Snow Eagle Lord ภาค 25 ตอนที่ 22-25

ตอนที่ 22 กระจัดพลัดพราย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในบริเวณอันกว้างขวางของจวนจ้าวตงป๋อ ตงป๋อเลี่ย ม่อหยางอวี๋ ตงป๋อชิงสือ จงหลิง ถงซานตอนนี้พวกเขาล้วนอยู่กันที่นี่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเทพมากว่าหมื่นปี ไม่มีทางเข้าสู่โลกเผ่าเซี่ยได้อีกแล้ว แยกพื้นที่ผืนเล็กๆ ออกมาจากจวนจ้าว สถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นล้วนใกล้กันเป็นอย่างยิ่ง


ฟิ้วๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวเดินมาจากกลางเวหา มาถึงที่อยู่ของบิดามารดา


“พี่ชาย พี่ใะใภ้ กำลังรอพวกท่านอยู่ทีเดียว” ตงป๋อชิงสือกำลังรออยู่ที่ปากประตู เมื่อได้เห็น แววตาก็ทอประกายวูบหนึ่งแล้วตะโกนขึ้น


“ชิงสือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม


ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาหรือน้องชาย ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่มานานเหลือเกิน แต่ทว่าความทรงจำในวัยเยาว์ยังคงกระจ่างชัดเช่นเก่า เจ้าเด็กตัวน้อยที่นอนหลับสนิทน้ำลายไหลยืดอยู่บนอกของตนผู้นั้น ความทรงจำฉากแล้วฉากเล่าที่ตนและน้องชายพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในวัยเยาว์นั้นย่อมมิอาจลืมเลือนได้ตลอดกาล


“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปแล้วโอบน้องชายคราหนึ่ง “วันนี้จะต้องดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าให้ดีๆ ล่ะ”


“จะต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านแน่นอน” ชิงสือแย้มยิ้ม ยิ้มอย่างสว่างสดใส


สองพี่น้องกอดหลังโอบไหล่กันมุ่งหน้าเข้าไปในบ้าน อวี๋จิ้งชิวที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็อมยิ้มมองดูฉากนี้ นางรู้กระจ่างดีว่าวันนี้มีความหมายเช่นไรกับสามีของตน


รอบด้านไม่มีข้ารับใช้อยู่เลย!


ถ้าหากข้ารับใช้ได้เห็นผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่กอดหลังโอบไหล่กับผู้อื่น เกรงว่าคงจะตะลึงงันเสียกระมัง


……


ภายในบ้าน


ท่านอาถงซาน ‘มนุษย์สิงโต’ ผู้มีศีรษะเป็นสิงโตขนาดมหึมา  จงหลิง ‘มนุษย์งู’ ที่แขนหกข้างมีหางงูอยู่  และม่อหยางอวี๋ผู้สง่างามเช่นเคยในอาภรณ์สีม่วงตลอดร่าง ยังมีตงป๋อเลี่ยที่หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง พวกเขากำลังสนทนากันอย่างเบิกบานใจ พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ จึงมองไปทางนอกประตู ก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงและชิงสือที่เดินเข้ามาพร้อมกัน


“ฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงมาแล้ว” ท่านอาถงพูดยิ้มๆ ด้วยเสียงอันดังกังวานยิ่ง


“กำลังรอเจ้าอยู่ทีเดียว” จงหลิงก็แย้มยิ้มเช่นกัน


“มา มา มา พวกพี่จะได้นั่งกันเสียที” ตงป๋อเลี่ยเร่งเร้า ม่อหยางอวี๋ก็เดินไปย้ายเก้าอี้


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่ง สถานที่ภายในบ้านกับบ้านบรรพบุรุษปราการเมืองศิลาหิมะคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง โต๊ะอาหารนั้นต่างก็เป็นโต๊ะยาว คนทั้งกลุ่มนั่งล้อมรอบโต๊ะยาว ยิ่งพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งทวีความกล้าแกร่ง ก็มิได้ร่วมโต๊ะกันดื่มกินมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว


“นั่งกันเถิด” ตงป๋อเลี่ยตะโกน


“เสวี่ยอิง จิ้งชิว พวกเจ้าสองคนนั่งตรงนี้สิ” ท่านแม่ม่อหยางอวี๋จัดแจงไป เร่งเร้าไป


พวกเขานั่งลงอย่างรวดเร็ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวนั่งด้วยกัน ทางด้านซ้ายมือของเขาคือท่านอาจงและท่านอาถง ส่วนฝั่งตรงข้ามของท่านอาจงและท่านอาถงก็คือตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋


ฝั่งตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิงคือชิงสือ น้องชายของเขา


ไม่มีคนนั่งเก้าอี้ประธาน!


ตามความเคยชินในอดีต โดยปกติจะเป็นท่านพ่อตงป๋อเลี่ยนั่งตรงตำแหน่งประธาน แต่คราวนี้ท่านพ่อตงป๋อเลี่ยกลับต้องการนั่งด้วยกันกับท่านแม่ ใกล้ชิดติดกัน!


“วันนี้อาหารบนโต๊ะนี้เป็นข้ากับอาอวี๋ช่วยกันทำ ดื่มกันสักจอกก่อนเถิด” ตงป๋อเลี่ยยกจอกขึ้นด้วยรอยยิ้ม


“ไม่ได้กินกับข้าวที่ท่านพ่อท่านแม่ทำเสียตั้งนาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยกจอกขึ้น


ทุกคนดื่มสุราด้วยกัน


จงหลิงดื่มสุราหมดแล้วก็วางจอกสุราลงก่อนเอ่ยว่า “ดื่มสุราที่นี่ ข้าก็นึกถึงตอนอยู่ที่ปราการเมืองศิลาหิมะ ตอนนั้นข้ากับถงซานอยู่กับเสวี่ยอิงและชิงสือ ตอนนั้นชิงสือยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ดีแต่ก่อกวน ตอนนั้นเสวี่ยอิงฝึกฝนวิชาหอกอยู่ทุกวัน…พอฝึกแล้วก็ต้องไปแช่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน”


“ทำไมต้องบอกว่าข้าดีแต่ก่อกวนด้วยเล่า” ชิงสือพึมพำ


“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ” ถงซานที่อยู่ข้างๆ เบ้ปาก “ตอนนั้นพี่ชายเจ้าเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้นทุกวัน เจ้าเข้านอนตอนกลางคึนก็ยังต้องให้พี่ชายเจ้านอนเป็นเพื่อน ยังโชคดีที่เสวี่ยอิงอารมณ์ดี ถ้าหากอยู่ที่เผ่ามนุษย์สิงโตของข้าล่ะก็ จะต้องจับเจ้าโยนไปอีกทางแน่”


ชิงสือเองก็หัวเราะ


“ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเสวี่ยอิงสามารถเป็นขั้นเหนือธรรมดาได้ก็น่าอัศจรรย์แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยิ่งเหนือจินตนาการของข้าไปอีก” จงหลิงพูด “ตอนนั้นเทพทิพย์และเทพจอมมารที่ทำให้พวกเราโลกเผ่าเซี่ยเผชิญกับมหาภัยพิบัติต่างก็เอาชีวิตไปทิ้ง ตอนนี้เสวี่ยอิงยิ่งกลายเป็นหนึ่งในบุคคลระดับสุดยอดของโลกเทพหุบเหวลึก จัดอันดับอยู่ในบรรดาผู้ปกครอง”


คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้า


ยามเฉียดใกล้ความตาย พวกเขาก็อดที่จะรำลึกถึงความหลังในชั่วชีวิตนี้ไม่ได้ ในอดีตพวกเขาคิดถึงการเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้ดูแล้วไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย เทพจอมมารถูกจัดการไปนานแล้ว ต่อให้เป็น ‘เทพทิพย์’ ผู้เป็นเจ้าแดนแห่งโลกวัตถุ บำเพ็ญจนกลายเป็นเทพโลกาสวรรค์สองชั้น หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นผู้ปกครองแล้วก็สามารถบั่นคอสังหารเขาผ่านเหตุปัจจัยได้อย่างง่ายดาย!


