Snow Eagle Lord ภาค 26 ตอนที่ 27-28
ตอนที่ 27 ท้าประลอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ช่างเยาว์วัยนัก” จอมกระบี่ บุรุษผมขาวมองลงไปยังเบื้องล่างพร้อมเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา
บรรพชนเทียนอวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็สังเกตเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเช่นกัน เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ตอนแรกที่ข้าสถาปนาจักรวาลห้าแห่ง ในบรรดาจักรวาลที่สถาปนานั้น ยุคจักรวาลของเจ้ากับจอมมารนั้นค่อนข้างล้ำเลิศทีเดียว ถึงได้ให้กำเนิดพวกเจ้าสองคนออกมาได้! แต่หลังจากนั้นก็ค่อนข้างธรรมดาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้สามารถผ่านการทดสอบของศิษย์อาภรณ์ทองภายในจักรวาลได้ อย่างน้อยก็มีศักยภาพมากพอดูทีเดียว”
จอมกระบี่พยักหน้าน้อยๆ
สำหรับเจ้าเด็กรุ่นหลังที่มาจากจักรวาลบ้านเกิด จอมกระบี่และจอมมารก็ย่อมต้องมีความชอบพออยู่บ้างเป็นธรรมดา ดังนั้นคราวนี้จอมกระบี่จึงได้มาเข้าร่วมกิจกรรมใหญ่เพื่อมาดูว่าเด็กรุ่นหลังผู้นี้มีพลังยุทธ์เป็นเช่นไรบ้าง
“เริ่มกันเลยเถิด! ”บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยปากในทันใด น้ำเสียงก้องกังวานสะท้อนอยู่ภายในลานโลกสันติ
เขากับจอมกระบี่ บรรดาเหล่าประมุขวังขั้นอลวนและเหล่าผู้อาวุโสตำหนักในเริ่มต้นดื่มสุราสนทนากัน สำหรับพวกเขาแล้วก็คืองานพบปะพูดคุยกันงานหนึ่ง โดยปกติแล้วทุกคนต่างก็มีธุระส่วนตัว กิจกรรมใหญ่เช่นนี้ก็เป็นโอกาสที่จะได้มารวมตัวกัน ระหว่างนั้นก็ได้ดูว่าเด็กรุ่นหลังพวกไหนบ้างที่ค่อนข้างมีศักยภาพ
ทางด้านล่าง
บนเสาหินแต่ละต้น บรรดาศิษย์เทพแท้ทั้งหลายกลับเตรียมตัวพร้อมกันถ้วนหน้า
“ศิษย์พี่เฉินเทา เชิญ” เงาร่างสายหนึ่งเหินลอยออกจากเสาหินมายังกลางเวหาแล้วเริ่มต้นท้าประลองในทันใด
“เฮอะ”
ศิษย์อาภรณ์ม่วงอีกคนที่ถูกท้าประลองส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งแล้วเหินทะยานออกไปรับคำท้า
……
การประลองจัดอันดับศิษย์เทพแท้ก็มีกฎกติกาอยู่เช่นกัน
ลำดับสูงที่สุดที่ศิษย์ทุกคนสามารถท้าทายได้คือผู้ที่อยู่สูงกว่าตนยี่สิบลำดับ! ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการท้าประลอง แต่ถ้าหากแพ้การประลองสามครั้ง ก็จะไม่มีโอกาสในการท้าประลองอีกต่อไป
แต่ถ้า ‘ถูกท้าประลอง’ แล้วพ่ายแพ้ ก็ไม่นับว่าอยู่ใน ‘แพ้การประลองสามครั้ง’
หากชนะแล้วก็จะได้ครอบครองลำดับของผู้ชนะ
ผู้ที่แพ้การประลองก็จะขยับถอยหลังไปหนึ่งลำดับ
……
เช่นผู้ที่จัดอยู่หลังลำดับที่เจ็ดร้อย ทุกครั้งที่ท้าประลองก็ท้าผู้ที่อยู่สูงกว่าตนยี่สิบลำดับ คิดจะสังหารไปจนถึงลำดับแรก อย่างเร็วที่สุดก็ต้องประลองสามสิบกว่าครั้ง และระหว่างการประลองก็มีศิษย์เทพแท้มากมายถึงเพียงนี้ที่สามารถท้าประลองซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นใน ‘การประลองจัดอันดับศิษย์เทพแท้’ ครั้งหนึ่งๆ นั้นจะดำเนินไปเป็นสิบๆปี ก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
แน่นอน
ผู้ชมการประลองไม่ว่าจะเป็นบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ เหล่าประมุขวังขั้นอลวน และเหล่าผู้อาวุโสตำหนักใน หรือผู้อาวุโสตำหนักนอกคนอื่นๆ ย่อมไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองของศิษย์เทพแท้ ลำพังเวลาเพียงสิบปีมิใช่สิ่งที่ต้องยกมาเป็นประเด็นสำหรับพวกเขาเลย
******
“ศิษย์พี่ชื่อ เชิญ” ตามเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นเหล่าศิษย์กลุ่มใหญ่ที่ชมดูอยู่ด้านข้าง เหล่าผู้อาวุโสตำหนักในตำหนักนอก หรือจะเป็นศิษย์อาภรณ์ทองบนเสาหิน หรือเหล่าศิษย์อาภรณ์ม่วง สายตาส่วนใหญ่ต่างก็จับตามองไป เพราะ ‘ศิษย์พี่ชื่อ’ คือศิษย์อาภรณ์ทองผู้จัดอยู่ในลำดับที่เก้า ทั้งยังเป็นการท้าประลองศิษย์อาภรณ์ทองครั้งแรกของการประลองจัดอันดับศิษย์เทพแท้ในครั้งนี้
ถ้าหากชนะแล้วล่ะก็ ฝ่ายตรงข้ามก็จะสามารถขึ้นมาเป็นลำดับที่เก้าแทนได้!
