Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาค 25 ตอนที่ 1-7
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 1
บรรลุการบำเพ็ญในห้วงนิทรา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวฟังภรรยาที่อยู่ข้างๆ บอกเล่าเรื่องราว เขาออกจะงุนงงอยู่บ้าง
ภรรยาจิ้งชิวเป็นเพียงแค่เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น เพราะมีสถานะพิเศษจึงสามารถรับรู้ข่าวสารของสงครามได้ รู้เพียงว่าสงครามนี้ปะทุขึ้นตอนที่ตนหลับใหลไปแปดหมื่นสองพันปี ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งแสนปีเต็มๆ แล้ว! สงครามหนึ่งแสนปีก็ยังคงดำเนินต่อไป… ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือด’ หนีหลัว ที่เปิดเผยตัวตนก็ตายไปแล้ว ตอนนี้ทางฝั่งจักรวาลผู้บำเพ็ญมีข้อได้เปรียบเหนือกว่ามาก แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดลัทธิจอมมารดาอย่างราบคาบได้ในตอนนี้
“พอฟื้นขึ้นมา สงครามก็ดำเนินไปหนึ่งแสนปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสเล็กน้อย “กายของร่างแยกของผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวสูญสลายไปแล้ว ยังดีที่เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ยังมีชีวิตอยู่”
“ท่านอาจารย์”
ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงผ่านเหตุปัจจัย
“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่ได้รับการถ่ายทอดเสียงทั้งตื่นตะลึงทั้งดีใจ ก่อนที่จะเกิดสงคราม เขามาเยี่ยมดูหลายครั้งหลายครา หลังจากเกิดสงครามแล้ว ถึงแม้ในใจจะเป็นห่วงลูกศิษย์ แต่ก็ต้องใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการโต้ตอบลัทธิจอมมารดา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรขอรับ นิทราย่อมมิได้ทำร้ายข้า ในทางตรงข้ามกลับช่วยเหลือข้าเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ตอนนี้สถานการณ์สงครามเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอาจจำเป็นต้องล่าช้าสักวันสองวันแล้วค่อยเข้าร่วมการต่อสู้”
“ก็มีความวุ่นวายอยู่บ้าง แต่พวกเราก็ยังได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง! อยากจะถอนรากถอนโคนพวกเขาจริงๆ นั้นไม่ง่ายเลย ภูมิหลังของลัทธิจอมมารดาลึกล้ำกว่าพวกเราเสียอีก ถ้าหากเจ้าสามารถมาร่วมต่อสู้ได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็ผ่านมาหนึ่งแสนปีแล้ว อีกเพียงวันสองวันคงไม่ต้องรีบร้อนหรอก เจ้าไปจัดการธุระของตัวเจ้าเองให้เสร็จสิ้นก่อนเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยอย่างไว้วางใจ
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยคลายใจ
ตนก็ต้องการเวลาเตรียมตัวสักหน่อยจริงๆ
……
ชั้นในของบรรพคีรีมาร
ประตูของคูหาลอยเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเหินทะยานออกมา ด้านหลังมีหุ่นเชิดสาวผู้นั้นติดตามอยู่
“ฝันคราหนึ่งยาวนานหกร้อยห้าสิบล้านปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยวาจาเสียงเบา ร่างกายร่อนลงบนทางเดินภูเขา
“การบำเพ็ญในห้วงนิทรานั้นมีประโยชน์มหาศาลต่อข้าจริงๆ แต่สำหรับข้าแล้วก็ยังเนิ่นนานเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ ข้าเพิ่งจะบำเพ็ญทั้งหมดมานานเท่าใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยอารมณ์ วันคืนของการบำเพ็ญในห้วงนิทราช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ตนใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังบนพื้นดินอันแห้งแล้งว่างเปล่าผืนหนึ่ง แล้วความทรงจำก็ถูกทำให้มืดบอดไปเสียสิ้นจนตัวเองลืมไปแล้วว่าตนเป็นใคร
บนแผ่นดินอันว่างเปล่าแห่งนั้นมีเพียงตนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น มีที่พัก มีหอตำรา ตนเองได้อ่านตำราที่วางอยู่ภายในหอตำราจนหมดสิ้นแล้ว อย่างเช่นเคล็ดการบำเพ็ญของระบบการบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์และระบบอื่นๆ หรือศาสตร์ลับต่างๆ อย่างจรัสยิ่งและกายทิพย์ทลายสุดขั้ว แม้แต่วิชาลับผู้ท่องก็ยังมีบันทึกเอาไว้ และยังมีตำราของบรรพคีรีมารที่ตนเคยพลิกดูอีกด้วย
ขอเพียงเป็นสิ่งที่ตนจำได้ ก็ปรากฏขึ้นมาบนแผ่นดินอันว่างเปล่าแห่งนั้นทั้งหมด
ส่วนที่ตนไม่มีความทรงจำ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร่อนลงมายังแผ่นดินอันว่างเปล่า ก็ถูกบีบบังคับให้บำเพ็ญเพื่อเข้าร่วมสงคราม
การบำเพ็ญ การต่อสู้ การบำเพ็ญ การต่อสู้…วนเวียนตลอดกาลไร้ที่สิ้นสุด!
เพราะไม่มีความทรงจำ ก็ไม่มีการรบกวนจากก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง! ก่อนจะตาย ตนก็ยกระดับการบำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความทรงจำแล้ว แต่สัญชาตญาณกลับรู้สึกว่าชอบระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากที่สุด อาศัยระบบนี้เป็นทางเข้าแล้วเปิดทางออกสู่วิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่า และวิถีระลอกคลื่นเช่นเดิม… เพราะเมื่อเทียบกันแล้วสิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งที่ง่ายดายที่สุด เห็นได้ชัดว่าสำหรับระบบอื่นๆ นั้นกินแรงกว่ามาก
ทั้งยังฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องควบคู่ไปด้วย!
บำเพ็ญมาตลอดทาง
ถึงแม้ว่าการบำเพ็ญในห้วงนิทรา จะได้รับอิทธิพลจากโลกแห่งความจริง ต้องเดินไปในเส้นทางเดียวกัน! แต่ความตระหนักรู้ในความเร้นลับของกฎเกณฑ์และความเข้าใจในวิธีการต่อสู้นั้น…สุดท้ายแล้วก็มิอาจเหมือนกันทุกประการได้
“บำเพ็ญในห้วงนิทราหกร้อยห้าสิบล้านปี สุดท้ายข้าก็บำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ดแล้ว กลายเป็นผู้ปกครองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน
วิชาลับผู้ท่องมีทั้งสิ้นหกสิบขั้น
ทุกสิบขั้นคือระดับขั้นใหญ่หนึ่งขั้น
ดังนั้นการบำเพ็ญจากขั้นที่หนึ่งจนถึงขั้นที่สิบอาจจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากค่อยๆ บำเพ็ญ ค่อยๆ สั่งสมไปอย่างช้าๆ ก็ยังสามารถสำเร็จได้ แต่ต้องการบรรลุจุดคอขวดจากขั้นที่สิบ เหยียบย่างเข้าสู่ ‘ขั้นที่สิบเอ็ด’ นั้นช่างยากเย็นเหลือแสน… เฉกเช่นเดียวกับการบรรรลุขีดจำกัดของผู้เคารพไปถึงผู้ปกครองในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ก้าวเดียว แต่ก็เป็นการก้าวข้ามฟากฟ้าเลยทีเดียว
จะพูดเช่นนี้ก็ได้
ระดับความยากของการบรรลุขั้นที่สิบไปยังขั้นที่สิบเอ็ดนั้นมากกว่าระดับความยากของการบรรลุขั้นที่หนึ่งไปถึงขั้นที่สิบมากมายนัก เนื่องด้วยอย่างหลังนั้นเป็นเพียงแค่การค่อยๆ เพิ่มความลึกซึ้งในระดับขั้นเดียวกันเท่านั้น แต่อย่างแรกนั้นเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่เลยทีเดียว
“ผู้ปกครอง”
“นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ปกครองทางสายผู้ท่องอากาศอีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง ถึงแม้ว่าการบำเพ็ญในห้วงนิทราจะไปถึงระดับขั้นนั้นแล้ว แต่ในความเป็นจริงร่างกายของเขายังคงเหมือนกับก่อนการนิทรา อีกทั้งวิญญาณก็มิได้เปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไรนั่นก็เป็น ‘โลกแห่งความฝัน’
“ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้าก็ยกระดับขึ้นด้วย ปรัชญาคลื่นลมก็สำเร็จไปถึงบทที่สามแล้ว”
“แต่ว่า…”
“วิถีอากาศ วิถีเข่นฆ่า และวิถีระลอกคลื่นนั้น ดูเหมือนจะแตกต่างกับประสบการณ์ของข้าในโลกแห่งความจริงอยู่บ้าง” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นไหว ความเร้นลับของกฎเกณฑ์จำนวนมากเริ่มปะทะกัน เขาสีหน้าแปรเปลี่ยน หยุดความคิดเอาไว้
เพราะการบำเพ็ญในโลกแห่งความฝัน ถึงแม้ว่าวิถีสามสายนี้จะเพียงแค่ถึงจุดคอขวด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็พอจะรู้ว่าจะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลได้อย่างไร
บวกกับที่เขาก็ได้รับรู้วิถีสามสายนี้ในโลกแห่งความจริง แต่ละอันยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ต้องการเพียงแค่การปะทะกันครั้งหนึ่ง หลอมรวมกันครั้งหนึ่ง และการรับรู้อีกเล็กน้อย… ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะก้าวเข้าสู่เขตแดนผู้ปกครองในทันที
“ไม่ต้องรีบบรรลุหรอก กลับบ้านเกิดก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ชั้นในของบรรพคีรีมาร…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันไปมองคูหาลอยแต่ละแห่งที่อยู่ไกลออกไป “ข้าเพิ่งมายังชั้นในของบรรพคีรีมารก็ต้องจากไปเสียแล้ว”
เขาไม่มีทางรั้งอยู่ที่นี่ต่อได้!
เพราะเมื่อบำเพ็ญแล้วบรรพคีรีมารสัมผัสได้ว่าตนก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ก็จะขับไล่ตนออกไป! ถึงอย่างไรตนก็มิใช่ผู้เคารพอีกต่อไปแล้ว จึงไม่มีทางรั้งอยู่ที่คูหาแห่งนี้ต่อไปได้อีก
นึกอยากจะเข้ามาที่บรรพคีรีมารอีกอย่างนั้นหรือ ก็ต้องทำตามกฎของผู้ปกครอง ผู้ปกครองที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดสามสิบเก้าคนแรก จึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นนอกได้
ผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุดเก้าคน จึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นในได้
ผู้ปกครองอันดับหนึ่ง จึงจะสามารถเข้าสู่ใจกลางได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้กระจ่างแก่ใจดีว่าถ้าหากตนบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเก้า ขั้นที่ยี่สิบ ทำให้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์สมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลทั้งหมด บางทีอาจจะสามารถประมือกับผู้ปกครองหลายคนก่อนหน้าได้
แม้กระทั่งผู้ปกครองอันดับหนึ่งก็ตาม แต่สำหรับตอนนี้เล่า คาดว่าสามารถเข้าสู่ ‘ชั้นนอกของบรรพคีรีมาร’ ได้ ก็นับว่าเดินมาไกลแล้ว
ถึงอย่างไรจักรวาลคีรีมารบวกกับจักรวาลที่เขาพิชิตมาอีกมากมายก็มีผู้ปกครองอยู่สามร้อยกว่าคน สามสิบเก้าคนที่สามารถเข้ามาได้… มีเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น! ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในสามสิบเก้าคนนี้ก็ยังต้องเป็นผู้ปกครองระดับสุดยอด
“ข้ากำลังจะบรรลุแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้ามองไปทางหุ่นเชิดสาวที่อยู่ด้านข้าง “อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ดังนั้นจึงมิอาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว”
หุ่นเชิดสาวสะดุ้ง
ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองหรือ
ในการบำเพ็ญครั้งนี้ไล่ล่าผู้เคารพมามากมายถึงเพียงนั้นก็ยังมิอาจก้าวเข้าถึงได้ เจ้านายคนใหม่ผู้นี้บำเพ็ญในห้วงนิทราเพียงครั้งแรกก็จะบรรลุถึงชั้นผู้ปกครองแล้วหรือ
“คูหาแห่งนี้ก็เก็บไว้ให้ผู้เคารพคนอื่นเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหมุนกายจากไปในทันที
ตอนนั้นมีข่าวแพร่สะพัดภายในบรรพคีรีมารว่าอีกไม่นาน ชั้นบนสุดของจักรวาลคีรีมารและจักรวาลโดยรอบอีกจำนวนหนึ่งก็จะเปลี่ยนมือแล้ว
‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด ที่บรรลุอย่างฉับพลันแล้วเข้าสู่ชั้นในของบรรพคีรีมารในทันทีผู้นั้น เพิ่งบำเพ็ญมาแค่หกร้อยล้านปีเศษก็บรรลุถึงชั้นผู้ปกครอง ไปจากบรรพคีรีมารแล้ว
******
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พบกับท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิว
“ข้ายังมิได้เข้าไปในบรรพคีรีมารเลย เจ้าออกมาแล้วหรือ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูด
“ใกล้จะก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “บ้านเกิดของข้ากำลังเกิดสงคราม ข้าจำเป็นต้องกลับไป แต่ก่อนจะไปข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากรบกวนท่านชาย”
“เจ้ากับข้ามีมิตรไมตรีต่อกัน มีเรื่องอันใดก็พูดมาตรงๆ เลย” เจียวอวิ๋นหลิวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยว่า “เมื่อข้าก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ก็มิอาจผ่านทางเชื่อมจักรวาลมาที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลานั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนสนิทและเหล่าศิษย์ของข้าจำนวนหนึ่งอาจมาบำเพ็ญที่นี่ ก็ต้องการความช่วยเหลือของท่านเสียแล้ว พวกเขาอาจเป็นเพียงแค่เทพโลกา อ่อนแอเหลือเกิน หากไม่มีผู้แกร่งกล้าคอยช่วยเหลือ… เกรงว่าจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากมากมายที่จักรวาลคีรีมาร”
“วางใจเถิด เรื่องเล็กแค่นี้ เจ้าให้คนของเจ้ามาส่งข่าวให้ข้าถึงที่นี่ ข้าก็ต้องจัดแจงให้เหมาะสมแน่อยู่แล้ว” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด เขามีสถานะเช่นไร แต่เดิมตัวก็เป็นผู้ปกครอง ทั้งยังเป็นบุตรชายของเทพอากาศอีกด้วย การจัดการเรื่องราวจึงย่อมง่ายดายอย่างยิ่ง
“ต่อจากนี้เจ้าจะไม่มาอีกแล้วหรือ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ยถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ในอนาคตพวกเราจะต้องได้พบกันอีกที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา”
“ก็ได้ โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยพบกันใหม่”
……
หลังจากอำลาท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มเดินทางกลับทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงยังจงใจวางค่ายกลโลกเทียมซ่อนเอาไว้ที่ทางเชื่อมจักรวาลตรงทางออกทางฝั่งจักรวาลคีรีมารด้วย!
