Snow Eagle Lord ภาค 26 ตอนที่ 1-4
ตอนที่ 1 ขีดสุดของการบำเพ็ญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็สัมผัสได้ว่ากฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งที่หมุนเวียนอยู่กวาดผ่านตนเองไป เขารู้ว่านี่ก็คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของอากาศอันสับสนอลหม่าน! เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ ก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากจักรวาลอีกต่อไป จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิญญาณค่อนข้างจะครบสมบูรณ์จึงจะสามารถรอดชีวิตในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แน่นอนว่ายังต้องสามารถต้านรับสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของอากาศอันสับสนอลหม่านให้ได้ด้วย
“ฟึ่บๆๆ…” อากาศอันสับสนอลหม่านดูราวกับความว่างเปล่า แต่อันที่จริงคือพละกำลังจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผสานรวมกัน และมีพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นอยู่บ้าง ทั้งยังหนาวเหน็บเป็นอย่างยิ่ง ลำพังแค่ความหนาวเหน็บระดับนี้ ก็สามารถทำให้ผู้ปกครองบางคนแข็งตายได้แล้ว
ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ท่องอากาศ เมื่อบรรลุถึงชั้นที่สิบเอ็ดก็สามารถเอาชีวิตรอดในอากาศอันสับสนอลหม่านได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาถึงชั้นที่ยี่สิบแล้ว จึงต้องสบายมากขึ้นเป็นธรรมดา
“จักรวาล”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับไปมองด้านหลัง
สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสุดลูกหูลูกตา…จักรวาล! นี่ก็คือจักรวาลบ้านเกิดของตน มันใหญ่โตทั้งยังปกป้องสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนด้านใน เมื่อเทียบกับอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ภายในจักรวาลก็ปลอดภัยกว่ามากทีเดียว
“อากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล ช่างยากจะแยกแยะทิศทางได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอากาศอันสับสนอลหม่านที่หนาวเหน็บผืนนี้ พลางปลดปล่อยการสัมผัสรับรู้ของตนที่มีต่ออากาศออกมา ทันใดนั้นขอบเขตการรับรู้ก็แผ่กำจายออกไป หากพูดถึงความกว้างของอาณาเขต เกรงว่าคงจะประมาณร้อยเท่าของจักรวาล
เมื่อสัมผัสรับรู้ขอบเขตอันกว้างใหญ่เช่นนี้ สามารถสัมผัสรับรู้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้อย่างชัดเจนนัก พละกำลังอันไร้รูปร่างนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ามาก
ราวกับทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านมีใจกลางอยู่อันหนึ่ง
อากาศอันสับสนอลหม่านทั้งหมดกำลังขยายไปทุกทิศทุกทางโดยมีใจกลางนั้นเป็นจุดกำเนิด! มันขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน
“โลกทิพย์โบราณอยู่ตรงนั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อวิเคราะห์สวนทางกับทิศที่อากาศอันสับสนอลหม่านแผ่ขยายออกไป ก็สามารถกำหนดพิกัดของโลกทิพย์โบราณได้แล้ว!
โลกทิพย์โบราณ…
ก็เป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งห้า
ตามตำนาน โลกทิพย์โบราณเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง
ต่อมา บรรดาสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลกทิพย์โบราณซึ่งการบำเพ็ญบรรลุถึงขั้นสุด ได้ทำศึกครั้งใหญ่อันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา ศึกใหญ่ครั้งนี้ทำให้โลกทิพย์โบราณในตอนนั้นระเบิดออก ‘โลกทิพย์โบราณ’ ที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงหนึ่งในร้อยของโลกทิพย์โบราณตอนแรกเริ่มเท่านั้น
และเพราะศึกใหญ่ครั้งนั้นนั่นเอง อากาศอันสับสนอลหม่านก็เริ่มขยายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทั้งยังระเบิดออกเป็นเศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็ก่อกำเนิดเป็นจักรวาล บ้างก็ก่อให้เกิดเป็นผืนดินอันสับสนอลหม่านซึ่งเล็กกว่าจักรวาลอยู่บ้าง และมีบางส่วนที่เล็กลงไปอีกจนไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยแล้ว
ส่วนบรรดาสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนบรรลุถึงขั้นสุดเหล่านั้นก็แตกกระสานซ่านเซ็นออกไป แล้วเริ่มบุกเบิกโลกทิพย์ใบใหม่ขึ้นมา ทว่าเมื่อวันคืนอันยาวนานล่วงเลยผ่านไป โลกทิพย์บางส่วนก็แตกสลายไปเพราะศึกใหญ่ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนบรรลุถึงขั้นสุดนั่นเอง
บัดนี้มีเพียงโลกทิพย์เพียงห้าแห่งเท่านั้น
โลกทิพย์โบราณและโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราล้วนเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
“บรรดาสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุดช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำลายล้างโลกทิพย์ได้ทั้งสิ้น”
“ทว่าข้าก็ได้ศาสตร์ลับที่สามารถทำลายล้างโลกทิพย์ได้มาเล่มหนึ่งเช่นกัน” บัดนี้ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีศาสตร์ลับวิชาหนึ่งอยู่่จริงๆ นี่คือศาสตร์ลับประจำวังวิชาหนึ่งซึ่งเขามีคุณสมบัติพอจะได้มาหลังจากสำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญแล้ว ศาสตร์ลับประจำวังแห่งวังทวีสูญมีทั้งหมดสามวิชาด้วยกัน
ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกมีนามว่าสิบสามกระบี่ผลาญโลกา
เป็นศาสตร์ลับประจำวังเพียงวิชาเดียวในสามวิชาที่ค่อนข้างสอดคล้องกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะศาสตร์ลับประจำวังนี้จัดเป็น ‘วิถีเข่นฆ่า’
สิบสามกระบี่ผลาญโลกานั้นเป็นสิ่งที่ประมุขวังทวีสูญ ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ เป็นผู้คิดค้นขึ้น
น่าหวาดหวั่นและแข็งแกร่งยิ่งนัก!
กระบี่ที่หนึ่งก็พิสดารและซับซ้อนมากแล้ว ในผู้ปกครองร้อยคนไม่มีสักคนที่ศึกษาได้สำเร็จ! ผู้ที่ศึกษาได้สำเร็จนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง เมื่อเข้าถึงแล้ว…อาศัยศาสตร์กระบี่นี้ก็สามารถอาศัยร่างของผู้ปกครองต่อสู้ข้ามขั้นกับเทพอากาศทั่วไปได้แล้ว! ก็หมายความว่า อาศัยแค่ศาสตร์กระบี่เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอให้เทียบเคียงกับตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ได้แล้ว ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งเช่นนี้ สาเหตุหลักก็ต้องยกให้ระบบผู้ท่องอากาศ หากพูดถึงแค่ปรัชญาคลื่นลมที่ตนคิดค้นขึ้นเพียงอย่างเดียวกลับสู้กระบี่ที่หนึ่งนี้มิได้เอาเสียเลย
กระบี่ที่สองก็น่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นอีก ผู้ปกครองแทบไม่มีหวังจะฝึกให้สำเร็จได้ ตั้งแต่วังทวีสูญถือกำเนิดขึ้นเป็นต้นมา ก็มีผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่คนหนึ่งเข้าถึงตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นผู้ปกครองแล้ว! คนอื่นๆ ที่รับรู้ศาสตร์ลับประจำวังนี้ บางคนเป็น ‘เทพอากาศขั้นกำเนิด’ แล้วก็ยังไม่รู้แจ้ง จะเห็นได้ถึงความยากของมัน! ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ผู้นั้น เมื่ออยู่ในขั้นผู้ปกครองก็อาศัยกระบี่ที่สอง…แทบจะกวาดล้างอากาศขั้นกำเนิดได้ทั้งหมดแล้ว เขาสามารถห้ำหั่นกับเทพอากาศทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แม้แต่กับ ‘ขั้นอากาศรวมเป็นหนึ่ง’ ก็ยังสามารถต่อสู้ได้ยกหนึ่ง
แน่นอนว่านอกจากคนผู้นั้น ก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถเข้าถึงกระบี่ที่สองตั้งแต่ยังเป็นขั้นผู้ปกครองได้อีกแล้ว
……
ศาสตร์กระบี่นี้ แต่ละกระบี่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
กระบี่ที่สิบสามซึ่งเป็นกระบี่สุดท้ายก็เพียงพอให้โลกทิพย์ใบหนึ่งแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ได้สมชื่อของมัน!