“ศิษย์น้องหญิงเฟิ่งอวิ๋น เจ้าจะมาท้าประลองข้าอย่างนั้นหรือ” ตามหลังเสียงหัวเราะอันกังวาน ศิษย์อาภรณ์ทองผู้เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวหนังสีแดงเข้ม ศีรษะล้านเลี่ยนเป็นเงามันก็เหินลอยออกมา เขายื่นมือออกมาคราหนึ่งก็มีค้อนใหญ่สีดำอันหนึ่งปรากฏขึ้น
“ท่านต้องระวังแล้วล่ะ” หญิงสาวนัยน์ตาสีเงินมีแววต่อสู้คับฟ้าอยู่ในดวงตา
เสียงพูดเพิ่งเอ่ยออกไป
หญิงสาวนัยน์ตาสีเงินแปลงร่างเป็นสกุณาปีกสีแดงขนาดมหึมาตัวหนึ่ง สกุณาตัวนี้มีนัยน์ตาสีเงินคู่หนึ่ง บริเวณรอบๆ ปีกมีเปลวเพลิงท่วมฟ้าก่อตัวขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ปัง… กองเพลิงอันปั่นป่วนกวาดล้อมบริเวณโดยรอบในทันใด รวมทั้งห่อหุ้ม ‘ศิษย์พี่ชื่อ’ ที่อยู่ไกลออกไปเอาไว้ด้วย แต่ศิษย์พี่ชื่อกลับฉีกยิ้มกว้างคราหนึ่งแล้วเหวี่ยงค้อนใหญ่ในมือออกไปโดยพลัน
ท่อนแขนพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ค้อนใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นขนาดมหึมาราวกับภูเขาลูกหนึ่งกดทับลงมา แต่มีความรู้สึกลึกลับเป็นที่สุด ในขณะนี้พลานุภาพของห้วงมิติโดยรอบดูคล้ายว่าจะรวมตัวอยู่บนค้อนใหญ่นั้นจนสิ้น
……
สิ่งที่ศิษย์พี่ชื่อผู้จัดอยู่ในลำดับที่เก้าสำแดงก็คือศาสตร์ลับขั้นจักรวาล ‘พิทักษ์โลก’ นี่คือศาสตร์ลับที่เน้นในทางการป้องกันศาสตร์หนึ่ง เป็นหนึ่งในสามศาสตร์ลับขั้นจักรวาลที่บรรพชนเทียนอวี๋สรรสร้างขึ้น! แต่ว่าศิษย์พี่ชื่อกลับนำมาใช้กับค้อนใหญ่ และนำมาใช้ในการบุกโจมตีเช่นเดียวกัน
ศิษย์พี่ชื่อยังได้ซึมซับศาสตร์พิทักษ์โลกเข้าไปในเคล็ดวิชาบำเพ็ญฝึกฝนร่างกาย บำเพ็ญเป็นร่างกายที่แกร่งกล้าออกมา ความแข็งแกร่งของพละกำลัง ตงป๋อเสวี่ยอิงประมาณว่าพลังยุทธ์อยู่ราวๆ ‘วิชาลับผู้ท่อง’ ลำดับขั้นที่สิบหกสิบเจ็ด และสิ่งที่ร่างกายของศิษย์พี่ชื่อเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการป้องกัน
ศิษย์น้องหญิงเฟิ่งอวิ๋น คราวก่อนจัดอยู่เป็นลำดับที่สิบห้า เดิมทีก็เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศคนหนึ่งอยู่แล้ว กราบอาจารย์อยู่ภายใต้สำนักวังทวีสูญ ศาสตร์ลับที่หยั่งรู้หลอมรวมเข้ากับพรสวรรค์ พลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นที่สุดแต่ออกจะขาดแคลนโชค ไม่สามารถเข้าเป็นสิบอันดับแรกได้มาโดยตลอด
การประลองในยกนี้ต่อสู้กันเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็มๆ ศิษย์น้องหญิงเฟิ่งอวิ๋นอาศัยความว่องไวของร่างกายเป็นข้อได้เปรียบในการต่อสู้มาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ยังเป็นศิษย์พี่ชื่อที่เป็นผู้ชนะ!
