Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาค 24 ตอนที่ 1-15

 ภาค 24-1

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงบินเข้าไปในคูหาดำทะมึนเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าร้อยเมตรที่มีไอหมอกสีเทาม้วนตัวอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังอันอบอุ่นสายหนึ่งที่ลูบไล้ตน เขากระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด “คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลหรือนี่”


 


ตนยังมิได้หลุดพ้น


 


เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลา กฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลจึงคุ้มครองเขาอย่างเต็มที่


 


“ฟิ้ว”


 


เมื่อทะยานไปในคูหานั้น เบื้องหน้าก็ดำทะมึนไปหมด มีแสงสีอันบิดเบี้ยวผ่านมาเป็นครั้งคราว ความรู้สึกกาลมิติบิดเบี้ยวทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงทนรับได้ยากอยู่บ้าง เมื่ออยู่ในทางเชื่อมจักรวาล ความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วหรือช้าก็ถูกบิดเบือนไปด้วยเช่นกัน ชั่วครู่เดียวก็รู้สึกว่ายาวนานมาก แต่ก็เหมือนว่าเวลาอันยาวนานนั้นสั้นมากเช่นเดียวกัน ท่ามกลางความรู้สึกบิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางอันแปลกประหลาดนั้น ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองเห็นแสงสว่างสาดส่องมาจากปลายทางเชื่อมจักรวาล อีกทั้งพละกำลังของกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็เริ่มเข้าปกคลุมตน


 


นี่คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งแตกต่างกับจักรวาลผู้บำเพ็ญโดยสิ้นเชิง!


 


“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง


 


ก่อนออกเดินทาง ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ได้ส่งข้อมูลหนึ่งให้เขา ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเข้าไปยังจักรวาลอีกแห่งอย่างคร่าวๆ


 


“เมื่อเข้าไปในอีกจักรวาลหนึ่ง โดยทั่วไปก็จะถูกผลักไส! ถึงขั้นมิอาจดูดซับพละกำลังฟ้าดินได้ และมีจักรวาลบางแห่งที่ผลักไสผู้มาจากภายนอกสุดขีด ถึงขั้นดึงดูดสิ่งมีชีวิตในจักรวาลท้องถิ่นให้มาล้อมโจมตีผู้บุกรุก! ฟังจากที่ ‘กู่กานหลัว’ ผู้นั้นพูด จักรวาลลัทธิจอมมารดาก็ผลักไสผู้มาจากภายนอกถึงขีดสุด เมื่อพวกเขายึดครองจักรวาลของเรา พวกเราไม่ใช่แค่มิอาจดูดซับพละกำลังได้แม้แต่สายเดียวเท่านั้น แต่อาจถึงขั้นไม่มีที่ให้หลบหนี และถูกล้อมสังหารอย่างไม่หยุดไม่หย่อนได้!”


 


“ตามข้อมูลที่ข้าเก็บรวบรวมมา จักรวาลที่ผลักไสถึงขีดสุดนั้นมีน้อยนัก โดยทั่วไปล้วนเป็นการผลักไสอย่างง่ายๆ แค่มิอาดูดซับพลังฟ้าดินได้ก็เท่านั้นเอง ตามตำนานยังมีจักรวาลที่ไม่ผลักไสผู้มาจากภายนอกเสียด้วยซ้ำ”


 


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตให้ข้อมูลมาไม่มากนัก และตงป๋อเสวี่ยอิงก็จดจำเอาไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ


 


“จักรวาลนี้หรือ”


 


เพียงแค่รู้สึกว่ากฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลอีกแห่งหนึ่งเข้าปกคลุมตน แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงการประนีประนอมอันไร้รูปร่าง! ไร้ซึ่งการผลักไสใดๆ!