ในฐานะสิ่งมีชีวิตขั้นสุดของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ศาสตร์ลับประจำวังทั้งสามที่บรรพชนเทียนอวี๋คิดค้นขึ้นมานั้น พลังอันแข็งแกร่งของมันเลื่องลือมากในโลกทิพย์ทั้งห้า อย่าง ‘องค์บรรพชนกู่’ และสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุดคนอื่นๆ กลับอ่อนแอกว่าอยู่ขุมหนึ่ง
หากแบ่งตามระดับขั้นการบำเพ็ญแล้ว
เทพอากาศแบ่งเป็นสามระดับขั้น ซึ่งได้แก่ขั้นกำเนิด ขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน!
ในอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลไปจนถึงโลกทิพย์ หากพูดเพียงแค่เทพอากาศ โดยทั่วไปก็มักหมายถึง ‘เทพอากาศขั้นกำเนิด’ เทพอากาศส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับขั้นนี้
สิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วก็พบเห็นได้ยากนัก
ส่วนขั้นอลวนน่ะหรือ
ภายใต้สถานการณ์ที่สิ่งมีชีวิตซึ่งบำเพ็ญจนถึงขั้นสุดไม่ปรากฏออกมา พวกเขาก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด
‘ขั้นอลวน’ ก็คือระดับขั้นที่ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบได้มาตั้งแต่ยังอยู่ภายในจักรวาลในตอนนั้น ช่างน่าเหลือเชื่อนัก เขาไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งและเก่งกาจมากมาเคี่ยวกรำ และไม่มีอาจารย์ที่ดีพอคอยชี้แนะ แค่อยู่ในสภาพแวดล้อมปกติของจักรวาลเท่านั้น ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบอยู่ในจักรวาลนี้ก็บรรลุถึงขั้นอลวนได้ แม้แต่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีก็ยังต้องอ้าปากค้าง แม้แต่บรรพชนเทียนอวี๋ผู้สร้างจักรวาลขึ้นมาก็คงต้องคิดไม่ถึง
บวกกับ…
เป็นระดับขั้นของการบำเพ็ญขั้นสุด…เทพจักรวาลอีกด้วย!
เทพจักรวาลนั้นไม่มีการแบ่งระดับขั้นแล้ว เมื่อบรรลุถึงระดับขั้นเทพจักรวาล ก็คือขั้นสุดร่วมกันของระบบต่างๆ ร่างกายตนก็เหมือนกับจักรวาลแห่งหนึ่ง เช่นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ โลกภายในกายล้วนแปรเป็นจักรวาลแห่งหนึ่ง! ดังนั้นแค่กระบวนท่าตามอำเภอใจกระบวนท่าหนึ่งก็สามารถรวมพละกำลังของทั้งจักรวาลเข้าไว้ด้วยกันได้แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว การทำลายจักรวาลแห่งหนึ่งก็เป็นเรื่องง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
สิ่งมีชีวิตระดับขั้นนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุด! จำนวนมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
เทพจักรวาลในแต่ละโลกทิพย์ของโลกทิพย์ทั้งห้าก็ล้วนมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ เช่นโลกทิพย์โบราณก็มีเทพจักรวาลอยู่เพียงสองท่านเท่านั้น! สถานะและพลังเช่นนี้นั้นลงมือน้อยมากแล้ว เพราะหากพวกเขาลงมือก็ล้วนต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก! ถึงขั้นที่ว่า การทำลายโลกทิพย์ใบหนึ่งลงไปด้วยเหตุนี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก
……
“ฟิ้ว…” ตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งสมาธิออกมาส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมอากาศ แล้วหลบหลีกในอากาศไปไกลลิบ
ทั้งร่างของเขาอยู่ในสถานะหลบหลีกตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แรกเริ่มหรือมรดกตกทอดของผู้ท่องอากาศ ก็ล้วนให้แผนที่ของอากาศอันสับสนอลหม่านที่สมบูรณ์แก่เขา! แน่นอนว่าในนั้นย่อมระบุพิกัดของจักรวาลบ้านเกิดเอาไว้ด้วยเป็นธรรมดา ตำแหน่งของจักรวาลบ้านเกิด ‘โลกทิพย์โบราณ’ ก็ได้กำหนดทิศทางเอาไว้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมรู้ว่าควรจะมุ่งหน้าไปทางนั้น!
ระหว่างหลบหลีกไปด้วยความเร็วสูง ความคิดจิตใจเก้าในสิบส่วนของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนเพ่งอยู่กับการรับรู้สิบสามกระบี่ผลาญโลกา เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งในศาสตร์ลับระดับยอดสุดของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อย่างแน่นอน สิ่งที่ตนได้มานั้นล้วนทุลักทุเลอย่างยิ่ง จึงย่อมต้องรับรู้อย่างเต็มที่เป็นธรรมดา ตามที่คาดการณ์เอาไว้ ตนกำลังเร่งมุ่งหน้าไปให้ถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา หากระหว่างทางราบรื่นมาก ก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่าสองพันล้านปีเลยทีเดียว
นี่ก็นับว่าใกล้แล้ว!
โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเป็นโลกทิพย์ที่อยู่ใกล้กับจักรวาลบ้านเกิดของตนมากที่สุด แน่นอนว่าก่อนอื่นต้อง ‘ราบรื่นตลอดทาง’ ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านนี้เต็มไปด้วยอันตรายนานาชนิด ต่อให้สามารถเอาชีวิตรอดได้ โดยทั่วไปก็มักต้องถูกขัดขวางระหว่างทางอยู่นั่นเอง
…………………………………..
