Snow Eagle Lord ภาค 26 ตอนที่ 22-25
ตอนที่ 22 มาเยือนครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินตามจอมมารไป ขณะเดียวกันก็มองดูผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไป เท่าที่เห็นก็แทบจะเป็นเทพแท้ทั้งหมด
“เท่าที่ข้ารู้ จำนวนเทพอากาศภายในวังทวีสูญมีน้อยนัก ถึงขั้นสู้จำนวนเทพอากาศในแผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่งไม่ได้เสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ในจักรวาลทั้งหลายและแผ่นดินอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วน จำนวนเทพอากาศมีมากมายนัก
ภายในโลกทิพย์ เทพอากาศก็มีมากเสียจนน่าตกใจ!
แต่เทพอากาศภายในวังทวีสูญกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ต่อให้ศิษย์ขั้นเทพแท้บางคนสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว หากระดับขั้นไม่เพียงพอก็จะถูกปล่อยออกไปยัง ‘เมืองอลหม่าน’ นอกวังทวีสูญ ต้องรู้ไว้ว่าวังทวีสูญเป็นหนึ่งในสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ร่ำร้องอยากจะเข้าร่วมวังทวีสูญ และเพื่อเพิ่มอำนาจการปกครองให้แข็งแกร่งขึ้น ภายในโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราจึงสร้างเมืองอลหม่านสิบสองแห่งกระจายตัวกันออกไป
เมืองอลหม่านทุกแห่งล้วนสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแถบนั้น
มีประโยชน์มากมายเช่นสอดส่องโลกทิพย์ ประกาศรับศิษย์ ทำให้การติดต่อกันสะดวกขึ้นเป็นต้น เทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอเหล่านั้นก็ถูกปล่อยตัวออกไปนอกเมืองอลหม่าน
แต่ต่อให้เป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอพวกนั้นก็เป็นเทพอากาศของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ได้รับการสั่งสอนและชี้แนะจากวังทวีสูญ พลังรบล้วนเหนือกว่าเทพอากาศทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอยู่ภายนอก
“ดูสิ” จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงบินกลับไปทางเกาะแห่งหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่ บนเกาะนั้นมีคูหาอยู่สิบสองแห่งซึ่งมีขนาดแตกต่างกันไป
“ที่นี่ก็คือ ‘เกาะท่องเอกา’ ซึ่งเป็นที่พำนักของศิษย์อาภรณ์ทอง” จอมมารชี้ไปยังคูหาแห่งนั้น “จากตำแหน่งของคูหา คูหาซึ่งอยู่สูงที่สุดคือที่พำนักของศิษย์อาภรณ์ทองอันดับหนึ่งในครั้งก่อน รองลงมาก็คืออันดับสองในตอนนั้น…ถัดลงมาอีก ที่อยู่เกือบด้านล่างสุดก็คือแห่งที่สิบ ก็เป็นของศิษย์อาภรณ์ทองอันดับสิบในตอนนั้น ด้านล่างสุดยังมีคูหาว่างอยู่อีกสองแห่ง ซึ่งเตรียมไว้เพื่อศิษย์อาภรณ์ทองที่ถือกำเนิดขึ้นภายในจักรวาล อย่างเสวี่ยอิงที่ผ่านการทดสอบจากจักรวาลบ้านเกิดมานั้น ง่ายกว่าการท้าทายภายในวังทวีสูญมากโข ดังนั้นสิ่งที่เจ้าได้รับก็จะน้อยกว่าอยู่บ้าง”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ท่านประมุขวัง”
เสียงหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ ชายวัยกลางคนอาภรณ์สีเทาบนเกาะแห่งนี้โค้งคำนับด้วยความเคารพ ทว่าเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดซึ่งบรรลุถึงระดับขั้นเทพอากาศเท่านั้น
“ท่านนี้คือศิษย์อาภรณ์ทองตงป๋อเสวี่ยอิง” จอมมารเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางกำชับว่า “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เขาจะเป็นนายของเจ้า!”
“บ่าวคารวะนายท่านขอรับ” ชายวัยกลางคนอาภรณ์สีเทาคำนับตงป๋อเสวี่ยอิงทันที
“เสวี่ยอิง เขาจะบอกกฎเกณฑ์ต่างๆ ภายในวังทวีสูญให้แก่เจ้า” จอมมารกล่าว “เดิมทีจอมกระบี่ก็ควรจะมาพบเจ้าเสียหน่อย เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็มาจากบ้านเกิดของเรา ทว่าเขาและท่านบรรพชนล้วนกำลังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ในตอนนี้ คาดว่าในศึกจัดอันดับศิษย์อาภรณ์ทอง ท่านบรรพชนและจอมกระบี่น่าจะออกมา ก็ใกล้แล้วล่ะ เหลือเพียงสามสิบกว่าล้านปีเท่านั้นก็จะถึงศึกจัดอันดับศิษย์อาภรณ์ทองครั้งหน้าแล้ว”
“สามสิบกว่าล้านปีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ต่อให้พ่ายแพ้ในครั้งนี้ เจ้าก็สามารถชนะกลับมาได้ในครั้งหน้า” จอมมารพูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องรู้สึกเสียหน้าไปหรอกนะ ศิษย์เทพแท้ที่ร้ายกาจที่สุดของวังทวีสูญนั้นเยี่ยมยอดนัก ครั้งนี้เจ้าสามารถเข้าอยู่ในยี่สิบอันดับแรกได้ก็นับว่าสำเร็จแล้ว”
จอมมารพูดจบก็ยิ้ม “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด จักรวาลบ้านเกิดของพวกเรา นอกจากจอมกระบี่และข้าแล้ว ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่มีพรสวรรค์และการรับรู้สูงส่งที่สุด ทางสายของพวกเรานี้ยังคงอ่อนแอยิ่งนัก”
“ข้าย่อมทำสุดกำลังอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
จอมมารพยักหน้า
จากนั้นก็พลันก้าวออกไปก้าวหนึ่ง แล้วกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งหายวับไปไกลลิบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงร่ำร้องขึ้นมาว่า “ยี่สิบอันดับแรกจึงนับว่าสำเร็จอย่างนั้นหรือ”
“นายท่าน” บ่าวรับใช้ด้านข้างเอ่ยขึ้น “ข้าจะส่งข้อมูลทั้งหลายภายในวังทวีสูญให้นายท่านทราบ”
ไม่นานนัก
ป้ายคำสั่งส่งสารของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันได้รับข้อมูลจำนวนมาก แม้ตอนที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิด เขาก็เคยรู้ข้อมูลมามากมาย แต่ข้อแรก ก็คือไม่ละเอียดพอ ข้อสอง นั่นเป็นข้อมูลที่บรรพชนเทียนอวี๋ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่จักรวาลถือกำเนิดขึ้น ซึ่งล้วนแต่ล้าสมัยเกินไปแล้ว อย่างข้อมูลของศิษย์เทพแท้ในยุคนี้ก็ไม่มี
“หา…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์เทพแท้ในยุคนี้ก่อน เมื่ออ่านดูก็ต้องอ้าปากค้าง
เมื่อทอดสายตามองไปในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล
หากพูดถึงระดับความพิสดารของกระบวนท่าเคล็ดลับการต่อสู้แล้ว วังทวีสูญก็นับว่าเป็นอันดับต้นๆ! ดังนั้นนอกจากเทพแท้จำนวนมากที่ปรารถนาจะเข้าร่วมแล้ว แม้แต่ ‘เกาะปฐมบรรพชน’ และ ‘แดนทิพย์เหยากวง’ ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับวังทวีสูญ ก็ล้วนแต่ส่งคนไปเข้าร่วม และยังมีแกนนำขั้นอลวนบางคนของโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราส่งศิษย์ที่ตนให้ความสำคัญเข้าร่วมกับวังทวีสูญด้วย
วังทวีสูญก็ได้ให้อันดับจำนวนเล็กน้อยเพื่อดึงดูดผู้มีพรสวรรค์กลุ่มนี้เข้ามา
การแย่งชิงระหว่างศิษย์เทพแท้นั้นดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง
“ศิษย์อาภรณ์ทองสิบคน หากนับรวมผู้ที่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแล้วต่อมาลดระดับลงเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงด้วยแล้ว…ก็มีถึงสิบเก้าคนด้วยกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “ยังมีอีกราวสิบกว่าคนที่แม้ไม่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน แต่พลังก็ใกล้เคียงอย่างยิ่ง จนมีหวังจะทะยานเข้าสู่สิบอันดับแรกได้”
ผู้ที่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง ก่อนหน้าที่จะได้รับศาสตร์ลับระดับจักรวาลก็เคยอยู่ในสิบอันดับแรกมาก่อน! หลังจากบรรลุถึงสิบอันดับแรกแล้ว ได้รับศาสตร์ลับระดับจักรวาล ยังมีทรัพยากรนานาชนิดคอยช่วยเหลือก็ยิ่งร้ายกาจขึ้น
เพียงแต่ภายใต้การโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าของผู้ที่มาทีหลัง ต่อมาผู้ที่ร้ายกาจก็รุ่งโรจน์ขึ้นมา ก็จะถีบให้ศิษย์อาภรณ์ทองอันดับเหนือกว่าร่วงลงไป!
