอิงและเขาประลองกันก็เพื่อประลองสิบสามกระบี่ผลาญโลกาล้วนๆ


“สวบ”


มังกรเหินพลันวาดข้ามท้องฟ้าไป มีดโค้งเล่มหนึ่งในมือวาดเป็นพระจันทร์เสี้ยวอันแปลกพิสดาร จันทร์เสี้ยวเหลือบสีม่วง ริบหรี่แต่งดงาม ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก


เขาเหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง ที่แม้จะฝึกฝนสิบสามกระบี่ผลาญโลกาแต่กลับแปลงเข้าไปในวิถีมีดที่ตนเชี่ยวชาญ การศึกษาศาสตร์ลับนั้น เป็นการศึกษาการใช้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ในนั้นเป็นหลัก


“ตู้มๆๆ…”


อากาศรอบด้านสะท้านสะเทือนแล้วระเบิดออกครั้งแล้วครั้งเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงและมังกรเหินประมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาทั้งสองต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ภายหลังมังกรเหินยังแปรเป็นร่างจริงและตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปะทุพละกำลังของร่างกายผู้ท่องอากาศออกมา เมื่อต่อสู้กันจนถึงตอนสุดท้าย มังกรเหินที่บาดเจ็บสาหัสก็ยังตะโกนออกมาอย่างสุขใจว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่สู้แล้วๆ ข้ายอมแพ้!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับมามองศิษย์อาภรณ์ทองซึ่งเป็นอันดับที่หก “ศิษย์พี่หญิงเชียนเชวีย เชิญ!”


“ยังจะสู้อีกรึ”


ศิษย์หลายคนที่ชมการต่อสู้อยู่ต่างพากันตกตะลึงเป็นอันมาก


ศิษย์พี่หญิงเชียนเชวียผู้สวมอาภรณ์สีเหลืองอร่ามอันหรูหรางดงาม ผมยาวสีทองเคลียบ่า นัยน์ตาทั้งคู่ทอดมองตงป๋อเสวี่ยอิง ใบหน้าของนางยังคงเยียบเย็น เพียงแต่ว่าในมือกลับมีพิณโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้น


……


อาศัยบริเวณการเข่นฆ่าทำให้การกดดันด้วยบริเวณของอีกฝ่ายอ่อนกำลังลง จากนั้นก็อาศัยวิถีโลกเทียมเพิ่มความสามารถในการรักษาชีวิต ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเอาชนะศิษย์พี่หญิงเชียนเชวียซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่หกได้อย่างยากลำบากนัก


……


จากนั้นเขาก็ท้าทายศิษย์อาภรณ์ทองซึ่งอยู่ในอันดับห้าอีก! บริเวณการเข่นฆ่าและเคล็ดร่างแปรล้วนนำออกมาใช้ทั้งหมด ภายใต้การห้ำหั่นอย่างบ้าคลั่งก็คว้าชัยได้อย่างพอถูไถ


……


แล้วเขาก็ท้าทายศิษย์ที่จัดอยู่ในอันดับสี่อีก


“ศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่ง เชิญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยเสียงกังวาน ดังก้องไปทั่วทั้งลานโลกสันติ


ยามนี้การต่อสู้อื่นๆ ในลานโลกสันติล้วนหยุดลงชั่วคราว สายตาของศิษย์เทพแท้ทั้งหมดล้วนจับจ้องอยู่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิง แม้แต่ผู้อาวุโสตำหนักนอก ผู้อาวุโสตำหนักในและประมุขวังไปจนถึง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ และ ‘จอมกระบี่’ ทั้งสองท่านก็มิได้พูดคุยสัพเพเหระกันอีกต่อไป หากแต่เริ่มชมการต่อสู้ด้วยความสนอกสนใจนัก เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงท้าทายแต่ละคนโดยต่อเนื่องกัน ผู้ที่ถูกท้าทายล้วนแต่เป็นศิษย์อาภรณ์ทองทั้งสิ้น!


