Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาค 24 ตอนที่ 16-22
ภาคที่ 24 ตอนที่ 16
เข้าสู่ภูเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ จักรวาลผู้บำเพ็ญ ภายในสวนหย่อมของเรือนไม้แห่งตำหนักเทพคมมีดโลหิต
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงเดินเข้ามาจากด้านนอกสวน จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่รีบรุดมาเพราะสัมผัสรู้อยู่ก่อนแล้วมองดูลูกศิษย์ของตน “เสวี่ยอิง ร่างแยกนี้ของเจ้ากลับมาจากจักรวาลคีรีมาร หรือว่าได้สิ่งนั้นมาแล้วเล่า”
“ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงพยักหน้า “เพราะท่านชายสามช่วยเหลือ ข้าจึงโชคดีได้พบกับหนึ่งในเทพอากาศแห่งจักรวาลคีรีมารท่านหนึ่ง ข้าได้ขอโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรนั่นกับเขาแล้ว…ทว่าไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับมอบบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้กับข้าหมดทั้งเล่ม” พูดแล้วเขาก็พลิกมือหยิบเอาจานกลมสีทองออกมามอบให้ท่านอาจารย์
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองจานกลมสีทองตรงหน้านี้ด้วยแววตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เขายื่นมือมารับมันแล้วก็รับสัมผัสคราหนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา ข้อมูลมหาศาลภายในจานกลมหลั่งไหลเข้ามา แต่ทว่าเวลาผ่านไปหลายอึดใจเขาจึงได้สติกลับคืนมา
“ดี ดี ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้หยิ่งทรนงเช่นนั้น ในยามนี้กลับมีสีหน้ายินดี สายตาที่มองไปยังจานกลมสีทองในมือก็ร้อนระอุยิ่ง
เขาปรารถนามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว
สมบัติล้ำค่าสองชิ้นที่เขาปรารถนาเป็นที่สุด หนึ่งคือโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร ส่วนอีกชิ้นก็คือบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง เพราะรู้ว่าจักรวาลคีรีมารมีพลังอำนาจที่กล้าแกร่งกว่ามาก คล้ายว่ามีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา เอาชนะได้ทั้งแปดจักรวาล ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับจักรวาลอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไหว้วานให้ลูกศิษย์ของตนช่วยเหลือ สำหรับความล้ำค่าของโลหิตธาตุแมลงเพลิงพันเนตรนั้น เขาเองก็มิได้รู้กระจ่างนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงบันทึกอย่างง่ายๆของผู้สืบทอดที่ค้นพบเท่านั้น ส่วนบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นเขารู้จักดีกว่าเป็นอย่างมาก
เขาเป็นอันดับหนึ่งในด้านการหลอมอาวุธและค่ายกลแห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญนั้นก็เป็นเพราะเขาเคยได้รับบัญชีหมื่นสรรพสิ่งตอนที่หนึ่งและสอง ก็ประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดาแล้ว
ใช่แล้ว
สมบัติล้ำค่าสองชิ้นนั้นล้วนเพื่อยกระดับพลังของตัวเขาเอง
เพราะหลังจากที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูของชั้นเทพอากาศแล้วพลังก็ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล สู้กับศัตรูหนึ่งต่อห้าได้ ในตอนนั้นเจ้าลัทธิจอมมารดาทั้งห้าท่านล้วนได้รับบาดเจ็บ แต่เห็นได้ว่าตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นหากเขายิ่งกล้าแกร่ง ก็ย่อมสามารถช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้น…ถ้าหากสามารถบรรลุกลายเป็นเทพอากาศได้! เช่นนั้นก็สามารถประกาศชัยชนะในสงครามครั้งนี้ได้แล้ว
“เสวี่ยอิง ข้าต้องการบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนี่มานมนานเหลือเกินแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะช่วยข้าหามันจนพบได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้ม
“ช่างโชคดีที่ตอนนั้นประมุขเกาะกาลมิติค้นพบทางเชื่อมจักรวาล มิฉะนั้นข้าก็ไม่มีทางไปยังจักรวาลคีรีมารได้หรอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ล้วนเป็นเพราะโชคช่วยทั้งนั้น”
“ไม่มีพลังของเจ้า ก็ทำเช่นนี้ไม่ไหวหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “เจ้าอยู่ที่นั่นก็ต้องระวังตัวด้วย ตอนนี้เจ้าไปที่บรรพคีรีมารแล้วหรือ”
“ไปแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ระวังตัวไว้ก่อนล่ะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตักเตือนอีกครั้ง เขาย่อมไม่อยากให้ศิษย์ผู้นี้เอาชีวิตไปทิ้งที่จักรวาลคีรีมาร!
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
……
ภายในบรรพคีรีมาร ศูนย์กลางแห่งจักรวาลคีรีมาร
คูหาทั้งสามสิบสองแห่งที่บริเวณชั้นนอกกระจายอยู่ทั่วทั้งสามสิบสองมุมของบรรพคีรีมาร ที่ปากทางเข้าของคูหาแห่งหนึ่งในบรรดาคูหาเหล่านั้น หญิงผมขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งกินสุราอาหารตามลำพังด้วยสีหน้าเยียบเย็น นัยน์ตาทั้งสองสาดประกายหนาวเหน็บ “ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ ผู้เคารพที่โผล่มาจากไหนไม่รู้คนหนึ่ง ไม่เคยได้ยินประวัติความเป็นมามาก่อนเลย คล้ายว่าจะมาจากจักรวาลต่างถิ่น ถึงกับเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้เชียวหรือ”
“ผู้เคารพเอาชนะผู้ปกครองอย่างนั้นหรือ” หญิงผมขาวเอ่ยเสียงต่ำ ทั้งน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความเยียบเย็น “แล้วตอนนี้ยังเข้ามาที่บรรพคีรีมาร เกรงว่าอีกไม่นานก็ต้องมาท้าทายข้าสินะ”
นาง…
ก็คือหนึ่งในสามของผู้เคารพเห่งบรรพคีรีมาร จัดเป็น ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ ลำดับที่สาม
นางเย็นชาและกล้าแกร่ง เพื่อพลังแล้วก็ไม่เลือกวิธีการลงมือ นางทุ่มเทไปมากมายเหลือเกินกว่าจะสามารถเป็นลำดับที่สามที่เข้าสู่บรรพคีรีมารได้ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังจะมาก็เหมือนกับเมฆครึ้มที่ปกคลุมนาง นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง… ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เหมือนกับบรรดาผู้ท้าทายในอดีตเหล่านั้น เขาเคยกำราบจักรพรรดิเทพมารแดงมาแล้ว!
“ไม่ ข้าทุ่มเทไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้นกว่าจะเข้าสู่บรรพคีรีมารได้ ที่นี่คือที่ของข้า ย่อมไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นมาแย่งชิงไปโดยง่ายอยู่แล้ว” หญิงผมขาวทั้งร้อนรนทั้งโมโห แต่ก็มิอาจทำอะไรได้
เพราะกฎของบรรพคีรีมารเคร่งครัดยิ่ง ผู้ใดก็มิกล้าวู่วาม
“ไป… ไปดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้ามาในบรรพคีรีมารผู้นั้นให้ข้าที หากมีความเคลื่อนไหวก็รีบมารายงานข้าทันที” หญิงผมขาวมองไปทางข้ารับใช้ชราที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งข้ารับใช้ผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิด เพราะภายในบรรพคีรีมารนี้ นอกจากเทพอากาศ ผู้ปกครองสามสิบเก้าท่าน และผู้เคารพสามท่านแล้ว ก็ไม่มีวิญญาณที่มีชีวิตจริงๆอยู่อีกแล้ว ล้วนเป็นหุ่นเชิดด้วยกันทั้งสิ้น
“ขอรับ นายท่าน” ข้ารับใช้ชรารับบัญชาด้วยความเคารพแล้วมุ่งหน้าไปยังทางเข้าบรรพคีรีมารในทันที
หญิงผมขาวหยิบจอกเหล้ามาแล้วบีบจอกเหล้าในมือจนแหลกเป็นผุยผงอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะช่วงชิง ผู้ใดก็อย่าได้คิด!”
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงไปจากหินอุกกาบาตด้วยการนำทางของ ‘ผู้ปกครองเอ้อเฉิน’ แล้วเหินทะยานไปยังทางเข้าของบรรพคีรีมาร
พวกเขาร่อนลงตรงบริเวณทางเข้า
บริเวณทางเข้ามีเวทีขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ส่วนลึกของเวทีก็คือทางเข้าแห่งหนึ่ง ด้านข้างของทางเข้ายังมีอักษรสัญลักษณ์เขียนว่า… ‘คีรีมาร’! ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงในใจ ด้วยรู้สึกได้ถึงความกดดันของอักษรสัญลักษณ์ขนาดมโหฬารนั้น เขาลอบบ่นพึมพำ “อักษรสัญลักษณ์นี้ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ว่ากันว่าท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้กันหนอ”
ลำพังแค่ตัวอักษรสัญลักษณ์ก็ทำให้ตนเกิดความรู้สึกกดดันเช่นนี้แล้ว จะต้องมีพลังระดับใดกัน
“พรึ่บ…”
“เจ้าเด็กนี่มาอีกแล้วหรือ”
สองเสียงดังขึ้นต่อเนื่องจนคล้ายกับจะดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
เห็นเพียงว่าสองข้างของทางเข้า มีคูหาสองแห่งแยกจากกัน ภายในคูหาหนึ่งในสองแห่งมีหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาตัวหนึ่งเดินออกมา หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดดูคล้ายกับลิงอุรังอุตังอยู่เล็กน้อย แขนยาวเหยียดสองข้าง แต่บนหัวของมันมีเขาโค้งขนาดยักษ์สองข้าง ตลอดร่างก็หลอมขึ้นจากโลหะพิสดาร ส่วนคูหาอีกแห่งมีหญิงชราถือไม้เท้าที่ดูแสนธรรมดาเดินออกมา
“คารวะท่านผู้ดูแลเขา” ผู้ปกครองเอ้อเฉินทักทายเล็กน้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กล่าวทักทายในทันใด
“เขาก็คือผู้เคารพตงป๋อเสวี่ยอิงที่เจ้าบอกว่าจะเตรียมตัวเข้าไปท้าทายน่ะหรือ” หญิงชราที่ถือไม้เท้ามองตงป๋อเสวี่ยอิง
“ใช่ขอรับ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด
“ไปกันเถิด” หญิงชราและสัตว์ประหลาดเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกัน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกับผู้ปกครองเอ้อเฉินก็ติดตามอยู่ด้านหลัง
ห่างจากด้านข้างของทางเข้าออกไปไม่ไกลนัก มีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง
หลังจากที่หญิงชราและหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดตัวนั้นเดินจากไปแล้ว หญิงชราก็ยกไม้เท้าลงไปกวนน้ำในทะเลสาบรอบหนึ่ง ซ่า… สายน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาแล้วลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นทหารสีเงินยวงคนหนึ่ง เขาร่อนลงบนผิวดิน นัยน์ตาฉายแววงงงัน
“นี่คือหุ่นเชิดกำเนิดใหม่ ออกจะโง่งมสักหน่อย” หญิงชราที่ถือไม้เท้าเอ่ยตามอำเภอใจ “ถึงแม้จะเป็นหุ่นเชิดระดับผู้ปกครอง แต่เนื่องด้วยถือกำเนิดขึ้นใหม่ ก็จะยังต่อสู้ไม่เก่งนัก แต่ก็เหมาะสมที่จะทำการทดสอบกับบรรดาผู้เคารพอย่างเช่นพวกเจ้านี้”
“หุ่นเชิดระดับผู้ปกครองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองทะเลสาบปราดหนึ่ง
ทะเลสาบเงียบสงบ ไม่มีระลอกคลื่นใดแม้แต่น้อย
เพียงแค่สายน้ำสายหนึ่งก็กลายเป็นหุ่นเชิดระดับผู้ปกครองตนหนึ่งได้ ที่แท้แล้วนี่มันคือทะเลสาบอันใดกัน
“ระวังหน่อยนะ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูดอยู่ข้างๆ “ถึงแม้ว่าจะเพิ่งสร้างขึ้นมาหมาดๆ แต่เขาถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบมาร ทั่วทั้งบรรพคีรีมาร…เท่าที่ข้ารู้ สิ่งที่มีพลังลึกล้ำยากคาดเดาเป็นที่สุดก็คือทะเลสาบแห่งนี้แหละ…กระทั่งเหล่าจ้าวก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของมัน เด็กที่แปลงมาจากสายน้ำที่มันสุ่มเลือกออกมานั้นยิ่งไร้เดียงสามากเท่าใด พลังก็ยิ่งกล้าแกร่งมากเท่านั้นแหละ”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ตุ๊กตาตัวน้อย” หญิงชราที่ถือไม้เท้าตบไหล่ของทหารสีเงินยวงแล้วชี้ไปที่ตงป๋อเสวี่ยอิง “อีกประเดี๋ยว คอยฟังคำสั่งข้า พอข้าให้เจ้าลงมือเจ้าก็มุ่งเข้าไปสังหารเขาอย่างสุดกำลังเลยนะ”
และในขณะนี้เอง…
ณ สถานที่อีกแห่งบนบรรพคีรีมาร เช่นเดียวกับข้ารับใช้ของหญิงผมขาว ยังมีเหล่าผู้ปกครองที่รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่จำนวนหนึ่ง ต่างก็คอยมองสอดส่องประตูทางเข้า ชมดูการต่อสู้คราวนี้ ทว่าพวกเขาล้วนได้ยินมาแล้วว่ามีผู้เคารพที่เกิดขึ้นมาใหม่ผู้มีนามว่า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ สามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ ก็ย่อมมีความหวังที่จะเข้าสู่บรรพคีรีมารได้สำเร็จ
“เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงหรอกหรือ”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อมาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามาจากจักรวาลแห่งใดกัน” ผู้ปกครองเหล่านี้มีบางส่วนที่ยังนั่งล้อมวงร่ำสุราอาหารกันสองสามคน ดื่มสุราสนทนาไปพลาง ดูชมการต่อสู้นี้ไปพลาง
ภาคที่ 24
ตอนที่ 17
วิธีการต่อสู้ของผู้เคารพเทพหิมะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทันใดนั้น ผู้ปกครองที่ชมการต่อสู้อย่างสบายใจอยู่บนบรรพคีรีมารต่างก็มองลงมายังฉากที่เกิดขึ้นเบื้องล่างด้วยความตื่นตกใจ…
มือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงคว้ามือทั้งสองข้างของทหารสีขาวเงินเอาไว้ ทหารสีขาวเงินดิ้นรนอย่างสุดชีวิต วิ้งๆๆ…ระลอกคลื่นของพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นกระเพื่อมไหวอยู่รอบด้าน แต่ฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคว้าทหารสีขาวเงินเอาไว้แน่นชนิดที่มิอาจสั่นคลอนได้
“เฮือก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันออกแรง คว้าแขนทั้งสองของอีกฝ่ายแล้วกระตุกอย่างแรงทันควัน
ตู้ม…
ทั้งร่างของทหารสีขาวเงินพลันแตกออกเป็นผุยผงก่อนจะกลายเป็นสายน้ำ ลอยกลับไปยังทะเลสาบอันเงียบสงัดแห่งนั้น ทะเลสาบนั้นยังคงไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
“ชนะแล้วหรือนี่”
“อาศัยพละกำลังล้วนๆ ก็สามารถเอาชนะทหารหุ่นเชิดวารีได้แล้วหรือ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวน่ะหรือ” ผู้ปกครองบางคนถึงขั้นลืมกลืนสุราที่ดื่มค้างเอาไว้ในปาก เพราะฉากนี้ช่างชวนให้คนตกใจเกินไปแล้วจริงๆ เพราะพวกเขารู้จักพลังของทหารหุ่นเชิดวารีเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลายาวนานก่อนหน้านี้ ก็มีผู้เคารพเพียงสิบเอ็ดคนที่เอาชนะทหารหุ่นเชิดวารีได้ คิดจะอาศัยแค่พละกำลังล้วนๆ เพื่อโจมตีทหารให้แตกสลายไป จะต้องใช้พละกำลังระดับใดกันเล่า
“หากพูดถึงพละกำลัง เกรงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คงจะมีมากกว่าข้าเสียอีกกระมัง” ชายชราผอมซูบผู้มีผิวสีดำและหางยาวเหยียดส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
“เกรงว่าผู้ปกครองอย่างพวกเราที่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการบำเพ็ญร่างกายคงจะสู้เจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้แน่”
“ลำพังแค่พละกำลังของเขาก็บรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว หากมีลูกไม้ที่ร้ายกาจอื่นๆ อีก ก็ต้องยิ่งเก่งกาจเข้าไปใหญ่ ข้าว่าเขาอาจจะสามารถคุกคามผู้เคารพอันดับหนึ่งคนนั้นได้เลยทีเดียว”
“เขามีหวังคุกคามผู้เคารพอันดับหนึ่ง…เลี่ยยาง ได้เป็นแน่แท้”
บรรดาผู้ปกครองต่างพากันประเมิน
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ปกครองซึ่งสามารถเข้าไปในบรรพคีรีมารได้ สามารถจัดอยู่ในสามสิบเก้าอันดับแรกได้ แต่ละคนล้วนมีกลเม็ดไม่ธรรมดา ต่อให้ร่างกายอ่อนแอกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง พวกเขาก็ยังคงดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี! ดังเช่นจักรวาลผู้บำเพ็ญ…ประมุขหยวนชู ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผางอีล้วนแต่ใช้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ หากพูดถึงร่างกายแล้ว พวกเขาล้วนมิอาจสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่พลังกลับสูงกว่ามากนัก!
