Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 25 ตอนที่ 8-13

 ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง

 

ตอนที่ 8

 

ศึกแรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างซึ่งถือหอกยาวสีดำเอาไว้ในมือข้างเดียว กำลังยืนอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินพลางรอคอยอย่างเงียบเชียบ บนยอดเสาหยวนเฉินมีกระแสอากาศอันเยียบเย็นสายแล้วสายเล่าหมุนเวียนอยู่ นั่นคือระลอกคลื่นอันน้อยนิดซึ่งเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติจากการกระตุ้นค่ายกลเสาหยวนเฉินขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ กระแสอากาศพัดผ่านอาภรณ์ไป ก็ทำให้อาภรณ์เกิดเสียงดังพึ่บพั่บขึ้นมาแล้ว


เจ้าแม่กานเหอมีความร้อนรนใจอยู่รางๆ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้นางก็เคยพยายามมาหลายครั้ง แต่นางก็มิอาจพิทักษ์เอาไว้ได้


ในทางตรงกันข้าม


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งซึ่งแฝงไว้ด้วยแววอาฆาตมองไปยังท้องฟ้าไกลออกไป รอคอยการมาถึงของศัตรู


“เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง จึงไม่เคยสัมผัสถึงพลังระดับขั้นผู้ปกครองที่แท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ระหว่างสองจักรวาลเลย นั่นมิใช่การห้ำหั่นแบบตัวต่อตัว หากแต่เป็นผู้ปกครองจำนวนมากร่วมมือกันแล้วอาศัยสมบัติล้ำค่าโจมตี อานุภาพจึงน่าหวาดหวั่นขึ้นมากทีเดียว” เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ไกลออกไปเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งกว่าตนเสียอีก จึงอดร่ำร้องขึ้นมามิได้ “ไร้ประสบการณ์ วันคืนในการบำเพ็ญสั้นนักก็สำเร็จเป็นผู้ปกครองเสียแล้ว คาดว่าคงจะมั่นใจในตนเองเกินไป อีกประเดี๋ยวเมื่อได้ต่อกรกัน เขาก็คงจะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจแล้ว”


แม้หวังว่าฝ่ายตนจะคว้าชัย แต่เจ้าแม่กานเหอก็ยอมรับในพลังของลัทธิจอมมารดา!


“เอ๊ะ”


ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเป็นประกายขึ้นมา


ในฐานะที่สำเร็จเป็นผู้ปกครองของระบบผู้ท่องอากาศ ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา จึงพบระลอกคลื่นก่อนผู้ปกครองทั้งหมด เขามองออกไปไกลลิบ


“มาแล้ว” “พวกเขามาแล้ว” “ตงป๋อเสวี่ยอิงระวังด้วย พวกเขามาถึงแล้ว”


ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็พบเข้าแล้ว บางคนยังถึงขั้นถ่ายเสียงมาเตือนตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะตำแหน่งที่ลัทธิจอมมารดาปรากฏกายขึ้นในครั้งนี้อยู่ใกล้กับตงป๋อเสวี่ยอิงมากที่สุด…ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลัทธิจอมมารดาเลือกเสาหยวนเฉินต้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าแม่กานเหอเป็นผู้พิทักษ์เป็นเป้าหมายในการโจมตี! เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยลองโจมตีจุดอื่นมาก่อนแล้ว และมิอาจโจมตีให้แตกได้ แต่ที่นี่กลับเป็นจุดเดียวที่มีหวังจะโจมตีให้แตกพ่ายไปได้


“ฟิ้ววว…” ท่ามกลางความมืดมิดไกลออกไป มีระลอกอากาศวงแล้ววงเล่าโหมซัดขึ้นมา แล้วพัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ณ ใจกลางจุดกำเนิดของระลอกอากาศเหล่านี้ มีเรือรบอันเก่าแก่ซึ่งเต็มไปด้วยรากไม้อันแปลกพิสดารเลื้อยพันอยู่โดยรอบลำหนึ่งปรากฏขึ้นมา ความยาวของมันราวร้อยล้านลี้ ดวงดาราโดยทั่วไปเมื่อเทียบกับมันแล้วก็แค่เล็กกระจิริดเท่านั้น แน่นอนว่าในการต่อกรระดับผู้ปกครองนั้นมิอาจนับว่าใหญ่โตได้


ตู้มมม…


เรือรบโบราณลำนี้บินมาท่ามกลางอากาศอันมืดมิด เนื่องจากตำแหน่งที่มันปรากฏขึ้นมาก็คือชั้นนอกสุดของค่ายกลเสาหยวนเฉิน! ดังนั้นการบินมาด้วยความเร็วสูงในยามนี้จึงนำมาซึ่งการสกัดกั้นของค่ายกลเสาหยวนเฉิน ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าพลันปรากฏขึ้น เรือรบลำนี้ปะทะเข้ากับค่ายกลเหล่านี้ ก่อให้เกิดคลื่นการโจมตีจำนวนนับไม่ถ้วน คลื่นการโจมตีซัดสาดออกไปทั่วสารทิศตามอำเภอใจ


ทว่าดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนกลางสนามรบแห่งนี้ได้สลายหายไปนานแล้ว คลื่นการโจมตีก็เพียงแค่ส่งถ่ายออกมากลางอากาศอันมืดมิดอย่างไม่ขาดสายจนมลายหายไปจนสิ้นในท้ายที่สุด


เรือรบมุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงด้วยทีท่าไม่สนใจสิ่งใด!  ความเร็วในการบินของมันเหนือกว่าผู้ปกครองทั่วไปลิบลิ่ว


“อานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสรับรู้ผ่านอากาศได้ เขาลอบตกใจอยู่เงียบๆ “ค่ายกลเสาหยวนเฉินนั้นข้ามิอาจบุกฝ่าไปโดยตรงได้ แต่เรือรบลำนี้กลับทำได้! เคราะห์ดี ตอนข้าต่อสู้นั้นสามารถพึ่งพาอานุภาพของเสาหยวนเฉินได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้ปกครองหน้าไหน หากอาศัยแค่พลังของตนเพียงคนเดียวก็ล้วนมิอาจต้านทานเรือรบลำนี้ได้กระมัง”


“ทว่าภายใต้ความช่วยเหลือของอาจารย์อาห้าวิหคดำ ท่านอาจารย์สามารถลอบตั้งเสาหยวนเฉินได้โดยไม่เกรงกลัวการลอบโจมตีของลัทธิจอมมารดา ก็เก่งกาจมากโดยแท้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรายตามองออกไปไกลแวบหนึ่ง สายตามองผ่านอุปสรรคของอากาศ ก็มองเห็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังวางค่ายกลอยู่ ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง และในยามนี้อาจารย์อาห้าวิหคดำก็ได้แปรเป็นวิหคดำตัวมหึมาใหญ่โตถึงล้านล้านลี้แผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ร่างทั้งสองของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังร่วมมือกันติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่อย่างสุดกำลัง


……


เรือรบโบราณบินไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง ทว่าเนื่องจากค่ายกลเสาหยวนเฉินครอบคลุมพื้นที่กว้างมาก ลำพังแค่จะบินไปให้ถึงตรงหน้าเสาหยวนเฉินก็ยังต้องใช้เวลาถึงชั่วจอกชาหนึ่ง


ภายในเรือรบ


เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาหลายคนกำลังยืนอยู่ พลางมองดูเจ้าแม่กานเหอผู้มีท่าทางตื่นเต้นและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งกุมหอกเอาไว้ในมือข้างเดียวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าสุดบนเสาหยวนเฉินด้านนอกนั้น


“เจ้าแม่กานเหอเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอที่สุดคนหนึ่ง ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เป็นอันมาก สำหรับพวกเราแล้วไม่มีภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย” เจ้าลัทธิเหล่านี้ผ่านการห้ำหั่นมาหลายปีจึงเข้าใจดีมาก ได้ยินมาว่าเจ้าแม่กานเหอนั้นหลอมอาวุธได้ค่อนข้างร้ายกาจ ค่ายกลก็นับว่าพอใช้ได้ การรักษาชีวิตก็ไม่เลว แต่การต่อสู้นั้นอ่อนแอ


แม้บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาก็มีหลายคนที่เป็นระดับฐาน บางทีเมื่อเทียบกับเจ้าแม่กานเหอแล้วก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง แต่ลัทธิจอมมารดาก็ไม่สู้ตัวต่อตัวอยู่แล้ว หากแต่อาศัยสมบัติล้ำค่ามาเป็นข้อได้เปรียบ!


“เห็นทีครั้งนี้พวกเขาจะอาศัยตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้เช่นนั้นหรือ คิดไม่ถึงจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกันเชียว แต่กลับสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกล่าว นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง “ทว่าเจ้าหนุ่มหน้าใหม่คนหนึ่งคิดจะสกัดกั้นพวกเราน่ะ ฝันหวานไปแล้ว”


“เกรงว่าเรือทิพย์ซวีมู่ของเราเพียงแค่โจมตีออกไปครั้งหนึ่งก็คงสามารถทำให้พวกเขาแตกพ่ายไปได้แล้ว”


“ลงมือเถิด”


“รีบทำให้เจ้าแม่กานเหอและตงป๋อเสวี่ยอิงสลายไปเสีย จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้นั้นจะต้องรีบมาช่วยเหลือเป็นแน่! หากเขาไม่มาช่วย พวกเราก็ทำลายค่ายกลเสาศิลานั่นทิ้งเสีย เสาศิลาก็นำไปด้วย”


เมื่อเทียบกันแล้วเจ้าลัทธิเหล่านี้เยือกเย็นกว่า ในสายตาของพวกเขามีความโหดเหี้ยมสายแล้วสายเล่าแฝงอยู่


การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ แม้จะอยู่ในความคาดหมาย แต่เมื่อเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้ความพ่ายแพ้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาแต่ละคนก็ล้วนเหมือนมีหินก้อนหนักทับเอาไว้ พวกเขาไม่ยอมแพ้เช่นนี้ พวกเขายังคงตามหา…ตามหาโอกาส!


******


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ห่างๆ


เรือรบโบราณลำนั้นกำลังบินไปด้วยความเร็วสูง บีบเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


“ใกล้แล้ว”


“จวนจะถึงขอบเขตบริเวณของข้าแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


สายตามองออกไปไกลซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองผ่านอุปสรรคของอากาศก็สามารถมองเห็นดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตดวงแล้วดวงเล่าภายในโลกเทพไกลลิบลิ่ว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยไม่รู้เลยว่าสงครามตัดสินชะตากำลังปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา! หากพ่ายแพ้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็จะสูญพันธุ์ไป


ตงป๋อเสวี่ยอิมองไปทางเกาะใจกลางทะเลสาบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่นั่นมีบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เทพโลการวมทั้งผู้บำเพ็ญซึ่งมีพรสวรรค์สูงยิ่งอยู่มากมาย พวกเขาถูกอพยพมาอยู่ที่นี่ แต่กลับทำได้เพียงรอคอยการตัดสินชะตาชีวิตขั้นเด็ดขาดด้วยจิตใจอันว้าวุ่น


“นี่คือจักรวาลบ้านเกิดของข้า จิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา…มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดจะชิงที่นี่ไป้เป็นอันขาด”


นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายหนาวเหน็บ


……


“มาแล้ว”


“ตงป๋อเขาต้านทานเอาไว้ได้หรือไม่”


“เจ้าแม่กานเหอพลังอ่อนแอเกินไป อ่อนแอกว่าประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพ! พวกประมุขเกาะกาลมิติต้องร่วมมือกันถึงสองคนจึงสามารถพิทักษ์เอาไว้ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพียงเจ้าแม่กานเหอคอยช่วย แล้วจะสามารถพิทักษ์เอาไว้ได้หรือ”


“ก็แค่ลองดูเท่านั้น หากล้มเหลวก็ไม่มีทางย่ำแย่ไปกว่านี้แล้ว”


เหล่าผู้ปกครองบนเสาหยวนเฉินทั้งผู้ครองชิง ผางอี ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและคนอื่นๆ ล้วนจับตามองที่นี่อยู่ห่างๆ แม้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่กำลังวางค่ายกลจะพยายามอย่างสุดกำลัง แต่ร่างจริงของเขาที่อยู่ในเกาะใจกลางทะเลสาบกลับเฝ้ามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ตรงนี้


แม้แต่อาจารย์อาห้าวิหคดำซึ่งกลายร่างเป็นผืนดินขนาดย่อมๆ ก็ยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ “เจ้าหนุ่มตงป๋อ ต้องต้านรับเอาไว้ให้ได้ล่ะ เพื่อชัยชนะ ท่านอาจารย์ของเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเกินไปแล้ว เจ้าก็ต้องมีแรงฮึดสู้หน่อยล่ะ!”