“ไป”
ทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่างก็มองดูจักรวาลคีรีมารแห่งนี้
จักรวาลคีรีมารให้ความช่วยเหลือเขามาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าบรรพคีรีมารจะมีแรงดึงดูดมหาศาล แต่ความช่วยเหลือของ ‘การบำเพ็ญในห้วงนิทรา’ ครั้งแรกที่ชั้นในนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ความช่วยเหลือหลังจากนั้นอาจยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
สำหรับชั้นใจกลางของบรรพคีรีมารอันลึกลับน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น… จะต้องเป็นผู้ปกครองอันดับหนึ่ง จึงจะสามารถเข้าไปได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องบำเพ็ญเนิ่นนานเพียงใด ตนต้องการใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพียงแค่วันสองวันเท่านั้นในการบรรลุ เชื่อว่าในบ้านเกิด เขาก็สามารถจัดเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่ผู้ปกครองได้ ถึงอย่างไรตนก็เป็นผู้ท่องอากาศ อีกอึดใจเดียวก็จะบรรลุเป็นผู้ปกครองแล้ว ห่างชั้นกับผู้ปกครองของระบบธรรมดาลิบลับ
“ก่อนจะบรรลุ ยังต้องไปที่สถานที่แรกเริ่มสักครั้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“ฟิ้ว…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงต่างก็บินทะยานเคียงข้างกันไปในทางเชื่อมจักรวาล กลับไปยังจักรวาลผู้บำเพ็ญ
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 2
มาเยือนสถานที่แรกเริ่มอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ โลกภูผาศิลาแดง บนเกาะธุลีแดง
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนภรรยาและบุตรชายบุตรสาวครู่หนึ่งแล้วก็เริ่มต้นปลีกวิเวก พรึ่บๆ สองร่างแยกทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำและตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงก็จากโลกวัตถุมาถึงเกาะธุลีแดง มาบรรจบรวมกับร่างจริง
อันที่จริงแล้วร่างจริงกับร่างแยกนั้นมีวิญญาณและกายเนื้อที่เหมือนกัน มิได้แตกต่างกันเลย และตอนนี้ก็ยังสามารถรักษาร่างแยกเอาไว้ได้… ท้ายที่สุดแล้วในอนาคตก็ยังต้องรวมร่างจริงและร่างแยกเป็นหนึ่งเดียวให้วิญญาณบริบูรณ์
ร่างทั้งสามได้พานพบกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวพลิกมือหยิบเอาป้ายสัญลักษณ์ของสถานที่แรกเริ่มออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำ
“ไปเสีย” พอรับป้ายสัญลักษณ์มาแล้ว ความทรงจำหนึ่งก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาโดยตรง
พลังงานทั้งหมดทั้งมวลในจักรวาลต่างก็ปกป้องตนอย่างอ่อนโยน ในเวลาชั่วพริบตา ฉากตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำก็เปลี่ยนไป มาถึงยังสถานที่แรกเริ่มที่เคยมา
“ประสาทสัมผัสของมนุษย์ธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา ประสาทการได้ยินและการมองเห็นล้วนลดลงฮวบฮาบ ราวกับมนุษย์ธรรมดา
“พลังของข้าในตอนนี้สามารถเทียบได้กับผู้ปกครอง แต่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่มก็เปลี่ยนไปเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาเช่นเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะเทือนใจอยู่บ้าง เขาเข้าใจดีว่าสถานที่แรกเริ่มที่บรรพชนเทียนอวี๋รังสรรค์ขึ้นสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เช่นนั้นถ้าหากร่างจริงของบรรพชนเทียนอวี๋กำเนิดขึ้น ความคิดวูบหนึ่ง ตนเองก็กลัวว่าจะเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาแล้ว พลังที่ได้บำเพ็ญมาก็จะถูกเพิกถอนจนสิ้น!
แน่นอนว่าตัวอย่างเช่นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบก็เคยไม่ได้รับเชิญ แล้วฝืนบุกเข้ามายังสถานที่แรกเริ่ม ไม่ยอมรับข้อห้ามของกฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่ม นี่ก็คือความแตกต่างของพลังยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าพลังของตนยังอ่อนแอ ห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋มากมายเหลือเกิน
อ้างอิงจากที่ท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ได้พูดเอาไว้ ตอนนั้นจอมกระบี่เกาะใจกลางทะเลสาบห่างชั้นกับบรรพชนเทียนอวี๋เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตอนนี้ที่‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เกาะใจกลางทะเลสาบก็คือสิ่งมีชีวิตสองท่านที่น่าหวั่นเกรงผู้นั่งอย่างมั่นคงอยู่ที่ขุมอำนาจของฝ่ายตนเอง
“ฟิ้ว…”
สายลมอ่อนโชยพัด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวย่างช้าๆ อย่างคุ้นเคยไปบนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม ไกลออกไปยังมีสวนดอกไม้อีกด้วย
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ทำไมเจ้ามาเร็วเช่นนี้เล่า” ชายชราผมขาวเดินมาจากเรือนหินหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “โอ้ ตอนนี้เจ้าเป็นขั้นบุกเบิกแล้ว พร้อมที่จะรับการทดสอบของขั้นบุกเบิกแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
นี่คือสิ่งที่ผู้สรรสร้างจักรวาลเหลือทิ้งเอาไว้ เป็นการมอบ ‘ของขวัญ’ ให้กับชนรุ่นหลังอย่างพวกเขา แต่ก็ชัดเจนว่าการจะได้รับของกำนัลจากบรรพชนเทียนอวี๋นั้นมิใช่เรื่องง่าย
“สิ่งที่เจ้าได้ประสบในคราวก่อน คือการทดสอบของขั้นเทพโลกา และเป็นการทดสอบขั้นต่ำที่สุด ที่สูงกว่าขั้นเทพโลกาคือขั้นฟ้าดิน ที่สูงขึ้นไปอีกก็คือขั้นบุกเบิก! ส่วนขั้นสูงสุดนั้นก็คือขั้นผู้ปกครอง ”ชายชราผมขาวเดินไปพลางพูดยิ้มๆ “คราวนี้สูงกว่าคราวก่อนถึงสองระดับขั้นใหญ่ ระดับความยากก็เหนือกว่าคราวก่อนมากมายนัก ยุคจักรวาลนี้ยังไม่มีใครสามารถผ่านการทดสอบของขั้นบุกเบิกได้เลย เจ้าเตรียมตัวมาเพียงพอแล้วหรือ”
“พอแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พูดเล่นแล้ว
ก่อนหน้าการบำเพ็ญในห้วงนิทรา ตนเองก็สามารถเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรพคีรีมารได้แล้ว! ถึงแม้ว่าหลังจากกลับมาคราวนี้แล้วจะมิได้บำเพ็ญทันที ร่างกายก็ยังคงอยู่ในระดับวิชาลับผู้ท่องขั้นแปด แต่ความเข้าใจในวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และวิถีโลกเทียมของตนนั้นแกร่งกว่าในอดีตมาก พลังในการต่อสู้ก็สูงขึ้นอย่างมาก พลังยุทธ์เช่นนี้หากยังไม่ผ่านการทดสอบก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว
“ดูนั่นสิ”
ชายชราผมขาวหันหน้าแล้วชี้จุดที่อยู่ไกลออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้ นั่นคือจุดศูนย์กลางของดินแดนอันว่างเปล่าแห่งนี้ ที่นั่นมีกระท่อมฟางอยู่สามหลัง
“กระท่อมฟาง” ชายชราผมขาวพูด “กระท่อมฟางสามหลัง หลังหนึ่งคือคลังสมบัติ ส่วนอีกสองหลังนั้น หลังหนึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ส่วนอีกหลังนั้นหลังหนึ่งมีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบขั้นผู้ปกครองเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปได้นะ…ท่านเจ้าของเองก็หวังว่าในบรรดาเด็กอย่างพวกเจ้าจะมีผู้มีความสามารถเข้าไปได้”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “แน่นอน”
“เห็นเจ้ามั่นใจพอดู แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็อย่าลำพองใจเด็ดขาดล่ะ” ชายชราผมขาวพูดแล้วก็เดินไปยังทิศทางข้างหน้า “ตามข้ามา”
……
เฉกเช่นเดียวกับคราวที่แล้ว
เดินไปกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะห่างมาได้ยี่สิบลี้ ที่นั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ห้าต้น ลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั้นมีขนาดหลายคนโอบ ชายชราผมขาวเดินตรงไปยังต้นที่อยู่ตรงกลางต้นไม้ใหญ่ห้าต้นนั้น “เข้ามาสิ” ร่างของเขาสัมผัสต้นไม้ใหญ่คราหนึ่งก็ทะลุผ่านหายเข้าไป มิอาจเห็นได้อีก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินตามไปสัมผัสต้นไม้ใหญ่ ทะลุผ่านตรงเข้าไปเช่นกัน
พรึ่บ
เดินทางผ่านมิติ ตรงหน้าคือดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลอันหนาวเหน็บ ไกลสุดลูกหูลูกตาล้วนเป็นน้ำแข็งทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางมองไปรอบทิศทาง ดินแดนอันหนาวเหน็บทอดยาวไปจนถึงจุดสิ้นสุดของมิตินี้ ชายชราผมขาวยืนอยู่อีกข้าง
“คู่ต่อสู้ของข้าในคราวนี้คือใครหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“คู่ต่อสู้หรือ”
ชายชราผมขาวแย้มยิ้ม เขายื่นมืออกมาชี้ไปรอบด้าน “โลกแห่งนี้แหละ คือคู่ต่อสู้ของเจ้า”
“โลกแห่งนี้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการมีชีวิตรอดในโลกแห่งนี้” ชายชราผมขาวพูด “หากเจ้าตายก็พ่ายแพ้ หากเจ้ามีชีวิตรอดก็ชนะ ระวังหน่อยนะ จะเริ่มแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสโลกน้ำแข็งแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
พรึ่บๆๆ
อุณหภูมิของโลกน้ำแข็งแห่งนี้ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ลำพังแค่อุณหภูมินี้ก็สามารถแช่แข็งบรรดาผู้เคารพที่อ่อนแอสักหน่อยได้แล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังลดลงอีก กลางท้องฟ้าเริ่มมี ‘ผลึกน้ำแข็ง’ อันใสกระจ่างจับตัวกันตกผลึกออกมา ผลึกน้ำแข็งอันหนึ่งตกผลึกออกมากลางอากาศ แต่โดยรอบมีขอบคมยิ่ง
“ฟึ่บ!” ผลึกน้ำแข็งอันหนึ่งลอยเคลื่อนผ่านอากาศมา แหวกผ่านท้องฟ้ามาอย่างคุกคามน่าหวาดหวั่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอย่างสงบนิ่ง เขาขยับนิ้วมือขวากลางอากาศเล็กน้อย กลางอากาศก็มีคลื่นระลอกหนึ่งปรากฏขึ้น ขณะที่ระลอกคลื่นกระเพื่อมก็เหนี่ยวนำให้เกิดการสั่นพ้องจากระยะไกล ทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นจากที่ไกลๆเช่นเดียวกัน ระลอกคลื่นกระทบบนผลึกน้ำแข็งจนผลึกน้ำแข็งแตกกระจาย
เมื่อชายชราผมขาวที่มองอยู่ด้านข้างได้เห็นแล้วแววตาก็เป็นประกาย “ง่ายราวกับปอกกล้วย จัดการกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ร้ายกาจกว่าเจ้าเด็กน้อยผู้ยอดเยี่ยมในกาลมิติเมื่อคราวก่อนผู้นั้นมากมายแล้ว”
ตอนนั้นประมุขเกาะกาลมิติก็เคยเข้ามา แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวตอนทำการทดสอบขั้นบุกเบิกจนตัวตาย