……
การประลองยกแล้วยกเล่าดำเนินต่อไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิชมดูการประลองอยู่บนเสาหิน ชมอย่างตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะศิษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นความเร้นลับของกฎเกณฑ์ระดับผู้ปกครอง แต่กลับสามารถระเบิดพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งออกมาได้! สำหรับการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์จำนวนมากต่างก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตาลุกวาว เขาก็ได้เห็นผู้ที่เชี่ยวชาญวิถีเข่นฆ่าจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีผู้ที่เชี่ยวชาญวิถีระลอกคลื่นและวิถีโลกเทียมอยู่ด้วย…
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ แต่ผู้อื่นก็มีข้อได้เปรียบเช่นกัน ดึงจุดแข็งของผู้อื่นแล้วซึมซับเข้าสู่ตนเอง
เพียงพริบตาเดียว กิจกรรมใหญ่ครั้งนี้ก็ดำเนินมาครึ่งปีแล้ว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังมิได้ประลองเลยแม้แต่ยกเดียว!
หนึ่งก็เพราะเหล่าศิษย์เทพแท้มีมากมายเกินไปจริงๆ มีถึงเจ็ดร้อยกว่าคน สอง ผู้ที่มาท้าประลองกับลำดับแรกๆ เหล่านั้น ก็ตรงไปท้าประลองกับสิบลำดับแรกกันทั้งสิ้น! เพราะมีเพียงการเอาชนะสิบคนแรกเท่านั้นจึงจะสามารถแทนที่พวกเขาได้ กลายเป็นศิษย์อาภรณ์ทองคนใหม่ สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์อาภรณ์ทองเช่นกัน แต่เขาถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบเอ็ด รอให้การประลองจัดอันดับเสร็จสิ้นลง ลำดับที่สิบเอ็ดนี้ก็จะเป็นเพียงแค่ศิษย์อาภรณ์ม่วงเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ กำหนดให้มีศิษย์อาภรณ์ทองเพียงสิบคนเท่านั้น
แน่นอนว่าหากมิได้เข้าร่วมการประลองเลยแม้แต่ยกเดียว ก็ยังมีเหตุผลที่สามอยู่… ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงชมดูการประลอง ชมดูจนตื่นเต้นเกินไป!
เปิดกว้างโลกทัศน์!
ถึงแม้ว่าจะพลิกอ่านตำรามามากมาย แต่เหล่าผู้ปกครองที่มีความเร้นลับของกฎเกณฑ์อันเลิศล้ำเป็นที่สุดกลุ่มหนึ่งต่อสู้กันด้วยชีวิตจริงๆ ก็ยังทำให้เขาได้อะไรมามากมายนัก หยั่งรู้วิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียมได้ลึกล้ำยิ่งขึ้นอีก แม้กระทั่งสิบสามกระบี่ผลาญโลกากระบี่ที่สองบางส่วนที่ยังสับสนอยู่บ้างก็ล้วนเข้าใจได้กระจ่างแล้ว
เดิมทีการบำเพ็ญก็คือการสั่งสม สั่งสมเพียงพอแล้วก็สามารถบรรลุได้! ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงชมดูการประลองก็เป็นการสั่งสมอย่างหนึ่ง! ถึงอย่างไรบรรดาผู้ปกครองเหล่านี้ต่างก็ล้ำเลิศเหลือเกิน
ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ จะอยู่ในขั้นผู้ปกครอง แต่ถ้าหากมาเข้าร่วมการประลองก็เกรงว่าจะมิอาจเข้าเป็นหนึ่งร้อยคนแรกได้!