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้นพลางทอดสายตามองออกไปไกล


ทันใดนั้น!


ตู้ม!


เค้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นยักษ์ตนหนึ่งซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ แม้แต่ใจกลางเสาหยวนเฉินใต้ฝ่าเท้าก็ยังกลายเป็นเล็กเสียจนไม่สะดุดตาอีกต่อไป ทำเอาเจ้าแม่กานเหอซึ่งยืนเตรียมการอย่างระแวดระวังอยู่บนเสาหยวนเฉินตกตะลึงไปบ้าง นางเงยหน้ามองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ตรงหน้าแล้วก็อดถ่ายเสียงพูดมิได้ว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง พิทักษ์อยู่ที่ใจกลางของเสาหยวนเฉินนั้นสบายกว่าหน่อย ต่อให้ร่างกายของเจ้าขยายใหญ่กว่านี้ ก็ไม่มีส่วนช่วยเรื่องพลังหรอกนะ”


“แต่เมื่อสู้เช่นนี้ก็คล่องไม้คล่องมือมากกว่าอยู่บ้างนะขอรับ” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน เขากุมหอกยาวเอาไว้ในมือข้างเดียว หอกยาวก็ยาวกว่าร้อยล้านลี้เช่นเดียวกัน


ทันใดนั้นผิวกายของเขาก็พลันมีเกลียวคลื่นสีแดงโลหิตปะทุขึ้นมา


โครมมมม…


เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตโหมซัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง ทว่ามันแผ่ออกไปทางอื่นเป็นขอบเขตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลักๆ แล้วก็ยังคงโจมตีตรงไปทางเรือรบโบราณลำนั้น เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ออกไปไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักก็แผ่กำจายไปกว่าร้อยล้านลี้ สองร้อยล้านลี้…ส่วนบรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบโบราณลำนั้นต่างก็มองดูมหาสมุทรสีแดงโลหิตโหมซัดโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความตะลึงลาน


“ไม่ประมาณกำลังตนเองเกินไปหน่อยหรือไม่” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาไม่แยแสเลย


“อากาศ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ


วิ้งงง…


ในฐานะผู้ท่องอากาศซึ่งใช้พละกำลังของอากาศอันสับสนอลหม่านนอกจักรวาลเป็นต้นกำเนิดในการฝึกฝน จึงเชี่ยวชาญในการควบคุมอากาศโดยกำเนิด ตอนที่อยู่ในขั้นผู้เคารพอาจยังไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองก็กลับร้ายกาจมากทีเดียว ว่ากันว่าต้องมีพลังขั้นเทพอากาศจึงจะสามารถเข้าไปท่องในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่ระบบผู้ท่องอากาศ…ในฐานะลูกรักของอากาศอันสับสนอลหม่าน แค่บรรลุขั้นผู้ปกครองก็สามารถท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้แล้ว


ตอนอยู่ในขั้นผู้ปกครอง การควบคุมอากาศก็บรรลุถึงขั้นชวนให้คนตะลึงแล้ว! บัดนี้ระลอกคลื่น ‘วิถีเข่นฆ่า’ ‘วิถีระลอกคลื่น’ ล้วนยังไม่บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล หากพูดถึงอานุภาพของบริเวณแล้ว การควบคุมอากาศนั้นเหนือกว่าบริเวณการเข่นฆ่า!


เพียงแต่ว่าบัดนี้ในสงครามย่อมต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเป็นธรรมดา


“เสาหยวนเฉิน!”


ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้พิทักษ์ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพละกำลังของค่ายกลเสาหยวนเฉินมาเสริมแรงตนเอง ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าโหมซัดอยู่กลางฟากฟ้าเหนือบริเวณการเข่นฆ่า


“โครมมม…” เรือรบโบราณกดดันเข้ามา ในที่สุดก็ปะทะเข้ากับขอบคลื่นสีแดงโลหิต


ที่นี่ห่างจากใจกลางเสาหยวนเฉินเพียงสามร้อยล้านลี้เท่านั้น อานุภาพของค่ายกลที่นี่ก็มากแล้ว และกดดันอานุภาพของเรือรบลำนี้ไปจนถึงขั้นค่อนข้างต่ำทีเดียว หากเป็นพวกผู้ครองชิงหรือประมุขหยวนชูมา ร่างแยกร่างหนึ่งก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้! แต่ยามนี้ ภายใต้บริเวณการเข่นฆ่าและการควบคุมอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิง ความเร็วของเรือรบโบราณก็ลดลงเป็นอันมาก ความเร็วในการบินทะยานก็ไม่ถึงหนึ่งในร้อยของก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ!


“กดดันเอาไว้ได้แล้วหรือนี่”


ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลออกไปล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงและปีติยินดีออกมา แม้แต่อาจารย์อาห้าวิหคดำผู้มีร่างกายใหญ่โตก็ยังตกตะลึงจนไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ร่างจริงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยินดีจนแทบคลั่งไปเช่นเดียวกัน


ยังมิทันได้ต่อสู้ประชิดตัว เพียงแค่อาศัยบริเวณก็ทำให้ความเร็วของเรือรบโบราณช้าขนาดนี้ได้แล้วหรือนี่


“บริเวณนี้ต้องแข็งแกร่งระดับใดกัน เกรงว่าลำพังแค่อาศัยบริเวณเพียงอย่างเดียวก็คงทำให้ข้าพ่ายแพ้ได้แล้วกระมัง” เจ้าแม่กานเหอซึ่งอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินอดคิดขึ้นมามิได้

 

 

 


ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง

 

ตอนที่ 9

 

รอยยิ้มของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป็นเช่นนั้นจริงๆ


ทันทีที่ผู้ท่องอากาศก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว ก็จะมีพลังรบเทียบเท่ากับผู้ปกครองระดับยอดของระบบอื่นทันที ลำพังแค่การควบคุมอากาศก็สามารถกดดันผู้ปกครองที่อ่อนแอบางคนได้แล้ว!


บัดนี้เรือรบโบราณลำนั้นอยู่ใต้ค่ายกลเสาหยวนเฉิน เนื่องจากอยู่ใกล้ใจกลาง เรือรบบินไป อานุภาพการโจมตีก็ถูกกดดันจนเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้น หากกล่าวว่าเดิมทีอานุภาพของมันเหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงลิบลับ แต่หลังจากเหลือเพียงสองสามส่วนแล้ว สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใช่ว่ามิอาจต้านทานได้แล้ว


บริเวณการเข่นฆ่าและการกดดันอากาศ แม้เรือรบจะยังสามารถบินไปได้ด้วยความเร็วสูง แต่กลับช้ากว่าที่แล้วมาเป็นอย่างยิ่ง


“อะไรกัน บินได้ช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ คลื่นโลหิตนี่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาแต่ละคนต่างก็ตกใจใหญ่ พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง


พวกเขาผิดไปแล้ว


เมื่อมองอย่างผิวเผิน ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ซึ่งโดดเด่นสะดุดตาที่สุด อย่างมากก็ทำให้ผู้ปกครองที่อ่อนแอบางคนรู้สึกว่ายุ่งยากอยู่บ้างเท่านั้น แต่มันปะปนอยู่กับการกดดันของอากาศอย่างยากที่จะตรวจสอบได้และมีอานุภาพเป็นหลายเท่าของบริเวณการเข่นฆ่า แน่นอนว่าหาก ‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ ล้วนสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองได้ หลังจากระดับขั้นของวิถีทั้งสองสายข้ามขั้นไปเป็นอย่างมากแล้ว อานุภาพ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็จะมีการบรรลุจากแก่นเลยทีเดียว


“บินช้าถึงเพียงนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็ยังไม่ต่อสู้ประชิดตัวอีก ขอเพียงสำแดงวิถีหอกออกไปก็คงจะสามารถหยุดยั้งเรือทิพย์ซวีมู่เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย”


“บางทีวิถีที่เขาบรรลุ อาจจะแค่แข็งแกร่งทางด้านบริเวณเท่านั้น ส่วนการห้ำหั่นตัวต่อตัวอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง”


“หยุดเรือทิพย์! แล้วทำการโจมตี สังหารร่างแยกร่างนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงเสีย”


เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่อาจเสียเวลาได้ เนื่องจากจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่ พวกเขาต้องจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงโดยเร็วที่สุด หากไม่ทำให้เขาพ่ายแพ้ พวกเขาก็มิอาจไปถึงใจกลางเสาหยวนเฉินแล้วทำลายค่ายกลแห่งนี้ได้


“ฟิ้ว…”


หลังจากเรือรบโบราณหยุดลง รากจำนวนนับไม่ถ้วนที่พันเลื้อยอยู่เหนือผิวของมันอย่างแน่นขนัดก็พลันลอยออกไป แล้วล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงจากทุกทิศทุกทาง รากไม้แต่ละอันล้วนเต็มไปด้วยพละกำลังแห่งชีวิต ราวกับแส้จำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงไปพร้อมกัน ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง เคราะห์ดีที่มีค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าขัดขวางอยู่ ทำให้อานุภาพของมันลดลงเป็นอันมาก บวกกับการกดดันของอากาศและการโจมตีของบริเวณการเข่นฆ่า รากเหล่านี้ก็อ่อนกำลังลงมากทีเดียว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้ปกครองทั่วไปก็ยังคงยากที่จะป้องกันการล้อมโจมตีที่มากมายถึงเพียงนี้ได้ เกรงว่าคงจะต้องพ่ายแพ้ไปในพริบตา


นี่ก็คือสาเหตุที่ประมุขตำหนักหมื่นเทพและประมุขเกาะกาลมิติสองคนต้องใช้ทั้งหมดสี่ร่างแยกร่วมมือกันจึงสามารถป้องกันเอาไว้ได้


……


“ป้องกันเอาไว้ได้หรือ”


“บริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การต่อสู้ประชิดตัวอาจจะร้ายกาจมากเหมือนกันก็เป็นได้”


“ต้องสกัดกั้นเอาไว้ให้ได้ มีบริเวณกดดันการโจมตีของลัทธิจอมมารดา ต่อให้การต่อสู้ประชิดตัวค่อนข้างอ่อนแออยู่บ้าง ก็มีหวังที่จะสกัดกั้นเอาไว้ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีสองร่างแยก ทั้งยังมีเจ้าแม่กานเหออยู่ ก็สามารถช่วยเหลือได้”


ประมุขหยวนชู ผางอีและบรรพชนหุบเหวลึกต่างก็มองดูด้วยความตื่นเต้น


พวกเขาต่างตั้งตารอคอยที่จะคว้าชัยชนะ


แต่ก็กลัว กลัวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะเพียงแค่ร้ายกาจทางด้านบริเวณ ส่วนการต่อสู้ประชิดตัวอ่อนแออย่างยิ่ง!


……


“เฮอะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ยืนอยู่ตรงนั้น ผิวกายกลับเปล่งรัศมีสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา รัศมีสีดำแต่ละสายล้วนมุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงตามระลอกคลื่นอันแปลกพิสดาร พุ่งตรงไปทางรากแต่ละอัน


เกราะพล!


แม้จะไม่ใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ใดๆ อานุภาพของเกราะพลในตอนนี้ก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมเกราะพลยังสำแดงปรัชญาคลื่นลมบทที่หนึ่งออกมาด้วย เมื่อเทียบกันแล้วบทที่หนึ่งนั้นเรียบง่ายที่สุด ระหว่างถูกล้อมโจมตี ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถแบ่งจิตใจไปควบคุมเกราะพลนับพันให้สำแดงออกมาได้ อย่างบทที่สามหรือบทที่สี่นั้นเขายังไม่สามารถควบคุมเกราะพลนับพันให้สำแดงออกไปพร้อมกันได้


“ตงป๋อเสวี่ยอิง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว” เจ้าแม่กานเหอก็บินออกจากใจกลางเสาหยวนเฉิน แล้วบินตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็ว


“ปังๆๆ!!!”