……
“เจ้าชนะแล้ว” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขามองตงป๋อเสวี่ยอิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง “พลังของเจ้าไม่เบาเลยจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ หากพูดถึงพละกำลังเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถเทียบได้กับเจ้าลัทธิคนใหม่ของลัทธิจอมมารดา หากพละกำลังยังไม่สามารถกดดันทหารหุ่นเชิดวารีซึ่งใช้สำหรับทำการทดสอบตนหนึ่งได้ เช่นนั้นการทดสอบนี้ก็คงจะยากเกินไปแล้ว
“ข้าขอถามเจ้า ว่าเจ้าอยากจะท้าทายผู้เคารพท่านใด” ผู้ดูแลเขาถาม “บัดนี้เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะท้าทายผู้เคารพอันดับสองและผู้เคารพอันดับสามได้แล้ว”
“ผู้เคารพอันดับสามก็แล้วกันขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ไม่ว่าจะเป็นผู้เคารพอันดับสองหรือผู้เคารพอันดับสาม เมื่อตนชนะแล้วก็เข้าไปได้แค่ชั้นนอกของบรรพคีรีมารเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สู้ท้าทายผู้เคารพอันดับสามซึ่งมีโอกาสมากกว่าจะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรผู้เคารพสองอันดับแรกก็มีสถิติว่าเคยเอาชนะผู้ปกครองได้มาก่อน ส่วนผู้เคารพอันดับสามกลับไม่เคยเอาชนะผู้ปกครองได้มาก่อน
“ดี อีกไม่นานผู้เคารพอันดับสามก็จะมาถึงแล้ว” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขาพยักหน้า นางมองไปทางหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดร่างกำยำข้างกาย หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดพยักหน้าแล้วพลันย่ำลงบนพื้นคราหนึ่ง โครม! มันทะยานขึ้นสู่ฟ้าในทันใด แล้วบินมุ่งหน้าตรงไปทางเหลี่ยมมุมหนึ่งของบรรพคีรีมารทันที
******
บนบรรพคีรีมาร สตรีผมขาวกำลังนั่งดื่มสุราด้วยจิตใจที่ไม่สงบอยู่บ้าง นางถึงขั้นไม่ไปร่วมชมการต่อสู้ด้วยตนเอง
“ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปตั้งเท่าใดถึงเข้าไปยังบรรพคีรีมารได้สำเร็จ จู่ๆ ตอนนี้ก็มีผู้เคารพคนหนึ่งที่สามารถเอาชนะผู้ปกครองได้โผล่หัวมาอย่างนั้นหรือ” สตรีผมขาว ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ รู้สึกจิตใจไม่สงบเอาเสียเลย
ตู้ม!
เงาร่างของหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดพลันร่อนลงมา มันมองสตรีผมขาวพลางพูดด้วยเสียงอันกังวานว่า “เทพหิมะ มีผู้เคารพท้าทายท่าน ลงไปรับการต่อสู้เถิด”
ร่างกายของสตรีผมขาวสั่นสะท้านน้อยๆ สายตายิ่งเยียบเย็นขึ้น “ในที่สุด…ก็มาถึงจนได้! คิดจะเอาชนะข้า ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
สวบ ข้ารับใช้ชราคนหนึ่งทะยานเข้ามาแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้านาย ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นได้รับชัยชนะแล้วขอรับ”
สตรีผมขาวมองไปทางบ่าวรับใช้แวบหนึ่งโดยไม่เอ่ยคำใด เพราะนางเข้าใจดีว่า หากพ่ายแพ้การต่อสู้แล้ว บ่าวรับใช้หุ่นเชิดผู้นี้ก็จะมิใช่บ่าวรับใช้ของตนอีกต่อไป หากแต่จะกลายเป็นบ่าวรับใช้ของตงป๋อเสวี่ยอิงไป เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของสตรีผมขาวก็ยิ่งเยียบเย็นมากขึ้นไปอีก ศึกครั้งนี้ นางต้องชนะให้จงได้!
“ไปเถิด” หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดตะโกน
“ไป” สตรีผมขาวยืดกายขึ้น แล้วแปรเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมหุ่นเชิดสัตว์ประหลาด มุ่งหน้าถลาลงไปยังทางเข้าเบื้องล่างของบรรพคีรีมาร
……
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองเงาร่างสองสายที่กำลังถลาลงมาจากอากาศ นอกจากหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดแล้ว ก็เป็นสตรีผมขาวซึ่งมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กำจายออกมา
ยายเฒ่าผู้ดูแลเขากลับยิ้มน้อยๆ ไม้เท้ากระทุ้งพื้นอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตู้มมมมม…ทันใดนั้นเหนือผืนดินก็มีเวทีการต่อสู้โบราณแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น บนเวทีการต่อสู้มีรอยอักขระแน่นขนัดจารึกอยู่ ทันใดนั้นภายในรอยอักขระก็มีรัศมีหมุนเวียนขึ้นมา กลางอากาศรอบด้านก็มีค่ายกลสีดำขนาดมหึมาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในค่ายกลสีดำทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ และหมุนเวียนไปไม่หยุดนิ่ง โอบล้อมทั้งเวทีการต่อสู้เอาไว้
“กฎนั้นง่ายมาก” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขาเอ่ย “พวกเจ้าสองคนต่อสู้กัน หลังเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หากมิอาจตัดสินได้ว่าใครแพ้ใตรชนะ ค่ายกลของเวทีการต่อสู้ก็จะปล่อยอันตรายด่านแล้วด่านเล่าออกมา คนที่ตายก่อนก็จะพ่ายแพ้! ผู้ที่อยู่รอดก็จะคว้าชัย พวกเจ้าสองคนเข้าใจหรือไม่”
ดวงตาที่ดูคล้ายจะขุ่นมัวของยายเฒ่ากวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงและสตรีผมขาวผู้นั้น
“เข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า สตรีผมขาวก็รับคำเสียงหนึ่ง
“ดีมาก เช่นนั้นก็ขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้แล้วเริ่มต้นเถิด” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขากล่าว
สตรีผมขาวบินผลุนผลันตรงไปยังเวทีการต่อสู้ก่อน แม้รอบเวทีการต่อสู้จะมีค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าอยู่แต่กลับมิได้สกัดขัดขวางแต่อย่างใด สตรีผมขาวร่อนลงบนเวทีการต่อสู้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานตามไป เขามองคู่ต่อสู้ตรงหน้าอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวและผู้ปกครองเอ้อเฉินได้แจ้งข่าวให้ผู้เคารพทั้งสามซึ่งอยู่ในบรรพคีรีมารของพวกเขาทราบก่อนแล้ว
คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าผู้เคารพเทพหิมะ ซึ่งยากจะต่อกรด้วยนัก เขาสามารถเทียบกับผู้ปกครองได้ หากนับกันอย่างจริงจังแล้ว ก็คงจะเทียบกับ ‘ผู้ครองชิง’ แห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญซึ่งยังไม่เคยบรรลุได้กระมัง นางอาจจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรการต่อสู้ของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดา พลังรบโดยเฉลี่ยก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
“ได้ยินมาว่าเจ้าสามารถเอาชนะผู้ปกครองได้หรือ” เสียงของสตรีผมขาวผู้เคารพเทพหิมะสะท้อนก้องอยู่ในเวทีการต่อสู้ “เช่นนั้นเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้หรือไม่”
เสียงยังคงสะท้อนก้อง
ผิวกายของสตรีผมขาวก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นผลึกน้ำแข็งแผ่นแล้วแผ่นเล่า ผลึกน้ำแข็งแต่ละแผ่นล้วนแต่เป็นรูปสิบสองเหลี่ยม ภายใต้การส่องสะท้อนของบรรพคีรีมารและดวงดาราที่อยู่ด้านข้างก็ส่องประกายหลากสีสันออกมา ผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนก่อให้เกิดรูปสลักขนาดใหญ่ขึ้นมา ตัวสตรีผมขาวเองก็กลายเป็นรูปสลักรูปหนึ่งอย่างสิ้นเชิง เดิมทีนางสูงเพียงเกือบสองเมตร แต่บัดนี้ หลังจากผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนเสริมร่างกายขึ้นมาแล้ว ก็สูงเกือบสามเมตรเลยทีเดียว
นางยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปบ้างแล้ว “หมายความว่าอะไรกัน นางกลายเป็นรูปสลัก ไม่มีความเคลื่อนไหวใดแล้วหรือ”
“ตู้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวสีเงินเอาไว้ในมือ แล้วลองกวัดแกว่งหอกยาวออกไป
หอกยาววาดข้ามท้องฟ้า ด้ามหอกแฝงไว้ด้วยความโค้งเล็กน้อย พละกำลังระดับผู้ปกครองแทรกซึมเข้าไปในด้ามหอก พละกำลังส่งถ่ายจากด้ามหอกไปยังหัวหอก ปังงง…มันฟาดลงไปบนรูปสลักนั้นอย่างฉับพลัน รูปสลักผลึกน้ำแข็งนี้ถูกฟาดเสียจนกระเด็นลอยไป ก่อนจะกระแทกเข้ากับค่ายกลสีดำที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศรอบเวทีการต่อสู้ ยามนี้ค่ายกลสีดำกลับต้านทานรูปสลักน้ำแข็งเอาไว้ รูปสลักน้ำแข็งก็เด้งกลับมาแล้วร่วงหล่นลงบนเวทีการต่อสู้ ก่อนจะพลิกหมุนไปเป็นระยะทางมากพอควรจึงหยุดลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง
ปล่อยให้ตนโจมตีตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เคารพเทพหิมะคนนี้ช่างหน้าไม่อายเกินไปแล้ว” เหล่าผู้ปกครองที่ชมการต่อสู้อยู่บนบรรพคีรีมารต่างก็อดหัวเราะออกมามิได้
“นางรู้ดีว่าในด้านการโจมตีคงจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มิได้ จึงกังวลว่าเมื่อต่อสู้กันแล้วพลาดพลั้งไม่ระวังขึ้นมา ก็จะต้องสังเวยชีวิต ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้นจึงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อป้องกันตนและรักษาชีวิตเอาไว้”
“ทางเลือกของนางก็มีเหตุผลอยู่ การป้องกันของนางแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารนางมิได้ อีกไม่นาน บนเวทีการต่อสู้ก็จะมีอันตรายมากมายมาเยือน…ท่ามกลางอันตราย นางก็สามารถป้องกันได้เป็นอย่างมาก! ขอแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงตายไปก่อน นางก็จะชนะแล้ว” ผู้ปกครองเหล่านี้หัวเราะพลางวิพากษ์วิจารณ์
นี่คือกลยุทธ์ซึ่งมีโอกาสชนะค่อนข้างมากโดยแท้ แต่ก็เสียหน้ามากเช่นกัน มีอย่างที่ไหนที่ไม่ต่อสู้ ปล่อยให้ถูกทุบตีอยู่ได้เล่า หรือต่อให้ปัสสาวะรดลงบนร่างก็จะไม่ต่อต้านเลยอย่างนั้นหรือ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ลงอยู่แล้ว
“น้องตงป๋อ”
เงาร่างสายหนึ่งเร่งเข้ามาจากที่อันไกลโพ้น เป็นท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวนั่นเอง เขารีบตะโกนขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ต่อกรกันเล่า” เมื่อเขาทราบข่าวก็เร่งตรงมา ก็ยังมาทันการต่อสู้ครั้งนี้
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ก็แค่คิดไม่ถึงว่าผู้เคารพอันดับสามแห่งบรรพคีรีมารจะทำได้ขนาดนี้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักผลึกน้ำแข็งที่ล้มลงบนเวทีการต่อสู้ตรงหน้า และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตนก็ยังคงต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้! จักรวาลบ้านเกิดห่างจากสงครามครั้งสุดท้ายไม่มากสักเท่าใดแล้ว พลังของตนยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ย่อมยิ่งดีเท่านั้น ต้องคว้าโอกาสภายในบรรพคีรีมารเอาไว้ให้มั่น
ภาคที่ 24
ตอนที่ 18
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวสวมอาภรณ์สีทอง ตอนที่เขามาถึง ผู้ปกครองเอ้อเฉินที่อยู่ด้านข้างก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงอกเกรงใจว่า “ท่านชาย” พลังของเขาสูงส่งกว่าท่านชายสาม ทว่าบัดนี้ท่านชายสามก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว เบื้องหลังยังมีจักรพรรดิเจียวอวิ๋นด้วย แน่นอนว่ามิอาจทำเหมือนเป็นผู้ปกครองธรรมดาทั่วไปได้
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้ายิ้มๆ ขณะเดียวกันก็ชมการต่อสู้โดยละเอียด เขาพูดด้วยความตกตะลึงว่า “ผู้เคารพเทพหิมะแปรเป็นรูปสลัก หรือว่าจะฝืนต้านทานอย่างเต็มที่”
“เห็นทีผู้เคารพเทพหิมะคงจะวางแผนเอาไว้เช่นนี้จริงๆ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูดยิ้มๆ เพียงแต่เมื่อใบหน้าชราของเขายิ้มขึ้นมาก็ช่างน่ากลัวมากจริงๆ “ผู้เคารพเทพหิมะเข้าไปบำเพ็ญในบรรพคีรีมารอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พลังก็มีการยกระดับขึ้น บัดนี้ก็กลายเป็นรูปสลักอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว และทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คิดจะทำร้ายนางกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก หากตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจโจมตีให้แตกได้ ก็เป็นไปได้มากว่าจะพ่ายแพ้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีการต่อสู้กำลังสำแดงวิถีหอกออกมาแล้ว และโจมตีรูปสลักนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ตู้มๆๆ…
รูปสลักลอยไปทั่วตามอำเภอใจ แล้วกระแทกเข้ากับเวทีการต่อสู้ ปะทะลงบนค่ายกลสีดำรอบด้าน แต่รูปสลักผลึกน้ำแข็งนั้นกลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ผลึกน้ำแข็งรูปสิบสองเหลี่ยมทุกแผ่นเหนือชั้นผิวยังคงเปล่งประกายออกมา
“เป็นไปได้มากว่าจะแพ้หรือ เรื่องนี้ท่านผิดแล้วล่ะ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองดู ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้า “ท่านมิได้เห็นการต่อสู้ระหว่างน้องตงป๋อและจักรพรรดิเทพมารแดงในตอนนั้น แม้โลกภายนอกจะเล่าลือกันไปทั่วว่าน้องตงป๋อเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ แต่รายละเอียดของการต่อสู้ กลับมีผู้ล่วงรู้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”
“หา” ผู้ปกครองเอ้อเฉินมองเจียวอวิ๋นหลิวด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง
“ตอนนั้นจักรพรรดิเทพมารแดงก็สำแดงลูกไม้การป้องกันอันร้ายกาจยิ่งออกมา แต่ท้ายที่สุดน่ะหรือ”เจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ เขาจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตอนนั้นหลังจากจักรพรรดิเทพมารแดงปะทุท่าไม้ตายออกมาแล้ว พลังก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ผิวกายก็มีเกราะน้ำแข็งอันหนาวเหน็บชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ การป้องกันก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง “ท้ายที่สุดเขาก็ยังถูกหอกหนึ่งของน้องตงป๋อโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรง! การโจมตีของน้องตงป๋อช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”
“อย่างนั้นหรือ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ในสายตาของเขา การป้องกันของผู้เคารพเทพหิมะตรงหน้าก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว
เขากลับไม่รู้ว่า…การรักษาชีวิตของจักรพรรดิเทพมารแดงแข็งแกร่งกว่าอยู่ขุมใหญ่
“มาแล้ว” นัยน์ตาของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเป็นประกายขึ้นมา เขามองเห็นแล้วว่า เหนือหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นหลังจากประกายสีดำนี้ปรากฏขึ้น ก็โจมตีจักรพรรดิเทพมารแดงอย่างรุนแรง
“ฟิ้ว!”
ปลายหอกแทงเข้าไปอย่างดุเดือด ทิ้งร่องรอยซึ่งแฝงไว้ด้วยเส้นโค้งอันแปลกพิสดารเอาไว้ รอบปลายหอกยังมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอยู่วงหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านอกจากจะมีเกราะพลอยู่ชั้นหนึ่งแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังนำ ‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ หลอมรวมเข้าไว้ในวิถีหอกอีกด้วย นับตั้งแต่รับรู้ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ เป็นต้นมา วิถีสองสายนี้ก็ได้ผนวกเข้าด้วยกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีวิธีการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ฟึ่บ…หอกยาวแทงลงบนรูปสลักผลึกน้ำแข็ง เหนือผิวมีเกราะพลหมุนเวียนอยู่ ระดับความคมของปลายหอกเพิ่มสูงขึ้นแล้วแทงทะลุรูปสลักไป หลังจากแทงเข้าไปในรูปสลักแล้ว ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันน่าหวาดหวั่นก็พลันส่งถ่ายเข้าไป
ปัง…ทั้งรูปสลักแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศมลายหายไป ทว่าส่วนที่หลงเหลืออยู่จำนวนน้อยนิดกลับเพียงน้อยนิดก็รวมตัวกันแล้วกลายเป็นสตรีผมขาว ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ ผู้นั้น สายตาของผู้เคารพเทพหิมะที่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อและความจนใจสายหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกสังหารเข้ามาอีกครั้ง นางก็รีบถ่ายเสียงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินโดยรอบ “ข้ายอมแพ้!”
จะพูดอย่างชักช้าก็ไม่ทันการแล้ว จึงใช้พละกำลังภายในกายควบคุมอากาศแล้วเปล่งเสียงออกมา ทำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“ฟิ้ว”
ปลายหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันหยุดลง กระแสอากาศอันน่าหวาดหวั่นราวกับคมมีดวาดผ่านร่างของผู้เคารพเทพหิมะ หากเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นโดยทั่วไป เกรงว่าร่างกายคงจะแหลกละเอียดไปนานแล้ว ทว่าถึงอย่างไรผู้เคารพเทพหิมะก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเทียบกับผู้ปกครองได้! นางมิอาจต้านรับกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดและแฝงไว้ด้วยเกราะพลได้ แต่ลำพังแค่กระแสอากาศก็มิอาจทำร้ายนางได้เลยแม้แต่ปลายเส้นขน
“นับถือๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เจ้าจะสามารถทำลายรูปสลักทิพย์ไร้ทลายของข้าได้” ผู้เคารพเทพหิมะพูดเสียงเย็นชา “เกรงว่าพลังของเจ้าคงจะมีโอกาสคุกคามสัตว์ประหลาดเลี่ยยางนั่นได้แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนที่พวกเจ้าทั้งสองต่อสู้กันจะเป็นอย่างไร”
พูดจบผู้เคารพเทพหิมะก็แปรเป็นลำแสงทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว
เพราะนางแพ้แล้ว! ย่อมไม่มีโอกาสเข้าไปในบรรพคีรีมารได้อีก ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทนที่นาง กลายเป็นผู้เคารพอันดับสามคนใหม่แล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องตงป๋อ ยินดีด้วยๆ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวหัวเราะ “ข้ายังมิได้เข้าไปในบรรพคีรีมารเลย ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้ล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินลงจากเวทีการต่อสู้แล้วมองไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านชายอย่าล้อข้าเล่นเลย บัดนี้ท่านชายเป็นผู้ปกครองแล้ว ข้าก็เป็นเพียงผู้เคารพเท่านั้น จะก้าวออกจากขั้นนี้นั้นไม่ง่ายเลย”
“สำหรับผู้เคารพคนอื่นนั้นไม่ง่าย แต่สำหรับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดคุยกับท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปยังบรรพคีรีมารด้วยการนำทางของบ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรา เจียวอวิ๋นหลิวมิอาจเข้าไปภายในได้ในตอนนี้
“บรรพคีรีมาร”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่บนคีรีมารอันเก่าแก่แห่งนี้ รอบเขามีไอหมอกสีดำแผ่กำจายอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อเดินอยู่บนบรรพคีรีมารแห่งนี้ จึงรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงมาก กระดูกคันยุบยิบเล็กน้อยให้ความรู้สึกสบายนัก ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาเข้าเข้าใจดีว่าเป็นเพราะบรรพคีรีมารแห่งนี้นั่นเอง มิเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยคนระดับเช่นเขาจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกเช่นนี้ได้
บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรานำทางอยู่ด้านหน้า แล้วชี้ไปยังคูหาแห่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างเลือนรางตรงสุดทางอันคดเคี้ยงตรงหน้า “นายท่าน คูหาอยู่ตรงหน้าขอรับ”
“นั่นคือคูหาของข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ขอรับ เป็นคูหาของนายท่าน หากมิได้รับอนุญาตจากนายท่าน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้ อีกทั้งคูหายังอยู่เหนือฐานค่ายกลของบรรพคีรีมารอีกด้วย เมื่อบำเพ็ญอยู่ที่นั่น จะเป็นประโยชน์มหาศาล” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรากล่าว “นายท่านเข้าไปก็จะทราบเองขอรับ”
“อื้ม”
เขาเดินไปถึงหน้าคูหาอย่างรวดเร็ว
คูหาอันเก่าแก่โบราณแห่งนี้ค่อนข้างจะสันโดษ ทว่ากลับครองพื้นที่หลายลี้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นสถานที่บำเพ็ญของผู้เคารพ หากฟุ่มเฟือยมากจริงๆ จะใช้พื้นที่นับล้านล้านลี้มาเป็นสวนหลังบ้านของตนเองก็เป็นเรื่องธรรมดานัก
เมื่อผลักประตูเข้าไป เอี๊ยดดด ประตูนั้นเป็นประตูไม้ แผ่นไม้เป็นสีดำขลับทั้งแผ่นจนมองไม่ออกว่าเป็นวัสดุใด
เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูมา ก็มีกลิ่นอายสีเขียวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระลอกหนึ่งถาโถมเข้ามาปะทะหน้า เมื่อสูดเข้าไปเฮือกหนึ่ง ทั้งร่างก็เย็นเฉียบ สมองก็ว่างเปล่าไปหมด ความเร็วในการรับรู้และไตร่ตรองก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วในพริบตา เหมือนได้กินสิ่งล้ำค่าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น สถานที่ล้ำค่าสำหรับบำเพ็ญระดับนี้ แม้แต่เหล่าผู้ปกครองก็ยังปรารถนา มันย่อมมีส่วนช่วยต่อการบำเพ็ญของบรรดาผู้เคารพเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี พลังที่ซ่อนอยู่ยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งยกระดับการบำเพ็ญได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น
“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดเอ่ยปากชมมิได้ เขาอยู่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังไม่เคยเข้าไปในสถานที่ล้ำค่าสำหรับบำเพ็ญที่ดีเช่นนี้มาก่อนเลย
“บนบรรพคีรีมารยังมีสถานที่เก็บคัมภีร์บำเพ็ญอันล้ำค่าต่างๆ อยู่ด้วยนะขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดที่อยู่ด้านข้างกล่าว “เป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น พวกมันล้ำค่าอย่างยิ่ง สามารถศึกษาได้ แต่มิอาจนำออกไปจากบรรพคีรีมารได้”
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ
“ข้อดีของคูหาแห่งนี้ นายท่านสามารถรับรู้ได้โดยละเอียด” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว “หากไม่มีธุระอันใดแล้ว บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้นว่า “ชั้นในและชั้นใจกลางของบรรพคีรีมารดีกว่านี้มากใช่หรือไม่”
“เป็นความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว “ชั้นในเหนือกว่าชั้นนอกอยู่มากโข ชั้นใจกลางก็ยิ่งเกินกว่าจะจินตนาการได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะท้าทายผู้เคารพอันดับหนึ่งดู”
“ท้าทายผู้เคารพอันดับหนึ่งหรือ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดสะดุ้ง “ได้ขอรับ นายท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปถ่ายทอดวาจาของท่านเดี๋ยวนี้”
บ่าวรับใช้หุ่นเชิดจากไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มสำรวจคูหาแห่งนี้โดยละเอียด เมื่อตรวจดูก็พบความน่าอัศจรรย์ของคูหาแห่งนี้ ภายในส่วนที่แตกต่างกันของคูหาก็มีกลิ่นอายที่แตกต่างกัน เหมาะแก่ผู้แกร่งกล้าซึ่งฝึกฝนระบบที่แตกต่างกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงพบบริเวณต่างๆ ที่เหมาะกับวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่นและวิถีโลกเทียม ส่วน ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ นั้นมิได้มีเงื่อนไขเรื่องสภาพแวดล้อมแต่อย่างใด
ผ่านไปเพียงครู่เดียว
บ่าวรับใช้หุ่นเชิดก็กลับมาแล้วรายงานทันที
“นายท่านขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ
“กำหนดเวลาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ผู้เคารพอันดับหนึ่ง ‘เลี่ยยาง’ กำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่ขอรับ มิอาจรับศึกได้” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ มิอาจรับศึกได้อย่างนั้นหรือ หากเขาเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญไปตลอด ข้าก็มิอาจท้ายทายได้ไปตลอดหรือไร”
“ชั้นในและชั้นนอกของบรรพคีรีมารแตกต่างกันอย่างมหาศาล หากภายหน้านายท่านได้เข้าไปก็จะทราบเองขอรับ การเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญของชั้นในนั้นเป็นการบำเพ็ญพิเศษชนิดหนึ่ง ระหว่างการบำเพ็ญมิอาจรับศึกได้ ทว่าเมื่อการเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญสิ้นสุดลง ผู้เคารพเลี่ยยางก็จะมิอาจหลีกเลี่ยงได้อีกขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว
“ต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ได้ยินมาว่าผู้เคารพเลี่ยยางเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญมาห้าแสนกว่าปีแล้ว คาดว่าหากเร็วหน่อยก็จะสามารถออกมาได้ตลอดเวลา หากนานหน่อยก็อาจจะสักสิบล้านปีกระมัง” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเอ่ย
“นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะจนใจอยู่บ้าง
รอเถิด
การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลคีรีมารนั้นเร็วกว่าบ้านเกิดของตนมาก ต่อให้ผ่านไปสิบล้านปี ก็เท่ากับเวลาไม่กี่พันปีในบ้านเกิดเท่านั้น! สงครามคงจะไม่รวดเร็วถึงเพียงนั้น ตนใช้เวลาน้อยนิดเท่านี้บำเพ็ญให้ดีจะดีกว่า
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
“ขอรับ หากนายท่านมีเรื่องอันใดก็สามารถเรียกข้าได้ตลอดเวลานะขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเดินออกจากคูหาไป
ประตูคูหาปิดลงเสียงดังเอี๊ยด แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มการบำเพ็ญในบรรพคีรีมาร
ภาคที่ 24
ตอนที่ 19
ปรัชญาคลื่นลม
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้เวลาจะล่วงเลยไป แต่บรรพคีรีมารกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ รอบด้านมีไอหมอกสีดำรายล้อมและเย็นเยียบอยู่เป็นนิจ มีผู้แกร่งกล้าหลายสิบท่านบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ที่เหลือก็คือบ่าวรับใช้หุ่นเชิดที่คอยปรนนิบัติตนโดยเฉพาะและผู้ดูแลเขาเท่านั้น
นอกคูหาบนยอดเขา
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งพลิกคัมภีร์สีทองดูอยู่ตรงนั้น คัมภีร์หลอมขึ้นมาจากโลหะแปลกประหลาดแผ่นแล้วแผ่นเล่า ด้านบนมีอักษรโบราณชนิดหนึ่งแกะสลักเอาไว้อย่างแน่นขนัด แม้จะไม่เข้าใจอักษรนี้ แต่ตัวอักษรกลับส่งถ่ายข้อมูลเข้าไปในห้วงสมองเองตามธรรมชาติ หลายปีมานี้ เขาจดจำข้อมูลภายในคัมภีร์เล่มนี้ได้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงนำคัมภีร์เล่มนี้มายังคูหาด้วย ทั้งยังพลิกอ่านเป็นประจำ
ภายในบรรพคีรีมารมีคัมภีร์ล้ำค่าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปอ่านในคูหาได้ เพียงแต่ห้ามนำออกไปจากบรรพคีรีมารเป็นอันขาด!
