Snow Eagle Lord ภาค 25 ตอนที่ 18-21

ตอนที่ 18 กู่กานหลัวที่หมดสติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้อนใจหาใดเปรียบ เขาไม่ยอมให้บ้านเกิดของเขาถูกทำลายไปเช่นนี้เด็ดขาด


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเสียสติไปแล้ว เพราะหากยุคจักรวาลสิ้นสุดลง บิดามารดา บุตรภรรยาและศิษย์ของเขาก็ล้วนต้องถึงจุดจบไปพร้อมกับยุคจักรวาลด้วย เขายอมให้ตนเองตาย ก็ดีกว่าให้บรรดาญาติมิตรต้องตายจากไป หากโลกใบนี้เหลือแค่เขาจนต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย ต่อให้บำเพ็ญได้เก่งกาจกว่านี้แล้วจะมีความหมายอันใดกันเล่า


“ไม่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงโกรธแค้นและบ้าคลั่ง ดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า


ยามนี้ประมุขหยวนชู ผางอี ผู้ครองชิงและคนอื่นๆ ล้วนมิอาจขัดขวางได้ ทำได้เพียงมองทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเท่านั้น


“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้พวกเราพ่ายแพ้สงครามและสู้จนตัวตายไป ก็ต้องให้ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุดไปกับพวกเราด้วย” เดิมทีเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาภายในเรือรบซวีมู่ก็สิ้นหวังอยู่แล้ว เมื่อเห็นลำแสงทั้งเก้าสาย และสัมผัสรับรู้ได้ถึงอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นซึ่งแฝงอยู่ในนั้นก็กลับบ้าคลั่งขึ้นมา


มาเถิด มาทำลายล้างยกใหญ่สักครั้งหนึ่งเถิด แล้วทำลายล้างทุกสิ่งให้สิ้นไปเถิด


……


ณ สถานที่แรกเริ่มอันเงียบสงัด ที่นี่มีบุปผาแดงสดและพืชพรรณเขียวขจี ต้นหญ้าขยับไหวเล็กน้อยตามแรงลม


สุนัขป่าสีดำซึ่งผอมมากตัวหนึ่งกำลังหมอบอยู่บนทุ่งหญ้า ปล่อยให้ลมพัดผ่านเส้นขน หางของมันกระดอกไปมา


“ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เสียหน้านายท่านนัก” สุนัขป่าสีดำแค่นเสียงเฮอะคราหนึ่งก่อนจะหายวับไป


……


ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังปลดปล่อยลำแสงสีทองออกจากน้ำเต้าสีดำด้วยความร้อนรนจนแทบคลั่งนั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ทุ่มเทควบคุมค่ายกลอย่างสุดกำลัง คนอื่นๆ ต่างก็มองดูอยู่ กู่กานหลัวซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนที่กำลังบินไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลมองไปด้านหลัง ใบหน้าเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเย็น


และในยามนี้เอง…


หัวสุนัขสีดำขนาดมหึมาหาใดเปรียบพลันปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้านี้ มันใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ระดับขั้นอย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้เพียงมองเห็นหัวสุนัขสีดำนี้อย่างเลือนรางเท่านั้น หัวสุนัขสีดำขนาดมหึมานี้ราวกับอยู่ในโลกอีกระดับขั้นหนึ่ง เห็นๆ อยู่ว่ามันทับซ้อนกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เช่นผางอีและผู้ครองชิง รวมทั้งเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาแล้ว แต่กลับไม่มีการปะทะเลยแม้แต่น้อย


หัวสุนัขสีดำอันใหญ่โตอ้าปากกว้างดุจแอ่งโลหิตออกมา ภายในปากของมันเต็มไปด้วยน้ำวนอันสับสนอลหม่าน ปากนั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าใหญ่ ใหญ่เสียจนไม่เห็นขอบ…เมื่ออ้าปากก็ปกคลุมลำแสงทั้งเก้าสายซึ่งมุ่งตรงไปคนละทิศคนละทางเอาไว้ จากนั้นหัวสุนัขอันใหญ่โตก็สูดเข้าไปโดยพลัน เรือบินอลวนซึ่งบินออกไปตามรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาลแล้วก็บินถอยกลับมาเสียงดังสวบ บินมุ่งหน้ามาทางปากของหัวสุนัขขนาดมหึมาซึ่งเต็มไปด้วยน้ำวนอันสับสนอลหม่าน


“กล้าต่อต้านข้า ก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง” เดิมทีกู่กานหลัวซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนยังคงยิ้มเย็นและเต็มไปด้วยแววอาฆาต แต่หลังจากนั้นติดๆ เขาก็ตะลึงงันไป


สุนัขป่าสีดำขนาดมหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา


มันใหญ่โตเกินไปแล้ว


เคราะห์ดีที่เรือบินอลวนสามารถสัมผัสรับรู้ได้เป็นวงกว้าง ดังนั้นอาศัยเรือบินอลวน กู่กานหลัวก็ยังคงรู้ว่านี่คือสุนัขป่าสีดำที่ผอมมากตัวหนึ่ง ร่างของมันใหญ่โตหาใดเทียม ลำพังแค่หางอันหนึ่งก็ทะลุไปหลายสิบแดนดาราแล้ว ความยาวของร่างกายมันแทบจะเทียบเท่ากับหนึ่งในสามของเขตแดนของตำหนักเทพคมมีดโลหิต เมื่อมันอ้าปาก ก็ครอบคลุมขอบเขตหลายแดนดาราเลยทีเดียว ในปากยังมีน้ำวนอันสับสนอลหม่านอยู่อีกด้วย  ลำแสงเก้าสายพลันถูกหอบม้วนเข้าไปทันที


“เร็ว เร็ว เร็ว เร็วเข้าเถิด!!!” กู่กานหลัวคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขาสั่นสะท้านมาจากวิญญาณเลยทีเดียว เขารู้ว่านี่คือครั้งที่อันตรายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเขา เขาควบคุมเรือบินอลวนหมายจะหนีอย่างสุดกำลัง ทุ่มเทชีวิตโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจนวิญญาณแทบจะฉีกขาดออก! ความเร็วของเรือบินอลวนทะยานขึ้นไปถึงขั้นสุดในทันที


เรือบินอลวนพุ่งออกจากรอยแยกของผนังเยื่อจักรวาล มาอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านด้านนอก


แต่สุนัขป่าสีดำร่างใหญ่โตซึ่งอยู่ภายในจักรวาลตัวนั้น ดวงตาอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งคู่หนึ่งมองออกไปยังเรือบินสีดำอันเล็กจิ๋วไกลลิบลำนี้ ปากใหญ่มหึมาเพียงแค่สูดลมเข้าไปคราหนึ่ง ฟิ้ว…แรงดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็ส่งผลต่อเรือบินอลวนทันที พละกำลังนี้ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว เรือบินอลวนบินถอยกลับไปเสียงดัง ‘สวบ’ ทันทีด้วยความเร็วสูง ก่อนจะลอยเข้าไปกลางน้ำวนอันสับสนอลหม่านในปากสุนัขทันใด


“ไม่…” เมื่อเห็นเรือบินอลวนลอยเข้าไป นัยน์ตาของกู่กานหลัวก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน!”