ยามนี้ รัศมีสีดำสายแล้วสายเล่าก็ปะทะลงบนรากแต่ละอัน รัศมีสีดำล้วนแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันแปลกพิสดาร รากถูกปะทะจนสั่นสะเทือนก่อนจะอ่อนยวบลงไป


เมื่อมองไปแวบหนึ่ง รากซึ่งเดิมทีแน่นขนัดก็ถูกรัศมีจำนวนมากโจมตีจนอ่อนยวบลงไปจนสิ้นในพริบตา ไร้ซึ่งอานุภาพอีกต่อไป


“ทำลายกระบวนท่านี้ลงไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาล้วนไม่อยากจะเชื่อ


บริเวณร้ายกาจก็แล้วไปเถิด!


เมื่อเผชิญการล้อมโจมตีก็ยังสามารถแบ่งรัศมีออกมานับพันสายมาสกัดกั้นได้อย่างนั้นหรือ


ข้อสำคัญก็คือ จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงหอกเลย!


“ล้มโจมตีมิได้ อานุภาพของรัศมีสีดำของเขายิ่งใหญ่นัก” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาไม่รู้เลยว่า นั่นคือเกราะพลซึ่งมีพลังการโจมตีและการทำลายล้างสูงที่สุดของผู้ท่องอากาศ


“เช่นนั้นก็กดดันซึ่งหน้า”


“โจมตี”


บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา พวกเขารู้สึกว่าไม่ดีเสียแล้ว


……


ขณะยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าแม่กานเหอซึ่งกำลังเร่งตรงเข้ามาหมายจะช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิง หรือว่าอาจารย์อาห้าวิหคดำผู้นั้น หรือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งกำลังวางค่ายกลอยู่ รวมทั้งผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่คอยดูอยู่ด้านข้าง เช่นประมุขหยวนชู ผู้ครองชิง ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพต่างก็มองดูด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว! พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มากมายนัก


พวกเขารู้สึกยินดีจนแทบคลั่ง!


แม้จะเหนือความคาดหมาย แต่กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนา! อย่างแรกก็คือบริเวณก็มีอานุภาพที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนั้นแล้ว บัดนี้เมื่อเผชิญกับการล้อมโจมตีก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย พลังเช่นนี้อาจจะ อาจจะสามารถต้านรับได้อย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้


“ฟิ้ว…”


รากที่ยาวที่สุดสองรากตรงหัวเรือรบโบราณลำนั้นพันพาดข้ามขอบฟ้าแหวกอากาศมา บริเวณที่ผ่านไปล้วนมีเงารางดำทะมึนอันแปลกพิสดารสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันแหวกอุปสรรคของค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าออกไป และปะทะเข้าใส่การกดดันของอากาศและบริเวณการเข่นฆ่าอย่างเต็มที่ บุกตรงเข้ามาสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง


“มาแล้ว” พวกผู้ครองชิงต่างก็ตื่นเต้น


“ต่อให้เป็นข้า อาศัย ‘วิถีแห่งขุนเขา’ ทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็แค่ต้านรับได้อย่างพอถูไถเท่านั้น” ผู้ครองชิงพึมพำ เขารู้ดีมากว่าการโจมตีนี้น่าหวาดหวั่นเพียงใด


“นี่คือวิธีการแบบกดดัน สามารถป้องกันได้หรือ”


แต่ละคนต่างก็มองดูด้วยความตื่นเต้น


ขอเพียงสามารถต้านรับกระบวนท่านี้ได้อีก แม้เรือรบลำนั้นจะยังมีลูกไม้อื่นๆ แต่กระบวนท่าก่อนหน้านี้คือการล้อมโจมตีที่รับมือได้ยากยิ่ง และกระบวนท่านี้ก็มีอานุภาพมากที่สุด หากสามารถต้านรับสองกระบวนท่านี้ได้ กระบวนท่าอื่นก็มีภัยคุกคามต่ำมากแล้ว


“ออกหอกแล้ว!”


“ในที่สุดก็สำแดงวิถีหอกออกมาแล้ว!”


บรรดาผู้ปกครองต่างก็มองดูตาไม่กะพริบ


“เป็นวิถีหอกที่พิสดารพันลึกนัก เห็นที คงจะมิใช่วิถีที่สมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล! รู้สึกว่าเป็นการผสานกันของการเข่นฆ่าและระลอกคลื่น ทว่าหากพูดถึงระดับความพิสดารแล้วกลับสูงเสียยิ่งกว่าสูง” สายตาของพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้อนแรงนัก ส่วนใหญ่ล้วนตัดสินแล้ว


อันที่จริง


ก็เหมือนกับผู้ครองชิงที่ใช้พลังต่อสู้กับผู้ปกครองได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นผู้เคารพ แม้ ‘วิถีระลอกคลื่น’ และ‘วิถีเข่นฆ่า’ จะยังไม่สำเร็จเป็นนิรันดร์กาล แต่ก็บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว เมื่อผสานเข้าด้วยกัน หากพูดถึงแค่ความพิสดารของปรัชญาคลื่นลมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นโดยอาศัยคัมภีร์จำนวนมากของบรรพคีรีมารและการรับรู้ของตนเองเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอให้สู้กับผู้ปกครองได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบัดนี้เขาคิดค้นไปจนถึงบทที่สี่แล้วอีกด้วย


และในยามนี้สิ่งที่สำแดงออกมาก็คือบทที่สี่ซึ่งเพิ่งจะคิดค้นขึ้นใหม่นั่นเอง


“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ จุดขั้ว!”


หอกยาววาดผ่านไปก่อให้เกิดเป็นร่องรอยอันแปลกพิสดาร ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมหอกยาวแล้วรวมตัวกันที่ปลายหอกอย่างไม่ขาดสาย ปลายหอกราวกับมี ‘จุด’ ที่มองไม่เห็นอยู่จุดหนึ่ง ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่จุดนี้ในท้ายที่สุด


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งชื่อให้หอกนี้ว่า ‘จุดขั้ว’


“ปัง!!!”


ปลายหอกแทงออกไปบนรากที่แหวกทุกสิ่งจนฉีกขาดนั้น


รากโบราณอันแข็งแกร่งทนทานพลันสั่นสะเทือน พละกำลังภายในถูกระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดกระเทือนเสียจนสลายตัวไปหมด รากก็อ่อนยวบลงไป


ภาพฉากนี้ทำให้บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา


พูดถึงพละกำลังเพียงอย่างเดียว…


เกรงว่าบรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาที่เชี่ยวชาญทางด้านพละกำลังส่วนใหญ่ก็คงจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้! หากพูดถึงความพิสดารแล้วก็ยิ่งสู้ไม่ได้เข้าไปใหญ่


“แพ้แล้ว”


“พลังของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”


“สกัดเขาเอาไว้ไม่ได้”


บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาต่างก็เข้าใจในข้อนี้ดี แม้เรือทิพย์ซวีมู่จะยังมีลูกไม้อื่นอีก แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่ามิอาจสกัดกั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้ สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกขมขื่นที่สุดก็คือ…ตั้งแต่ต้นจนจบ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เพียงแค่ร่างเดียวในการต่อสู้เท่านั้น ร่างแยกอีกร่างหนึ่งของเขามิได้ปรากฏกายขึ้นมาเลย!


“เหมือนกับผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและผู้ปกครองนรกโลกันตร์สามคนนั่้นเลย ร่างแยกเพียงแค่ร่างเดียวก็สามารถพิทักษ์เอาไว้ได้แล้ว” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาเหล่านี้ต่างรู้สึกหนาวเหน็บใจ “เขายังมีร่างแยกอีกร่างหนึ่ง ยังสามารถพิทักษ์เสาหยวนเฉินอีกต้นหนึ่งต่อไปได้!”


******


บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บใจและไม่ยินยอม ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญกลับยินดีจนแทบคลั่งขึ้นมาจริงๆ ความยินดีมาเยือนอย่างกะทันหันเกินไป พวกเขาออกจะปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง


“ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็สามารถต้านรับได้แล้วหรือ”


“ต้านทานเอาไว้ได้ซึ่งหน้าอย่างนั้นหรือ”


ทุกคนล้วนรู้สึกงงงันไปหมดรวมทั้งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตด้วย


ประมุขหยวนชูกลับพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงลึกล้ำเกินหยั่งเสียจริง พูดถึงเรื่องพลังอาจจะเหนือกว่าข้าเสียด้วยซ้ำไป! ผู้ครองชิง นรกโลกันตร์ พวกเจ้าสองคนรู้สึกอย่างไรบ้างเล่า”


“คงจะเทียบเท่ากับพวกข้าทั้งสองได้” ผู้ครองชิงเอ่ย


“ใช่แล้ว การต่อสู้ซึ่งหน้าของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสียอีก” ผู้ปกครองนรกโลกันตร์กล่าว “ความเร้นลับของกฎเกณฑ์บกพร่องไปบ้าง ทว่าพลังโดยรวมก็อยู่ในระดับเดียวกับพวกเราโดยแท้”


เมื่อผ่านวันคืนของสงคราม


ทุกคนล้วนรู้จักพลังของกันและกันเป็นอย่างดี


ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ข้อได้เปรียบของเขาชัดเจนเป็นอันมาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีวิหคดำคอยช่วยเหลือก็ยิ่งแกร่งกล้าขึ้นไปอีก


รองลงมาก็คือผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผู้ครองชิงแล้ว


พวกประมุขหยวนชูและผางอีนั้นก็ลดหลั่นลงมาอีก ทว่าประมุขหยวนชูมีชีวิตอยู่มานาน กลเม็ดก็แพรวพราวอย่างยิ่ง บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงแรกเผยพลังออกมา ก็เทียบเคียงได้กับระดับผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผู้ครองชิงแล้ว


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องร้ายกาจกว่าข้ามากแน่ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็สามารถพิทักษ์เสาหยวนเฉินเอาไว้ได้แล้ว เขายังมีร่างแยกอีกร่างหนึ่ง! ยังสามารถพิทักษ์เสาได้อีกต้น ฮ่าฮ่าฮ่า สามารถติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองต้นได้สำเร็จแล้ว” ประมุขตำหนักหมื่นเทพเบิกบานใจเป็นอย่างมาก


“อื้ม อีกประเดี๋ยวข้าก็จะตั้งเสาหยวนเฉินต้นนี้ได้สำเร็จแล้วล่ะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ตื่นเต้นขึ้นมา


“ในที่สุดก็จะติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองสำเร็จแล้ว”


……


เรือรบของลัทธิจอมมารดาพยายามกระเสือกกระสนโจมตีอีกสิบกว่าครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเลิกแล้วเริ่มล่าถอยไป


ส่วนทางฝ่ายผู้บำเพ็ญแต่ละคนกลับเบิกบานใจเป็นอย่างมาก อีกไม่นานจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็จะตั้งเสาหยวนเฉินได้สำเร็จ


“สวบ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงเคลื่อนที่ในอากาศเร่งตรงไปยังอากาศบริเวณที่ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังวางค่ายกลอยู่อย่างรวดเร็ว


“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงมาถึงที่นี่


“เสวี่ยอิง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเพิ่งจะติดตั้งสำเร็จ เมื่อมองเห็นศิษย์ขอองตนก็เบิกบานใจนัก


“เสาหยวนเฉินต้นนี้มอบให้ข้าดูแลเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงเอ่ย


“ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายให้เสร็จสิ้นไปเลยในรวดเดียว! ข้ารอคอยมานานเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้จะสามารถตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองต้นได้สำเร็จ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงร่อนลงบนยอดเสาหยวนเฉินต้นนั้น


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองดูศิษย์ของตน จากนั้นก็มองไปยังอากาศโดยรอบ สายตาของเขามองออกไปไกลอย่างไร้ที่สิ้นสุด มองดูดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วน มองดูผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน


บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับเอาไว้ ความเหนื่อยล้าภายในใจพลันมลายหายไป “สงครามครั้งนี้อาจจะใกล้ยุติลงแล้วก็เป็นได้!”