“ความเข้าใจที่ผู้อาวุโสต่างเผ่าท่านนี้มีต่อระลอกคลื่น ทำให้ข้าต้องยกย่องอย่างแท้จริง หากเขาเป็นดวงดารากลางฟากฟ้า ข้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาบนผืนดินคนหนึ่งที่แหงนมองฟากฟ้า” ทุกครั้งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูก็อดเกิดความรู้สึกเทิดทูนขึ้นมามิได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคัมภีร์ล้ำค่าที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้ อย่างเช่นคัมภีร์อันขาดตกบกพร่องซึ่งเป็นเล่มเดี่ยวนี้ ขาดส่วนข้างหน้าและข้างหลังไปเป็นจำนวนมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้แม้แต่ชื่อของคัมภีร์เสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่รู้จากข้อมูลภายในเล่มว่าผู้ที่เขียนคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีนามว่า ‘ประมุขเกาะคลื่นสวรรค์’
“หากไร้ซึ่งคัมภีร์เหล่านี้ ข้าจะคิดค้นศาสตร์ลับขึ้นมาก็ยากกว่ามาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
เขามีจิตคิดร้าย
จิตคิดร้ายอย่างใหญ่หลวง
เช่นจักรพรรดิผลาญเอกาก็อาศัยคัมภีร์มารโลหิตครึ่งหลัง จากนั้นก็คิดค้นศาสตร์ลับที่เหมาะสมกับตนเองขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้อาศัยเคล็ดลับ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของจักรวาลเทวทูต ใช้วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นผสานกันแล้วสร้างเป็น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่คิดค้นขึ้นโดยอ้างอิงจากแนวความคิดของผู้อาวุโสทั้งสิ้น
แต่เนื่องจาก ‘วิถีระลอกคลื่น’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ล้วนแต่เหมาะกับการต่อสู้เป็นอันมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงคิดจะนำวิถีทั้งสองสายนี้ผสานเข้าด้วยกันและคิดค้นศาสตร์ลับการต่อสู้ขึ้นมาโดยตลอด! ถึงอย่างไร ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็ค่อนไปทางด้านบริเวณอยู่แล้ว สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ ไปจนถึงเคล็ดวิชาที่เหมาะจะให้วิถีหอกใช้สำแดง!
ทว่าไม่มีคัมภีร์จำพวกนี้อยู่เลย ไม่มีผู้อาวุโสที่ทำเช่นนี้! อาจจะมีก็เป็นได้ แต่หาจากคัมภีร์ของทางบรรพคีรีมารไม่พบ เพราะการจะหาศาสตร์ลับการต่อสู้อันสูงส่งลึกล้ำที่เชี่ยวชาญทางด้านวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นในขณะเดียวกัน ทั้งยังต้องผสานเข้าด้วยกันให้พบก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก
เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เบื้องหน้าก็มีแต่หมอกมัว ทางเบื้องหน้าควรจะเดินไปอย่างไรกันเล่า
ก็ต้องให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาเอง ต้องให้ความเข้าใจทางด้านการเข่นฆ่าและระลอกคลื่นของเขาบรรลุถึงระดับขั้นที่สูงส่งลึกล้ำขึ้นหรือกว้างขวางยิ่งขึ้น เคราะห์ดีที่เขาอยู่ในบรรพคีรีมาร มีคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากให้เขาพลิกอ่านได้ ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาได้กว้างไกลขึ้น และมองเห็นความเป็นไปได้ของการบำเพ็ญในหลายๆ ทาง
เมื่อมีคัมภีร์ต่างๆ คอยหล่อเลี้ยง มีพื้นฐานของวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น อีกทั้งการบำเพ็ญภายในคูหาของบรรพคีรีมารก็มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง บวกกับการรับรู้ของเขา บัดนี้เขาก็ได้คิดค้นบทที่หนึ่งของศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมขึ้นมาจนได้ ที่เป็นบทที่หนึ่งนั้น ก็เพราะวิถีทั้งสองสายของตนล้วนยังมิได้บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล ตามความคิดของตน ศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมยังสามารถยกระดับขึ้นไปได้อย่างไม่หยุดหย่อน
จากนั้นเพียงแค่บทแรก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทุ่มเทสุดกำลังแล้ว อาศัยแค่บทนี้ก็เพียงพอให้เทียบเคียงกับผู้ปกครองได้แล้ว!
“ฟิ้ว”
หุ่นเชิดสาวตนหนึ่งเข้ามาจากที่ไกลโพ้น เงาร่างกะพริบวาบหลายครั้งจนเข้ามาใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิง
“ผู้เคารพตงป๋อ” หุ่นเชิดสาวพูดด้วยความเคารพ “ข้ารับบัญชาจากผู้เคารพเลี่ยยางนายท่านของข้ามาที่นี่ เพื่อแจ้งให้ผู้เคารพตงป๋อทราบเรื่องการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“ผู้เคารพเลี่ยยางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “ในที่สุดก็มาเสียที! ผ่านไปหกล้านปี ในที่สุดการเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญของผู้เคารพเลี่ยยางก็สิ้นสุดลงเสียที”
“ดี เช่นนั้นก็ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้เถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา
หุ่นเชิดสาวโค้งคารวะ จากนั้นก็หมุนกายจากไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นแล้วมองดูหุ่นเชิดสาวตนนั้นจากไปจนลับตา นัยน์ตาเปี่ยมแววรอคอย “ทำให้ข้าต้องคอยตั้งหกล้านปี พลังของข้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งจะเข้ามายังบรรพคีรีมารมากแล้ว ได้ยินมาว่าเลี่ยยางเคยเอาชนะผู้ปกครองมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือไม่”
แม้การบำเพ็ญในบรรพคีรีมารจะก้าวกระโดดก็จริง แต่เขากลับไม่เคยต่อสู้เลยมาโดยตลอด
*******
วันต่อมา
เอี๊ยด
ประตูไม้ถูกผลักออก ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากภายในคูหาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขามุ่งหน้าไปตามทางภูเขาอันคดเคี้ยว ทิ้งร่องรอยอันเลือนรางสายแล้วสายเล่าเอาไว้บนเส้นทาง บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชราก็ตามหลังไปอย่างเคารพนบนอบ
“ตงป๋อ ได้ยินมาว่าเจ้าจะไปต่อสู้กับเลี่ยยางแล้วหรือ” สตรีนางหนึ่งผู้มีเกล็ดสีแดงชาดทั่วร่างและมีเกราะสีทองหุ้มห่อซึ่งอยู่ในคูหาอีกแห่งหนึ่งพูดยิ้มๆ
“ท่านชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ข้ากำลังจะขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้แล้ว”
สตรีตรงหน้านางนี้ก็คือ ‘เจียวอวิ๋นฉาน’ บุตรคนที่สองจากสามคนของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดทิ้งห่างพี่ชายและน้องชายของนางไปไกลลิบ จนได้เข้ามาในบรรพคีรีมารตั้งนานแล้ว แม้บัดนี้ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวจะสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวของเขาแล้ว พลังก็ยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
“จะตัดสินผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไปด้วยกันเถิด” เจียวอวิ๋นฉานผู้นี้ก้าวออกมาก้าวหนึ่งก็มาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง
“ดี ไปพร้อมกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจียวอวิ๋นฉานผู้นี้เดินไปเคียงข้างกัน
“พลังของเลี่ยยางผู้นั้นร้ายกาจนัก ตอนนั้นเมื่อปรากฏกายครั้งแรกก็กลายเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างรวดเร็ว และเข้าไปยังชั้นในของบรรพคีรีมารได้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยเข้าไปเลย เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างนั้นหรือ” รูปโฉมของเจียวอวิ๋นฉานงดงามยิ่งนัก คิ้วทั้งสองกลับประหนึ่งกระบี่คมกริบ เมื่อบำเพ็ญตามปกตินางก็จะสวมเกราะสีทองเอาไว้ จะเห็นได้ถึงนิสัยของนาง
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่ ก็หลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้มิได้แล้ว อีกทั้งข้าก็อยากจะเห็นนักว่าที่แท้แล้วเขาแข็งแกร่งสักเพียงใดกัน”
“เหมือนจะมั่นใจมากทีเดียว”เจียวอวิ๋นฉานมองยิ้มๆ
เดินไปตลอดทาง
บนเส้นทางนั้นก็มีผู้ปกครองคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงอย่างไรศึกตัดสินผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด…ก็ไม่เหมือนกับการต่อสู้อันน่าเบื่อระหว่างพวกอันดับสองอันดับสาม ที่หลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ท้าทายกันใหม่อีก! การต่อสู้ระหว่างคนหน้าใหม่ที่เพิ่งโผล่มาและผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้ หาชมได้ยากนัก
การต่อสู้ของคนหน้าใหม่เช่นนี้ มีหวังที่จะเอาชนะผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้มากกว่า เพราะจู่ๆ พวกเขาก็โผล่มา พลังก็ยากเกินคาดเดาได้ จึงมีความหวังมากกว่า ส่วนพวกที่เคยพ่ายแพ้มาหลายครั้งเหล่านั้น ต่อให้ท้าทายอีก ความหวังก็ริบหรี่นัก
“ตงป๋อ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ง่ายเลย”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เลี่ยยางผู้นั้นเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดมานานเกินไปแล้ว เอาชนะเขาเสีย”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงเวทีการต่อสู้ บรรดาผู้ปกครองหลายคนที่มาถึงก่อนแล้วก็พูดขึ้นเสียงดัง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้ปกครองซึ่งบำเพ็ญอยู่ ณ ชั้นนอก จึงย่อมเอนเอียงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นธรรมดา หลายปีมานี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะไปยืมคัมภีร์มาอ่านเป็นประจำ และได้รู้จักกับผู้ปกครองหลายคนที่มาอ่านคัมภีร์เช่นกัน ทุกคนล้วนมีความรู้สึกอันดีต่อผู้เคารพหนุ่มซึ่งมีอัธยาศัยค่อนข้างดีผู้นี้
เวทีการต่อสู้สีเขียวเข้มตั้งอยู่ในอาณาเขตของบรรพคีรีมารชั้นนอก
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงครู่หนึ่ง ตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งของการต่อสู้ครั้งนี้ก็มาถึงแล้ว
“ผู้เคารพเลี่ยยาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปไกล
เงาร่างสองสายเดินออกมาจาก ‘ชั้นใน’ ที่ลึกเข้าไปในบรรพคีรีมารซึ่งมีไอหมอกปกคลุมอยู่ ผู้ที่เดินตามหลังมาคือหุ่นเชิดสาวตนนั้น ส่วนด้านหน้าก็คือบุรุษที่สวมเสื้อแต่แขนทั้งสองกลับเปล่าเปลือย ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลอมเหลือเงาวับ เขามีผมสีเงินยวงซึ่งถักเป็นเปียเล็กละเอียดหลายเส้น เมื่อมองไปปราดหนึ่ง ก็เหมือนน่าจะมีอยู่หลายสิบเส้นเลยทีเดียว
เขาเดินเท้าเปล่าเข้ามาโดยมิได้สวมรองเท้า
ทว่าทั้งร่างของเขากลับมีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นโหมซัดอยู่รางๆ เขาสาวเท้าออกมาก้าวใหญ่ เบื้องหลังยังมีดาบรบเล่มหนึ่งอยู่ในฝัก นัยน์ตาคมกริบทั้งคู่แฝงแววกดดันเอาไว้
“ตงป๋อ รูปร่างของเขาและเจ้าละม้ายคล้ายกัน เจ้ากับเขามาจากจักรวาลเดียวหันหรือไม่” ท่านชายเจียวอวิ๋นฉานซึ่งนั่งอยู่ริมขอบตะโกนถาม
“ไม่ใช่”
ผู้เคารพเลี่ยยางที่เดินเข้ามาจากที่ไกล กลับเอ่ยปากขึ้นมาเอง นัยน์ตาคมกริบจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้จักผู้เคารพจากจักรวาลบ้านเกิดของข้าแทบทั้งหมด เขาต้องมิใช่อย่างแน่นอน! อีกทั้งผู้เคารพของจักรวาลเราล้วนแต่ถักเปียด้วยกันทั้งนั้น แต่เขามิได้ถัก!”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าตรงออกไปก้าวหนึ่งทันที แล้วถลาขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้เสียงดังสวบพลางจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “มาเถิด ผู้เคารพตงป๋อ ให้ข้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าหน่อยสิ”
“ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานตรงขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้เช่นกัน
เมื่อพวกเขาทั้งสองขึ้นไปยืนบนเวทีการต่อสู้แล้ว รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือผิวเวทีการต่อสู้สีเขียวเข้มอันเก่าแก่นี้ก็สว่างวาบและหมุนเวียนขึ้นมาทันที กลางอากาศโดยรอบเริ่มมีค่ายกลสีดำอันแน่นขนัดปรากฏขึ้น แล้วปกคลุมเวทีการต่อสู้เอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ภาคที่ 24 ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด
ตอนที่ 20
ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนเวทีการต่อสู้อันเก่าคร่ำคร่า ตงป๋อเสวี่ยอิงประจันหน้ากับผู้เคารพเลี่ยยางอยู่ไกลๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป หอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ขณะเดียวกัน ตู้มมมม…เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตซึ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศูนย์กลางโหมซัดและแผ่กำจายออกไป เกลียวคลื่นสีแดงโลหิตที่ม้วนตัวอยู่นั้นแทบจะถาโถมเข้าไปตรงหน้าผู้เคารพเลี่ยยางในพริบตา เนื่องจากนี่เป็นกระบวนท่าจำพวกบริเวณ จึงแผ่คลุมไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ ผู้เคารพเลี่ยยางหลบหลีกอย่างไรก็มิอาจหลบพ้นได้ จนถูกปกคลุมมิดในทันใด
บริเวณการเข่นฆ่า!