หลังจากถูกสุนัขป่าสีดำดูดกลืนเข้าไปแล้ว


จากนั้นระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าล้อมรอบเรือบินอลวนแล้วแทรกซึมเข้ามา ร่างกายที่กู่กานหลัวซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีก็ถูกลูกหลงของระลอกคลื่นนี้เข้าไปด้วย เขารู้สึกสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ ก่อนจะสูญสิ้นสติรับรู้ไป แม้แต่เจ้าลัทธิซางตานและประมุขวังเป่ยเสวียนซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนก็ล้วนสิ้นสติไปด้วยเช่นกัน


******


ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิงและประมุขเกาะกาลมิติต่างก็มองฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง


บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งอยู่ภายในเรือรบซวีมู่ก็มองฉากนี้อย่างตะลึงงันเช่นเดียวกัน


“ฟิ้ว”


สุนัขป่าสีดำซึ่งเดิมใหญ่โตอย่างไร้ขอบเขตนั้นก็พลันหดเล็กลงเหลือเพียงขนาดร้อยกว่าลี้เท่านั้น สุนัขป่าซึ่งมีขนสีดำทั่วร่างนั้นผอมมาก มันยืนอยู่กลางอากาศ หางของมันสะบัดไปมา ปากก็พ่นออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า “แฮ่…ช่างน่าขายหน้านัก เสียหน้านายท่านของข้าจริงๆ! เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะชนะแล้วก็ยังถูกเจ้ากู่กานหลัวนั่นลวงเสียได้”


“ผู้อาวุโส” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยปากขึ้นเอง ยามนี้ศีรษะเขายังเต็มไปด้วยเมฆหมอก สุนัขป่าสีดำอันน่าหวาดหวั่นตัวนี้โผล่มาจากไหนกัน


ตามข้อมูลในรายงานของเขา


เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศก็มิอาจเข้าไปในจักรวาลอื่นได้อีก เพราะจักรวาลจะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใน  สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเกินไปจึงมิอาจเข้าไปข้างในได้โดยเด็ดขาด


แน่นอนว่าหากแข็งแกร่งเสียจนเกินเหตุ…เช่นผู้ระดับขั้นอย่างท่องอากาศกู่ฉีซึ่งแข็งแกร่งเสียจนสามารถเทียบได้กับบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว ก็สามารถทำลายล้างจักรวาลแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย จักรวาลคิดจะสกัดกั้นก็มิอาจขัดขวางได้ ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปในจักรวาลได้อย่างง่ายดาย! จะทำให้ยุคจักรวาลแตกทำลายไป…กับการทำให้จักรวาลแตกทำลายไปนั้นเป็นสองระดับขั้นที่แตกต่างกัน


ภายในจักรวาลหนึ่งๆ มียุคต่างๆ ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อสภาพแวดล้อมภายในเสียหายไปจนไม่เหมาะกับการบำเพ็ญอีกแล้ว จักรวาลก็จะทำให้ยุคนั้นแตกสลายไปเองตามธรรมชาติแล้วถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และให้กำเนิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญ การหมุนเวียนของยุคต่างๆ…ก็เป็นส่วนหนึ่งของการหมุนเวียนจักรวาลอย่างหนึ่งเช่นกัน


ตัวจักรวาลเองยังคงแข็งแกร่งมั่นคงมากดังเดิม!


แต่ความแข็งแกร่งของสุนัขป่าสีดำตัวนี้ เหนือกว่าเทพอากาศหน้าใหม่เช่นเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังอยู่ภายในจักรวาลอีกหรือ


“ขอบคุณผู้อาวุโส” ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเกาะกาลมิติกลับทยอยกันเอ่ยปากขอบคุณ พวกเขาทั้งสองล้วนรู้จักสุนัขป่าสีดำ


“ก่อนหน้านี้เคยพบผู้อาวุโสมาก่อน คิดไม่ถึงว่าท่านจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” ประมุขเกาะกาลมิติพูดต่อ


“อืม”


สุนัขป่าสีดำขานรับเสียงเรียบด้วยความถือตัวอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งยังเอ่ยชมว่า “คมมีดโลหิต ไม่เลวเลย ยุคจักรวาลนี้ยังอีกไกล แต่เจ้ากลับสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว บัดนี้นับได้ว่าเจ้าเป็นเทพอากาศขั้นกำเนิด…ตอนที่ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุด คาดว่าเจ้าก็ยังมีหวังจะบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ ฮ่าฮ่า จนถึงบัดนี้ ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอากาศรวมเป็นหนึ่งในจักรวาลนี้ก็มีเพียงจอมมารเท่านั้น ส่วนจอมกระบี่นั้นยังสู.ขั้นกว่าอีกระดับหนึ่ง”


“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอึดอัดใจยิ่งขึ้นไปอีก คล้ายกับว่าสุนัขป่าสีดำตัวนี้จะคุ้นเคยกับผู้แกร่งกล้าทุกคนในยุคจักรวาลนี้ดีนัก รวมทั้งประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารด้วย


“ตงป๋อ” สุนัขป่าสีดำมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเหลือบมองน้ำเต้าสีดำในมือของเขา “คิดไม่ถึงเลยนะ ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งวังทวีสูญของข้า ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเจ้าก็สั้นนัก ยังมีมรดกอันแข็งแกร่งชิ้นหนึ่งอีกหรือนี่”


กลเม็ดของผู้ท่องอากาศกู่ฉีสูงส่งเกินไปแล้ว


สุนัขป่าสีดำก็มิอาจตรวจสอบได้ ส่วนน้ำเต้าสีดำ…ที่ผ่านมามันก็มิได้คิดว่าน้ำเต้าสีดำร้ายกาจสักเท่าใดนัก เพียงแต่ครั้งนี้มันก็มองออกแล้วว่า นี่คือสมบัติพิทักษ์วิถีชิ้นหนึ่ง! สามารถหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีเช่นนี้ขึ้นมาได้ชิ้นหนึ่ง ทั้งยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถใช้งานได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นบุกเบิก ย่อมต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจมากอย่างแน่นอน ต่อให้สู้บรรพชนเทียนอวี๋มิได้ เกรงว่าก็คงจะใกล้เคียงมากแล้ว


“โชคดีน่ะขอรับๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ในใจทั้งยินดีและตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้เขาได้รู้ว่าสุนัขป่าสีดำเคยกัดจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่งมาก่อน! ก็รู้สึกเพียงว่ามันร้ายกาจ แต่ก็มิได้ตระหนักว่าร้ายกาจเพียงใด


แต่ครั้งนี้เขาตกใจขึ้นมาแล้วจริงๆ


ทว่าเมื่อคิดดูให้ละเอียดก็ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรตอนนั้นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็ห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋เพียงก้าวเดียวเท่านั้น สุนัขป่าสีดำสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ เกรงว่าพลังก็ใกล้เคียงกับจอมกระบี่แล้ว เกรงว่าคงจะเหนือกว่าจอมมารเสียอีก!


“ใช่แล้ว ยังมีเจ้างั่งนี่ด้วย” สุนัขป่าสีดำสำรอกออกมา ลำแสงสามสายถูกคายออกมา ลำแสงสายหนึ่งในจำนวนนั้นถูกมันรวบคว้าเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือกู่กานหลัวที่หมดสติอยู่นั่นเอง ส่วนลำแสงอีกสองสายก็คือประมุขวังเป่ยเสวียนและเจ้าลัทธิซางตานซึ่งกำลังหมดสติอยู่เช่นกัน


“ตื่นสิ”


กรงเล็บของสุนัขป่าสีดำคว้ากู่กานหลัวเอาไว้แล้วออกแรงเขย่า ร่างของกู่กานหลัวถูกเขย่าจนสั่นสะเทือนคราหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นสุนัขป่าสีดำตัวใหญ่ซึ่งยืนอยู่กลางอากาศตรงหน้า เขาหวาดหลัวเสียจนหน้าซีดขาวไปหมด


 ………………………….



ตอนที่ 19 เส้นทางการบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไว้ชีวิตด้วยเถิด ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วยเถิด ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดขอรับ” กู่กานหลัววิงวอนโดยไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย แม้เขาจะรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงมีความหวัง ในสายตาของเขา หากจะฆ่าเขา เกรงว่าคงจะฆ่าไปตั้งนานแล้ว ปล่อยเขาเอาไว้จนถึงตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าจะเหลือทางรอดไว้ให้เขาสักสายหนึ่ง และก็เป็นไปได้เช่นกันว่าอีกฝ่ายรู้จัก ‘องค์บรรพชนกู่’ ท่านอาจารย์ของเขา


ถึงอย่างไรองค์บรรพชนกู่นั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขีดสุดท่านหนึ่ง สถานะและอิทธิพลล้วนสูงส่งอย่างยิ่ง สุนัขป่าสีดำตรงหน้าตัวนี้คงจะคร้ามเกรงท่านอาจารย์ของตนอยู่บ้าง


“ไว้ชีวิตรึ”


กรงเล็บของสุนัขป่าสีดำคว้ากู่กานหลัวเอาไว้ หัวสุนัขนั้นเอียงคอมองเขา “แฮ่…เจ้าโง่นี่ มาหลับใหลอยู่ภายในจักรวาลนี้มาตั้งหลายยุค ข้าก็ยังพอจะทำเหมือนเจ้าไม่มีตัวตนได้ เจ้าห้ำหั่นกับพวกคมมีดโลหิตยกหนึ่งแล้วหนีไปก็แล้วไปเถิด แต่ตอนที่หนีไปกลับคิดจะทำลายล้างจักรวาลที่นายท่านของข้าสร้างขึ้นมาให้เกลี้ยง ทำลายล้างยุคจักรวาลนี้น่ะหรือ เจ้านี่ช่างรนหาที่ตายเองจริงๆ!”


