Snow Eagle Lord ภาค 25 ตอนที่ 14-17
ตอนที่ 14 น้ำเต้าสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
นกสีดำบนบ่าของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตขยายขนาดใหญ่ขึ้น ปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้าในทันใด มีขนาดใหญ่กว่าดวงดาวเป็นพันเท่าหมื่นเท่า เงาร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปลี่ยนแปรแล้วแยกออกให้เห็นเป็นสองร่าง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งสองคนสำแดงค่ายกลไปพร้อมกัน…ค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งปรากฏขึ้นเหนือปีกทั้งสองของอาจารย์ห้ากาฬปักษา เหนือปีกข้างหนึ่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ส่วนอีกข้างกลับเต็มไปด้วยน้ำแข็ง
“ปัง…” อาจารย์ห้ากาฬปักษากระพือปีก เพลิงและน้ำแข็งพลันบรรจบกัน ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นแผ่กวาดออกมาด้านหน้า ทำลายล้างทุกหนแห่งที่มันผ่านไป
ร่างแยกและค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งสองร่วมแรงกับนกสีดำ ก่อให้เกิดเป็นพลังที่ทำให้คนตะลึงงันจนมิอาจเอ่ยวาจา
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างเองก็ยังรู้สึกตื่นตระหนก นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสำแดงพลังอย่างสุดกำลัง เหมือนตนเองที่ถึงแม้จะมีร่างจริงร่างแยกรวมทั้งสิ้นสามร่าง แต่ก็เป็นการต่างคนต่างสู้ ทว่าสำหรับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนั้น ร่างแยกทั้้งสองกลับควบคุมค่ายกลสองแห่งร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้พลังได้รับการยกระดับขึ้น
“ช่างเป็นผู้ปกครองที่แข็งแกร่งเสียจริง” ภายในเรือบินอลวน รูปสลักขนาดมหึมา ‘กู่กานหลัว’ ที่มองดูฉากนี้อยู่ห่างๆ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ถ้าหากไม่มีเรือบินอลวน ถึงแม้ว่าจะอาศัยสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ก็ตาม เกรงว่ายามที่ข้าแตะจุดสูงสุดก็จะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว! ในจักรวาลแห่งนี้ถึงกับสามารถให้กำเนิดผู้ปกครองที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ออกมาได้ พลังยุทธ์เช่นนี้ก็เพียงพอให้รับมือกับเทพอากาศได้หลายกระบวนท่าแล้ว”
ในใจของกู่กานหลัวเกิดความริษยาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สายตาของเขาก็มองออกว่า ‘นกสีดำ’ ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างพิเศษ และเป็นเพียงระดับผู้ปกครองเท่านั้นเช่นเดียวกัน
ตัวเองร่วมมือกับผู้ติดตามคนหนึ่งก็แสดงพลังยุทธ์เช่นนี้ออกมาได้… ถ้าหากอยู่ต่อหน้าบรรพชนกู่ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้นี้คงมีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นบุตรทิพย์มากกว่าเขา กู่กานหลัวผู้นี้เสียอีก! สถานะของเขาต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักตั้ง
“เฮอะ” ถึงแม้ว่าจะอิจฉา แต่กู่กานหลัวก็ยังคงไม่แยแสเช่นเดิม “สุดท้ายก็ยังมิได้เดินออกจากจักรวาล รอให้ได้สมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามาก่อนเถิด จะกำจัดเขาทิ้งเสียเลย!”
……
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเพียงคนเดียวก็ระเบิดการโจมตีอันแข็งแกร่งออกมาได้ ส่วนประมุขหยวนชู เจ้าแม่กานเหอ ผู้ครองชิง ประมุขตำหนักหมื่นเทพ และผางอี พวกเขาห้าคนก็ควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่ค่ายหนึ่งในเวลาเดียวกัน โดยมีประมุขหยวนชูเป็นหลัก การโจมตีของค่ายกลทุกครั้งต่างก็มีรอยแยกสีดำขลับปรากฏขึ้น ทั้งยังมีพลังโจมตีที่ชวนให้คนตื่นตะลึง
นอกเหนือจากนี้แล้ว ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนหุบเหวลึก และประมุขเกาะกาลมิตินั้น พวกเขาทั้งสี่คนล้วนต่างคนต่างสู้
เพราะสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกล้าที่เหมาะสมกับทางฝั่งผู้บำเพ็ญนั้นมีน้อยเกินไป
“ปัง…” ทุกครั้งที่อาจารย์ห้ากาฬปักษากระพือปีก ล้วนมีพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายออกมา
“พรึ่บ!” ประมุขหยวนชูและผู้ปกครองห้าท่านควบคุมค่ายกลโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างก็เชี่ยวชาญค่ายกล มีรอยแยกปรากฏขึ้นทันทีในทุกการโจมตี หมายจะฉีกทึ้งลัทธิจอมมารดา
ถึงแม้ว่าพวกตงป๋อเสวี่ยอิง และผู้ปกครองนรกโลกันตร์แต่ละคนจะกำลังลงมือ แต่พลังการโจมตีของพวกเขาก็ค่อนข้างอ่อนแอ เพราะสุดท้ายก็ยังอยู่ในขอบเขตของขั้นผู้ปกครอง ย่อมมิอาจคุกคามลัทธิจอมมารดาได้อยู่แล้ว!
ทางฝั่งลัทธิจอมมารดานั้นมีการป้องกันถึงสามชั้นเต็มๆ
ชั้นหนึ่งคือเรือรบซวีมู่ที่เบื้องล่างของเจดีย์สังเวย ซึ่งมีรากอากาศจำนวนมากคอยบินวนรายล้อมรอบเจดีย์สังเวยเพื่ออารักขาเจดีย์สังเวย
ชั้นที่สองคือเรือบินอลวนที่อยู่ด้านบนเหนือเจดีย์สังเวย ก็คอยป้องกันอยู่เช่นกัน
ชั้นที่สามคือค่ายกลที่กู่กานหลัวมอบให้กับลัทธิจอมมารดาเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ปัง ปัง ปัง” “ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
การโจมตีของฝั่งผู้บำเพ็ญดุร้ายบ้าคลั่ง แต่ก็ทำลายการขัดขวางของรยางค์จำนวนมากมายอย่างทุลักทุเลยิ่ง ลำพังแค่การป้องกันอันไร้รูปร่างของเรือบินอลวนที่มีต่อมิติเบื้องล่างก็สามารถสกัดกั้นพลานุภาพที่หลงเหลืออยู่เอาไว้ได้แล้ว
“ข้าประเมินพวกเขาสูงเกินไปเสียแล้ว ทั้งยังให้ลัทธิจอมมารดายืมค่ายกลหกแห่งอีกด้วย” เมื่อกู่กานหลัวที่อยู่ภายในเรือบินอลวนได้เห็นก็อดส่ายหน้ายิ้มเยาะมิได้ ใช่แล้ว แค่สองด่านแรกก็ป้องกันเอาไว้ได้แล้ว ค่ายกลย่อมไม่ได้รับการโจมตีแต่อย่างใด
“เร็วเข้า”
“กระตุ้นเร็วเข้าสิ”
เหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาต่างก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าชายชราผอมแห้งผู้นั้นกลับสวดพึมพำอยู่หน้าเจดีย์สังเวย มิได้เร่งร้อนเลยแม้แต่น้อย
กระบวนการกระตุ้นนี้จำเป็นต้องทำทีละขั้นละตอน
ตามการกระตุ้นอย่างค่อยๆ ของชายชราผอมแห้ง พลังของเจดีย์สังเวยก็ทวีความปั่นป่วนยิ่งขึ้น มีการรับสัมผัสกับบุคคลผู้สูงส่งอย่างที่สุดที่อยู่ห่างออกไปไกลเป็นที่สุดคนหนึ่ง
“จอมมารดา”
ชายชราผอมแห้งเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนมารดา เขารู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดนั้นแล้ว อยู่ต่อหน้าพลังเช่นนี้ ถึงแม้ตัวเขาจะเป็นขั้นเจ้าลัทธิ แต่ก็ราวกับมดปลวกตัวหนึ่งที่อยู่กลางอากาศ
“ปัง…”
ทันใดนั้นเจดีย์สังเวยก็ระเบิดพลังอันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมา แล้วเริ่มต้นสั่นพ้องไปกับเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาอื่นๆ แห่งแล้วแห่งเล่าที่ปรากฏขึ้นในจักรวาล การสั่นพ้องชนิดนี้ค่อยๆ ทำให้เกิดแบบแผนที่เริ่มมีความเสถียร แต่ความแปรปรวนของพลังฟ้าดินทั่วทั้งจักรวาลผู้บำเพ็ญกลับยิ่งทวีความรุนแรง เหล่าชีวิตเหนือธรรมดาในโลกเทพ โลกวัตถุ และหุบเหวลึกดำมืดจำนวนหนึ่งต่างก็ค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าไม่มีทางดูดซับพลังฟ้าดินได้แล้ว เพราะว่าบ้าคลั่งเกินไป
“ใกล้เสร็จแล้ว” เมื่อบรรดาเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ในเรือรบซวีมู่ได้เห็นฉากนี้ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
“ทำอย่างไรดี ตีไม่แตกเสียที ทำอย่างไรดีเล่า” ผู้ครองชิงเผยสีหน้าร้อนรนออกมา
“เจดีย์สังเวยนั้นมีเรือรบลำนั้นอยู่ ทั้งยังมีการป้องกันของเรือบินอลวนอีกด้วย ยังมีแม้กระทั่งการป้องกันจากค่ายกลอันน่าอัศจรรย์แห่งหนึ่ง ตอนนี้พวกเรายังตีไม่แตกแม้กระทั่งการป้องกันของเรือบินอลวนเลย” ประมุขหยวนชูก็มีสีหน้าไม่น่าดูเช่นเดียวกัน
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ร้อนรนไม่ต่างกัน
ทำอย่างไรดีเล่า
ลัทธิจอมมารดาจำเป็นต้องติดตั้งเจดีย์สังเวยหกแห่ง จึงจะสามารถติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาให้สำเร็จได้ แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งจักรวาลโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเจดีย์สังเวยทุกแห่งจึงจำเป็นต้องมีการรักษาการณ์ ทว่าเรือรบซวีมู่มีอยู่เพียงลำเดียว เรือบินอลวนก็มีเพียงแค่ลำเดียว นี่คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ลัทธิจอมมารดามิได้ติดตั้งเจดีย์สังเวยมาโดยตลอด เพราะว่าติดตั้งไปก็มิอาจป้องกันได้!