 

 

 


ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง

 

ตอนที่ 10

 

 ปราบปรามลัทธิจอมมารดา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เสวี่ยอิง”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยตักเตือน “ตอนนี้กำลังติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้าย แต่ยิ่งใกล้สำเร็จก็ต้องยิ่งระมัดระวังมากขึ้น ลัทธิจอมมารดามิได้ต่อสู้กับพวกเรากลับมาแค่เพียงครั้งเดียว เจ้าต้องพิทักษ์เสาหยวนเฉินสองแห่งพร้อมกันในเวลาเดียว ต้องระวังด้วยล่ะ”


“ศิษย์เข้าใจ แล้วยิ่งในเวลาเช่นนี้ ก็ยิ่งมิอาจประมาทได้เลยแม้แต่นิดเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“คมมีดโลหิต ท่านก็วางใจเถิด ศิษย์ผู้นี้ของท่านมีพลังร้ายกาจพอตัวทีเดียว จะต้องสกัดลัทธิจอมมารดาได้อย่างง่ายดายแน่นอน” นกสีดำบนบ่าของคมมีดโลหิตร้องขึ้น


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแย้มยิ้ม จากนั้นก็มองไปยังที่ไกลออกไปแล้วก้าวเดิน


ฟิ้ว


ข้ามผ่านระยะทางของกาลมิติไปถึงจุดที่ติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายอย่างรวดเร็ว


ในขณะนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิง ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติ และเจ้าแม่กานเหอ แต่ละคนล้วนมองดูอยู่ห่างๆ ต่างก็อดที่จะตื่นเต้นมิได้ ยิ่งใกล้สำเร็จก็ยิ่งทวีความตื่นเต้น เพราะพวกเขาต่างก็เกรงว่าลัทธิจอมมารดาที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงจะมีเล่ห์กลร้ายกาจอันใดมาทำลายอีก


“ทุกท่านระวังตัวด้วย ลัทธิจอมมารดาย่อมไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจเช่นนี้อย่างแน่นอน”


“ตงป๋อเสวี่ยอิง เสาหยวนเฉินที่พวกเราคนอื่นๆ พิทักษ์เอาไว้ล้วนเคยถูกโจมตีหลายครั้งหลายครา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เผชิญกับการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากลัทธิจอมมารดาลงมืออีกครั้งก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีเป้าหมายคือเจ้า”


“ใช่แล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ก็ต้องระวังหน่อยล่ะ”


ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญแขวน


ส่วนอาจารย์ห้ากาฬปักษาที่อยู่ไกลออกไปนั้น ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปมีขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบแล้ว ราวกับแผ่นดินปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเหนือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ร่างแยกทั้งสองของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเริ่มต้นติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายด้วยพละกำลังทั้งหมด


“มาแล้ว!”


“ลัทธิจอมมารดามาแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเห็นเป็นคนแรกสุด ส่วนเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็พบเห็นตามๆ กันทีละคน ลัทธิจอมมารดาปรากฏตัวให้เห็นเป็นเรือรบโบราณลำนั้นเช่นเคย แต่ในคราวนี้พื้นผิวของเรือรบโบราณกลับแผ่รังสีสีเขียวมรกตเรืองรอง คล้ายกับมีความพิเศษเหนือธรรมดา ตำแหน่งที่เรือรบปรากฏขึ้นก็คือบริเวณใกล้ๆ กับเสาหยวนเฉินที่ติดตั้งเสร็จล่าสุดต้นนั้น ซึ่งก็คือต้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงพิทักษ์อยู่


“คราวก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมาขัดขวางซึ่งๆ หน้า พละกำลังร่างกายจะต้องแกร่งกล้าเป็นที่สุดอย่างแน่นอน โดยทั่วไปแล้วร่างกายที่แกร่งกล้าจะต้องอาศัยวัตถุภายนอกช่วยผนวกรวม! วัตถุภายนอกเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก บางทีอาจมีร่างแยกเพียงร่างเดียวที่สามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ” บรรดาเจ้าลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบโบราณมองชายหนุ่มอาภรณ์สีแดงที่ยืนอยู่บนยอดเสาหยวนเฉินที่อยู่ไกลออกไป


อาภรณ์ของเขาปลิวไสว ในมือถือหอกยาวสีม่วงเข้มเอาไว้เล่มหนึ่ง เขามองดูเรือรบลัทธิจอมมารดาที่บินเข้ามาด้วยสายตาเยียบเย็น


การคาดการณ์ของลัทธิจอมมารดาช่างมีเหตุผล


ระบบอย่างลัทธิจอมมารดาต้องการทรัพยากรมหาศาล มิฉะนั้นต่อให้ถึงระดับขั้นแล้วก็ยังมิอาจบรรลุได้ เหมือนกับ ‘ร่างแท้หมื่นมาร’ ม้วนแรกเริ่มที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยบำเพ็ญ ตอนนั้นเพื่อให้บำเพ็ญสำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นก็สิ้นเปลืองสมบัติล้ำค่าไปมหาศาล เพราะร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งโดยฉับพลัน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีวัตถุภายนอกมาเป็นรากฐาน


เพราะลำพังแค่การดูดซับพลังฟ้าดินนั้นเนิ่นช้าเกินไป โดยทั่วไปล้วนต้องอาศัยวัตถุภายนอกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง


แม้ว่าการคาดการณ์ของลัทธิจอมมารดาจะมีเหตุผลแต่กลับผิด!


ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องเป็นพลังภายนอก แต่อาศัยพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน! พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นหายากเป็นที่สุด ถึงอย่างไรระดับขั้นเทพอากาศโดยทั่วไปเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ อีกทั้งการใช้พละกำลังอันน่าหวั่นกลัวเหล่านี้ยังยากเย็นยิ่ง จะว่ามากก็มาก…สุดท้ายแล้วอากาศอันสับสนอลหม่านก็ไร้ที่สิ้นสุด  ภายในมีจักรวาลอยู่ด้วย พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านจึงยิ่งใหญ่กว่าพลังฟ้าดินมากมายมหาศาลนัก


ดังนั้นสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ร่างจริงและร่างแยกทั้งสองต่างก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ดได้อย่างง่ายดายยิ่ง


โดยธรรมชาติ…


การโจมตีอีกครั้งของลัทธิจอมมารดา ก็สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว


“อะไรกัน”


“ร่างนี้ของเขาก็แกร่งกล้าเช่นเดียวกัน”


“ย่อมเอาชนะมิได้แน่”


ถึงแม้ว่าการลงมือของลัทธิจอมมารดาในครั้งนี้จะแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงอาศัยเพียงแค่หอกยาวกับการจัดการอากาศและเขตแดนค่ายสังหาร ก็สามารถต้านทานลัทธิจอมมารดา พิทักษ์เสาหยวนเฉินแห่งนี้เอาไว้ได้โดยสมบูรณ์แล้ว


เวลาผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่อกรกับลัทธิจอมมารดาอย่างสุดกำลัง มิกล้าไขว้เขวเลยแม้แต่น้อย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวและเจ้าแม่กานเหอที่อยู่ข้างๆ กลับให้ความสนใจกับทางด้านจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เช่นเดียวกับผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู ผางอี และประมุขเกาะกาลมิติ พวกเขาแต่ละคนต่างก็มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความตื่นเต้น


“ใกล้แล้ว”


“อีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น…”


พวกเขาทุกคนต่างก็มองดูจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายนั้นอย่างตื่นเต้น


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็ทุ่มเทสุดกำลัง นกสีดำขนาดมหึมาสอดส่ายสายตาเย็นชาไปรอบทิศทางอย่างระแวดระวังตลอดเวลา ใครๆ ก็รู้ว่าถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว


“พรึ่บ”


ยามที่สายโซ่ทั้งหมดบนพื้นผิวของเสาหยวนเฉินต้นนั้นเจาะทะลุแหวกอากาศ รัศมีเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มหลั่งไหล


“ตึง” เสาหยวนเฉินต้นมหึมานั้นส่งเสียงคำรามออกมาเสียงหนึ่ง ค่ายกลจำนวนมากมายทั้งหมดต่างก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เสาหยวนเฉินแห่งนี้สร้างให้เกิดการผนวกรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ในชั่วขณะที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตติดตั้งได้สำเร็จนั้นเอง เขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเองก็มิได้รู้ตัวเลยว่าริมฝีปากของตนนั้นคลี่ยิ้มกว้างสักเพียงใด


“ติดตั้งสำเร็จแล้ว!”


“สำเร็จแล้ว”


“ในที่สุดก็ติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินได้สำเร็จแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผางอี ประมุขเกาะกาลมิติ และเหล่าผู้ปกครองแต่ละคนที่ชมดูอยู่ห่างๆ ต่างก็ตื่นเต้นยินดี ก่อนหน้านี้แม้จะรู้สึกได้ว่าเข้าใกล้ความสำเร็จแล้ว แต่มีเพียงชั่วขณะที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินได้สำเร็จจริงๆ แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะผ่อนคลายใจลงได้


และเรือรบโบราณลำนั้นก็ยอมแพ้ เลือกที่จะล่าถอยกลับไปแล้ว


……


เสาหยวนเฉินสิบสองต้น ล้อมรอบที่มั่นของลัทธิจอมมารดาทั้งบนล่างซ้ายขวา สี่ด้านแปดทิศ ก่อให้เกิดเป็นคุกอากาศอันไร้รูปร่างแห่งหนึ่ง


ด้านบนของเสาหยวนเฉินทุกต้นต่างก็มีผู้ปกครองของทางฝั่งผู้บำเพ็ญยืนอยู่ บนเสาหยวนเฉินต้นใหม่ล่าสุดก็มีจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่บนนั้น เหล่าผู้ปกครองมากมายต่างก็มองกันไปมาพร้อมเผยรอยยิ้ม นี่คือรอยยิ้มอันเบิกบานเปี่ยมสุข


“คมมีดโลหิต เร่งสร้างค่ายกลสกัดที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเถิด” บรรพชนหุบเหวลึกกล่าวอย่างกระตือรือร้น


“คมมีดโลหิต ลงมือได้แล้วล่ะ” เจ้าแม่กานเหอสีหน้าแดงระเรื่อ งดงามล้ำเหลือ แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง


“ท่านอาจารย์ ลงมือเถิดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดหวังเช่นกัน


เขาเข้าร่วมสงครามค่อนข้างช้า ทางฝั่งผู้บำเพ็ญถือครองความได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว แต่พลังของเขาก็ยังช่วยเหลือทางฝั่งตน ทำให้ฝั่งตนสามารถติดตั้งสิบสองเสาหยวนเฉินได้เสร็จสิ้นเร็วขึ้น


“ได้สิ”


เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ รอคอยอยู่ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็โลหิตเดือดพล่านเช่นเดียวกัน เขาเริ่มต้นควบคุมเสาหยวนเฉินทั้งหมดจากระยะไกลทันที


เคร้งๆ


ทันใดนั้นสิบสองเสาหยวนเฉินก็เริ่มต้นเชื่อมต่อกับค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วน ในอดีตเป็นเพราะเสาหยวนเฉินขาดแคลน ทั้งค่ายกลขนาดใหญ่พังทลาย ก็เหมือนกับกรงอันหนึ่ง กรงที่พังทลายนั้นหากศัตรูอยากจะเข้าก็ย่อมเข้าได้ อยากจะออกก็ออกได้! และตอนนี้… คุกอากาศแห่งนี้ก็สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีช่องโหว่อันใดอีกต่อไปแล้ว


“พรึ่บๆๆ” เห็นเพียงบริเวณพื้นผิวของที่มั่นของลัทธิจอมมารดามีโซ่ปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า สายโซ่อากาศต่างก็โปร่งแสง พวกมันส่งเสียงพรึ่บๆ แล้วเกี่ยวรัดบนอาคารที่มั่นของลัทธิจอมมารดา สายโซ่อากาศสายแล้วสายเล่ากระหวัดรัดเกี่ยวกัน อีกทั้งบนสายโซ่อากาศโปร่งแสงเหล่านี้ยังมีรัศมีจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหล รัศมีจำนวนนับไม่ถ้วนผนวกรวมเข้าด้วยกันห่อหุ้มทั่วทั้งที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่เหลือช่องว่างเอาไว้เลยแม้แต่น้อย