“การบำเพ็ญนั้นจะว่ายากก็ยาก” ตงป๋อเลี่ยพูด “ตอนนั้นข้าถูกเสวี่ยอิงชักนำมาถึงโลกภูผาศิลาแดงได้รับการชี้แนะที่ดีที่สุดจึงกลายเป็นเหนือธรรมดา หลังจากนั้นก็ชักนำให้จุติใหม่ผ่านมามากมายหลายครั้ง สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลต่างถูกนำมาใช้กับข้า จึงก้าวเข้าสู่ชั้นวิญญาณเทพได้อย่างยากเย็นหาใดเปรียบ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา… ความหวังแม้แต่น้อยกับเทพโลกาก็ไม่มี การบำเพ็ญช่างยากเย็นเสียจริง”


“ถ้าหากไม่มีเสวี่ยอิง เจ้าคงไม่ได้เป็นแม้แต่เหนือธรรมดาแล้ว” แล้วม่อหยางอวี๋ก็พูดว่า “ที่โลกภูผาศิลาแดง หลายครั้งที่เจ้าเผชิญปัญหาก็ร้องเรียกให้บุตรชายช่วย ข้าคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน”


“นี่มีอันใดน่าขายหน้ากันเล่า ข้าเผชิญปัญหาแล้วเรียกให้เสวี่ยอิงลงมือ มันผิดตรงไหนกัน” ตงป๋อเลี่ยถลึงตา


“มา มา มา เสวี่ยอิง พวกเรามาดื่มสุรากัน” ท่านอาถงซานกลับหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มกับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาส่ายศีรษะราชสีห์อย่างลำพองใจอยู่บ้าง “เจ้าทำให้ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาได้ ทั้งยังสามารถอยู่มาได้เป็นพันล้านปีอีกด้วย ฮ่าฮ่า เจ้าช่วยข้าคนหนึ่ง แต่ข้าก็สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์สิงโตเผ่าหนึ่งขึ้นมาได้เลยทีเดียวนะ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หัวเราะเช่นกัน “เป็นความร้ายกาจของตัวท่านอาถงเองนั่นแหละ จึงได้มีลูกหลานมากมายถึงเพียงนั้น”


เผ่ามนุษย์สิงโตเจริญพันธุ์เกินไป เพราะถงซานเพียงคนเดียว เผ่ามนุษย์สิงโต…ก็ขยายเผ่าพันธุ์เสียแล้ว! กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ เข้าไปในดาวเคราะห์หลายดวงในโลกเทพได้


……


ทุกคนล้วนกำลังสนทนากัน ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวกลับรับฟังมากกว่า นานๆ ทีจึงจะพูดสักสองสามประโยค


อาหารมื้อนี้กินเวลาเนิ่นนาน ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ดื่มสุราไปมากพอดู บนพื้นข้างๆ ห้องอาหารก็มีโอ่งสุราอยู่มากมายก่ายกอง


“ไม่ได้ดื่มอย่างมีความสุขเช่นนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว นอกจากนี้ยังได้พี่น้องชายหญิงที่แสนดีมาอยู่เป็นเพื่อนข้า แล้วยังมีเสวี่ยอิง ชิงสือ กับจิ้งชิวด้วย” จงหลิงยิ้มพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ชีวิตนี้ของข้า จงหลิง คุ้มค่าแล้ว คุ้มค่าแล้วจริงๆ! พี่ชาย…ข้ารับไม่ไหวอีกแล้ว ขอไปก่อนเป็นคนแรกล่ะนะ” หลังจากเสียงหัวเราะ ร่างของจงหลิงก็เริ่มเลือนรางหายไป พลังเทพทุกสายบนร่างก็เริ่มสลายมลายไป ฟิ้ว… ก็กระจายหายไปโดยสมบูรณ์เช่นนี้เอง


“รอข้าด้วยสิ” ถงซานก็ตะโกนขึ้น


“ควรจะไปได้แล้ว” ม่อหยางอวี๋ก็วางจอกสุราลง


“อาอวี๋” ตงป๋อเลี่ยมองภรรยาที่อยู่ข้างกาย “ชั่วชีวิตนี้ ข้าช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า”


“ข้าก็เช่นกัน” ม่อหยางอวี๋แย้มยิ้มน้อยๆ นัยน์ตามีความรักอย่างเปี่ยมล้น


ตงป๋อชิงสือที่นั่งอยู่ตรงนั้นแย้มยิ้มขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาถง ไปด้วยกันเถิด บนเส้นทางจะได้มีชีวิตชีวา ท่านพี่ พวกเราไปแล้วนะ อย่าเศร้าใจไปล่ะ พวกเราต่างก็เบิกบานใจกันมากจริงๆ”


ซ่าๆๆ…


ร่างกายอันเมามายของถงซานเริ่มสลาย ตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋กุมมือของกันและกัน มองประสานสายตากัน ส่วนตงป๋อชิงสือก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ


พวกเขามิได้ต่อต้านการสลายของดวงวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ปล่อยให้มันเริ่มสลายไป พลังเทพทุกๆ สายต่างก็แหลกสลาย พวกเขาแต่ละคนต่างก็กำลังเลือนหาย กระจัดพลัดพรายไปกลางอากาศ


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ถือจอกสุราอยู่มองดูอย่างเงียบๆ…


เจ้าหินน้อย…


ท่านพ่อ ท่านแม่…


ท่านอาจง ท่านอาถง…


ทุกคนล้วนไปแล้ว! ไปกันหมดแล้ว!


นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายน้ำตาพร่างพราย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว


ภายในบ้านที่เดิมทีคึกคักหาใดเปรียบ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างยิ่ง บนโต๊ะยาวที่เดิมทีล้อมรอบไปด้วยกลุ่มคน คอนนี้เหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและภรรยานั่งอยู่ข้างกัน ที่นั่งตำแหน่งอื่นๆ ต่างก็ว่างเปล่า


อวี๋จิ้งชิวคิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ


เงียบสงัด


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งเงียบงันอยู่ตรงนั้นอย่างเนิ่นนาน เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ห้วงสมองคล้ายจะมืดบอด ว่างเปล่าไปเสียแล้ว


ทันใดนั้น


ความเจ็บปวดสายแล้วสายเล่าก็แผ่กวาดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย กวาดไปถึงดวงวิญญาณ ทำให้ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงยากที่จะรับได้ไหว ทันใดนั้นเองมือข้างหนึ่งจากด้านข้างก็กุมมือของเขาเอาไว้ จับเอาไว้แน่น ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง ก็เห็นอวี๋จิ้งชิวภรรยาที่อยู่ด้านข้างกำลังมองเขาอย่างกังวลใจ


“เจ้ายังมีพวกเราอยู่นะ” อวี๋จิ้งชิวมองเขา


…………………………………….




ตอนที่ 23 ตัดสินใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กุมมือภรรยา ใช่แล้ว ตนยังมีพวกเขาอยู่


แต่ชาติก่อนภรรยาก็บำเพ็ญมาเป็นเวลายาวนานยิ่ง ทั้งยังบำเพ็ญไปกว่าสองร้อยล้านปีที่จักรวาลคีรีมาร แต่ก็ยังติดอยู่ที่ขั้นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นมาโดยตลอด ไม่มีทางบรรลุได้! ถ้าหากไม่บรรลุก็จะทำให้วิญญาณแตกสลายสิ้นชีพได้


……


ในปีต่อมา ร่างแยกอาภรณ์สีดำของตงป๋อเสวี่ยอิง บำเพ็ญอยู่ในสถานที่แรกเริ่มโดยตลอด ส่วนร่างจริงของเขาก็คอยคิดหาวิธีช่วยเหลือภรรยาและบุตร ตำราการบำเพ็ญอันหาได้ยากจำนวนหนึ่ง วัตถุวิเศษจักรวาลที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ กระทั่งแอบจัดการอย่างลับๆ ตอนที่ภรรยาและบุตรไปเที่ยวเล่นที่โบราณสถาน เขาก็แอบชี้แนะอย่างลับๆ


กาลเวลาหมุนผ่านไป


เพียงพริบตาตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นผู้ปกครองมาพันล้านปีแล้ว ในจักรวาลผู้บำเพ็ญ สถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ในลำดับรายนามเทพมารจักรวาลที่ประมุขหยวนชูเขียนขึ้นในตอนนี้ อันดับหนึ่งคือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต อันดับที่สองกลับกลายเป็นจ้าวตงป๋อ ส่วนอันดับสามคือผู้ปกครองนรกโลกันตร์ และอันดับสี่คือผู้ครองชิง…