ตอนนี้วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้วทั้งสิ้น ห่างจากความสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาลเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าก้าวนั้นห่างไกลราวฟ้ากับเหว! การยกระดับขั้นบวกกับศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมที่คิดค้นขึ้นมาเองก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่งสมพื้นฐานได้แน่นหนาขึ้น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นขึ้นเช่นกัน
“เอ๊ะ” สีหน้าของผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นสีแดงโลหิตเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นที่ซ่อนอยู่ลับๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าแทรกซึมเข้าไปในร่างเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำเอาทุกอณูในร่างเขาสั่นสะเทือนไปหมด หมายจะทำลายร่างของเขาให้แหลกละเอียดไปให้ได้ อีกทั้งระลอกคลื่นชั้นแล้วชั้นเล่าก็พันพาดเข้ามาไม่หยุดหย่อนประหนึ่งใยแมงมุมอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นบริเวณที่น่ากลัวนัก สามารถทำร้ายร่างกายข้าได้ด้วย อีกทั้งเมื่ออยู่ในบริเวณนี้นานเข้า อาการบาดเจ็บของข้าก็จะยิ่งสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ด้วย พันธนาการที่ได้รับก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน” ผู้เคารพเลี่ยยางถือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคู่ค่อสู้ระดับผู้เคารพที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทันที “ต้องรีบสู้รีบจบ! จะยืดเยื้อไม่ได้!”
อย่างจักรพรรดิเทพมารแดงยังมีท่าไม้ตายที่สามารถกดดันบริเวณการเข่นฆ่าได้
แต่ข้อแรก บัดนี้บริเวณการเข่นฆ่าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้อต่อมาคือผู้เคารพเลี่ยยางก็ไม่เชี่ยวชาญลูกไม้ทางด้านบริเวณเสียด้วย
ทว่าเขามีวิธีการร่อสู้ของเขาเอง!
ผู้เคารพเลี่ยยางพลันแค่นเสียงเฮอะด้วยตวามโมโห
ตู้ม!!!
กลิ่นอายเหนือผิวกายของเขาพลันปะทุขึ้นมา เสื้อผ้าก็พองตัวขึ้นมา ผิวหนังซึ่งเดิมเป็นมันเงาก็เริ่มมีเยื่อผิวหนังซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ผิวหนังพองตัวขึ้นมาจนหมด อานุภาพภายในโหมซัด เหนือผิวกายมีเยื่อผิวหนังชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น แม้แต่ดวงตาก็ยังมีเยื่ออันโปร่งใสปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน กลิ่นอายร่างกายก็ปะทุขึ้นเป็นอันมาก
สวบ!
เขาชักดาบรบที่ด้านหลังออกมาในพริบตา ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็ถลาตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ดาบอันโหดเหี้ยมพลันไปถึงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด
“เคร้ง!!!” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น แต่หอกยาวในมือของเขากลับเลื้อยลอดออกไปสกัดกั้นดาบนี้เอาไว้ประหนึ่งอสรพิษ พละกำลังที่โหมซัดภายในกายแทรกซึมเข้าไปในหอกนี้
ผู้เคารพเลี่ยยางรู้สึกเพียงว่าพละกำลังอันยิ่งใหญ่ปานฟ้าถล่มดินทลายส่งผ่านหอกยาวมา อีกทั้งพละกำลังนี้ยังแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันพิสดาร ระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้เขารู้สึกยากเกินทานทน โลหิตภายในกายเดือดพล่านและกระเทือนเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไปโดยมิอาจควบคุมได้ แล้วกระอักโลหิตสดๆ เต็มปากออกมาอย่างทนไม่ไหว
“พละกำลังแข็งแกร่งกว่าข้าอีกหรือนี่” ผู้เคารพเลี่ยยางไม่อยากจะเชื่อ ในด้านพละกำลัง เขาแข็งแกร่งกว่าผู้ปกครองเสียอีก แต่กลับตกเป็นรองอย่างนั้นหรือ ถูกกระแทกจนกระอักโลหิตเลยหรือ
แม้ผู้เคารพเลี่ยยางจะถูกแทงจนกระเด็นลอยไปในหอกเดียว แต่ผมสีเงินยวงซึ่งถักเป็นเปียมากมายของเขากลับปะทุออกมาในพริบตา ก่อนจะเข้าพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง
แม้หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเปียเรียวยาวถึงเก้าสิบสามเส้นพันพาดเข้ามาพร้อมกัน อีกทั้งแต่ละเส้นยังอ่อนนุ่ม บิดแปรอย่างพิสดารและรวดเร็วอย่างยิ่ง เขามิอาจต้านทานเอาไว้ได้ทันกาล ก็ถูกผมเปียสีเงินเหล่านี้พันรัดร่างเอาไว้อย่างรวดเร็ว เปียเส้นแล้วเส้นเล่าพันพาดเข้ามาเป็นวงล้อม และพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
“ยุ่งยากเสียแล้ว” ผู้ปกครองซึ่งชมการต่อสู้อยู่เหล่านั้นก็ทอดถอนใจ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและดุเดือดเกินไปจริงๆ เห็นได้ชัดว่าจะตัดสินแพ้ชนะกันในเวลาอันสั้น
“ตู้ม!” ชั่วขณะที่ถูกผมเปียสีเงินพันธนาการเอาไว้ แขนทั้งสองข้างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกแรงแล้วสั่นสะท้านในพริบตา ฟึ่บๆๆ…ผมเปียสีเงินทั้งหมดพลันขึงตึงเข้าหากันและสั่นสะท้าน แต่กลับต้านรับพละกำลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ได้
ผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งถูกซัดจนกระเด็นลอยออกไปพลันหยุดลง บัดนี้เปียของเขาขยายตัวออกไปหลายร้อยลี้แล้ว บ ดบังฟ้าและดวงตะวันจนสิ้น ทั้งยังพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์ เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “พละกำลังแข็งแกร่งนัก ข้าเกือบจะพันธนาการเขาเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“ดิ้นไม่หลุดเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจมาก เมื่ออยู่ในบรรพคีรีมาร ความเร็วก็รวดเร็วนัก เวลาหกล้านปีเพียงพอจะสยบการบำเพ็ญสามสิบล้านปีก่อนหน้านี้ได้ บัดนี้วิชาลับผู้ท่องของเขาก็ถูยกระดับขึ้นไปจนถึงชั้นที่แปดแล้ว เมื่อครู่ที่หอกหนึ่งของเขาเพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามถูกกระแทกเสียจนกระอักโลหิตก็ทำให้เขาตกตะลึงมากแล้ว
ตอนนี้เมื่อผมมาพันธนาการตนเอาไว้ พละกำลังของตนก็ยังดิ้นไม่หลุดเช่นนั้นหรือ
“แตก!”
ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีประกายสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ประกายสีดำชั้นนี้ไหลเวียนอยู่เหนือผิวกาย แต่ละสายคมกริบราวกับคมมีดซึ่งสามารถเชือดเฉือนทำลายได้ทุกสิ่ง ซึ่งนั่นก็คือ ‘เกราะพล’ ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงที่สุดของทางสายผู้ท่องอากาศ
เกราะพลปกคลุมผิวกาย ตงป๋อเสวี่ยอิงดุจดั่งเทพมารซึ่งเดินออกมาจากความมืดมิดก็มิปาน ทุกบริเวณทั่วกายรวมทั้งเส้นผมสีดำล้วนแต่มีเกราะพลอันน่าหวาดหวั่นไหลเวียนอยู่
ทั้งร่างของเขาปลดปล่อยพลังออกมาอีกครา!
ตู้มมม…
เปียสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าซึ่งพันธนาการเขาเอาไว้ขึงตึงและสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เกราะพลอันคมกริบหาใดเปรียบเหนือผิวกายของของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทำให้เปียสีเงินที่ขึงตึงเริ่มขาดสะบั้นเสียงดัง ‘ปัง ปัง ปัง’ ทำให้ผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งเดิมทีกำลังจะฉวยโอกาสโจมตีสีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างใหญ่หลวง เปียที่ขาดลงจำนวนมากลอยกลับไปอย่างรวดเร็ว เขาจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง ที่ผ่านมาการต่อสู้ของเขามีชื่อเสียงเรื่องความเหิมเกริม ผู้ใดจะไปคิดว่าเมื่อตาต่อตา ฟันต่อฟันในวันนี้จะตกเป็นรองอย่างน่าอดสูเสียได้
พูดแล้วเหมือนจะเนิ่นช้า แต่อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่สั่นสะเทือนสองครั้งเท่านั้น ครั้งที่สองเขาอาศัยเกราะพลก็ทำลายเปียสีเงินเหล่านี้จนพังทลายลงไปได้
“ฆ่า” ผู้เคารพเลี่ยยางกลับแค่นเสียงเฮอะขึ้นมาด้วยความโมโห เขากุมดาบบุกเข้ามาสังหารอีกครั้ง
เมื่อต่อสู้ประชิดตัวในครั้งนี้ เปียสีเงินกลับปัดไปซ้ายทีขวาที แต่ละอันล้วนอยากเคลื่อนไหวอย่างโง่งม
“ฟิ้ว”
เงาดาบกะพริบวาบคราหนึ่ง เฉียดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป เปียสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าก็ลอบโจมตีอย่างอันตราย
ขณะเดียวกันเมื่อเผชิญหน้ากับเปียจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นและดาบรบเล่มหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงขึ้นมาบ้างแล้ว
“ปรัชญาคลื่นลม…คลื่นคู่พิฆาต!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันสำแดงศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมซึ่งคิดค้นขึ้นมาเองในช่วงหลายปีมานี้ออกไป นี่คือศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ชนิดหนึ่ง
ฟิ้ว!
ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันยิงเกราะพลสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าออกไปพร้อมกัน เกราะพลสามารถปกคลุมวัตถุภายนอกเช่นอาวุธต่างๆ แล้วทำการต่อสู้ได้ และสามารถใช้ต่อสู้โดยตรงได้เช่นกัน! ทันใดนั้นเหนือผิวของเกราะพลสีดำสายหนึ่งกลับมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันพิสดารสองสายรายล้อมและพลิกหมุนไปราวกับมัจฉาแห่งหยินหยาง ชั่วขณะที่ระลอกคลื่นสองสายรายล้อมและปะทะกันนั้น ก็ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา
ฟึ่บๆๆ…เกราะพลสีดำจำนวนมากพุ่งตรงออกไปพร้อมกัน ทำให้ผู้เคารพเลี่ยยางรับมือไม่ทัน เขาทำได้เพียงกัดฟันแน่นและเชื่อมั่นในร่างกายของตนเอง แล้วใช้ร่างกายฝืนต้านทานเอาไว้!