“เริ่มท้าทายศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่งซึ่งเป็นอันดับที่สี่เสียแล้ว”


“ศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่งมีพลังไม่ธรรมดา จะเอาชนะเขานั้นไม่ง่ายหรอก”


แม้จะกล่าวว่าศิษย์อาภรณ์ทองแตกต่างกันค่อนข้างน้อย แต่จัดเป็นอันดับสี่ ก็ได้เปรียบอันดับแปดอันดับเก้าอย่างค่อนข้างชัดเจนทีเดียว


“ตู้มมม…”


การต่อสู้กำลังดำเนินไป


เจ๋อชวี่หย่งกลับคืนร่างเดิม ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนหนึ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งนัก เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายดักแด้ ศีรษะของมันเมื่อเทียบกับทั้งตัวแล้วก็ถือว่าค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีกรงเล็บแน่นขนัดจำนวนนับไม่ถ้วน เขาบินไปกลางฟากฟ้าด้วยความเร็วสูง แล้วรุกไล่สังหารตงป๋อเสวี่ยอิง! แม้รอบด้านจะมี ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ รัดรึงและพันธนาการเอาไว้ แต่ขณะที่ร่างกายของเขาโบยบิน กรงเล็บจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผิวกายก็ฉีกทึ้งบริเวณการเข่นฆ่าอยู่ตลอดเวลา ความเร็วแทบจะไม่ลดลงแต่อย่างใดเลย


ทันใดนั้นมันก็ก้มหัวลงแล้วพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันใด! กลางท้องฟ้าก็มีปลายหอกปรากฏขึ้น แล้วปะทะเข้ากับศีรษะมันอย่างรุนแรง


“ตู้มมม…”


การปะทะนี้แฝงไว้ด้วยความเร้นลับของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลอย่างศาสตร์ลับพิทักษ์โลก


“ฟึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ โลหิตสดๆ คำหนึ่งพุ่งออกจากปาก


“ศิษย์พี่เจ๋อชวี่หย่งช่างร้ายกาจมากจริงๆ รับหอกข้าอีกสักหอกหนึ่งเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสู้มามากพอแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์ของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่หาพบได้ยากตนนี้บวกกับอานุภาพของศาสตร์ลับขั้นจักรวาลแล้ว หอกยาวในมือขยับขึ้นมา


หอกยาวพลิกหมุนแล้วแทงออกไป ด้ามหอกพลิกหมุนราวกับน้ำวนที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดชั่วนิรันดร์ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดรอบบริเวณการเข่นฆ่า ยามนี้ระลอกคลื่นทั่วทั้งบริเวณการเข่นฆ่าล้วนแต่ถูกด้ามหอกนี้เหนี่ยวนำและดึงดูดทั้งสิ้น ก่อนจะพลิกหมุนแล้วพุ่งไปทางหอกยาว อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นถูกสั่งสมเข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้วพันพาดบนหอกยาวจนสิ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าหอกยาวในมือหนักอึ้งขึ้นทุกทีๆ อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน


ตอนที่เขาเก็บตัวบำเพ็ญใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ เป็นครั้งแรกนั้น ก็ได้นำกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาและวิถีระลอกคลื่นผสานรวมกันได้สำเร็จแล้ว! ทว่าในวันคืนหลังจากนั้น ตอนที่รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกา เมื่อระดับขั้นยกระดับขึ้น เขาก็ปรับปรุงให้การผสานกันของกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาและวิถีระลอกคลื่นสมบูรณ์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงรู้สึกว่าไม่สมบูรณ์แบบพออยู่ดี!


ถึงอย่างไรความสำเร็จด้านวิถีระลอกคลื่นของตนเอง ก็แตกต่างกับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกามากเกินไปแล้ว ทำได้เพียงทำให้สมบูรณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น


“เอ๊ะ”


บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่รวมทั้งประมุขวังทั้งกลุ่มซึ่งชมการต่อสู้อยู่กลางอากาศพลันนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา พลางมองดูหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมานี้โดยละเอียด


………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)