สิบเก้าคนนี้…
บวกกับอีกราวสิบคนถัดลงมา ก็ล้วนสามารถข้ามขั้นไปสังหารเทพอากาศได้อย่างง่ายดาย
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ถึงอย่างไรก็แค่ผ่านการทดสอบอันง่ายดายในจักรวาลบ้านเกิดมา เกรงว่าศิษย์เทพแท้นับร้อยภายในวังทวีสูญคงจะผ่านความยากระดับนี้ได้ ดังนั้นแม้แต่จอมมารที่มีเงื่อนไขจำกัดเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกได้ก็นับว่าสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว!
เพราะถึงอย่างไรก็มีถึงสิบเก้าคนที่เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน! ยี่สิบอันดับแรกก็น่าหวาดหวั่นมากทีเดียว
“แม้ข้าจะฝึกผลาญโลกากระบี่ที่หนึ่งได้สำเร็จ ทว่าสามารถเป็นศิษย์อาภรณ์ทองได้ ก็ล้วนแต่มีศาสตร์ลับจักรวาลของตนเอง และคงฝึกจนเข้าที่หมดแล้ว พลังของข้าในตอนนี้ ข้าไม่มั่นใจเต็มที่เลยว่าจะเข้าสู่สิบอันดับแรกได้” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายสายหนึ่งพาดผ่าน “ทว่าต้องเข้าไปให้ได้”
เพราะมีเพียงผู้ที่เข้าสู่สิบอันดับแรกของการต่อสู้ภายในได้เป็นครั้งแรก จึงจะได้รับ ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ เป็นรางวัลจากวังทวีสูญ ซึ่งนี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญ มีมูลค่าห้าสิบศิลาปฐมโลกา
ต้องรู้ไว้ว่าแม้จะสังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศไปไม่น้อย รวมทั้งสังหารเทพอากาศไปจำนวนหนึ่ง แต่สมบัติล้ำค่าที่เก็บรวบรวมมาทั้งหมด เมื่อรวมกันแล้วน่าจะมีมูลค่าพอๆ กันกับศิลาปฐมโลกาก้อนหนึ่ง!
แน่นอนว่าในฐานะศิษย์อาภรณ์ทอง ป้ายอักขระรักษาชีวิตและอาวุธเทพอากาศล้วนแต่มีมูลค่าสูงมาก น้ำเต้าสีดำซึ่งเป็นสมบัติพิทักษ์วิถีก็ล้ำค่ามาก แต่เขาก็ไม่มีทางขายอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ผลปัดจิตวิญญาณมีเพียงวังทวีสูญเท่านั้นที่มี โดยทั่วไปจะมอบให้แก่ศิษย์อาภรณ์ทองคนใหม่เท่านั้น แม้จะมีมูลค่า แต่กลับซื้อหามิได้!
“ต้องได้มาให้ได้ ต่อให้ข้าไม่ใช้ มอบให้จิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์ก็ดีเหมือนกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าผลปัดจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องได้มาให้ได้
……
“โครมมมม…”
ประตูคูหาถูกผลักเปิดออก
คูหาแห่งนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก มีลานเล็กแห่งหนึ่ง ภายในมีห้องหับอันเรียบง่ายอยู่เพียงสามห้องเท่านั้น แม้จะจัดเป็นคูหาระดับต่ำสุดของศิษย์อาภรณ์ทอง แต่กลับเพียงพอให้ศิษย์เทพแท้จำนวนมากตาเป็นมันแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในคูหาของตน แล้วเริ่มสำรวจสถานที่อาศัยแห่งใหม่นับจากนี้ไปโดยละเอียด
******
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักประตูคูหาเปิดออกนั้น ก็ถูกศิษย์เทพแท้หลายคนที่บินอยู่ไกลออกไปเห็นเข้า
“เกาะอาภรณ์ทองหรือ”
“ศิษย์อาภรณ์ทองอีกคนหนึ่งหรือ”
แม้เกาะที่ศิษย์อาภรณ์ทองอาศัยอยู่จะมีนามว่า ‘เกาะท่องเอกา’ แต่ศิษย์เทพแท้ทั่วไปจำนวนมากก็เคยชินที่จะเรียกว่า ‘เกาะอาภรณ์ทอง’ เสียมากกว่า เพราะนั่นคือเป้าหมายที่พวกเขาปรารถนา
“ศิษย์อาภรณ์ทองสิบคน เหตุใดจึงโผล่มาอีกคนได้เล่า”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มิได้บอกว่ามีคนหนึ่งชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงอะไรนั่นหรือ มาจากจักร วาลแรกเริ่มหรือ“
“เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ”
ศิษย์เหล่านี้พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็เริ่มไปสืบข่าว เพราะเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง หลายบริเวณภายในวังทวีสูญก็เริ่มบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเขาแล้ว เช่นกลิ่นอายวิญญาณ เช่นสถานะศิษย์อาภรณ์ทองขีดจำกัดต่างๆ ที่มี เป็นต้น…ดังนั้นบรรดาศิษย์เทพแท้ที่พอจะมีเส้นสายอยู่บ้างจึงทราบข่าวอย่างรวดเร็ว
“เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ได้ยินมาว่าจอมมารพาเขากลับมาด้วยตนเองเลยทีเดียว”
“ก็แค่เจ้าเด็กคนหนึ่งที่ออกมาจากจักรวาล แล้วโชคดีสำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง” ศิษย์เทพแท้จำนวนมากอิจฉาริษยาและรู้สึกอคติต่อเขาเป็นอันมาก เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นเติบโตขึ้นมาในโลกทิพย์ จึงไม่เห็นจักรวาลต่างๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่ในสายตา
“ไม่เป็นไร ศึกครั้งหน้าใกล้เข้ามาแล้ว ถึงตอนนั้นข้าค่อยมาท้าทายเขา” ศิษย์เทพแท้ทั้งหลายกล่าวขึ้น
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจคูหาของตนรอบหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากประตูไป เขาแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งทะยานไปทางแผ่นดินที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศแห่งนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเสียเวลา ต้องการมุ่งหน้าไปยัง ‘ตำหนักหมื่นรูป’ ทันที ตอนนั้นจอมกระบี่ออกจากจักรวาลบ้านเกิดมาถึงยังวังทวีสูญ แล้วพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนในตำหนักหมื่นรูปจากนั้นก็เก็บตัวบำเพ็ญ หลังออกมาก็ก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลทันที
จอมมารมาถึงที่นี่ ก็เพื่อไปอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนในตำหนักหมื่นรูป
สำหรับผู้ที่มาจากจักรวาลอย่างพวกเขาเหล่านี้ ‘ตำหนักหมื่นรูป’ นั้นเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ที่นี่มีคัมภีร์ทั้งหมดที่วังทวีสูญสั่งสมมาตลอดวันคืนอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุดอยู่
“ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช่หรือไม่” เสียงหนึ่งลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหยุดลง บุรุษอาภรณ์สีม่วงรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่งยืนอยู่ไกลออกไป
ตอนที่ 23 พลิกอ่าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เป็นข้าเอง ไม่ทราบว่าศิษย์น้องของข้าคนนี้ขวางข้าตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ด้วยเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
บุรุษอาภรณ์สีม่วงพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามีนามว่าหมิงอวี้ เพิ่งได้ยินว่ามีศิษย์พี่อาภรณ์ทองคนใหม่คนหนึ่งมา ดังนั้นจึงตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ ศิษย์พี่สูงส่งเป็นถึงศิษย์อาภรณ์ทอง ไยจึงไม่ให้อาภรณ์ทองปรากฏออกมาเสียหน่อยเล่า ภายในวังทวีสูญ ศิษย์อาภรณ์ทองและศิษย์อาภรณ์ม่วงไปจนถึงผู้อาวุโสตำหนักในทั้งหลายล้วนแต่เผยสีของอาภรณ์ออกมาทั้งสิ้น”
“อ้อ ก็ถูกของเจ้า ข้าเพิ่งมาถึงวังทวีสูญจึงมิทันได้สังเกต” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ อาภรณ์สีขาวเหนือผิวกายพลันเปลี่ยนสีสันไป อาภรณ์สีทองเผยโฉมที่แท้จริงออกมา
ก่อนหน้านี้เขาแค่ถ่อมตนเท่านั้น
เขาไม่อยากเผยสถานะศิษย์อาภรณ์ทองออกมาดึงดุดความสนใจมากเกินไป ทว่าในเมื่อถูกถามขึ้นมาเองแล้ว เช่นนั้นเปิดเผยออกมาเลยก็ดีเหมือนกัน
ศิษย์อาภรณ์ม่วงมองอาภรณ์สีทองอร่ามทั่วร่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เผยสีหน้าอิจฉาออกมา “ศิษย์น้องเช่นข้าผ่านการท้าทายของศิษย์เทพแท้มาหลายครั้ง แต่กลับพลังสู้ไม่ได้ ไม่มีวาสนาได้เป็นสิบอันดับแรก ได้ยินมาว่าศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง ประมุขวังลงทัณฑ์รวมทั้งจอมกระบี่ล้วนมาจากจักรวาลเดียวกัน และยังเป็นศิษย์อาภรณ์ทองอีกด้วย เกรงว่าพลังตงจะไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะลองประมือกับข้าดูสักยกหนึ่งได้หรือไม่”
“ลองประมือดูหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้เลยหรือ”
ศิษย์น้องผู้นี้ยังนับว่าเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง จะประลองไปก็ไม่เป็นไร ก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตารู้จักระดับของศิษย์เทพแท้แห่งวังทวีสูญบ้างก็แล้วกัน
ศิษย์อาภรณ์ม่วงพูดขึ้นอีกว่า “ภายในวังทวีสูญของเรา โดยทั่วไปจะขึ้นเวทีประลองก็ต้องมีเดิมพัน ข้าขอวางศิลาปฐมโลกาสิบก้อนเป็นเดิมพัน”
“ศิลาปฐมโลกาสิบก้อนหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของอีกฝ่าย เทพอากาศทั่วไปล้วนไม่มีสมบัติมากมายเช่นนี้ แม้ศิษย์น้องตรงหน้าผู้นี้จะเป็นผู้ปกครองเทพแท้ แต่กลับมือหนักกว่าเทพอากาศเสียอีก ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นทันทีว่า “ศิษย์น้องช่างมือหนักจริงๆ น่าเสียดายที่ข้าไม่มีศิลาปฐมโลกามากมายถึงเพียงนี้”
“ฮ่าฮ่า ในฐานะที่ศิษย์พี่เป็นศิษย์อาภรณ์ทอง แล้วจะมีสมบัติล้ำค่าไม่พอได้อย่างไรกันเล่า” ศิษย์อาภรณ์ม่วงหมิงอวี้พูดยิ้มๆ “ศิษย์พี่จะต้องมีอาวุธเทพอากาศสักชิ่นหนึ่งอย่างแน่นอน มูลค่าย่อมเพียงพอแน่”
“เจ้าให้ข้าวางอาวุธเทพอากาศเป็นเดิมพันรึ” เสียงตงป๋อเสวี่ยอิงราบเรียบนัก “อาวุธเทพอากาศของข้าเช่นนี้มิใช่แค่ศิลาปฐมโลกาสิบก้อนน่ะสิ”
ศิษย์อาภรณ์ม่วงพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ อาวุธเทพอากาศที่ศิษย์อาภรณ์ทองได้มานั้นมีมูลค่าถึงศิลาปฐมโลกายี่สิบสามสิบก้อน แม้จะสูงกว่าเดิมพันของข้าอยู่บ้าง ทว่าภายในวังทวีสูญของเรา…หากผู้ที่มีพลังสูงกับผู้ที่มีพลังอ่อนแอประลองกัน โดยทั่วไปผู้ที่มีพลังสูงกว่าก็จะวางเดิมพันมากกว่า ผู้ที่มีพลังอ่อนแอกว่าก็จะวางเดิมพันน้อยกว่าบ้าง! เพราะถึงอย่างไรการประลองเช่นนี้ โอกาสที่ข้าจะแพ้ก็มีมากกว่านี่นา”
“ทำไมหรือ ศิษย์พี่กับจอมมารและจอมกระบี่ล้วนมาจากจักรวาลเดียวกัน ศิษย์น้องอย่าข้าก็ยังกล้าพอที่จะมาเดิมพัน หรือศิษย์พี่ไม่มีความกล้าแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้” ศิษย์อาภรณ์ม่วงพูดต่อไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูศิษย์น้องตรงหน้าคนนี้
ในฐานะศิษย์อาภรณ์ทองที่มาจากจักรวาลบ้านเกิด นอกจากสมบัติพิทักษ์วิถีน้ำเต้าสีดำแล้ว ในบรรดาสมบัติล้ำค่าทั่วไปทั้งหมด ป้ายอักขระรักษาชีวิตนั้นมิอาจขายได้ สิ่งเดียวที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ทั้งยังมีมูลค่าสูงยิ่งนักก็มีแต่อาวุธเทพอากาศเท่านั้น หอกยาวเล่มนั้นของตนเป็นถึงอาวุธเทพอากาศชั้นบน ซึ่งมีมูลค่าเกือบสามสิบศิลาปฐมโลกาแล้ว
นี่ก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สูงค่าที่สุดของตนแล้ว! คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึง ก็ถูกจับตามองเสียแล้ว
“ศิษย์น้องหมิงอวี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขา “เท่าที่ข้ารู้ ในการท้ายทายระหว่างศิษย์เทพแท้ครั้งก่อน เจ้าจัดเป็นอันดับที่ยี่สิบหก”
ศิษย์อาภรณ์ม่วงสะดุ้งเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ยังห่างจากสิบอันดับแรกไกลลิบทีเดียว”
“ข้าบังเอิญโชคดีได้เป็นศิษย์อาภรณ์ทองจากในจักรวาลบ้านเกิด หากประลองกับศิษย์น้องจริงๆ แล้ว เกรงว่าอาจจะพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์น้องอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะพลางทอดถอนใจ “เรื่องการประลองนี่ขอให้แล้วกันไปเถิด”
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นถึงศิษย์อาภรณ์ทองทั้งยังมาจากจักรวาลเดียวกับจอมมารและจอมกระบี่ ย่อมต้องเก่งกาจมากอย่างแน่นอน ความมั่นใจเพียงเท่านี้ก็ยังไม่มีหรือนี่” ศิษย์อาภรณ์ม่วงพูด “หากเป็นเช่นนั้น ก็ช่างทำให้ข้าและศิษย์ทั้งหลายดูแคลนเสียจริง”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็นลง
“ดูแคลนหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขา นัยน์ตาทั้งคู่เยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “แค่ศิลาปฐมโลกาเพียงสิบก้อนของเจ้าก็จะเอามาวาวเดิมพันกับอาวุธเทพอากาศชั้นบนของข้า ข้าว่าเจ้าน่ะฝันไปเถิด! จะพนันกับข้าก็ได้ เจ้าเตรียมศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนมาให้ดีก็แล้วกัน! เมื่อศึกการท้าทายภายในของศิษย์เทพแท้มาถึง พวกเราก็ถือโอกาสประลองด้วยเลยก็แล้วกัน ผู้ใดชนะ เดิมพันก็จะตกเป็นของผู้นี้น”
“หากยากจนเกินไป จนนำศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนมาไม่ได้ ก็รีบหลบไปให้ไกลหน่อยก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเย็นชาคราหนึ่ง จากนั้นก็แปรเป็นลำแสงบินออกไปไกลลิบโดยไม่มองศิษย์อาภรณ์ม่วงหมิงอวี้ผู้นั้นอีกเลยแม้แต่แวบเดียว
บุรุษอาภรณ์ม่วงผู้หล่อเหลามองตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หมิงอวี้ เห็นทีตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้คงจะมิได้หลอกง่ายถึงเพียงนั้น” ศิษย์อาภรณ์ม่วงคนอื่นๆ ก็บินเข้ามาจากที่ไกลๆ
“ยังคิดว่าจะมั่นใจในตนเองและหยิ่งผยองอย่างยิ่งจนกล้าประลองกับข้าเสียอีก” หมิงอวี้ส่ายศีรษะเบาๆ “เห็นทีคงจะระมัดระวังมากทีเดียว”
“ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มิได้ลั่นวาจาออกมาแล้วหรือว่า ให้นำศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนมาประลองกับเขา ทำไมรึ ศิษย์พี่หมิงอวี้ไม่มั่นใจหรือว่าจะเอาชนะเขาได้น่ะ”
“หรือว่าศิษย์พี่หมิงอวี้หาศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนมิได้ ขาดเท่าไหร่หรือ ข้าให้ยืมได้นะ ทว่าจะต้องมีของจำนำเอาไว้ด้วย”
ศิษย์อาภรณ์ม่วงเหล่านั้นเอ่ย
“อ้อ คิดว่าหากพวกเจ้าไปท้าทาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะรับศึกเช่นเดียวกัน” หมิงอวี้พูดเสียงเรียบ “พวกเจ้าสามารถเตรียมศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนเอาไว้ได้เลย เมื่อการต่อสู้จัดอันดับมาถึง ก็สามารถท้าทายตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ส่วนข้าน่ะ ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
สวบ หมิงอวี้พูดจบก็บินออกไป
ศิษย์อาภรณ์ม่วงอีกกลุ่มหนึ่งเห็นเข้าก็ยิ้มเยาะ
“คิดจะหลอกศิษย์อาภรณ์ทองที่มาจากจักรวาลคนนี้ น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ”
“หมิงอวี้ผู้นี้อันตรายถึงเพียงนี้เชียว”
ศิษย์อาภรณ์ม่วงเหล่านี้พูดไปตามใจปาก
“ทุกท่าน มีผู้ใดกล้าท้าทายบ้าง”
“เขามาจากจักรวาลเดียวกับจอมมารและจอมกระบี่ หากประลองทันทีในตอนนี้ ข้าอาจจะมั่นใจอยู่หลายส่วน แต่เขากลับอยากถ่วงเวลาออกไปให้ถึงตอนต่อสู้จัดอันดับ…ต้องรู้ไว้ว่าทั้งจอมกระบี่และจอมมาร หลังจากพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูปและเสริมความรู้ที่บกพร่องไปแล้ว พลังก็ก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากจอมกระบี่เก็บตัวบำเพ็ญแล้วก็บรรลุถึงขี้นสุดของการบำเพ็ญ แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้จะพบเห็นความเร้นลับของกฎเกณฑ์มาน้อย แต่ขอเพียงได้อ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูป ก็จะสามารถเสริมข้อบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว ในการต่อสู้จัดอันดับ พลังจะต้องก้าวหน้าไปอย่างมากแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกก็เป็นได้! ยอดฝีมือพรรค์นี้ ข้าก็ไม่มั่นใจนักหรอก”