ระดับความร้ายกาจของศิษย์เทพแท้แห่งวังทวีสูญ แค่คิดก็สามารถรู้ได้แล้ว
“ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง เชิญ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เอ่อ…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังชมดูการประลองอีกสนามหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างตั้งอกตั้งใจอดสะดุ้งคราหนึ่งมิได้ แล้วจึงเห็นว่ากลางเวหาเบื้องหน้ามีชายหนุ่มผิวดำผู้หนึ่งกำลังจ้องมองตนอยู่
ท้าประลองหรือ
มาท้าประลองกับตนจริงๆ น่ะหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างจะยินดี แต่ต่อให้ชนะตนแล้วก็เป็นเพียงแค่ลำดับที่สิบเอ็ดเท่านั้นเอง
“ศิษย์น้องผู้นี้ เชิญ” แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหินลอยออกมา
“หืม”
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ”
“นี่ก็คือศิษย์อาภรณ์ทองตงป๋อเสวี่ยอิงที่ออกมาจากจักรวาลผู้นั้นน่ะหรือ”
“เขามาจากจักรวาลแห่งเดียวกันกับจอมกระบี่และจอมมาร”
การประลองยกนี้ดึงดูดสายตาของบรรดาศิษย์กลุ่มใหญ่ในทันใด เพราะบรรดาศิษย์อาภรณ์ทองสิบคนคนอื่นๆ นั้นก็มิได้กำลังประลองอยู่ในตอนนี้ ผู้ที่สามารถท้าประลองพวกเขาสิบคนได้ต่างก็ต้องจัดอยู่ในสามสิบลำดับแรกเท่านั้น ดังนั้นนานๆ ที จึงจะมีการประลองของศิษย์อาภรณ์ทองสักยกหนึ่ง
“เจ้าเด็กตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้นี่เอง” จอมมารก็มองลงไปยังเบื้องล่าง และจอมกระบี่ บุรุษผมขาวที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดก็มองลงไปเช่นเดียวกัน
สำหรับพวกเขาสองคนแล้วก็ยังมีความสนใจในการประลองของเด็กรุ่นหลังจากบ้านเกิดอยู่พอสมควรทีเดียว
……
ชายหนุ่มผิวดำยืนอยู่กลางเวหาพลางเปิดปากเอ่ยว่า “เป้าเซียวคารวะศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง ศิษย์พี่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในยามที่ประลองจัดอันดับศิษย์เทพแท้สามารถเดิมพันการประลองได้ ใช่หรือไม่เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เดิมพันการประลองหรือ
ตนเองยังประหลาดใจอยู่เลยว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมาท้าประลองกับตน! ต่อให้เอาชนะตนก็มิอาจเข้าเป็นสิบลำดับแรกได้อยู่ดี ที่แท้ก็เพื่อการเดิมพันนี่เอง!
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“เดิมพันเป็นอาวุธเทพอากาศของศิษย์พี่ได้หรือไม่” ชายหนุ่มผิวดำเอ่ยต่อไป
ขณะนี้บรรดาศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา เดิมพันการประลอง ตอนแรกศิษย์อาภรณ์ทองที่มาจากจักรวาลผู้นี้เพิ่งมาเยือนวังทวีสูญ ผู้ที่คิดจะเดิมพันการประลองก็มีอยู่มากมาย! แต่ถึงอย่างไรพอผ่านไปสามสิบกว่าล้านปี ศิษย์อาภรณ์ทองผู้นี้ก็ไปพลิกอ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในตำหนักหมื่นรูป ตอนนี้พลังยุทธ์ยากจะคาดเดาได้ เดิมพันก็ต้องยิ่งใหญ่ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครไปเดิมพันการประลองเลยมาโดยตลอด
“คราวก่อนเป้าเซียวจัดอยู่ในลำดับที่สิบหก แต่เขาก็เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อนแล้ว”
“เขาที่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาแล้วคนหนึ่ง ถึงกับจะมาเดิมพันการประลองกับตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ รังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้วหรือไม่”
“ใจดำเสียจริง”
“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้คงจะไม่โง่เง่าขนาดยอมตอบรับการประลองเดิมพันหรอกกระมัง”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างพากันลอบวิพากษ์วิจารณ์
ถึงแม้ว่าคราวก่อนเป้าเซียวจะจัดอยู่ในลำดับที่สิบหก แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาจะอ่อนแอกว่าสิบห้าคนนั้น! เพราะว่ามิได้เข้าเป็นสิบคนแรก ลำดับหลังจากนั้นก็มิได้สำคัญถึงเพียงนั้นแล้ว ถึงอย่างไรเป้าเซียวก็เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน พลังยุทธ์ก็ย่อมล้ำเลิศเป็นที่สุดอยู่แล้ว
“เจ้าคิดจะเดิมพันเอาอาวุธเทพอากาศของข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขา “เช่นนั้นเจ้าก็หยิบเอาศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนหรือสมบัติล้ำค่าที่มีมูลค่าเท่ากันมาสินะ”
“แน่นอนว่าข้าเอามาด้วย” ชายหนุ่มผิวดำมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ศิษย์พี่จะยอมเดิมพันการประลองหรือไม่เล่า ตอนนี้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องล้วนอยู่กันพร้อมหน้า แม้กระทั่งประมุขวังสองท่านและบรรดาประมุขวังทั้งหลายต่างก็อยู่กันด้วย พอออกปากพูดไปแล้วก็มิอาจนึกเสียใจภายหลังได้แล้วนะ!”