“แต่การทดสอบนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น” ชายชราผมขาวเอ่ยพึมพำ “เจ้าก็อย่าตำหนิท่านเจ้าของเลยนะ ภายในจักรวาลมีต้นกำเนิดจักรวาลคอยปกป้อง วันคืนที่พวกเจ้าผ่านมายังนับว่าปลอดภัยยิ่งนัก รอหลังจากที่ไปจากจักรวาลแล้ว… สารพัดภยันตรายทั้งหลายก็จะพากันถาโถมเข้ามา หากไม่มีความสามารถในการเอาตัวรอด เจ้าก็เจริญเติบโตขึ้นมามิได้แล้ว จะต้องร่วงหล่นตั้งแต่เนิ่นๆ ความสามารถในการเอาตัวรอดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุดยอดผู้แกร่งกล้า”
……
หลังจากที่ผลึกน้ำแข็งแตกกระจายแล้ว อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลงอย่างรวดเร็วตามมา เห็นเพียงผลึกน้ำแข็งผลึกแล้วผลึกเล่าควบแน่นอย่างรวดเร็วกลางอากาศ พอควบแน่นสำเร็จแล้วก็พุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง มีผลึกน้ำแข็งบางส่วนเคลื่อนผ่านร่างของ ‘ชายชราผมขาว’ แต่ชายชราผมขาวมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นภาพมายา ทั้งยังมิได้ปัดป้องผลึกน้ำแข็งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนกลางอากาศพร้อมกระดิกนิ้วน้อยๆ คราหนึ่ง ระลอกคลื่นกลางท้องฟ้าก็แผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางราวกับมีสายพิณดีดอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นนี้พลันปรากฏขึ้นยังบริเวณห่างไกล
ระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ทำให้ผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นแตกกระจายไม่หยุดหย่อน
อุณหภูมิยังคงลดต่ำต่อไปอีก
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น ทว่าเขาเป็นผู้ท่องอากาศ ร่างกายก็ย่อมแข็งแกร่งไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเหน็บนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอุณหภูมิที่ลดต่ำลงนี้ทำให้จำนวนของผลึกน้ำแข็งพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งทะยานขึ้นเป็นสิบๆเท่า แล้วปกคลุมอย่างมืดฟ้ามัวดินเป็นสิบล้านร้อยล้านเท่าอย่างรวดเร็วยิ่ง…
ถึงแม้ว่าจะดีดนิ้วมือจนทำให้รอบทิศทางมีระลอกคลื่นแผ่กระจายกลางอากาศ แต่ภายใต้การปะทะของผลึกน้ำแข็งจำนวนมาก ระลอกคลื่นกลางอากาศก็สูญสิ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ไม่มีทางต้านทานได้เลย”
“สิ่งที่ทดสอบคือความสามารถในการเอาตัวรอดของเจ้า นี่เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ระลอกแรกเท่านั้น” ชายชราผมขาวที่ดูอยู่จากที่ไกลๆ ส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “คิดจะต้านทานหรือ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลต่อไปอีก “จะต้องใช้บริเวณมาตอบสนองเสียแล้ว”
ปัง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลาง ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันใหญ่มหึมาใช้เขาเป็นศูนย์กลาง แผ่กระจายไปรอบทิศทาง ทะเลโลหิตแผ่ออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ไหลบ่าท่วมผลึกน้ำแข็งทั้งหมดที่เข้ามาโจมตี
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 3
ภายในกระท่อมฟาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
คลื่นโลหิตแผ่กระจายท่วมท้นโลกน้ำแข็ง มีผลึกน้ำแข็งบางส่วนที่ยามถูกไหลท่วมยังไม่แตกกระจาย แต่ก็ทานทนได้เพียงชั่วขณะ ท้ายที่สุดก็ยังสูญสลาย เพราะใน ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ความเสียหายที่ได้รับจะทวีขึ้นไม่หยุด ทั้งยังผ่านการ ‘บำเพ็ญในห้วงนิทรา’ มาอีกด้วย ในห้วงนิทรานั้นมีการบำเพ็ญและการต่อสู้อยู่ตลอด ทำให้ ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้มามากมายนับไม่ถ้วน จึงทวีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ทะเลโลหิตที่ล้อมรอบแผ่กระจายกวาดไปรอบทิศทาง ผลึกน้ำแข็งก็มิอาจคุกคามต่อไปได้อีก
“ในที่สุด…ในที่สุดก็ต้านทานการจู่โจมของคลื่นระลอกแรกได้เช่นนี้เองหรือ” ชายชราผมขาวตกตะลึงอยู่บ้าง “เขตแดนที่เขาสำแดงอ้างอิงจากกฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่ม ความเร้นลับที่ใช้ทั้งหมดก็ยังจัดอยู่ในขั้นบุกเบิกเช่นเดิม ทว่ากลับทรงพลังได้ถึงระดับนี้เชียวหรือ”
เช่นเดียวกับผู้ครองชิง การรวมกันของหลายวิถีในยามเป็นผู้เคารพก็สามารถต่อกรกับผู้ปกครองได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตระหนักรู้วิถีสามสาย ส่วนการผนวกรวมกันของวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นนั้นอาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“พรึ่บๆๆ”
อุณหภูมิยังคงลดต่ำลง
ท่ามกลางคลื่นโลหิตที่แผ่กระจาย ถึงกับมีของเหลวสีดำกลั่นตัวออกมา ของเหลวสีดำหยดแล้วหยดเล่าปรากฏขึ้นภายใน ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ถึงแม้ว่าจะมิได้แตกสลายไปทันทีภายในระยะเวลาอันสั้น หากแต่ดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่น! อีกทั้งจำนวนของของเหลวสีดำยังเพิ่มมากขึ้นตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลงด้วย
“การทดสอบการเอาตัวรอดระลอกที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ชายชราผมขาวส่ายศีรษะมอง “คราวนี้อาจจะอันตรายยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว”
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
ตอนนี้ของเหลวสีดำที่ควบแน่นออกมาหยดแล้วหยดเล่า ในที่สุดก็สามารถเบียดเข้ามาในบริเวณค่ายสังหารได้ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่เพราะว่าของเหลวสีดำเกิดเพิ่มขึ้นมาไม่หยุด ดังนั้นพอเวลาผ่านไปของเหลวสีดำในบริเวณค่ายสังหารอันกว้างใหญ่ก็เพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด แม้ว่าพวกมันจะมิได้โจมตี แต่ชัดเจนว่ากำลังสะสมพลัง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงได้ภัยคุกคามลางๆ
“ใช้ได้นี่ มาเถิด มาดูกันว่าจะร้ายกาจสักเพียงใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง อย่างมากตนก็หลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม อาศัยฟ้าดินโลกเทียมและวิธีการทางด้านอากาศในการหลบซ่อน ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวพลังสามารถโจมตีตนได้ แต่ด้วยร่างกายของตนก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายยิ่ง
แต่ว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก ตนมิได้ถูกบีบบังคบจนทำได้เพียงหลบซ่อนตัวเพื่อเอาชีวิตรอด
“ปัง!!!”
ของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันขยับเขยื้อน เคลื่อนผ่านระลอกคลื่นสีแดงโลหิตกลางบริเวณค่ายสังหารแล้วพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกัน
“ปรัชญาคลื่นลมตอนที่สอง!” ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันสะเทือนบนผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง ระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดหลอมรวมกับทั้งบริเวณค่ายสังหารในทันที แล้วพุ่งออกไปรอบทิศทาง ยามที่สัมผัสกับของเหลวสีดำ ปัง ปัง ปัง!!! ของเหลวสีดำทุกหยดต่างก็ระเบิดออกหมด หยดของเหลวสีดำแทบทั้งหมดก็สูญสลายไปในทันใด
นี่ก็คือตอนที่สองของปรัชญาคลื่นลม ศาสตร์ลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นเอง ผนวกรวมกันกับเคล็ดสังหารของบริเวณค่ายสังหาร
บริเวณค่ายสังหารก็เป็นการผนวกรวมกันของวิถีเข่นฆ่ากับวิถีระลอกคลื่น!
ศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมก็เช่นเดียวกัน
ณ ช่วงเวลาที่บำเพ็ญในห้วงนิทรา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำทั้งสองสิ่งผนวกรวมกันขึ้นมา ทำให้พลังคุกคามของบริเวณค่ายสังหารเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล นี่ก็คือปรัชญาคลื่นลมเพียงหนึ่งเดียวที่สร้างขึ้นโดยบริเวณค่ายสังหารล้วนๆ
“นี่ นี่มัน…” ชายชราผมขาวมองด้วยดวงตาอันเบิกโพลง ของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นระเบิดออกแทบหมดสิ้นในชั่วขณะเดียว นี่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง “ท่านเจ้าของสรรสร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมาจนถึงบัดนี้ นี่คือยุคจักรวาลที่แปดแล้ว ในยุคนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกได้เลย ถึงแม้ว่าทั้งเจ็ดยุคก่อนหน้าก็มีคนผ่าน แต่ก็มิได้อุกอาจเช่นนี้เสียหน่อย”
ใช่แล้ว ตัวการทดสอบเองก็อุกอาจยิ่งนัก การจู่โจมอย่างมืดฟ้ามัวดินนับครั้งไม่ถ้วน ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ควรหลบซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิต
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับบดขยี้การจู่โจมทั้งหมดจนแตกกระจุยอย่างซึ่งๆ หน้า
“ระลอกที่สาม แล้วก็เป็นระลอกสุดท้ายแล้ว” ชายชราผมขาวมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างคาดหวัง
พื้นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลของโลกน้ำแข็งกลับกลายเป็นละลายตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นกับตาว่าดินแดนอันหนาวเหน็บหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ของเหลวสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วเปลี่ยนแปรเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง สัตว์ร้ายตัวสีดำคล้ายกับมังกรเกล็ดสีดำ เพียงแต่กรงเล็บหน้าทั้งคู่ของมันใหญ่โตน่ากลัวเป็นพิเศษ
“เด็กดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองสัตว์ร้ายสีดำที่แปลงมาจากพื้นน้ำแข็งทั้งหมด สัตว์ร้ายสีดำจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วส่งเสียงคำรามก้องโลกเสียงหนึ่ง
พร้อมกันนั้นมันก็บินเข้ามาในทันใด
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาพลันสั่นสะท้าน บริเวณค่ายสังหารก็โจมตีออกไปรอบทิศทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลได้จู่โจมบนร่างของสัตว์ร้ายสีดำที่บินเข้ามาตัวนั้น พื้นผิวร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำล้วนถูกสั่นสะเทือนจนทลาย มีของเหลวสีดำสายแล้วสายเล่าไหลออกมา แต่ก็ยังสามารถรักษาร่างกายมหึมาหาใดเปรียบของมันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สาม ทำลาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงสับมือขวาลงอย่างเดือดดาลในทันใด แขนข้างขวาเงื้อขึ้นสูง ปิดฟ้าบังตะวัน จากนั้นก็สับฝ่ามือขวาลงอย่างเดือดดาลราวกับขวานใหญ่ปื้นหนึ่ง แล้วสัตว์ร้ายมหึมาสีดำก็เงื้อกรงเล็บหน้าตะปบไปทางฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิง
ปึง!