“อืม เกรงว่าอาจจะก้าวหน้าเป็นอย่างมากทีเดียว”
ศิษย์อาภรณ์ม่วงเหล่านี้มีภูมิหลังแตกต่างกันไป
บ้างก็เป็นผู้ที่เกาะปฐมบรรพชนและแดนทิพย์เหยากวงส่งมา บ้างก็ผ่านการคัดเลือกมากมายในโลกทิพย์มาจนได้เข้ามาอยู่ในวังทวีสูญ การช่วงชิงภายในวังทวีสูญนั้นดุเดือดเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่วังทวีสูญยึดมั่นก็คือผู้มีความสามารถและกลยุทธ์โดยไม่สนใจจำนวน แต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่า
เพราะถึงอย่างไรหากส่งประมุขวังไปสักคนหนึ่ง หรือเป็นแค่เพียงร่างแปรก็ตาม ก็สามารถเข่นฆ่าเทพอากาศจำนวนมากได้แล้ว
ดังนั้นสามารถผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงที่นี่ได้ แต่ละคนก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดาเป็นอันมาก และล้วนแต่ชาญฉลาดเจ้าเล่ห์แสนกล
แม้ด้วยชาติกำเนิด จะทำให้พวกเขาดูแคลนพวกคนที่โผล่ออกมาจากจักรวาลมาก แต่นี่ก็เนื่องจากดินแดนที่ถือกำเนิดเป็นเหตุ อย่างจอมมารนั้น เพราะเขามาจากจักรวาลเดียวกับตงป๋อเสวี่ยอิง จึงรักและปกป้องคนร่วมบ้านเกิดเดียวกันมากกว่าอยู่บ้าง! บรรดาศิษย์อาภรณ์ม่วงเหล่านี้ก็ไม่กล้าดูถูกความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้เลยแม้แต่น้อย
หากประลองในตอนนี้
ก็มีศิษย์อาภรณ์ม่วงจำนวนไม่น้อยที่กล้า!
แต่หากถ่วงเวลาไปจนถึงการต่อสู้จัดอันดับของศิษย์เทพแท้ พวกเขาก็ไม่มั่นใจพอแล้ว เพราะ ‘จอมมาร’ และ ‘จอมกระบี่’ ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นก่อนแล้ว บวกกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่านการทดสอบของศิษย์อาภรณ์ทองในจักรวาลมาด้วย ถึงอย่างไรความสามารถที่ซ่อนอยู่ก็ต้องสูงเป็นอย่างยิ่ง หากเสริมข้อบกพร่องในความรู้ของเขา ก็ต้องก้าวหน้าไปมากอย่างแน่นอน
……
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินตรงไปทางแผ่นดินที่ลอยคว้างอยู่ตรงกลางสุด มุ่งหน้าไปทาง ‘ตำหนักหมื่นรูป’
“เอ๊ะ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเจดีย์สูงซึ่งอยู่ไกลออกไปด้านหลังของตำหนักหมื่นรูปดึงดูด เจดีย์แห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น มันใหญ่โตมโหฬาร ความสูงของมันแทบจะสามารถเทียบกับตำหนักทวีสูญได้เลยทีเดียว
“เจดีย์ดาว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
เจดีย์ดาว
สิ่งที่บันทึกเอาไว้ในรายงานที่วังทวีสูญมอบให้ตนนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ส่วนในข้อมูลที่ท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศกู่ฉีมอบให้ตนนั้นกลับมีคำแนะนำที่ละเอียดกว่า
เจดีย์ดาวมีทั้งหมดหกแห่งด้วยกัน
ซึ่งได้แก่วังทวีสูญ เกาะปฐมบรรพชน แดนทิพย์เหยากวง ตำหนักเทพอากาศ ‘เมืองราชันย์มีด’ ของราชันย์มีดและ ‘เมืองดาราราย’ ของเจ้าเมืองหลัว
ซึ่งก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สามแห่งของโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สามแห่งของโลกทิพย์กิเลนบูรพา
เจดีย์ดาวหกแห่งนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวหลอมขึ้นด้วยตนเองแล้วมอบให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกแห่ง จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างโลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นยังถือว่าดีมากทีเดียว
“ไปตำหนักหมื่นรูป” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดมากอีกต่อไป เขาบินไปทางตำหนักหมื่นรูป
ตำหนักหมื่นรูปทำขึ้นจากไม้ มีพื้นที่กว้างขวางมาก แต่กลับไม่สูงสักเท่าใดนัก เพียงแค่ราวสองเท่าของเจดีย์ดาวและตำหนักทวีสูญเท่านั้น
ตรงประตูตำหนักหมื่นรูปมีแมวสีดำตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ตรงนั้น
“แมวดำหรือ ตามข้อมูลที่ได้มา นี่เป็นถึงสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดขั้นอลวนเลยทีเดียว มันไม่ด้อยไปกว่าสุนัขป่าสีดำภายในบ้านเกิดของตนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดมีพลังขั้นอลวนได้ พลังในการหลอมของบรรพชนเทียนอวี๋ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดระดับนี้มีมูลค่าสูงเสียยิ่งกว่าสูง เหนือกว่าน้ำเต้าสีดำและเหนือกว่าจักรวาลแห่งหนึ่งไปมากโข
ดังนั้นบรรพชนเทียนอวี๋สามารถทิ้งสุนัขสีดำเอาไว้ในจักรวาลบ้านเกิดได้ ก็ช่างร้ายกาจอย่างแท้จริง ในตอนนั้นกู่กานหลัวก็งุนงงไปหมด
“เมี้ยว…” แมวดำเงยหน้ามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง มันพูดด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าขึ้นไปชั้นที่สี่ล่ะ เจ้าสามารถพลิกดูในสามชั้นแรกได้ตามอำเภอใจ”
“ขอรับ ท่านผู้อาวุโส” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำยิ้มๆ
จากนั้นแมวดำก็มุดหัวลงไปนอนต่ออย่างเกียจคร้าน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวเข้าไปในตำหนักหมื่นรูป
ตำหนักหมื่นรูปนั้นกว้างใหญ่ไพศาล
คัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายกันอยู่ คัมภีร์ล้ำค่าที่นี่มากกว่าภายในจักรวาลคีรีมารตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า! เพราะถึงอย่างไรก็เป็นศูนย์กลางของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์ที่วังทวีสูญเก็บรวบรวมมาตลอดวันคืนอันยาวนานนั้นล้วนแต่วางอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาเข้าใจว่าอาจารย์ที่ดีที่สุดภายในวังทวีสูญก็คือคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วน ภายใน ‘ตำหนักหมื่นรูป’ คัมภีร์มากมายล้วนมีราคาสูงลิ่ว บางเล่มถึงขั้นมีเพียงเล่มเดียว! เช่นหลังจากบรรพชนแห่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์ในตำนานตกอับแล้ว คัมภีร์ทั้งหลายที่เขาทิ้งเอาไว้ก็เหลือเพียงเล่มเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจแล้วรวบรวมสมาธิ ไม่นานนักก็หาคัมภีร์ที่อธิบายเกี่ยวกับพวกโลกเทียมเล่มหนึ่งพบ เขาจึงหยิบขึ้นมาแล้วเริ่มพลิกอ่านทันที…
ตอนที่ 24 สั่งสม
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาพลิกตำราในมืออ่านดู ตัวอักษรและภาพอักขระแต่ละตัวบนนั้นล้วนกลายเป็นโลกลวงแห่งต่างๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนพลิกอ่านอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือโบราณ ทุกครั้งที่พลิกไปหน้าหนึ่ง ข้อมูลจำนวนมากก็ถูกส่งถ่ายเข้าสู่สมองเขาโดยตรง และนี่ก็คือสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสซึ่งเดินไปได้ไกลกว่าบนเส้นทางของ ‘วิถีโลกเทียม’ นำสิ่งที่ตนได้รู้แจ้งมาบันทึกลงไป
การถ่ายทอดวิถีนั้นยากนัก
เพราะเดิมทีวิถีก็ว่างเปล่าล่องลอยอยู่แล้ว จะพรรณนาให้ชัดเจนนั้นยากมาก! ดังนั้นการคารวะสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เคารพและผู้ปกครองท่านหนึ่งเป็นอาจารย์…ก็มีข้อแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นผู้ที่มีระดับขั้นสูงเท่าไหร่ ตอนที่ถ่ายทอดวิถีก็จะสามารถอธิบายได้ละเอียดยิ่งกว่า และทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจได้ดีกว่า
คัมภีร์เหล่านี้ บ้างก็เป็นสิ่งที่เทพอากาศบางคนเขียนลงไป เมื่อผ่านการตรวจสอบจากตำหนักหมื่นรูปจนมั่นใจว่ามีคุณสมบัติพอจะวางเอาไว้ในตำหนักหมื่นรูปจึงจะเข้ามาวางได้ บ้างก็เป็นคัมภีร์ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งไปจนถึงขั้นอลวนเขียนไว้ หรือแม้แต่ ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ‘จอมกระบี่’ และยอดฝีมือด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์คนอื่นๆ ที่มิได้สังกัดวังทวีสูญเขียนเอาไว้