 


“ข้ายังนำผลึกเทพจำนวนมากมาด้วย ก็เพราะกลัวว่าจะมิอาจดูดซับพลังฟ้าดินได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดรำพึงออกมามิได้ “เห็นทีตอนนี้ จักรวาลที่ข้ามาถึงแห่งนี้จะประนีประนอมกับผู้มาจากภายนอกมากทีเดียว!”


 


ต่อให้มิอาจดูดซับได้จริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กังวล เพราะนอกจากผลึกเทพจำนวนมากแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือตอนนี้เขาอาศัยวิชาลับผู้ท่องและการรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นหลัก เมื่อฝึกวิชาลับผู้ท่องจะต้องเหนี่ยวนำพลังอากาศอันสับสนอลหม่านให้แผ่คลุมลงมาแล้วดูดซับเพื่อหลอมแปร ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลไหน ก็ล้วนสามารถเหนี่ยวนำพลังอากาศอันสับสนอลหม่านได้ด้วยกันทั้งนั้น


 


มันมิได้จัดเป็นพละกำลังในจักรวาลแต่อย่างใด


 


“ฟิ้ว”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงบินออกจากปากคูหาอันดำทะมึน เป็นครั้งแรกที่เขามาถึงจักรวาลอื่น จึงย่อมต้องเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดเป็นธรรมดา และยังหลบซ่อนอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมอีกด้วย


 


หากพูดถึงเรื่องการเก็บงำกลิ่นอาย ผู้ท่องอากาศก็เชี่ยวชาญโดยกำเนิดอยู่แล้ว ร่างกายพลันไม่มีกลิ่นอายสักนิดราวกับอากาศอันว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น! มันเก็บงำกลิ่นอายได้ร้ายกาจกว่าอาภรณ์ประมุขหอคมมีดโลหิตเสียอีก


 


“มีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบสิ่งมีชีวิตอื่นเข้า


 


……


 


 


นี่คือท้องฟ้าผืนหนึ่ง


 


บนดวงดาราอันรกร้างกลางท้องฟ้าดวงหนึ่งมีวังแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ภายในวังมีบุรุษร่างใหญ่กำยำกำลังร่ำสุราอยู่เพียงลำพัง สายตากลับทอดมองออกไปยังคูหาสีดำทะมึนซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงร้อยเมตรอันค่อนข้างเร้นลับที่อยู่ไกลออกไป บนร่างของบุรุษร่างใหญ่กำยำผู้นี้มีแผงเกล็ดสีดำ บนข้อศอกและหัวเข่าล้วนมีปลายแหลมอยู่


 


ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเข้ม บนศีรษะก็เป็นแผงเกล็ดสีดำทั้งสิ้น ด้านข้างมีสาวใช้หางยาวนางหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ ระหว่างนั้น เขากลับดื่มสุราเพียงลำพังและเฝ้าดูทางเชื่อมจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปสายนั้นอย่างเงียบเชียบ


 


“ทางเชื่อมจักรวาลสายนี้เพิ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นานเท่าใดนัก เป็นทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็กสายหนึ่ง อีกไม่นานควรจะมีสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกเข้ามาจึงจะถูกต้อง” บุรุษร่างบึกบึนสวมเกราะสีดำพึมพำเสียงต่ำ “หรือทางฝั่งพวกเขายังไม่พบทางเชื่อมจักรวาลเลย”


 


“รอไปก่อน”


 


“ทางเชื่อมจักรวาลสายนี้ปรากฏขึ้นในบริเวณดินแดนของข้า ถูกข้าพบเข้าก่อน และก็ถือเป็นโชคของข้าด้วย หากสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกค่อนข้างพิเศษ อาจจะขายได้ราคางามก็เป็นได้” บุรุษร่างบึกบึนสวมเกราะสีดำรอคอยอย่างเงียบๆ ด้วยความอดทน


 


……


 


“เอ๊ะ”


 