“ฮ่าฮ่าฮ่า เสวี่ยอิง คิดจะทำร้ายข้าด้วยเคล็ดวิชานี้น่ะหรือ” บนผืนฟ้าที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาว เงาร่างสองสายกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ห่างๆ


ท่านหนึ่งคือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตในอาภรณ์สีแดงหม่น ส่วนอีกหนึ่งนั้นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว


แผ่นดินแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทำให้กลายเป็นแดนบำเพ็ญอันธรรมดาๆ ด้วยมือตน ตอนนี้เมื่อมองไปทั่วทั้งจักรวาลก็มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่สามารถประมือกับเขาได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พวกเขาทั้งสองก็ต้องควบคุมพละกำลัง พวกเขาต่างก็สำแดงเพียงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เปรียบเทียบกันแค่เคล็ดวิชาส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่กล้าลงมืออย่างสุดแรงจริงๆ


วิชาลับผู้ท่องได้ยกระดับมาถึงขั้นที่ยี่สิบแล้ว พลังเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าไปสำแดงในจักรวาลตามอำเภอใจ


เดิมทีจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็น่าอัศจรรย์อยู่แล้ว หลังจากเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศมาหลายปี พลังยุทธ์ก็ยิ่งลึกล้ำยากหยั่งถึง


“ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งได้ใจไป คราวก่อนไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่ถูกข้าเตะเสียจนตีลังกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเย้าแหย่ พวกเขาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เปรียบเทียบเคล็ดวิชา เพราะมีศาสตร์ลับระดับอลหม่านสามศาสตร์ ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร และคัมภีร์รัศมีเทพ บวกกับตอนอยู่ที่บรรพคีรีมารก็เคยอ่านคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากมายที่บรรพชนผู้นั้นทิ้งเอาไว้ เคล็ดวิชาการต่อสู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงลึกลับร้ายกาจอย่างที่สุด


คราวก่อนก็เพราะอาศัยเขตลวงและสามพันร่างแปร ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพลาดท่า!


แน่นอนว่าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนั้นถูกห้ามมิให้ใช้ค่ายกลทั้งหมด! อนุญาตให้สำแดงได้เพียงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ดังนั้นจึงพลาดท่าได้


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลับมิได้แยแส “นั่นเป็นความประมาทของข้าเอง”


“เช่นนั้นท่านก็รับมือศิษย์อีกสักกระบวนท่าหนึ่งเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “นี่คือปรัชญาคลื่นลมบทที่แปดที่ศิษย์สร้างขึ้นใหม่”


“หืม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสายตาทอประกายวูบหนึ่ง


“รับกระบวนท่าด้วย”


ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงพร่าเลือนในทันใด เพียงแค่ตำแหน่งนั้นพร่าเลือน เงาร่างสายหนึ่งก็มาถึงตรงหน้าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแล้ว มิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันใด สายลมที่อยู่รอบๆ ก็ยังคงพัดโชยเช่นเดิม กิ่งไม้ใบหญ้าก็มิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพุ่งทะยานออกมาด้วยความเร็วที่ทำให้เหล่าผู้ปกครองต้องจนคำพูด จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจแล้วกำลังจะลงมือ แต่ในขณะที่เขากำลังจะลงมือนั้นเอง เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเลือนหายไปเสียแล้ว ทิ้งรอยทางเคลื่อนอันรางเลือนเอาไว้กลางอากาศสายหนึ่งก็ไปถึงยังจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป


“ช่างรวดเร็วเหลือเกิน” เมื่อจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้เห็นก็ลอบตกตะลึง บริเวณของกฎเกณฑ์ของเขาแกร่งกล้าเพียงใด สามารถตัดสินได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้อาศัยความเร็วจากพละกำลังของร่างกาย หากแต่อาศัยความเร้นลับของกฎเกณฑ์ล้วนๆ ถึงได้รวดเร็วเช่นนี้


ทันใดนั้น


ณ บริเวณที่ไกลออกไปอีกแห่งหนึ่งก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้น


พร้อมกันนั้นทางด้านหลังของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้น ตอนนี้มีทั้งสิ้นสามคนแล้ว


ร่างของพวกเขากะพริบคราหนึ่งแล้วก็บุกล้อมเข้าไปหาจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ในมือของทั้งสามคนต่างก็มีหอกยาวเล่มหนึ่ง หอกยาวก็เหมือนกับเคล็ดวิชาของร่างกาย ที่ดูเหมือนจะเจาะทะลุผ่านได้ง่าย แต่เพียงแค่ทิ้งรอยทางเคลื่อนอันรางเลือนเอาไว้ ก็ไปถึงตรงหน้าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแล้ว


“ตึงๆๆ” สองมือของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต้านทานเอาไว้พร้อมกัน “เหตุใดเจ้าเด็กผู้นี้จึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ ออกจะเกินต้านรับไปบ้างแล้ว เดิมทีคิดจะใช้เคล็ดวิชาที่เรียนรู้มาใหม่ทำให้เขาพรั่นพรึง แต่กลับถูกเขาบีบเสียจนต้องสำแดงออกมาก่อน”


“ปัง…”


ใบมีดสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนบนร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบินออกมา ทำลายล้างรอบด้านในทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกใจจนถอยกรูด


เห็นเพียงใบมีดสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนกวาดทำลายไปทั่วทิศ ห้อมล้อมจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอาไว้ ก่อตัวเป็นทรงกลมขนาดมหึมาอย่างเป็นธรรมชาติ ความรู้สึกที่คล้ายกับส่งมาจากดวงอาทิตย์ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันอยู่บ้าง


“เป็นอย่างไรบ้าง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ


“คราวก่อนท่านอาจารย์มิได้สำแดงนี่นา” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง


“คราวก่อนวิถีคมมีดโลหิตของข้าเพิ่งถึงขั้นก่อกำเนิดในอากาศเท่านั้น ยังรวบรวมไม่เสร็จ ตอนนี้บำเพ็ญผ่านวันเวลามาช่วงหนึ่ง ก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด เขาเองก็มีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ไม่ใช้ค่ายกล พลังเทพอากาศ หรือพละกำลังร่างกาย… แข่งขันกันที่ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เขาก็เกือบจะพ่ายแพ้เสียแล้ว ศิษย์ผู้นี้ของตนช่างล้ำเลิศเสียจริง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบถอนใจ เทพอากาศก็คือเทพอากาศ ไม่พึ่งวิชาลับผู้ท่อง คิดจะเอาชนะก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว! ตนเองมีศาสตร์ลับระดับอลหม่านสามศาสตร์ พลังยุทธ์ที่สำแดงออกมาก็ย่อมเหนือกว่าผู้ปกครองโดยทั่วไปมากมาย แต่ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี


แต่เขาก็ยังนึกสงสัยว่าถ้าหากตนทุ่มเทสุดพลังจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะกดดันท่านอาจารย์ได้ถึงระดับใด ที่สุดแล้วตอนนี้สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของตนก็ยังคงเป็นวิชาลับผู้ท่อง แต่ว่าสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านอาจารย์ยังเป็นระบบ ‘ทิพย์’ อีกทั้งเมื่อกระตุ้นด้วยพลังของเทพอากาศแล้วก็จะยิ่งล้ำเลิศ


“ท่านอาจารย์พ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากขอความกรุณาจากท่านอาจารย์”


“ฮ่าฮ่า ตอนนี้นอกจากข้าแล้ว ผู้อื่นในจักรวาลล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้ายังมีเรื่องต้องขอความกรุณาจากข้าอีกหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “พูดมาเถิด”


“หวังว่าท่านอาจารย์จะช่วยปกป้องดูแลคนใกล้ชิดของข้าด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ให้ข้าช่วยปกป้องดูแลคนใกล้ชิดหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสงสัย “แล้วตัวเจ้าเองเล่า” ศิษย์ผู้นี้ของตนเป็นผู้ปกครอง แต่ก็มีร่างแยกถึงสามร่าง


“ข้าเตรียมตัวจะไปจากจักรวาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านพ่ะย่ะค่ะ”