จากนั้นก็จัดวางเอาไว้ในชั้นต่างๆ กันไปตามระดับความล้ำค่าของคัมภีร์
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่านด้วยความอดทนโดยไม่รีบเร่ง ทั้งยังครุ่นคิดและรับรู้โดยละเอียดอีกด้วย
……
เวลาดุจดั่งวารีที่ล่วงเลยไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นศิษย์อาภรณ์ทองที่มาจากจักรวาลแห่งหนึ่งท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านผู้นี้ เพิ่งจะมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ‘วังทวีสูญ’ ก็อยู่ในตำหนักหมื่นรูปมาโดยตลอด เขาพลิกอ่านคัมภีร์จนเหมือนกับคลั่งมารไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าหนุ่มที่มาจากจักรวาลเดียวกับจอมมารและจอมกระบี่ที่มีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอะไรนั่นอยู่แต่ในตำหนักหมื่นรูปมาตลอดเลยหรือ”
ชายหญิงคู่หนึ่งบินอยู่กลางอากาศพลางสนทนากัน
“ถูกต้อง อยู่มาตลอด! คาดว่าที่ผ่านมาเขาคงจะไม่เคยได้อ่านคัมภีร์ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มามากสักเท่าใดนัก เมื่อเห็นคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูป แน่นอนว่าต้องคลั่งและลุ่มหลงอยู่ในนั้นเป็นธรรมดา ทำไมรึ ศิษย์พี่หญิงเฟิ่งอวิ๋น ท่านก็สนใจเขามากเหมือนกันหรือ ฮ่าฮ่า ตอนนี้ศิษย์เทพแท้ทั้งหลายในวังทวีสูญล้วนแต่เคยพูดถึงเขาด้วยกันทั้งนั้น”
“เฮอะ ข้าล่ะอยากจะประลองกับเขาสักตั้งจริงๆ ดูสิว่าเจ้าหนุ่มที่มาจากจักรวาลเดียวกับจอมมารและจอมกระบี่คนนี้จะมีพลังสักเท่าใดกัน ศิษย์อาภรณ์ทองรึ เฮอะ!” สตรีนัยน์ตาสีเงินอาภรณ์สีม่วงนางนั้นแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา
“ศิษย์พี่หญิงเฟิ่งอวิ๋น จักรวาลแรกเริ่ม นอกจากจอมมารและจอมกระบี่แล้ว ก็ไม่มีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศซึ่งควรค่าแก่การพูดถึงอีก ว่ากันว่าจอมมารและจอมกระบี่นั้นอยู่ในยุคจักรวาลเดียวกัน เมื่อแย่งชิงกัน ขัดเกลาซึ่งกันและกันจึงโดดเด่นสะดุดตาทั้งคู่ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ไหนเลยจะเทียบกับจอมมารและจอมกระบี่ได้เล่า”
“เจ้าช่วยข้านัดต่อสู้กับเขาที คิดหาวิธีให้เขายอมรับปากให้จงได้” สตรีนัยน์ตาสีเงินกล่าว
“ศิษย์พี่หญิง ท่านก็อย่าทำให้ข้าลำบากไปหน่อยเลย! แสนกว่าปีมานี้ มีศิษย์ตั้งเท่าไหร่ปรารถนาจะไปท้าทายเขา แต่เจ้าคนชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงนี่กลับก้มหน้าก้มตาอ่านคัมภีร์เพียงอย่างเดียว เขาบอกกับทุกคนว่า…ให้นำศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อนมานัดรบกับเขาในศึกศิษย์เทพแท้! ตอนนี้เขาไม่รับคำท้าทายใดๆ หากจะรบกันก็ต้องรอให้ถึงศึกศิษย์เทพแท้เสียก่อน”
“เจ้าก็พูดให้เขาเปลี่ยนใจมิได้หรือ”
“ไม่ได้หรอก เขาหนักแน่นมั่นคงนัก”
สตรีนัยน์ตาสีเงินพยักหน้าน้อยๆ นัยน์ตากลับมีความรีบร้อนสายหนึ่งผุดขึ้นมา
ครั้งก่อนนางถูกจัดอยู่ในอันดับที่สิบห้า ดังนั้นจึงมีสถานะสูงมากในบรรดาศิษย์เทพแท้ แต่นางกลับโชคไม่ดีเป็นอย่างมาก จวบจนบัดนี้ยังไม่เคยเข้าอยู่ในสิบอันดับแรกได้เลย!
“ต้องเข้าอยู่ในสิบอันดับแรกให้ได้ จึงจะได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายมาอยู่ในมือ ทั้งยังอาจจะได้ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลมาด้วย” สตรีนัยน์ตาสีเงินพูดพึมพำ ศาสตร์ลับขั้นจักรวาลนั้นเป็นถึงศาสตร์ลับประจำวันซึ่งมีมูลค่าเหลือประมาณได้ มันเป็นตัวแทนของความสำเร็จระดับยอดสุดแห่งระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์!
“พลังของข้า หากคิดจะเข้าอยู่ในสิบอันดับแรกให้ได้ก็เฉียดฉิวเกินไป! ไม่มั่นใจเอาเสียเลย!”
“หากสามารถได้อาวุธเทพอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงมา นั่นก็มีมูลค่าราวยี่สิบสามสิบศิลาปฐมโลกา ซึ่งสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยในการบำเพ็ญต่างๆ มาได้ บางทีอาจจะสามารถทำให้พลังของข้าก้าวหน้าไปอีกชั้นหนึ่งได้” สตรีนัยน์ตาสีเงินขบกรามแน่น “สมควรตาย เจ้าศิษย์อาภรณ์ทองนั่นได้ศาสตร์ลับประจำวังไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่มีศาสตร์ลับประจำวัง หากจะเอาชนะก็ยากเกินไปแล้ว!”
และนี่ก็คือปัญหาใหญ่ที่สุดซึ่งศิษย์เทพแท้ทุกคนที่อยากจะทะยานขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับแรกจะต้องเผชิญ!
ตัวศิษย์อาภรณ์ทองเองก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ทั้งยังมีศาสตร์ลับประจำวังอีกด้วย
ส่วนศิษย์อาภรณ์ม่วงไม่มีศาสตร์ลับประจำวัง จะเอาชนะศิษย์อาภรณ์ทองในตอนแรก และเข้าไปสู่สิบอันดับแรกนั้น…ยากเย็นหาใดเปรียบ ทว่าก็เป็นเช่นนี้เอง ศิษย์อาภรณ์ทองคนใหม่ก็โดดเด่นสะดุดตานัก
แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีหนึ่ง…เมื่อศิษย์อาภรณ์ทองในตอนแรกสำเร็จเป็นเทพอากาศก็จะเหลือตำแหน่งว่าง หากเป็นเช่นนั้นก็ง่ายแล้ว
……
“ศิษย์พี่ตงป๋อเสวี่ยอิง ได้ยินมาว่าศิษย์พี่มีพลังเยี่ยมยอด จะต่อสู้กับศิษย์น้องดูสักยกได้หรือไม่ พวกเราไม่วางเดิมพันกันก็ได้” เสียงหนึ่งลอยมาถึงข้างหู
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมโดยมีไหสุราวางอยู่ข้างกายเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ตรงหน้าคือชายหนุ่มผิวขาวดุจหยวกกล้วยซึ่งแฝงรอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้า บนหน้าผากของชายหนุ่มผู้นี้มีเขาเดี่ยวสีแดงอยู่เขาหนึ่ง ภายในลูกตาก็มีประกายสีแดงอยู่เช่นเดียวกัน เขาเกรงอกเกรงใจเป็นอันมาก “ไม่จำเป็นต้องวางเดิมพัน เพียงแค่ประลองกันดูหน่อยเท่านั้น”
“หากจะประลอง ก็ต้องรอจนถึงศึกศิษย์เทพแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงปริปาก “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็ก้มหน้าลงอ่านคัมภีร์ต่อไป และยังหยิบไหสุราข้างกายขึ้นมาจิบสักคำเป็นครั้งคราว
ชายหนุ่มคนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็ถอยไปด้วยความกระอักกระอ่วนและจนใจ
……
เทพอากาศของวังทวีสูญมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก อีกทั้งหากอ่อนแอก็จะถูกขับออกไปยังเมืองอลหม่านด้านนอก
แต่จำนวนศิษย์เทพแท้กลับมากมายนัก แม้จะคัดเลือกอย่างจำกัดมากแล้วก็ตามที แต่ถึงอย่างไรโลกทิพย์ก็กว้างขวาง ในอีกด้านหนึ่ง ตอนที่เป็นผู้ปกครองเทพแท้ก็พอจะมองเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ในภายหน้าได้ ดังนั้นวังทวีสูญจึงยินดีรับคนให้มากหน่อยแล้วให้พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาก
บัดนี้ ใกล้จะถึงศึกศิษย์เทพแท้แล้ว
“ต่อให้ไม่มีเดิมพัน คาดว่าก็คงอยากจะอาศัยศึกนี้เพื่อดูพลังที่แท้จริงของข้าให้รู้ชัดกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ รู้เขารู้เรา ก็จะมีส่วนช่วยในการท้าทายเป็นอย่างมาก! แม้ทุกคนจะพากันเชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีคุณสมบัติพอจะเทียบกับศิษย์อาภรณ์ทองสิบอันดับแรกอย่างแท้จริงได้ แต่พวกเขาก็เชื่อว่า เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูป พลังก็จะยกระดับขึ้น จนอาจจะสามารถบุกเข้าไปสู่ยี่สิบสามสิบอันดับแรกได้
นี่ก็นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่มิอาจดูแคลนได้คนหนึ่งแล้ว! ดังนั้นจึงเริ่มจัดคนที่ค่อนข้างอ่อนแอมาเสาะหาข่าวคราว!