ท่ามกลางฟ้าดินโลกเทียม


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นดวงดาราอันรกร้างที่อยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปดวงนั้น แม้วังบนดวงดารานั้นจะเหมือนกับซ่อนเร้นอยู่ แต่ภายใต้การตรวจสอบของ ‘ฟ้าดินโลกเทียม’ ก็ย่อมหลบไม่พ้น ภายใต้การสัมผัสอากาศของเขาในตอนนี้ก็หลบไม่พ้นเช่นกัน! ภายในวังแห่งนั้นนอกจากบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งที่มีระดับขั้นราวขั้นเทพและขั้นเทพโลกาแล้ว ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นเทพแท้ผู้หนึ่ง


 


“เทพแท้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


อีกฝ่ายคงจะไม่เห็นตน! คาดว่าระดับขั้นคงจะต่ำกว่าตนเอง


 


“ไม่รู้ว่าด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเขาเป็นอย่างไรบ้าง จะสามารถต้านทานเขตลวงของข้าได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าลงมือง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง ตนคือผู้บุกรุก! ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย ตนต้องระมัดระวัง จะทำอะไรบุ่มบ่ามมิได้


 


“อะไรน่ะ!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งขึ้นมาทันที


 


เขามิได้สนใจเทพแท้ที่รอล่าเหยื่ออยู่กลางฟากฟ้าไกลออกไปคนนั้นแล้ว ยามนี้ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีคลื่นมหึมาสูงเทียมฟ้าก่อตัวขึ้นมา เขาตกตะลึงหาใดเปรียบ!


 


“นี่ นี่ นี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “การเคลื่อนที่ของเวลาในจักรวาลนี้…”


 


เขาสามารถสัมผัสร่างจริงของตนได้โดยผ่านการเชื่อมต่อของวิญญาณ


 


เมื่อเทียบความเร็วในการเคลื่อนของเวลาระหว่างร่างจริงที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดกับจักรวาลที่ตนอยู่ในตอนนี้แล้ว…


 


“3566 เท่าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ


 


“จักรวาลบ้านเกิดผ่านไปวันหนึ่ง ที่นี่ก็ผ่านไปเกือบสิบปีแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดความเร็วในการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลจึงแตกต่างการได้อย่างน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้เล่า


 


“วิญญาณอาวุธ วิญญาณอาวุธ”


 


ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวที่อยู่ในจักรวาลบ้านเกิดถามน้ำเต้าสีดำทันที


 


“วิญญาณอาวุธ การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลสองแห่งแตกต่างกันได้มากเลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


 


วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำเคยติดตามผู้ท่องอากาศกู่ฉีมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงมีหูตากว้างไกลกว่ามาก “จักรวาลสองแห่งอาจแตกต่างกันได้อย่างน่าเหลือเชื่อนัก ถึงขั้นกฎเกณฑ์การหมุนเวียนกลับกันอย่างสิ้นเชิงก็เป็นไปได้ ทว่าความเร็วในการเคลื่อนของเวลาน่ะหรือ…เนื่องจากจักรวาลทั้งหมดล้วนดำรงอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ดังนั้นพวกมันจึงได้รับผลกระทบจากอากาศอันสับสนอลหม่านทั้งสิ้น โดยทั่วไปการเคลื่อนของเวลาจึงแตกต่างกันไม่มากนัก จักรวาลบ้านเกิดของพวกท่านจัดว่าการเคลื่อนของเวลาค่อนข้างปกติ! การเคลื่อนของเวลาของจักรวาลอื่นโดยทั่วไปจะแตกต่างจากจักรวาลของพวกท่านไม่เกินสิบเท่า บางแห่งเร็วกว่า บางแห่งก็ช้ากว่าบ้าง”


 


“ไม่เกินสิบเท่าหรือ แต่ แต่จักรวาลที่ข้าเข้าไปนี้ การเคลื่อนของเวลาเร็วกว่าจักรวาลของเราตั้ง 3566 เท่าเชียวนะ!”