“เข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกตะลึง “มิได้สำเร็จเป็นเทพอากาศ แล้วเจ้าจะเข้าไปได้อย่างไรกัน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ข้ามีวิธี กู่กานหลัว อาศัยเรือบินอลวนเข้าไปยังอากาศอันสับสนอลหม่าน ข้าก็มีวิธีของข้าเองเช่นกัน”


เขาคิดเอาไว้เนิ่นนานแล้ว


การจากไปของท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาจง ท่านอาถง รวมถึงน้องชาย กระตุ้นเขาอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคนใกล้ชิดของตน! พันล้านปีมานี้ เขาก็คอยช่วยเหลือภรรยา จิ้งชิว และบุตร คิดอยากให้พวกเขาบรรลุให้ได้ แต่ทว่า ‘การบรรลุ’ นั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำได้ก็มีเพียงพลังภายนอก สุดท้ายแล้วการบรรลุนั้นก็ยังต้องอาศัยตนเองอยู่ดี


พันล้านปีผ่านไป ภรรยาจิ้งชิวก็ยังไม่บรรลุ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวเหลือเกิน กลัวว่าวันนั้นก็จะมาถึงเช่นกัน


เขาไม่มีทางทนรับผลเช่นนั้นได้ไหว


การบำเพ็ญ…


เพื่ออะไรกัน


ความกล้าแกร่งหรือ ไร้ซึ่งศัตรูอย่างนั้นหรือ


เริ่มตั้งแต่วัยเยาว์ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญก็เพื่อคนในครอบครัว ถ้าหากคนใกล้ชิดไม่อยู่กันหมดแล้ว บำเพ็ญจนแข็งแกร่งกว่านี้แล้วจะมีความหมายอันใดกัน มีชีวิตอยู่ไปก็เป็นเพียงแค่ซากศพเดินได้เท่านั้น


บางทีเหล่าผู้ปกครองและเหล่าผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ก็อาจเคยมีความโศกศัลย์ที่เสียคนใกล้ชิดไปมาก่อนเช่นกัน แต่วันเวลาอันยาวนานก็ทำให้ผู้แกร่งกล้าเหล่านี้ค่อยๆ กำหนดจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำไม่ได้ บางทีอาจมีวันนั้นจริงๆ ตามกาลเวลาที่ผันผ่านไป เขาอาจสามารถตั้งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญ แล้วปล่อยให้ตนเองลืมเลือนไปได้เช่นเดียวกัน


แต่วิถีทางเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่เขาต้องการ


รั้งอยู่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญ ไร้ซึ่งภยันตรายและความทุกข์ยาก ไม่มีโอกาสอันยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้แกร่งกล้ามากมาย ความคืบหน้าของตนก็จะเชื่องช้ายิ่ง มีเพียงการเดินออกไปสู่ฟ้าดินอันกว้างใหญ่กว่าเท่านั้น! ตนเองจึงจะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น! นอกจากนี้ก็ยังมีความหวังที่จะได้รับวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ และวัตถุภายนอกที่จะช่วยเหลือในการบำเพ็ญมากขึ้น ทำให้ความหวังที่พวกจิ้งชิวจะบรรลุมีหวังเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก


“เจ้าจะออกไปจริงๆ น่ะหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถาม


“พ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“ไปไหนหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยถาม


“โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ยังคิดที่จะกลับมาอีกหรือไม่” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถาม เขากับตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เหมือนกัน ระบบ ‘ทิพย์’ นี้ ค้นคว้าทุกสรรพสิ่ง ก็คือการก้มหน้าก้มตาค้นคว้าและเคี่ยวกรำ เขาก็ไม่ได้เร่งร้อนและค่อยๆบำเพ็ญอย่างอดทนยิ่ง จนกว่ายุคจักรวาลจะสิ้นสุดแล้วจึงค่อยจากไป! นอกจากนี้เขาก็จะนำพาคนในเผ่าจากไปด้วยกัน ก็ไม่สามารถนึกอยากไปก็ไปได้


“ข้าจะกลับมาก่อนจุดสิ้นยุคจักรวาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ยุคจักรวาลนี้ ตามการรับสัมผัสของข้าควรจะยังมีอีกราวๆ หนึ่งล้านสามแสนหกหมื่นล้านปี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด


“ข้าจะกลับมาภายในหนึ่งล้านล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


หนึ่งล้านล้านปี


ช่างเป็นเวลาที่เนิ่นนานนัก


ก็มีเพียงระยะเวลาที่เนิ่นนานมากพอ จึงจะทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งมีความมั่นใจว่าจะทำได้ หาสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้คนในครอบครัวยิ่งมีความหวังที่จะบรรลุได้พบ! สำหรับอายุขัยของคนในครอบครัวน่ะหรือ ในช่วงที่ไร้ซึ่งความหวังในการบรรลุ สามารถเข้าไปผ่านวันคืนภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ได้


ภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์มีการรักษาสภาวะในการเคลื่อนของเวลาให้เนิ่นช้าเป็นที่สุด ช้าจนถึงหนึ่งในหมื่นนั้นไม่ยากเลย พลังงานที่เผาผลาญไป สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจนับเป็นอะไรได้


ภรรยาและบุตรอยู่กันภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ผ่านไปพันล้านปี เกรงว่าโลกภายนอกจะผ่านไปสิบล้านล้านปีแล้ว


ถึงเวลาที่ตนกลับมา เกรงว่าสถานการณ์จะไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว และไม่เหมือนเช่นตอนนี้… มองดูพวกเขาค่อยๆ เข้าใกล้ความตายทีละน้อยอย่างไร้ซึ่งกำลัง!


“เจ้าเพิ่งเป็นผู้ปกครอง ก็จะไปจากจักรวาลแล้วหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตส่ายหน้า “ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นอันตรายยิ่งนัก”


“ข้าเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ผู้สืบเชื้อสายผู้ท่องอากาศเคยบอกเล่าข้อมูลของโลกภายนอกกับเขามาก่อนแล้ว


“ที่แท้เพราะเหตุใดกันแน่ เพราะเหตุใดจึงไม่บำเพ็ญอยู่ภายในจักรวาลจนถึงจุดสิ้นยุคจักรวาลเล่า ด้วยความรู้ความสามารถของเจ้า เกรงว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจะไม่น้อยไปกว่าจอมมารเลย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “ออกไปในเวลานั้น ผู้ที่สามารถคุกคามเจ้าได้ก็มีน้อยมากแล้ว”


“เพื่อคนในครอบครัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตะลึงงัน


คนในครอบครัวอย่างนั้นหรือ


เงาร่างสายนั้นในความทรงจำส่วนลึกของเขาอดที่จะปรากฏขึ้นมิได้ เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว! ตอนนั้นก็เพราะความรู้สึกระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและภรรยากระตุ้นความรู้สึกของเขา เขาจึงมีข้อยกเว้น ยอมรับลูกศิษย์


“ข้าเข้าใจแล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า ตอนนั้นเขาคิดหาทุกวิถีทางก็เพียงเพื่อทำให้ภรรยาได้เป็นเทพโลกาสวรรค์หนึ่งชั้น ในที่สุดภรรยาก็ยังวิญญาณดับสูญสิ้นชีพไป ถ้าหาก ถ้าหากภรรยาสามารถเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นได้ บางทีเขาก็อาจจะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ภรรยาบรรลุได้โดยไม่แยแสสิ่งใด


เขาเข้าใจความคิดภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิง ดังนั้นจึงมิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด


……………………………………………….