แต่ทว่าค่ายกลอันน่าอัศจรรย์แห่งนั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ในด้านค่ายกล จึงย่อมดูออกอย่างสมบูรณ์ “ค่ายกลที่คอยปกป้องเจดีย์สังเวยแห่งนี้มีความพิเศษและเร้นลับอย่างที่สุด เกรงว่าพลังในการป้องกันจะยังอยู่บนเรือรบซวีมู่ และเรือบินอลวน”
แน่นอนว่าการป้องกันอันแท้จริงของเรือบินอลวนเลิศล้ำเป็นที่สุด แต่ถึงอย่างไรกู่กานหลัวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาเพียงแค่หยุดเรือบินอลวนเอาไว้เหนือเจดีย์สังเวย แล้วควบคุมอากาศเบื้องล่าง เป็นการรักษาการณ์อย่างง่ายๆ เท่านั้น การป้องกันที่ง่ายดายพรรค์นี้… มิอาจสู้ค่ายกลของผู้รักษากฎแห่งนั้นได้เลย
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเห็นค่ายกลเช่นนี้มาก่อนเลย”
“นอกจากนี้ความพิเศษและเร้นลับเช่นนี้ ไม่เหมือนกับระบบลัทธิจอมมารดาเอาเสียเลย เกรงว่าจะเป็นกู่กานหลัวหยิบออกมาใช้น่ะสิ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกระวนกระวาย “ในที่สุดเขาก็ลงมือ เกรงว่าจะเป็นการทำให้มั่นใจว่าเจดีย์สังเวยทั้งหกแห่งได้รับการอารักขาอย่างเพียงพอ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีเล่า”
……
ทางฝั่งผู้บำเพ็ญไร้หนทางโดยสิ้นเชิง พูดถึงภูมิหลัง พวกเขาก็ย่ำแย่กว่าลัทธิจอมมารดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเปรียบเทียบกับกู่กานหลัวเลย
“จอมมารดาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเจดีย์สังเวยแห่งแรกนั้นอยู่ห่างๆ พลานุภาพของเจดีย์สังเวยแห่งแรกก็แผ่กวาดไปทั่วทั้งจักรวาลแล้ว หลากหลายพื้นที่ต่างก็มีเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งแล้วแห่งเล่าปรากฏขึ้น ด้วยการรับสัมผัสต่ออากาศของเขา ย่อมสามารถรับสัมผัสได้ถึงเจดีย์สังเวยสีเทาเหล่านั้น “จอมมารดาช่างเหิมเกริมเสียจริง”
เมื่อบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ด ซึ่งก็คือยามที่อยู่ในแดนผู้ปกครองแล้ว ก็สามารถเข้าไปท่องในอากาศอันสับสนอลหม่านได้แล้ว! และการถ่ายทอดที่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีทิ้งเอาไว้ก็มีการถ่ายทอดข้อมูลภายในอากาศอันสับสนอลหม่านเอาไว้จำนวนมากมาย รวมถึงข้อมูลของโลกทิพย์ด้วย
ด้วยสถานะของท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ข้อมูลที่ให้เอาไว้ก็ย่อมมหาศาลยิ่งนัก
อากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลและโลกทิพย์ทั้งห้า! เช่นเดียวกับบุคคลผู้น่าเกรงขามแต่ละท่าน… อย่างเช่น บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ และท่านบรรพชนคีรีมาร เป็นต้น ท่านเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลที่ไปถึงจุดสูงสุดของการบำเพ็ญ! เหมือนกับวิชาลับผู้ท่องของระบบผู้ท่องอากาศ เพียงแค่ไปถึงขั้นที่ห้าสิบเอ็ดเป็นต้นไป ก็นับได้ว่าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นสุดยอดสุดท้ายของการบำเพ็ญแล้ว
นั่นคือระดับขั้นที่น่าเหลือเชื่อ แน่นอนว่าระดับขั้นนั้นก็มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ผู้บุกเบิกเฉกเช่นผู้ท่องอากาศนั้น นั่นคือผู้ที่สำเร็จทั้งวิชาลับผู้ท่อง ทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
ในบรรดาบุคคลขั้นสุดยอด ‘จอมมารดา’ ก็คือบุคคลที่โอหังเป็นที่สุดผู้หนึ่ง ระบบการบำเพ็ญนี้ศรัทธาในตัวจอมมารดา และปฏิเสธระบบอื่นๆ ทั้งหมด! ทั้งหมดล้วนให้จอมมารดาเป็นที่เคารพเทิดทูนสูงสุด! แม้กระทั่งแท่นบูชาจอมมารดาก็สามารถหยิบยืมเอาพลังที่ ‘จอมมารดา’ มอบให้มาใช้เปลี่ยนแปลงจักรวาลแห่งหนึ่ง ทำให้จักรวาลอื่นๆ กลายเป็นจักรวาลของจอมมารดาได้
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว บุคคลเช่นนี้ย่อมต้องเผชิญกับการแบ่งแยกจากบรรดาบุคคลขั้นสุดยอดคนอื่นๆ แต่จอมมารดาก็มีสถานะอันมั่นคงเช่นเดิม ก็คือแกร่งกล้าเหลือเกิน!
“ยังคงใช้น้ำเต้าสีดำดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือหยิบเอาน้ำเต้าสีดำออกมา
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าจะใช้จริงๆ หรือ” วิญญาณอาวุธส่งเสียงมา “ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ปกครอง เคลื่อนพลังขั้นที่สองของน้ำเต้าสีดำ… นั่นอาจจะทำร้ายทั่วทั้งจักรวาลได้! ถ้าหากบ้าคลั่งเกินไป ถึงขั้นทำลายทั้งจักรวาลจนสูญสลาย ก็มีความเป็นไปได้นะ”
“ข้าเข้าใจ ข้าจะควบคุมขอบเขตอย่างระมัดระวังที่สุดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ยามที่อยู่ในแดนผู้เคารพ พลังที่น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ปกครองทุกคนต้องล่าถอย!
ทว่ายามที่อยู่ในแดนผู้ปกครองนั้น สิ่งที่น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยออกมา มิใช่ระลอกคลื่นอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า เพียงพอที่จะทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นเทพอากาศ ‘แดนกำเนิด’ ต้องล่าถอย เหล่าเทพอากาศธรรมดาล้วนต้านทานไม่อยู่ จะเห็นได้ว่าพลานุภาพนี้น่าหวั่นเกรงเพียงใด พึงปรารถนาเพียงใด และมีเพียงพลานุภาพที่แข็งแกร่งเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องผู้ท่องอากาศในแดนผู้ปกครองเอาไว้ได้!
“น้ำเต้าสีดำหรือ”
กู่กานหลัว รวมถึงเหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาที่อยู่ภายในเรือบินอลวน ที่คอยจับตามองฝั่งผู้บำเพ็ญอยู่ตลอดเวลาต่างก็ดูแคลนอยู่บ้าง
พลานุภาพของน้ำเต้าสีดำนั้น พวกเขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว ระลอกคลื่นสีดำนั้นระห่ำบ้าคลั่ง มาถึงขั้นเทพอากาศอย่างทุลักทุเล แม้กระทั่งการโจมตีของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็มิอาจสู้ได้ ยังจะมาผสมผสานกันอีกหรือ
“ปั้ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงดึงจุกปิดน้ำเต้าสีดำออก
……………………………………………….