แม้กระทั่งจากการรับสัมผัส ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของลัทธิจอมมารดาได้เลย


“ที่มั่นของลัทธิจอมมารดาถูกผนึกสะกดเอาไว้โดยสมบูรณ์แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเผยรอยยิ้ม “ลัทธิจอมมารดาย่อมไม่มีทางทำลายผนึกออกมาได้อีกแล้ว”


“ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้เสียที”


เหล่าผู้ปกครองแต่ละคนที่อยู่บนเสาหยวนเฉินที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกทิศทางล้วนเผยสีหน้าท่าทียินดี


“ก่อนหน้านี้พวกเราต่อสู้กันมาตั้งหลายครั้งถึงเพียงนั้น ทุกครั้งต่างก็เหลืออีกเพียงนิดเดียว หากแต่คราวนี้สามารถสะกดพวกเขาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แล้วเสียที” ผางอีเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ


“หรือว่าสงครามควรจะสิ้นสุดลงแล้ว” ประมุขหยวนชูพยักหน้า


“ควรสิ้นสุดได้แล้วล่ะ”


“เนิ่นนานเกินไปแล้ว หัวใจเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว หนึ่งแสนปีนี้ยังเหนื่อยยิ่งกว่าการบำเพ็ญหนึ่งล้านล้านปีเสียอีก”


เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ แต่ละคนต่างพูดคุยกัน แต่ที่ยิ่งกว่าคือความสบายใจ


“ยังเป็นศิษย์น้องตงป๋อที่ผ่อนคลายที่สุด นอนหลับตื่นหนึ่งก็ถึงตอนสุดท้ายแล้ว ระยะเวลาต่อสู้สั้นที่สุดเลย” ผู้ครองชิงมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไปยิ้มๆ


“ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่หากไม่มีตงป๋ออยู่ เกรงว่าหากอยากจะเอาชนะนั้นก็ยังต้องเนิ่นช้า เสียเวลาอีกระยะหนึ่งเลยทีเดียว” ประมุขตำหนักหมื่นเทพก็เอ่ยขึ้น


“ทุกท่าน”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปิดปากพูด หยุดยั้งเหล่าผู้ปกครองที่กำลังยินดีปรีดาเอาไว้ เหล่าผู้ปกครองรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มองไปทางจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงจะเป็นผู้นำอย่างไร้ข้อกังขา! ความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงใน ‘ค่ายกล’ ของเขานั่นเองที่ทำให้สามารถถือไพ่เหนือกว่าในสงครามครั้งนี้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า


“ตอนนี้สามารถพูดได้เพียงว่าชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะมั่นใจว่าพวกเขามิอาจทำลายผนึกของสิบสองเสาหยวนเฉินได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจยังมีท่าไม้ตายอันใดอยู่อีก อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย”

 

 

 


ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง

 

ตอนที่ 11

 

สงครามสิ้นสุดแล้วหรือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู และประมุขเกาะกาลมิติ พร้อมทั้งเหล่าผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งต่างก็มองไปทางที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ป้อมปราการทรงกลมที่ประณีตงดงามตามแบบโบราณแห่งนั้นจากที่ไกลๆ


“มาดูกันว่าลัทธิจอมมารดานี่จะยังมีลูกไม้อันใดอีก”


“ตอนนี้ก็ถูกสิบสองเสาหยวนเฉินผนึกสะกดเอาไว้แล้ว จะยังอย่างไรได้อีกเล่า ถ้าหากมีวิธีการร้ายกาจ ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเราติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นแล้วต้นเล่าได้สำเร็จหรอก”


“พลังของสิบสองเสาหยวนเฉินเป็นขั้นเทพอากาศแล้ว และตัวคมมีดโลหิตเองก็ไปถึงจุดเริ่มต้นของขั้นเทพอากาศ ทั้งยังอาศัยบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง ซึ่งมีวิธีการหลอมแปรอยู่ นี่จึงทำให้หลอมแปรได้สำเร็จ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะทำลายมันได้”


เหล่าผู้ปกครองมองดูอยู่ห่างๆ พลางสนทนากัน


พวกเขาต่างก็กำลังรอคอยการตอบสนองของลัทธิจอมมารดาอยู่!


เวลาเคลื่อนผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า…


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มีความอดทนอย่างยิ่ง ต่อให้ลัทธิจอมมารดาอยากจะตอบโต้ก็เกรงว่าจะต้องมีการต่อรองภายใน ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง


“หืม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกตะลึงขึ้นมาในทันใด พวกตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เห็นแล้ว


พรึ่บ…


หนึ่งในป้อมปราการทรงกลมแห่งนั้นมีปากหลุมเปิดขึ้นมา บริเวณปากหลุมมียักษ์ที่มีผิวหนังสีน้ำตาลอมเขียว ร่างกายกำยำตนหนึ่งยืนอยู่ ยักษ์ตนนั้นเปลือยเท้า ตลอดร่างมีเพียงเศษผ้าขาดวิ่นไม่กี่ชิ้นปกคลุมร่างกาย แววตาทั้งคู่สงบนิ่งหาใดเปรียบราวกับทะเลครึ้มอันไร้ที่สิ้นสุด


แต่เพราะว่าสายโซ่อากาศผนึกทั้งป้อมปราการเอาไว้ บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวผู้นี้จึงได้แต่ยืนอยู่บริเวณปากหลุมแต่กลับมิอาจออกไปได้ เขาเปิดปากเอ่ยว่า “จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ข้าผู้นี้มีร่างอยู่เพียงร่างเดียว มิได้พกพาอาวุธ หรือมีสมบัติล้ำค่าหรือของวิเศษอันใดเก็บเอาไว้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ต้องมาจากการรวบรวมพลังงาน ปล่อยข้าออกไปเถิดนะ”


น้ำเสียงของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าผู้ปกครองฟังไม่ได้ยิน หากแต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่ควบคุมค่ายกลสิบสองเสาหยวนเฉินกลับได้ยิน


ตึง…


ระลอกคลื่นชนิดหนึ่งแทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียว


อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น เสื้อผ้าก็มาจากการรวบรวมพลังงาน ไม่มีของวิเศษอันใดเลย!


“ออกมาเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนึกคิด ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็ห่อหุ้มร่างของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวเอาไว้ แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกจากป้อมปราการมายังโลกภายนอก


……


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้ยินเสียงของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียว แต่ก็เห็นบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวถูกเคลื่อนย้ายออกมา หลังเคลื่อนย้ายออกมาแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างก็สามารถตรวจตราอีกฝ่ายได้จากที่ไกลๆ เพราะเป็นเพียงร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น จึงถูกพวกตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจตราไปรอบหนึ่งได้อย่างง่ายดาย


“เป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น”


“ไม่มีของวิเศษอันใด ไม่เป็นภัยหรอก”


เหล่าผู้ปกครองต่างก็มองบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวผู้นั้น ด้วยพลังของพวกเขาแล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระยะห่างไกล แต่พวกเขาก็สามารถเห็นเส้นขนของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวได้อย่างชัดเจนยิ่ง ขณะนี้มีเพียงตัวจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองที่มาถึงตรงหน้าบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียว ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ต่างก็ยังดูอยู่ห่างๆ คอยรักษาเสาหยวนเฉินเอาไว้เช่นเดิม


การพิทักษ์เสาหยวนเฉินเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก มิอาจละเลยได้


“เหล่าผู้ปกครองอยู่กันหมดเลยหรือ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกวาดตามองไปรอบด้าน ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เขาก็คาดเดาได้ จึงพูดขึ้นยิ้มๆ


“พูดมาสิ มีเรื่องอันใดหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาแล้วพูดอย่างสงบนิ่ง


เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมมองร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้ แล้วเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เจ้านี่ระวังตัวน่าดูเลยจริงๆ นะ ไม่ว่าจะเวลาใดเจ้าก็ยังระแวดระวังถึงเพียงนั้น ถึงแม้ตอนนี้จะชนะแล้ว แต่เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็ยังคงพิทักษ์เสาหยวนเฉินเอาไว้เช่นเดิม นอกจากนี้คาดว่าร่างจริงของพวกเขาคงยังอยู่ที่เกาะใจกลางทะเลสาบกระมัง”


“ใช่แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า


“ต่อให้สิ่งล่อใจจะยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็อย่าได้ไปเดิมพันเชียว” บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ก่อนหน้านี้พวกเราก่อตั้งสำนักแห่งแล้วแห่งเล่า กระทั่งสังหารพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า น่าเสียดายที่ไม่มีประโยชน์เลย”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “แสนปีมานี้ อันที่จริงก็ได้เผชิญกับสิ่งล่อใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าก็รู้ดีว่าถ้าหากไปพร้อมกับร่างจริง บางทีอาจเอาชนะได้! แต่นี่ก็เสี่ยงอันตรายที่ร่างจริงและร่างแยกจะสูญสลาย… ถ้าหากพวกเราไม่เดิมพัน ร่างจริงของพวกเราก็จะปลอดภัยตลอดกาล พวกเราสามารถบำเพ็ญแล้วแยกร่างแยกออกมาต่อสู้ได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด ต้องใช้ทรัพยากรไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก ผลึกเทพที่พวกเจ้าสำรองเอาไว้ก็ต้องถูกใช้งานไปจนร่อยหรอ สุดท้ายพวกเราก็ต้องชนะอยู่ดี”


“ในเมื่อท้ายที่สุดก็ต้องชนะอยู่ดี เหตุใดจะต้องเสี่ยงอันตรายด้วยเล่า” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยอย่างเย็นชา


“เจ้าช่างสงบเยือกเย็นยิ่งนัก”


เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมทอดถอนใจ “แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าจำนวนมากแล้ว ที่รู้ก็เรื่องหนึ่ง ที่ทำจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ชัยชนะอยู่แค่เพียงปลายนิ้ว จะหัวร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง เสียดาย เสียดายเหลือเกิน…”


“เจ้ามาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้หรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดต่อ ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็คอยดูและรับฟังอยู่ห่างๆ


เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมส่ายศีรษะ “ข้านับถือเจ้าเหลือเกิน ค่ายกลสำเร็จอย่างร้ายกาจที่สุด ใช้ ‘ค่ายกลสองขั้วฟ้า’ กวาดไปทั่วทุกหนแห่งบีบให้พวกเราออกมา ทั้งยังใช้ค่ายกลเสาหยวนเฉินนี้กักขังพวกเราเอาไว้ในตอนนี้อีกด้วย ล้วนเป็นเจ้าทั้งสิ้น! นอกจากนี้สุดท้ายเจ้ายังค้นพบตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดเป็นผู้ทรยศแล้วยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ ใช้แผนซ้อนแผนจนทำให้พวกเราประสบหายนะครั้งใหญ่ จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าค้นพบได้อย่างไรว่าผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดเป็นคนทรยศ”


“นี่เป็นความลับ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดอย่างเย็นชา


ถึงแม้ว่าเขาเองก็มีความสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ข่าวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแจ้งให้ทราบในคราวนั้น จึงทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวก็คือคนทรยศ


“ช่างระวังจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ยังรักษาความลับอยู่อีก”


เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมมีสีหน้าสิ้นหวังอยู่บ้าง สายตาก็หม่นหมอง “เผ่าของข้าที่บ้านเกิดขยายเผ่าพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ แกร่งกล้าเป็นที่สุด! เพียงแต่ในท้ายที่สุดจักรวาลก็จะแก่ชราและเสื่อมสลายไป และทางเชื่อมจักรวาลเส้นนี้ของพวกเจ้าก็คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา… พวกเราได้แต่สู้เท่านั้น ถ้าหากพวกเรามีพลังฟ้าดินอันไม่สิ้นสุด มีทรัพยากรมหาศาลให้ใช้ เกรงว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ ชัยชนะก็คงจะเป็นของพวกเราแล้ว”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มเย็น “ต่อให้ไม่นับสมบัติล้ำค่า ไม่นับพลังภายนอก! แข่งขันกันที่พลังอันแท้จริง พวกเจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของพวกข้าอยู่แล้ว”


เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมหายใจสะดุด


ถูกต้อง


จำเป็นต้องยอมรับว่าอาศัยเคล็ดร่างแยก เหล่าผู้ปกครองของจักรวาลผู้บำเพ็ญทุกคนล้วนมีสามร่าง! นี่ก็เพื่อทดแทนจุดด้อยในด้านจำนวนหากต่อสู้กันจริงๆ อันที่จริงทางฝั่งผู้บำเพ็ญทั้งหมดแข็งแกร่งกว่า


“พูดเช่นนี้ไปก็ไม่มีความหมายหรอก เหล่าผู้รักษากฎของพวกเราเกือบตาย เจ้าลัทธิก็สู้จนตัวตายไปมากมาย เข่นฆ่ากันมาแสนปี พวกเราก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมพูด “วันนี้ข้ามาที่นี่ก็หวังว่าพวกเจ้าทางฝั่งจักรวาลผู้บำเพ็ญจะให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเราสักทางหนึ่ง”


“หนทางรอดชีวิตหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มเย็น “อาศัยอะไรมาให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเจ้ากันหรือ กักขังพวกเจ้าไปจนสิ้นสุดยุคจักรวาล พวกเจ้าก็ต้องตายกันหมดแล้ว! ต่อให้กลับไปตามทางเชื่อมจักรวาล ไปยังจักรวาลที่พังย่อยยับแห่งนั้น พวกเจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี! พวกเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”


“ตายอย่างแน่นอน”


เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมพูด “หนึ่ง พวกเรายังมีกำลังต่อสู้อยู่ ถึงแม้ไม่มีหวังจะชนะ แต่ก็สามารถทำให้พวกเจ้าต้องชดใช้ด้วยราคาสูงลิ่วได้ สอง ถ้าหากพวกเจ้าให้หนทางรอดชีวิตทางหนึ่งแก่พวกเรา พวกเราก็สามารถมอบอะไรให้กับพวกเจ้าได้มากมาย อย่างเช่นสมบัติล้ำค่า… สาม พวกเราก็เพียงแค่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดเท่านั้น”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนิ่งงันไปเสียแล้ว ทว่าสายตากลับหารือกับเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนต่างก็หารือกันอย่างรวดเร็ว


“ที่พูดนี่จริงหรือเท็จกัน พวกเขายังสู้ได้อีกหรือ”


“ล้วนถูกพวกเราคุมขังกันหมดแล้ว ยังจะให้พวกเราชดใช้อะไรอีกเล่า จงใจข่มขู่กันชัดๆ หรือว่าจะยังมีลูกไม้อันใดอีก”


“หึ พวกเขาอยากจะยึดครองจักรวาลของพวกเรา แต่ตอนนี้คิดจะอ้อนวอนขอร้องอย่างนั้นหรือ”


“ข้าไปถามเขาอีกสักหน่อยดีกว่า”


……


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองเจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมตรงหน้า “พวกเจ้าต้องการหนทางรอดชีวิต หนทางรอดชีวิตอันใดกัน”


“มีอยู่สองวิธี” บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวพูด “หนทางรอดชีวิตทางแรก พวกเจ้ามิได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกู่กานหลัวผู้นั้นหรอกหรือ เขามีเรือบินอลวน สามารถให้พวกเราเข้าไปในเรือบินอลวนแล้วพาพวกเราจากไปได้! หนทางรอดชีวิตทางที่สอง กักขังพวกเราต่อไป รอให้จักรวาลผู้บำเพ็ญของพวกเจ้าถือกำเนิดเป็นเทพอากาศเสียก่อน แล้วก่อนจะสิ้นยุคจักรวาล เทพอากาศของพวกเจ้าก็สามารถพาชาวเผ่าติดตามไปด้วยได้ ตอนจากไปก็แค่พาพวกเราไปด้วย”


“นี่คือความคาดหวังสุดท้ายของพวกเรา”


“สงคราม พวกเราสิ้นหวังแล้ว! พวกเราขอร้องเพียงการมีชีวิตอยู่เท่านั้น” บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต


……


ทางฝั่งลัทธิจอมมารดาอับจนหนทางไร้ซึ่งทางเลือก ได้แต่ยอมก้มหัวอ้อนวอนขอชีวิต! การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางฝั่งผู้บำเพ็ญ


การถือสิทธิ์ในการตัดสินชะตาชีวิตของอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผางอี และจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนั้น แม้ว่าแต่ละคนจะกำลังครุ่นคิด แต่กลับอารมณ์ดีเป็นที่สุด


“หรือว่าจะได้ชัยชนะเช่นนี้แล้ว สงครามจะสิ้นสุดลงแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนรวดเร็วยิ่ง พอตนฟื้นขึ้นมา เพิ่งจะเข้าร่วมสงคราม สงครามก็สิ้นสุดลงแล้วอย่างนั้นหรือ


แน่นอนอยู่แล้ว


มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงที่รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างรวดเร็วยิ่ง แต่ความรู้สึกของเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


สำหรับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผางอี ผู้ครองชิง ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพ และเจ้าแม่กานเหอนั้น พวกเขาแต่ละคนล้วนใจเต้นไม่เป็นส่ำ หนึ่งแสนปีมานี้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว ทุกเวลานาทีล้วนมิกล้าผ่อนคลาย ต้องคิดวางแผนและเสี่ยงชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาสู้จนตัวตายมากมายหลายครั้ง แม้จะดูเหมือนว่าเข้าใกล้ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ในท้ายที่สุดก็พบว่าเป็นกลลวงทั้งสิ้น


พวกเขาเหนื่อยใจ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องต่อสู้


ในที่สุด!


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำพาโชคดีมาให้ ในที่สุดสงครามก็จะสิ้นสุดลงแล้ว! ในชั่วขณะนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าโดยสัญชาตญาณแล้วจะยังคงรักษาความระแวดระวังเอาไว้อยู่เล็กน้อย แต่ในใจกลับมีความสุขเอ่อท้น


“ทุกท่านว่าอย่างไรบ้าง ควรให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาดีหรือไม่เล่า” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยถามเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ

 

 

 


ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง

 

ตอนที่ 12

 

 ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุม

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหล่าผู้ปกครองสิบท่านที่อยู่ในตำแหน่งสุดยอดของจักรวาลผู้บำเพ็ญกำลังหารือกันอยู่


อันที่จริงความคิดในใจส่วนลึกของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คิดว่าควรจะถอนรากถอนโคนเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาเหล่านี้เสียให้สิ้น! ถึงอย่างไรสงครามหนึ่งแสนปีนี้ การต่อสู้ก็แผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ พื้นที่มากมายของโลกเทพและหุบเหวลึกดำมืดต่างก็วอดวาย ชีวิตที่บาดเจ็บล้มตายก็มากมายนับไม่ถ้วน พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มีจิตใจคับแค้น


แต่ในการปะทะกันของสองชนเผ่าจักรวาล ไม่สามารถทำตามอารมณ์เพียงอย่างเดียวได้


หนึ่ง บางทีลัทธิจอมมารดาอาจมีวิธีการสู้ให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้าง ทำให้ทางฝั่งผู้บำเพ็ญต้องชดใช้อย่างขมขื่น สอง สมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายของลัทธิจอมมารดา อันที่จริงก็มีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก ลำพังแค่ใช้ในการเรียนรู้และขัดเกลา ก็มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเป็นอย่างมากแล้ว


“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาสักทางหนึ่งก็แล้วกัน”


“ให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาก็ได้! แต่ว่าจะต้องกักขังพวกเขาจนถึงตอนสิ้นยุคจักรวาล ถึงเวลานั้นจะต้องให้เทพอากาศในหมู่พวกเราพาเขาจากไปพร้อมกัน”


“ถูกต้อง จะต้องมิให้พวกเขาเข้าไปในเรือบินอลวนของกู่กานหลัวเป็นอันขาด”


“กู่กานหลัวผู้นั้น…ชั่วร้ายเป็นที่สุด! ให้เขาพาลัทธิจอมมารดาจากไปน่ะหรือ เฮอะ เกรงว่าจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องหนึ่งน่ะสิ”


เหล่าผู้ปกครองหารือกันอย่างง่ายๆ ก็ได้ข้อสรุปแล้ว


ยามกระต่ายตื่นตูมก็ยังแว้งกัดคน ในเมื่อมาจนถึงจุดนี้แล้ว เช่นนั้นก็ให้ความหวังเส้นสุดท้ายกับศัตรูสักเส้นหนึ่งแล้วกัน! หากไร้ซึ่งความหวังแล้วศัตรูก็คงได้แต่วิปลาส แต่หากมีความหวัง…ศัตรูก็จะรอคอยวันที่ถูกปลดปล่อยวันนั้นอย่างเชื่อฟัง ถ้าหากทางฝั่งผู้บำเพ็ญร้ายกาจมากพอ เมื่อถึงเวลาก็สามารถไม่ทำตามสัญญา ไม่ช่วยพาพวกเขาไปก็ได้  แต่หากทำเช่นนั้นก็แน่นอนว่าจะไม่ได้รับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดาแล้ว


“ข้าไปคุยกับพวกเขาก่อน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “สงครามมาถึงจุดนี้แล้ว ยังให้โอกาสรอดชีวิตกับพวกเขาสักทางหนึ่งดีกว่า พวกเราก็นับว่ามีเมตตาเป็นอย่างมากแล้ว แต่ทุกๆ ท่านก็ยังต้องระแวดระวังอยู่ตลอด ลัทธิจอมมารดาไม่คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่หรอก”


“เข้าใจแล้ว”


“วางใจเถิด”


“พวกเราต่างก็มีร่างแยกทิ้งเอาไว้คอยพิทักษ์เสาหยวนเฉินอยู่ตลอดเวลา”


กลางท้องนภาอันพร่างพรายไปด้วยดวงดาว บนยอดของเสาหยวนเฉินทุกต้นต่างก็มีเหล่าผู้ปกครองคอยพิทักษ์อยู่


……


และที่ท้องฟ้าอีกแห่งหนึ่ง ภายในเรือบินอลวน


รูปสลักขนาดมหึมาที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเยียบเย็น บนใบหน้าของ ‘กู่กานหลัว’ แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มองเหยียดลงไปยังชายหนุ่มมีเขา ผิวหนังสีเขียวผู้หนึ่งที่อยู่ด้านล่าง  ในแววตาของชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวผู้นี้มีความเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมจำนน ร่างกายก็กำลังสั่นไหวเล็กน้อย


“ทำเกินไปแล้วหรือไม่” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเอ่ยอย่างหดหู่


“จุ๊ๆๆ ทำเกินไปหรือ มิได้เกินไปเลยแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญจะไว้ชีวิตพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ปากพวกเขาพูดว่ารอให้ถึงเวลาสิ้นสุดยุคจักรวาลแล้วจะพาพวกเจ้าจากไปพร้อมกัน แต่พอถึงเวลาแล้วพวกเขาก็ไม่พาพวกเจ้าจากไปหรอก ปล่อยให้พวกเจ้าสูญสลายไปพร้อมกับยุคนี้นั่นแหละ  แล้วพวกเจ้าจะไปทำอย่างไรได้” กู่กานหลัวหัวเราะ ในเสียงหัวเราะนั้นแฝงไปด้วยความดูแคลน “เอาความหวังไปฝากเอาไว้กับความเมตตาของฝั่งผู้บำเพ็ญ นี่มันโง่เง่าเกินไปแล้ว ท่ามกลางสงครามแสนปีก่อนหน้านี้ ในยามสงครามพวกเจ้าจงใจทำให้สงครามส่วนหนึ่งแผ่กระจายออกไป  สังหารสรรพชีวิตชาวเผ่าของพวกเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ความเคียดแค้นของผู้ปกครองเหล่านี้ที่มีต่อพวกเจ้าจะต้องเข้มข้นมากแน่”


“จากนี้ไปข้าจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้า ข้ารับปากได้” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเอ่ยอย่างหดหู่ แต่จะต้องแบ่งสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดาของข้าที่จะมอบให้เจ้าออกเป็นสองส่วน ตอนที่เจ้าทำลายเสาหยวนเฉินช่วยเหลือพวกเราออกมา ก็จะมอบส่วนแรกให้กับเจ้า ยามที่ติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดา แล้วได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดจึงค่อยมอบส่วนสุดท้ายให้ นี่คือข้อเน้นย้ำของพวกเรา”