“ตายเสียเถอะ” เปียสีเงินของเขายังคงพุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง เขายอมทนบาดเจ็บหมายจะจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงให้ได้ในรวดเดียว
แต่เกราะพลสีดำสายแล้วสายเล่าก็ทะลุเข้าไปในร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางราวกับปลาอย่างไรอย่างนั้น ใช่แล้ว เกราะพลซึ่งแฝงไว้ด้วยความเร้นลับ ‘ปรัชญาคลื่นลม…คลื่นคู่พิฆาต’ อานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางไม่แพ้ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนที่เพิ่งจะเข้าสู่บรรพคีรีมาร แต่ก็ยังคงมิอาจต้านทานได้ จนถูกแทงทะลุไป เกราะพลสายแล้วสายเล่าเริ่มทำลายร่างกายของเขา
แอ่งโลหิตแน่นขนัดทำให้สีหน้าของผู้เคารพเลี่ยยางเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ แม้แต่ท่าทางในการโจมตีก็ยังได้รับผลกระทบ เพราะถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บก็ยังคงหนักหน่วงเกินไป นอกจากนี้เกราะพลจำนวนมากก็ยังทำลายภายในร่างกายของเขาด้วย
เคราะห์ดีที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง หากเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอกว่านี้เกรงว่าร่างกายก็คงแหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว
“ฟิ้ว” หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งเข้ามา
พละกำลังทั้งร่างถ่ายทอดลงไปบนหอกยาว เกราะพลหมุนเวียนอยู่เหนือหอกยาว ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตสองสายไขว้ทับกันอยู่ตรงปลายหอกอย่างไม่ขาดสายทั้งยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วพุ่งตรงไปทางผู้เคารพเลี่ยยาง บัดนี้ร่างกายของผู้เคารพเลี่ยยางได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำก็แปรเปลี่ยนไป เดิมทีดาบรบในมือนั้นไม่มั่นใจพอที่จะสกัดกั้นกระบวนท่านี้ได้ แต่ทันใดนั้นเปียสีเงินจำนวนมากก็พันพาดออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บๆๆ…
แม้หอกยาวจะถูกเปียสีเงินพันพาด แต่ก็ยังคงฝืนแทงเข้าไปในร่างของผู้เคารพเลี่ยยาง เมื่อกระเทือนอย่างรุนแรงคราหนึ่งก็แทงทะลุแผ่นอกของเขาจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ว่าเกราะพลจำนวนมากภายในกายกำลังเคลื่อนไหว ยังเผาผลาญไปไม่หมด
ส่วนระลอกคลื่นบริเวณการเข่นฆ่าก็แทรกซึมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ทำเอาผู้เคารพเลี่ยยางซึ่งบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งอยู่แล้วแต่เดิมมีอาการบาดเจ็บเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
“ข้ายอมแพ้” ผู้เคารพเลี่ยยางเอ่ยปาก โลหิตสดเต็มปากเขาไปหมด
รอบด้านเงียบงันไปหมด
บริเวณการเข่นฆ่าสลายหายไปทันที หอกยาวซึ่งเดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงหมายจะโจมตีออกไปอีกครั้งก็ชะงักลงแล้วเก็บกลับมา เกราะพลที่หลงเหลืออยู่บ้างก็บินกลับมาอย่างรวดเร็ว
ผู้เคารพเลี่ยยางมองตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อไม่มีเกราะพลทำลายร่างกายแล้ว บาดแผลก็ค่อยๆ ฟื้นตัว เปียซึ่งเดิมยาวเหยียดก็หดสั้นลงและคืนสู่สภาพปกติ เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพยักหน้าพูดว่า “ข้าแพ้ทั้งปากและใจ เมื่อห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ข้าก็แพ้เสียแล้ว เจ้าเก่งกาจกว่าข้าเสียอีก”
“ท่านก็แข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากโดยแท้
หากไร้ซึ่งการฝึกฝนหกล้านปีในบรรพคีรีมาร มิได้คิดค้นปรัชญาคลื่นลมขึ้นมา ลำพังแค่เปียสีเงินเหล่านั้น ตนก็มิอาจฝ่าออกไปได้ จำเป็นต้องหลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม ถึงตอนนั้นตนก็จะต้องอาศัยฟ้าดินโลกเทียมและการหลบหลีกในอากาศเพื่อลอบโจมตี ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายฝ่ายตรงข้าม และมีเปียจำนวนมากคอยเสริม การลอบโจมตีของตนจะคว้าชัยได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
เพียงแต่ว่า…
เมื่อได้บำเพ็ญไปหกล้านปี ตนก็ยกระดับขึ้นอย่างรอบด้าน ต่อให้มิได้สำแดงฟ้าดินโลกเทียมและเคล็ดการหลบหลีกในอากาศออกมา หากตาต่อตาฟันต่อฟันกันตนก็สามารถกดดันอีกฝ่ายและคว้าชัยได้อยู่ดี
“ร้ายกาจ”
“ยินดีกับผู้เคารพตงป๋อด้วย ที่ได้กลายเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งบรรพคีรีมารแล้ว”
“ฮ่าฮ่า การต่อสู้ระหว่างผู้เคารพตงป๋อและผู้เคารพเลี่ยยางในครั้งนี้ช่างอาจหาญจริงๆ” เหล่าผู้ปกครองที่ชมดูอยู่ด้านข้างต่างพากันอ้าปากค้าง การต่อสู้อันดุเดือดเช่นนี้ ผู้ปกครองโดยทั่วไปล้วนรับมือไม่ไหว
ตงป๋อเสวี่ยอิงและผู้เคารพเลี่ยยางต่างก็นับถืออีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาทั้งสองต่างก็พบโอกาสต่างๆ มามากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่าหากไร้ซึ่ง ‘มรดกผู้ท่องอากาศ’ ตนก็ไม่มีโอกาสชนะเอาเสียเลย ผู้เคารพเลี่ยยางก็ทอดถอนใจ “ข้าพบโอกาสมามากมาย ทั้งยังได้เข้าไปบำเพ็ญยังบรรพคีรีมารชั้นในมานานแสนนาน แต่กลับพ่ายแพ้เสียนี่”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงร่ำลาผู้ปกครองทั้งหลาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังชั้นในของบรรพคีรีมารภายใต้การนำทางของบ่าวรับใช้หุ่นเชิดใหม่…ซึ่งก็คือหุ่นเชิดสาวตนนั้นที่เดิมเป็นบ่าวรับใช้ของผู้เคารพเลี่ยยางนั่นเอง
ณ บรรพคีรีมารชั้นใน
“นายท่าน บรรพคีรีมารชั้นในมีคูหาทั้งหมดเก้าแห่ง ซึ่งอยู่ตรงแกนค่ายกลทั้งเก้าของบรรพคีรีมาร” หุ่นเชิดสาวเดินเข้าไปสู่ไอหมอกสีดำ เข้าไปยังส่วนลึกของบรรพคีรีมาร “คูหาทั้งเก้าแห่งแบ่งออกเป็นผู้ปกครองแปดท่านและผู้เคารพท่านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็มีผู้ปกครองจากชั้นในหลายท่านไปร่วมชมการต่อสู้ด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ดูสิเจ้าคะ” หุ่นเชิดสาวชี้ออกไปไกล
ไกลออกไปมีลำแสงหลากสีรายล้อมสถานที่แห่งนี้เอาไว้ กลางอากาศมีคูหาอันวิจิตรงดงามซึ่งมีขอบเขตถึงร้อยลี้ลอยคว้างอยู่ นั่นคือคูหาสำหรับบำเพ็ญ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าแกนของบรรพคีรีมาร
“นั่นคือคูหาซึ่งจะเป็นสถานที่บำเพ็ญของนายท่านนับจากนี้ไปเจ้าค่ะ” หุ่นเชิดสาวกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไป
สายตาของเขากวาดมองไป ก็เห็นว่าอีกหลายทิศก็มีแสงหลากสีให้เห็นรางๆ และมีคูหาลอยคว้างอยู่เช่นกัน เขาเข้าใจว่าเป็นคูหาชั้นในแห่งอื่นๆ
ฟิ้ว
เขาบินถลาไปทางคูหา ประตูใหญ่ของคูหาเปิดกว้าง เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปแล้ว กลับรู้สึกว่าเสียงอันไพเราะเสนาะโสตดังขึ้นข้างหู ดังก้องขึ้นในวิญญาณ
“อูจี๋ลา…” เสียงอันว่างโหวงล่องลอยดังก้องขึ้นในวิญญาณ ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ หรี่ลง จากนั้นเขาก็ปิดเปลือกตาลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสิ้นเชิง
มิใช่เพียงแค่ร่างนี้เท่านั้น
บนดวงดาราอันรกร้างแห่งหนึ่งของจักรวาลคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงซึ่งกำลังบำเพ็ญอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ล้มลงบนผืนหญ้าและตกเข้าสู่ห้วงนิทราทันทีเช่นเดียวกัน
ภายในโลกภูผาศิลาแดงแห่งโลกเผ่าเซี่ยในจักรวาลผู้บำเพ็ญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีกำลังพูดคุยกับอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยากลับหลับตาลงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา แล้วล้มพับลงกับพื้น
“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวสะดุ้ง สีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างใหญ่หลวง “เสวี่ยอิง ท่านเป็นอะไรไปน่ะ ตื่นเร็ว ตื่นเร็วเข้า!”
……
ณ บรรพคีรีมาร
ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งตกเข้าสู่ห้วงนิทรายังคงแย้มยิ้ม ร่างของเขายังคงบินตรงไปทางประตูใหญ่ของคูหาอย่างไม่รู้ตัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เคารพตงป๋อผู้นี้ก็เริ่ม ‘บำเพ็ญในห้วงนิทรา’ แล้วเช่นกัน” ผู้ปกครองในคูหาอีกแปดแห่งของบรรพคีรีมารชั้นในก็จับตามองที่นี่อยู่ห่างๆ จึงมองเห็นภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตกเข้าสู่ห้วงนิทรา
“นี่คือโอกาสอันใหญ่หลวงซึ่งมีแต่ในบรรพคีรีมารชั้นในเท่านั้น การบำเพ็ญในห้วงนิทรา ถึงจะร้องขอก็มิใช่ว่าจะได้มา”
“เมื่อบำเพ็ญในห้วงนิทราแล้ว มิอาจหยุดกลางคันได้ ต้องบำเพ็ญให้จบจึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะบำเพ็ญนานสักเท่าใด”
“เห็นกลิ่นอายวิญญาณของผู้เคารพตงป๋อคนนี้อ่อนเยาว์นัก เห็นได้ชัดว่าการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง บวกกับที่นี่เป็นการบำเพ็ญในห้วงนิทราครั้งแรก ระยะเวลาในการบำเพ็ญจะต้องยาวนานมากอย่างแน่นอน ข้าว่า อย่างน้อยต้องห้าร้อยล้านปีแน่”
“ห้าร้อยล้านปีหรือ ข้าว่าคงจะมีสักสิบล้านปีกระมัง”
“ถึงอย่างไรยิ่งเวลานาน ก็ยิ่งได้รับอะไรมากขึ้น! ฮ่าฮ่า…”
ผู้ปกครองซึ่งอยู่ในบรรพคีรีมารชั้นในเหล่านี้ล้วนผ่านการบำเพ็ญในห้วงนิทรามาหลายครั้งแล้ว จึงเข้าใจการบำเพ็ญในห้วงนิทราอย่างดียิ่ง เช่นผู้เคารพเลี่ยยาง ที่ก่อนหน้านี้มิอาจรับศึกได้ก็เพราะกำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญด้วยการบำเพ็ญในห้วงนิทรานั่นเอง
ภาคที่ 24 ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด
ตอนที่ 21
นิทรา
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวี๋จิ้งชิวรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งสำหรับนางแล้วพลังลึกล้ำเกินหยั่งจนสามารถจัดอยู่ในตำแหน่งสามบรรพชนได้ จู่ๆ จะล้มลงไปกับพื้นภายในโลกวัตถุได้หน้าตาเฉยอย่างนั้นหรือ กฎเกณฑ์ของโลกวัตถุนั้นปกป้องสิ่งมีชีวิตข้างในเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นคนระดับอย่างจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขเกาะกาลมิติ อาศัยเหตุปัจจัยของสัตย์สาบานก็ทำได้เพียงสังหารเทพโลกาสวรรค์สามชั้นเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพลังระดับใดกัน อยู่ในโลกวัตถุก็ควรจะปลอดภัยเต็มที่!