กู่กานหลัวฟังแล้วหัวใจก็หวาดหวั่นขึ้นมา แต่จากนั้นก็อึดอัดใจจนต้องพูดขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “ผู้อาวุโส นายท่านของท่านเป็นผู้สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาหรือ”


อย่าว่าแต่กู่กานหลัวเลย แม้แต่เหล่าผู้ปกครองซึ่งอยู่ในที่นั้น เช่นผางอี ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพ บรรพชนหุบเหวลึกและเจ้าแม่กานเหอต่างพากันเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบรำพึงในใจ เห็นทีผู้ที่รู้ว่า ‘บรรพชนเทียนอวี๋เป็นผู้สร้างจักรวาล’ นี้ขึ้นมายังคงมีน้อยนัก ตนก็รู้เรื่องนี้ตอนที่พบกับผู้ท่องอากาศกู่ฉีนั่นเอง…เมื่อตนเข้าไปในสถานที่แรกเริ่ม เพิ่งเริ่มต้นก็ถือว่าเจ้าของสถานที่แรกเริ่มเป็นยอดฝีมือผู้เร้นลับคนหนึ่งแล้ว แต่มิได้ตระหนักเลยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา ตนผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกและได้เข้าไปในกระท่อมฟาง แล้วพบกับเงาร่างของบรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนเทียนอวี๋จึงได้บอกว่าเป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมาเอง


คนที่รู้ว่าบรรพชนเทียนอวี๋เป็นผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมานั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!


สุนัขป่าสีดำและชายชราผมขาวในสถานที่แรกเริ่มต่างก็รู้…แต่พวกเขาไม่พูด! ผู้ท่องอากาศกู่ฉีก็รู้ แต่ก็แค่บอกให้ผู้สืบทอดเช่นเขาคนนี้ล่วงรู้เท่านั้น คาดว่าผู้ที่ผ่านจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบการทดสอบขั้นบุกเบิกทั้งหลายในประวัติศาสตร์แต่ละคนก็คงจะรู้เช่นกัน แต่เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ พวกเขาก็มิอาจบอกกับคนรุ่นหลังทั้งหลายได้ง่ายๆ หากพลังอ่อนแอ รู้ไปก็ไร้ประโยชน์!


“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบด้านแวบหนึ่ง “ท่านอาจารย์ของข้าและประมุขหยวนชู สองท่านนั้นก็คล้ายว่าจะทราบแล้วหรือ”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองตงป๋อเสวี่ยอิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะยิ้มพลางถ่ายเสียงพูดว่า “เสวี่ยอิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะสำเร็จเป็นศิษย์ของวังทวีสูญ” ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็รู้ว่าจักรวาลแห่งนี้สร้างขึ้นโดยบรรพชนเทียนอวี๋ ทว่า ‘วังทวีสูญ’ เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่จักรวาลส่งถ่ายตรงเข้ามาสู่ห้วงสมองของเขาหลังจากสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีข้อมูลของวังทวีสูญอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีข้อมูลของโลกทิพย์ทั้งห้าอยู่ด้วย และยังมีภาพเส้นทางไปยัง ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ และอื่นๆ ด้วย


“ต้องผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกในสถานที่แรกเริ่มจึงจะกลายเป็นศิษย์ของวังทวีสูญได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด


“ท่านบรรพชนเป็นบรรพชนต้นตระกูลของพวกเราในจักรวาลแห่งนี้ พวกเราก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของวังทวีสูญเป็นธรรมดา” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า


……


ทางฝ่ายพวกเขานั้นรู้สึกสบายใจมาก


กู่กานหลัวกลับตื่นตระหนกเหลือแสน นายท่านหรือ สิ่งมีชีวิตระดับนี้จะยินยอมเป็นบ่าวรับใช้ได้อย่างไรกัน ทั้งยังอยู่ในจักรวาลแห่งนี้มายาวนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน นี่ไม่เท่ากับว่าถูกจองจำอยู่ในคุกหรือไร เขารู้ซึ้งถึงพลังของสุนัขป่าสีดำตรงหน้าตัวนี้เป็นอย่างดี หากอยู่ในโลกภายนอกย่อมสามารถเป็นท่านบรรพชนของฝ่ายหนึ่งได้อย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่การบำเพ็ญบรรลุถึงระดับขั้นสุดเท่านั้น จึงมีคุณสมบัติพอจะทำให้พวกเขายอมก้มหัวได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้แกร่งกล้าก็มีความหยิ่งทระนงในตนเอง เมื่อถึงระดับนี้แล้ว คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่ยอมเป็นบ่าวรับใช้!


ต่อให้แปลกพิกลจริงๆ พลังอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ก็ยังยินดีเป็นบ่าวได้ แต่โดยทั่วไปก็มักจะต้องมีความปรารถนาที่มากกว่านี้ ไม่มีทางป้องกันอยู่ภายในจักรวาลแห่งเดียวอย่างยาวนานได้! ภายในจักรวาลไหนเลยจะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สำหรับพลังแล้วก็ไม่มีส่วนช่วยในการขัดเกลาแต่อย่างใด เมื่ออยู่ที่นี่ก็เท่ากับถูกขังคุก


ดังนั้นจึงมีคำตอบเพียงอย่างเดียวก็คือสามารถจัดการได้


“สุนัขป่าสีดำตัวนี้มิใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดที่ถูกหลอมขึ้นมา” กู่กานหลัวพูดพึมพำ เพราะว่ามิใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง ดังนั้นจึงเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างเต็มที่


“แต่ว่า…” กู่กานหลัวคิดถึงตรงนี้ก็ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่


สิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุด สามารถหลอมหุ่นเชิดที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ขึ้นมาได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้! เพราะมิใช่ว่าทุกคนจะเชี่ยวชาญทางด้านการหลอมไปเสียหมด เช่นบรรพชนเทียนอวี๋…เป็นถึงสิ่งมีชีวิตซึ่งบรรลุถึงขั้นสุดในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ก็เชี่ยวชาญด้านการหลอมเช่นกัน ส่วนระบบลัทธิจอมมารดาหรือระบบผู้ท่องอากาศนั้น…ด้านการหลอมก็ด้อยกว่ามากทีเดียว!


“การหลอมหุ่นเชิดที่ใกล้เคียงกับ ‘ขั้นอลวน’ ของอากาศนั้น ยากกว่าการสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมามากนัก ทุ่มเทอะไรไปมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อหลอมหุ่นเชิดพรรค์นี้ขึ้นมาแล้วทิ้งขว้างเอาไว้ในจักรวาลแห่งหนึ่งเช่นนี้น่ะหรือ” กู่กานหลัวรู้สึกว่าบ้าไปแล้ว


เข้าไปในจักรวาลแห่งหนึ่ง


จักรวาลนี้ถูกสร้างขึ้นมา! เรื่องนี้ก็แล้วไปเถิด แต่ภายในจักรวาลนี้กลับยังมีหุ่นเชิดอันน่าหวาดหวั่นตนหนึ่งถูกหลอมขึ้นมาด้วยหรือนี่


“สิ่งมีชีวิตที่สร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาตัดใจได้อย่างไรกัน” กู่กานหลัวมิอาจทำใจเชื่อได้ หากเป็น ‘องค์บรรพชนกู่’ ท่านอาจารย์ของเขามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ก็จะต้องเอาไว้ข้างกายอย่างแน่นอน มีเรื่องราวมากมายที่สามารถมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ไปทำได้ เพราะพวกเขาซื่อสัตย์ภักดีอย่างแน่นอนพลังก็แข็งแกร่งพอตัวด้วย


แต่บรรพชนเทียนอวี๋กลับทิ้งสุนัขป่าสีดำตัวนี้เอาไว้ที่นี่เสียแล้ว!