ตอนที่ 2 ระเบียงอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้ท่องอากาศ เมื่อเร่งเดินทางไปในอากาศอันสับสนอลหม่านจึงสบายกว่าเทพอากาศทั่วไปมากนัก ความยุ่งยากบางอย่างที่พบกันโดยทั่วไปนั้น เขาก็สามารถรับสัมผัสได้ตั้งแต่ไกลๆ แล้วหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าระหว่างทางก็รู้สึกเงียบเหงามากเป็นธรรมดา น้อยนักที่จะได้เห็นสิ่งมีชีวิตสักครั้ง
สิ่งมีชีวิตที่สามารถรับสัมผัสได้ตั้งแต่ไกลๆ นั้น โดยทั่วไปล้วนเป็น ‘สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ’
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศคือสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นกลางอากาศอันสับสนอลหม่านตามธรรมชาติ แต่ละตัวมีลักษณะแตกต่างกันไป ถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่งนัก สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศสามารถถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ได้ จึงแข็งแกร่งโดยกำเนิดอยู่แล้ว! โดยทั่วไปขอเพียงโตเต็มวัยแล้ว พลังก็ล้วนสามารถบรรลุถึง ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ ได้ อีกทั้งร่างกายก็ยังเหมาะแก่การใช้ชีวิตในอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นพิเศษ
แต่ทว่า เนื่องจากแข็งแกร่งอย่างยิ่งโดยกำเนิด ส่งผลให้พวกมันคิดจะยกระดับขึ้นไปก็ยากนัก เพราะถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของพวกมันก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ส่วนมากพวกมันจึงไม่รู้จักการบำเพ็ญ ต่อให้ได้รับวิธีบำเพ็ญมา คิดจะยกระดับขึ้นไปก็ยากมากทีเดียว
อย่างเช่น ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ ที่ตนเคยต่อกรด้วยมาก่อนในสถานที่แรกเริ่ม เดิมทีก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ หรืออย่าง ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ผู้บุกเบิกระบบผู้ท่องอากาศและผู้คิดค้นวิชาลับผู้ท่องขึ้นมานั้น ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน และเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศชนิดหนึ่ง ทว่าพรสวรรค์ของเขาก็แข็งแกร่งเย้ยฟ้ากว่ามากทีเดียว บัดนี้ยังเป็นหนึ่งในสามเทพจักรวาลแห่ง ‘โลกทิพย์กิเลนบูรพา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งห้าอีกด้วย หากพูดถึงพลังและสถานะแล้ว ก็ยังสูงกว่าบรรพชนเทียนอวี๋อยู่บ้างเล็กน้อย
“ฟิ้ววว…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเร่งหลบหลีกไปในอากาศอันสับสนอลหม่านต่อไป ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ยังคงรับรู้สิบสามกระบี่ผลาญโลกาอยู่
เนื่องจากเมื่อได้รับศาสตร์ลับประจำวังนี้มา เขาก็ออกเดินทางจากจักรวาลไปทันที ดังนั้นระหว่างที่เร่งเดินทางไป เขาจึงเริ่มรับสัมผัสอย่างแท้จริง เดิมทีเขาคิดว่า ด้วยการสั่งสมและการรับรู้ของตน ถึงอย่างไรหลังจากตนสำเร็จเป็นผู้ปกครองก็ได้บำเพ็ญมากว่าพันล้านปีแล้ว สั่งสมรากฐานมาอย่างแน่หนาถึงเพียงนี้ ตนก็มั่นใจในการรับรู้ของตัวเองมาก จะศึกษากระบี่ที่หนึ่งให้สำเร็จก็คงจะมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
แต่อันที่จริงแล้ว…
“ห้าร้อยกว่าล้านปี ข้ายังศึกษาไม่สำเร็จอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าอย่างจนใจ “แม้จะรับรู้กว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนสำคัญบางอย่างที่ข้ายังไม่กระจ่าง หากมีคู่ต่อสู้มาห้ำหั่นกับข้า แล้วทำการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็อาจจะสามารถพบความเร้นลับของศาสตร์กระบี่ได้รวดเร็วขึ้นก็เป็นได้”
แม้จะเป็นศาสตร์กระบี่ แต่วิถีก็คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น! เมื่อศึกษากระบี่ที่หนึ่งสำเร็จแล้ว ตนจะทำให้มันกลายเป็นวิถีหอกก็ง่ายขึ้นมากทีเดียว
“ทว่ามันมีส่วนช่วยในการรับรู้วิถีเข่นฆ่าของข้ามากโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยินดีปรีดา แม้เขาจะยังมิได้รับรู้กระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาทั้งหมด แต่กลับทำให้เขาเข้าใจวิถีเข่นฆ่าได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น รากฐานก็มั่นคงขึ้นด้วย
……
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเร่งเดินทางไปและรับรู้ศาสตร์ลับประจำวัง ทันใดนั้นอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้าเขาก็พลันบิดเบี้ยวไป
“ไม่ดีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เขาหมายจะหลบหลีกในอากาศหนีไปทันที แต่พละกำลังของอากาศรอบด้านบิดเบี้ยวและส่งผลต่อกันไปหมดจนเขามิอาจควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว ยามนี้เขาเหมือนกับตั๊กแตนตัวหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางน้ำวนขนาดมหึมา จะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
ส่วนการบินไปน่ะหรือ พละกำลังของอากาศโดยรอบบิดเบี้ยวไปหมด ทำให้ตนเคลื่อนไหวได้ยากมาก
“เห็นทีจะพบปัญหายุ่งยากเข้าเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้แตกตื่น ก็เหมือนกับมหาสมุทรที่อาจจะมีน้ำขึ้นน้ำลง มีคลื่นน้ำวนหรืออื่นๆ ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านก็อาจจะมีสถานการณ์ผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นได้ ทว่าด้วยความสามารถในการเอาชีวิตรอดของผู้ท่องอากาศ โดยทั่วไปก็ล้วนสามารถเอาตัวรอดได้ เพียงแต่อาจจะมีบางครั้งที่ตกที่นั่งลำบากบ้างก็เท่านั้น
เช่นถูกดูดกลืนเข้าไปในอากาศที่ปิดผนึกบางแห่งน่ะหรือ เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
อากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งกว้างขวางเสียจนสามารถนำจักรวาลนับล้านแห่งรอบด้านมาใส่ลงไปได้นั้นบิดเบี้ยวไป ทั้งหมดกำลังยุบถล่มเข้าหาศูนย์กลาง ส่วนที่ยุบลงไปมีวงแสงหลากสีปรากฏขึ้น
“นั่นอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกโอบล้อมและเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นตามการยุบถล่มของอากาศอันสับสนอลหม่านด้วย
ยิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
ณ ศูนย์กลาง…
มีรอยพับมิติหลากสีชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับมิติที่แตกต่างกันถูกพับซ้อนและเชื่อมต่อกันอยู่ที่นี่
“ระเบียงอากาศหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกขึ้นได้
ระเบียงอากาศ
คือการที่บริเวณต่างๆ ของอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลสะท้อนซึ่งกันและกันแล้วเริ่มยุบถล่มลงก่อนจะเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน บริเวณต่างๆ ซึ่งอาจจะอยู่ห่างกันไกลลิบก็อาจจะเชื่อมต่อกันได้ในขณะนี้เอง
ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งบางคนก็สามารถรับสัมผัสการสะท้อนนี้ได้แม้จะอยู่ห่างไปไกลลิบ แล้วสามารถทะลุผ่านจุดนี้ไปยังที่อีกแห่งหนึ่งได้โดยตรง! ต่อให้โลกทิพย์สองแห่งจะอยู่ห่างกันไกลลิบ พวกเขาก็ล้วนสามารถไปถึงได้ในพริบตา
ทว่าการจะทำให้ถึงขั้นนี้ได้นั้น ก็มีเงื่อนไขทางด้านพลังและระบบการบำเพ็ญที่จำกัดเป็นอย่างมาก อย่างระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์หรือระบบลัทธิจอมมารดา ต่อให้บรรลุถึงขีดสุด ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้!
แต่ละระบบล้วนมีเอกลักษณ์พิเศษของตนเอง มีเพียงระบบการบำเพ็ญพิเศษและต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้ แต่บัดนี้ จู่ๆ อากาศอันสับสนอลหม่านกลับมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเสียนี่
“ข้ายอมให้มันไม่เกิดขึ้นเสียดีกว่า” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกจนใจและไม่เป็นสุขอยู่บ้าง
ระเบียงอากาศ
อาจจะช่วยส่งตนให้ไปถึงพรมแดนโลกทิพย์ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะทำให้ตนตกสู่สถานการณ์ลำบากก็เป็นได้ หรืออาจถึงขั้นส่งตนเข้าไปสู่สถานที่ที่น่าหวาดหวั่นมากก็เป็นได้
ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วจริงๆ!
“หวังว่าจะไม่โชคร้ายจนเกินไปนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบป้ายอักขระอันหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ ในฐานะศิษย์อาภรณ์ทอง เขามีป้ายอักขระรักษาชีวิตอยู่สามอันด้วยกัน วังทวีสูญให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของศิษย์อาภรณ์ทองเป็นอันมาก เมื่อพบสถานการณ์ลำบากที่มิอาจต้านทานได้จริงๆ ป้ายอักขระรักษาชีวิตก็ช่วยทำให้โอกาสรอดชีวิตเพิ่มสูงขึ้นมากทีเดียว
ฟิ้ว
อากาศที่บิดเบี้ยวและยุบถล่มลงได้พาตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเล็กจิ๋วหาใดเปรียบเมื่ออยู่กลางอากาศบิดเบี้ยวและยุบถล่มเข้าไปในระเบียงอากาศหลากสีสันนั้นด้วยเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่ามิติรอบด้านถูกบีบอัดและดึงรั้งอย่างไม่หยุดหย่อน การเคลื่อนของเวลาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างน่าประหลาด รอบด้านเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงตามน้ำไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ เขาลอบตั้งตารอคอย “คงจะไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง ตามปกติแล้วควรจะไปถึงที่อีกแห่งหนึ่ง โอกาสที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายน่าจะต่ำมาก” เขาปลอบประโลมตนเอง
……
ในที่สุดระเบียงอากาศที่บิดเบี้ยวและไม่เสถียรมาโดยตลอดก็พังทลายลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งติดอยู่ที่บริเวณหนึ่งในนั้นก็กลับมาสู่อากาศอันสับสนอลหม่านตามปกติ ตามรอยพับอากาศแห่งหนึ่งที่พังทลายลง อากาศรอบด้านก็ค่อยๆ คืนสู่สภาพปกติ อากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งเดิมทีบิดเบี้ยวก็ค่อยๆ ราบเรียบลงแล้วกลับคืนสู่ความสงบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบด้านด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง
ว่างเปล่าไปหมด
จักรวาลซึ่งพอมองเห็นได้รางๆ ทางทิศหนึ่งในตอนแรกนั้นไม่อยู่แล้ว
“ข้ามิได้อยู่ตรงตำแหน่งก่อนหน้านี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แปลกใจเลย หากทะลุผ่านระเบียงอากาศแล้วยังกลับมาที่เดิม นั่นจึงจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์!