“เช่นนั้นก็ประลองเดิมพันกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ชายหนุ่มผิวดำสะดุ้งคราหนึ่งแล้วรีบกดความปิติยินดีแทบคลั่งในใจเอาไว้ในทันใด
ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน ดังนั้นความกระหายอยากที่จะเป็นสิบคนแรกจึงมิได้รุนแรงปานนั้น เพราะเขาได้ผลปัดจิตวิญญาณมาครอบครองแล้ว ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลก็เคยได้ครอบครองแล้ว ในทางกลับกัน…เขาค่อนข้างจะหมายตากับการเดิมพันการประลองกับตงป๋อเสวี่ยอิง นั่นก็คืออาวุธเทพอากาศชั้นยอดชิ้นหนึ่ง! การที่เขาจะหยิบเอาสมบัติล้ำค่าศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนออกมานั้นก็เป็นการทุ่มทุนหมดหน้าตักแล้ว การเก็งกำไรในครั้งนี้ช่างได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเสียจริง!
คนอื่นๆ ที่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน บ้างก็รักษาหน้า บ้างก็คิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงคงจะไม่โง่งมไปตอบรับการเดิมพัน ทั้งหมดจึงล้วนไม่มีใครเอ่ยปากท้าประลองเลย
แต่เขากลับเปิดปากเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยอมตอบรับเสียด้วย! นี่ทำให้ผู้ที่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองต่างก็เป็นกังวล เหตุใดตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้จึงได้ยโสเช่นนี้เล่า เหตุใดข้าจึงไม่ชิงท้าประลองแซงหน้าไปก่อนเล่า
“คงไม่นึกเสียใจภายหลังนะ” ชายหนุ่มผิวดำถามซ้ำอีกรอบหนึ่ง
“ไม่นึกเสียใจแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ขณะนี้ คนส่วนมากในกิจกรรมใหญ่ล้วนแล้วแต่มองมาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงสองคน ทว่าจอมมารและจอมกระบี่ก็เพียงแค่ชมดูอยู่อย่างสนอกสนใจ มิอาจห้ามปรามได้เลยแม้แต่น้อย! บำเพ็ญมาถึงระดับขั้นเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใช่เด็กน้อยอมมืออีกต่อไปแล้ว การตัดสินใจใดๆ ล้วนต้องให้ตนเองเป็นผู้รับผลที่จะตามมาทั้งสิ้น
ตอนที่ 28 การต่อสู้ตัวต่อตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งพูดจบ ชายหนุ่มผิวดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่างดูมีความสุขเสียจริง รับกระบวนท่าด้วย!” เขาเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ผิวกายก็มีอสรพิษสายฟ้าสีเขียวสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาในทันใด อสนีบาตเหล่านี้คล้ายกับอสรพิษขนาดใหญ่ที่มีชีวิต เคลื่อนผ่านท้องฟ้าอย่างกำแหง นำมาซึ่งพลังทำลายล้างอันน่าหวั่นเกรงโอบล้อมโจมตีเข้ามา
เพียงชั่วครู่ก็มีอสนีอสรพิษกว่าร้อยสายโอบล้อมโจมตี
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู๋ที่เดิม มือขวากุมหอกยาวสีม่วงเข้มเล่มหนึ่งเอาไว้ รอบตัวเขามีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างเคลื่อนผ่านไปมาโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางแล้วก่อตัวเป็นเขตพลังทรงกลมขนาดมหึมา ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างส่งผ่านและบิดเกลียวอยู่ภายในนั้นไม่หยุดหย่อน ท้องฟ้าผืนนี้ขยับเป็นระลอกและบิดเกลียวอยู่ตลอดเวลาราวกับโลกที่อยู่กลางสระน้ำ
อสนีอสรพิษที่โจมตีเข้ามาเหล่านั้น แต่ละตัวต่างถูกกระหวัดรัดเกี่ยวอย่างรุนแรงราวกับติดอยู่ในกับดัก พลังคุกคามเสื่อมถอยลงอย่างฉับพลัน อสนีอสรพิษเหล่านี้ยังไปไม่ถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูญสลายไปเสียแล้วในที่สุด
“ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา!”