……


“เดิมทีจะไม่ตายก็ได้ แต่เจ้ากลับรนหาที่ตายเอง แน่นอนว่าข้าต้องทำให้เจ้าสมปรารถนา คมมีดโลหิต ตงป๋อ คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าคงไม่มีความเห็นแย้งอันใดกระมัง หากไม่มีข้าก็จะกินเขาแล้ว” สุนัขป่าสีดำมองไปทางกลุ่มคนด้านข้างรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็พยักหน้า


ไม่มีความเห็นหรอก! แต่ละคนล้วนต้องการจะสังหารกู่กานหลัวจึงจะมีความสุขได้


“กินข้าหรือ” กู่กานหลัวตกใจจนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ความคิด เขามองไปยังสุนัขป่าสีดำตรงหน้าแล้วขอร้องว่า “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส ไว้ชีวิตด้วยเถิด ไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด”


“แฮ่ๆ…” สุนัขป่าสีดำกลับคำรามออกมาสองครั้ง มันจงใจแสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีขาวปานหิมะ พูดพลางกรงเล็บก็คว้าตัวกู่กานหลัวแล้วยัดเข้าปากไปอย่างเชื่องช้า


กู่กานหลัวเห็นเข้าก็ร้อนใจขึ้นมา “ข้า ข้าคือศิษย์ในสำนักขององค์บรรพชนกู่! ข้าคือบุตรทิพย์คนที่เจ็ด สังหารข้ามิได้นะ หากท่านสังหารข้า องค์บรรพชนกู่ไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่”


“องค์บรรพชนกู่รึ” สุนัขป่าสีดำชะงักแล้วเบ้ปาก “วังทวีสูญของข้าจะไปกลัวโครงกระดูกชรานั่นได้อย่างไรกัน หากเก่งจริงก็ให้เขามาวัดกำลังกับเจ้านายของข้าเสียหน่อยปะไร”


สิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุด พลังก็มีระดับสูงต่ำแตกต่างกันไป


บรรพชนเทียนอวี๋ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นมาก องค์บรรพชนกู่น่ะหรือ บรรพชนเทียนอวี๋นั้นไม่แยแสเลยจริงๆ


“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปฟังแล้วก็ลอบส่ายหน้า ตอนแรกบรรพชนเทียนอวี๋ก็ไม่แยแสองค์บรรพชนกู่เพียงคนเดียว บัดนี้วังทวีสูญของตนมีสิ่งมีชีวิตอยู่ถึงสองท่าน…ได้แก่บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! บัดนี้ความแข็งแกร่งของขุมอำนาจใช่สิ่งที่องค์บรรพชนกู่แห่งเขตหนึ่งๆ จะมาเทียบเทียมได้ด้วยหรือไร นอกจากนี้บรรพชนเทียนอวี๋ยังมีชื่อเสียงเรื่องการปกป้องคนของตนเอง เป็นผู้ที่ใส่ใจศิษย์และชนรุ่นหลังมากเกินไป ดังนั้นจึงได้หลอมสุนัขป่าสีดำเอาไว้ภายในจักรวาลที่สร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มกันโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น!


“ท่าน ท่าน…” กู่กานหลัวก็รู้จักชื่อเสียงของวังทวีสูญดี เขาอดร้อนใจขึ้นมามิได้ “ท่านจะสังหารข้า ไยไม่สังหารข้าเสียเลยเล่า ยังจับข้าทั้งเป็น แล้วตอนนี้ก็จะสังหารข้าอีกอย่างนั้นหรือ”


“ข้าจับเจ้ามาทั้งเป็น ก็เพื่อจะดุด่าเจ้าเสียหน่อย จากนั้นค่อยปล่อยให้เจ้าตายไปท่ามกลางความสิ้นหวังและความหวาดหวั่น” ฟันของสุนัขป่าสีดำทั้งคมกริบ ทั้งขาวเต็มปากไปหมด


กู่กานหลัวตะลึงงันไป


จับมาทั้งเป็นเพื่อจะดุด่าเขาอย่างนั้นหรือ เพื่อจะทำให้เขาหวาดหวั่นยิ่งขึ้นน่ะหรือ นี่มัน…


“ตายเสียเถอะ” สุนัขป่าสีดำยังคงจับตัวกู่กานหลัวเอาไว้อย่างเชื่องช้า กู่กานหลัวดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่อานุภาพอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุมเขาเอาไว้ เขามิอาจต้านทานได้เลย ทำได้เพียงมองดูปากใหญ่โตนั้นเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความสิ้นหวัง


“ฟิ้ว”


กู่กานหลัวถูกทิ้งเข้าไปในปากแล้ว


สุนัขป่าสีดำตัวใหญ่เคี้ยวเสียงกรอบแกรบสองทีก่อนจะกลืนเขาลงท้องไป จากนั้นก็มองไปทางกลุ่มคนที่มีจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดอะไรไม่ออกอยู่บ้าง ผู้อาวุโสสุนัขป่าสีดำท่านนี้ก็ ‘ร่าเริง’ พอสมควรทีเดียว เขาจงใจสั่งสอนศัตรูเสียก่อน แล้วค่อยจัดการกับศัตรู


“แต่ละคนนมองข้าทำไมกัน” สุนัขป่าสีดำถลึงตา “หรือว่ายังต้องการเรือบินอลวนลำนั้นอีก”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ตงป๋อเสวี่ยอิง ผางอี ผู้ครองชิงและคนอื่นๆ ต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย


สุนัขป่าสีดำแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต้องการเรือบินอลวนไปก็ไร้ประโยชน์ แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็ยังมีแรงดึงดูดมากทีเดียว


“อย่าแม้แต่จะคิด!” สุนัขป่าสีดำยิ้มหยัน “นายท่านบอกแล้วว่า เส้นทางการบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง! ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ลงแรง กู่กานหลัวผู้นี้เป็นข้าที่สังหารเขา เรือบินอลวนเป็นข้าที่ชิงมา แน่นอนว่าต้องตกเป็นของข้า!”


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงอับจนคำพูด


ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เอาเรือบินอลวนลำหนึ่งไปแล้วจะมีประโยชน์หรือไร


“แน่นอนว่าเรือบินต้องเป็นของผู้อาวุโสอยู่แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “ข้าและคนอื่นๆ ล้วนคิดไม่ถึงว่าจักรวาลของเรายังมีผู้อาวุโสคอยคุ้มครองด้วย หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าเป็นเช่นนี้ สงครามครั้งนี้ก็คงไม่ต้องสู้สุดกำลังอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้แล้ว”


“เฮอะๆ หากมิใช่เพราะกู่กานหลัวจะทำลายล้างยุคจักรวาลนี้ ข้าก็ไม่มีทางลงมือง่ายๆ หรอก” สุนัขป่าสีดำแค่นเสียงพูด “นายท่านเคยกล่าวว่า การบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง! สงครามกับลัทธิจอมมารดาก็เป็นการขัดเกลาพวกเจ้า หากพวกเจ้าตาย ก็เพราะมีพลังไม่พอ เนื่องจากลัทธิจอมมารดาของพวกเขาจวนใกล้จะตั้งแท่นบูชาและเปลี่ยนแปลงจักรวาลแล้วจริงๆ ข้าจึงได้ลงมือ”


“เฮอะๆ จอมมารดาช่างเหิมเกริมแท้ๆ เคราะห์ดีที่นายท่านของข้าเก่งกาจและทิ้งกลเม็ดเอาไว้เบื้องหลัง คิดจะบิดเบือนจักรวาลที่นายท่านสร้างขึ้นมาให้กลายเป็นจักรวาลลัทธิจอมมารดาของพวกเขา ช่างฝันหวานเสียจริง” สุนัขป่าสีดำยิ้มหยัน


อันที่จริงแล้ว


บรรดาสิ่งมีชีวิตที่บำเพ็ญมาถึงขั้นสุด ก็คงมีไม่กี่คนที่ทิ้งหุ่นเชิดอันน่าหวาดหวั่นซึ่งล้ำค่ากว่าจักรวาลเป็นสิบเท่าเอาไว้ภายในจักรวาลหรอก


“บำเพ็ญให้ดีๆ เสียเถิด” สุนัขป่าสีดำกวาดตามองพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง “ภายในจักรวาล พวกท่านได้รับการปกป้อง แต่ด้านนอกนั้นอันตรายกว่ามาก อ้อ ใช่แล้ว เรือรบของลัทธิจอมมารดาลำนั้นจะให้ข้าช่วยพวกท่านจัดการหรือไม่เล่า” สายตาของสุนัขป่าสีดำตกต้องลงบนเรือรบซวีมู่ลำนั้น นัยน์ตามีประกายสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันชอบการเก็บรวบรวม!