ตอนที่ 15 เพลิงทอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสค่ายกลอันว่างเปล่าที่พิสดารยากเกินคาดเดาภายในน้ำเต้าสีดำแล้วก็เริ่มกระตุ้นและควบคุมมัน หลังบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว วิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของลูกไฟซึ่งเทียบได้กับ ‘ดวงอาทิตย์’ ภายในน้ำเต้าสีดำได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระมัดระวังเป็นอันมาก เพราะเขารู้ดีว่าหากพละกำลังเช่นนี้ทำลายล้างอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว ก็จะสามารถทำให้ทั้งยุคจักรวาลนี้สิ้นสุดลงไปได้เลยทีเดียว!
เหมือนโลกมนุษย์ธรรมดาแห่งแล้วแห่งเล่าภายในโลกวัตถุ ที่เมื่อเผชิญกับการทำลายล้างแล้ว ก็จะแตกสลายไปรวดเร็วยิ่งขึ้นจากนั้นก็ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ละยุคจักรวาลนั้น ระยะเวลาไม่ได้เท่ากันเสมอไป จำนวนของสิ่งมีชีวิตที่เวียนว่าย ผู้ปกครองที่ถือกำเนิดขึ้นมา จำนวนเทพอากาศ การดูดกลืนพลังฟ้าดิน การทำลายล้างจักรวาลโดยตรง…สาเหตุต่างๆ ล้วนส่งผลต่อการตัดสินระยะเวลาสั้นยาวของจักรวาลหนึ่งๆ ทั้งสิ้น
น้ำเต้าสีดำระดับขั้นที่สอง มีพละกำลังซึ่งทำให้เทพอากาศทั่วไปต้องถอยหลบ ก็ย่อมสามารถทำร้ายจักรวาลได้เป็นธรรมดา
หากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพอากาศ ควบคุมน้ำเต้าสีดำระดับขั้นที่สาม…เกรงว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ทั้งจักรวาลสิ้นสุดลงได้แล้ว!
อันที่จริง
พละกำลังของเทพอากาศก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อจักรวาลได้แล้ว ดังนั้นอย่างจักรพรรดิทั้งสามแห่งจักรวาลคีรีมาร…ก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ใน ‘บรรพคีรีมาร’ เท่านั้น ในบริเวณอื่นๆ พวกเขาล้วนไม่ลงมือ
“ระวังหน่อย ควบคุมขอบเขตให้ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ “จัดการเจดีย์สังเวยนี้ทิ้งเสีย แล้วหยุดมือทันที”
ในขณะนี้
พวกลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวสนใจพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมากกว่า พวกเขามิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เท่าที่พวกเขามองนั้น น้ำเต้าสีดำนั่น…เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ปกครองสองสามคนก็อาจจะมีประโยชน์มากทีเดียว แต่บัดนี้เป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ลัทธิจอมมารดาทุ่มเททรัพยากรที่สั่งสมมาของทั้งเผ่า กู่กานหลัวก็คอยช่วยเหลือ ในสงครามระดับขั้นเช่นนี้ น้ำเต้าสีดำก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็ลอบส่ายหน้า “แม้สำหรับพวกเราพละกำลังของน้ำเต้าสีดำจะมีส่วนช่วยเพียงน้อยนิด ช่วยอะไรสถานการณ์มิได้”
แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับระมัดระวังเป็นอันมาก วิญญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังกดดันหาใดเปรียบ พละกำลังนี้เหนือกว่าระดับขั้นนี้ของเขาไปแล้ว เคราะห์ดีที่น้ำเต้าสีดำยอมรับเป็นนาย มิเช่นนั้นแล้วพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ก็เพียงพอให้วิญญาณของตนถูกโจมตีจนสาหัสได้แล้ว
“ทำลายเสียเถิด ลัทธิจอมมารดา” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยประกายคมกริบสายหนึ่ง
“ฟิ้ววว…”
แสบตา
แสบตาหาใดเทียม
รัศมีอันเจิดจ้าแสบตานี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันต้องมองออกไปอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กู่กานหลัวและเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาที่อยู่ภายในเรือบินอลวนรวมทั้งผู้บำเพ็ญของฝ่ายผู้ปกครองทั้งหลายต่างก็มองน้ำเต้าสีดำนั้นด้วยความตกตะลึง
ทันใดนั้นปากน้ำเต้าสีดำก็มีรัศมีสีทองอันโดดเด่นสะดุดตาหาใดเปรียบสายหนึ่งลอยออกมา มันลอยออกมาอย่างรวดเร็วแล้วทะยานตรงไปยังเจดีย์สังเวยแห่งแรกแห่งนั้น รัศมีสีทองที่ลอยออกมาด้วยความเร็วสูงนี้เป็นของเหลวชนิดหนึ่ง รัศมีของเหลวสีทองนั้นโดดเด่นสะดุดตาที่สุดกลางท้องฟ้า โดดเด่นสะดุดตากว่าดวงอาทิตย์มากมายนัก ชั่วขณะเดียวกับที่มันปรากฏขึ้นมานั่นเอง อุณหภูมิรอบด้านก็ปะทุสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศบิดแปรและแหลกสลายไป ลำพังแค่อุณหภูมิอันน่าหวาดหวั่นเหล่านี้ หากบรรดาผู้ปกครองอาจหาญแตะต้องรัศมีสีทองนี้ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา
“ฟึ่บ…” ภายใต้รัศมีของเหลวสีทองที่โหมซัด รากจำนวนมากของเรือรบซวีมู่ซึ่งปกป้องเจดีย์สังเวยเอาไว้ก็ถูกโจมตีจนแตกสลายหายไปในพริบตาเดียว เมื่ออ่อนยวบลงอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ไม่มีอานุภาพอีกต่อไป การควบคุมและปกป้องของเรือบินอลวนที่มีต่อมิติเบื้องล่างเจดีย์สังเวยนั้นก็ถูกโจมตีจนแตกไปภายในพริบตา ทำมิได้แม้แต่ขัดขวางสักนิด
“สกัดไว้!” ค่ายกลที่ปกป้องเจดีย์สังเวยเอาไว้ มีเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาสองคนคอยควบคุม พวกเขาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา ค่ายกลป้องกันนี้เป็นการป้องกันท้ายที่สุดแล้ว
“ฟึ่บๆๆ…” ประกายของเหลวสีทองที่โหมซัดนั้นประหนึ่งคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามา แต่ความเร็วของมันก็รวดเร็วอย่างยิ่ง อานุภาพก็แข็งแกร่งนัก ค่ายกลป้องกันนั้นเปล่งประกายอันโดดเด่นสะดุดตาออกมา รอยอักขระอันบิดเบี้ยวเหนือค่ายกลสีม่วงสายแล้วสายเล่ากำลังสั่นสะเทือน รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เพียงแค่ครึ่งชั่วลมหายใจ ค่ายกลป้องกันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปจนสิ้น ประกายสีทองก็ปกคลุมเจ้าลัทธิทั้งสามของลัทธิจอมมารดาจนมิด…สองคนที่ควบคุมค่ายกลและอีกคนที่กระตุ้นเจดีย์สังเวย และยังปกคลุมเจดีย์สังเวยแห่งแรกจนมิดด้วย
เจ้าลัทธิทั้งสามกลายเป็นเถ้าธุลีในทันใด
เรือรบซวีมู่และเรือบินอลวนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
รัศมีสีทองอันเจิดจ้าที่โหมซัดเข้ามาโอบล้อมเจดีย์สังเวยเอาไว้ แต่กลับมิได้แผ่รังสีต่อไป ดูมีการยับยั้งนัก
“เพลิงทองสุริยันรึ”
“นี่คือเพลิงทองสุริยันหรือ”
พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูต่างก็ตกตะลึงเหลือแสน พวกเขาคุ้นเคยดียิ่งนัก ดวงอาทิตย์แบ่งเป็นหกชั้น ในจำนวนนั้น ‘บึงสุริยะ’ ซึ่งเป็นชั้นที่ห้าก็คือเปลวเพลิงของของเหลวจำพวกนี้…เพลิงทองสุริยันนั่นเอง และว่ากันว่า ณ ส่วนลึกของบึงสุริยะมี ‘แก่นดวงอาทิตย์’ อยู่ ซึ่งนั่นก็คือใจกลางที่แท้จริงของดวงอาทิตย์
อานุภาพของเพลิงทองสุริยันในของเหลวภายในบึงสุริยะเหล่านี้ยิ่งใหญ่นัก บรรดาผู้ปกครองล้วนมิกล้าเข้าใกล้ เพราะเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ก็ล้วนสัมผัสได้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา! ผู้อาวุโสในยุคต่างๆ เช่นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารล้วนแต่ทิ้งบันทึกเอาไว้ หากผู้ปกครองอาจหาญปะทะกับเพลิงทองสุริยันแล้ว ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา ต่อให้เป็นเทพอากาศ เมื่ออยู่ภายใต้เพลิงทองสุริยันก็ต้านทานได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงถือน้ำเต้าสีดำเอาไว้ในมือ เปลวเพลิงสีทองที่ปากน้ำเต้ามีความหนาแน่นมากที่สุด มันกดดันเสียจนบิดเบี้ยวไปหมด หลังจากพุ่งออกไปแล้ว ก็โหมซัดไปปกคลุมเจดีย์สังเวยที่อยู่ไกลออกไปตามอำเภอใจ
“แยก”
เพียงตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