“เขตพลังเคล็ดวิชาอันร้ายกาจของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ สามารถสำแดงตาข่ายสวรรค์ไร้เงาได้ถึงขั้นนี้ ทำลายอสนีอสรพิษได้”
เหล่าศิษย์ที่ชมการประลองอยู่แต่ละคนต่างก็ประหลาดใจ
พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับศาสตร์ลับจำนวนหนึ่งของวังทวีสูญดีเหลือเกินอยู่แล้ว ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา เป็นศาสตร์ลับระดับอลหม่าน ศิษย์อาภรณ์ม่วงต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ นับผู้บำเพ็ญในประวัติศาสตร์รวมกันก็มีมากมายเหลือเกิน! แม้กระทั่งผู้ปกครองเทพแท้ในยุคปัจจุบันนี้ก็มีผู้ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาตาข่ายสวรรค์ไร้เงาอยู่เป็นจำนวนมากพอดู พวกเขาต่างก็ยอมรับความสำเร็จรอบรู้ในวิชาตาข่ายสวรรค์ไร้เงาของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้พวกเขานับถืออยู่บ้าง
“ถึงแม้ว่าเก้ากระบี่อสนีอสรพิษจะเป็นศาสตร์ลับขั้นจักรวาลระดับสุดยอด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเคล็ดกระบี่ที่นำมาใช้ในการโจมตี อสนีอสรพิษที่รวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่เข้าโจมตี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพลังคุกคามก็อ่อนแอกว่า! ส่วนตาข่ายสวรรค์ไร้เงานั้นแม้จะเป็นศาสตร์ลับระดับอลหม่าน แต่ก็เป็นศาสตร์ลับประเภทเขตพลังที่มีความบริสุทธิ์ ทางด้านเขตพลังก็เพียงพอที่จะต้านทานอสนีอสรพิษเหล่านั้นได้”
“พลังยุทธ์ของเป้าเซียวยังมิได้สำแดงออกมาอย่างแท้จริง! ถ้าหากเขาระเบิดออกมาหมด เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องพ่ายแพ้”
“อืม ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือสิ่งที่สั่งสมมา ตงป๋อเสวี่ยอิงช่างโชคร้ายเหลือเกิน!”
“ทั้งยังเป็นการเดิมพันการประลองอีกด้วย! อาวุธเทพอากาศชั้นสูงชิ้นหนึ่งเชียวนะ”
บรรดาศิษย์เหล่านี้ต่างก็ลอบวิพากษ์วิจารณ์กัน
ถึงแม้ว่ายามที่ออกกระบวนท่า ตงป๋อเสวี่ยอิงจะค่อนข้างโดดเด่น แต่ทุกคนก็ยังมอง ‘เป้าเซียว’ ในแง่ดีอยู่ เพราะเดิมทีตัวเป้าเซียวก็ไม่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาทางด้านเขตพลังอยู่แล้ว
……
เป้าเซียวเห็นอสนีอสรพิษที่ตนปล่อยออกมาถูกกำจัดจนสิ้นก็อดที่จะหัวเราะเสียงดังมิได้ “พลังยุทธ์ของศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่างล้ำเลิศยิ่งนัก” เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีม่วงอันตระการตาในทันใด สายฟ้าสีม่วงนี้พลันเคลื่อนผ่านฟากฟ้า โจมตีตรงมาด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด ความรวดเร็วนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
รวดเร็วยิ่งนัก!
ตลอดครึ่่งปีมานี้เขาก็เห็นการต่อสู้มามากมาย การต่อสู้ของศิษย์อาภรณ์ทองก็หลายครั้ง ทว่าความเร็วของเป้าเซียวผู้นี้ก็ยังคงรวดเร็วที่สุดที่เขาเคยเห็นมา! ต่อให้ตนอาศัยพลังยุทธ์ของผู้ท่องอากาศก็ยังเกรงว่าความเร็วในการเหินทะยานจะอ่อนแอกว่าอยู่ส่วนหนึ่ง
“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยหลังในทันใด เขาไม่เร่งร้อนที่จะต่อสู้ ถึงอย่างไรก็เดิมพันเอาไว้มหาศาล!
เขาจะต้องดูพื้นฐานของฝ่ายตรงข้ามให้ละเอียดเสียก่อน
พวกเขาล้วนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาในโลกทิพย์ได้ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบความเร็ว ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะเทียบฝ่ายตรงข้ามมิได้ แต่ก็สามารถจัดเป็นสิบอันดับแรกในบรรดาศิษย์เทพแท้ทั้งหมดได้ และเป็นความรวดเร็วอย่างที่สุดอีกด้วย และระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีแผ่กระจายออกไปก็พลันเปลี่ยนแปร ภายในอาณาบริเวณของระลอกคลื่นทรงกลมขนาดมหึมาเริ่มมีเส้นไหมสีแดงโลหิตเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้น
เส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนยึดโยงอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในอาณาบริเวณของทรงกลม
วันเวลาภายในวังทวีสูญเหล่านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยกระดับ ‘เขตแดนค่ายสังหาร’ ไปยังระดับขั้นใหม่เรียบร้อยแล้ว
“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างรวดเร็วเสียจริง! ข้าบำเพ็ญศาสตร์ลับที่จอมกระบี่สรรสร้างขึ้น เก้ากระบี่อสนีอสรพิษที่เชี่ยวชาญความเร็วที่สุดจึงจะรวดเร็วเช่นนี้ได้ เหตุใดเขาจึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ เชื่องช้ากว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง” เป้าเซียวยังคงตกตะลึงกับความรวดเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ในขณะเดียวกันนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว เพราะกลางเขตพลังที่ล้อมรอบอยู่นั้นมีเส้นไหมสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
เส้นไหมสีแดงโลหิตเหล่านี้ราวกับเป็นบริบทของเขตพลังระลอกคลื่น ทำให้พลังการเกี่ยวพันและการกำจัดของทั้งเขตพลังระลอกคลื่นพุ่งทะยานขึ้นในทันใด นอกจากนั้นเส้นไหมสีแดงโลหิตเหล่านี้ยังมีพลังการทำลายล้างราวกับใบมีดที่ชวนให้คนตื่นตะลึงอีกด้วย
ภายใต้เขตแดนค่ายสังหาร
เป้าเซียวคล้ายกับบินอยู่ท่ามกลางตาข่ายเชื่อมโยงฟ้าดินที่กระหวัดรัดแน่นจนความเร็วชะลอลง
“สมควรตาย คิดจะขวางข้าหรือ”
“ตายไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”
เดิมทีเป้าเซียวยังคงอมยิ้ม ในยามนี้รู้สึกได้ถึงหายนะ สีหน้าก็อดที่จะเริ่มอำมหิตขึ้นมามิได้ นัยน์ตาก็มีความดุร้าย มีแววสังหารราวกับใบมีด “ข้าจะต้องเอาชนะการประลองยกนี้ให้จงได้!”