“เสวี่ยอิง เสวี่ยอิง รีบตื่นเร็วเข้าๆ” อวี๋จิ้งชิวพยายามส่งพลังเทพโลกาสายหนึ่งหมายจะถ่ายเข้าไปในร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเพื่อตรวจดู จึ้กๆๆ เพิ่งจะปะทะกับผิวหนังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผชิญกับการผลักไสอันไร้รูปร่าง แม้จะตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่ลำพังแค่อานุภาพของกายหยาบตามธรรมชาติก็มิใช่สิ่งที่พละกำลังของอวี๋จิ้งชิวจะสามารถแทรกซึมเข้าไปได้
“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น ท่านพ่อเป็นอะไรไปน่ะ” เกาะธุลีแดงของภูผาศิลาแดงก็ใหญ่แค่นี้ ร่างแยกของตงป๋ออวี้ซึ่งบำเพ็ญอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งแค่เหลือบมองลงมาแวบเดียวก็เห็นท่านพ่อล้มลงกับพื้นไกลออกไปและท่านแม่ที่อยู่ข้างๆ เขาก็มึนงงไปหมด จึงรีบเคลื่อนที่ในพริบตามาที่นี่
อวี๋จิ้งชิวกลับมิได้สนใจบุตรชายของตนเองเลย นางกำลังดูแลสามีด้วยความร้อนใจ
สวบ
นางอุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมาก่อนจะทะยานไปยังห้องด้านข้างที่ใกล้ที่สุดทันที แล้ววางสามีลงบนเตียงนอน
ในตอนนี้วิญญาณอาวุธ ‘ศิลาแดง’ ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ต่างก็แตกตื่นและร้อนรนอยู่นอกห้อง
“นายท่านเป็นอะไรไปน่ะ” วิญญาณอาวุธศิลาแดงไม่อยากจะเชื่อ “ระดับขั้นอย่างนายท่าน ทั้งยังอยู่ภายในโลกวัตถุ ไยจึงตกเข้าสู่ห้วงนิทรา จะเรียกอย่างไรก็ไม่ตื่นได้เล่า”
“ไม่น่าเลย เขาควรจะปลอดภัยเต็มที่สิ” ตงป๋อชิงเหยาก็ร้อนรนใจ
ตงป๋ออวี้ก็ตึงเครียดและเป็นกังวล
ก็เพราะ ‘ควรจะปลอดภัยเต็มที่’ แต่ก็ยังคงตกเข้าสู่ห้วงนิทรานั่นเอง สถานการณ์จึงยิ่งรุนแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกระบวนท่านี้เข้าได้…ยังเหนือกว่าระดับอย่างจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและบรรพชนหุบเหวลึกเสียอีก
ภายในห้อง
อวี๋จิ้งชิวอยู่ข้างเตียงมองดูสามีที่กำลังหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ในใจร้อนรนมากยิ่งขึ้น
“ฝ่าบาทจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต” อวี๋จิ้งชิวอ้าปากตะโกนออกไป ครั้งนี้นางมิได้ตัดขาดเหตุปัจจัย ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและวิญญาณอาวุธศิลาแดงที่อยู่นอกห้องต่างก็วิตกกันไปหมด พวกเขาเข้าใจดีว่านี่คือการขอร้องให้ ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ยื่นมือเข้าช่วย
“อ้อ อวี๋จิ้งชิว มีเรื่องอันใดหรือ” บัดนี้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็ยุ่งมาก ร่างแยกร่างหนึ่งกำลังสำแดงค่ายกลสองขั้วฟ้าออกมาเพื่อบีบบังคับให้ลัทธิจอมมารดาปรากฏกาย ส่วนอีกสองร่างก็กำลังค้นคว้าบัญชีหมื่นสรรพสิ่ที่ตง ป๋อเสวี่ยอิงนำกลับมาจากจักรวาลคีรีมาร เมื่อรู้สึกว่าด้านหมื่นสรรพสิ่งของตนค่อยๆ ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ย่อมอารมณ์ดีมากเป็นธรรมดา
หากเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไปกล้าเอ่ยเรียกนามของจักรพรรดิเทพแล้วล่ะก็ จะถือเป็นการล่วงล้ำจักรพรรดิเทพ
แต่อวี๋จิ้งชิวเป็นภรรยาของตงป๋อเสวี่ยอิง น้ำเสียงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงยังนับว่าดีอยู่
“เสวี่ยอิงตกเข้าสู่ห้วงนิทรา มิอาจปลุกให้ตื่นได้ ฝ่าบาทจักรพรรดิเทพโปรดทรงช่วยด้วยเถิดเพคะ ช่วยเสวี่ยอิงด้วยเพคะ” อวี๋จิ้งชิวพูดรัว
“อะไรนะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
……
ไม่นานนัก
ร่างแปรร่างหนึ่งก็ร่อนลงมายังโลกวัตถุ มาถึงโลกภูผาศิลาแดง วิญญาณอาวุธศิลาแดงก็มิได้สกัดกั้นเลย
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่ร่อนลงมาสวมอาภรณ์สีขาวตัวหลวม เนื่องจากเป็นเพียงร่างแปรที่สะท้อนลงมา พลังก็ประสบกับการกดดันของโลกวัตถุจึงย่อมอ่อนแอมากเป็นธรรมดา ทว่าสายตาและระดับขั้นของเขาล้วนยังอยู่ครบ
“ฝ่าบาท” อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและวิญญาณอาวุธศิลาแดงพากันโค้งคำนับต้อนรับ
“อื้ม”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองบุตรและภรรยาของศิษย์ตนแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็จับที่ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งทอดกายอยู่บนเตียง เขาเผยสีหน้าร้อนรนออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็ไปถึงข้างเตียง
“เรื่องอันใดกันนี่” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองศิษย์ของตน จากนั้นก็ยื่นมือออกไป นิ้วมือจิ้มลงกลางหว่างคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิง พลังงานอันไร้รูปร่างสายหนึ่งเริ่มแทรกซึมเข้าไป แม้จะประสบกับการกดดันของโลกวัตถุ แต่ลูกไม้ของเขาก็ยังคงพิสดารสูงส่งเลิศล้ำ…เหมือนกับที่บรรพชนเพลิงชาดช่วยตงป๋อเสวี่ยอิงคืนชีพให้อวี๋จิ้งชิวในตอนนั้น
“จึ้กๆๆ…” ร่างกายซึ่งบรรลุถึงวิชาลับผู้ท่องขั้นที่แปด กลับมีอานุภาพอันน่าเกรงกลัว มันขจัดการตรวจสอบของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตออกไปในทันใด
“เอ๊ะ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตขมวดคิ้ว แล้วลองวิธีอื่นๆ ดูอีกครั้ง
หลังจากเปลี่ยนวิธีการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดดวงตาทั้งคู่ของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เปล่งประกายออกมา ประกายนั้นปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ แล้วจึงเข้าไปภายในร่างกายได้โดยมองข้ามอุปสรรคของร่างกายไป “ศิษย์ข้าคนนี้ช่างมีร่างกายที่แข็งแกร่งเสียจริง เกรงว่าในบรรดาผู้ปกครอง คงมีกว่าครึ่งที่ร่างกายสู้ศิษย์ข้าคนนี้ไม่ได้กระมัง ข้าไม่รู้เลยว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งปานนี้”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตลอบตกตะลึง จากนั้นก็ตรวจสอบวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียด
ภายในห้วงสมุทรแห่งการรับรู้ กายตนจิตเทพของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลับตาลงแล้วตกเข้าสู่ห้วงนิทรา จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตลองปลุกให้ตื่นดู แต่เพียงแค่สัมผัสกายตนจิตเทพของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็มีระลอกอันไร้รูปร่างแผ่กำจายออกมาถึงสติรับรู้ของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต
“วิ้ง”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกว่าจิตเทพสั่นสะท้าน
ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกที่กำลังควบคุมค่ายกลสองขั้วฟ้าอยู่หรืออีกสองร่างที่เหลือ ก็ล้วนแต่สูญเสียสติรับรู้ในชั่วขณะนั้นไป
ร่างแปรของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถึงกับสลายไปในทันใด…
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตส่งร่างแปรลงมาอีกครั้ง เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่ทอดกายอยู่ตรงนั้นด้วยความตื่นตระหนก “ที่แท้แล้วเสวี่ยอิงถูกกระบวนท่าอันใดเข้ากันแน่ แค่คลื่นที่หลงเหลืออยู่เพียงนิดเดียวกลับทำให้ข้าสูญเสียสติรับรู้ไปชั่วขณะได้เลยหรือนี่ หากข้าถูกระลอกคลื่นนั้นปกคลุมไปตลอด เกรงว่าคงจะตกเข้าสู่ห้วงนิทราไปตลอดเลยกระมัง”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง แค่คลื่นที่หลงเหลืออยู่ก็มีอานุภาพน่าเกรงกลัวถึงเพียงนี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกระบวนท่าเข้าเต็มๆ จะต้องน่าหวาดหวั่นมากกว่าอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาท” อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและวิญญาณอาวุธศิลาแดงที่อยู่ด้านข้างต่างพากันมองดูด้วยความวิตก
“ยุ่งยากมากทีเดียว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตขมวดคิ้ว หว่างคิ้วถึงกับแฝงแววดุร้ายเอาไว้ “ข้าจะลองดูว่าผู้อื่นพอมีวิธีหรือไม่”
ไม่นานนัก
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เรียกตัวอีกหลายคนที่เป็นไปได้ว่าอาจจะช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงได้มา ก็คือผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ประมุขหยวนชูและผางอี!
ตัวผางอีเองบุกเบิกเคล็ดการบำเพ็ญใหม่ซึ่งไม่เหมือนใครขึ้นมา มีผลสำเร็จทางด้านวิญญาณลึกล้ำยิ่งนัก ประมุขหยวนชูเป็นผู้ปกครองที่เก่าแก่ที่สุด มีกลเม็ดเป็นรองเพียงจักรพรรดิเทพเท่านั้น ส่วน ‘ผู้ปกครองนรกโลกันตร์’ ก็เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน นรกโลกันตร์เวียนว่ายที่ ‘ผู้บัญชาการใหญ่แห่งนรกโลกันตร์’ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสำแดงออกมาก็คือสิ่งที่ผู้ปกครองถ่ายทอดให้
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผางอี ประมุขหยวนชูและผู้ปกครองนรกโลกันตร์ พวกเขาทั้งสี่น่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งทางด้านวิญญาณที่สุดสี่คน
“ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอะไรไปน่ะ” ประมุขหยวนชูเข้ามาในห้องแล้วมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งหลับใหลอยู่ตรงนั้นด้วยความตกตะลึง
“อยู่ในโลกวัตถุก็ถูกกระบวนท่าจนตกอยู่ในห้วงนิทราได้ ทีแท้แล้วเขาพบความยุ่งยากอันใดเข้ากันแน่” ผางอีก็ตกใจเช่นกัน
ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ถามว่า “เป็นจักรวาลคีรีมารหรือ”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้าอย่างร้อนรน “เสวี่ยอิงไปยังจักรวาลคีรีมารและไปที่ ‘บรรพคีรีมาร’ ด้วย เพื่อนำบัญชีหมื่นสรรพสิ่งกลับมาให้ข้า…ความเป็นมาของบรรพคีรีมารนั้นไม่ธรรมดา เพราะเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นผู้สร้างจักรวาลคีรีมารทิ้งเอาไว้ ตอนนี้เสวี่ยอิงตกอยู่ในห้วงนิทรา หากมิใช่เพราะเทพอากาศทั้งสามลงมือ ก็ต้องเป็นอันตรายที่บรรพชนเทพมารทิ้งเอาไว้ เฮ้อ หากรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าก็ไม่ควรให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเลย”
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกผิดอยู่บ้าง
เขาได้รับประโยชน์อันใหญ่หลวงอย่างบัญชีหมื่นสรรพสิ่งมา แต่ศิษย์กลับต้องตกอยู่ในห้วงนิทรา จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้
“พวกเราลองดูหน่อยดีกว่า” พวกผางอีทั้งสามคนลองตรวจสอบต่อเนื่องกัน เมื่อตรวจดูพวกเขาก็ล้วนตื่นตระหนกกับความแข็งแกร่งของร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ปกครองในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ทั้งยังเชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง แต่ละคนจึงสามารถตรวจสอบวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ทั้งสิ้น
แต่ทว่า…
พวกเขาแต่ละคนเพิ่งจะตรวจสอบวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ถูกระลอกอันไร้รูปร่างแผ่ออกมาใส่ ร่างจริงและร่างแยกล้วนแต่สูญเสียสติรับรู้ไปชั่วขณะ ร่างแปรล้วนสลายหายไป เมื่อรวมร่างแปรขึ้นมาใหม่แล้ว พวกเขาก็ลองดูอีกหลายครั้งอย่างไม่ยอมจำนน ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงยอมรับว่า…พวกเขามิอาจปลุกตงป๋อเสวี่ยอิงให้ตื่นขึ้นได้
“นี่มันเกินกว่าระดับขั้นของพวกเราไปมากโขแล้ว พวกเรามิอาจปลุกเขาให้ตื่นได้” ผู้ปกครองนรกโลกันตร์พูดเสียงเรียบ “ขึ้นอยู่กับโชคของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วล่ะ”
“แม้แต่คลื่นที่หลงเหลืออยู่เพียงนิดเดียวพวกเราก็มิอาจรับได้ไหว แล้วจะช่วยได้อย่างไรเล่า” ผางอีก็ส่ายหน้า
“ขึ้นอยู่กับโชคของเขาแล้ว” ประมุขหยวนชูกล่าว
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเงียบงัน พลางมองดูศิษย์ที่ทอดกายอยู่บนเตียง ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจออกมา
มิอาจปลุกให้ตื่นได้
จะเป็นหรือตายก็ยากทำนาย! ภายใต้สถานการณ์ที่ตกอยู่ในห้วงนิทรา ความเป็นความตายก็ต้องปล่อยให้ผู้อื่นควบคุมแล้ว
“อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยา ทิ้งร่างของเสวี่ยอิงไว้ที่นี่ อย่าพาออกไปนอกโลกวัตถุเป็นอันขาด หากพวกเจ้ามีเรื่องอันใดก็สามารถเรียกหาข้าได้โดยตรง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดประโยคหนึ่งแล้วร่างก็สลายไปทันที ผู้ปกครองอีกสามท่านส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วพากันจากไป
อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาซึ่งเดิมทียังพอมีความหวังต่างก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา บรรดาผู้ปกครองยังมิอาจช่วยได้ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า
“ท่านแม่” ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยามองไปทางอวี๋จิ้งชิว