ตอนที่ 24 บั่นคอสังหารเทพอากาศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในกระท่อมฟางของสถานที่แรกเริ่ม ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีม่วงตลอดร่างเบิกตากว้าง หมื่นล้านปีมานี้ เขาอยู่เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญที่นี่มาโดยตลอด มองรอบด้านซ้ายขวา การบำเพ็ญอันยาวนานทำให้เขามีความคุ้นเคยกับด้านในกระท่อมฟางแห่งนี้อย่างหาใดเปรียบ เขาส่ายหัวเบาๆ พลางแย้มยิ้ม “ควรจะไปได้แล้ว”


เขาลุกขึ้นเดินไปถึงปากประตูแล้วผลักประตูไม้เปิดออก ก็เห็นชายชราผมขาวด้านนอกกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ ตนเองบำเพ็ญอย่างเนิ่นนานเพียงใด ชายชราผมขาวผู้นี้ก็นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูเนิ่นนานเพียงนั้น


“ผู้อาวุโส” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเรียก


“ตงป๋อเสวี่ยอิง เหตุใดเจ้าจึงออกมาแล้วเล่า” ชายชราผมขาวแปลกใจอยู่บ้าง


“ข้าจะเตรียมตัวเข้าสู่การทดสอบของระดับผู้ปกครอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ก่อนจะไปจากจักรวาลก็เข้าร่วมการทดสอบสุดท้ายสักครั้งหนึ่งเถิด ถ้าหากสามารถผ่านการทดสอบได้ บางทีในบรรดาของกำนัลที่บรรพชนเทียนอวี๋ทิ้งเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังก็อาจมีสิ่งที่ทำให้ตนตื่นเต้นยินดีได้บ้าง หรือแม้กระทั่งอาจมีสิ่งที่สามารถช่วยเหลือภรรยาและบุตรชายบุตรสาวได้ก็ยังไม่แน่


ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างตกตะลึง “เจ้าจะเข้าสู่การทดสอบของระดับผู้ปกครองในตอนนี้เลยหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิง ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยว่าในการทดสอบของสถานที่แรกเริ่มนั้น ระดับผู้ปกครองคือการทดสอบขั้นสุดท้าย ทั้งยังยากเย็นที่สุดด้วย พอผ่านแล้ว ก็จะได้เป็นศิษย์อาภรณ์ทองที่หัวแก้วหัวแหวนที่สุดอย่างแท้จริงแห่งวังทวีสูญ วังทวีสูญก็จะบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วระดับความยากของการทดสอบนั้นยากเย็นเป็นที่สุด ที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา จำนวนของศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญจำกัดเอาไว้เพียงสิบคนเท่านั้น! ในทุกๆ มหาสงคราม ศิษย์อาภรณ์ม่วงจำนวนมากมายล้วนสามารถเปิดฉากการท้าทายได้ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสิบคนเท่านั้นจึงจะได้เป็นศิษย์อาภรณ์ทองหัวแก้วหัวแหวน ศิษย์อาภรณ์ทองทุกๆ คน ต่างก็สามารถเป็นผู้ปกครองที่ข้ามขั้นไปบั่นคอสังหารเทพอากาศได้”


“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง


ผู้ปกครองข้ามขั้นบั่นคอสังหารเทพอากาศอย่างนั้นหรือ


ต้องรู้เอาไว้ว่าจากขั้นเทพแท้ไปถึงขั้นเทพอากาศนั้นเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สุด ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความมั่นใจในตนเองสูง กระทั่งฝึกระบบผู้ท่องอากาศควบคู่ไปด้วย ผู้ท่องอากาศก็ยังเป็นระบบที่มีข้อได้เปรียบในช่วงแรกมากยิ่งนัก เขาก็เพียงแค่คิดว่า… ตนเองคงมีหวังที่จะเทียบเคียงได้กับเทพอากาศที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่! ไม่กล้าคิดถึงการที่ผู้ปกครองจะไปบั่นคอสังหารเทพอากาศเลย!


“วังทวีสูญ มีผู้ปกครองธรรมดาๆ อยู่มากมาย ศิษย์อาภรณ์ม่วงมากกว่าร้อยคน ส่วนศิษย์อาภรณ์ทองนั้นถูกกำหนดเอาไว้เพียงสิบคน! ต่อให้เกิดผู้ปกครองที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็จะเป็นสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดไป” ชายชราผมขาวพูด “เพราะเจ้าถือกำเนิดภายในจักรวาล ผ่านการทดสอบของสถานที่แรกเริ่ม ถ้าหากผ่านกลายเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง เช่นนั้นก็สามารถเสพสุขกับคุณประโยชน์ต่างๆ ของศิษย์อาภรณ์ทองไปได้ชั่วคราวก่อน แต่ภายหลังจากที่เจ้าไปถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้ว ทุกๆ พันล้านปีจะมีการแข่งขันภายในครั้งหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ ถ้าหากเข้าไปเป็นสิบอันดับแรกมิได้ เจ้าก็จะถูกลดขั้นกลายเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ


“ยังมีอีก เพราะว่าที่นี่มิใช่วังทวีสูญ ดังนั้นต่อให้เจ้าได้เป็นศิษย์อาภรณ์ทอง คุณประโยชน์ที่เจ้าจะเสพสุขได้ก็มีเพียงส่วนของศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญเท่านั้น” ชายชราผมขาวพูด “แน่นอนว่าเมื่อเจ้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็จะสามารถเสพสุขกับคุณประโยชน์เหล่านั้นได้แล้ว”


“หนึ่ง ภายในจักรวาล ทรัพยากรในการบำเพ็ญมิอาจเทียบกับโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราได้ สอง เมื่อเทียบกันแล้วคุณประโยชน์ที่ได้รับก็ค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นระดับความยากของการทดสอบก็จะต่ำกว่าทางฝั่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ทางฝั่งนั้นเป็นการแข่งขันระหว่างศิษย์ ทว่าที่สถานที่แรกเริ่มกลับกำหนดคู่ต่อสู้ที่แน่นอนคนหนึ่งเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เจ้าเพียงแค่สังหารมันได้ เจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแล้ว”


“สังหารมัน มันคือผู้ใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม


“เทพอากาศ เทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอ” ชายชราผมขาวพูด “บรรดาศิษย์อาภรณ์ทองของโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราต่างก็สามารถบั่นคอสังหารเทพอากาศธรรมดาๆ ได้ เทพอากาศที่อ่อนแออย่างที่สุดพรรค์นี้…อยากจะบั่นคอสังหาร ระดับความยากช่างต่ำต้อยนัก”


“แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเทพอากาศ ข้าแนะนำให้เจ้าฝึกฝนบำเพ็ญอีก ระยะเวลาที่เจ้าบำเพ็ญมานั้นยังสั้นเกินไป” ชายชราผมขาวเอ่ยเตือน


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ


บั่นคอสังหารเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ ทั้งยังลดระดับความยากลงมาแล้วอีกด้วยหรือ


รู้สึกว่าศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘กู่กานหลัว’ ผู้นั้นมากมายนัก กู่กานหลัวก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เรียกกันว่าบุตรทิพย์ใต้ที่นั่งของบรรพชนกู่ ผู้แกร่งกล้าที่เจิดจรัสที่สุดในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์…ช่างน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง


“ข้ายังต้องลองดูก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ลองดูอย่างนั้นหรือ เจ้ามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากล้มเหลวเจ้าก็จะถูกขับไล่ออกไปแล้ว” ชายชราผมขาวโน้มน้าวอีกครั้ง


“ไม่ต้องพูดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า


ไม่ว่าจะสำเร็จหรือว่าล้มเหลว หลังจากการต่อสู้ ตนก็จะไปจากจักรวาลแห่งนี้แล้ว


ชายชราผมขาวเห็นว่าการโน้มน้าวไม่เป็นผลก็ได้แต่จนใจ “ก็ได้ๆ ข้าจะพาเจ้าไป เจ้านี่ช่างมั่นใจในตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ”


……


ภายใต้การนำทางของชายชราผมขาว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปสู่มิติอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในมิติล้วนเป็นพื้นดินสีดำทั้งหมด


“ท่านบรรพชนได้หลอมหุ่นเชิดเทพอากาศออกมาตนหนึ่ง” ชายชราผมขาวพูด “หลอมเลียนแบบเทพอากาศตัวจริงอย่างสมบูรณ์ หลังจากถูกสังหารแล้วมันก็จะเข้าสู่การบ่มเพาะในครรภ์ หลังผ่านไปสามวันก็จะมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งจากการบ่มเพาะในครรภ์ แน่นอนว่าเจ้าแค่สังหารมันก็ใช้ได้แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เรียกว่า ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ต้องระวังสักหน่อยนะ อย่าเพิ่งตกม้าตายพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มสู้ ข้ายังคาดหวังให้มีศิษย์อาภรณ์ทองคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นสะท้าน ร้อยกัณฐ์คำรนหรือ ข้อมูลมหาศาลที่สืบทอดกันมาของผู้ท่องอากาศก็มีบันทึกเอาไว้