“น่าเสียดาย”
“เป้าหมายของข้ามิใช่ยี่สิบหรือสามสิบ หากแต่เป็นสิบอันดับแรก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “ข้าต้องได้ผลปัดจิตวิญญาณมาให้ได้!”
เพื่อคว้าชัย ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่มีทางทะเล่อทะล่าเผยวิธีการต่อสู้ของตนออกมาให้คู่ต่อสู้มีเวลาพอจะคิดหาวิธีรับมือเขาได้อย่างแน่นอน! เมื่อศึกศิษย์เทพแท้ในภายหน้ามาถึง ค่อยเผยวิธีการออกมา ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ยากมากที่บรรดาผู้ที่เยี่ยมยอดเหล่านั้นจะหาวิธีกำราบได้
เพราะยิ่งเป็นอันดับต้นๆ มากเท่าไหร่ นอกจากผู้ที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งแค่ไม่กี่คนแล้ว อันที่จริงโดยทั่วไปความแตกต่างกันก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ หากวิธีการบังเอิญกำราบคู่ต่อสู้ได้พอดี ก็จะสามารถคว้าชัยได้
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กลับคูหา ไม่ผูกมิตร ตั้งใจพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในตำหนักหมื่นรูปเพียงอย่างเดียว
บัดนี้สิ่งที่เขาพลิกอ่านเป็นหลักก็คือคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น!
บางครั้งเขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา แล้วดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ
บางครั้งก็งุนงง ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง
บางครั้งก็กระจ่างแจ้ง
ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของเขากำลังยกระดับขึ้นและขยายออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นนัก!
แท้ที่จริงแล้ว!
ผู้ที่มาจากจักรวาลเช่นพวกเขามีความเข้าใจเรื่องวิถีที่บกพร่องโดยแท้ เพราะโดยทั่วไปยุคจักรวาลนั้นล้วนไม่มีการชี้แนะจากเทพอากาศและขั้นรวมเป็นหนึ่ง และยิ่งไม่มีคำแนะนำของขั้นอลวนและเทพจักรวาลด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในจักรวาลบ้านเกิด ตอนแรกผู้ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ซึ่งสิ่งที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเชี่ยวชาญก็คือ ‘วิถีคมมีดโลหิต’ ‘วิถีเงามืด’ และ ‘วิถีทำลายล้าง’ ซึ่งไม่สอดคล้องกับตงป๋อเสวี่ยอิงเลยสักสายเดียว!
ดังนั้นเมื่อบำเพ็ญในจักรวาล ช่วงแรกที่ยังเป็นเทพโลกาก็ยังมีการชี้แนะบ้าง แต่หลังจากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ต่อไปก็ต้องอาศัยตนเองคลำทางท่ามกลางความมืดบอด
ค้างเติ่งอยู่ในขั้นเทพแท้ทั่วไปเป็นแสนล้านปีก็พบเห็นได้เป็นประจำ!
ผู้เคารพและผู้ปกครอง…ไม่ว่าระดับขั้นใดก็ตาม ค้างเติ่งอยู่ตลอดกาล ไม่มีทางคืบหน้าได้อีกก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก
เพราะพวกเขาทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง!
แต่ขณะเดียวกัน เนื่องจากทำได้เพียงพึ่งพาตนเองก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด ดังนั้นทุกก้าวจึงล้วนแต่มั่นคงเป็นอันมาก อย่าง ‘จอมกระบี่’ เมื่ออยู่ภายในจักรวาลก็สามารถบำเพ็ญจนถึงขั้นอลวนได้ ช่างน่าเหลือเชื่อนัก เมื่อมาถึงวังทวีสูญและได้พลิกอ่านคัมภีร์เป็นจำนวนมาก ปัญหาต่างๆ มากมายที่เคยพบขณะก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียงลำพังก็จะค่อยๆ ถูกแก้ไขไปทีละเปลาะๆ อาจถึงขั้นมีแสงแห่งปัญญาตกกระทบแล้วรับรู้อะไรได้มากขึ้น สุดท้ายหลังจากเก็บตัวบำเพ็ญแล้ว ก็จะสามารถบรรลุถึงระดับขั้นยอดสุดได้
จอมมาร ก็สำเร็จเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดก่อน หลังจากมาถึงวังทวีสูญแล้วจึงเข้าสู่ขั้นอลวน
แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ที่พึ่งพาตนเองก็ล้วนแต่หยุดอยู่ที่ขั้นเทพแท้ ขั้นผู้เคารพและขั้นผู้ปกครอง
“ควรหยุดได้แล้ว”
จู่ๆ ก็มีวันหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปิดคัมภีร์ลง แล้ววางกลับไปบนชั้นตำราโบราณ เขารู้สึกว่าในสมองรับรู้เกี่ยวกับวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นมากมายยิ่งนัก บางส่วนนั้นเข้าใจจากผู้อาวุโส แต่ก็มีบันทึกของผู้อาวุโสบางคนที่ขัดแย้งกันเป็นบางส่วน
“ข้าต้องนำสิ่งที่ได้รับรู้เหล่านี้มาเรียบเรียงให้หมด แล้วซึมซับอย่างแท้จริง หลอมรวมเข้าไปในวิถีของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี แม้จะมิได้อ่านตำราจนจบ แต่ตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาหยิบไหสุราข้างกายขึ้นมา แล้วเดินมุ่งหน้าออกไปนอกตำหนักหมื่นรูป
นี่คือสามล้านสองแสนสามหมื่นปีหลังจากที่เขามาถึงวังทวีสูญแล้ว…แค่พลิกอ่านคัมภีร์ที่เหมาะสมกับตนเองบางส่วน ก็เสียเวลาไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว!
“ไปตำหนักกาลเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจ ตำหนักกาลเวลาคือสถานที่ที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญของตนที่สุด
ฟิ้ว
ทันใดนั้น เขาก็แปรเป็นลำแสงแล้วทะยานออกจากประตูตำหนักหมื่นรูป ก่อนจะบินมุ่งหน้าไปทางตำหนักกาลเวลา
ตอนที่ 25 การเปลี่ยนแปลงของเวลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตำหนักกาลเวลาก็อยู่บนแผ่นดินแขวนลอยของวังทวีสูญ เป็นสิ่งก่อสร้างอันแปลกประหลาดรูปทรงเจดีย์สามเหลี่ยมมุมสีดำ พอเข้าไปใกล้มัน ห้วงมิติเวลาก็บิดเบี้ยวน้อยๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินลอยมาถึงประตูตำหนักของตำหนักกาลเวลา
ภายในช่องประตูตำหนักเต็มไปด้วยความมืดมนอนธการ ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยทักทายอย่างเคารพนบนอบ “ผู้อาวุโส ข้าต้องการเร่งเวลาให้เพิ่มความเร็วร้อยเท่าขอรับ”
“ได้สิ” น้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังลอยมา ในขณะเดียวกันนั้นพลังดูดกลืนขุมหนึ่งก็ลอยมาจากในประตูตำหนักแล้วห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยตรง สวบ แล้วดึงลากตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าราวกับมายา แล้วพร้อมกันนั้นก็พบว่าฉากโดยรอบแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
“ดาวเคราะห์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ตนอยู่ในปัจจุบัน ดาวเคราะห์เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง หนาวเหน็บเป็นที่สุด ดาวเคราะห์ทั้งดวงราวกับสร้างขึ้นจากน้ำแข็ง พื้นผิวดาวเคราะห์ยังมีเกล็ดหิมะล่องลอย นี่คือดาวเคราะห์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงแปดพันลี้ดวงหนึ่ง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เล็กเกินไปจริงๆ
เขาอยู่ที่จวนจ้าวตงป๋อในจักรวาลภูมิลำเนา ดาวเคราะห์ที่ดวงใหญ่สักหน่อยเช่นนี้ดวงหนึ่ง วางไว้ในจวนก็เป็นได้เพียงแค่เครื่องตกแต่งเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยศีรษะ
ภายในห้วงอากาศอันดำมืดมีดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อยู่อีกหลายดวง ดาวเคราะห์มากมายกำลังเคลื่อนหมุนอยู่ตลอดเวลาตามค่ายกลอันโบร่ำโบราณและลึกลับ พลังงานอันไร้รูปร่างก็ถูกเหนี่ยวนำให้มารวมตัวกันอยู่บนดาวเคราะห์ทุกดวง ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวบนดาวเคราะห์ที่เขาอยู่ พลังงานอันไร้รูปร่างนี้ก็รวมตัวกันเข้ามาทางเขา
“ช่างรู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าร่างกายล้วนผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก ดวงวิญญาณก็คล้ายจะละเอียดขึ้นด้วย
“มิน่าเล่าจึงมีมูลค่าสูงเช่นนั้น ผลของการบำเพ็ญดีกว่าคูหาศิษย์อาภรณ์ทองของข้าไม่น้อยเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม
ณ ตำหนักกาลเวลา
คือสถานที่บำเพ็ญภายในวังทวีสูญ ที่สามารถเพิ่มความเร็วของเวลาได้ การจะทำให้เวลาในมิติที่ผู้แกร่งกล้าอยู่เพิ่มความเร็วขึ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่อยู่บริเวณรอบๆ นั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง เช่นการเร่งความเร็วที่บ้านเกิดของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะส่งผลกระทบต่อความเร้นลับของกฎเกณฑ์
อย่าง ‘จักรวาลคีรีมาร’ ก็จะรักษาเสถียรภาพของกฎเกณฑ์ แต่นั่นคือจักรวาลขนาดใหญ่ยักษ์ที่บรรพชนทุ่มราคามหาศาลเพื่อหลอมขึ้นมา แม้กระทั่งบรรดาเทพอากาศโดยทั่วไปต่างก็อาศัยอยู่ภายใน ‘บรรพคีรีมาร’ เพราะยิ่งระดับสิ่งมีชีวิตยิ่งสูงขึ้น ความรับผิดชอบที่มีต่อจักรวาลคีรีมารก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
‘ตำหนักกาลเวลา’ ก็คือสมบัติชั้นยอดที่บรรพชนเทียนอวี๋สรรสร้างขึ้น
หากจะสัญจรราคาก็สูง ดังนั้นหากคิดจะเข้าไปบำเพ็ญก็ต้องยอมจ่ายด้วยสมบัติล้ำค่า
ผู้ปกครองเทพแท้ ถ้าหากเร่งความเร็วของเวลาขึ้นร้อยเท่าเป็นระยะเวลาหนึ่งร้อยล้านปีก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาก้อนหนึ่ง! แน่นอนว่าหนึ่งร้อยล้านปีนี้คือระยะเวลาของโลกภายนอก ภายในตำหนักกาลเวลาคือระยะเวลาหมื่นล้านปี
เทพอากาศ เร่งความเร็วของเวลาขึ้นร้อยเท่า หนึ่งร้อยล้านปี ก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาห้าก้อน
ขั้นรวมเป็นเอกภาพ เร็วขึ้นร้อยเท่า หนึ่งร้อยล้านปี ต้องใช้ศิลาปฐมโลกายี่สิบห้าก้อน
ขั้นอลวน เร็วขึ้นร้อยเท่า หนึ่งร้อยล้านปี ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยก้อน!
นี่ยังเป็นเพียงแค่การเร่งความเร็วของเวลาขึ้นร้อยเท่า ถ้าหากเร่งความเร็วของเวลาขึ้นพันเท่า…ราคาก็จะพุ่งพรวดขึ้นร้อยเท่าในทันที!
สำหรับการเร่งเวลาหมื่นเท่า… เช่นนั้นมูลค่าก็น่ากลัวเหลือเกิน ‘ขั้นอลวน’ นั้นห้ามเร่งเวลาหมื่นเท่า เพราะความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนต่อ ‘ตำหนักกาลเวลา’ นั้นใหญ่หลวงเกินไป เช่น ‘จักรวาลคีรีมาร’ นั้นอ่อนแอกว่าตำหนักกาลเวลา เทพอากาศก็ต้องใช้ชีวิตตามปกติอยู่ภายในบรรพคีรีมาร ขั้นรวมเป็นเอกภาพก็ยิ่งต้องอยู่ที่บรรพคีรีมาร หรือไม่ก็ต้องไปจากจักรวาล! ส่วนขั้นอลวนก็ต้องไปจากจักรวาลอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
แน่นอน…
ที่นี่พูดว่าเป็น ‘หนึ่งร้อยล้านปี’ สำหรับผู้แกร่งกล้าโดยทั่วไปแล้ว ต่างก็เป็นกังวลกับเรื่องเวลา ล้วนต้องการยกระดับพลังยุทธ์ภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยกันทั้งสิ้น จึงได้เข้าสู่ตำหนักกาลเวลา! อย่างเช่นเข้ามาบำเพ็ญล้านปี เช่นนั้นค่าใช้จ่ายก็ย่อมต่ำลงมากแล้ว
“ข้าเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง มีจุดความดีความชอบหนึ่งพันจุด อย่างมากที่สุดก็สามารถบำเพ็ญได้ร้อยล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
จุดความดีความชอบ…
ภายในวังทวีสูญ การรับภารกิจหรือหากตำราที่ตนเขียนออกมามีคุณสมบัติพอที่จะได้เข้าไปวางในตำหนักหมื่นรูป ล้วนมีจุดความดีความชอบเป็นรางวัล! อย่างเช่นสถานะตัวตนที่สูงพอดังเช่นศิษย์อาภรณ์ทอง ผู้อาวุโสตำหนักใน และประมุขวัง ทุกหนึ่งพันล้านปีต่างก็มีจุดความดีความชอบเป็นรางวัล
หนึ่งหมื่นจุดความดีความชอบเท่ากับศิลาปฐมโลกาหนึ่งก้อน! ก็สามารถจับจ่ายซื้อของได้มากมายภายในวังทวีสูญ
แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง…
ภายในวังทวีสูญ ศิลาปฐมโลกาสามารถแลกเปลี่ยนกับจุดความดีความชอบได้ แต่จุดความดีความชอบกลับมิอาจแลกเปลี่ยนกับศิลาปฐมโลกาได้! รางวัลที่วังทวีสูญมอบให้ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติล้ำค่า เช่นจุดความดีความชอบและอื่นๆ แต่กลับไม่มีทางมอบศิลาปฐมโลกาให้
******
เวลาของตงป๋อเสวี่ยอิงล้ำค่าอย่างยิ่ง เขาต้องการกลับไปยังบ้านเกิดก่อนถึงจุดสิ้นยุคจักรวาล ทำให้จิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์สามารถบรรลุได้
ดังนั้นเขาจึงหวงแหนเวลาทุกวินาที เขากำหนดให้มายัง ‘ตำหนักกาลเวลา’ บ่อยๆ นี่เป็นการบีบบังคับให้เขาเพียรพยายามหาสมบัติล้ำค่ามาให้ได้มากยิ่งขึ้น
“พรึ่บ…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงบนชั้นน้ำแข็งหนาวเหน็บ ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยความเดียวดาย มีเขาที่เป็นวิญญาณมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ในขณะนี้ เขาเริ่มคิดใคร่ครวญสิ่งที่เก็บเกี่ยวได้จากการอ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วนในตำหนักหมื่นรูปอยู่ในห้วงสมอง ถึงขนาดเริ่มพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เรียนรู้จากการพลิกตำรามาสามล้านกว่าปี มีบางส่วนที่ได้ซึมซับ มีบ้างที่ไม่เหมาะสมกับตนเองแล้วโยนทิ้งไปทางหนึ่ง!
การพิสูจน์แล้วซึมซับเช่นนี้เนิ่นช้ากว่าการพลิกตำราแล้วหยั่งรู้มากมายนัก
กว่าแปดสิบล้านปีเต็มๆ จึงจะสามารถซึมซับได้ทั้งหมด
“วิถี…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนดาวเคราะห์ มองดูดาวเคราะห์ดวงแล้วดวงเล่าที่โคจรล้อมรอบแล้วก็อดคลี่ยิ้มมิได้ “ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ติดอยู่ตรงนั้น หลายร้อยล้านปีก็ยังมิอาจเข้าใจได้กระจ่าง แต่พอเข้าใจแล้วต่อไปก็จะง่ายดายขึ้นมากแล้ว”
ที่จักรวาลภูมิลำเนา หลังจากกลายเป็นผู้ปกครองแล้ว เขาก็บำเพ็ญต่ออีกเป็นเวลาหนึ่งพันล้านปี!