“ไม่ต้องๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ข้าใช้เวลาสักหน่อยก็สามารถจัดการได้แล้ว”


“อื้ม”


สุนัขป่าสีดำขานรับเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนกายไปช้าๆ เมื่อก้าวออกไปก้าวหนึ่งเงาร่างก็เลือนรางไป จากนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขายังคงต้องการจะได้สมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามา เมื่อสุนัขป่าสีดำลงมือ ก็ไปอยู่กับมันเสียแล้ว


“คมมีดโลหิต เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาผู้นั้นเล่า” บรรพชนหุบเหวลึกชี้ไปทางเจ้าลัทธิซางตานซึ่งกำลังหมดสติล่องลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไป


“ทำลายทิ้งเสียเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็หันไป สายตาจับอยู่ที่เรือรบซวีมู่


“ทุกท่าน บัดนี้ข้ามีเพียงร่างเดียว จึงรบกวนพวกท่านช่วยพาชาวเผ่าที่อยู่ในโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบอพยพออกมาด้วย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “สงครามยุติแล้ว”


“อื้ม” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างเผยรอยยิ้มออกมา ใช่แล้ว ควรอพยพออกมาได้แล้ว


“ทว่าเมื่อผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว ได้เห็นผู้อาวุโส ก็รู้สึกว่าพลังของพวกเราช่างอ่อนแอนัก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “หลังสงครามจงตั้งใจฝึกฝนให้ดี ไม่แน่ว่ายุคจักรวาลนี้ของพวกเราอาจจะอ่อนแอกว่ายุคจักรวาลที่สามก็เป็นได้”


ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผางอี ประมุขหยวนชู ประมุขเกาะกาลมิติและคนอื่นๆ ต่างก็เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันแรงกล้าพวกเขาได้รับแรงกระตุ้นจากพลังของตงป๋อเสวี่ยอิง จากการบรรลุของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต จากวิกฤตที่ยุคจักรวาลจะแตกทำลาย รวมทั้งความแข็งแกร่งของสุนัขป่าสีดำ…การกระตุ้นเหล่านี้ทำให้พวกเขาอยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น


………………………………




ตอนที่ 20 การสิ้นชีพของบรรพชนมารดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในส่วนลึกของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขเกาะกาลมิติ บรรพชนหุบเหวลึก เจ้าแม่กานเหอ ประมุขตำหนักหมื่นเทพ และประมุขหยวนชู ร่างจริงของพวกเขาแปดคนล้วนอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งสิ้น หนึ่งในนั้น ผางอีหยิบเอาสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ขึ้นมาแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ทุกท่าน พวกเราออกไปกันเถิด”


“พี่ผางอี ช้าก่อน” เสียงหนึ่งดังขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เขาคือสมาชิกคนหนึ่งของกองทัพทำลายล้าง ก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาจากโลกภายนอกเข้ามาได้โดยตรง


“ตงป๋อหรือ”


“เจ้าต้องมาเพราะเรื่องเล็กๆ อย่างการอพยพนี่ด้วยหรือ”


เหล่าผู้ปกครองแต่ละคนคุยไปยิ้มไป ในโลกของผู้บำเพ็ญนั้นผู้แกร่งกล้าเป็นใหญ่ พลังยุทธ์อันน่าหวาดหวั่นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมาย่อมทำให้ทุกคนนับถือเขา นอกจากนี้ในใจของทุกคนยังเข้าใจลางๆ ว่าความเร็วในการบำเพ็ญรวดเร็วเช่นนี้ ถ้าหากบอกว่ายุคจักรวาลของพวกเขานี้จะยังมีผู้ใดมีหวังจะไล่ตามจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ ก็เกรงว่าคงจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว


“มีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งต้องการจะรบกวนสักหน่อย ปล่อยบรรพชนมารดำในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ออกมาเสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางประมุขเกาะกาลมิติ “ประมุขเกาะกาลมิติโปรดอภัยด้วย ความแค้นของอาจารย์ ข้าไม่ชำระแค้นไม่ได้”


ประมุขเกาะกาลมิติขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง


ไม่ว่าอย่างไรบรรพชนมารดำก็ยอมจำนนเป็นเบี้ยล่างแก่เขาแล้ว ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงแสดงอย่างชัดเจนว่าต้องการสังหารบรรพชนมารดำ แต่ก็มีชื่อว่า ‘ล้างแค้นให้อาจารย์’ ทำให้ประมุขเกาะกาลมิติเดือดดาลยิ่งนัก เขาก็เข้าใจดีว่า… ตอนนี้จะปลดปล่อยบรรพชนมารดำหรือไม่ ก็ขึ้นกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เพราะสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เป็นของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เขาอยากจะหยุดยั้งก็มิอาจหยุดยั้งได้!


“เฮอะ” ประมุขเกาะกาลมิติเอ่ยเสียงเย็น “เป็นถึงผู้ปกครองแต่มาสังหารสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง จะรังแกชนรุ่นหลังมากเกินไปแล้วหรือไม่”


“ข้าบอกแล้ว ความแค้นของท่านอาจารย์ อย่างไรก็ต้องถูกชำระ!” น้ำเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เย็นชาลง


ตนพูดขึ้นมาเอง แค่นี้ก็ไว้หน้ามากแล้ว


หากตนจะสังหาร ประมุขเกาะกาลมิติจะสามารถต้านทานได้หรือไร


“หึๆ” ประมุขเกาะกาลมิติหัวเราะเสียงเย็น “พลังยุทธ์ของผู้ปกครองตงป๋อนั้นสูงส่งกว่าข้า ภายในอาณาเขตของโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ เจ้ากับผางอีไม่ได้รับการขัดขวางแต่อย่างใด ข้ามิอาจปกป้องเขาได้ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถสังหารเขาได้หรือไร”


“ร่างแยกหนึ่งของเขามิได้อยู่ที่จักรวาลแห่งนี้หรอกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นหัวเราะ


เขาค้นพบตั้งนานแล้ว


ผลของการรับสัมผัสผ่านเหตุปัจจัยทั่วทั้งจักรวาล ทำได้เพียงค้นพบร่างหนึ่งของบรรพชนมารดำ ส่วนร่างแยกอีกร่างนั้นมิอาจหาพบ หรือว่าจะหลบซ่อนอยู่ในสถานที่แรกเริ่มหรือสถานที่ที่คล้ายคลึงกัน หรือไม่ก็ไปยังจักรวาลแห่งอื่น! อ้อ ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีร่างแยก บรรพชนมารดำมีเพียงชีวิตเดียว ไม่บำเพ็ญร่างแยกต่างหากจึงจะเป็นเรื่องน่าขัน ถ้าหากไม่บำเพ็ญแล้วสังหารร่างจริงของเขาโดยตรง เขาก็จะตายเช่นเดียวกัน


“ถูกต้อง ร่างแยกอีกร่างหนึ่งของเขาอยู่ที่จักรวาลแห่งอื่นจริงๆ ตลอดมาก็มิได้กลับมาเลย” ประมุขเกาะกาลมิติยิ้มเยาะ “ผู้ปกครองตงป๋อ ตอนนี้ยังมีความมั่นใจในการสังหารเขาอยู่อีกหรือไม่เล่า”


ผางอีแย้มยิ้มอยู่ข้างๆ เมื่อกำหนดจิตคราหนึ่ง บรรพชนมารดำก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ


เพราะเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ก็ได้อาศัยบริเวณของกฎเกณฑ์ตัดขาดวิธีการต่างๆ เช่นการถ่ายเสียงผ่านเหตุปัจจัยและการส่งสารทั้งมวลออกไป ภายในบริเวณของกฎเกณฑ์ของตน…ก็สามารถตั้งกฎเกณฑ์เองได้ วาจาที่เอ่ยออกไปก็คือกฎ! เว้นแต่ว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็ใช้บริเวณของกฎเกณฑ์บังคับต่อต้าน แต่ทุกคนก็เข้าใจในสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร้องขอนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิปักษ์กับตงป๋อเสวี่ยอิงในเวลานี้ ประมุขเกาะกาลมิติก็ไม่มีวิธีเตือนบรรพชนมารดำได้


“ท่านประมุขเกาะ” บรรพชนมารดำมองประมุขเกาะกาลมิติปราดหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็เห็นผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งอยู่รอบๆ ในเวลาเดียวกันก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน แต่เคราะห์ดีที่ร่างแยกอีกร่างได้เข้าสู่จักรวาลอีกแห่ง ดังนั้นเขาก็ยังสามารถใจเย็นอยู่ได้


“บรรพชนมารดำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


น้ำเสียงสั่นเครือ บรรพชนมารดำรู้สึกเพียงว่าคล้ายกับโลกตรงหน้าบิดเบี้ยวไป


เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ต่างก็พบว่าแววตาของบรรพชนมารดำทึบทึมไปแล้ว ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าบรรพชนมารดำหลงกลเสียแล้ว


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” หลังจากนั้นบรรพชนมารดำคล้ายจะมีสติฟื้นคืนมา เขาชี้ไปยังอากาศด้านข้างแล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า “เจ้าคิดจะสังหารข้าหรือ น่าเสียดายนักที่ข้าเคราะห์ดี ร่างแยกอีกร่างหนึ่งของข้ามิได้อยู่ที่จักรวาลแห่งนี้ เจ้าก็ย่อมไม่สามารถสังหารข้าได้ แม้กระทั่งร่างจริงร่างนี้ของข้า…ฮ่าฮ่า เจ้าอยากฆ่าก็ให้เจ้าฆ่าเสียเลย”


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


“ปัง!”