 


“อะไรนะ สามพันกว่าเท่าหรือ นี่…”


 


“ทำไมหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามต่อ


 


“จักรวาลบางแห่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน บางแห่งก็สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่น! ผู้ที่สามารถสร้างจักรวาลขึ้นมาได้ โดยทั่วไปก็ต้องเป็นบุคคลระดับยอดอย่างบรรพชนเทียนอวี๋หรือผู้ท่องอากาศกู่ฉีเท่านั้น” วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำอธิบาย “หากเป็นจักรวาลที่ตั้งใจสร้างขึ้นมา จักรวาลจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้สร้างจะกำหนดขึ้นมาอย่างไรทั้งสิ้น! แต่จะทำให้จักรวาลแห่งหนึ่งคงอยู่ได้โดยมีการเคลื่อนของเวลารวดเร็วเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากและน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากเลยทีเดียว”


 


วิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำพูดต่อไป “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สามารถมั่นใจได้ว่าจักรวาลที่ท่านเจ้าไปแห่งนี้ ก็สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ท่านหนึ่งเช่นกัน! และเขาก็ตั้งใจให้การเคลื่อนของเวลาเป็นเช่นนี้”


 


“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ


 


……


 


หลังจากรู้ข้อมูลจากวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระมัดระวังมากขึ้น สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับบรรพชนเทียนอวี๋และกู่ฉีสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมา ทั้งยังตั้งใจทุ่มเทเพื่อให้จักรวาลแห่งนี้มีการเคลื่อนของเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ด้วย จักรวาลแห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่! ตนถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า


 


แน่นอนว่า เมื่อเขาได้รูว่าการเคลื่อนของเวลาเร็วกว่าถึงสามพันกว่าเท่าเขาก็ปีติยินดีเป็นอันมาก ลำพังแค่การเคลื่อนของเวลาเป็นเช่นนี้ การมายังจักรวาลนี้ก็มิได้เสียเปล่าแล้ว! ตนสามารถใช้การเคลื่อนของเวลาเช่นนี้ฝึกฝนได้เป็นอย่างดี เดิมทีสงครามระหว่างลัทธิจอมมารดาและผู้บำเพ็ญก็ใกล้จะมาถึงมากแล้ว แต่อาศัยการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลนี้ ตนก็คงสามารถยกระดับพลังได้ขุมใหญ่เลยทีเดียว


 


“รีบหาผู้ที่พลังอ่อนแอสักหน่อย แล้วใช้เขตลวงควบคุมอีกฝ่าย เพื่อให้เข้าใจสภาพคร่าวๆ ของจักรวาลแห่งนี้เสียก่อน”


 


สวบ


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


ส่วนบุรุษร่างกำยำที่มีเกล็ดสีดำผู้อยู่ในวังบนดวงดาราอันเวิ้งว้างนั้นก็ยังคงจับจ้องอย่างเงียบเชียบต่อไป เขารอล่าเหยื่ออยู่ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตงป๋อเสวี่ยอิงได้จากไปตั้งนานแล้ว


2 ระบบการบำเพ็ญสายเลือด

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พบดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง เขาถึงขั้นพลิกความทรงจำของขั้นเทพคนหนึ่งมาดู! ด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว การพลิกความทรงจำของขั้นเทพมาดูนั้น สามารถทำได้โดยไม่ทำร้ายอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และอีกฝ่ายก็มิอาจจับได้ด้วย


“สวบ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้า ก็มองเห็นดวงดาราอันใหญ่โตแห่งหนึ่งไกลออกไป


“ที่แท้แล้วจักรวาลแห่งนี้มันอะไรกันแน่หนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกความทรงจำดูแล้วกลับสงสัยมากยิ่งขึ้น


“บนดวงดาราแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตที่มีระดับขั้นราวเทพโลกาสวรรค์สามชั้นอยู่คนหนึ่ง เขามีพลังสูงส่งกว่า จึงน่าจะรู้อะไรมากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงดาราอันใหญ่โตตรงหน้า ดวงดารานี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบล้านลี้ ในบรรดาดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนก็นับว่าใหญ่แล้ว ด้านบนมีกลุ่มวังที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน ทั้งยังมีสิ่งมีชีวิตชาวเผ่าของจักรวาลแห่งนี้อยู่ด้วย


“มีชาวเผ่าทั้งหมดราวหมื่นคนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ


ก่อนหน้านี้เขาก็พบดวงดาราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย ชาวเผ่าท้องถิ่นของจักรวาลก็มีจำนวนน้อยมาก ที่น้อยก็น้อยเสียจนมีแค่ไม่กี่สิบคน ที่มากหน่อยก็แค่หลายร้อยคนเท่านั้น


ดวงดาราที่นับว่าใหญ่โตตรงหน้านี้ มีสิ่งมีชีวิตระดับเทพโลกาสวรรค์สามชั้นอยู่ ชาวเผ่าที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็แค่กว่าหมื่นคนเท่านั้น!


ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่ง…


ก็คือทารกที่เพิ่งจะกำเนิดขึ้นมา ล้วนเป็นชีวิตเหนือธรรมดาทั้งสิ้น!


“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเข้าไปในดวงดาราแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ


……


บนดวงดาราแห่งนี้ มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมเพียงกางเกงชั้นในบินเหินไปด้วยความเร็วสูง พวกเขาบ้างก็ทะเลาะกันวุ่นวายอยู่กลางอากาศ บ้างก็หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า


“ปัง” เด็กคนหนึ่งในจำนวนนั้นเตะเด็กอีกคนหนึ่งจนกระเด็นลอยไปสิบกว่าลี้แล้วยังตะโกนขึ้นว่า “ฮ่าฮ่า กินข้าวไม่อิ่มใช่หรือไม่ จึงไม่มีแรงเลยสักนิด”


แต่ในขณะนั้นเอง เด็กอีกคนหนึ่งด้านข้างก็เข้ามาลอบโจมตีดั่งสายฟ้าแลบ


เด็กหลายคนตีกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนพลิกหมุนโจนทะยานอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า หากเหนือธรรมดาขั้นกึ่งเทพในโลกเผ่าเซี่ยเข้ามา เกรงว่าคงจะถูกเด็กเหล่านี้เหยียบย่ำ


และในยามนี้เอง…


บุรุษเกล็ดสีเขียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแห่งนี้กำลังพูดคุยกับชายชราเกล็ดสีเขียว หน้าตาของพวกเขาละม้ายคล้ายกัน พวกเขาต่างก็มีเกล็ดสีเขียว ด้านหลังมีหนามแหลมมากมาย ดวงตาเป็นสีทอง


“พี่รอง” ชายชราเกล็ดสีเขียวพูดเสียงต่ำ อีกไม่นานเท่าใดข้าก็จะตายจากไปแล้ว ที่มาพบพี่รองในครั้งนี้ ด้วยหวังว่าท่านจะช่วยดูแลเด็กๆ ทั้งหลายในตระกูลของข้าด้วย”


“น้องชาย หากยังไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย สายเลือดของเจ้าก็สามารถตื่นรู้ขึ้นมาได้อีกครั้งตลอดเวลา” บุรุษเกล็ดสีเขียวเอ่ย “พี่น้องของข้าเหลือเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น อย่ายอมแพ้ง่ายๆ สิ”


“ข้ารู้ ร่างกายของข้าชรามากแล้ว…” พูดยังไม่ทันขาดคำ


ทันใดนั้น


เขตลวงอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุม


บุรุษเกล็ดสีเขียวและชายชราต่างก็ตกเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที แล้วชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามา นั่นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง เขาเดินเข้าไปถึงข้างกายบุรุษเกล็ดสีเขียวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “บอกข้าสิว่า สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลแห่งนี้คือผู้ใด! อย่าเอ่ยนามของพวกเขาออกมาให้พวกเขารู้ตัวล่ะ”