ฝ่ามือหนึ่งตะปบลงมา
ร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำพลันสั่นสะท้าน จากนั้นก็แตกสลายกลายเป็นของเหลวสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วสูงขึ้นไปตามอุณหภูมิของฟ้าดิน ของเหลวสีดำกระจัดกระจายกลายเป็นกระแสอันหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บบริเวณค่ายสังหารแล้ว แต่ยังคงยืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม
“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่…คงจะหมดจดยิ่งกว่านี้อีก” ในห้วงความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดมากมายกระทบกระแทกกันโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ไม่กล้าบำเพ็ญเลย ด้วยกลัวว่าหากไม่ระวัง ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็จะบรรลุไปถึงขั้นผู้ปกครอง! หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบของขั้นบุกเบิกอีกต่อไปแล้ว
และตอนนี้เนื่องจากเขาสำแดงปรัชญาคลื่นลมเพื่อการต่อสู้ ได้สำแดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของปรัชญาคลื่นลมออกมาอย่างเต็มที่ จนเริ่มกระทบเข้ากับสิ่งที่เขาได้รับรู้มาเป็นจำนวนมากก่อนตนจะเข้าสู่การบำเพ็ญในห้วงนิทรา จึงย่อมเกิดความคิดบางอย่างเกี่ยวกับปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ของตนขึ้นมาเป็นธรรมดา
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วย เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว” ชายชราผมขาวตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเข้ามาแสดงความยินดี
“ถ้าหากตอนนี้ข้าบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว ก็สามารถได้รับของขวัญจากท่านบรรพชนเช่นเดียวกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็ผ่านการทดสอบแล้ว ตอนนี้การบรรลุไปถึงขั้นผู้ปกครองอีก ก็ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างประหลาดใจ “อะไรกัน จะบรรลุแล้วหรือ ก็ถูก การใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเจ้ามาถึงระดับขั้นนี้ การบรรลุก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะกำลังสนทนากับชายชราผมขาว ทว่าภายในห้วงความคิดนั้น ความคิดมากมายยังกระทบกระแทกกันอย่างห้ามไม่อยู่ การตระหนักรู้อันมหาศาลในอดีต และการตระหนักรู้ในการบำเพ็ญในห้วงนิทรากระทบและหลอมรวมกันไม่หยุดหย่อน พูดได้ว่าความคิดในใจเก้าสิบเก้าอย่างล้วนอยู่ข้างบนนี้
“พวกเราออกไปกันไหม” ชายชราผมขาวถามกระตุ้น
“ไปสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ และในขณะนี้เขาดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางการกระทบกันของการตระหนักรู้อันมหาศาลไปพร้อมกันกับอีกสองร่าง
……
ชายชราผมขาวพาตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากโลกน้ำแข็งแห่งนี้ไปด้วยกัน เขายังส่งเสียงจุ๊ๆ อยู่ข้างๆ “ท่านบรรพชนยังทิ้งการทดสอบนี้เอาไว้ เป็นการทดสอบความสามารถในการเอาตัวรอดรักษาชีวิตของเจ้า ในท้ายที่สุดเจ้าก็สามารถรับมือกับการทดสอบทั้งหมดอย่างซึ่งๆ หน้าได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง ร้ายกาจยิ่งกว่าเจ้าเด็กที่เชี่ยวชาญกาลมิติผู้นั้นมากมายเหลือเกิน”
“เชี่ยวชาญกาลมิติหรือ ประมุขเกาะกาลมิติน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดพูดขึ้นมามิได้
“อืม อย่าพูดถึงเขาเลย” ชายชราผมขาวชี้ไปยังกระท่อมฟางสามหลังที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาเป็นประกาย “โอกาสดีของเจ้ามาถึงแล้ว รีบไปเสีย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบรรพชนเทียนอวี๋จะทิ้งอะไรเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเขาบ้าง
ยามที่อยู่ห่างจากกระท่อมฟางเพียงร้อยสองร้อยเมตร โลกบริเวณรอบๆ ก็เริ่มจะบิดเบี้ยวตามระยะทางที่ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบสงบเช่นเดิม ผ่านโลกที่บิดเบี้ยวชั้นแล้วชั้นเล่า เดินผ่านการปกป้องของโลกชั้นแล้วชั้นเล่านี้ ก็มาถึงด้านหน้าของกระท่อมฟางหลังซ้ายสุด
“เข้าไปเถิด” ชายชราผมขาวพูดยิ้มๆ
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
กระท่อมฟางสามหลังนั้น หลังทางด้านซ้ายก็คือหลังที่ผู้ผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ส่วนหลังกลางนั้นผู้ผ่านการทดสอบขั้นผู้ปกครองจึงจะสามารถเข้าได้ สำหรับหลังทางขวาก็คือคลังสมบัติ
เอี๊ยด… ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักประตูไม้ของกระท่อมฟางเบาๆ ประตูไม้ดูเหมือนจะธรรมดาทั่วไป แต่ภายในกระท่อมฟางกลับเต็มไปด้วยความมืดหม่นราวกับน้ำวน ยากจะมองเห็นได้ชัด
ย่างเท้าก้าวเข้าไปในวังน้ำวนอันมืดหม่นนี้
“พรึ่บ”
ฉากตรงหน้าแปรเปลี่ยน
นี่คือบ้านอันแสนธรรมดา ภายในมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง มีเบาะรองนั่งอยู่หนึ่งอัน บนโต๊ะมีเสื้อคลุมสีม่วงอยู่ชุดหนึ่ง เช่นเดียวกับป้ายห้อยสีม่วงอันหนึ่ง
แต่บนเบาะรองนั่งกลับมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด
นั่นคือชายชราที่มีลักษณะหลังค่อมคดผู้หนึ่ง เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เจ้าเด็กรุ่นหลัง ว่ากันแล้วจักรวาลของพวกเจ้าก็เป็นข้านี่แหละที่สร้างขึ้นมา สิ่งมีชีวิตในจักรวาลก็นับได้ว่าข้าเป็นผู้สร้างขึ้น เจ้าสามารถผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกมาถึงที่นี่ได้ ก็เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่ง ‘วังทวีสูญ’ของข้าแล้ว อ้อ วังทวีสูญคือสำนักหนึ่งที่ข้าก่อตั้งขึ้นในตอนแรกที่ข้ารับคำเชิญของ ‘ท่านบรรพชนคีรีมาร’ และ ‘ท่านประมุขเหยากวง’ มายังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแห่งนี้”
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 4
ศิษย์อาภรณ์ม่วง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านบรรพชนคีรีมาร กับท่านประมุขเหยากวงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงบรรพคีรีมารขึ้นมาในทันใด ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเคยบอกตนมาก่อนแล้วว่าท่านบรรพชนของพวกเขากับบุคคลอื่นอีกท่านหนึ่งร่วมกันเปิดทางออกสู่ ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ และตอนนี้ท่านบรรพชนเทียนอวี๋ก็พูดว่าเขารับคำเชิญของท่านบรรพชนคีรีมาร ท่านประมุขเหยากวง ไปเปิดสำนักที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
“ดูท่าทาง ผู้ที่เปิดทางออกสู่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา จะเป็นท่านบรรพชนคีรีมารกับท่านประมุขเหยากวงเสียแล้ว ฟังขึ้นมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างบรรพชนเทียนอวี๋ของจักรวาลเรากับท่านบรรพชนคีรีมารคงจะดีทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ
ถ้าหากความสัมพันธ์ย่ำแย่ก็คงไม่พูดถึงทั้งสองท่านนั้นในร่างเสมือนที่ทิ้งเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังแล้ว
บรรพชนเทียนอวี๋แม้จะหลังค่อมเล็กน้อย แต่สายตากลับอ่อนโยน และมีติ่งหูขนาดใหญ่มาก เขายิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อไปว่า “วังทวีสูญของข้าที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ก็เป็นขุมอำนาจระดับสุดยอดแห่งหนึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือ ในอนาคตถ้าหากเจ้าไปจากจักรวาล มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้วเผชิญกับภยันตรายระหว่างทาง ก็สามารถแสดงตัวตนของเจ้าได้ในยามอับจน ถึงอย่างไรคนที่รู้เรื่องรู้ราวสักหน่อยต่างก็รู้กันว่าวังทวีสูญของข้ารักพวกพ้องเป็นที่สุด หากกล้าย่ำยีวังทวีสูญของข้า นั่นก็คือการรนหาที่ตายแล้ว!”
“แน่นอนว่าวังทวีสูญของข้าก็มีศัตรู ดังนั้นในยามจำเป็นที่อับจนหนทางแล้วจึงค่อยเปิดเผยตัวตน อาจสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างคล้อยตาม
เขาฟังออกว่าบรรพชนเทียนอวี๋ผู้นี้ดูเหมือนเป็นชายชราที่ดีคนหนึ่ง สามารถทิ้งวาจาในร่างเสมือนเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังได้ว่า ‘หากกล้าย่ำยีวังทวีสูญของข้า นั่นก็คือการรนหาที่ตาย’ เห็นได้ชัดว่าก็มิใช่ประเภทที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงชอบใจยิ่งนักที่มีบรรพชนเช่นนี้!
อีกฝ่ายเป็นผู้ก่อตั้งจักรวาลผู้บำเพ็ญ ก็คือบรรพชนดั้งเดิมของสรรพชีวิตทั้งหลายในจักรวาลแห่งนี้
“เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่งวังทวีสูญ เสื้อคลุมและป้ายคำสั่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนมีกันทุกคน ในขณะเดียวกันเจ้าสามารถเลือกศาสตร์ลับพื้นฐานระดับอลหม่านได้สามศาสตร์!” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นศาสตร์ลับพื้นฐาน ข้าคาดหวังยิ่งกว่าว่าชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าเหล่านี้จะสามารถใช้ประโยชน์จากศาสตร์ลับเหล่านี้…จนในท้ายที่สุดก็สามารถรังสรรค์ศาสตร์ลับของพวกเจ้าเองได้!สิ่งที่ตนรังสรรค์ขึ้นมาเองจึงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด”
“สำหรับอาวุธกับวัตถุภายนอกน่ะหรือ ก็ต้องอาศัยตัวเจ้าเองแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ต้องเดินบนเส้นทางบำเพ็ญด้วยตัวเอง” บรรพชนเทียนอวี๋แย้มยิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นภาพร่างก็เลือนหายไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่านี่เป็นเพียงแค่ร่างเสมือนเท่านั้น
เหมือนกับผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ในตอนนั้น เพื่อการสืบทอด ก็ได้สร้างร่างแปรร่างหนึ่งเอาไว้
แต่ทว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นการอาศัยคนในการตระหนักรู้ ไปบุกเบิกเส้นทาง แล้วเดินตามเส้นทางไปตลอด…
“เสื้อคลุมหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบเสื้อคลุมสีม่วงขึ้นมาก่อน คลื่นวิญญาณซึมซาบผ่านคราหนึ่งแล้วก็หลอมแปรอย่างง่ายดาย หลังจากหลอมแปรแล้วเขาก็พบว่าเสื้อคลุมสีม่วงรับรู้เจ้านายเองโดยธรรมชาติ นอกจากเขาผู้นี้ที่เป็นเจ้าของแล้ว ผู้อื่นก็มิอาจใช้ได้อีก เห็นได้ชัดว่าสถานะศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่งวังทวีสูญนี้… มิใช่จะปลอมแปลงได้โดยง่าย
“เป็นเสื้อคลุมที่ทนทานดีเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง ด้วยหลังจากหลอมแปรแล้วอาภรณ์บนร่างของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในทันใด กลายเป็นอาภรณ์สีม่วงตลอดร่าง
“เสื้อคลุมนี่…ข้าใช้กำลังทั้งหมดก็ยังทำร้ายมันมิได้เลยแม้แต่น้อย” ปลายนิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเกราะพลปรากฏขึ้น เขาทดลองทำลายบริเวณมุมเสื้อคลุมแต่ก็มิอาจทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบป้ายคำสั่งสีม่วงด้านข้างขึ้นมาทันทีแล้วรับสัมผัสเล็กน้อย
ปัง…
ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสมอง
ความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับวังทวีสูญจำนวนมากมาย แม้กระทั่งข้อมูลที่ว่าเสื้อคลุมเป็นสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋ปรับแต่งขึ้นมาด้วยตัวเอง มีความทนทานมิอาจทำลายได้ ก็ล้วนมีบันทึกเอาไว้ ในนั้นยังมีบันทึกของศาสตร์ลับระดับอลหม่านอีกด้วย
ที่วังทวีสูญ ศาสตร์ลับระดับอลหม่านนั้นจัดเป็นลำดับที่สอง! เช่นเดียวกับร่างแท้หมื่นมารของจอมมาร ยังห่างชั้นกับศาสตร์ลับระดับอลหม่านมากมายนัก ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการเลือกศาสตร์ลับพื้นฐานระดับอลหม่านสามศาสตร์นั้นเลิศล้ำค้ำฟ้าเพียงใด ถึงแม้ว่าจะยังมีศาสตร์ลับอันดับหนึ่งที่สูงส่งยิ่งกว่า… แต่ความเป็นจริงแล้วด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ สำหรับเขาแล้วอันดับหนึ่งและอันดับสองก็มิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะเขาอ่อนแอเกินไป
“ศาสตร์ลับพื้นฐานระดับอลหม่านของวังทวีสูญมีด้วยกันทั้งสิ้นหนึ่งร้อยเก้าศาสตร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงอยู่บ้าง ในป้ายคำสั่งมีคำอธิบายเบื้องต้นที่สุดเกี่ยวกับหนึ่งร้อยเก้าศาสตร์ลับนี้
ศาสตร์ลับพื้นฐานที่ไหนกัน
พื้นฐาน ก็คือแตกฉานเชี่ยวชาญในศาสตร์ลับวิถีหนึ่ง! ศาสตร์ลับศาสตร์หนึ่งจะเชี่ยวชาญเพียงวิถีเดียว
นั่นคือการผนวกรวมกันของวิถีสองสาย มีความซับซ้อนยิ่งกว่า เช่นเดียวกับปรัชญาคลื่นลมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นมาเอง และกฎของวังทวีสูญ…ไม่ว่าจะเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วง หรือจะเป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่สุดอย่างศิษย์อาภรณ์ทอง ศิษย์อาภรณ์ทองคือผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดของขั้นผู้ปกครอง ที่มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าเทพอากาศเสียอีก!