บรรพชนมารดำพลันระเบิดออก ตามหลังเสียงหัวเราะลั่น


“นับถือ” ผู้ปกครองนรกโลกันตร์เปิดปากพูด “การตัดขาดจักรวาลก็ถึงกับทำให้มารดำฆ่าตัวตายเสียแล้ว”


“ร่างแยกของมารดำชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน หลังจากนั้นร่างจริงนี้จึงฆ่าตัวตาย” ประมุขหยวนชูพูดอย่างชื่นชม “ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง”


สีหน้าของประมุขเกาะกาลมิติที่อยู่ด้านข้างยิ่งไม่น่าดูยิ่งขึ้นอีก


“ก็แค่เขตลวงนิดหน่อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


วิถีโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นผู้ปกครอง พูดถึงการควบคุมเขตลวงนั้น เขาก็เป็นที่หนึ่งในจักรวาลผู้บำเพ็ญ ก็แค่สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น… เผชิญหน้ากันคราหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้เขาตกเข้าไปในเขตลวง ความทรงจำของร่างจริงร่างแยกเชื่อมโยงกัน แล้วเข้าสู่เขตลวงไปพร้อมกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงชักนำให้หนึ่งร่างแยก หนึ่งร่างจริงของบรรพชนมารดำฆ่าตัวตายตามกัน หลังจากที่ร่างแยกฆ่าตัวตายแล้ว วิญญาณของร่างจริงก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง ประมุขหยวนชูก็อาศัยเคล็ดลับสอดแนมจนพบในส่วนนี้แล้วตัดสินใจได้ว่าให้ร่างแยกฆ่าตัวตายก่อน ร่างจริงฆ่าตัวตายตาม


“ไปเถิด ออกไปเสีย” ประมุขเกาะกาลมิติพูดอย่างเย็นชา


“ไป”


ผางอีพยักหน้า


พรึ่บ


ทันใดนั้นก็พาทุกคนเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่ง ก็ออกมาจากโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบมาถึงกลางฟากฟ้าของโลกภายนอก ท่ามกลางท้องฟ้าอันพร่างพรายไปด้วยแสงดาว ผางอีก็เริ่มต้นเคลื่อนย้ายผู้บำเพ็ญจำนวนมากจากในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ เหล่าผู้เคารพ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ เหล่าเทพโลกาจำนวนมาก แม้กระทั่งบรรดาคนเยาว์วัยที่มีพรสวรรค์ เคลื่อนย้ายเอาเหล่าบุคคลขั้นสุดยอดของจักรวาลผู้บำเพ็ญออกมาทั้งหมด


“อ้างอิงจากการวางแผนการอพยพก่อนหน้านี้” ผางอีพูด


“รับทราบ” บรรดาเหล่าผู้เคารพ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนต่างรับคำสั่ง พวกเขาผู้แกร่งกล้าหลายร้อยคนรับผิดชอบแต่ละส่วนของการอพยพ เพียงแต่ว่าสายตาของพวกเขาล้วนไปจับอยู่บนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างช่วยมิได้ พวกเขาสามารถรู้สึกได้ว่า… ‘จ้าวตงป๋อ’ หนึ่งในสามบรรพชนแห่งตำหนักเทพคมมีดโลหิต ตอนนี้อยู่ด้วยกันกับเหล่าผู้ปกครอง กลิ่นอายอันไร้รูปร่างก็มิได้ด้อยไปกว่าเหล่าผู้ปกครองเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้พวกเขาต่างก็พรั่นพรึงอยู่บ้าง


พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่บำเพ็ญด้วยระยะเวลาอันแสนสั้นเช่นนั้นจะเป็นผู้ปกครองได้ แต่ฉากเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาอดคิดมิได้


“จ้าวตงป๋อเป็นผู้ปกครองแล้วอย่างแน่นอน หากไร้ซึ่งจ้าวตงป๋อ การต่อสู้กับลัทธิจอมมารดาก็ไม่มีทางสิ้นสุดลงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หรอก” ผางอีพูดขึ้น


พวกผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็พยักหน้า


ทันใดนั้นความเงียบก็ปกคลุม


ในที่นั้นนอกจากบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มากมายแล้ว คนอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะรวมทั้งเทพโลกาของจักรวาลผู้บำเพ็ญ กับบรรดาผู้เยาว์วัยจำนวนมาก พวกเขาต่างก็ได้ยินกันอย่างกระจ่างชัดว่า… จ้าวตงป๋อที่เล่าลือกันนั้นไปถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว นี่ทำให้พวกเขารู้สึกพรั่นพรึง นี่ก็คือตำนานบทหนึ่งแล้ว!


……


สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มแยกย้ายกัน ทั้งจักรวาลผู้บำเพ็ญก็กลับสู่ความเงียบสงบ บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับยอดสุดต่างก็รู้ว่า นอกจากจ้าวตงป๋อกลายเป็นผู้ปกครองแล้ว บุคคลที่เป็นที่ยอมรับในโลกเทพหุบเหวลึกว่ากล้าแกร่งที่สุด อย่าง ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ก็ไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งที่สูงยิ่งกว่าแล้ว ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่พากันตกตะลึงพรึงเพริดด้วยเหตุนี้


เมื่อศิษย์พี่ฮุ่ยหมิงและบรรพชนเพลิงชาดรู้ว่าบรรพชนมารดำตายแล้ว ต่างก็คลายใจลง เทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ความสัมพันธ์ที่พวกเขาสองคนมีต่อจอมเทพธุลีแดงนั้นลึกล้ำยิ่งกว่า!


ความสัมพันธ์ระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงกับจอมเทพธุลีแดงนั้นผิวเผินยิ่งนัก แม้กระทั่งสังหารบรรพชนมารดำ ฝ่ายหนึ่งทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ ส่วนอีกฝ่ายนั้น ไม่มีเรื่องชั่วร้ายใดที่บรรพชนมารดำไม่กระทำ กระตุ้นจิตสังหารของเขาขึ้นมา


“ข้าเป็นผู้ปกครองแล้ว เรื่องราวมากมายที่อยากทำในอดีต ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องไปทำแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ “แต่เกรงว่าประมุขเกาะกาลมิติคงจะต่อต้านอย่างร้ายกาจยิ่งทีเดียว”


…………………………………..