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรู้ให้ชัดว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่ใดกันแน่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด แม้จะสามารถวิเคราะห์ทิศทางของ ‘โลกทิพย์โบราณ’ ได้ แต่เพียงแค่รู้ทิศทางหนึ่งนั้นไร้ประโยชน์ จะต้องหาสิ่งอ้างอิงให้ได้ “เคราะห์ดีที่ท่านอาจารย์กู่ฉีของข้าได้ทิ้ง ‘แผนที่อากาศ’ ซึ่งสมบูรณ์มากเอาไว้ให้ โลกทิพย์ทั้งห้าแต่ละแห่งล้วนระบุไว้อย่างละเอียดนัก”
“เริ่มดีกว่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกทิศหนึ่งตามอำเภอใจ แล้วเริ่มเคลื่อนที่ในอากาศมุ่งหน้าต่อไป
ตอนที่เขาจากบ้านเกิดไปนั้น เขาก็วางแผนเอาไว้แล้ว เพราะถึงอย่างไรเดิมทีระหว่างทางก็อาจจะมีจุดพลิกผันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดก็ถือว่าดีแล้ว
“เอ๊ะ”
ไม่นานนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบว่าไกลออกไปในอากาศอันสับสนอลหม่านมีผืนดินอันมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง เขาอดนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมามิได้ “แผ่นดินอลหม่านหรือ”
โลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดนั้นได้ระเบิดไปเพราะศึกใหญ่ในตอนนั้น เศษเสี้ยวของมันได้แปรเปลี่ยนเป็นจักรวาล และมีบางส่วนที่เปลี่ยนเป็นแผ่นดินอลหม่านขนาดเล็ก! แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘เทพอากาศขั้นอลวน’ก็มีพลังพอที่จะสร้างแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ แผ่นดินอลหม่านก็เพียงพอให้สิ่งมีชีวิตภายในนั้นเกิดการวิวัฒน์และใช้ชีวิตต่อไปได้ ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วการปกป้องของมันก็ค่อนข้างอ่อนแอ
จักรวาลนั้นห้ามมิให้เทพอากาศภายนอกทั้งหมดเข้าไปโดยเด็ดขาด
แต่แผ่นดินอลหม่านกลับมิได้ห้ามแต่อย่างใด
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพอากาศ อย่างเรือบินอลวนของกู่กานหลัวหรือตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นล้วนแต่พบเห็นได้ยากยิ่ง บรรดาเทพอากาศก็ยังเข้าไปในจักรวาลมิได้…จักรวาลต่างๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วก็ไม่เห็นความแตกต่าง ดังนั้นจึงไม่มีชื่อที่กำหนดขึ้นมาเป็นพิเศษแต่อย่างใด
ส่วนแผ่นดินอลหม่าน เนื่องจากสามารถเข้าไปได้ โดยทั่วไปจึงมีชื่อระบุไว้
“ไปดูหน่อยสิว่าแผ่นดินอลหม่านนั้นมีชื่อว่าอะไร เมื่อรู้ชื่อของมันแล้ว ก็จะรู้ตำแหน่งที่ข้าอยู่ในตอนนี้ และสามารถกำหนดได้ว่าต่อไปข้าจะไปยังที่ใดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปยังที่นั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความระมัดระวัง เขาก็ได้สำแดงสามพันร่างแปรเพื่อแบ่งร่างแปรร่างหนึ่งออกไปด้วย ร่างแปรมุ่งหน้าต่อไป…ส่วนร่างจริงก็แอบตามไปอยู่ห่างๆ
……………………………………..
ตอนที่ 3 ลงมือครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในแผ่นดินอลหม่าน
ที่นี่ก็มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิวัฒน์และบำเพ็ญอยู่
“เร็วๆๆ”
“เร็วเข้า”
บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งรีบเข้าไปภายในโถงตำหนักอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว เหนือโถงตำหนักมีสัตว์ประหลาดที่แปรเป็นรูปร่างมนุษย์ได้อย่างพอถูไถตนหนึ่งหมอบอยู่ เขาเหลือบมองลงมาเบื้องล่าง หลังจากบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามาแล้วก็รีบโบกมือ ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็มีกรงใหญ่มากมายปรากฏขึ้น บางกรงก็มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งถูกขังอยู่ข้างใน บางกรงก็มีสัตว์กลุ่มหนึ่งถูกขังเอาไว้ บางกรงก็มีสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชต่างๆ…ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นระดับเทพโลกา ทว่าต่างก็ถูกผนึกกำลังเอาไว้เหมือนกันทั้งสิ้น
“นายท่าน อาหารมาส่งแล้วเจ้าค่ะ” บรรดาบ่าวรับใช้เหล่านี้ต่างก็พูดด้วยความตื่นตระหนก
“อื้ม”
สัตว์ประหลาดที่หมอบอยู่บนนั้นอ้าปากขึ้นมา
ฟิ้ว กรงหนึ่งลอยเข้าไป ขณะที่ลอยเข้าไปนั้นก็หดเล็กลงเรื่อยๆ จากนั้นก็กลายเป็นจุดเล็กๆ ลอยเข้าไปในปากใหญ่ดุจแอ่งโลหิตของมัน หลังจากกินเข้าไปแล้วท้องของเขาก็กระเพื่อมไหว
“ไม่มีเหตุปัจจัยแล้ว” บ่าวรับใช้เหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นระดับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป จึงสามารถสัมผัสได้ว่าเหตุปัจจัยของผู้ที่เข้าไปนั้นล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว พวกเขาอดเศร้าโศกเป็นอย่างมากมิได้ เพียงแต่มิกล้าเผยสีหน้าผิดแผกออกมาเท่านั้น
สัตว์ประหลาดเคี้ยวกินดังกร้วมกร้าม สิ่งมีชีวิตจำพวกต่างๆ ที่บำเพ็ญทั้งมนุษย์ สัตว์และพืช…ล้วนถูกกลืนกินลงท้องไป
เมื่อกินไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น “มีผู้มาจากภายนอกเข้ามาด้วยหรือนี่!”
สวบ!