อวี๋จิ้งชิวก็หนักใจ แต่นางก็ยังคงเอ่ยว่า “พวกเรารอก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวท่านพ่อของพวกเจ้าอาจจะตื่นขึ้นมาเองก็เป็นได้”
“ใช่” สองพี่น้องก็รอคอยเช่นกัน
……
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…พวกอวี๋จิ้งชิวก็รอคอยอยู่
หนึ่งปี สองปี สามปี สิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี…
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับตกอยู่ในห้วงนิทราอยู่ตลอด
ภาคที่ 24 ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด
ตอนที่ 22
สงครามเริ่มต้นขึ้นแล้ว (ตอนสุดท้าย)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ โลกเผ่าเซี่ย โลกภูผาศิลาแดง บนเกาะธุลีแดง
อวี๋จิ้งชิวกำลังนั่งพลิกตำราเล่มหนึ่งดูอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง นางมองดูชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวที่เอนกายอยู่บนเตียงเป็นระยะๆ
แปดหมื่นสองพันปีแล้ว
หลับใหลมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ อวี๋จิ้งชิวก็เคยชินเสียแล้ว นางเชื่อมั่นเพียงแค่ว่า “เสวี่ยอิงเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วตัวมิได้ตายในระยะเวลาอันสั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามิได้มีอันตรายถึงชีวิต เขาจะต้องฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน” แต่นางก็เข้าใจดีว่านี่คือความปรารถนาของนางแต่เพียงฝ่ายเดียว ถึงอย่างไรก็ย่อมมิอาจคาดเดาได้เลยว่าแท้จริงแล้วที่ ‘บรรพคีรีมาร’ แห่งจักรวาลคีรีมารอันไกลโพ้นนั้น สามีของตนจะต้องเผชิญกับสิ่งใด
“น้องหญิง” บุรุษผมแดงผิวแดงผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกเรือน เขาก็คือผู้เคารพหั่วเฉิง นี่คือร่างแปรร่างหนึ่งที่เขาสร้างขึ้น เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกัน ทัั้งยังเป็นอาจารย์ของตงป๋อชิงเหยา ในช่วงนี้ร่างแปรของเขาล้วนเก็บตัวอยู่ที่เกาะธุลีแดง
อวี๋จิ้งชิวยืดกายขึ้น “พี่ใหญ่หั่วเฉิง”
“เจ้านั่งเถิด ข้าเพียงแค่มาดูน้องชายข้าสักหน่อยเท่านั้น” ผู้เคารพหั่วเฉิงเดินไปด้านข้างแล้วนั่งลงมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในห้วงนิทรา บุคคลผู้เลิศเลอเช่นนี้… ในยุคจักรวาลนี้ ผู้ที่สามารถบุกเบิกเส้นทางเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นได้ ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น ระดับความร้ายกาจของตงป๋อเสวี่ยอิงเหนือกว่าประมุขแคว้นภูเขาไม้ไผ่อยู่มากนัก เขามีอนาคตที่สดใส แต่ตอนนี้กลับมาหลับใหลนิทราอยู่ที่นี่เสียได้…
“น้องตงป๋อ เจ้าหนอเจ้า ข้าได้ยินมาว่าโดยทั่วไปผู้ที่ได้เข้าไปในจักรวาลอื่นล้วนแต่ได้อะไรมาบ้าง ทุกคนล้วนระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวงถึงเพียงนี้มาก่อน” ผู้เคารพหั่วเฉิงหันศีรษะไปด้านข้างแล้วยกไหสุรากรอกลงไปในปาก เขาดื่มลงไปอึกหนึ่งแล้วจึงพึมพำว่า “เจ้าฟื้นให้เร็วสักหน่อยเถิด ไม่รู้เลยว่าสงครามกับลัทธิจอมมารดาจะปะทุขึ้นเมื่อใด หรือว่าเจ้าคิดจะหลับใหลไปตลอดทั้งช่วงเวลาสงครามเลยเล่า ถ้าหากเจ้าทำเช่นนี้จริง พอฟื้นขึ้นมา สงครามสิ้นสุดแล้ว เกรงว่าบรรดาผู้เคารพของจักรวาลผู้บำเพ็ญของพวกเราคงจะเคารพเจ้ากันหมด ตอนนั้นพวกเรากับเหล่าผู้เคารพของลัทธิจอมมารดาต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ต่อให้พวกเรามิได้ร่วมรบในสงครามครั้งสุดท้าย แต่การหลับใหลไปตลอดก็ดูจะไม่สนใจสงครามเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
ผู้เคารพหั่วเฉิงพูดไปเรื่อยเปื่อย
ตอนนั้นเขาถูกกักขังอยู่ในช่วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดของคูหาสวรรค์ทำลายล้าง จึงมีความคุ้นเคยกับการพูดคนเดียวเสียแล้ว
อวี๋จิ้งชิวนั่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น…
สีหน้าของพวกเขาทั้งสองล้วนแปรเปลี่ยน ผู้เคารพหั่วเฉิงพูดไปครึ่งหนึ่งก็หยุดลง
“สงครามเริ่มขึ้นแล้วหรือ” อวี๋จิ้งชิวตกตะลึงอยู่บ้าง
“เริ่มแล้ว!” ผู้เคารพหั่วเฉิงพูดอย่างเคร่งเครียด
พวกเขาต่างก็ได้รับแจ้งว่าให้อพยพไปที่โบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบให้หมด! ผางอีคือแม่ทัพของกองทัพทำลายล้างแห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ สามารถพาทุกคนเคลื่อนย้ายเข้าไปภายในเกาะใจกลางทะเลสาบได้ ไม่จำเป็นต้องบินผ่านผืนน้ำรอบนอกของเกาะใจกลางทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาลไปอย่างช้าๆ
ทั้งอวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ และตงป๋อชิงเหยาล้วนได้รับการแจ้งข่าว…
……
ทั่วทั้งโลกเทพหุบเหวลึกต่างก็เริ่มต้นการอพยพใหญ่อย่างรวดเร็ว ที่โบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบก็ปลอดภัยยิ่งนักด้วยมีผางอีคอยช่วยเหลือ ส่วนคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าที่ให้ทุกคนพักอาศัยกันชั่วคราวนั้นก็เป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมอบให้!
ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลเข้าร่วมในการอพยพ
สำคัญมากก็อพยพก่อน ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ อพยพตามกันไป
สงครามระหว่างเหล่าผู้ปกครองกับลัทธิจอมมารดาก็ปะทุขึ้นเช่นกัน! ภูมิหลังที่สั่งสมมาของกลุ่มชาติพันธุ์จักรวาลอันยิ่งใหญ่ทั้งสองล้วนแสดงออกมาในชั่วขณะนี้ พวกเขาต่างก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว
******
หลังจากที่สงครามปะทุขึ้นแล้ว จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่แต่ก่อนมาดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ่อยๆ ก็ย่อมไม่มีเวลามาหาอีกต่อไปแล้ว
โลกเทพและหุบเหวลึกถูกทำลายจนย่อยยับไปนานแล้ว…
ส่วนโลกวัตถุยังปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
บนเกาะธุลีแดงแห่งโลกภูผาศิลาแดงยังคงเงียบสงบยิ่งนัก ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะสู้กันรุนแรงยิ่งกว่านี้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อที่นี่เลยแม้แต่น้อย
“สู้กันอย่างบ้าคลั่งเกินไปแล้ว ได้ยินว่ามีแดนดาราแห่งหนึ่งที่กลายเป็นดินแดนว่างเปล่าไปเสียเกือบครึ่งแล้ว เฮ้อ โลกเทพหุบเหวลึกมีวิญญาณมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน จะสามารถอพยพเข้ามาในโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบได้สักเท่าใดกันเชียว” สองพี่น้องตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้พูดไปพลางทอดถอนใจไปพลาง ถอนใจให้กับชีวิตมากมายที่ตายตกตามกันไป สิ่งมีชีวิตของโลกวัตถุยังนับว่าปลอดภัย แต่โลกเทพหุบเหวลึกนั้นประสบภัยอย่างแท้จริง
ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอย่างสุดชีวิต เหล่าผู้ปกครองต่างสู้กันอย่างไม่เสียดายชีวิต จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเคยรบจนตัวตายมิใช่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมา แม้กระทั่งอาศัยความตายของตนเองมาซุ่มโจมตีลัทธิจอมมารดา
การจะยุแหย่ลัทธิจอมมารดานั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย จักรวาลของพวกเขามาถึงจุดล่มสลายแล้ว เห็นได้ชัดว่าได้ประสบมามากมายหลายยุค สมบัติล้ำค่าที่เหลือทิ้งเอาไว้นั้นมีมากยิ่งกว่ามาก! คราวนี้พวกเขาก็มิได้รักษาเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
“อะไรนะ!”
“ที่แท้แล้วผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวเป็นคนทรยศอย่างนั้นหรือ”
“สวรรค์ นี่…นี่มัน…”
การข่าวของตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ผู้เป็นบุตรของตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมดีกว่าผู้อื่น พวกเขาก็เข้าใจในข่าวสงครามทั้งหลาย แต่เมื่อได้ยินว่าแท้จริงแล้วผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวเป็นคนทรยศ ก็ถึงกับตกตะลึงไปเสียแล้ว
……
ข่าวคราวลอยมาข่าวแล้วข่าวเล่า
ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและอวี๋จิ้งชิวต่างก็ได้รับทราบข่าวคราวอยู่ตลอด แต่ญาติสนิทคนสำคัญที่สุดของพวกเขาอย่าง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ กลับยังหลับใหลอยู่บนเตียงเช่นเดิม
******
ณ ชั้นในของบรรพคีรีมารแห่งจักรวาลคีรีมาร
บริเวณด้านในของคูหาหนึ่งในเก้าแห่งที่ล่องลอยอยู่ ประตูคูหาปิดสนิท
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำเอนกายอยู่บนเตียงหิน มีลำแสงหลากสีสายแล้วสายเล่าห่อหุ้มอยู่รอบร่างกายเขา หุ่นเชิดสาวนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ห่างออกไปไม่ไกล รอคอยอย่างเงียบงัน
“เหนื่อยเหลือเกิน”
“ต้องต่อสู้ ต้องบำเพ็ญอยู่ตลอด เมื่อใดจึงจะถึงจุดสิ้นสุดเสียทีเล่า”
“เหนื่อยเกินไปแล้ว”
“ข้าก็เป็นผู้ปกครองแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดเสียที ยังต้องบำเพ็ญ ยังต้องต่อสู้อยู่อีกหรือ”
“ข้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“เหนื่อยเกินไปแล้ว”
สติรับรู้ของคนที่หลับใหลมาเนิ่นนานผู้หนึ่งช่างอิดโรยโดยแท้ อิดโรยอย่างที่สุด เขาผละจากโลกแห่งความฝัน ซึ่งการผละออกอย่างรุนแรงนี้ทำให้สติรับรู้ของเขาค่อยๆไกลห่างออกมาจากอีกโลกหนึ่ง
สติรับรู้ของเขาค่อยๆ ตื่นขึ้น คล้ายกับค่อยๆ ป่ายปีนขึ้นมาจากหุบเหวลึกอันดำมืด ความทรงจำที่เดิมทีมืดบอดก็เริ่มพรั่งพรูขึ้นมาในดวงวิญญาณ
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำที่หลับสนิทอยู่บนเตียงหินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาของเขาสับสนอยู่บ้าง คล้ายว่าพอฟื้นขึ้นมาแล้วช่วงเวลาวัยเยาว์ของเขามีช่วงเวลาหนึ่งที่สูญเสียความทรงจำไป ลืมไปว่าตนเองเป็นใคร แต่ความทรงจำที่เขาประสบมาในห้วงความฝันกับความทรงจำในโลกแห่งความจริงเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน เขาก็ค่อยๆ ตื่นเต็มตาไปพร้อมๆ กับการหลอมรวมของความทรงจำ
“ข้า… คือตงป๋อเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต็มตาแล้วจริงๆ
เขานึกขึ้นมาได้แล้ว
ตนเอาชนะผู้เคารพ ไล่ล่าจนมาถึงชั้นในของบรรพคีรีมาร เดิมทีกำลังบินเหินมาทางคูหาของตน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันไพเราะ พร้อมๆ กับที่ตื่นขึ้นมา…
เข้ามายังโลกแห่งความฝันอย่างนั้นหรือ
“ยินดีด้วยนายท่าน ขอแสดงความยินดีด้วย หกร้อยห้าสิบล้านปี นายท่านบำเพ็ญในห้วงความฝันเป็นครั้งแรกก็เป็นที่หนึ่งในบรรดาผู้เคารพของยุคจักรวาลนี้ นับรวมผู้ปกครอง นายท่านก็จัดเป็นลำดับที่สาม” หุ่นเชิดสาวยืนขึ้นพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้น
……
ภายในโลกคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในดาวเคราะห์อันแห้งแล้งดวงหนึ่งในจักรวาลคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงที่หลับใหลอยู่บนพื้นหญ้า ภายใต้การดูแลของวิญญาณอาวุธ บนร่างก็ไม่มีฝุ่นธุลีจับอยู่เลยแม้แต่น้อย ในขณะนี้เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
……
ณ โลกเผ่าเซี่ย บนเกาะธุลีแดงแห่งโลกภูผาศิลาแดง
ภายในเรือน
อวี๋จิ้งชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ พลิกหนังสือดูอยู่ตามลำพัง พลางเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ เป็นครั้งคราว
บริเวณโดยรอบเงียบสงบยิ่ง ในฐานะที่อวี๋จิ้งชิวเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ มีความไวในการรับสัมผัสต่อสิ่งรอบข้างเป็นอย่างยิ่ง นางถือตำราเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ทันใดนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกไม่อยากเชื่อขึ้นจนต้องหันหน้าไปมอง เห็นเพียงขนตาที่อยู่บนดวงตาที่ปิดสนิททั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวที่เอนกายอยู่บนเตียงด้านข้างสั่นไหวน้อยๆ
“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิววางตำราลงแล้วมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวที่เอนกายอยู่ที่นั่นค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ แววตายังสับสนอยู่บ้าง
“เสวี่ยอิง เสวี่ยอิง…” อวี๋จิ้งชิวตะโกนขึ้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า
แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวค่อยๆกระจ่างขึ้น เขามองหยาดน้ำตาในดวงตาของภรรยาแล้วยื่นมือออกมาช่วยภรรยาปาดน้ำตาเบาๆ “จิ้งชิว คราวนี้ข้าหลับใหลไปนานเหลือเกิน ทำให้เจ้าต้องกังวลใจแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก” อวี๋จิ้งชิวทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปพร้อมกัน
“ใช่แล้ว สงครามกับลัทธิจอมมารดาคงยังไม่เริ่มกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ขาวเอ่ยถาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น