ตอนที่ 21 ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นายท่าน” น้ำเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น


ประมุขเกาะกาลมิติที่นั่งขัดสมาธิ หลับตาบำเพ็ญอยู่เงียบๆ บนผืนหญ้าสีเงินยวงลืมตาขึ้น เขารู้ว่าเสียงนี้เป็นของวิญญาณอาวุธจากตำหนักเทพกาลมิติมารายงาน


“มีเรื่องอันใดหรือ” ประมุขเกาะกาลมิติถาม


“เด็กน้อยที่ข้าควบคุมเอาไว้หลายคนถูกจ้าวตงป๋อบังคับพาตัวไปเสียแล้วขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยต่อไป “ทั้งยังกำจัดรอยประทับที่ข้าทิ้งเอาไว้บนดวงวิญญาณของเจ้าเด็กหลายคนนั้นด้วย เจ้าเด็กหลายคนนั้นก็คือจักรพรรดิกระบี่ นายท่านแห่งภูเขาเหมยและคนอื่นๆ ที่รู้จักกับจ้าวตงป๋อตอนอยู่ในขั้นเหนือธรรมดา”


“เฮอะ” ประมุขเกาะกาลมิติส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น “จะพาไปก็พาไปเถิด ผู้เวียนว่ายมีเป็นพันล้านคน น้อยไปไม่กี่คนนั่นก็ไม่เห็นเป็นไร”


“ขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำยอมรับแต่โดยดี


“ไปเสียเถิด” ประมุขเกาะกาลมิติคร้านจะพูดให้มากความ


“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างเป็นคนที่มีเมตตาเสียจริง” นัยน์ตาของประมุขเกาะกาลมิติมีประกายหนาวเหน็บ เพียงแต่ส่วนที่ลึกที่สุดในใจมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ เงาร่างนั้นช่างห่างไกลและเลือนรางนัก เขาเองก็เคยมีคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตมาก่อน เพียงแต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงความจอมปลอม เป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น


ประมุขเกาะกาลมิติหัวเราะเยียบเย็นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ก็ได้รับรายงานบอกว่าเขาย้อนเวลาไปฟื้นคืนชีพให้กับเจ้าเด็กจำนวนหนึ่งจากภายในมหานทีแห่งกาลเวลา เรียกถงซานอะไรกัน อนุชนรุ่นหลังของเฉิงหลิงซูที่แสนอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง พวกนั้นต่างก็เป็นแค่คนของโลกเผ่าเซี่ยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยแม้กระทั่งผู้เวียนว่ายไม่กี่คนที่เพียงแค่ผ่านภูผาศิลาแดงมาด้วยกัน ช่างใจอ่อนเสียจริง! ใจอ่อนเช่นนี้แต่ถึงกับสามารถเป็นผู้ปกครองอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้!”


แม้ว่าเขาจะไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรมิได้


พูดถึงพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นสุดยอดในบรรดาผู้ปกครอง สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ครองชิงและผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ถ้าหากใช้น้ำเต้าสีดำนั่น… เว้นแต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะลงมือ มิฉะนั้นก็คือไร้ซึ่งศัตรูแล้ว! ความกดดันของพลังยุทธ์นี้ ทำให้ประมุขเกาะกาลมิติได้แต่อดทน!


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ของทั้งจักรวาลในตอนนี้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลายเป็นเทพอากาศ สูงส่งเหนือผู้คน! ผู้ใดก็ไม่อยากไปล่วงเกินจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เพราะในภายหน้าเมื่อสิ้นสุดจักรวาล ยังต้องการให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพาพวกเขาจากไปพร้อมกันด้วย!


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกับตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์อาจารย์กันอีกด้วย!


ไม่ว่าจะเพราะพลังยุทธ์ หรือศักยภาพของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อคิดถึงอนาคตแล้วเหล่าผู้ปกครองล้วนต้องทำดีกับตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไว้! ส่วนผู้มีอุปนิสัยหัวรั้นอย่างประมุขเกาะกาลมิติก็ได้แต่อดทนเท่านั้น


******


ในเมื่อตนมีพลังยุทธ์เช่นนี้ เรื่องที่ควรทำก็สมควรต้องทำ! ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยให้คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งฟื้นคืนชีพจริงๆ แต่สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงแค่เรื่องง่ายดายราวกับปอกกล้วยเท่านั้น ทว่าสำหรับผู้คนมากมายที่เขาช่วยให้ฟื้นคืนชีพนั้นช่างสำคัญเหลือเกิน ยามที่นายท่านแห่งภูเขาเหมยกับผู้คนอันเป็นที่รักของเขาพบหน้ากัน แต่ละคนก็มีน้ำตานองหน้า จักรพรรดิกระบี่ก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาจากการหัวเราะก็ไหลรินออกมาเสียแล้ว…


“ท่านอาจารย์”


ท่ามกลางท้องฟ้ากระจ่างดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงบริเวณที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ตอนนี้ป้อมปราการทรงกลมแห่งนั้นถูกค่ายกลอันซับซ้อนรายล้อมเอาไว้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่กลางท้องฟ้า มองดูอยู่ห่างๆ พลางควบคุมค่ายกลไปในขณะเดียวกัน แล้วคิดไตร่ตรองเป็นระยะๆ สำหรับเรือรบซวีมู่ลำนั้นได้ถูกทำลายไปก่อนแล้ว ส่วนบรรดาเจ้าลัทธิจอมมารดาที่อยู่ข้างในเหล่านั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ตัดศีรษะสังหารไปอย่างไม่ไว้ไม่ตรีไปหมดแล้ว


“เสวี่ยอิง เจ้ามาแล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองลูกศิษย์ของตนยิ้มๆ ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางป้อมปราการทรงกลมอันโบร่ำโบราณที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ภายในที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแห่งนีัมีเพียงแค่เจ้าลัทธิสองท่านเท่านั้น ทั้งยังถูกข้าใช้วิชาลับทำให้ตกใจตายไปแล้ว ตอนนี้ภายในป้อมปราการแห่งนี้จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่อีกแล้ว แต่ข้าก็เปิดมันไม่ออก ทั้งยังมิอาจหลอมแปรมันได้ด้วย เสวี่ยอิง เจ้ามีวิธีบ้างหรือไม่เล่า”


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจ ท่านอาจารย์ของตนคู่ควรที่จะเป็นเทพอากาศจริงๆ สามารถทำลายที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแล้วสังหารเจ้าลัทธิทั้งสองที่อยู่ภายในจนตายได้


“พูดถึงเรื่องค่ายกลและสมบัติล้ำค่า ข้ายังห่างชั้นกับท่านอาจารย์มากมายเหลือเกิน ท่านอาจารย์อย่าถามเรื่องเหล่านี้กับข้าเลยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแย้มยิ้ม ก็ถูก แม้ว่าศิษย์ของตนจะร้ายกาจ แต่สิ่งที่จำเป็นในการเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งนั้นก็คือจิตใจที่สงบ สิ้นเปลืองพลังงาน อาศัยเวลาอันยาวนาน และประสบการณ์ จึงจะก่อให้เกิดความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ หากมีเวลาไม่เพียงพอก็ไม่ได้


“เจ้ามาที่นี่คงจะมิใช่มาเยี่ยมเยียนข้าหรอกกระมัง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “พูดมาเถิด มีเรื่องอันใดหรือ”


ระดับขั้นของเขาในตอนนี้ก็ล้ำเลิศไร้ศัตรูในจักรวาลแล้ว สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้ก็คือการเดินในเส้นทางการบำเพ็ญให้ไกลยิ่งขึ้น! ‘จอมมาร’ และ ‘จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ’ จากเผ่าเดียวกันต่างก็เดินอยู่ข้างหน้า


“มีธุระพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์ ตำหนักเทพกาลมิติหยั่งรากลึกในโลกเทพและหุบเหวลึก ถือเป็นเนื้อร้ายชิ้นใหญ่ของโลกวัตถุ เหนือธรรมดาสัจจาชั้นสาม มันก็สามารถบีบบังคับช่วงชิงไปแล้วควบคุมวิญญาณ ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับภารกิจที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า… บีบบังคับให้พวกเขาต้องเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นความตายแล้วคัดเลือก ตายไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เว้นแต่จะมีเหนือธรรมดาสัจจาชั้นสองจึงจะมีสิทธิ์ปฏิเสธได้ แต่โลกมนุษย์ธรรมดาใบหนึ่งจะมีเหนือธรรมดาสัจจาชั้นสองถือกำเนิดขึ้นมาสักคนนั้นยากเย็นเพียงใด พูดได้ว่าชีวิตในโลกมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วน ตำหนักเทพกาลมิติอยากจะจับกุมใครก็จับ พันล้านชีวิตถูกทรมานจนตาย แม้ว่าจะมีส่วนน้อยที่กลายเป็นเทพ ก็ถูกพวกเขาควบคุมเช่นเดิมอยู่ดี!”