เขาพลันเคลื่อนที่ในอากาศหายวับไปทันที
บ่าวรับใช้เหล่านี้แต่ละคนพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทว่าพวกเขาก็ยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ภาพที่สามารถมองเห็นได้ผ่านการกีดขวางของอากาศ ณ ที่ไกลออกไป ก็คือชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งที่กำลังร่อนลงมายังแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้
“ผู้มาจากภายนอกหรือ เป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ” บรรดาบ่าวรับใช้พากันตื่นเต้น
“ผู้ที่ท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน โดยทั่วไปล้วนเป็นเทพอากาศด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้งเมื่อดูจากรูปร่างของเขา ต่อให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นแปลงเป็นรูปร่างมนุษย์ ก็ยังชอบคงศีรษะและเกราะอันอัปลักษณ์ของพวกเขาเอาไว้ ผู้มาจากภายนอกคนนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป”
“พวกเรามีหวังแล้วอย่างนั้นหรือ”
“เขามาช่วยพวกเราหรือ”
บ่าวรับใช้เหล่านี้สบตากันไปมา ทั้งตื่นเต้นและจิตใจไม่สงบ พวกเขายังถึงขั้นลอบส่งข่าวให้กันอีกด้วย
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ต่างก็ล่วงรู้ข่าวนี้…ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งจากอากาศอันสับสนอลหม่านที่มาเยือนนั้นได้ร่อนลงมาแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะทำการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านั้น
ในใจของพวกเขาก็เข้าใจดีว่า โอกาสที่พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือนั้นต่ำอย่างยิ่ง เพราะบรรดาผู้แกร่งกล้ามักจะไม่ทุ่มเทชีวิตให้กับคนแปลกหน้าง่ายๆ! ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้ว่า พลังของสัตว์ประหลาดแห่งห้วงอากาศเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด ต่อให้ผู้ที่มาเยือนเป็นเทพอากาศ โอกาสที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ก็ต่ำมากอยู่นั่นเอง
แต่ว่า…
ต่อให้ต่ำกว่านี้ ก็เป็นความหวังนี่นา!
วันคืนของพวกเขาดำมืดไปหมดจนมองไม่เห็นความหวังเลย บัดนี้สามารถมองเห็นความหวังได้สายหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้นได้แล้ว
******
ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปนั่นเอง ก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันไร้รูปร่าง
“ไม่ดีแล้ว มีค่ายกลเตือนภัย ทันทีที่ข้าเข้าไปก็ถูกพบเข้าเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ เคราะห์ดีที่ร่างของเขาที่ปรากฏขึ้นมาเป็นเพียงร่างแยกเท่านั้น ยามนี้ร่างจริงของเขาก็ปลดปล่อยการรับรู้ที่มีต่ออากาศออกมา แล้วแผ่คลุมไปทั่วทั้งอากาศและผืนดินในทันที
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัยขึ้นมา
แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ มีทั้งปุถุชน ระดับเหนือธรรมดา ขั้นเทพ เทพโลกา และเทพแท้
แต่มีเทพโลกาไปจนถึงเทพแท้จำนวนมากที่ถูกคุมขังเอาไว้! ขณะเดียวกันผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดกลับเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศฝูงหนึ่ง! สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศถึงสิบหกตน อ้อ ยังมีวังอันกว้างใหญ่สะดุดตาที่สุดอีกแห่งหนึ่งที่มีค่ายกลอันร้ายกาจยิ่งอยู่ ด้วยความสามารถในการสัมผัสรับรู้อากาศของตนนั้นมิอาจแทรกซึมเข้าไปตรวจสอบได้
“สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเข้าไปยังแผ่นดินอลหม่านแล้วบัญชาการที่นี่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “แต่เหตุใดจึงกักขังผู้บำเพ็ญเหล่านั้นเอาไว้เสียเล่า”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศก็มีปัญญาเช่นกัน ครอบครองแผ่นดินอลหม่านสักแห่งก็ไม่น่าแปลกใจ ทว่าโดยทั่วไปมักจะอยู่ร่วมกันได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนไปหมด เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นมา ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนแล้วตนเล่าซึ่งทะลุอากาศมาแล้วปรากฏกายขึ้น บัดนี้พวกเขาล้วนแปรเป็นรูปร่างมนุษย์อย่างพอถูไถ โดยยังคงลักษณะพิเศษบางอย่างเช่นกรงเล็บ เกล็ด และศีรษะอันอัปลักษณ์เอาไว้ พวกเขาต่างพากันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง ดวงตาล้วนทอประกาย
“ข้าท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านแล้วผ่านมาที่นี่ จึงตั้งใจมาคารวะเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ในใจกลับยิ่งระแวดระวังมากขึ้น “หลังจากสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศมีปัญญาค่อนข้างสูงส่งแล้ว โดยทั่วไปก็มักอยู่ร่วมกับผู้บำเพ็ญโดยสันติ แต่เมื่อพวกเขาเห็นข้า แววตาก็ดูเหมือนไม่ค่อยชอบมาพากลนัก ราวกับมองเห็นเหยื่ออย่างไรอย่างนั้นหรือ”
“อ้อ มาเยี่ยมหรอกรึ” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศถึงหกตนปรากฏกายขึ้น สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศรูปร่างผอมสูงในจำนวนนั้นเอ่ยขึ้น “ผู้ปกครองอย่างเจ้าคนหนึ่งก็สามารถท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ด้วยอย่างนั้นหรือ เพราะอาศัยวัตถุภายนอก หรืออาศัยวิธีการเคลื่อนที่ชนิดพิเศษกันเล่า”
“พบกันครั้งแรก ก็ถามเรื่องที่เป็นความลับถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่ดีสักเท่าใดนักกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางขมวดคิ้ว “ข้ามาที่นี่ก็เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่มิได้ระบุเอาไว้ในแผนที่อากาศของข้า ดังนั้นข้าจึงอยากถามว่า นี่คือที่ใดกัน”
“เจ้าหนุ่มขั้นผู้ปกครองคนหนึ่งช่างทะเยอทะยานเสียจริง”
“เขมือบเขาเสีย”
“ผู้ใดสังหารเขาได้ก่อน คนนั้นก็จะได้กิน”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้เริ่มเจรจากันขึ้นมาแล้ว แต่ละคนล้วนไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย หากผู้มาเยือนเป็นเทพอากาศ พวกเขาก็อาจจะระมัดระวังบ้าง ส่วนขั้นผู้ปกครองคนหนึ่งน่ะหรือ พวกเขาไม่กลัวเลยจริงๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบแปลกใจ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหกตรงหน้านี้ เขามองออกว่าเป็นแค่เทพแท้ระดับผู้ปกครองเท่านั้น แต่กลับกล้าเมินเฉยต่อร่างแปรของเขาหรือนี่ ที่ร่างกายของเขาแสดงออกมาก็เป็นระดับผู้ปกครองเช่นเดียวกัน นอกเสียจากว่า…จะยังมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพอากาศหลบอยู่ด้วย!
ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงหมู่วังซึ่งทอดยาวต่อเนื่องกันที่ตนมิอาจแทรกซึมเข้าไปตรวจสอบได้แห่งนั้นขึ้นมาทันที
“ฟิ้ว”
ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแปลกหน้าตนหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นข้างกาย กรงเล็บคมคู่หนึ่งแผ่คลุมเข้ามาในทันใด เรื่องนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศอีกคนที่ยังกำลังปรึกษาหารือกันต่างก็ร้อนใจขึ้นมา “เจ้าถึงกับกล้าลงมือก่อนเชียวหรือนี่” “นี่มันบริเวณในความรับผิดชอบของพวกเรา” “นี่เป็นเหยื่อของพวกเรานะ”
“ใครฆ่าได้ก่อนก็เป็นของคนนั้นแหละ” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแปลกหน้าตนนั้นมีร่างสีดำทะมึนไปทั้งร่าง ผิวกายกึ่งโปร่งใส กรงเล็บกึ่งโปร่งใสของมันนั้นคมกริบนัก
หอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำ
ปลายหอกยาวมีประกายอันดำทะมึนอยู่ด้วย แม้นี่จะเป็นเพียงร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ทิ้งเกราะพลซึ่งเป็นการโจมตีที่มีพลังทำลายล้างสูงสุดในสาย ‘ผู้ท่องอากาศ’ เอาไว้ในร่างแปรด้วย! เพราะถึงอย่างไรร่างแปรก็เป็นเพียงแค่การรวมตัวกันของพลังงาน มิได้แข็งแกร่งเหมือนร่างจริง ทำได้เพียงสำแดงลูกไม้บางอย่างของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ออกมาบ้างเท่านั้น
“ฟึ่บ” เขาแทงหอกออกไปโดยพลัน
ด้ามหอกยาวพลิกหมุนและกลิ้งไป สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศกึ่งโปร่งใสตนนี้รู้สึกว่าเมื่อหอกยาวตรงหน้าแทงเข้ามานั้นแปลกพิสดารนัก ด้ามหอกนั้นพลิกหมุนและเคลื่อนไหวไปตอลดเวลา ร่องรอยของปลายหอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เขามิอาจสกัดกั้นหอกนี้ได้ทันใด
“ฟึ่บ” ปลายหอกยาวพลันแทงลงไปบนร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจนเกิดเป็นรูถึงหนึ่งร้อยยี่สิบห้ารูในพริบตา พละกำลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในหอกยาวและพลังทำลายล้างในเกราะพลทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศกึ่งโปร่งใสซึ่งมีพลังชีวิตแข็งแกร่งยิ่งตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที หากพลังชีวิตอ่อนแอ เกรงว่าคงจะต้องสังเวยชีวิตแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่หยุดมือเลย ขณะเดียวกับที่เขาถอนหอกยาวออกมานั้น ก็แทงอีกหอกหนึ่งที่เหมือนกันตามออกไปติดๆ! สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศกึ่งโปร่งใสที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตนนั้นเพียงแค่ร้องโหยหวนว่า “ช่วยด้วย” แล้วร่างกายก็เริ่มแทรกตัวเข้าไปในอากาศ
แต่หากพูดถึงการควบคุมอากาศแล้ว…
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งอาศัยพรสวรรค์ล้วนๆ เหล่านี้ ไหนเลยจะสู้ผู้ท่องอากาศตงป๋อเสวี่ยอิงได้ เมื่อหอกยาวแทงเข้าไปในอากาศ แล้วแทงเข้าสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนี้อีกครั้ง ก็เกิดรูขึ้นมาอีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้ารู! ครั้งนี้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนนี้ได้สังเวยชีวิตในทันที
เรื่องนี้ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปเห็นแล้วก็ตะลึงงันไปตามกัน
ตายแล้วหรือ
สหายของพวกเขาตายไปเช่นนี้เองน่ะหรือ
“สิบสามกระบี่ผลาญโลกากระบี่ที่หนึ่ง ข้าใช้งานได้แย่เกินไปแล้ว ตามหลักแล้วควรจะเพียงแค่แทงเป็นรูเพียงรูเดียวเท่านั้น แต่ข้ากลับทำให้ปลายหอกมั่นคงไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป เมื่ออานุภาพปะทุออกมาอย่างฉับพลัน ปลายหอกก็สั่นสะเทือนจนเกิดเป็นรูถึงหนึ่งร้อยยี่สิบห้ารูเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่สิ้นใจไปแวบหนึ่ง มันทิ้งวัตถุต่างๆ เอาไว้จำนวนหนึ่ง “หลังจากข้าเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว นี่ก็เป็นการต่อสู้จริงๆ ครั้งแรก”
ความรู้สึกที่ได้สำแดงสิบสามกระบี่ผลาญโลกากระบี่ที่หนึ่งออกมาสังหารศัตรูนั้น สุขสำราญกว่าการก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญมากทีเดียว
……
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของแผ่นดินอลหม่านนี้ต่างก็แหงนหน้ามองดูด้วยความวิตก พวกเขากำลังปรารถนา ปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์มาเยือน
……
ภายในหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกันซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงยากจะตรวจสอบได้นั้น
ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเกล็ดดำที่หมอบพังพาบอยู่ตรงนั้นพ่นลมออกทางจมูก ดวงตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเขากำลังมองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านนอก เรื่องจิปาถะอย่างการเตือนภัยและการรับหน้าผู้มาจากภายนอกนั้น ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขามีสถานะเช่นใดกัน ไยจึงออกหน้าง่ายๆ ด้วยเล่า
“พี่ใหญ่ เห็นทีเจ้าพวกนี้คงจะจัดการผู้ปกครองที่มาจากภายนอกคนนี้มิได้จริงๆ ข้าจะไปจัดการเขาเอง” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเกล็ดสีดำตนนี้เปล่งเสียงออกมา เสียงดังกึกก้องนั้นส่งถ่ายไปถึงวังอันเร้นลับแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน
“ดี” เสียงต่ำลึกขานรับ
“ไม่ได้กินผู้ปกครองมาตั้งนานแล้ว จำนวนผู้ปกครองช่างน้อยเสียเหลือเกิน” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเกล็ดสีดำบินออกมาจากโถงตำหนักของเขาอย่างนึกสนุกนัก
…………………………
ตอนที่ 4 ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
บัดนี้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศหกตนซึ่งเดิมที่จะเข้าล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนก เพราะผู้แกร่งกล้าชายหนุ่มชุดดำผู้เร้นลับนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาจากนั้นก็พลันเข้าประชิดแล้วลอบโจมตีได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งอานุภาพของวิถีหอกก็ยิ่งใหญ่อย่างน่าประหลาด แม้พวกมันจะพยายามสกัดกั้นอย่างสุดกำลัง แต่กลับมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี
“ฟึ่บๆๆ…” ด้ามหอกยาวพลิกหมุนแล้วกลิ้งออกไป ปลายหอกพลันแทงลงบนเกราะกระดูกเหนืออกของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนหนึ่ง บนเกราะกระดูกมีอักขระลับโดยกำเนิด ทำให้หอกยาวแทงทะลุไปได้อย่างทุลักทุเล แต่ครั้งนี้กลับแทงออกมาทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้ารู
“ก้าวหน้าขึ้นจริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดีในใจ “อานุภาพอย่างฉับพลันของหอกนี้แข็งแกร่งเกินไป ปลายหอกจึงมั่วซั่วไปหมด มิอาจรวมสายพลังต่างๆ ให้เป็นระลอกเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบได้”
สายพลังที่กระจัดกระจายกันบวกกับ ‘เกราะพล’ ซึ่งแฝงอยู่ที่ปลายหอกจึงสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศบาดเจ็บสาหัสได้ หากสามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แล้ว ต่อให้ไม่อาศัยเกราะพล ลำพังแค่อานุภาพของวิถีหอกเพียงอย่างเดียวก็สามารถปะทุขึ้นจนบรรลุถึงอีกระดับขั้นหนึ่งได้ เพียงพอให้ข้ามขั้นไปต่อสู้กับเทพอากาศได้
“มาอีกสิ”
ร่างแปรร่างนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สำแดงบริเวณออกมา เพราะเขาต้องการที่จะขัดเกลาวิถีหอกของตนเอง คิดจะพยายามศึกษากระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาแห่งศาสตร์ลับประจำวังทวีสูญให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ถึงตอนนั้นเมื่อรวมกับข้อได้เปรียมอย่างมหาศาลของระบบผู้ท่องอากาศ ก็คงจะสามารถสังหารเทพอากาศทั่วไปได้สบายมาก
ก่อนอื่นก็คือต้องศึกษากระบี่ที่หนึ่งให้สำเร็จ!
“ไม่ดีแล้ว” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจขึ้นมา การสัมผัสอากาศของร่างจริงของเขาพบสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นตนหนึ่งออกมาจากหมู่วังที่ตนยากจะตรวจสอบได้เหล่านั้น จากนั้นก็ทะลุอากาศมาถึงที่นี่ในทันที กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นระลอกนั้นย่อมเป็นเทพอากาศอย่างไร้ข้อกังขา!
“พวกเศษสวะกลุ่มหนึ่ง” เสียงหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วอากาศรอบด้าน สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำขนาดมหึมาที่คดเคี้ยวขดเลื้อยอยู่ปรากฏกายขึ้น
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศห้าตนที่หลงเหลืออยู่ทั้งตกใจและยินดี หัวหน้าคนหนึ่งในหมู่พวกเขามาถึงแล้ว มีคนมาช่วยแล้ว!