“เช่นนั้นข้าจะปล่อยมันออกมาล่ะนะ” ชายชราผมขาวพูด เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่เขามีต่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้นมาก


พื้นดินสีดำเริ่มสั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งเริ่มคืบคลานออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ขนาดร่างกายมโหฬารเกินธรรมดาโดยกำเนิด มันมีรยางค์งดงามหลากสีสัน รยางค์อันแน่นขนัดทุกเส้นล้วนยาวเหลือแสน ที่บริเวณกึ่งกลางร่างกายกลับมีศีรษะอันมหึมาอยู่มากมาย ทุกๆ ศีรษะล้วนมีเขาอันหนึ่ง ตาข้างหนึ่ง และปากกระหายเลือดขนาดใหญ่อันหนึ่งอยู่


“โฮก…”


หัวทั้งร้อยหัวส่งเสียงคำรามออกมาในเวลาเดียวกัน อากาศโดยรอบต่างก็แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ในทันใด บริเวณไกลออกไปมีคลื่นสั่นสะเทือนจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นและกวาดมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง


มันชอบส่งเสียงคำราม แต่พลังคุกคามของคลื่นที่เสียงคำรามก่อขึ้นนั้นกลับมิได้ใหญ่สักเท่าใด ผู้ปกครองโดยทั่วไปที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแออาจรับไม่ไหวจนตัวตาย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยกระดับวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่ยี่สิบแล้วกลับมิได้เห็นอยู่ในสายตาเลย เขาเข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของ ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ นี้ยังมิได้ถูกสำแดงออกมา


หลังจากส่งเสียงคำรามแล้ว


ร้อยกัณฐ์คำรนดูเหมือนจะสบายขึ้นมาก หัวที่มีอยู่ทั้งหมดของมันมองไปยังทิศทางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ ตาเดียวทุกข้างล้วนจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง การโจมตีของวิญญาณอันไร้รูปร่างก็กดดันเข้ามา แต่ไม่ว่าในดวงวิญญาณจะมีการถ่ายทอดวิชาลับผู้ท่องอันสมบูรณ์ หรือว่าจะบำเพ็ญคัมภีร์รัศมีเทพ ล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เห็นการโจมตีของดวงวิญญาณนี้อยู่ในสายตาเลย


ตาเดียวจ้องมองการโจมตีของดวงวิญญาณที่สร้างขึ้น เพียงแค่ชั้น ‘เทพอากาศ’ สิ่งมีชีวิตที่มีลำดับขั้นชีวิตสูงกว่า ย่อมทำให้เกิดการโจมตีชนิดหนึ่ง มิใช่วิธีการที่แท้จริงของมัน


“ปัง…”


ทั่วทั้งผืนฟ้าพลันมืดลง หัวกว่าร้อยหัวของร้อยกัณฐ์คำรนอ้าปากใหญ่อันกระหายเลือดพร้อมกัน ปากใหญ่ทุกอันต่างก็พ่นไอหมอกสีดำออกมา


ไอหมอกสีดำพลันเริ่มรวมตัวกันกลางท้องฟ้าอันมืดดำ


“ถึงแม้ว่าจะอ้างอิงจากข้อมูลข่าวสารที่ผู้ท่องอากาศถ่ายทอดกันมา ควรจะดึงดูดให้มันพ่นหมอกพิษออกมามากกว่านี้ ทำให้มันอ่อนแอลงสักหน่อย แต่ลองดูก่อน ดูว่าสามารถบั่นคอสังหารมันโดยตรงได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่าศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญต่างก็สามารถข้ามขั้นบั่นคอสังหารเทพอากาศได้ ในใจก็ยิ่งมีจิตคิดต่อสู้ ผู้อื่นทำได้ ตนก็ควรจะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน!


ฟึ่บ


ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ม่วงยืนอยู่ที่เดิมเหมือนเก่า ในขณะนี้เขากลับเป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น ร่างจริงได้เข้าสู่ฟ้าดินโลกเทียมอย่างเงียบกริบไร้สุ้มเสียงไปแล้ว ทั้งยังสำแดงวิชาการหลบหลีกในอากาศ หลบหลีกไปถึงตรงหน้าเทพอากาศ ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ แล้วอีกด้วย


…………………………………………




ตอนที่ 25 จากไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบทำให้การหลบหลีกในอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีก็ร้ายกาจอย่างยิ่งอยู่แล้วสามารถไปถึงข้างกายศัตรูได้อย่างไร้สุ้มเสียง บวกกับการบดบังของฟ้าดินโลกเทียมก็ร้ายกาจยิ่งขึ้น อย่างน้อย ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ ก็มิอาจตรวจพบได้จริงๆ


หอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า แล้วแทงไปยังตาข้างเดียวบนศีรษะหนึ่งของร้อยกัณฐ์คำรน หอกยาวราวกับเงาอันเลือนรางที่ทั้งรวดเร็วและเฉียบพลันนัก! แต่ในฐานะที่ ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ อยู่ในระดับขั้นเทพอากาศ ศีรษะจึงขยับไหวไปตามสัญชาตญาณ หอกซึ่งเดิมทีแทงตรงไปที่ตาข้างเดียวนั้นแทงลงบนใบหน้าของเขาแทน


ผิวหนังของมันแข็งแกร่งทนทานยิ่งนักและมีลวดลายเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนตามธรรมชาติ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเหมือนหอกนั้นแทงเข้าสู่ความว่างเปล่า ทั้งยังมีพละกำลังอันสับสนอลหม่านชนิดแล้วชนิดเล่าคอยเหนี่ยวนำ


“ฟึ่บ” ใบหน้าของมันถูกแทงเข้าไปเล็กน้อย นับว่าทำให้ผิวหนังแตก จากนั้นก็ถอนหอกยาวออกมา โลหิตสีดำปลิวว่อน


“แฮ่…”ร้อยกัณฐ์คำรนร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น ปากใหญ่ดุจแอ่งโลหิตบนของศีรษะนับร้อยต่างก็พ่นหมอกพิษออกมา หมอกพิษผสานรวมกับบริเวณอันดำมืดโดยรอบแล้วกัดกร่อนทำลายล้างทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างแปรซึ่งจำแลงอยู่ไกลออกไปนั้นต้านทานไม่ไหวจนละลายหายไปทันที พละกำลังของบริเวณนี้ยังรุกรานเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมอีกด้วย


“แม้จากเทพแท้ไปเทพอากาศจะเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ แต่วิชาลับผู้ท่องของข้าเป็นชั้นที่ยี่สิบ พละกำลังของข้าเพียงพอจะคุกคามชีวิตของเทพอากาศแล้ว แม้หอกแรกจะเพียงเพื่อตรวจดูพลังของมัน มิได้ใช้ท่าไม้ตายก็ตามที แต่ต่อให้ใช้ท่าไม้ตาย อย่างมากก็แค่ทำให้มันบาดเจ็บได้เท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียมมองร้อยกัณฐ์คำรนแล้วอดลอบส่ายหน้ามิได้ “รายงานนั้นมิใช่เรื่องลวงเลย แม้ร้อยกัณฐ์คำรนผู้นี้จะโง่เง่า แต่จะสังหารก็ต้องล่อลวงมัน มันพ่นหมอกพิษออกมามากขึ้น ทำให้พลังของมันลดลง…เมื่อครู่มีหวังจะสังหารศีรษะทั้งหมดของมันได้แล้ว”


วิธีสังหารร้อยกัณฐ์คำรน ก็คือต้องทำลายศีรษะทั้งหมดเสีย!