“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือจักรพรรดิทั้งสาม!” บุรุษเกล็ดสีเขียวพูดขมุบขมิบราวกับกำลังท่องมนตร์


“จักรพรรดิหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาพลิกดูความทรงจำของขั้นเทพ ก็รู้จักเทพแท้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น


“จักรพรรดิเป็นเทพแท้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คือพละกำลังระดับยอดสุดของจักรวาลแห่งนี้อยู่ในขอบเขตเทพแท้หรือไม่


“จักรพรรดิเหนือกว่าเทพแท้เสียอีก!” บุรุษเกล็ดสีเขียวพูดต่อไป


หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงหดเกร็ง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง แล้วสอบถามต่อไป


******


ณ ดวงดาราอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปในจักรวาลแห่งนี้ เป็นดวงดาราที่งดงามนุ่มนวลอย่างยิ่งดวงหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ซึ่งก็คือบุรุษผู้มีเกล็ดสีเขียวทั่วร่างซึ่งมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ แม้เขาจะสวมเกราะสีเงินเรียบง่าย แต่เกล็ดเหนือผิวหนังของแขนทั้งสองที่โผล่ออกมาก็มีลวดลายแปลกประหลาดอยู่ นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา


“เหตุใดสภาพสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังของข้าจึงแปลกประหลาดเช่นนี้เล่า” บุรุษเกราะสีเงินผู้นี้โบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีเรือรบรูปทรงกระแสน้ำปรากฏขึ้นมา เขาก้าวเข้าไปในเรือรบ


แคว่กกก…


เรือรบแหวกทางเชื่อมกาลมิติสายหนึ่งขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงยิ่ง


……


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ก็ยังคงสอบถามข้อมูลเรื่องแล้วเรื่องเล่าต่อไป ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเขาก็ยิ่งตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตที่มีระดับขั้นราวเทพโลกาสวรรค์สามชั้นผู้นี้พอจะเข้าใจจักรวาลแห่งนี้อยู่บ้าง


“ที่แท้แล้ว ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว


จักรวาลแห่งนี้อาศัยการตื่นรู้ของสายเลือดเพื่อยกระดับพลัง


คล้ายคลึงกับ ‘สายเลือดโบราณกาลตื่นรู้’ ของโลกเผ่าเซี่ยอยู่บ้าง เมื่อผ่านการวิวัฒน์เป็นเวลานานแสนนาน สิ่งมีชีวิตทั่วไประดับฐานรากของจักรวาลแห่งนี้ล้วนมีสายเลือดของระดับยอดสุดแฝงอยู่แทบทั้งสิ้น! ดังนั้นจึงมีความสามารถในการตื่นรู้จนถึงระดับที่สูงยิ่งซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น…ซึ่งในจำนวนนั้นบิดาจะแข็งแกร่งที่สุด โดยทั่วไปบุตรชายบุตรสาวรุ่นที่สองก็จะมีสายเลือดเข้มข้นมาก จึงแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน รุ่นที่สามรุ่นที่สี่…ก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ


ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมากคนหนึ่งสามารถสร้างตระกูลทียอดเยี่ยมขึ้นมาได้!


จักรวาลแห่งนี้สร้างขุมอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยตระกูล


ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสาม!


รองลงมาก็คือตระกูลระดับอ๋อง!


ถัดมาอีกก็คือตระกูลเทพแท้! ต่ำลงไปอีกน่ะหรือ ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว


ตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสาม เนื่องจากตระกูลทั้งสามต่างก็มีจักรพรรดิอยู่องค์หนึ่ง! จักรพรรดินั้น…เหนือกว่าผู้ปกครองเสียอีก ถึงขั้นบรรลุขอบเขตของเทพแท้ไปแล้ว บรรลุถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้น จากข้อมูลจำนวนมากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มาจากการถ่ายทอดของผู้ท่องอากาศ สูงกว่าเทพแท้อีกขั้นหนึ่ง…ก็คือเทพอากาศ! นี่คือคำที่ใช้เรียกขานกันโดยทั่วไป เนื่องจากเมื่อมาถึงระดับนี้แล้ว กายหยาบก็สามารถท่องไปท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านได้


เทพอากาศทั้งสาม!