“เจ้าจะยอมรับปากหรือไม่”


“หรือไม่…ลัทธิจอมมารดาของพวกเราก็จะตายกันไปให้หมดเสียดีกว่า” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเงยหน้ามองรูปสลักขนาดมหึมาตรงหน้า


ตอนที่สงครามเพิ่งเริ่มปะทุได้ไม่นานสักเท่าใด กู่กานหลัวก็เริ่มล่อลวงให้ผู้ปกครองของลัทธิจอมมารดาคนหนึ่งเข้ามาในเรือบินอลวนของเขา ในอดีตที่ห้ามผู้ปกครองเข้า นั่นเป็นเพราะเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา! ตอนนี้อยู่ภายใต้สภาวะตื่นตัว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายในเรือบินอลวน เขาก็ไม่สนใจผู้ปกครองคนหนึ่งอยู่แล้ว


ตามการดำเนินไปของสงคราม…


ความกล้าหาญของลัทธิจอมมารดานั้น ยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแอ สุดท้ายตอนนี้ก็ถึงกับยอมก้มหัวแล้ว


“จำเป็นต้องแบ่งเป็นสองคราวหรือ” กู่กานหลัวครุ่นคิด ทว่าในใจกลับลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง


เหล่าผู้แกร่งกล้าที่หยิ่งทระนงยิ่งกว่านี้ สุดท้ายก็ยังต้องยอมก้มหัวแต่โดยดี


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดานี้จะมีมากมายถึงเพียงนี้ เป็นของล้ำค่าที่แม้กระทั่งเทพอากาศก็ยังต้องอิจฉา” กู่กานหลัวตกตะลึงอยู่บ้าง เดิมทีเขามิได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับลัทธิจอมมารดาเลย แต่ตอนที่สงครามเริ่มต้นขึ้น เขาได้แอบสอดส่องอยู่ในความมืด…แล้วค้นพบสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดาเข้า ก็เกิดความริษยาขึ้นมาในทันที เนื่องด้วยมีบางส่วนที่เป็นถึงขั้นเทพอากาศ มีบางส่วนที่เป็นของระบบอื่นๆ หากแต่เหล่าผู้แกร่งกล้าของลัทธิจอมมารดาได้ช่วงชิงมาไว้ส่งมอบให้แก่ชนรุ่นหลัง


ตอนนี้ลัทธิจอมมารดาแข็งแกร่งที่สุด ก็เทียบเท่าได้กับผู้ปกครอง อีกทั้งการจัดการสมบัติล้ำค่ายังค่อนข้างโง่เง่า ดังนั้นสมบัติล้ำค่าอันร้ายกาจมากมายจึงย่อมมิได้สำแดงพลังออกมาสักกี่มากน้อย


“ถ้าหากอยู่ในมือของข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำกำไรได้มหาศาลแล้วจริงๆ” กู่กานหลัวอิจฉาจนคันยุบยิบในใจไปหมดแล้ว!


ความจริงแล้ว


นี่คือการล่มสลายของจักรวาลลัทธิจอมมารดา สมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในโบราณสถานต่างก็เล็ดรอดออกมา ดังนั้นเหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาจึงได้มีสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ หากแต่พลังยุทธ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ สมบัติล้ำค่าอยู่ในมือของพวกเขาช่างน่าขันเหลือเกิน! ในทางกลับกัน ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ผู้ที่ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศ เขาเพียงได้รับบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง ก็สามารถสร้างค่ายกลมากมายขึ้นมาได้ในทันที ซึ่งเป็นการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กว่าสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลของลัทธิจอมมารดามากมายนัก แต่อันที่จริงสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดา จำนวนมากล้วนเหนือกว่าเสาหยวนเฉิน แต่ยิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกล้ายิ่งกว่า…คิดจะควบคุมนั้นก็ยิ่งมีขอบกั้นสูงขึ้น!


“หึๆ…”


“เพื่อการมีชีวิตรอด ก็ยังยอมก้มหัวเสียแล้ว” กู่กานหลัวเอ่ยเบาๆ “เพื่อสมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ ก็คู่ควรให้ข้าลงมือแล้วล่ะ”


เขาคือบุตรทิพย์คนที่เจ็ดขององค์บรรพชนกู่ ก็ย่อมมีวิสัยทัศน์สูงกว่ามาก ใช้เรือบินอลวนก็สามารถอวดเบ่งไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน และสามารถต่อกรกับเทพอากาศได้ พูดถึงการรักษาชีวิต และการเอาชีวิตรอด เรือบินอลวนก็ยิ่งแกร่งกล้า ถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการอาศัย ‘เรือบินอลวน’ จัดการกับผู้ปกครองกลุ่มหนึ่ง!


……


หลังจากที่พูดออกไปแล้วชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เขากังวลว่ากู่กานหลัวจะไม่รับปาก แต่นี่คือฟางเส้นสุดท้ายของลัทธิจอมมารดาแล้ว เพราะพวกเขาเองก็กลัว กลัวว่าพอกู่กานหลัวได้รับสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่ไปแล้วก็จะตบบ่าเบาๆ แล้วจากพวกเขาไป ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา


ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน


อีกทั้งสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดก็จะต้องเหลือเอาไว้ในส่วนที่สอง! จะต้องช่วยเหลือพวกเขาติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดา และคว้าชัยชนะในสงครามได้แล้ว จึงสามารถมอบส่วนที่สองให้แก่กู่กานหลัวได้


“ได้ เจ้าลัทธิซางตาน เจ้ามอบสัตย์สาบานเสียสิ” พอกู่กานหลัวเอ่ยวาจา ด้านหน้าของชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวพลันมีระลอกคลื่นพุ่งขึ้นมากลางอากาศ แล้วใบไม้ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเจ้าลัทธิซางตาน บนใบไม้ยังมีเงารางของคนแคระคนหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ ด้านบนมีตัวอักษรที่ไม่รู้จักอัดกันแน่นขนัด จากนั้นตัวอักษรก็ส่งสารมา ทำให้ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเข้าใจทั้งหมดอย่างสมบูรณ์


ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวคือเจ้าลัทธิที่ค่อนข้างเยาว์วัยคนหนึ่งของลัทธิจอมมารดา ทั้งยังเข้ามาที่เรือบินอลวนตั้งแต่เนิ่นๆในสงคราม


เขายื่นมือออกมาแล้วขยับน้อยๆ วิญญาณสายหนึ่งก็มาเกิดขึ้นบนใบไม้นี้ ทันใดนั้นก็ถูกใบไม้จับเอาไป ส่วนรูปสลักขนาดมหึมาของกู่กานหลัวในเวลานี้ก็มีวิญญาณสายหนึ่งมาเกิดบนใบไม้เช่นเดียวกัน


“วิ้ง”


บนใบไม้ เงารางของคนแคระเงยหน้าขึ้นมองกู่กานหลัวปราดหนึ่ง แล้วเมียงมองชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวที่อยู่ด้านข้าง ริมฝีปากขยับไหว แต่น้ำเสียงกลับดังก้องอยู่ในห้วงสมองของกู่กานหลัวและชายหนุ่มผิวหนังสีเขียว “ตั้งสัตย์สาบานแล้ว ผู้ฝ่าฝืน ตาย!”


ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวรู้สึกได้ถึงกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่าง นั่นคือกฎเกณฑ์ของสัตย์สาบานอันพิเศษยิ่ง ถ้าหากฝ่าฝืน เขาก็จะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา พลังของกฎเกณฑ์แกร่งกล้าเป็นที่สุด อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเขา ต่อให้เขาแกร่งกล้ากว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าก็ไม่มีทางกล้าลองดีกับกฎเกณฑ์ของสัตย์สาบานนี้เลย


“นายท่าน” เจ้าลัทธิซางตานทักทายอย่างเคารพ


“ดีมาก” กู่กานหลัวอมยิ้มมองดูข้ารับใช้ใหม่ของตน “ตอนที่ข้าท่องเที่ยวอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เคยได้รับค่ายกลชุดหนึ่งมาโดยบังเอิญ ค่ายกลชุดนี้ค่อนข้างร้ายกาจทีเดียว เอามาใช้ปกป้องเจดีย์สังเวยของพวกเจ้า ก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง”


“พวกเรามีเจดีย์สังเวยอยู่ทั้งหมดหกแห่ง” เจ้าลัทธิซางตานพูด “เจดีย์สังเวยหกแห่งกระจายอยู่ในจักรวาลทั้งหก ในที่สุดจึงสามารถสร้างแท่นบูชาได้”


“ค่ายกลชุดนี้มีทั้งหมดเก้าอัน ให้พวกเจ้าหกคนไปใช้ชั่วคราวก็เป็นเรื่องเล็กนัก” กู่กานหลัวพูดอย่างไม่ใส่ใจ สำหรับการห้ำหั่นกันในครั้งนี้เขาก็มิได้แยแสสนใจเลยจริงๆ ยามที่เขาท่องเที่ยวอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ศัตรูคู่ต่อสู้โดยทั่วไปของเขาต่างก็เป็นเทพอากาศด้วยกันทั้งสิ้น! เป็นถึงบุตรทิพย์หัวแก้วหัวแหวนของบรรพชนกู่ พลังยุทธ์ของตนก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปกครอง แล้วยังอาศัยวัตถุภายนอกทั้งหลายในช่วงเวลาที่เป็นเลิศ ก็ย่อมสามารถต่อกรกับเทพอากาศได้


“ขอบคุณนายท่าน” เจ้าลัทธิซางตานรับคำอย่างปิติยินดี


“อีกประเดี๋ยวข้าก็จะสามารถทลายค่ายกลหยวนเฉินแห่งนั้นแล้วช่วยพวกเจ้าออกมาได้ พวกเจ้าก็เริ่มต้นติดตั้งเจดีย์สังเวยได้ทันที ข้าจะช่วยพวกเจ้ารักษาการณ์เอง! พอเจดีย์สังเวยหกแห่งติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้ในท้ายที่สุด แล้วเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งจักรวาล ไม่มีพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะเผชิญกับการกีดกันของจักรวาล พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว” กู่กานหลัวพูดอย่างสบายใจ


……


และในขณะนี้เอง


กลางท้องฟ้าพร่างพราวด้านนอกที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ร่างแปรของเจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกำลังเจรจาครั้งสุดท้ายกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต


“พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ได้แต่หวังว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญของพวกเจ้าจะทำตามที่สัญญาไว้นะ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมก้มศีรษะพูด


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะรอคอยอยู่ภายในที่มั่นแต่โดยดี อย่าได้มีเล่ห์กลอันใดอีก ถ้าหากพวกเจ้าหลอกลวงพวกเราแล้วล่ะก็… พวกเราก็ไม่มีทางให้โอกาสพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”


“วางใจให้เต็มที่เถิด” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมอมยิ้มน้อยๆ

 

 

 


ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง

 

ตอนที่ 13

 

 กู่กานหลัว!!!

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนเสาหยวนเฉิน


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งอยู่ตรงขอบของยอดเสา มองดูผืนฟ้าอันเวิ้งว้างที่มีดวงดาวพร่างพราย และสายโซ่ขนาดมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่าที่อยู่เบื้องล่าง เขาแย้มยิ้มพลางหยิบไหสุราไหหนึ่งออกมาแล้วเงยหน้าดื่มลงไป


“ศิษย์น้องตงป๋อ ดื่มสุราก็ดื่มอยู่คนเดียว มา แบ่งให้ข้าลองชิมดูสักหน่อยสิ” เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ข้างหู


ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง ข้ามผ่านท้องฟ้าไปก็เห็นศิษย์พี่ผู้ครองชิงที่อยู่บนเสาหยวนเฉินอีกต้นที่อยู่ไกลออกไปกำลังร้องขอสุราด้วยรอยยิ้ม


“มิใช่สุราที่ดีเลิศอะไรนักหรอก แต่ข้าเองก็ชอบเหลือเกิน ให้เจ้า”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบสุราไหหนึ่งออกมาก่อนจะโยนไป


ฟิ้ว!