ปัง!
กระบี่เทพสีดำในมือของเป้าเซียวพลันสาดประกายกล้า
“แคว่ก” เป้าเซียวใช้ทั้งร่างกุมกระบี่เทพ อาศัยขอบคมอันน่าหวาดหวั่นฉีกทึ้งเปิดเขตแดนค่ายสังหารแล้วบุกไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“มาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปทักทายในทันใด ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดเวลาในการไปบำเพ็ญที่ตำหนักกาลเวลา หรือว่าเพื่อการได้มาซึ่งวัตถุล้ำค่าที่จะช่วยในการบำเพ็ญ ต่างก็ต้องการสมบัติล้ำค่าอย่างศิลาปฐมโลกา! ดังนั้นตนจะต้องเอาชนะการประลองยกนี้ให้ได้
หอกสีม่วงเข้มหมุนควงออกไป ปลายหอกชี้ตรงไปยังเป้าเซียวที่บุกเข้ามา
“กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา!” เป้าเซียวสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เขาถึงกับสำเร็จวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาแล้ว ยุ่งยากเสียแล้วสิ”
……
จอมกระบี่ที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุดและบรรพชนเทียนอวี๋ต่างก็ก้มลงชมดูการต่อสู้ที่เบื้องล่างยกนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “จอมกระบี่ สิ่งที่เจ้ากับเจ้าเด็กร่วมบ้านเกิดบำเพ็ญก็คือวิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกาของข้า แต่คู่ต่อสู้ของเขากลับใช้วิชาเก้ากระบี่อสนีอสรพิษของเจ้า”
“ท่านบรรพชน” จอมกระบี่ผู้มีผมขาวโพลนทั่วศีรษะชมดูการประลองเบื้องล่างพลางเอ่ยปากอย่างสบายๆ “ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลสามศาสตร์ที่ท่านทิ้งเอาไว้ในจักรวาลแรกเริ่มล้วนเป็นสิ่งที่ท่านสรรสร้างขึ้นเองทั้งนั้น ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลที่ข้าสรรสร้างขี้น…มิได้อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดเลยแม้แต่ศาสตร์เดียว ต่อให้เจ้าเด็กตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้คิดอยากจะเรียน ยามที่เลือกอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาก็มิอาจเลือกได้อยู่แล้ว”
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เรียนก็คือศาสตร์ลับของข้า” บรรพชนเทียนอวี๋ลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง
จอมกระบี่สรรสร้างศาสตร์ลับขั้นจักรวาลออกมาสี่ศาสตร์เต็มๆ
สามศาสตร์ในนั้นล้วนเป็นเคล็ดกระบี่!