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงหรือศิษย์อาภรณ์ทอง ก็จะได้รับการถ่ายทอดเพียงศาสตร์ลับพื้นฐานเท่านั้น
เชี่ยวชาญศาสตร์ลับพื้นฐานเพียงวิถีเดียว บริสุทธิ์กว่า! ทั้งยังเหมาะสมที่จะนำมาใช้อ้างอิงมากกว่าด้วย
ถ้าหากรับการถ่ายทอดศาสตร์ลับที่ผสมกันหลายสายมากเกินไป…จะกลับกลายเป็นการรบกวนทิศทางการบำเพ็ญของศิษย์รุ่นหลัง หรือแม้กระทั่งทำลายอนาคต! เส้นทางการบำเพ็ญไม่ควรถูกรบกวน โดยเฉพาะระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ยิ่งต้องการให้ศิษย์รุ่นหลังเดินไปด้วยตัวเอง ถ่ายทอดศาสตร์ลับพื้นฐานที่ดีที่สุดของพวกเขา พวกเขาจะเดินไปถึงจุดนั้นได้ก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของพวกเขาเองแล้ว
“สามอย่างเท่านั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าน้อยเกินไป จึงอดที่จะบ่นพึมพำมิได้
วิถีที่ตนตระหนักรู้ก็มีสามอย่างแล้ว
“เอาเถอะ กฎที่บรรพชนเทียนอวี๋บัญญัติเอาไว้ย่อมมิอาจฝ่าฝืนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ เขารู้ว่าความคิดของท่านบรรพชนก็คือไม่อยากให้ศิษย์รุ่นหลังกระจายพลังไปยังศาสตร์ลับมากเกินไป ดังนั้นจึงจำกัดให้เลือกได้เพียงสามศาสตร์
แต่สำหรับตนแล้วยังน้อยเกินไปหน่อยจริงๆ วิถีสามสาย ทุกวิถีก็มีศาสตร์ลับสามศาสตร์แล้ว ยังมีการบำเพ็ญที่สำคัญที่สุดอย่างศาสตร์ลับของร่างจริงจิตเทพที่จำเป็นต้องเลือกด้วย นี่ก็ปาเข้าไปสี่อย่างแล้ว
“ต้องละทิ้งไปหนึ่งอย่าง”
“อืม”
ความเร็วในการใช้ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงรวดเร็วอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“วิธีการของค่ายสังหารธรรมดาที่สุด ตอนข้าอยู่ที่บรรพคีรีมารก็เห็นมาไม่น้อย ก็ละทิ้งค่ายสังหารก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ที่เหลือก็คือศาสตร์ลับระดับอลหม่านสามศาสตร์ ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร แล้วก็คัมภีร์รัศมีเทพ”
ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา คือศาสตร์ลับในเขตแดนของ ‘วิถีระลอกคลื่น’ !
สามพันร่างแปร คือศาสตร์ลับของ ‘วิถีโลกเทียม’!
คัมภีร์รัศมีเทพ คือความเชี่ยวชาญของวิญญาณ
……
ด้านนอกกระท่อมฟาง ชายชราผมขาวรอคอยอยู่ที่นั่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์สีม่วงเดินออกมาจากกระท่อมฟาง เมื่อชายชราผมขาวมองเห็นก็เผยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย ยินดีด้วย ที่ได้เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงของวังทวีสูญแล้ว”
“ยังต้องขอให้ผู้อาวุโสช่วยนำต้นฉบับศาสตร์ลับทั้งสาม ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร และคัมภีร์รัศมีเทพมาให้ข้าด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ได้สิ แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าจะนำต้นฉบับศาสตร์ลับนี้ไปด้วยมิได้หรอกนะ เพราะต้นฉบับศาสตร์ลับระดับอลหม่านเหล่านี้… สถานที่แรกเริ่ม และทุกๆสำนักมีต้นฉบับเพียงฉบับเดียวเท่านั้น” ชายชราผมขาวพูด
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ไม่นานนัก
ชายชราผมขาวนำตำราสามเล่มออกมาจากกระท่อมฟางคลังสมบัติที่อยู่ข้างๆ โดยตาข่ายสวรรค์ไร้เงามีตัวเล่มตำราโปร่งแสง ส่วนสามพันร่างแปรเป็นตำราที่มีตัวเล่มสีดำ และตัวตำราของคัมภีร์รัศมีเทพมีสีทอง ตำราทั้งสามต่างก็แผ่กลิ่นอายอันไร้รูปร่างออกมา ถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นศาสตร์ลับระดับอลหม่าน
……
พอรับเอาต้นฉบับศาสตร์ลับทั้งสามเล่มมาแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับเข้าไปในกระท่อมฟาง แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งนั้น
กระท่อมฟางหลังนี้ก็คือสถานที่บำเพ็ญที่บรรพชนเทียนอวี๋ทิ้งเอาไว้ให้ศิษย์อาภรณ์ม่วงโดยเฉพาะ ห้วงเวลาของที่นี่เพิ่มความเร็วขึ้นถึงหมื่นเท่า แม้กระทั่งเบาะรองนั่งนั้นก็เป็นของล้ำค่า ผลของการนั่งบำเพ็ญบนนั้นดียิ่งกว่าชั้นนอกของบรรพคีรีมารเสียอีก
“ข้าจะบำเพ็ญอยู่ที่นี่แหละ”
“อืม ไม่ต้องเร่งศึกษาศาสตร์ลับหรอก จะบำเพ็ญศาสตร์ลับให้ถ่องแท้ก็ต้องใช้เวลา มาหลอมรวมการตระหนักรู้ในการบำเพ็ญในห้วงนิทราของข้าเข้าด้วยกันก่อนดีกว่า” จิตของตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนไหวการไหลของห้วงเวลาในกระท่อมฟางเปลี่ยนแปลงไปหมื่นเท่า ไม่จำเป็นต้องรับกฎเกณฑ์ฟ้าดินของโลกภายนอกเลย
ปัง..
ในห้วงความคิด เขาหลอมรวมวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น วิถีโลกเทียม อีกทั้งปรัชญาคลื่นลมเข้าด้วยกัน ส่วนบริเวณค่ายสังหารที่มิได้รับรู้ด้วยกันก็เริ่มแตกสลายไป
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 5
ในที่สุดก็สำเร็จเป็นผู้ปกครอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนจะบำเพ็ญในห้วงนิทรา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้วิถีทั้งสามสายเช่นวิถีโลกเทียมบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุด แม้การบำเพ็ญในห้วงนิทราจะแตกต่างกันบ้างตามทิศทางที่เดินไป การรับรู้ของการบำเพ็ญก็แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ก็บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดเช่นเดียวกัน เมื่อบำเพ็ญในห้วงนิทรา…ก็ล่วงรู้ขั้นผู้ปกครองขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อการรับรู้สองอย่างปะทะกัน ก็เป็นความรู้สึกอันพิสดารมากทีเดียว
……
เวลาล่วงเลยไป ภายในกระท่อมฟางผ่านไปถึงหนึ่งร้อยหกสิบปีแล้ว การบำเพ็ญของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยุติลง เวลาของโลกภายนอกก็ผ่านไปนานเกือบหกวันแล้ว ซึ่งนี่นานกว่าเวลาวันสองวันตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้บอกกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าการต่อสู้ดำเนินมาจนถึงบัดนี้ เวลาเพียงไม่กี่วันนี้ก็ไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในช่วงเวลาคับขันของการคิดค้นปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ก็ไม่อยากหยุดลง การรับรู้จำนวนมากหลอมรวมเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เขาดำดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิง เวลาจึงเนิ่นช้าออกไป
บนเกาะธุลีแดงในโลกภูผาศิลาแดง
“เอี๊ยด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างผลักประตูเปิดแล้วเดินออกมา ใบไม้บนต้นไม้รอบด้านเป็นสีแดงเรื่อ ใบไม้ร่วงจำนวนนับไม่ถ้วนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น
“ผู้ปกครองช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อเงยหน้ามองออกไปไกล
สายตาก็พลันมองทะลุทั้งโลกวัตถุ และมองเห็นโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบอันไกลโพ้น ทั้งยังมองเห็นว่า ที่ส่วนลึกของเกาะใจกลางทะเลสาบมีผู้ปกครองทั้งเก้านั่งขัดสมาธิอยู่ ได้แก่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอาภรณ์สีดำ ผางอี ผู้ครองชิง บรรพชนบรรพชนหุบเหวลึก ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ เจ้าแม่กานเหอ ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและประมุขหยวนชู ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากของฝ่ายจักรวาลผู้บำเพ็ญล้วนอพยพมายังเกาะใจกลางทะเลสาบชั่วคราว ผู้ปกครองอย่างพวกเขาเหล่านี้ล้วนทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่เกาะใจกลางทะเลสาบ
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นผู้ปกครองทั้งเก้า ผู้ปกครองเก้าท่านก็รับสัมผัสได้ทันที แต่ละคนต่างก็มองมาด้วยความตกใจ
“ใครน่ะ”
“พวกลัทธิจอมมารดาโง่เง่านั่นไม่มีทางพบที่ซ่อนของพวกเราได้หรอกกระมัง”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขเกาะกาลมิติ ผู้ครองชิงและผางอีต่างก็มองไปตามการสัมผัสรับรู้
ไม่นานนัก
ก็ประสานสายตาเข้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในโลกวัตถุอันไกลโพ้น
“ศิษย์น้องตงป๋อหรือ” ผู้ครองชิงตกตะลึง
“ตงป๋อเสวี่ยอิงรึ” ประมุขเกาะกาลมิติไม่อยากจะเชื่อ “เขา เขาสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้วหรือ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เผยสีหน้ายินดีออกมา จากนั้นก็พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “ทุกท่าน เสวี่ยอิงเข้าไปในจักรวาลคีรีมาร ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่นั่นเร็วกว่าพวกเราสามพันกว่าเท่า ดังนั้นเสวี่ยอิงจึงบำเพ็ญที่นั่นมาเป็นเวลานานหลายร้อยล้านปีแล้ว! พลังของเขาในตอนแรกบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้ว บัดนี้ก็ก้าวพ้นก้าวนั้นและสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ก็เป็นเรื่องปกตินัก”
“ปกติหรือ” ผู้ครองชิงทอดถอนใจ “ข้าติดอยู่ในขั้นผู้เคารพมานานถึงเพียงนี้”
“ข้าบุกเบิกเส้นทางขึ้นมาใหม่และคิดค้นวิถีการบำเพ็ญขึ้นมาเองจึงได้บรรลุ” ผางอีก็ทอดถอนใจ “พรสวรรค์นี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงช่างเก่งกาจ จนสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว”
จากขีดจำกัดผู้เคารพถึงขั้นผู้ปกครอง ดูเหมือนจะเป็นเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่กลับยากเป็นอย่างมาก
เช่นจักรพรรดิผลาญเอกา บัดนี้ก็ยังติดอยู่ที่นั่น!