ผ่านช่องว่างของอากาศ ส่งผ่านระยะทางอันแสนยาวไกล เมื่อมาถึงเบื้องหน้าผู้ครองชิงแล้วจึงค่อยปรากฏขึ้นอีกครา


“โอ้” ผู้ครองชิงสายตาเป็นประกาย ลอบตกตะลึงที่ศิษย์น้องของตนมีความสามารถในการควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจจริงๆ ต้องรู้เอาไว้ว่าวิถีสามสายที่เขา ผู้ครองชิงผู้นี้เชี่ยวชาญ มีสายหนึ่งก็คือ ‘วิถีอากาศ’


ผู้ครองชิงรับไหสุรามาแล้วก็ดื่มอึกหนึ่ง “อืม ไม่เลว แม้รสชาติจะบางเบาแต่รสที่ปลายลิ้นนั้นไร้ที่สิ้นสุด เป็นสุราชั้นเลิศทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม พูดคุยไปพลาง ดื่มสุราไปพลางกับศิษย์พี่ผู้ครองชิงของตนอย่างสบายใจ


คืนวันที่พิทักษ์เสาหยวนเฉินนี้อันที่จริงช่างเดียวดายยิ่งนัก


เสาหยวนเฉินสิบสองต้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องพิทักษ์ถึงสองต้น! สำหรับเจ้าแม่กานเหอนั้นได้จากไปนานแล้ว นางพูดเอาไว้ว่า “ข้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรมิได้ ตงป๋อเสวี่ยอิง ที่นี่ก็ต้องลำบากเจ้าแล้ว” แล้วนางก็จากไปพร้อมด้วยรอยยิ้มในทันที


“ฟิ้วๆ”


กระแสลมที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของค่ายกลกรรโชกพัดทั่วบริเวณ เส้นผมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกลมพัดจนลอยขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมอง มีความสุขกับความเงียบสงบเช่นนี้


ทันใดนั้น…


ภายใต้ความเงียบสงบนี้ เรือบินขนาดยาวพันลี้ลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง มองดูแล้วก็ช่างธรรมดายิ่ง เล็กกว่าเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดามากมายนัก ความยาวพันลี้นี้… เรียกได้ว่าเล็กจนน่าสงสารเมื่ออยู่กลางท้องฟ้า สุ่มเอาดาวเคราะห์ดวงใดขึ้นมาต่างก็ใหญ่กว่ามันมากมายทั้งสิ้น


แต่บนยอดของเสาหยวนเฉินที่อยู่ใกล้มันที่สุด ประมุขหยวนชูกลับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “เรือบินอลวน!”


“คมมีดโลหิต แย่แล้ว เรือบินอลวนปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน” ประมุขหยวนชูส่งเสียงขึ้นมาในทันใด


ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็เปิดปากพูดว่า “กู่กานหลัว เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”


“ก็แค่มาเที่ยวเล่นที่นี่เท่านั้น”


น้ำเสียงชั่วร้ายเสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างในเรือบินอลวน


ที่ตามมาติดๆ ก็คือลำแสงโค้งสีม่วงสายหนึ่งซึ่งสาดออกมาจากด้านบนของเรือบินอลวน สิ่งกีดขวางที่เคลื่อนผ่านอากาศแทบจะในทันทีแล้วปะทะบนเสาหยวนเฉิน “ปัง…” เดิมทีเสาหยวนเฉินต้นนี้ทนทานหาใดเปรียบ ยากที่จะสั่นคลอนได้ แต่ในขณะนี้ ภายใต้ลำแสงโค้งสีม่วงที่ดูเหมือนจะไม่สะดุดตานี้ กลับถูกปะทะเสียจนล้มกลิ้ง ควันหลงอันไร้รูปร่างกวาดบนร่างประมุขหยวนชู ประมุขหยวนชูสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด พร้อมกันกับที่ร่างของเขาเปลี่ยนแปรเป็นผุยผง กระจัดพลัดพรายไปกลางอากาศ


การโจมตีแค่เพียงครั้งเดียว


ค่ายกลเสาหยวนเฉินถูกทำลาย ร่างแยกของประมุขหยวนชูที่รับผิดชอบพิทักษ์เสานี้ก็สู้จนตาย!


“เฮอะ พวกวัสดุที่ใช้สร้างสิบสองเสาหยวนเฉิน ช่างมีพลานุภาพธรรมดานัก” ภายในเรือบินอลวน รูปสลักขนาดมหึมา ‘กู่กานหลัว’ นั้นมีรอยยิ้มเยาะอยู่บนใบหน้า


บัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก


บุคคลผู้น่าเกรงขามที่สร้างบัญชีหมื่นสรรพสิ่งผู้นั้นรู้ว่าระบบของตนนี้สลับซับซ้อนยิ่ง การบำเพ็ญยากเย็น ในทางตรงกันข้าม การริเริ่มเผยแพร่บัญชีหมื่นสรรพสิ่ง หากคิดอยากได้มานั้นช่างง่ายดายนัก ดังนั้นจักรพรรดิเจียวอวิ๋นแห่งจักรวาลคีรีมารจึงยกต้นฉบับให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างง่ายดายยิ่ง ถ้าหากล้ำค่ามากพอ เขาย่อมไม่มีทางยกให้แน่


แต่กู่กานหลัวย่อมคุ้นชินกับสิบสองเสาหยวนเฉินมากกว่า การอาศัยเรือบินอลวนในการทำลายนั้นจึงง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย


“เอาล่ะ ข้าทำลายสิบสองเสาหยวนเฉินเรียบร้อยแล้ว ถึงตาพวกเจ้าแล้วนะ” กู่กานหลัวมองลงไปยังเจ้าลัทธิซางตานที่อยู่เบื้องล่าง ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นหากไม่ลงมือได้ ก็จะพยายามไม่ลงมือ เพื่อสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดา เขาจึงยอมลงมือสักครั้งหนึ่ง ต่อไปหากไม่มีความจำเป็น เขาก็คร้านจะลงมืออีกต่อไปแล้ว


นัยน์ตาของเจ้าลัทธิซางตานเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่ง พลังยุทธ์ของกู่กานหลัวผู้นี้แกร่งกล้ายิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เสียอีก!


******


ทางฝั่งลัทธิจอมมารดานี้ตื่นเต้นยินดีแทบคลั่ง


ทางฝั่งผู้บำเพ็ญทั้งตกใจทั้งโมโห


“กู่กานหลัว!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเดือดดาลจนตาแทบถลน เขามองดูเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไป


“กู่กานหลัว ข้าก็กลัวอยู่ กลัวว่าเขาจะสอดมือยุ่งเกี่ยว แล้วก็ลงมือจริงๆ เสียด้วย” ประมุขเกาะกาลมิติก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้น


“สมควรตาย”


“เขาถึงกับสอดมือเข้ามายุ่ง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกใจและโมโหเช่นกัน พลังยุทธ์ที่กู่กานหลัวสำแดงนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง อาศัยเรือบินอลวนก็ถึงกับทำลายสิบสองค่ายกลเสาหยวนเฉินได้ พูดถึงพลังการโจมตีก็แข็งแกร่งกว่าลัทธิจอมมารดามากมายเหลือเกิน!


ที่น่าโมโหก็คือ… ตอนนั้นกู่กานหลัวพูดเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียนทางฝั่งพวกเขา จะช่วยเหลือพวกเขา


แล้วตอนนี้เล่า บอกว่าจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์!


“โครม”


ค่ายกลถูกทำลาย ผนึกที่ปิดล้อมที่มั่นของลัทธิจอมมารดาก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งภายในป้อมปราการทรงกลมที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นยังมีเรือรบซวีมู่อันโบร่ำโบราณลำนั้นบินออกมา ทว่า ‘เรือบินอลวน’ กลับเคลื่อนผ่านอากาศมาถึงข้างๆ เรือรบซวีมู่ ทั้งสองเคลื่อนมาเข้าใกล้กัน


“นี่คือของกำนัลส่วนแรกของพวกเรา”


“ดีมาก นี่คือค่ายกลหกแห่ง ยกให้พวกเจ้าเอาไปใช้งานชั่วคราว”


ลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวตกลงแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว


กู่กานหลัวย่อมไม่อนุญาตให้เหล่าเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ของลัทธิจอมมารดาเข้ามา ‘เจ้าลัทธิซางตาน’ ผู้นั้นให้สัตย์สาบานกับเขาเอาไว้ว่าจะเป็นข้ารับใช้ของเขา เขาจึงวางใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กับเหล่าเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ของลัทธิจอมมารดานั้น เขาไม่มีทางวางใจได้เลย


……


“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”


เรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาเคลื่อนผ่านท้องฟ้าจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเรือบินอลวนก็จากไปตามๆกัน


“ตามล่า”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ตงป๋อเสวี่ยอิง และผู้ครองชิง พวกเขาแต่ละคนต่างก็อาศัยการรับสัมผัสจากอากาศ ตามระลอกคลื่นไป


โดยเฉพาะตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีความเฉียบแหลมในการควบคุมอากาศอย่างที่สุด ตอนนี้เขาเกือบจะสามารถรับสัมผัสมิติใดๆ ก็ได้ทั่วทั้งจักรวาล มีสถานที่จำนวนน้อยนักที่เขาไม่สามารถรับสัมผัสได้ อย่างเช่นชั้นในสุดของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ! หรืออย่างเช่นสถานที่แรกเริ่มนั้นก็มิใช่สถานที่ที่เขาจะสามารถรับสัมผัสได้เลยจริงๆ


“มีกู่กานหลัวคอยช่วยเหลือพวกเรา พวกเราจะต้องติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้อย่างรวดเร็วแน่” เหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาต่างก็ลงมือกันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เคลื่อนที่ผ่านอากาศไปถึงหนึ่งในสถานที่หกแห่งของจักรวาลแล้ว เรือรบซวีมู่ก็หยุดลง เหล่าเจ้าลัทธิบินออกมาในทันใด พอโบกมือคราหนึ่งก็มีเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ชายชราผอมแห้งผู้หนึ่งเริ่มต้นปลุกกระตุ้นเจดีย์สังเวยแห่งนี้โดยการสวดพึมพำเบาๆ อยู่ที่ด้านหน้าเจดีย์สังเวย


และเจ้าลัทธิอีกสองคนด้านข้างก็หยิบเอาหนึ่งในค่ายกลหกแห่งที่กู่กานหลัวมอบให้พวกเขาออกมาแล้วเริ่มต้นติดตั้ง


ฟิ้ว…


เรือบินอลวนก็ปรากฏขึ้นยังท้องฟ้าเหนือพวกเขา คุ้มกันพวกเขาเอาไว้


“เจ้าพวกโง่เง่าพวกนี้ ก็แค่ติดตั้งค่ายกลแห่งหนึ่งเท่านั้น เร็วหน่อยเถิด” กู่กานหลัวเร่งเร้า


พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…


ณ ท้องฟ้าไกลออกไป เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ผางอี ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิง และประมุขหยวนชูนั่นเอง


“พรึ่บ…” ทันใดนั้นเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งนั้นเริ่มมีพลังอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งแผ่ออกมาตามแรงกระตุ้น แล้วส่งผ่านไปทั่วทั้งจักรวาลแทบจะในทันที ณ สถานที่หลายแห่งในจักรวาลต่างเริ่มมีเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาปรากฏขึ้น พลังอันไร้รูปร่างเริ่มส่งผลกระทบไปทั่วทั้งจักรวาล ปัง ปัง ปัง… จักรวาลต่างก็สั่นสะเทือน พลังฟ้าดินต่างก็เริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย


“แท่นบูชาจอมมารดาสร้างขึ้นจากเจดีย์สังเวยหกแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “นี่คือเจดีย์สังเวยแห่งแรก เมื่อทั้งแท่นบูชาถูกสร้างขึ้น ก็สามารถแผ่อิทธิพลไปทั่วทุกหนทุกแห่งในจักรวาล อาจเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงทั้งจักรวาลได้”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและคนอื่นๆ สีหน้าเขียวคล้ำ พวกเขาก็ได้รับระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยส่งมาก่อนหน้านี้ ก็เข้าใจในข้อมูลอยู่บ้าง


“ลงมือ!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตออกคำสั่งเสียงหนึ่ง


ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วในตอนนี้


สิ่งที่กู่กานหลัวทำลงไปทั้งหมดก็แสดงชัดแล้วว่าเขายืนอยู่ข้างลัทธิจอมมารดานั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)