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำถือหอกยาวเอาไว้ในมือพลางยืนอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็มองสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำที่หมอบพังพาบอยู่ตรงหน้า “ดูจากลักษณะของมันแล้ว ในรายงานของข้าไม่มีบันทึกเกี่ยวกับมันเลย คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจำพวกที่ระดับขั้นค่อนข้างต่ำกระมัง”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศมีนับพันนับหมื่นชนิด และมีแบ่งแยกทั้งสูงและต่ำ
เช่นผู้บุกเบิกของผู้ท่องอากาศ…ก็คือผู้ที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับยอดสุดในจำนวนนั้น จึงเป็นผู้นำของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนโดยธรรมชาติ!
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าประมาท เพราะต่อให้เป็นระดับต่ำกว่านี้ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศก็ยังมีข้อได้เปรียบทางด้านร่างกายมากกว่าสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อีกทั้งผู้ที่บรรลุขีดจำกัดและก้าวเข้าสู่ขั้น ‘เทพอากาศ’ ได้ ก็มิได้รังแกได้ง่ายๆ สักตน
“ผู้ปกครองหรือ” สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำแฝงไว้ด้วยความสนใจ มันอ้าปากแล้วเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมา “พลังของเจ้าไม่เลวเลย แข็งแกร่งกว่าพวกตัวโง่งมทั้งหลายในแผ่นดินอลหม่านมากทีเดียว ข้าจะให้โอกาสเจ้า ปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโจมตีข้าเสียเถอะ หากเจ้าสามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้ ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
“ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านต้องตกเป็นทาส แล้วกลืนกินตามอำเภอใจ ที่พวกเจ้าทำเป็นการฝ่าฝืนข้อห้าม” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะเย็นชา “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากถูกผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งล่วงรู้เข้า สิ่งที่รอพวกเจ้าอยู่คืออะไร”
“ฮ่าฮ่า บริเวณต่างๆ รอบด้านล้วนถูกพวกเราปกครองหมดแล้ว ยังจะไปกลัวผู้บำเพ็ญอย่างพวกเจ้าอีกหรือ” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำยิ้มหยัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกใจ
มีขุมอำนาจหลายแห่งที่ยอมรับกันว่า การกลืนกินสิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้นเป็นข้อห้าม หากถูกพบเข้าก็ต้องสังหารโดยไม่ละเว้น! ทว่าแม้แต่ในหมู่ ‘เทพจักรวาล’ ผู้สูงส่งเหนือใครก็ยังมีคนที่โหดร้ายอย่างยิ่ง อีกทั้งระหว่างพวกเขาก็มิได้นับว่าสามัคคีกันสักเท่าใดนัก หากสามัคคีแล้ว โลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดก็คงจะไม่ระเบิดเพราะศึกใหญ่เป็นแน่
ดังนั้นสำหรับการจัดการผู้ที่ฝ่าฝืนข้อห้าม ว่าจะสังหารทั้งหมดโดยไม่ละเว้นนั้นก็มีเพียงขุมอำนาจบางส่วนที่กระทำเท่านั้น! และมีผู้แกร่งกล้าบางส่วนที่เกลียดชังดั่งมีความแค้นก็ปฏิบัติตามด้วย
แต่ตอนนี้บริเวณหลายแห่งรอบด้านกลับถูกยึดครอง แสดงให้เห็นว่า…มิใช่ว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศจำนวนน้อยนิดคลุ้มคลั่งเกินไป หากแต่สร้างขุมอำนาจขึ้นมา เบื้องหลังอาจถึงขั้นมีขุนเขาใหญ่ให้พึ่งพิงอยู่
“หนุ่มน้อย ลงมือเถิด หากยังไม่ลงมืออีกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้วนะ” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำกล่าว
“ตู้ม”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำเคร่งขรึมลง ทันใดนั้น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ซึ่งเป็นการผสานกันของวิถีระลอกคลื่นและวิถีเข่นฆ่าก็โหมซัดออกไปทุกสารทิศโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง แม้ร่างแปรจะมิอาจควบคุมอากาศได้ แต่อานุภาพของบริเวณการเข่นฆ่าก็เพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหลายที่หลงเหลืออยู่ซึ่งอยู่ห่างออกไปสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ปัง…” ทันใดนั้นเหนือผิวกายของสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำก็มีระลอกคลื่นสีดำโหมซัดออกมาวงแล้ววงเล่า ระลอกคลื่นสีดำกดดันบริเวณการเข่นฆ่าเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
“อ่อนแอเกินไปแล้วๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพอากาศก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำยิ้มหยัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับลอบตกใจ
เป็นบริเวณกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งนัก!
ตนเคยต่อกรกับ ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ มาก่อน ไม่เสียทีที่ร้อยกัณฐ์คำรนเป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอซึ่งบรรพชนเทียนอวี๋จงใจคัดเลือกมา แม้ตนจะมิอาจควบคุมอากาศได้ แต่ลำพังแค่ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่เพราะฝายตรงข้ามเก็บงำพลังเอาไว้ เกรงว่าแค่บริเวณอย่างเดียวก็คงกดดันตนจนตายไปแล้ว
“พลังของเขายังแข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนเสียอีก นี่สินะจึงจะนับได้ว่าเป็นพลังของเทพอากาศทั่วไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปกลางอากาศแล้วเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม ทันใดนั้นฟ้าดินโลกเทียมก็พลันบีบเข้าไปใกล้สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำ
“อยู่ที่นี่หรือ” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำสนอกสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยบริเวณกฎเกณฑ์ เขาพบว่าท่ามกลางฟ้าดินอีกระดับขั้นหนึ่ง ผู้บำเพ็ญคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้ “วิธีการซ่อนเร้นพรรค์นี้ร้ายกาจมากทีเดียว”
หอกยาวแทงออกมาจากอากาศ
ด้ามหอกพลิกหมุนแล้วแทงออกไป ปลายหอกยังมีประกายสีดำเรืองรอง สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำเห็นเข้าก็มิได้สกัดกั้น ปล่อยให้ปลายหอกทิ่มแทงลงบนร่างของมัน ฟึ่บๆๆ…ปลายหอกยาวแทงออกมาต่อเนื่องกันถึงหนึ่งร้อยสิบเก้าครั้งอย่างมิอาจควบคุม แต่เหนือผิวกายของสิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำกลับไม่มีแม้แต่รอยถากสีขาวเสียด้วยซ้ำ
“ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์
“เจ้าอ่อนแอเกินไปแล้ว” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำส่ายหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทงหอกออกไปอีกอย่างไม่ท้อถอย
หนึ่งร้อยสิบแปดครั้ง หนึ่งร้อยสิบสามครั้ง…แผ่นเกล็ดที่เปี่ยมไปด้วยความยืดหยุ่นและมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เหนือผิวนั้นแทงให้ทะลุได้ยากมาก แต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงปรับเปลี่ยนวิถีหอกของตนอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นเดียวกัน
สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำสัมผัสคราหนึ่งแต่กลับส่ายหน้า “อ่อนแอจริงๆ”
ฟิ้ว
มันยื่นกรงเล็บออกไปโดยพลัน
เล็บคมกริบแต่ละอันบนกรงเล็บนั้นราวกับมีดโค้ง เหนือผิวมีหมอกดำรายล้อม จากนั้นก็ตะปบออกมาแล้วทะลุเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม แม้เมื่อเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมแล้วอานุภาพจะถดถอยลง แต่กรงเล็บหนึ่งก็ยังคงตะปบลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำจนได้ แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงวิถีหอกออกมาสกัดกั้นเอาไว้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังอันมหาศาล นี่เป็นพละกำลังที่น่าหวาดหวั่นกว่าวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบของร่างจริงของเขาตั้งมากมาย ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้น ทว่าพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นระลอกนี้ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบนัก มันหมายจะรักษาวิญญาณภายในกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ให้ดีเพื่อจะจับเป็น
“เจ้าฝันไปเถอะ” สติรับรู้สายหนึ่งภายในร่างแปรส่งสารออกไป จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงด้วยตนเอง! ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น หากไม่สลายตัวเอง ฝ่ายตรงข้ามก็จะล่วงรู้แล้ว
เมื่อร่างแปรตายไป สมบัติล้ำค่าเช่นอาวุธและอื่นๆ ก็พลันถูกผลักไสออกมาจากฟ้าดินโลกเทียมกลับสู่โลกจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมสละทิ้งเอง
สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำส่ายหน้าพลางยิ้มหยัน “ช่างอ่อนแอเสียจริง ทำร้ายข้ามิได้แม้แต่ปลายเส้นขนเลย”
“หัวหน้ารองขอรับ ท่านก้าวเข้าสู่ขั้นเทพอากาศแล้ว ผู้ปกครองตัวเล็กๆ คนหนึ่งไหนเลยจะสามารถเทียบเทียมได้” สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศระดับผู้ปกครองเทพแท้อีกห้าตนรีบยกย่อง สำหรับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศแล้ว การก้าวเข้าสู่ขั้นเทพอากาศนั้นเป็นด่านที่ยากยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็สามารถบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองได้อยู่แล้วโดยกำเนิด จะบรรลุถึงระดับขั้นเทพอากาศนั้นต้องอาศัยการบำเพ็ญ!