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ ความช่วยเหลือของเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยปากออกมาว่า “เสวี่ยอิง รีบมาเร็วเข้า”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นบุกเบิกข้าก็ยังไม่แปลกใจนัก ทว่าสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้…ข้าก็นับถือเจ้านัก นี่มันรวดเร็วเกินไปแล้วจริงๆ” ประมุขหยวนชูก็ถ่ายเสียงอุทาน
สีหน้าของประมุขเกาะกาลมิติแปลกพิกล
เดิมทีเขาก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงขัดหูขัดตาอยู่แล้ว บัดนี้เจ้าเด็กนี่กลับมานั่งเสมอข้าในครู่เดียว ล้อเล่นอันใดกัน
“เฮอะๆ คาดว่าผู้ปกครองใหม่ยังคงอ่อนต่อโลกนัก” บัดนี้ประมุขเกาะกาลมิติยังคงปลอบใจตนเอง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการที่ตนสำเร็จเป็นผู้ปกครองนำความตื่นตระหนกมาให้แก่พวกเขา ทว่าการสำเร็จเป็นผู้ปกครองนั้นยากมากอย่างแท้จริง อย่างน้อยระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็บรรลุได้ยากกว่า
“ข้าหลอมรวมการรับรู้เข้าไปก็เพียงแค่ทำให้วิถีโลกเทียมก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ “บัดนี้ก็คิดค้นปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ขึ้นมาแล้ว เข้าใจวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น แต่จะบรรลุได้ก็ต้องใช้เวลาสั่งสมไปเรื่อยๆ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็จะสำเร็จเอง”
“หากไร้ซึ่งการบำเพ็ญในห้วงนิทรา เกรงว่าข้าก็คงจะติดอยู่ที่ขีดจำกัดนานยิ่งกว่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจในข้อนี้ดี
“เสวี่ยอิง”
เสียงหนึ่งแพร่เข้ามาจากที่ไกลๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามองไป อวี๋จิ้งชิวซึ่งอยู่ห่างออกไปกะพริบวาบคราหนึ่งก็มาถึงตรงหน้า
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ” เงาร่างสองสายเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏขึ้นเสียงดังสวบ สวบ เป็นตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยานั่นเอง
“เสวี่ยอิง เหตุใดข้าจึงสามารถสัมผัสกลิ่นอายของท่านได้เล่า” อวี๋จิ้งชิวเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ เท่าที่นางรู้ กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงตรงหน้าผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งมากกว่านี้
“ข้าเข้าไปในจักรวาลคีรีมารและพบโอกาสบางอย่างเข้า จึงบรรลุในรวดเดียว บัดนี้ประสบผลสำเร็จกลายเป็นผู้ปกครองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาพากันตะลึงงัน
สำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ
พวกเขาล้วนภาคภูมิใจในตัวตงป๋อเสวี่ยอิง และยอมรับว่าเขายอดเยี่ยมไร้เทียมทาน แต่สำเร็จเป็นผู้ปกครอง ยืนอยู่ในจุดยอดสุดของทั้งจักรวาลเช่นนั้นหรือ อยู่ในระดับสูงทัดเทียมกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขเกาะกาลมิติ บรรพชนหุบเหวลึกและประมุขตำหนักหมื่นเทพน่ะหรือ เรื่องนี้ยังคงทำให้พวกอวี๋จิ้งชิวรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
“การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลคีรีมารเร็วกว่าของพวกเราที่นี่มาก ข้ามิได้บำเพ็ญมาสิบล้านปี หากแต่เป็นหกร้อยกว่าล้านปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “รอจนสงครามยุติ ข้าก็จะส่งพวกเจ้าไปยังจักรวาลคีรีมาร ระบบการบำเพ็ญและทรัพยากรของพวกเขาล้วนมีมากกว่าของพวกเรามากมายนัก ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวก็เป็นสหายที่ดีของข้า ข้าเคยพูดกับเขาเรื่องนี้มานมนานแล้ว”
“ผู้ปกครองเชียวนะ” ตงป๋ออวี้มองไปทางตงป๋อชิงเหยาที่อยู่ด้านข้าง “ได้ยินแล้วหรือไม่ บิดาข้าเป็นผู้ปกครองแล้ว!”
“บิดาข้าก็เป็นผู้ปกครองเหมือนกัน!” ตงป๋อชิงเหยาจงใจเบ้ปาก
สองพี่น้องรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะปกปิดเอาไว้ได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ยิ้มออกมา “ข้าจะหลุดพ้นเสียหน่อยก่อน”
“หลุดพ้นเสียหน่อยหรือ” อวี๋จิ้งชิวและลูกๆ ต่างก็สะดุ้ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปกลางฟากฟ้าด้านข้าง แล้วควบคุมอากาศผ่านกาลมิติ
วิ้งงงง…
อากาศที่อยู่ตรงหน้าพลันถูกลอกออกจากกัน ประหนึ่งผลส้มที่ถูกปอกเปลือก เผยให้เห็นเนื้อส้มที่อยู่ด้านใน เผยให้เห็นมิติในระดับที่ลึกขึ้น ที่นั่นมีสายน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบซึ่งโลดแล่นอยู่ มันไร้ซึ่งต้นกำเนิด และไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด มันโลดแล่นไปทุกบริเวณทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้
กลางสายน้ำมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ตั้งแต่มดปลวกไปจนถึงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นล้วนจมจ่อมอยู่ในนั้น
“มหานทีแห่งกาลเวลาหรือ” ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและอวี๋จิ้งชิวต่างก็มองดู เมื่อพวกเขามองเห็นมหานทีสายนี้ จิตใจก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนนัก เพราะเมื่อพวกเขาบำเพ็ญ ก็ล้วนตั้งตารอคอยว่าจะมีสักวันหนึ่งที่สามารถหลุดพ้นจากมหานทีแห่งนี้ไปได้
“นั่นมัน…”
พวกตงป๋ออวี้ทั้งสามคนทอดสายตามองออกไปไกลด้วยความตื่นตระหนก
ไกลออกไปในมหานทีแห่งกาลเวลามียักษ์ขนาดมหึมาหาใดเปรียบอยู่ตนหนึ่ง! ความสูงของยักษ์นั้นยากจะประมาณได้ เขาสูงใหญ่เกินไปจนตาเปล่ามิอาจมองเห็นได้ชัดเจน ขาทั้งสองของเขายังยืนอยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลา ทว่าน้ำในมหานทีแห่งกาลเวลากลับสูงไม่ถึงหัวเข่าของเขาเสียด้วยซ้ำไป! ความกว้างของขาทั้งสองก็ครองความกว้างทั้งหมดของมหานทีแห่งกาลเวลาไปจนเต็มแล้ว
ยักษ์ตนนี้เพียงแค่ก้าวขาก็ไปถึงฝั่งข้างมหานทีแห่งกาลเวลาแล้ว
ออกจากสายน้ำแล้วขึ้นสู่ฝั่ง!
นี่มิใช่สายน้ำธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นมหานทีแห่งกาลเวลา เมื่อเดินออกจากสายน้ำขึ้นสู่ฝั่ง ก็เท่ากับว่าเป็นคนอีกฝั่ง เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็ไปถึงฝั่งกลางอากาศนั้นแล้ว ทันใดนั้นยักษ์ซึ่งเดิมทีสูงตระหง่านหาใดเปรียบก็พลันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ในยามนี้พวกตงป๋ออวี้และอวี๋จิ้งชิวจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยักษ์ซึ่งขาทั้งสองข้างแทบจะทำให้มหานทีแห่งกาลเวลาระเบิดอยู่รอมร่อนั้นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง! เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เพียงวิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นผู้ปกครองเท่านั้น ‘ผู้ท่องอากาศ’ ก็ยังสำเร็จเป็นผู้ปกครองอีกด้วย ร่างจริงและจิตเทพของเขาล้วนแข็งแกร่งยิ่งนัก แข็งแกร่งกว่าผู้ปกครองทั่วไปมากทีเดียว ดังนั้นรูปร่างของเขาที่อยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลาจึงได้ใหญ่โตเกินจริงไปมากถึงเพียงนั้น
หลังจากยักษ์ร่างสูงตระหง่านนั้นหดเล็กลงแล้ว ก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว
“หลุดพ้น ครบสมบูรณ์” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าวิญญาณของตนครบสมบูรณ์ขึ้นมากทีเดียว “ทว่าร่างจริงและร่างแยกรวมเป็นหนึ่งจึงครบสมบูรณ์ในท้ายที่สุด”
จะสำเร็จเป็นเทพอากาศนั้น
ร่างจริงและร่างแยกจะต้องรวมเป็นหนึ่ง ชีวิตครบสมบูรณ์อย่างแท้จริงจึงจะสามารถก้าวออกมาจากก้าวนั้นได้ และก้าวออกจากขั้นเทพแท้ซึ่งเป็นระดับขั้นใหญ่เข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศนั้น ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงเป็นผู้ปกครอง ทั้งยังไม่ต้องการเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านชั่วคราว จึงไม่จำเป็นต้องรวมร่างจริงและร่างแยกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
“ท่านพ่อ ข้าได้ยินมาว่าการหลุดพ้นต้องอาศัยพละกำลังของกฎเกณฑ์ฟ้าดินทำให้ตนหลุดออกจากมหานทีแห่งกาลเวลาได้ แต่ท่านแค่ก้าวเพียงก้าวเดียวก็ขึ้นมาริมฝั่งแม่น้ำได้แล้วอย่างนั้นหรือ และร่างกายนั่นก็ใหญ่โตเกินไปแล้ว” ตงป๋ออวี้อ้าปากค้างอยู่ข้างๆ
“ฮ่าฮ่า…ไม่พุดกับเจ้าให้มากความแล้วดีกว่า ข้าออกไปก่อนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าให้ภรรยาเล็กน้อย
“ระวังตัวด้วยล่ะ” อวี๋จิ้งชิวกำชับ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วก็หายวับไปกลางอากาศ เขาออกจากโลกวัตถุไปรวมตัวกับพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแล้ว
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 6
วิถีโลกเทียมสำเร็จขั้นผู้ปกครองหรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสาศิลาสีดำขนาดมหึมาต้นหนึ่งปักอยู่กลางดวงดาราอันมืดมิด โซ่สายแล้วสายเล่าอยู่บนเสาศิลาสีดำแล้วแผ่ขยายออกไปยังอากาศทั่วทิศ ลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่บนโซ่ บนเสาศิลานั้นก็มีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่เช่นกัน อานุภาพอันยิ่งใหญ่แผ่คลุมออกไปไกลถึงแสนล้านลี้โดยรอบ
อานุภาพระลอกนี้เพียงพอให้เหล่าผู้ปกครองสั่นสะท้านไปหมด ส่วนยอดของเสาศิลาสีดำมีอาณาเขตกว่าหมื่นลี้ ณ ยอดเสาศิลามีเงาร่างสองสายนั่งอยู่ คนหนึ่งคือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตในอาภรณ์สีแดงเข้ม ส่วนอีกผู้หนึ่งคือเจ้าแม่กานเหอผู้หรูหรางดงาม
“สวบ” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง
“เฮ้อ ค่ายกลเสาศิลานี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าพละกำลังชั้นแล้วชั้นเล่าจำนวนนับไม่ถ้วนขัดขวางตนเอาไว้ เดิมทีเขาวางแผนว่าจะร่อนลงตรงยอดของเสาศิลานั้นเพื่อพบท่านอาจารย์ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าห่างออกมาตั้งไกลก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้เสียแล้ว
“ฮ่าฮ่า แม้แต่คนเป็นอาจารย์อย่างข้าก็ยังฝืนบุกฝ่าเข้ามามิได้ เจ้ายังคิดจะบุกฝ่าเข้าไปอีกรึ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งยืนอยู่บนยอดเสาศิลาสีดำยืนขึ้นมา พลางมองดูศิษย์ซึ่งหมดท่าอยู่ตรงนั้นห่างๆ เขายิ้มออกมา “เข้ามาเถิด อย่าได้ต่อต้านเลย”
เขาพูดพลางควบคุมค่ายกล
พละกำลังระลอกหนึ่งเข้าพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกไปทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นที่ยอดเสาศิลาสีดำ จากนั้นก็ยิ้มพลางโค้งคำนับ “คารวะท่านอาจารย์”
“ระหว่างข้ากับเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเกินไปนักหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็มองดูพลางยิ้มตาหยี เส้นทางการบำเพ็ญนั้นเดียวดายมาก บนเส้นทางอันเดียวดายสายนี้ ศิษย์สองคนของตนล้วนสามารถเดินตามรอยเท้าของเขาได้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็รู้สึกว่าพึงพอใจนัก
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” เจ้าแม่กานเหอเดินมา น้ำเสียงของนางเยือกเย็นอยู่บ้าง “เมื่อพบเจ้าครั้งแรกในตอนนั้น เจ้ายังเป็นเด็กน้อยที่เข้าร่วมงานหมื่นบุปผาอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เข้าสู่ขั้นผู้ปกครองเสียแล้ว”
“โชคดีน่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างถ่อมตน
“การบำเพ็ญไม่มีคำว่าโชคดีหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ใช่แล้ว วิถีสายใดของเจ้าบรรลุจนสำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ วิถีโลกเทียมหรือวิถีเข่นฆ่ากันเล่า”
เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ด้านข้างก็ตั้งใจฟังอย่างละเอียด
“วิถีโลกเทียมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
หากพูดกันอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ตนมีถึงสองระบบที่ก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง หนึ่งคือ ‘วิถีโลกเทียม’ ของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล สองก็คือระบบผู้ท่องอากาศ หากพูดถึงประโยชน์ด้านพลังเพียงอย่างเดียว ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ นั้นมีส่วนช่วยมากที่สุด เนื่องจากฝึกให้เข้าที่ได้ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง จึงเป็นระบบที่จำนวนผู้บำเพ็ญน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย…อย่างน้อยในช่วงแรก ก็มีข้อดีมากมายเลยทีเดียว!
“วิถีโลกเทียมหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสะดุ้ง “แล้ววิถีเข่นฆ่าเล่า”
“รู้สึกว่าใกล้จะบรรลุแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่ายังขาดการสั่งสมอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ผู้เคารพระดับยอดจำนวนมากที่บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว รู้สึกว่าขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับติดอยู่ไม่รู้ว่านานเพียงใด” เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “เจ้าแม่กานเหอ ท่านเอ่ยวาจานี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
วันคืนในการบำเพ็ญของตนสั้นเพียงใด
ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์สำเร็จเป็นผู้ปกครองยากเย็นเพียงใดกัน ที่วิถีโลกเทียมสามารถบรรลุได้ ก็มีสาเหตุเพราะ ‘การบำเพ็ญในห้วงนิทรา’ อยู่แล้ว วิถีเข่นฆ่ามิได้บรรลุก็เป็นเรื่องธรรมดานัก ที่แท้แล้วเจ้าแม่กานเหอเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาหมายความว่าอะไรกันแน่
“ฮ่าฮ่า ตงป๋อเสวี่ยอิง อย่าโกรธไปเลย ข้าเพียงแค่เสียใจเท่านั้น เสียใจที่วิถีเข่นฆ่าของเจ้ามิได้บรรลุ” เจ้าแม่กานเหอเอ่ย
“ไม่มีอะไรน่าเสียใจหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจ
“ข้าก็หวังว่าวิถีเข่นฆ่าของเจ้าจะบรรลุ เพราะอาจจะมีส่วนช่วยในศึกระหว่างพวกเราและลัทธิจอมมารดาเป็นอย่างมากก็เป็นได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว
วิถีโลกเทียม…
เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิต การแอบซุ่มและเคล็ดภาพลวงมากกว่า การห้ำหั่นซึ่งหน้านั้นอ่อนแอมาก แต่ตนก็ยังคงเป็นผู้ปกครองของอีกระบบการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งนี่นา
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว” “ฟิ้ว”…
ทันใดนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน ซึ่งก็คือร่างแปรของผู้ปกครองกลุ่มหนึ่ง เช่นผู้ครองชิงซึ่งแผ่กลิ่นอายกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา และประมุขหยวนชูในอาภรณ์อันเรียบง่าย นอกจาก ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือด’ หนีหลัว ศิษย์ทรยศที่สิ้นใจไปแล้ว ก็นับว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ มาที่นี่โดยพร้อมเพรียงกัน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นร่างแปร
“ตงป๋อ ยินดีด้วยที่ก้าวสู่ขั้นผู้ปกครองจนได้”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วยที่สำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว”
“สามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ในภายหน้าก็มีหวังมากที่จะสำเร็จเป็นเทพอากาศ ยินดีด้วย”
ทุกคนล้วนพากันมาแสดงความยินดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มรับ
ในที่นั้นมีผู้ปกครองอยู่สิบท่านรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย นี่เป็นสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของฝ่ายจักรวาลผู้บำเพ็ญ
“ใช่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิง วิถีใดของเจ้าสำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ” ประมุขหยวนชูถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจขึ้นมา ประมุขหยวนชูเป็นถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานที่สุดก็ยังถามเรื่องนี้ด้วยหรือ
“วิถีโลกเทียมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบไปส่งๆ
“อ้อ” ประมุขหยวนชูพยักหน้าน้อยๆ โดยมิได้พูดอะไร
“วิถีโลกเทียมหรือ” ผู้ปกครองคนอื่นบ้างก็สงบนิ่ง บ้างก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา
“ทำไมหรือขอรับ ที่แท้แล้วทำไมกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าวว่า “พวกเขาใส่ใจว่าวิถีสายใดของเจ้าที่บรรลุ ก็เพราะสงครามกับลัทธิจอมมารดาน่ะ”
“บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สนใจมากเช่นกัน แม้เขาจะเคยถามจิ้งชิวผู้เป็นภรรยา แต่อันที่จริงบัดนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากทั้งบรรดาผู้เคารพ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป เทพโลกาทั้งหลายและผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งควรค่าแก่การบ่มเพาะล้วนถูกอพยพมายังโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ อย่างพวกอวี๋จิ้งชิวและผู้เคารพหั่วเฉิงซึ่งมิได้ร่วมสงครามด้วยก็ก็เพียงแค่รู้ข้อมูลพื้นฐานที่สุดเท่านั้น ผู้ที่มีสถานะต่ำกว่าก็ยิ่งรู้น้อยลงไปอีก
เพราะถึงอย่างไรเหล่าผู้ปกครองก็ไม่มีทางเปิดเผยสถานการณ์โดยละเอียดออกไปต่อสาธารณชนทุกเรื่องได้
ข้อแรก เป็นเพราะยังคงมีศิษย์ทรยศแอบแฝงอยู่ แล้วนำความลับไปเปิดเผยให้ลัทธิจอมมารดารู้ ข้อสอง ก็ไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลมากมายไปบอกให้เหล่าผู้เคารพและบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ล่วงรู้
ดังนั้นตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้เรื่องสงครามครั้งนี้น้อยยิ่งนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมา “ตอนแรกลัทธิจอมมารดาต่อสู้กับพวกเราอย่างร้ายกาจนัก ความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ใหญ่หลวงเกินไป คลื่นที่แผ่ออกไปได้ทำลายบริเวณหลายแห่ง ทำเอาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายไป ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้ รอจนถึงคราวคับขันอย่างแท้จริง ลัทธิจอมมารดาก็ใช้ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวหมายจะลอบคิดบัญชีกับพวกเรา! พวกเราจึงได้ซ้อนแผน ทำให้พวกเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง และอ่อนแอในสงครามมากยิ่งขึ้น”
“จวบจนบัดนี้!”
“เจ้าดูทางนั้นสิ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตชี้ออกไปยังอากาศทางซ้ายตรงหน้า “ทางทิศนี้นี่แหละ เจ้าลองมองดูให้ดีๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามองไป สายตาก็มองทะลุอุปสรรคของมิติ แล้วทะลุไปตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็มองเห็นว่ากลางฟากฟ้ามีป้อมปราการทรงกลมอันแปลกประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง ป้อมปราการสีเทาขาวนั้นเก่าแก่มาก เหนือผิวของมันมีลวดลายอันงดงาม ระดับความวิจิตรพิสดารนั้นยังเหนือกว่าเสาศิลาสีดำใต้ฝ่าเท้าอยู่ลิบลิ่ว
“สามารถตัดขาดการตรวจสอบของข้าได้ด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง สายตาของตนมิอาจล่วงล้ำเข้าไปในป้อมปราการแห่งนั้นได้เลยหรือไร
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ นั่นคือที่มั่นของลัทธิจอมมารดา” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองอยู่ห่างๆ “บัดนี้พวกเขารักษาการอยู่ในที่มั่น เสียดายก็แต่ว่า ที่มั่นนี้แข็งแกร่งเกินไป! พวกเราเคยลองมาหลายวิธีแล้ว แม้แต่พละกำลังต้องห้ามที่ทำให้พวกเราหวาดหวั่น…พวกเราก็เคยใช้โดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แต่กลับทำให้ป้อมปราการแห่งนั้นเสียหายมิได้เลย”
“สมบัติล้ำค่าที่พวกเขามีนั้นมากกว่าพวกเรามากโข” ประมุขหยวนชูกล่าว “เคราะห์ดีที่พลังโดยรวมของระบบการบำเพ็ญของเราแข็งแกร่งกว่าพวกเขา และยังมีคมมีดโลหิตเป็นผู้นำในทุกเรื่อง ทำให้แต่ละก้าวของพวกเราดำเนินไปอย่างรัดกุมและบีบพวกเขาให้ไปถึงทางตัน”
ผู้ครองชิงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าจักรวาลของพวกเขาดำเนินมาถึงยุคท้ายสุดแล้ว กำลังจะถล่มทลายในท้ายที่สุด แม้การถล่มทลายของทั้งจักรวาลจะช้ามาก แต่โบราณสถานต่างๆ ด้านในก็เริ่มเกิดความเสียหายแล้ว สมบัติล้ำค่าจำนวนมากภายในโบราณสถานก็จะถูกค้นพบ ดังนั้นสมบัติล้ำค่าของพวกเขาจึงย่อมเหนือกว่าพวกเราลิบลับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
เหมือนกับโบราณสถานต่างๆ อย่างโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบและจักรฟ้าหกวิถี ที่มิอาจได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายมาไว้ในมือ
แต่ทันทีที่จักรวาลเริ่มถล่มทลาย โบราณสถานเหล่านี้ก็ย่อมถล่มทลายไปด้วยเป็นธรรมดา สมบัติล้ำค่าจำนวนมากก็จะปรากฏขึ้นมา
อีกทั้งจักรวาลลัทธิจอมมารดาก็ยังผ่านยุคจักรวาลต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก ประวัติศาสตร์ก็ยาวนานกว่าจักรวาลผู้บำเพ็ญลิบลับ บัดนี้จะถล่มทลายลงไป สมบัติล้ำค่าจะมากมายเพียงใดกันเล่า
ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง
ตอนที่ 7
ภารกิจเฝ้าระวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้อได้เปรียบของพวกเขาก็คือสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น แต่ข้อด้อยก็เห็นได้ชัดนัก ซึ่งก็คือพวกเขามิอาจดูดซับพลังฟ้าดินได้ เมื่อต่อสู้แล้วเผาผลาญพละกำลังไปก็ต้องอาศัยผลึกเทพมาฟื้นฟู สมบัติล้ำค่าบางอย่างอาจพอจะดูดซับพลังฟ้าดินได้อย่างพอถูไถ แต่ถึงอย่างไรความเร็วในการดูดซับก็ช้ามากอยู่ดี หากพวกเขาสู้จนตัวตาย จะฝึกฝนร่างแยกอีกสักร่างมาอีก ราคาที่ต้องแลกมาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก” ผางอีเอ่ย “แต่พวกเรากลับตรงกันข้าม พลังงานของพวกเราต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่อให้สู้จนตัวตายไปก็สามารถฝึกฝนร่างแยกออกมาอีกได้อย่างรวดเร็ว บวกกับที่คมมีดโลหิตให้พวกเราฝึกร่างแยกขึ้นมาอีกร่างหนึ่ง…ทำให้พลังโดยรวมของพวกเราได้เปรียบกว่า โรมรันกันมาจนถึงบัดนี้ พวกเขาเป็นฝ่ายโจมตีน้อยมาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยขึ้นว่า “นอกจากเสาศิลาต้นนี้แล้ว เจ้าได้ตรวจสอบบริเวณอื่นโดยละเอียดผ่านค่ายกลที่เชื่อมต่อระหว่างเสาศิลาแล้วหรือยัง”
“เอ๋” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบตรวจดูโดยละเอียดก็พบว่า เสาศิลาสีดำใต้ฝ่าเท้าต้นนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าแผ่กำจายไปนับล้านล้านลี้ แต่ก็ยังคงเชื่อมต่อไปยังสถานที่อันไกลโพ้นอื่นๆ ผ่านอากาศ ด้วยพลังการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็สามารถตรวจดูไปตามการเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว
“สองต้น สามต้น สี่ต้น ห้าต้น…” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบอย่างรวดเร็ว
มีเสาศิลาสีดำทั้งหมดสิบต้นซึ่งเชื่อมต่อซึ่งกันและกันรายล้อมที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเอาไว้ ทั้งบนฟ้าและใต้ดิน ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง บริเวณต่างๆ ที่ห่างไกลกันก่อให้เกิดเป็นค่ายกลอันใหญ่โตมโหฬารหาใดเปรียบ อานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล เสาศิลาแต่ละต้นมีโซ่อยู่เป็นจำนวนมาก โซ่เหล่านี้ราวกับพันธนาการที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแห่งนั้นเอาไว้ผ่านอากาศ
“จากบัญชีหมื่นสรรพสิ่งที่เจ้าให้ข้ามา ข้าก็ได้พบค่ายกลแห่งหนึ่งในนั้น ซึ่งมีนามว่า ‘เสาหยวนเฉินทั้งสิบสอง’” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ข้าอาศัยวัสดุและสมบัติล้ำค่าที่พวกเรามีอยู่หลอมแปรเสาหยวนเฉินสิบสองต้นนี้ขึ้นมา แม้วัสดุจะด้อยไปบ้าง แต่วิธีการหลอมและการวางค่ายกลต่างๆ ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น อานุภาพก็คงจะมีสักห้าส่วนของต้นฉบับ”