เพลิงทองอันสะดุดตานี้ก็แยกออกเป็นทางเชื่อมสายหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าไปในอากาศ ทุกบริเวณที่ผ่านไปเปลวเพลิงสีทองก็ล้วนแยกตัวออก แล้วรายล้อมรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงแต่โดยดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปตามทางเชื่อมที่เกิดจากเพลิงทองที่แยกตัวออก จนไปถึงทิศที่เจดีย์สังเวยแห่งแรกตั้งอยู่ เขายื่นมือขวาออกไป ฝ่ามือขยายออกแล้วคว้าเจดีย์สังเวยเอาไว้ ก่อนจะกระชากอย่างรุนแรงโดยพลัน! ในฐานะที่เป็นพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นของผู้ท่องอากาศจึงกระชากเจดีย์สังเวยและเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาอื่นๆ จำนวนมากในจักรวาลมาอย่างต่อเนื่องกัน และเก็บเข้าไปภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าของตน
ลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวซึ่งอยู่ในเรือบินอลวนทำได้เพียงมองดูเท่านั้น มิอาจสกัดกั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้
“หมดกัน”
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งอยู่ภายในเรือรบซวีมู่ต่างก็มึนงงไปหมด
“หมดกัน”
“เจดีย์สังเวยแห่งแรกถูกชิงไปแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ พวกเราจะหลอมเจดีย์สังเวยแห่งแรกขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”
“ทั้งยังมีเจดีย์สังเวยถึงหกแห่ง พวกเราจะทำให้การป้องกันของเจดีย์สังเวยทั้งหกต้านทานเปลวเพลิงสีทองอันน่าหวาดหวั่นนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าลัทธิเหล่านี้มึนงงไปหมด พลานุภาพของน้ำเต้าสีดำทำให้พวกเขาสิ้นหวังเสียแล้ว
……
ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญกลับสะท้านสะเทือนหาใดเปรียบ ผู้ปกครองสามารถควบคุมพละกำลังของเพลิงทองสุริยันได้ ทั้งยังควบคุมเป็นวงกว้างเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ แล้วผู้ใดจะสามารถต้านทานได้เล่า
เรื่องนี้ทำให้ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและคนอื่นๆ รู้สึกยินดีระคนอิจฉา ถึงตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า ‘น้ำเต้าสีดำ’ นั้นห่างไกลจากคำว่าเรียบง่ายที่พวกเขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ลิบลับ หากแต่เป็นสมบัติล้ำค่าอันน่าเหลือเชื่อโดยแท้ อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าสมบัติล้ำค่าที่ผู้ปกครองอย่างพวกเขามีมากนัก
“มิน่าเล่าจึงรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ โชคดีเกินไปแล้ว” ประมุขเกาะกาลมิติพึมพำ แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ก็ยังยากที่จะข้มความริษยาเอาไว้ได้
เจ้าหนุ่มที่คิดจะเข้าร่วมตำหนักเทพกาลมิติก็ยังไม่สำเร็จในตอนแรก ตอนนี้กลับทำให้ประมุขเกาะกาลมิติอย่างเขาต้องริษยา ทว่าหากมิใช่ตงป๋อเสวี่ยอิงโผทะยานไปบนเส้นทางการบำเพ็ญจนโดดเด่นสะดุดตาพอ ก็คงจะไม่ผ่านการทดสอบของผู้ท่องอากาศ! อย่างประมุขเกาะกาลมิติ สำหรับทางผู้ท่องอากาศนั้น ข้อแรกก็คือติดที่การรับรู้ด้อยเกินไป ข้อสองก็คือคงไม่ผ่านทางด้านจิตใจ
ยามนี้อารมณ์ของ ‘กู่กานหลัว’ รูปสลักขนาดมหึมาซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ผู้ปกครองที่มิได้ออกไปจากจักรวาลเลยคนหนึ่งกลับมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้หรือ”
“ขณะที่เขาเป็นผู้เคารพ น้ำเต้าสีดำนี้สามารถปลดปล่อยระลอกคลื่นออกมาโจมตีและสามารถต้านทานผู้ปกครองได้ บัดนี้สามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นนี้ออกมาได้ ก็เพียงพอจะสกัดกั้นเทพอากาศทั่วไปได้แล้ว”
“ระดับขั้นที่แตกต่างกัน…มีอานุภาพที่ไม่เหมือนกัน! ทั้งยังคล้ายจะไม่มีการแว้งกัดด้วยหรือ”
“สมบัติล้ำค่าพรรค์นี้ จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าพิทักษ์วิถีซึ่งสิ่งมีชีวิตผู้แข็งแกร่งสักท่านตั้งใจทิ้งเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังอย่างแน่นอน” กู่กานหลัวมีโลกทัศน์กว้างไกลมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงบุตรทิพย์คนที่เจ็ด ภายใต้องค์บรรพชนกู่มีบุตรทิพย์เพียงสามคนเท่านั้นที่ได้สมบัติล้ำค่าพิทักษ์วิถีไป เขายังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้มาเลย!
“ต้องได้มาให้ได้!”
“สมบัติพิทักษ์วิถีชิ้นนี้ล้ำค่ากว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามากนัก เกรงว่ายังเหนือกว่าเรือบินอลวนลำนี้เสียอีก”
“แม้สมบัติพิทักษ์วิถีพรรค์นี้จะมีการกำหนดผู้สืบทอดเอาไว้ คนอื่นมิอาจใช้งานได้ แต่ว่า…แค่นำกลับไปขอร้องท่านอาจารย์ หากแค่ช่วยหลอมแปรอย่างง่ายๆ ท่านอาจารย์ก็น่าจะยินดี” กู่กานหลัวใจสั่นไปหมด หากให้ท่านอาจารย์ของตนหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีขึ้นมาเองสักชิ้นหนึ่งตั้งแต่ต้นจน เขาย่อมไม่ยอมแน่ แต่สมบัติพิทักษ์วิถีที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง เพียงแค่หลอมแปรอย่างง่ายๆ ให้ศิษย์ของตนสามารถใช้งานได้ก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก
“ชิงมา!”
“ต้องชิงมาให้ได้!”
ยามนี้กู่กานหลัวเข้าใจดีมากว่าเจดีย์สังเวยแห่งแรกของลัทธิจอมมารดานั้นไม่มีแล้ว อีกทั้งเจดีย์สังเวยหกแห่งก็ไม่สามารถต้านทานน้ำเต้าสีดำนั้นเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงทิ้งเรื่องของลัทธิจอมมารดาออกไปจากสมองจนสิ้น
เขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ก็คือคิดหาวิธีแย่งชิงน้ำเต้าสีดำมาให้ได้! เมื่อหลอมได้สำเร็จ ตอนนั้นก็สามารถแบ่งกำลังเล็กน้อยไปช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาได้
“ต้องชิงเอามาไว้ในมือให้ได้! เมื่อได้มันมา ข้าก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว” กู่กานหลัวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในจักรวาลแห่งหนึ่ง ตนจะบังเอิญพบสมบัติพิทักษ์วิถีชุดหนึ่งเข้าได้ หากปล่อยเปลวเพลิงสีทองออกมาเพียงอย่างเดียว เขาก็ยังไม่ตระหนัก ถึงอย่างไรพละกำลังของเปลวเพลิงสีทองก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว แต่ก็ยังมิอาจล้ำค่าเหมือนเรือบินอลวนได้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในขั้นผู้เคารพก็เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ระดับขั้นแตกต่างกัน อานุภาพก็ต่างกัน แม้แต่ลูกไม้การโจมตีก็ยังไม่เหมือนกัน เกรงว่าสมบัติล้ำค่าพรรค์นี้ เมื่อสำเร็จเป็นเทพอากาศก็ยังสามารถสำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ต่อไปอีก ถึงตอนนั้นอานุภาพก็จะวิวัฒน์ไปอีก!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงหักหาญเอาเจดีย์สังเวยแห่งแรกมา เงารางสีเทาของเจดีย์สังเวยภายในจักรวาล และเงารางสีเทาอื่นๆ ล้วนสลายไปจนสิ้นแล้ว พลังฟ้าดินของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความสงบสันติอีกครา
“ฉับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดขาดการปลดปล่อยเพลิงทองสุริยันทันทีในชั่วความคิดเดียว ขณะเดียวกันก็อุดจุกกลับลงไปทันที ถึงอย่างไรอานุภาพของเพลิงทองสุริยันก็แข็งแกร่งยิ่งนัก สร้างความเสียหายให้จักรวาลได้
“นายท่าน ระวัง ระวังกู่กานหลัวด้วย!” วิญญาณอาวุธถ่ายเสียงทันที
วิ้ง…
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันลอบโจมตีจากเรือบินอลวนที่ร่อนลงมาด้วยความรวดเร็วและอันตรายยิ่งนัก เป็นกู่กานหลัวที่เต็มไปด้วยแววอาฆาตนั่นเอง นัยน์ตาของกู่กานหลัวฉายแววบ้าคลั่ง สมบัติพิทักษ์วิถี ต้องชิงมาให้จงได้!