“ใช่แล้ว เจ้าปลีกวิเวกมาโดยตลอด ตอนนี้มีความมั่นใจแล้วหรือ” ทันใดนั้นบรรพชนเทียนอวี๋ก็มองไปทางจอมกระบี่ นัยน์ตามีแววคาดหวังสายหนึ่ง
“มีความมั่นใจเพียงห้าส่วนเท่านั้น” สีหน้าของจอมกระบี่ก็มีความเคร่งขรึมอยู่บ้างเล็กน้อย “เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันใหญ๋หลวงนัก ถ้าหากไม่ระวังแล้วก็อาจกลายเป็นมหาสงครามได้ เกรงว่าโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็อาจถูกผลาญทำลายไปด้วย ดังนั้นมีเพียงตอนที่มีความมั่นใจสิบส่วนแล้วเท่านั้น… ถึงเวลานั้นก็ยังต้องเตรียมตัวให้ดี”
บรรพชนเทียนอวี๋ก็พยักหน้าช้าๆ “ข้ารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว แต่ก็ไม่รีบร้อน ไม่มีความมั่นใจสิบส่วนก็รอคอยค่อไป ข้าก็ไม่มีความหวังแล้ว บำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงตอนนี้เป็นระยะเวลาเนิ่นนานแล้วก็ไม่มีความก้าวหน้าอีก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน มีความหวังกว่าข้ามากมายนัก”
นัยน์ตาของจอมกระบี่มีแววคาดหวังสายหนึ่ง ทันใดนั้นก็มองลงไปยังเบื้องล่างแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ชมการประลองก่อนดีกว่า”
“อืม ชมการประลองดีกว่า” บรรพชนเทียนอวี๋ก็ก้มหน้าลงมอง
……
เคร้งๆๆ
อาวุธของทั้งสองฝ่ายปะทะกันราวกับสายฟ้า ศิษย์น้องเป้าเซียวผู้มีผิวหนังสีดำแปลงร่างกลายเป็นอสนีบาตไปโดยสมบูรณ์แล้วในขณะนี้ โจมตีกระบี่แล้วกระบี่เล่าอย่างบ้าคลั่งโดยอาศัยความเร็วสูง ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็รวม ‘เขตแดนค่ายสังหาร’ เข้ากับกระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาของตน สามารถต้านทานเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์แบบ
“ฮึ่ม…” ศิษย์น้องเป้าเซียวบ้าคลั่งไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว เขาคำรามอย่างโกรธเคือง บริเวณกลางหว่างคิ้วปริออกเป็นนัยน์ตาสีทองข้างหนึ่ง กลางนัยน์ตาสีทองก็มีสายฟ้าอันน่าหวั่นเกรงอยู่เช่นกัน กระบี่เทพในมือของเขาเหนี่ยวนำเอาอสนีบาตสีทองมา พลังคุกคามพุ่งทะยานสูงขึ้น นี่จึงจะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง
“ศาสตร์โบราณหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว เหล่าศิษย์ระดับสูงของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์โดยทั่วไปต่างก็สามารถบำเพ็ญระบบอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันด้วยได้ โดยทั่วไปต่างก็ใช้กลบเกลื่อนข้อด้อยบางอย่างของตนได้เป็นอย่างดี โดยปกติก็จะสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทำให้ตนเองสำแดงพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาได้! ศิษย์น้องเป้าเซียวผู้นี้เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน ก็เป็นเพราะเขาเป็นผู้ที่โจมตีได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด และช่ำชองในการควบคุมอสนีบาตในระบบศาสตร์โบราณ
ศาสตร์โบราณ มีทั้งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและผู้ที่อ่อนแอที่สุด และมีผู้ที่มีวิธีการลงมืออันลึกลับมิอาจคาดเดา นี่คือระบบการบำเพ็ญโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ยามที่เป็นวิญญาณเทพนั้นก็เหมือนกับระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ คือต้องเปิด ‘ทะเลเทพ’ ภายในกายก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยรวบรวมร่างจริงจิตเทพ
แต่ระบบศาสตร์โบราณกลับต้องบ่มเพาะ ‘แก่นกำเนิด’ ออกมาก่อน จิตวิญญาณก็จะแทรกซึมอยู่ในนั้น แก่นกำเนิดนี้โดยทั่วไปแล้วก็จะเป็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
อย่างเช่นดวงตา ใบหู หัวใจ ผิวหนัง หรือสมอง เป็นต้น
แก่นกำเนิดที่ไม่เหมือนกันก็จะทำให้ศักยภาพของพวกเขาแตกต่างกันด้วย ระดับวิญญาณเทพ พวกเขาก็สามารถเผยวิธีการอันน่าอัศจรรย์นานาชนิดออกมาได้แล้ว ส่วนผู้ที่ไปถึงระดับผู้ปกครองเทพแท้อย่างศิษย์น้องเป้าเซียวที่หว่างคิ้วมีดวงตาสายฟ้าสีทอง ถึงแม้จะเป็นการสำแดงที่โง่งมที่สุด ก็นับได้ว่าเป็นลำดับสุดยอดในบรรดาผู้ปกครอง เหล่าผู้ปกครองที่อ่อนแอหน่อยต่างก็ถูกสังหาร! ไม่ต้องพูดถึงศิษย์น้องเป้าเซียวที่นำพลานุภาพที่ซึมซับเข้าสู่เก้ากระบี่อสนีอสรพิษมาสำแดง นี่ก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแล้ว
“หึ” เผชิญหน้ากับเป้าเซียวที่เดือดดาล พละกำลังที่ปั่นป่วนอยู่ภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเทเข้าสู่กลางหอกของเขาในทันใด พละกำลังของผู้ท่องอากาศขั้นที่ยี่สิบปะทุออกมาจนหมดสิ้น!
…………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น