“เดิมทีคิดจะกินวิญญาณของเขาเสีย ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าเขาจะชิงฆ่าตัวตายเองเสียก่อน” สิ่งมีชีวิตเกล็ดสีดำแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่ง จากนั้นก็ทะลุอากาศจากไปเสียงดังฟิ้ว ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอพรรค์นี้ สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดเขาได้ก็คือวิญญาณนั่นเอง
“เร็วๆๆ พวกเราแบ่งสมบัติล้ำค่ากันเถอะ”
สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศห้าตนนั้นกลับเริ่มแบ่งสิ่งต่างๆ ที่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้ทันที ในบรรดาวัตถุเหล่านั้น บางส่วนก็เป็นสิ่งที่ได้จากการสังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศสองตนก่อนหน้านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจวัตถุเหล่านี้เลย เขาแสร้งทำเป็นตายไปแล้วก่อนชั่วคราวเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจ
……
แต่บรรดาชนพื้นเมืองของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งหลุดพ้นแล้วเหล่านั้นล้วนจับตามองการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ห่างๆ แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้ริบหรี่มาก แต่พวกเขาก็ยังคงตั้งตารอคอยอยู่นั่นเอง! เพราะพวกเขารอคอยอยู่ในความมืดมานานเกินไปแล้ว นั่นเต็มไปด้วยความมืดมน ไร้ซึ่งความหวังชั่วนิรันดร์
“หมดกัน”
“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงผู้ปกครองคนหนึ่งเท่านั้น ยังห่างไกลจากคำว่าคู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดเทพอากาศตนนั้นอยู่มากโข” หัวใจของบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่างก็ดิ่งลงสู่หุบเหวลึกไร้ก้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็เป็นเพียงขั้นผู้เคารพเท่านั้น! ส่วนผู้ปกครองในหมู่พวกเขานั้นได้ถูกผนึกพลังและถูกจองจำไปตั้งนานแล้ว
เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งมาจากกลางอากาศอันสับสนอลหม่านเหล่านี้ก็มิอาจต้านทานได้เลย! สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ก็ยังเป็นถึงเทพแท้ขั้นผู้ปกครอง ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งก็เป็นถึงเทพอากาศ! การปฏิบัติของเทพอากาศต่อเทพแท้…นั่นก็คือการล้างสังหารอย่างแท้จริง!
ต้องรู้ไว้ว่าต่อให้บำเพ็ญมรดกตกทอดของผู้ท่องอากาศที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ‘ชั้นที่ยี่สิบ’ จนถึงขั้นผู้ปกครองซึ่งเป็นขั้นสุดแล้ว ก็ยังมิอาจเอาชนะเทพอากาศได้อยู่ดี ยังต้องฝึกระบบอื่นไปควบคู่กันด้วยจึงจะพอมีหวัง
‘วังทวีสูญ’ สถานที่สำคัญของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ก็มีเพียงศิษย์อาภรณ์ทองซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งโดดเด่นสะดุดตาที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถข้ามขั้นมาสังหารเทพอากาศได้!
ข้ามขั้นมาสังหารเทพอากาศ…หาได้ยากยิ่งนัก ไม่มีแม้แต่หนึ่งในหมื่น สถานที่สำคัญอย่างวังทวีสูญจึงพอจะมีผู้ไร้เทียมทานพรรค์นี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้สักสิบกว่าคน
“ผู้บำเพ็ญซึ่งมาจากอากาศอันสับสนอลหม่านคนนี้อ่อนแอเกินไป”
“น่าเสียดายที่เขาก็ตายไปแล้วเช่นกัน”
“ไม่มีหวัง ไม่มีหวังไปตลอดกาลแล้ว”
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต่างก็อดสูใจและรู้สึกไม่ยินยอม ทว่าพวกเขาก็ยังคงข่มกลั้นเอาไว้ ส่วนพวกที่มิอาจทนได้ก็ฆ่าตัวตายหรือไม่ก็เอาตัวเองไปตายตั้งนานแล้ว ส่วนพวกที่ถูกบังคับจับมาทั้งเป็นเหล่านี้ล้วนลอบข่มกลั้นเอาไว้ และตั้งตารอคอยว่ากลางราตรีอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนี้จะมีความหวังมาเยือนเสียที
……
ในฟ้าดินโลกเทียม
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ ณ ที่นี้ เขามั่นใจในลูกไม้การซ่อนตัวของตนเป็นอย่างมาก นอกจาก ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ และ ‘การควบคุมอากาศ’ แล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือในฐานะศิษย์อาภรณ์ทอง เขาจึงมีป้ายอักขระรักษาชีวิตอยู่สามอัน ซึ่งหนึ่งในป้ายอักขระเหล่านั้นก็มีอยู่ก้อนหนึ่งที่ช่วยเก็บซ่อนกลิ่นอาย! เมื่อเก็บซ่อนกลิ่นอายแล้ว ในบรรดาเทพอากาศ ตามปกติแล้วก็มีเพียง ‘ขั้นอลวน’ เท่านั้นจึงจะสามารถพบได้ ผู้แกร่งกล้า ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านการตรวจตราและการสอดส่องที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดนั้นก็อาจจะสามารถพบได้เช่นกัน
แต่เทพอากาศทั่วไปกลับแทบมิอาจพบได้เลย นอกเสียจากจะมีสมบัติล้ำค่าลับอยู่! อันที่จริงสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศซึ่งไม่เชี่ยวชาญทางด้านระดับขั้นเหล่านี้ ลำพังแค่ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ และ ‘การควบคุมอากาศ’ ก็สามารถปกปิดได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีป้ายอักขระด้วยเลย
“พลังของเขาแข็งแกร่งมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนเสียอีก”
“ร่างกายของร่างแปรของข้าเปราะบางเกินไปแล้ว หากใช้ร่างจริงต่อสู้ ด้วยข้อได้เปรียบทางด้านระดับขั้นบวกกับอาวุธเทพอากาศ พละกำลังก็คงไม่แตกต่างกับเขามากเสียจนเกินจริงเช่นนั้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “คงจะเทียบเคียงได้อย่างไร้ปัญหา ความเป็นไปได้ที่จะสังหารก็ค่อนข้างต่ำ”
“นอกจากนี้ข้ายังรู้เกี่ยวกับพวกเขาน้อยเกินไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปยังอีกทิศหนึ่ง เมื่อมองผ่านอากาศ เขาก็เห็นหมู่วังที่ทอดยาวต่อเนื่องกันเหล่านั้น หมู่วังนี้ เป็นสิ่งที่เขามิอาจแทรกเข้าไปตรวจสอบได้
“วิญญาณอาวุธ ต้องอาศัยเจ้าไปตรวจสอบเสียหน่อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“เจ้านาย แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น มอบให้เป็นหน้าที่ข้าเถิดขอรับ” วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำพูดอย่างมั่นใจในตนเอง “ทว่าท่านต้องเข้าใกล้หมู่วังนั่นให้มากขึ้นอีกหน่อย ขอเพียงอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบของข้า แม้แต่พลังของพวกเขา ข้าก็สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ประเสริฐนัก
………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น