…………………………..
ตอนที่ 16 โลกใบใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงกังวลว่าเพลิงทองในน้ำเต้าสีดำจะสร้างความเสียหายให้กับจักรวาล เพิ่งจะอุดจุกกลับลงไป วิญญาณอาวุธก็ถ่ายเสียงเตือนทันที แต่จะเตือนก็สายเกินไปเสียแล้ว! การลอบโจมตีของกู่กานหลัวในครั้งนี้ ที่ต้องการก็คือลงมือตอนที่ฝ่ายตรงข้ามมิทันตั้งตัวและความเร็วอย่างยิ่งยวด!
“ไม่ดีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิทันได้ควบคุมน้ำเต้าสีดำ เขาหลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมในชั่วขณะจิต ร่างกายหายวับไปกลางอากาศ ตอนนี้วิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จนเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว ในด้านการห้ำหั่นและโจมตี วิถีโลกเทียมนั้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอ่อนแอ แต่มันสร้างฟ้าดินขึ้นมาเองได้ การรักษาชีวิตจึงร้ายกาจอย่างยิ่ง เกรงว่าผู้ปกครองซึ่งด้อยเรื่องกลเม็ดบางคนอาจจะหาร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พบ
วิ้ง…
กู่กานหลัวสำแดงการโจมตีผ่านเรือบินอลวน ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านตำแหน่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ก่อนหน้านี้ทันที ทันใดนั้นกาลมิติก็บิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏเป็นเงารางของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งขึ้นมา ระลอกคลื่นนี้ก็แทรกตัวเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมที่สมบูรณ์แล้ว แต่อานุภาพก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ สิบส่วนเหลือเพียงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น
“ฟึ่บ…” การโจมตีระลอกนี้ลอบโจมตีเข้าไปในร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ร่างกายของเขาดุจดั่งอากาศ ลดทอนกำลังลงไปได้กว่าครึ่งอย่างง่ายดาย อานุภาพที่หลงเหลืออยู่เพียงแค่ทำให้โลหิตภายในกายของเขาเดือดพล่านขึ้นมา และหน้าก็แดงขึ้นมาบ้างเท่านั้น แต่กลับมิได้กระอักโลหิตเสียด้วยซ้ำ
“อะไรกัน ทำร้ายเขาไม่ได้หรือนี่” กู่กานหลัวที่อยู่ภายในเรือบินอลวนรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เพื่อที่จะลงมือตอนที่ฝ่ายตรงข้ามมิทันตั้งตัวและต้องการความเร็วยิ่งยวด แม้การโจมตีครั้งนี้จะอ่อนแอ แต่ก็บรรลุขีดจำกัดเทพอากาศแล้ว ไม่แพ้การโจมตีที่ร่างแยกสองร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและอาจารย์อาห้าวิหคดำร่วมมือกันสำแดงออกมาเลย
อานุภาพเช่นนี้มิอาจทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงกระอักโลหิตออกมาอย่างนั้นหรือ ความสามารถในการรักษาชีวิตช่างสูงเกินจริงโดยแท้
……
เขากลับไม่รู้ว่า
ร่างกายของผู้ท่องอากาศเองก็ดุจดั่งอากาศอันว่างเปล่าที่ไม่รับแรงกระทำอยู่แล้ว บวกกับที่ร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เพิ่งจะบรรลุวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สิบเอ็ด ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เหนือกว่าเจ้าลัทธิส่วนใหญ่ของลัทธิจอมมารดาอยู่แล้ว ลำพังแค่อาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอจะเทียบได้กับผู้ปกครองระดับยอดแล้ว ดังนั้นคิดจะทำร้ายผู้ท่องอากาศสักคนหนึ่งก็ยากมากอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ‘วิถีโลกเทียม’ ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นวิถีสายที่รักษาชีวิตได้อย่างสุดขั้วในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อยู่แล้ว มันสร้างฟ้าดินโลกเทียมขึ้นมาเอง คิดจะสังหาร ‘ผู้ท่องอากาศ’ ที่ซ่อนตัวอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมสักคนหนึ่ง ก็ยากเสียยิ่งกว่ายากโดยแท้
“กู่กานหลัว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ประสบกับการโจมตีกลับมองไปยังฝ่ายตรงข้าม แล้วดึงจุกเต้าสีดำออกทันที ตู้มมม…รัศมีเพลิงทองโหมซัดออกไปบนโลกจริงอีกครา มันโจมตีตรงไปทางเรือบินอลวนลำนั้น
ตู้มๆๆ…
เพลิงทองปกคลุมเรือบินอลวนเอาไว้จนมิด แต่เรือบินอลวนกลับอยู่ตรงนั้นอย่างสงบโดยไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ยามนี้กู่กานหลัวกำลังครุ่นคิดว่าจะรับมือตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างไรดี ส่วนเพลิงทองนี้น่ะหรือ เขาไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด!
ล้อเล่นแล้ว
เมื่อเขาอยู่ในระดับยอดและอาศัยวัตถุภายนอกเช่นเรือบินอลวนก็สามารถต่อกรกับเทพอากาศได้ ต่อให้พบกับอันตรายในอากาศอันสับสนอลหม่าน อาศัยเรือบินอลวนก็สามารถต้านทานได้ ต่อให้ยุคจักรวาลแตกทำลายไปก็มิอาจทำให้เรือบินอลวนเสียหายได้แม้แต่น้อย! อย่าว่าแต่เรือบินอลวนเลย ต่อให้เป็นเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาลำนั้น ในฐานะเรือรบที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิจอมมารดา เพลิงทองของน้ำเต้าสีดำก็มิอาจทำให้เรือรบลำนั้นเสียหายได้เช่นกัน
แน่นอนว่ากู่กานหลัวก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ภายในเรือบินเท่านั้น ผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดาก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในเรือรบโดยมิกล้าโผล่ออกมาเลย!
“สมควรตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงปลดปล่อยเพลิงทองออกมา เมื่อเห็นว่าเรือบินอลวนมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย เขาก็อดขบกรามแน่นมิได้ ก่อนจะหยุดการกระตุ้นน้ำเต้าสีดำและอุดจุกกลับลงไป
“เพลิงทองนี้ของเจ้าปะทุรุนแรงเกินไปแล้ว การทำลายล้างก็แกร่งกล้าเกินไปจนสามารถทำให้จักรวาลของพวกเจ้าได้รับความเสียหายได้ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะสำแดงไปตลอดจนกระทั่งยุคจักรวาลนี้แตกทำลายไปในท้ายที่สุดเสียอีก” เสียงของกู่กานหลัวที่สะท้อนก้องอยู่ในอากาศแฝงแววเย็นชาเอาไว้
“นายท่าน อย่ากังวลไปเลย เวลาที่ท่านสำแดงน้ำเต้าสีดำนั้นสั้นนัก อีกทั้งเพลิงทองก็แผ่รังสีออกไปในขอบเขตที่เล็กมาก สร้างความเสียหายแก่จักรวาลน้อยนัก” วิญญาณอาวุธรีบถ่ายเสียงพูด
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าน้ำเต้าสีดำเอาไว้ แล้วปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เขามองเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไปลำนั้นด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
ส่วนเหล่าผู้ปกครองทั้งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและบรรพชนหุบเหวลึกต่างก็โกรธเคืองอยู่บ้าง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตค่อนขอดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กู่กานหลัว ตอนนั้นเจ้าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียน แล้วสัญญาว่าจะช่วยเหลือพวกเรา! แต่ตอนนี้ เจ้ามิใช่แค่ช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาเท่านั้น แต่เจดีย์สังเวยแห่งแรกของลัทธิจอมมารดาถูกพวกเราช่วงชิงไปแล้ว เจ้ายังลอบโจมตีเสวี่ยอิงอีกรึ”
“ฮ่าฮ่า…ข้าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียนผู้นั้น และตั้งสัตย์สาบานกับนาง แต่ข้ามิได้ตระบัดสัตย์ต่อนางมิใช่หรือไร นางอยู่ภายในเรือบินอลวนของข้ามาโดยตลอด ข้าก็ไม่เคยทำร้ายนางเลย” เสียงหนึ่งลอยออกมาจากเรือบินอลวน “ส่วนคำสัญญาว่าจะช่วยพวกเจ้าน่ะหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้ายังเชื่อในคำสัญญาอีกรึ ช่างน่าขันเสียจริง!”
พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็โกรธแค้นเป็นอันมาก ผู้ที่มีพลังและฐานะระดับอย่างกู่กานหลัวกลับไม่แยแสคำสัญญาของตนเอง ไม่รักษาหน้าเลยแม้แต่น้อย!
……
ภายในเรือบินอลวน ‘กู่กานหลัว’ รูปสลักขนาดมหึมาพูดเสียดสีพลางสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียด และครุ่นคิดว่าควรจะรับมือเช่นไรดี
เขาไม่เคยล้มเลิกมาก่อน!
น้ำเต้าสีดำนั่นเป็นถึงสมบัติพิทักษ์วิถี เขาต้องเอามันมาให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
“อืม”
“ทำตามแผนนี้แล้วกัน สู้ให้เต็มที่” กู่กานหลัววางแผนในใจอย่างรวดเร็ว
……
แม้เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงจะปรากฏขึ้น แต่เขาก็ยังคงอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมด้วยความระมัดระวัง
ตึง!
เสียงสะท้อนอันแปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นภายในวิญญาณ ทว่าภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงได้หลอมรวมวิชาลับผู้ท่องอันสมบูรณ์เข้าไปด้วยจึงสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย แต่นี่ก็ทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป เขารีบดึงจุกน้ำเต้าสีดำออก รัศมีเพลิงทองลอยออกมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับลอยออกมาไม่มากนัก ทั้งยังแค่ล้อมรอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงและก่อให้เกิดเป็นลูกกลมสีทองลูกหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของลูกกลมสีทองนี้นั่นเอง
ความเสียหายที่มีต่อจักรวาลขึ้นอยู่กับปริมาณของเพลิงทองและขอบเขตในการแผ่รัศมี! ยิ่งมีปริมาณมากและกินวงกว้างเท่าใด …ความเสียหายก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น อย่างการก่อตัวเป็นลูกกลมสีทองล้อมรอบกายนั้น มีขอบเขตเพียงสองสามเมตร ความเสียหายจึงน้อยเสียจนน่าสงสาร
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว” “ฟิ้ว”…
ความระแวดระวังของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่มีผิดเลย
นอกจากการโจมตีวิญญาณในตอนเริ่มแรกแล้ว จากนั้นก็มีลมอันแปลกประหลาดตามมาติดๆ ลมนั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลังทะลุผ่านฟ้าดินโลกเทียมแล้วอานุภาพก็เสียหายเป็นอย่างมาก มันฝืนลอบโจมตีเพลิงทองอีกครั้ง แต่ยังมิอาจผ่านไปได้ก็สลายหายไปจนสิ้นแล้ว
“กู่กานหลัวผู้นี้…” ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผู้ครองชิงและเจ้าแม่กานเหอต่างพากันแตกตื่น เมื่อมองเห็นอากาศรอบเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไปเริ่มมีรูปสัญลักษณ์ค่ายกลขนาดมหึมารูปแล้วรูปเล่าปรากฏขึ้น การโจมตีอันแปลกประหลาดยกแล้วยกเล่ามาถึงตัว ที่มุ่งตรงสู่วิญญาณก็มีถึงสามชนิด เช่นเสียงและคำสาป ยังมีส่วนที่มุ่งตรงไปที่กายหยาบด้วย ทั้งยังมีส่วนที่พุ่งเป้าไปที่โลกหมายจะกวาดล้างบริเวณนั้นเสีย
รูปสัญลักษณ์ค่ายกลเริ่มเลือนรางไป
กู่กานหลัวขบกรามกรอด รูปสลักขนาดมหึมานั้นเป็นเพียงรูปลักษณ์ที่เขาเผยโฉมต่อภายนอกเท่านั้น ร่างจริงของเขากำลังเร้นกายนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือบินอลวน พลางควบคุมเรือบินอลวนอย่างบ้าคลั่งเข้าโจมตีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น! เดิมทีอาการบาดเจ็บของเขาก็ค่อนข้างสาหัสอยู่แล้ว จู่ๆ ปะทุการโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ก็สร้างความเสียหายให้กับเขามากทีเดียว
“ขอเพียงได้น้ำเต้าสีดำนั่นมา ทุกสิ่งก็ล้วนคุ้มค่า หลังได้มาแล้วข้าก็จะไปจากจักรวาลแห่งนี้ทันที ให้ซางตานช่วยข้าขับเรือบิน ส่วนข้าก็จะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไป” กู่กานหลัววางแผนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงโจมตีอย่างคลุ้มคลั่ง
แต่กระนั้น…
สมบัติพิทักษ์วิถี สิ่งใดที่เรียกว่าพิทักษ์วิถีน่ะหรือ การโจมตีนั้นเป็นรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปกป้อง!
ภายใต้การควบคุมค่ายกลอันว่างเปล่า เพลิงทองที่ปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่งกลับกลายเป็นเชื่อฟังแต่โดยดี มันก่อตัวขึ้นเป็นลูกกลมอันสมบูรณ์แบบที่ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ พวกมันรวมตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างวิจิตรพิสดารนัก ทั้งหมดล้วนเป็นการควบคุมค่ายกลอันว่างเปล่า อานุภาพการโจมตีอย่างสุดชีวิตของกู่กานหลัวนั้นน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง บางส่วนแม้แต่ฟ้าดินโลกเทียมยังได้แค่ทำให้อ่อนกำลังลงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น แต่โดยทั่วไปลูกกลมเพลิงทองกลับสามารถต้านทานเอาไว้ได้หมด ส่วนที่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ เช่นการโจมตีวิญญาณน่ะหรือ สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี! อานุภาพที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยซึ่งผ่านลูกกลมเพลิงทองมาได้ล้วนมิอาจทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงบาดเจ็บได้เลย
“ข้าสังหารเขามิได้หรือ ไม่ ไม่ ไม่…” กู่กานหลัวจวนจะคลั่งแล้ว
บรรดาบุตรทิพย์ขององค์บรรพชนกู่แก่งแย่งชิงดีกัน ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง
เขาไหลมาตามน้ำจนเกือบถึงช่วงปลายสุดแล้ว จึงได้เลือกเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านผจญอันตรายสักตั้งโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แม้จะประสบอันตรายมาหลายครั้ง แต่ ‘น้ำเต้าสีดำ’นี้ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ดีที่สุดซึ่งเขามีหวังจะได้มาแล้ว แม้เขากังวลว่าจะไม่สามารถสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่ก็ยังคงพยายามอย่างสุดกำลัง แต่ผลของความพยายามทำให้เขาคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้นไปอีก เขาไม่อยากจะยอมรับเลย!