เสาหยวนเฉินทั้งสิบสองหรือ เห็นๆ กันอยูว่ามีเสาศิลาสิบต้น แต่ค่ายกลกลับเรียกว่าเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองอย่างนั้นหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง
“เดิมทีตัวค่ายกลเองมีเสาหยวนเฉินสิบสองต้น แต่ค่ายกลซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นหนึ่งก็ต้องเสียเวลาไม่น้อยเลย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ลัทธิจอมมารดาก็มิได้โง่เง่า พวกเขาจะลงมือขัดขวางการวางค่ายกลของพวกเรา บัดนี้พวกเราเพิ่งจะติดตั้งเสาหยวนเฉินไปได้เพียงแค่สิบต้นมิอาจติดตั้งต้นที่สิบเอ็ดได้…ก็เพราะพวกเราขาดกำลังคน ทันทีที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองได้สำเร็จ ก็จะสามารถพันธนาการลัทธิจอมมารดาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่มั่นนั้นก็จะถูกปิดผนึกจนสนิทอย่างสิ้นเชิงประหนึ่งคุกจองจำ ทำให้พวกเขามิอาจออกมาได้อีก เมื่อถูกขังเอาไว้ด้านใน ไม่ได้รับทรัพยากร ไม่ได้รับพลังงาน มิอาจบำเพ็ญได้ และมิอาจออกมาได้ด้วย ก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว”
“ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขัดขวางการวางค่ายกลของพวกเราอย่างเต็มที่”
“แต่ว่าก่อนหน้าเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองจะก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลอันสมบูรณ์นั้น อานุภาพของเสาหยวนเฉินแต่ละต้นก็ค่อนข้างอ่อนแอ ต้องมีผู้ปกครองคอยพิทักษ์จึงจะสามารถป้องกันการโจมตีของลัทธิจอมมารดาได้ หากไม่มีผู้ปกครองพิทักษ์แล้วล่ะก็…เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดากลุ่มใหญ่ร่วมมือกันก็สามารถทำลายค่ายกลเสาหยวนเฉินต้นหนึ่งลงไปได้อย่างง่ายดาย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “เมื่อถูกทำลายลงไปแห่งหนึ่ง พวกเราก็ทำได้แค่ติดตั้งใหม่เท่านั้น ทันทีที่เสาหยวนเฉินซึ่งสำคัญที่สุดถูกชิงไปต้นหนึ่ง การจะหลอมขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง”
“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์”
“บัดนี้นรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็มีร่างแยกคนละสองร่าง พวกเขาแบ่งกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหกต้น” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ร่างแยกสองร่างของบรรพชนหุบเหวลึกร่วมแรงกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้น ส่วนผางอีก็ใช้ร่างแยกสองร่างพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้นเช่นกัน”
“ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพ สองคนร่วมมือกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้น”
“ตามปกติแล้วข้าเป็นผู้พิทักษ์เสาหยวนเฉินต้นที่สิบซึ่งเป็นต้นสุดท้าย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ทว่าเมื่อต้องติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นที่สิบเอ็ด…ร่างจริงและร่างแยกของข้าก็ต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกัน และยังต้องมีวิหคดำช่วยเหลือข้า ข้าจึงสามารถวางค่ายกลได้สำเร็จภายใต้การต้านทานการโจมตีของลัทธิจอมมารดา แต่ถึงตอนนั้น เสาหยวนเฉินต้นที่สิบนี้ก็ได้แต่ให้เจ้าแม่กานเหอมาพิทักษ์แล้ว เมื่อเจ้าแม่กานเหอมิอาจพิทักษ์ได้ จึงมิอาจตั้งเสาหยวนเฉินต้นที่สิบเอ็ดได้มาโดยตลอด”
เจ้าแม่กานเหอพูดอย่างจนใจว่า “ผู้พิทักษ์เสาหยวนเฉินจะต้องรับศึกซึ่งหน้า ต้องใช้พลังสูงส่งยิ่งนัก การต่อสู้ซึ่งหน้าของข้าอ่อนแอเกินไป”
“ข้าและประมุขเกาะกาลมิติต่างก็มีร่างแยกสองร่าง ร่างแยกทั้งหมดสี่ร่างร่วมมือกันจึงสามารถพิทักษ์เสาต้นหนึ่งเอาไว้ได้ เจ้าแม่กานเหอ เรื่องนี้ตำหนิท่านมิได้หรอก” ประมุขตำหนักหมื่นเทพกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
ร่างจริงและร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพร้อมทั้งอาจารย์อาห้าวิหคดำต้องร่วมมือกันจึงสามารถติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่ขึ้นมาได้…
ผู้พิทักษ์ก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ปกครองท่านอื่นเท่านั้น!
พลังของผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูแข็งแกร่งมาก พวกเขาเพียงคนเดียวสามารถพิทักษ์เสาได้ถึงสองต้น
ผางอีและบรรพชนหุบเหวลึกอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง พวกเขาหนึ่งคนสามารถพิทักษ์เสาได้หนึ่งต้น
ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพร่วมมือกันจึงสามารถพิทักษ์เสาได้ต้นหนึ่ง
พลังของเจ้าแม่กานเหอสู้ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพมิได้…พิทักษ์เพียงแห่งเดียวก็บกพร่องไปมากแล้ว
“เดิมทีข้ายังหวังว่าวิถีเข่นฆ่าของเจ้าจะสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ หากเป็นเช่นนั้นพลังการต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “แม้จะเป็นผู้ปกครองคนใหม่ แต่เมื่อร่วมมือกับเจ้าแม่กานเหอและอาศัยอานุภาพของค่ายกลเสาหยวนเฉินเอง…ก็ยังคงมีหวังจะพิทักษ์เอาไว้ได้ ตอนนี้วิถีโลกเทียมของเจ้าสำเร็จเป็นผู้ปกครอง”
ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็เสียใจ
วิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นผู้ปกครอง การรักษาชีวิตนั้นแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ซึ่งหน้ากลับอ่อนแอเป็นอันมาก
ประมุขหยวนชูพูดยิ้มๆ ว่า “ลองดูก่อนเถิด ถึงอย่างไรก็มีผู้ปกครองเพิ่มขึ้นมาอีกคน อาจจะสามารถตั้งเสาศิลาต้นที่สิบเอ็ดได้ก็เป็นได้”
“พลังของตงป๋ออาจจะอ่อนแอไปบ้าง แต่เมื่อร่วมมือกับเจ้าแม่กานเหอแล้วอาจจะสำเร็จก็เป็นได้” ผางอีก็พูดขึ้นบ้าง “พวกเราไม่สนใจพละกำลังภายในกาย เมื่อมีพลังฟ้าดินคอยส่งเสริมอย่างไม่ขาดสาย ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”
“ลองดูเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็พยักหน้าเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกจนใจ
เขารู้สึกว่าเหล่าผู้ปกครองในที่นั่นเชื่อใจเขาไม่มากพอ แต่จะยืนกรานโต้เถียงว่าตนเก่งกาจมาก ก็พูดได้ไม่เห็นภาพจริงๆ เอาไว้พิสูจน์ในการต่อสู้ก็แล้วกัน
“เริ่มต้นเมื่อไหร่หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ตั้งตารอคอยมากเลยล่ะสิ” บรรพชนหุบเหวลึกสัพยอก
“มีใจต่อสู้มากทีเดียว” ประมุขหยวนชูก็หัวเราะ
“อย่ารีบร้อนไป ลองดูภาพการโจมตีก่อนหน้านี้ของลัทธิจอมมารดาเสียก่อน จะได้เตรียมตัวเอาไว้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตส่ายหน้า จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นคือยอดของเสาหยวนเฉินขนาดมหึมาต้นหนึ่ง ผู้ครองชิงศีรษะโล้นเลี่ยนเท้าเปล่าเปลือยสวมอาภรณ์สีทองตัวหลวม กำลังมองดูเรือรบไม้ลำหนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า บนเรือรบยังมีรากจำนวนนับไม่ถ้วนพันเลื้อยอยู่ อานุภาพของเรือรบไม้ลำใหญ่นี้กดดันเข้ามาพร้อมเสียงกึกก้อง…
……
ภาพการต่อสู้ยกแล้วยกเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ลัทธิจอมมารดาไม่ยอมต่อสู้กับผู้บำเพ็ญแบบหนึ่งต่อหนึ่งเลย พวกเขาใช้สมบัติล้ำค่าที่สั่งสมมาในการต่อสู้ทั้งสิ้น หากพูดถึงแค่อานุภาพเพียงอย่างเดียวก็เหนือกว่าระดับผู้ปกครองแล้ว มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงได้สู้จนตัวตายไปมิใช่เพียงครั้งเดียว ‘เสาหยวนเฉิน’ นี้ก็ไม่ธรรมดาเป็นอันมาก อาศัยเสาหยวนเฉิน ด้วยพลังของผู้ครองชิงแล้วร่างแยกเพียงร่างเดียวก็เพียงพอจะพิทักษ์เสาต้นหนึ่งได้แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพลั้งปากถามอีกประโยคหนึ่งว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรายังมีร่างจริงอยู่ที่เกาะใจกลางทะเลสาบอีกหรือไร หากมาพิทักษ์ด้วย ก็คงจะสามารถวางค่ายกลสำเร็จได้อย่างรวดเร็วกระมัง”
“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม! ร่างจริงของพวกเราก็มิอาจเข้าร่วมการต่อสู้ได้เป็นอันขาด!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดอย่างเข้มงวดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
ผางอีก็พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเราไม่รู้ว่าลัทธิจอมมารดาจะมีกระบวนท่าอันน่าหวาดหวั่นอื่นใดอีกหรือไม่ เมื่อใช้ร่างจริง หากร่างจริงและร่างแยกสู้จนตัวตายไปหมดแล้วเช่นนั้นก็ต้องตายไปจริงๆ แล้ว! ก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งที่พวกเราจวนจะชนะ แต่สุดท้ายก็พบว่าลัทธิจอมมารดาจงใจล่อลวงพวกเรา…เคราะห์ดีที่เมื่อพวกเรารู้ตัวว่าถูกล่อลวง ก็ไม่เคยส่งร่างจริงออกไปอีก ดังนั้นพวกเราจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด สมบัติล้ำค่าของพวกเขายิ่งใช้ก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ พลังงานก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ และต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ยิ่งสัมผัสได้ถึงการล่อลวง ก็ยิ่งมิอาจไปวางเดิมพันได้ เนื่องจากจักรวาลผู้บำเพ็ญจะแพ้มิได้!
******
เหนือยอดเสาหยวนเฉินอันสูงตระหง่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าแม่กานเหอต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้น
“ถึงเวลาจะต้องต้านทานเอาไว้ให้ได้ ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ร่างแยกต้องขึ้นไปด้วยกัน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำชับ
“วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดง’ ร่างอีกร่างหนึ่งของเขาอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ซึ่งพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา สามารถปรากฏกายได้ตลอดเวลา
“อื้ม ข้าจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อวางค่ายกลให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอเพียงพวกเจ้าสามารถยืนหยัดจนข้าวางค่ายกลสำเร็จได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของข้าคอยพิทักษ์เสาหยวนเฉินต้นใหม่ ร่างแยกร่างอื่นและวิหคดำล้วนสามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำชับ “เอาล่ะ ข้าจะไปเริ่มแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขามองไปทางทิศอื่นไกลออกไป บนเสาหยวนเฉินต้นอื่นทุกต้นล้วนมีผู้ปกครองอยู่หนึ่งคน ผู้ครองชิง ผางอี ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และประมุขหยวนชูและคนอื่นๆ ล้วนมองมาทางเขาพลางยิ้มให้
ครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือทางตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะทิศอื่นๆ นั้น ลัทธิจอมมารดาล้วนเคยลองโจมตีแล้วไม่สำเร็จมาก่อน จึงย่อมมาโจมตีทางด้านนี้เป็นหลัก
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้วนะ แน่นอนว่าข้าต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว” เจ้าแม่กานเหอกล่าว
“เจ้าแม่กานเหอคอยดูให้เต็มที่ก็พอแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังท้องฟ้ารอบด้าน
“ระวังด้วย ทันทีที่พวกเขาพบว่าคมมีดโลหิตวางค่ายกล ก็จะต้องบุกเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดอย่างแน่นอน” เจ้าแม่กานเหอเตือน ขณะเดียวกันนางก็มองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง นางเชื่อใจตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มากพอ แน่นอนว่าตัวนางเองก็ต้องสู้สุดกำลังด้วยตนเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น