สิ่งมีชีวิตระดับอ๋องก็คือเทพแท้ระดับผู้ปกครอง จำนวนคงจะมีมากทีเดียว


ตระกูลเทพแท้…ล้วนแต่มีเทพแท้อยู่ จำนวนของเทพแท้ก็คงจะมีนับหมื่น


“สวรรค์”


“พลังโดยรวมของจักรวาลนี้แข็งแกร่งกว่าจักรวาลของพวกเราหลายสิบเท่าจนเกือบจนร้อยเท่าแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน จักรวาลของตนไม่มีเทพอากาศเลยสักท่านเดียว แต่ที่นี่กลับมีถึงสามท่าน!


พวกเขาฝึกฝนน้อยมาก แต่กลับชอบการต่อสู้มากกว่า!


ระหว่างการต่อสู้ สายเลือดของพวกเขาก็จะสามารถตื่นรู้ได้ง่ายขึ้น ทุกครั้งที่สายเลือดตื่นรู้ พลังก็จะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้บอกสิ่งเหล่านี้กับวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำ เพื่อถามความคิดเห็นของเขา


“ระบบการบำเพ็ญสายเลือดหรือ”


วิญญาณอาวุธตกตะลึงไป “จักรวาลที่มีระบบเช่นนี้ เบื้องหลังต้องยิ่งใหญ่มาก รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย”


“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย


“สายเลือดจะตื่นรู้ได้นั้นยากนัก” วิญญาณอาวุธกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ใช่แล้ว ตอนนั้นกว่าสายเลือดโบราณกาลของตนจะตื่นรู้ ก็ต้องสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ของจักรวาลแห่งนี้ก็เป็นเพียงระดับเหนือธรรมดาเท่านั้น แม้จะมีผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นเทพแท้ได้กว่าหมื่นคน แต่เมื่อเทียบกับทั้งจักรวาลที่มีจำนวนนับล้านๆ คนแล้วก็ยังคงมีสัดส่วนน้อยมาก ต้องรู้ไว้ว่าสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญก็มีหลายร้อยคนเช่นกัน


“แต่สายเลือดก็ต้องมีต้นกำเนิด” วิญญาณอาวุธกล่าว “หากสายเลือดต้นกำเนิดร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง สายเลือดของชนรุ่นหลังจึงจะมีหวังตื่นรู้ เหมือนกับที่โลกเผ่าเซี่ยของพวกท่านเคยมีสิ่งมีชีวิตโบราณกาลถือกำเนิดขึ้นมา เนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตโบราณกาลอยู่ จึงมีสายเลือดโบราณกาลเกิดขึ้น!”


“และผู้ที่สามารถทำให้สายเลือดกลายเป็นระบบการบำเพ็ญของทั้งจักรวาล และถึงขั้นทำให้มีเทพอากาศถือกำเนิดขึ้นได้…ต้นกำเนิดของสายเลือดนี้ จะต้องเป็นสายเลือดที่น่าหวาดหวั่นมากอย่างแน่นอน” วิญญาณอาวุธเอ่ย “ที่ข้าสงสัยก็คือ บรรพชนของพวกเขาคือผู้สร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมา”


“ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลแห่งนี้จึงมีเบื้องหลังอันแกร่งกล้ายิ่งนัก เบื้องหลังพวกเขาก็คือบรรพชนของพวกเขานั่นเอง! ส่วนที่การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลนี้คงอยู่ที่ความเร็วสามพันกว่าเท่า ก็คงเป็นเพราะบรรพชนของพวกเขา…หวังว่าจะมีให้กำเนิดทายาทที่แข็งแกร่งจำนวนมากยิ่งขึ้น” วิญญาณอาวุธเอ่ย