แม้กระทั่งยามที่จากบ้านเกิดมาล่องลอยอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็ยังหยั่งรู้วิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา! พอไม่มีผู้ใดชี้แนะ ภายใต้สถานการณ์ที่อาศัยตนเองคลำทางล้วนๆ เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งแล้ว
ตอนนี้หลังจากที่พลิกอ่านตำรามามากมายแล้วซึมซับ เขาก็ไม่มีความสงสัยใน‘ขั้นผู้ปกครอง’ จนถึง ‘เทพอากาศ’ อีกต่อไปแล้ว
“ผู้ปกครอง ขึ้นกับ ‘ความบริสุทธิ์’! จิตใจต้องบริสุทธิ์ วิถีก็ต้องบริสุทธิ์ วิถีต้องสมบูรณ์แบบมากพอจึงจะเป็นนิรันดร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “แต่ทว่าเทพอากาศกลับขึ้นกับ ‘ความยิ่งใหญ่’ ขึ้นกับ ‘ความอดทน’ ขึ้นกับ ‘ความสมดุล’ แล้วก็ขึ้นอยู่กับระบบกฎเกณฑ์”
อย่างเช่นวิถีโลกเทียม ก็เป็นเพียงแค่วิถีสายหนึ่งเท่านั้น
หากอยากจะกลายเป็น ‘เทพอากาศ’ โดยอาศัยวิถีโลกเทียม ก็จำเป็นต้องให้วิถีโลกเทียมซึมซับความเร้นลับของกฎเกณฑ์อื่นๆ มากมาย ก่อให้เกิดเป็น ‘ระบบกฎเกณฑ์’ ระบบหนึ่งที่มีวิถีโลกเทียมเป็นแกนหลัก
ต้องรู้เอาไว้ว่ากฎเกณฑ์ที่ขับเคลื่อนจักรวาล ก็เป็นกฎเกณฑ์นานาชนิดรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว มิใช่ลำพังเพียงวิถีเดียว
ต้องการจะเป็นเทพอากาศ
ได้ ‘วิถีโลกเทียม’ เป็นแกนหลัก ความเร้นลับของกฎเกณฑ์อื่นๆ จำนวนหนึ่งรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบกลายเป็นระบบกฎเกณฑ์ระบบหนึ่ง ตะเกียบอันหนึ่งก็สามารถทำลายได้โดยง่าย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วตะเกียบคู่หนึ่งก็ยังทนทานกว่ามาก พอสร้างระบบกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้แล้ว ‘อาณาเขตของกฎเกณฑ์’ ที่สร้างขึ้นก็จะสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่ง พลังคุกคามก็แกร่งกล้าเป็นอย่างมาก
ข้อเรียกร้องของกฎเกณฑ์อื่นๆ ก็ไม่สูงนัก อย่างเช่น ‘วิถีกาลมิติ’ และ ‘วิถีจุดสูงสุด’ เป็นต้น ราวกับแผ่นกระเบื้อง ดูดซึมเข้าสู่แก่นใจกลางของ ‘วิถีโลกเทียม’ กลายเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบระบบหนึ่ง
ในบรรดาวิถีสามสายของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘วิถีโลกเทียม’ มีความทนทานมากที่สุด บวกกับพื้นฐานของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ถ้าหากตั้งใจจะหยั่งรู้จริงๆ เขาก็มั่นใจว่าใช้เวลาสักหน่อยก็จะสามารถบรรลุได้แล้ว! แต่ว่า… พอบรรลุแล้วเขาก็จะเป็นเทพอากาศ ก็จะไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองของศิษย์เทพแท้ สมบัติล้ำค่าเช่น ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ ก็จะไม่มีอีกแล้ว พอโอกาสผ่านเลยไป หากคิดจะได้มาอีกก็ยากแล้ว นี่คือการบ่มเพาะพิเศษสำหรับศิษย์อาภรณ์ทองของวังทวีสูญ แม้กระทั่งศิษย์อาภรณ์ทองก็จะได้มาเฉพาะครั้งแรกที่ได้จัดเข้าเป็นสิบคนแรกในการประลองจัดอันดับเท่านั้น
“มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญศาสตร์ลับเพียงอย่างเดียวก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เร่งร้อนที่จะบรรลุ อยู่ในลำดับขั้นต่ำแล้วใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่อ่อนแอกว่าไปหยั่งรู้ศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งกว่า ก็เป็นการขัดเกลาการหยั่งรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน
การหยั่งรู้ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา การขัดเกลา และความเปลี่ยนแปลงด้วย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเทความนึกคิดจิตใจไปไว้ที่ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร คัมภีร์รัศมีเทพ และสิบสามกระบี่ผลาญโลกาที่แข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าในท้ายที่สุดเขาก็ต้องการรวมวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกากับความเร้นลับวิถีระลอกคลื่นของตนเข้าด้วยกัน ต้องการที่จะสร้างปรัชญาคลื่นลมบทใหม่ขึ้นมา
ขณะที่ซึมซับแก่นแท้ของตำราจำนวนมากมาย ก็ยิ่งเข้าใจวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นได้อย่างลึกล้ำ กระทั่งหลังจากที่มีความมั่นใจว่าจะไปถึงขั้นเทพอากาศได้แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่ง ‘กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจจุดประสงค์บางส่วนที่ในตอนแรกบรรพชนเทียนอวี๋สรรสร้างขึ้นเช่นนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
ในอดีตเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงสรรสร้างขึ้นเช่นนี้
ตอนนี้โลกทัศน์เปิดกว้างขึ้นไม่รู้กี่เท่า แต่พอมีความเข้าใจแล้ว เขาก็ยิ่งมีความมั่นใจกับ‘ความเสร็จสมบูรณ์’ มากยิ่งขึ้น
……
กาลเวลาไหลผ่าน ภายในตำหนักกาลเวลา บนดาวเคราะห์ที่เดียวดายดวงนี้เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองสามร้อยล้านปีแล้ว เวลาของโลกภายนอกก็ผ่านไปกว่าสามล้านปีแล้ว รอคอยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ก็หักลบไปถึงสามร้อยยี่สิบกว่าจุดความดีความชอบ!
“คิดไม่ถึงว่าเป็นเทพอากาศ ใครจะคิดว่าวิชาลับผู้ท่อง ภาพค่ายกลขั้นที่ยี่สิบเอ็ดก็หยั่งรู้สำเร็จแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์สีทองทั้งร่างก็ส่ายหน้าพลางแย้มยิ้ม ยังดีที่วิชาลับผู้ท่องและความเร้นลับของกฎเกณฑ์ไม่เหมือนกัน หยั่งรู้แล้ว ก็ต้องซึมซับพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านในการบำเพ็ญจึงสามารถยกระดับไปถึงขั้นเทพอากาศได้
ส่วนความเร้นลับของกฎเกณฑ์ พอหยั่งรู้แล้ว เช่นนั้นก็บรรลุแล้ว
ดังนั้นขอเพียงแค่ไม่บำเพ็ญชั่วคราว ก็ยังคงเป็นผู้ปกครองเช่นเดิม
“สรรสร้างปรัชญาคลื่นลมบทใหม่สำเร็จแล้ว พลังยุทธ์ของข้ามิอาจขยับเข้าใกล้กว่านี้ได้ชั่วคราว ถ้าหากบำเพ็ญวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่า และวิถีระลอกคลื่น หากบรรลุโดยไม่ระวัง ข้าก็จะซ่อนวิญญาณอาวุธของตำหนักกาลเวลาแห่งนี้เอาไว้มิได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ออกไปเถิด ข้าเพิ่งจะอ่านตำราภายในตำหนักหมื่นรูปไปได้เพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น อ่านต่อไปดีกว่า!”
“ผู้อาวุโส”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยด้วยเสียงกังวาน “ข้าต้องการไปจากตำหนักกาลเวลา”
ปัง…
พลังมิติเวลาอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แล้วเคลื่อนย้ายออกไปโดยตรง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตรงหน้าพร่าเลือน ก็มาถึงนอกประตูของตำหนักกาลเวลาแล้ว คำนวณดูแล้วก็เพิ่งมาถึงวังทวีสูญได้หกล้านปีกว่าเท่านั้น ยังห่างจากการประลองศิษย์เทพแท้อีกยี่สิบแปดล้านปี ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือนัก
พลังยุทธ์ใกล้จนไม่รู้จะใกล้อย่างไร แต่กระบี่ที่สองผลาญโลกาก็ยังหยั่งรู้ไม่กระจ่าง ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในตำหนักหมื่นรูปอีกครั้งอย่างง่ายดายแล้วดื่มสุราต่อไป พลิกดูตำราจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างสบายๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของผู้แกร่งกล้าแห่งยุคจำนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็ยังมีชีวิตอยู่ บ้างก็เป็นการตกผลึกทางปัญญาของผู้แกร่งกล้าที่สิ้นชีพไปแล้วเหล่านั้น ยามที่อ่านก็ราวกับกำลังฟังคำสั่งสอนชี้แนะของผู้แกร่งกล้าท่านแล้วท่านเล่า ความรู้สึกที่ได้รับเช่นนี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลิบเคลิ้ม
…………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น