นี่นับว่าค่อนข้างง่ายแล้ว เทพอากาศที่แข็งแกร่งบางท่าน เช่น ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ เชี่ยวชาญระบบ ‘ทิพย์’ ซึ่งค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง ล้วนปรับเปลี่ยนร่างกายของตนให้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นร่างอมตะ ความสามารถในการรักษาชีวิตก็แข็งแกร่งกว่าร้อยกัณฐ์คำรนมากนัก


……


โลกดำมืดไปหมด พิษแผ่กำจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง


ร้อยกัณฐ์คำรนลอยคว้าล่องอยู่กลางอากาศ รยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนแผ่คลุมไปทั่วทุกบริเวณ ศีรษะนับร้อยของมันกวาดไปรอบทิศ แต่กลับมิได้พ่นพิษออกมาอีกต่อไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นแล้ว


ทว่าร่างกายของเขาเลือนราง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นจากบริเวณดำมืดของโลกภายนอก แรงกดดันนี้เพียงพอจะสั่นสะเทือนให้พวกผู้ครองชิงและผู้ปกครองนรกโลกันตร์ถึงตายได้! เพราะถึงอย่างไรร่างกายของพวกผู้ครองชิงก็อ่อนแอกว่าวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สิบเอ็ดอยู่บ้าง


“เจ้ามีลูกไม้แค่นี้ก็คิดจะสังหารข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่า ทันใดนั้นรอบกายก็พลันมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น


ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตแผ่กำจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นแต่ละสายราวกับเส้นด้ายเส้นหนึ่ง เส้นระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนสานทับกันไปมาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วโจมตีไปทั่วทุกทิศทุกทาง


บริเวณการเข่นฆ่า!


‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ บรรลุถึงขั้นผู้ปกครองตั้งนานแล้ว ทั้งยังรับรู้ศาสตร์ลับตาข่ายสวรรค์ไร้เงาขั้นอลวน และนำวิธีการใช้ระลอกคลื่นบางอย่างหลอมรวมเข้าไปในบริเวณการเข่นฆ่า ทำให้อานุภาพของ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ปะทุสูงขึ้นอย่างพรวดพราดเลยทีเดียว


แม้บริเวณการเข่นฆ่ากำลังพยายามโจมตีอยู่ แต่ภายใต้การกดดันของบริเวณดำมืดก็ยังคงกระจัดกระจายกัน


“อากาศ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยังควบคุมพละกำลังของอากาศ อานุภาพการควบคุมอากาศชั้นที่ยี่สิบก็น่าหวาดหวั่นมากเช่นเดียวกัน


“ตู้ม!!!” พละกำลังของอากาศผสานรวมกับบริเวณการเข่นฆ่าอย่างสมบูรณ์แบบ โจมตีและกดดันไปรอบทิศ


“ตู้มๆๆ…” บริเวณระลอกคลื่นสีแดงโลหิตพยายามโจมตีไปทั่วทุกทิศทุกทาง ส่วนบริเวณดำมืดกลับกดดันอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ขอบเขตของบริเวณการเข่นฆ่าทำได้เพียงคงไว้ที่ร้อยกว่าลี้เท่านั้น มิอาจขยายออกไปได้อีก


“คิดไม่ถึงว่าบริเวณการเข่นฆ่าผสานรวมกับพละกำลังของอากาศ เมื่อบริเวณปะทะกัน ข้าก็ยังคงตกเป็นรองอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ถึงอย่างไรความแตกต่างของผู้ปกครองและเทพอากาศก็มากมายเกินไปอยู่ดี”


……


ชายชราผมขาวซึ่งยืนดูอยู่ด้านข้างก็ตกใจนัก ผู้ปกครองคนหนึ่งสามารถปะทะกับเทพอากาศในด้านบริเวณได้ แม้จะเป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็ถือว่าเก่งกาจมากแล้ว


“ตายให้ข้าเสียเถอะ” ร้อยกัณฐ์คำรนแผดเสียงร้องออกมาเป็นภาษาที่ไม่รู้จัก แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ร้อยกัณฐ์คำรนแผดเสียงร้องพลางพ่นหมอกพิษออกมาต่อไป อากาศอันดำมืดผสานรวมเข้ากับหมอกพิษ อานุภาพคล้ายจะกำลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังกัดกร่อนบริเวณการเข่นฆ่าของตงป๋อเสวี่ยอิงเสียงดัง ‘ฟึ่บๆๆ’ อย่างแปลกพิกล


“หมอกพิษสามารถกัดกร่อนบริเวณของข้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหวั่นเกรง


“วิธีการแค่นี้ สำหรับข้าแล้วไม่มีประโยชน์หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงหัวเราะเสียงดัง เสียดแทงฝ่ายตรงข้าม


เมื่อร้อยกัณฐ์คำรนแปรเป็นเงารางถลาเข้ามาพร้อมกับรยางค์จำนวนมากที่เข้าโจมตีนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยฟ้าดินโลกเทียมและการเคลื่อนที่ในอากาศหลบหนีไป เขาท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อทำให้ร้อยกัณฐ์คำรนแตะต้องเขามิได้ บางครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงยังถึงขั้นสำแดงร่างแปรออกมาลอบโจมตีอีกด้วย! ทั้งยังใช้ลูกดอกลอบโจมตีด้วย! ร่างจริงก็ลอบโจมตีด้วยเช่นกัน!


ทว่าทุกครั้งที่ลอบโจมตี ก็สำแดงพลังออกมาเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ร้อยกัณฐ์คำรนรู้ตัว


การลอบโจมตีเหล่านี้ก็พอจะทำให้ร้อยกัณฐ์คำรนผิวหนังแตกได้บ้างอย่างพอถูไถ แต่ก็เพียงพอให้ร้อยกัณฐ์คำรนเดือดดาลยิ่งขึ้นแล้ว ผู้ปกครองที่อ่อนแอผู้นี้หนีได้เก่งเช่นนี้ มันไล่สังหารศัตรูผู้นี้มิได้ จึงได้แต่พ่นหมอกพิษออกมามากยิ่งขึ้น หมายจะอาศัยบริเวณพันธนาการศัตรูเอาไว้


******


ชายชราผมขาวคอยดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา หลังจากเห็นร้อยกัณฐ์คำรนพ่นหมอกพิษออกมามากยิ่งขึ้นแล้วค่อยๆ อ่อนกำลังลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่ง เก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาโดยตลอดแล้วลอบโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจนมั่นใจว่าจะสามารถสังหารได้ในที่สุดก็ปะทุออกมาแล้วสำแดงปรัชญาคลื่นลมออกมาโจมตี เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว


เขาอาศัยการห้ำหั่นประชิดตัวอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งสังหารศีรษะหนึ่งของร้อยกัณฐ์คำรนได้สำเร็จ ร้อยกัณฐ์คำรนจึงได้ตกใจและรู้ตัว


ผู้ปกครองที่สมควรตายผู้นี้ เก็บซ่อนพลังเอาไว้หรือนี่!


ขณะนี้เอง รยางค์อันแน่นขนัดของมันก็เริ่มป้องกันอย่างสุดชีวิต มันทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้ว ทว่าการหลบหลีกของตงป๋อเสวี่ยอิงร้ายกาจเกินไป แม้การสังหารศีรษะจะยากลำบากยิ่งขึ้น แต่หากใช้เวลามากหน่อยก็พอจะสามารถทำสำเร็จได้ เขาลอบโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วสังหารไปทีละศีรษะๆ หลังจากศีรษะทั้งร้อยถูกสังหารจนหมดและร่างของร้อยกัณฐ์คำรนร่วงลงจากกลางฟากฟ้าแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


ศึกครั้งนี้ดำเนินต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึงสองวัน เวลาเก้าส่วนหมดไปกับการสังหารทีละศีรษะ เพราะแต่ละศีรษะนั้นต้องใช้เวลานานมากจึงจะสามารถกำจัดได้


“เจ้าชนะแล้ว” ชายชราผมขาวมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ทว่าเจ้าควรจะเข้าใจเอาไว้ว่า หากมิใช่เพราะนายท่านสั่งเจ้าหุ่นเชิดร้อยกัณฐ์คำรนนี้ไว้ก่อนแล้วว่าต้องพยายามสังหารเจ้าอย่างสุดกำลัง หากเป็นการต่อสู้ตามปกติแล้วล่ะก็ เจ้าจะล่อลวงมันให้พ่นหมอกพิษออกมามากมายเช่นนี้ก็จะยากยิ่งกว่านี้ อีกทั้งเมื่อมันพบว่าท่าไม่ดีแล้ว เกรงว่าก็คงจะพยายามหนีอย่างสุดกำลังไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว มิตินี้มีขอบเขตเล็กเกินไป มันจึงหลบไม่พ้น”


“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


เพราะว่านี่คือการทดสอบ


ดังนั้นร้อยกัณฐ์คำรน หุ่นเชิดตัวนั้นจึงได้รับคำสั่งมาก่อนแล้ว ว่าให้พยายามสังหารผู้ปกครองที่มาทดสอบอย่างสุดกำลัง ดังนั้นมันจึงถูกล่อลวงให้พ่นหมอกพิษออกมาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น


“เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานมาแล้ว มิเช่นนั้นคงจะคว้าชัยได้ยากกว่านี้ และนี่ยังเป็นเทพอากาศที่ค่อนข้างอ่อนแออีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้จักตนเองดี “ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเทพอากาศท่านหนึ่ง ข้าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ อย่างน้อยก็มีพลังพอจะสู้ข้ามขั้นได้แล้ว! คิดจะให้พลังบรรลุถึงระดับศิษย์อาภรณ์ทองของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้น ข้ายังต้องยกระดับขึ้นไปอีก”


ตนบำเพ็ญระบบผู้ท่องอากาศไปควบคู่กัน ก็ยังผ่านการทดสอบได้อย่างฉิวเฉียดปานนี้ จะดูแคลนผู้บำเพ็ญคนอื่นมิได้เลยเชียว


******


ณ กระท่อมฟางหลังกลาง


“นั่นคือสถานที่ซึ่งท่านบรรพชนเคยอาศัยอยู่มานานแสนนาน และเป็นสถานที่ที่มีแต่ระดับผู้ปกครองซึ่งผ่านการทดสอบเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้” ชายชราผมขาวเอ่ย


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักประตูไม้แล้วเดินเข้าไป


เขาอยู่ภายในนานสองนานจึงออกมาได้ เมื่อออกมา บนกายก็ยังคงสวมอาภรณ์ทองอยู่ นัยน์ตาแฝงแววผิดหวังเล็กน้อย


ข้อดีของศิษย์อาภรณ์ทองช่างมีมากมายโดยแท้! ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก ศิษย์อาภรณ์ทองได้รับความสำคัญและการปกป้อง…ไม่แพ้ที่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีให้ความสำคัญกับผู้สืบทอดเลย เพราะถึงอย่างไรผู้ท่องอากาศกู่ฉีก็คือจอมยุทธ์ผู้เดียวดายซึ่งไม่เข้าใจการสั่งสอนศิษย์นัก ส่วนวังทวีสูญนั้นรอบด้านมากกว่า


“น่าเสียดายที่ไม่มีสิ่งที่จะช่วยเหลือจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างด้วยเหตุนี้ อันที่จริงเมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ถูกต้อง สิ่งที่วังทวีสูญมอบให้ศิษย์อาภรณ์ทองนั้นย่อมมีไว้ช่วยเหลือศิษย์อาภรณ์ทอง ไหนเลยจะช่วยให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นคนหนึ่งหลุดพ้นได้เล่า


“ต้องการอาวุธเทพอากาศอะไร” ชายชราผมขาวถามยิ้มๆ


“หอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“หอกมีเพียงสองเล่มเท่านั้น ข้าจะเอามาให้เจ้าเลือกก็แล้วกัน” ชายชราผมขาวเอ่ย


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


อาวุธเป็นของนอกกาย สิ่งที่สำคัญที่สุดโดยแท้จริงนั้น ตนได้มาจากภายในกระท่อมฟางเรียบร้อยแล้ว


……


ณ จวนจ้าวตงป๋อ ทะเลหมอกดำ


เรื่องที่เขาจากจักรวาลไปมีผู้ล่วงรู้น้อยยิ่งนัก แม้แต่สหายสนิทอย่างฉือชิวไป๋ ผู้เคารพหั่วเฉิง ศิษย์พี่ฮุ่ยหมิงและบรรพชนเพลิงชาด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่แจ้งว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องเดินทางไกล อีกนานมากจึงจะกลับมา” ส่วนจะไปที่ใดนั้น เขามิได้พูดถึงเลย


ทว่าเขาบอกภรรยาและลูกๆ เอาไว้


พวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกกำลังเดินอยู่ในจวนจ้าวตงป๋อด้วยกัน เกี่ยวกับเรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจากจักรวาลไปนั้น ‘ตงป๋ออวี้’ บุตรชายเคยคัดค้านอย่างรุนแรง “ข้าสามารถหลุดพ้นเองได้! ท่านพ่อ ท่านไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตออกไปเสี่ยงหรอกนะขอรับ”


แม้แต่อวี๋จิ้งชิว ในตอนแรกเริ่มก็คัดค้านเช่นกัน “เสวี่ยอิง พวกเราครองคู่กันมานานแสนนาน ต่อให้ข้าต้องตายไปในท้ายที่สุด ข้าก็พอใจมากแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อข้าอีกแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย


จิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์สามารถเผชิญกับความตายได้อย่างเรียบเฉย แต่ไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงอันตราย


เขาจะยอมปล่อยให้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน ไม่พยายามอะไรสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ เขาทำไม่ได้หรอก!


 อวี๋จิ้งชิวและตงป๋ออวี้ก็ล้วนรู้จักนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างดี พวกเขาพูดให้เปลี่ยนใจมิได้ ก็ทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น ทำได้เพียงใช้วันคืนที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีคุณค่าเท่านั้น


“ก่อนยุคจักรวาลนี้จะสิ้นสุดลง ข้าต้องกลับมาอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็กังวล


ด้านนอกนั่นอันตรายยิ่งกว่า


“ข้าเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ ไม่ตายง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอกนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เรื่องการมีอยู่ของวังทวีสูญ เขาก็ได้บอกบุตรภรรยาแล้ว ทว่าบอกให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ ห้ามเผยแพร่ออกไปเป็นอันขาด


เอาล่ะ ควรไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ยามนี้เงาร่างอีกสองสายก็ปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือร่างอีกสองร่างของเขา ร่างทั้งสามพลันผสานเป็นหนึ่งเดียว


หลังจากจักรวาลไปแล้ว เมื่อไม่มีจักรวาลคอยคุ้มครอง ก็จะได้พบการฝึกฝนต่างๆ จากกฎเกณฑ์ของทั้งจักรวาลอันสับสนอลหม่านต้องมีชีวิตครบสมบูรณ์จึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ดังนั้นเหมือนกู่กานหลัวที่ถูกสังหารไป ก็คือตายไปจริงๆ ตอนแรกกู่กานหลัวจึงได้รู้สึกสิ้นหวังถึงเพียงนั้น


ฟิ้ว


เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็ไปถึงกลางฟากฟ้าเหนือจวนจ้าวตงป๋อ


อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างพากันเงยหน้ามองดู กลางอากาศก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นมาอีกสายหนึ่ง ซึ่งก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งรอคอยอยู่รอบๆ นานแล้ว


“เสวี่ยอิง ระวังตัวด้วย เรื่องภายในจักรวาลปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว เขารู้จักแผนที่เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และรู้ว่าทางสายนี้ทั้งไกลลิบและอันตราย ทว่ารู้มาว่าศิษย์ได้สำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทองแล้ว เขาก็มั่นใจในตัวศิษย์ขึ้นมาบ้าง


“พ่ะย่ะค่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกวัดแกว่งหอก แล้ววาดออกมาเป็นรอยแยกสายหนึ่ง นอกรอยแยกก็คืออากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเทียม


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟันกลับมามองภรรยา บุตรชายและบุตรสาว สิ่งที่ทิ้งเอาไว้ได้เขาก็ทิ้งเอาไว้หมดแล้ว


“ข้าจะกลับมาแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ จากนั้นก็ยิ้มให้ครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า


จากนั้น สวบ


เขาบินไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลโดยตรง ฉากนี้ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแตกตื่นเล็กน้อย “ร่างกายเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่านโดยตรงเลยหรือ โดยทั่วไปต้องเป็นเทพอากาศเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ ผู้ปกครองก็ทำได้ด้วยหรือ ศิษย์ข้าคนนี้ช่างมีโชคอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่นั้น แล้วผนังเยื่อจักรวาลก็ค่อยๆ สมานกัน


อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาก็เงยหน้ามองดู นัยน์ตาของอวี๋จิ้งชิวก็มีหยาดน้ำตารื้นขึ้นมาแล้ว ในใจนางกลัวมาโดยตลอดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะไปแล้วไปลับ


“ข้าจะรอท่าน รอท่านกลับมา” อวี๋จิ้งชิวพึมพำ


(จบบทนี้)


…………………..……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)