……
“เอ๊ะ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองดูเรือบินอลวนอยู่ห่างๆ เขามองดูรูปสัญลักษณ์ค่ายกลขนาดมหึมารูปแล้วรูปเล่าซึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบเรือบินอลวนลำนั้น เดิมทีเขาก็ประสบผลสำเร็จสูงยิ่งทางด้านค่ายกล สามารถคิดค้น ‘ค่ายกลสองขั้วฟ้า’ ขึ้นเองได้ นอกจากนั้นยังอาศัยพลังของผู้ปกครองก็สามารถตั้งเสาหยวนเฉินถึงสิบสองต้นขึ้นมาได้ บัดนี้เมื่อเห็นค่ายกลอันพิสดารแห่งแล้วแห่งเล่าถูกกระตุ้นขึ้นตรงหน้า นี่มิใช่สิ่งที่บันทึกเอาไว้ในบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง หากแต่เป็นค่ายกลที่แท้จริงกำลังปะทุออกมา มันกำลังหมุนเวียนไป ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอดลุ่มหลงไปกับมันมิได้ เดิมทีระดับขั้นของเขาก็ใกล้เคียงกับค่ายกลเหล่านี้อยู่แล้ว จึงสามารถมองเห็นความจริงเท็จภายในนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
สีหน้าของเขาค่อยๆ ปรากฏแววตกใจ ห้วงสมองอื้ออึงไปหมด ในที่สุดโลกใบใหม่อันเลือนรางที่คล้ายจะมีจริงแต่ก็เหมือนจะลวงมาตลอดนั้นก็เผยออกตรงหน้าเขาแล้ว
………………………
ตอนที่ 17 เทพอากาศถือกำเนิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียม ด้วยรัศมีเพลิงทองที่ปล่อยออกมาจากน้ำเต้าสีดำรายล้อมรอบกาย ต่อให้กู่กานหลัวผู้นั้นโจมตีอย่างไรก็มิอาจทำร้ายเขาได้เลย
“นายท่านจงวางใจให้เต็มที่เถิด กู่กานหลัวผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสนัก หลับใหลไปอีกสองสามยุคจักรวาลจึงจะพอทุเลาลงได้บ้างเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนี้เขาลงมือโจมตีท่านอย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้นเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าถูกใจสมบัติพิทักษ์วิถีน้ำเต้าสีดำของท่านเข้าเสียแล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนที่นายท่านยังอยู่ในขั้นผู้เคารพก็เคยสำแดงออกมาครั้งหนึ่ง สองครั้งที่สำแดงออกมานั้น ลูกไม้การโจมตีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อานุภาพเหนือกว่าตนตั้งหนึ่งระดับขั้นใหญ่ ถึงอย่างไรกู่กานหลัวผู้นี้ก็เป็นบุตรทิพย์ของ ‘องค์บรรพชนกู่’ หูตากว้างไกลอย่างยิ่ง คงจะเดาได้ว่าน้ำเต้าสีดำเป็นสมบัติพิทักษ์วิถี จึงได้บ้าคลั่งเช่นนี้” วิญญาณอาวุธถ่ายเสียงพูด “ทว่าลงมืออย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ก็เป็นภาระใหญ่หลวงยิ่งสำหรับร่างกายเขาเช่นกัน อาการบาดเจ็บของเขาก็จะสาหัสยิ่งขึ้น เขาทนได้อีกไม่นานสักเท่าใดหรอก”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด
วิชาลับผู้ท่องบรรลุถึงชั้นที่สิบเอ็ด ข้อมูลจำนวนมากถูกส่งถ่ายเข้าสู่ห้วงสมอง สิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุดทั้งหลายของขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ แห่งโลกทิพย์ทั้งห้า…ในจำนวนนั้นก็มี ‘องค์บรรพชนกู่’ รวมอยู่ด้วย
องค์บรรพชนกู่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! เขาบรรลุถึงระดับขั้นขีดจำกัดของการบำเพ็ญแล้ว
“ไม่ ไม่ ไม่ น้ำเต้าสีดำนี้เป็นของข้า ต้องได้มาให้ได้ ต้องได้มาให้ได้” กู่กานหลัวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดปานร่างจะแหลกสลายในวิญญาณของตน สีหน้าก็ซีดขาว นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่ของเขาจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง “เจ้าหนุ่มที่ไม่เคยออกจากจักรวาลคนหนึ่งอาศัยอะไรจึงได้สมบัติพิทักษ์วิถีมาได้ แต่ข้ากลับไม่มีอย่างนั้นหรือ”
ระหว่างที่เขากำลังคลุ้มคลั่งนั่นเอง เขาก็มองไปอีกทางหนึ่งเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา นั่นก็คือทิศที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอยู่นั่นเอง
กู่กานหลัวเพ่งความสนใจไปที่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิง อีกทั้งมิเคยสนใจผู้ปกครองคนอื่นมาก่อนเลย แต่ตัว ‘เรือบินอลวน’ เองก็แผ่รัศมีไปทั่วอากาศโดยรอบ จึงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวพิเศษจากทางฝั่งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต
“นั่นมัน…” กู่กานหลัวหน้าถอดสีเสียแล้ว
……
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอีกคนหนึ่งมาถึงกลางอากาศ นั่นคือร่างซึ่งเดิมทีอยู่ในเกาะใจกลางทะเลสาบ ฉากนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึกและคนอื่นๆ พากันตกใจไปหมด เพราะตั้งแต่สงครามดำเนินมาจนถึงบัดนี้ ผู้ปกครองแต่ละคนก็ไม่เคยให้ร่างทั้งหมดเข้ามาอยู่ในสนามรบพร้อมกันมาก่อน! กฎนี้ยังเป็นสิ่งที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตั้งขึ้นมาเองด้วย
แต่ตอนนี้ร่างทั้งสามของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตล้วนปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว
“วิ้ง” ร่างทั้งสามของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มให้กัน ขณะเดียวกันร่างกายก็รวมเข้าด้วยกันเป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอาภรณ์สีแดงเพียงร่างเดียว
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมีเพียงร่างเดียวในทั้งจักรวาลแห่งนี้
ตู้มมม…
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากกร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต อากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลรอบด้านกลายเป็นความมืดมิดไปหมด เมฆสีดำพลิกหมุนอยู่ในนั้น รอยอักขระของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่ ค่ายกลอันใหญ่โตแห่งแล้วแห่งเล่าแผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้ารอบด้าน อานุภาพอันยิ่งใหญ่ชวนให้คนหวาดหวั่นทำให้คนทุกผู้ในที่นั้นตะลึงงันไปหมด
ทุกบริเวณที่สายตามองไปถึง อากาศทั่วบริเวณล้วนกลายเป็นความมืดมิด เกรงว่าความกว้างใหญ่ของบริเวณนี้คงจะเกินกว่าหมื่นล้านล้านลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจ จึงล่วงรู้ว่าบัดนี้ บริเวณอันดำมืดไร้ที่สิ้นสุดซึ่งท่านอาจารย์ของตนปลดปล่อยออกมานั้นกินพื้นที่มากจนน่าหวาดหวั่น ครอบคลุมถึงหนึ่งแดนดาราเลยทีเดียว
“เทพอากาศ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจจนสิ้นแล้ว
“เทพอากาศ” ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และคนอื่นๆ เข้าใจขึ้นมา เมื่อมองเห็นอานุภาพซึ่งเหนือกว่าผู้ปกครองลิบลับระลอกนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจทั้งสิ้น
“ในที่สุดคมมีดโลหิตก็ก้าวข้ามขั้นนี้จนได้ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาบรรลุเอาในเวลานี้” ประมุขหยวนชูเผยรอยยิ้มออกมา
“เทพอากาศเชียวนะ ยุคจักรวาลของพวกเรานี้ก็มีเทพอากาศถือกำเนิดกับเขาแล้ว” บรรพชนหุบเหวลึกรำพึง
ประมุขเกาะกาลมิติกลับมองดูอย่างเงียบเชียบ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่หยิ่งผยองยิ่งนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ไม่ยอมศิโรราบ แต่ยามนี้เขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างกันแล้ว จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ก้าวไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งแล้ว ทวยเทพ เทพโลกา เทพแท้และเทพอากาศ ตั้งแต่เทพแท้ไปจนถึงเทพอากาศ นี่เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นอันยิ่งใหญ่ ความยากในการข้ามผ่านนั้นสูงยิ่งนัก
“ยุคจักรวาลของพวกเรานี้ยังมีเวลาอีกมากมายนัก” ผางอีเห็นเข้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “คมมีดโลหิตสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ตอนที่ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุด เกรงว่าคมมีดโลหิตคงจะสามารถบรรลุถึงระดับสูงเหมือนกับจอมมารได้กระมัง!” ระดับสูงเท่ากับประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบนั้นมิกล้าเพ้อฝัน แต่ระดับเดียวกับจอมมารยังพอมีหวัง
แม้บรรดาผู้บำเพ็ญและผู้ปกครองในที่นั้นจะตื่นตระหนกเป็นอันมาก และมีบางคนที่มีอารมณ์อื่นๆ แต่พวกเขาก็ล้วนยินดีนัก!
เพราะยุคนี้มีเทพอากาศถือกำเนิดขึ้นมา เช่นนั้นต่อให้ยุคนี้แตกสลายไป เทพอากาศก็สามารถพาพวกเขาท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านและมีชีวิตรอดต่อไปได้ ถึงขั้นไปยังฟ้าดินอันกว้างขวางกว่าได้
……
“อะไรกัน เทพอากาศรึ เขา เขาบรรลุเป็นเทพอากาศอย่างกะทันหันหรือนี่” กู่กานหลัวตกใจมากจนหน้าถอดสี ตอนที่เขาอยู่ในระดับยอดนั้น อาศัยเรือบินอลวนก็สามารถใช้กำลังต่อสู้กับเทพอากาศได้ แต่ตอนนี้เพื่อรับมือตงป๋อเสวี่ยอิง อาการบาดเจ็บก็สาหัสยิ่งนัก มิอาจห้ำหั่นได้อย่างยาวนานอีกต่อไป
“กู่กานหลัว!”
เสียงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลับดังก้องไปทั่วอากาศอันไร้ที่สิ้นสุด นัยน์ตาของเขาแฝงแววเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขามองไปทางเรือบินอลวนอันไกลลิบ
ตู้มมมมม…
ด้านบนและด้านล่างของเรือบินอลวนต่างก็มีค่ายกลมหึมาปรากฏขึ้น ค่ายกลแห่งหนึ่งเป็นเปลวเพลิงดำมืด ส่วนอีกแห่งหนึ่งกลับเป็นความหนาวเย็นสีขาว ค่ายกลใหญ่ทั้งสองกำลังหมุนเวียนอยู่ พละกำลังที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงส่งผลต่อเรือบินอลวน หมายจะพันธนาการและผนึกเรือบินอลวน เอาไว้ให้มั่น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็รู้ว่ายากที่จะทำลายได้โดยตรง จึงคิดจะจองจำฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ก่อน
“เขาเพิ่งสำเร็จเป็นเทพอากาศก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” กู่กานหลัวสัมผัสได้ถึงอานุภาพที่เรือบินอลวนกำลังประสบ เขาอดหน้าถอดสีไม่ได้
เขายังไม่รู้ว่า
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบำเพ็ญสองระบบควบคู่กัน ระบบแรกคือความเร้นลับของกฎเกณฑ์ อีกระบบก็คือระบบ ‘ทิพย์’ ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกลและการหลอมอาวุธ
ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นมุ่งไปที่แก่นแท้ และการเข้าถึงกฎเกณฑ์
ส่วนระบบทิพย์กลับตรงกันข้าม เนื่องจากเป็นการค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชื่อว่าระบบ ‘ทิพย์’ นั้นไม่แพ้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย มันซับซ้อนและแข็งแกร่ง อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน! ครั้งนี้ที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบรรลุก็คือระบบทิพย์ หากพูดถึงพลังรบแล้ว อาจจะแข็งแกร่งกว่าระบบที่เรียบง่ายบางระบบเช่นระบบลัทธิจอมมารดาอยู่ไม่น้อย หากในภายหน้าความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุอีก เมื่อทั้งสองระบบผสานกัน ก็จะน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปอีก
“รีบไปเร็วเข้า ข้ามิอาจห้ำหั่นได้นานนัก” กู่กานหลัวไม่กล้ารั้งรอเลยแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว!”
เรือบินอลวนพลันกลายเป็นกึ่งโปร่งใส แล้วบินออกไปไกลเสียงดังสวบ อีกทั้งอากาศที่บริเวณหนึ่งไกลออกไปก็เริ่มฉีกขาดออกเป็นเยื่อบางๆ หลายชั้น ราวกับคลี่ม่านออกอย่างไรอย่างนั้น เผยให้เห็นอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างขวางและหนาวเหน็บยิ่งกว่าของโลกภายนอก! อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นดูเหมือนจะว่างเปล่า แต่กลับมีพละกำลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งยิ่ง
“เขาจะไปแล้วหรือ” พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็เข้าใจ
“เรือบินอลวนลำนี้ร้ายกาจนัก ตอนที่ข้าเพิ่งจะบรรลุก็ต้านทานไม่ได้จริงๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เข้าใจในข้อนี้ดี
ส่วนภายในเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดา เจ้าลัทธิกลุ่มนั้นต่างพากันมองฉากนี้ด้วยความสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงน้ำเต้าสีดำออกมาแล้วชิงเจดีย์สังเวยแห่งแรกไปนั้น พวกเขาก็มึนงงไปหมดแล้ว เมื่อจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสำเร็จเป็นเทพอากาศก็ยิ่งทำให้พวกเขาสิ้นหวังเข้าไปใหญ่ ลำพังแค่เจดีย์สังเวยถูกชิงไปก็ยังสามารถหลอมขึ้นมาใหม่ได้ แต่การถือกำเนิดของเทพอากาศผู้หนึ่ง…เป็นการลิขิตว่าพวกเขาจบสิ้นแล้ว
แต่พวกเขาก็ยังโอบอุ้มความหวังสายหนึ่งเอาไว้ หวังว่ากู่กานหลัวจะช่วยพวกเขาให้หนีไปได้ แต่ยามนี้กู่กานหลัวกลับไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
……
“นายท่าน พาชาวเผ่าของข้าจากไปเถิด สมบัติล้ำค่าของพวกเขาจะมอบให้ท่านหมดเลย ให้หมดเลย” เจ้าลัทธิซางตานมองกู่กานหลัว รูปสลักขนาดมหึมาตรงหน้าพลางวิงวอน
“อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสมาก จะรั้งรอต่อไปมิได้แล้ว”
กู่กานหลัวพูดด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
ยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสอย่างยิ่งโดยแท้ วิญญาณเจ็บปวดแสนสาหัสราวจะฉีกขาด เขาทนไม่ไหวจนจะต้องเข้าสู่ห้วงนิทรา เพียงแต่กัดฟันทนเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจให้เสียไปกับลัทธิจอมมารดาเลย สมบัติล้ำค่าพวกนั้นของลัทธิจอมมารดาน่ะหรือ เท่าที่เขารู้ยังเก็บเอาไว้ในป้อมปราการแห่งนั้นอยู่เลย! เขามิอาจเสียเวลาได้ อีกทั้งเขาก็กลัว กลัวว่าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะมีวิธีจัดการกับวิญญาณของเขา เรือบินอลวนมิอาจต้านทานการโจมตีวิญญาณได้ ที่ผ่านมา วิญญาณของเขายังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้วิญญาณของเขากลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด…อาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไป จวนจะต้องเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว หากได้รับบาดเจ็บอีก เกรงว่าคงจะต้องจบเห่แล้ว
เพื่อชีวิตของตน ไหนเลยเขาจะสนใจลัทธิจอมมารดา!
“ข้าไม่ได้อะไรเลย อาการบาดเจ็บก็สาหัสยิ่งขึ้น จักรวาลผู้บำเพ็ญ…พวกเจ้าอย่าคิดว่าจะผ่านวันคืนไปด้วยดีเลย” ตอนที่เรือบินอลวนบินออกไปตามทางเชื่อม ก็พลันมีเสียงฟิ้วๆๆๆๆ ดังขึ้น…ลำแสงถึงเก้าสายทะยานออกจากเรือบินอลวน มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่แตกต่างกัน ลำแสงแต่ละสายล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ
“พวกเจ้าลิ้มรสของเล่นทั้งเก้าชิ้นนี้ของข้าให้สาสมเสียเถอะ หากประมาทเพียงเล็กน้อย ยุคของพวกเจ้านี้ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว” นัยน์ตาของกู่กานหลัวเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง ก็ต้องไม่ให้ผู้บำเพ็ญใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเช่นกัน
……
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองเรือบินอลวนลำนั้นจากไปโดยมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นลำแสงเก้าสายก็ทะยานออกมาจากเรือบินอลวนแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
“นี่มันอะไรน่ะ” ด้วยการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่ออากาศ จึงสามารถสัมผัสลำแสงแต่ละสายได้อย่างง่ายดาย ลำแสงทั้งเก้าสายนี้…อันที่จริงคือลูกกลมสีดำเก้าลูก ภายในมีอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นขั้นสุดบรรจุเอาไว้ พวกมันมิได้บริสุทธิ์เหมือนเพลิงทองสุริยัน แต่ปะทุรุนแรงและสับสนอลหม่านยิ่งกว่า ยามนี้อานุภาพเหล่านี้ไม่เสถียร คล้ายจะสามารถระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา
“อานุภาพนี้ปะทุรุนแรงกว่าเพลิงทองเสียอีก หากปะทุออกมาจนหมด ความเสียหายที่มีต่อจักรวาลก็ช่างมิอาจจินตนาการได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
การรับรู้ของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไวต่อสัมผัสยิ่งกว่า
ระดับขั้นอย่างเขา ไวสัมผัสต่อต้นกำเนิดของทั้งจักรวาลนัก เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่า หากปล่อยให้ลูกกลมทั้งเก้าปะทุออกไป ก็เพียงพอจะทำให้ยุคจักรวาลนี้แตกทำลายได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกหนาวเหน็บและเดือดแค้นขึ้นมา เพราะความโหดเหี้ยมของกู่กานหลัว
“เสวี่ยอิง เจ้าใช้น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยเพลิงทองออกมาโอบล้อมพวกเขาเสีย พยายามทำให้อานุภาพของพวกมันอ่อนกำลังลงให้มากที่สุด มิเช่นนั้นแล้วยุคจักรวาลของพวกเราก็คงจะหมดกัน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ไม่มั่นใจนัก ยามนี้ทำได้เพียงสู้สุดชีวิตเท่านั้น เขาเริ่มทำให้ค่ายกลอ่อนกำลังลงอย่างเต็มที่
ส่วนผางอี ผู้ครองชิง บรรพชนหุบเหวลึก ประมุขหยวนชูและเจ้าแม่กานเหอต่างก็มองดูลำแสงทั้งเก้าสายนั้น…การรับสัมผัสของพวกเขาหม่นมัวไป
พวกเขามีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น
ก็คือความหวั่นเกรง!
ความหวั่นเกรงที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ ความหวั่นเกรงอันสิ้นหวัง
“มิเช่นนั้นแล้วยุคนี้จะสิ้นสุดลงแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินสิ่งที่ท่านอาจารย์ถ่ายเสียงมาก็ใจสั่นไปหมด จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาเป็นเพียงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นเท่านั้น ลูกๆ ก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่
“ไม่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แยแสความอาฆาตเคียดแค้นของกู่กานหลัว เขารีบดึงจุกน้ำเต้าสีดำออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น