“พอถูกพวกเขาจับตัวไปแล้ว คิดจะได้รับอิสรภาพนั้นยากเย็นเหลือแสน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต “ตำหนักเทพกาลมิติไม่ควรมีอยู่อีกต่อไป! ถึงแม้จะอยู่ต่อไปได้เหมือนเดิม ก็จะจับตัวสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งจักรวาลตามอำเภอใจเช่นนี้อีกมิได้”


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตฟังแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าเห็นด้วย เจ้ามาหาข้าก็เพราะอยากจะให้ข้าออกหน้าให้อย่างนั้นหรือ”


“ใช่แล้วขอรับ ประมุขเกาะกาลมิติควบคุมมิติได้ หากข้าเปิดปากพูด เกรงว่าเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้ แต่ถ้าหากท่านอาจารย์ออกหน้า เช่นนั้นก็คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้าเบาๆ “ตอนนั้นข้า หยวนชู กับคนอื่นๆ ก็ต่อต้านเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่สามารถทำอะไรประมุขเกาะกาลมิติได้ ก็ได้แต่ต่อรองกับเขาแล้วตรากฎขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาสมดุลของจักรวาล”


“ตอนนี้ก็ควรจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “เช่นนี้ก็แล้วกัน ต่อจากนี้เป็นต้นไป ตำหนักเทพกาลมิติจะทำได้เพียงพาวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วเหล่านั้นไปเท่านั้น! ให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงกายเนื้อ ทำให้พวกเขาได้เริ่มต้นอีกบทของชีวิต”


“ดีขอรับ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกายวูบหนึ่ง


สิ่งมีชีวิตที่ตายไป เดิมทีก็จบสิ้นแล้ว


ถ้าหากมีการเดินทางครั้งใหม่ ก็นับว่ากลับกลายเป็นเรื่องดี


“เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้แล้วกันนะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ วาจาประโยคหนึ่ง ประมุขเกาะกาลมิติก็ต้องฟังแต่โดยดี หากไม่ฟังคำหรือก็จะทำลายตำหนักเทพกาลมิติเสียเลย!


“ท่านอาจารย์ ข้าอยากถามมาโดยตลอดว่าตอนนั้นท่านสร้างหอสุราคมมีดโลหิตขึ้นมาเพราะเหตุใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเลิกคิ้วขึ้นพลางแย้มยิ้ม “เจ้าเด็กนี่ ข้าสร้างหอสุราคมมีดโลหิตขึ้นที่โลกวัตถุโลกเทพหุบเหวลึก หนึ่ง เป็นเพราะมือสังหารย่อมไม่มีทางหมดสิ้นไปตลอดกาล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็เลยสร้างกฎให้กับกิจการมือสังหาร ข้อสอง ก็เป็นเหตุผลหลัก ที่ข้าก่อตั้งหอสุราคมมีดโลหิต เช่นนั้นเมื่อมือสังหารทั่วทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนไปยังค่ายสังหาร เหตุปัจจัยเหล่านี้ต่างก็มีข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย… ข้าถูกเหตุปัจจัยอันไร้ที่สิ้นสุดผูกมัดเอาไว้ทุกวันทุกคืน ค่ายสังหาร คาวเลือด และความเกลียดชัง… ทั้งหมดนี้สามารถขัดเกลาระดับจิตใจของข้า ทำให้ประสบการณ์ใน ‘วิถีทำลายล้าง’ และ ‘วิถีคมมีดโลหิต’ ของข้าสามารถเพิ่มความล้ำลึกขึ้นได้”


ตงป๋อเสวี่ยอิงชะงัก


เพื่อการบำเพ็ญเช่นนั้นหรือ


เหตุปัจจัยจำนวนนับไม่ถ้วนเหตุปัจจัยผูกมัดเอาไว้ทุกวันทุกคืน คาวเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน เสียงคร่ำครวญกึกก้องรายล้อม วันคืนเหล่านี้จะต้องเป็นความทุกข์ทรมานอย่างมาก


“ไปเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด


……


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปิดปากพูด ประมุขเกาะกาลมิติก็ฟังคำแต่โดยดีในทันที จากนี้ไปตำหนักเทพกาลมิติทำได้เพียงพาดวงวิญญาณที่เสียชีวิตแล้วไป ผู้เวียนว่ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกพาตัวไปก่อนหน้านี้ต่างก็ได้รับโอกาสเลือก.. สามารถเลือกเป็นอิสระได้! ถ้าหากเลือกที่จะเป็นผู้เวียนว่ายต่อไป ก็จะมีของกำนัลอันยิ่งใหญ่มอบให้


เวลาเคลื่อนผ่านไป


เพราะการถือกำเนิดของเทพอากาศ มีบุคคลผู้ไร้ซึ่งศัตรูท่านหนึ่งนั่งอยู่ในจักรวาล ดังนั้นภายในจักรวาลจึงกลับกลายเป็นเงียบสงบยิ่งขึ้น ต่างก็รู้ว่าเมื่อถึงจุดสิ้นยุคจักรวาลแล้วก็สามารถจากไปได้ ไม่มีความรู้สึกเร่งรัดเหล่านั้นอีกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าผู้ปกครองแต่ละคนก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก


ผ่านไปปีแล้วปีเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงพา รางแยกหนึ่งของลูกศิษย์ ‘เจ้าเจ็ดแห่งตระกูลฉง’ ออกมา ทำให้เจ้าเจ็ดแห่งตระกูลฉงรู้จักฟ้าดินอย่างกว้างขวางขึ้น สำหรับการบำเพ็ญและการกำหนดอารมณ์


ส่วนภรรยาจิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยา ศิษย์โม๋ชงอวิ๋น ศิษย์เจียอวิ๋น และฉือชิวไป๋นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ส่งพวกเขาไปยัง ‘จักรวาลคีรีมาร’ อีกครั้งหนึ่ง แต่ว่ารอคอยอยู่ในจักรวาลคีรีมารไม่ถึงล้านปี ผู้ที่ก้าวหน้าที่สุดก็คือโม๋ชงอวิ๋น รอคอยมาเก้าแสนแปดหมื่นปี แน่นอนว่า… หนึ่งล้านปีของจักรวาลผู้บำเพ็ญ แต่กลับนานกว่าสามพันล้านปีในจักรวาลคีรีมาร


มีสหายที่ดีของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่าง ‘ท่านชายสาม’ เจียวอวิ๋นหลิวคอยช่วยเหลือ พวกอวี๋จิ้งชิวต่างก็ได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับการบำเพ็ญ สามารถบำเพ็ญระบบอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยได้ ที่จักรวาลคีรีมารก็มีผู้แกร่งกล้าจากระบบอื่นๆ คอยชี้แนะให้


ในที่สุด


บุตรสาว ‘ตงป๋อชิงเหยา’ ใช้เวลาบำเพ็ญทั้งหมดเก้าร้อยล้านปีกว่า บรรลุสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนแรกสุด!


ส่วนอีกคนก็คือศิษย์คนโตโม๋ชงอวิ๋น ใช้เวลาสามพันล้านปีกว่า ก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน


ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ติดอยู่ที่ระดับขั้นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นมาโดยตลอด อวี๋จิ้งชิวได้ฝึกวิถี ‘ทิพย์’ อีกสายควบคู่ไปด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุได้ชั่วคราวเช่นกัน


……


ทะเลหมอกดำ จวนจ้าวตงป๋อ


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวมองดูท้องฟ้าอยู่ตามลำพัง เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศข้างๆ ซึ่งก็คืออวี๋จิ้งชิวนั่นเอง


“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง


ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องชาย ท่านอาจง ท่านอาถงนั้น พวกเขาพยายามทุกวิถีทางแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงบำเพ็ญสำเร็จเป็นวิญญาณเทพ อายุขัยของวิญญาณเทพมีจำกัด โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยล้านปี วันเวลาก่อนหน้านี้ พวกท่านพ่อ ท่านแม่ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่อาศัยสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนของเวลา พวกเขากำลังรอคอย รอท่านอาจง ท่านอาถง และตงป๋อชิงสือ พวกเขาอยากจะไปพร้อมกัน พวกเขาช่างมีจิตใจดียิ่งนัก รู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ก็พึงพอใจมากแล้ว


“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาจง ท่านอาถง เจ้าหินน้อย…” ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเหล่านั้น ตอนนี้พวกเขาจะไปแล้ว จะจากไปตลอดกาลแล้ว! ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าหัวใจว่างโหวงไปหมด


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกหวาดกลัววันนี้มาตลอด


แต่ก็ยังมาถึงจนได้!


เขาเคยคิดว่าตนจะสามารถยอมรับได้อย่างสงบ แต่เมื่อชั่วขณะนี้มาถึงจริงๆ แล้วเขากลับพบว่า นั่นคือการที่ชีวิตของตนถูกตัดขาด! หัวใจของตนถูกตัดขาด! เจ็บ เจ็บเหลือเกิน


“ไป พวกเราไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


……………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)