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า


ระบบการบำเพ็ญสายเลือด…


เช่นสายเลือดของเขา คนรุ่นหลังก็ค่อนข้างเยี่ยมยอด แต่ก็ก่อให้เกิดชนเผ่าหนึ่งและสร้างระบบการบำเพ็ญสายเลือดอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาในจักรวาลได้ยากมาก


แต่ ‘บรรพชน’ ของชนเผ่าในจักรวาลนี้กลับสามารถทำได้!


“หากเทียบระบบการบำเพ็ญสายเลือดกับระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของพวกท่านแล้ว ก็สามารถบรรลุได้ง่ายกว่าอยู่บ้าง แต่ระบบเช่นนี้มีข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง นั้นก็คือบรรลุถึงระดับบรรพชนได้ยากนัก” วิญญาณอาวุธอธิบาย “ทว่าตามมุมมองของข้า บรรพชนของพวกเขาน่ากลัวนัก! ดังนั้นต่อให้อย่างมากบำเพ็ญได้แค่ใกล้เคียงกับระดับบรรพชนเท่านั้น ก็แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าแข็งแกร่งแล้ว”


3 ตระกูลเทพอากาศเชื้อเชิญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสอบถามผ่านเขตลวง กลางฟากฟ้านอกดวงดาราแห่งนี้ก็มีเรือรบลำหนึ่งมาถึง


ภายในเรือรบ บุรุษผู้มีเกล็ดสีเขียวปกคลุมทั่วร่างซึ่งสวมเกราะสีเงินคนหนึ่งกำลังมองภาพที่ปรากฏขึ้นภายในเรือรบด้วยสายตาเย็นชา ในภาพนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสอบถามอยู่


“สิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกหรือ ช่างบังอาจนัก กล้าลงมือกับชนรุ่นหลังของข้า ‘ซานตาน’ ด้วย” ดวงตาสีทองของบุรุษผู้นี้เต็มไปด้วยแววเย็นเยียบ ทว่าเขาก็ยังคงตรวจสอบพลังของอีกฝ่ายด้วยความเคยชินต่อไป


วิ้ง!


เรือรบมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านดวงดาราดวงนั้นไป


“อะไรกัน” เดิมทีบุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินยังเยือกเย็น แต่ยามนี้กลับหน้าถอดสี “กลิ่นอายวิญญาณเป็นระดับผู้เคารพอย่างนั้นหรือ”


เรือรบลำนี้เขาได้รับเป็นของประทานจากการติดตามท่านชาย มันเชี่ยวชาญด้านการทะลุกาลมิติและการตรวจสอบกลิ่นอายวิญญาณเป็นอย่างมาก แม้จะไม่เยี่ยมยอดเท่าวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำที่สามารถตรวจดูได้แม้แต่ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณก็ตามที แต่อย่างน้อยก็สามารถรู้ระดับพลังของอีกฝ่ายได้อย่างคร่าวๆ!


“คิดไม่ถึงว่าข้าแค่ออกมาตามอำเภอใจครั้งหนึ่ง จะได้พบกับผู้แกร่งกล้าจากต่างจักรวาลเข้า ทั้งยังเป็นระดับผู้เคารพอีกด้วย” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินพยักหน้าเล็กน้อย


“วิ้ง”


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีกำลังทำความเข้าใจกับข้อมูล  และติดต่อกับวิญญาณอาวุธโดยผ่านร่างจริงในบ้านเกิดไปพร้อมกันก็พลันสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่พาดผ่านตนไป ระลอกคลื่นนี้อ่อนนัก แต่ไม่ว่าจะเป็นฟ้าดินโลกเทียมหรือการควบคุมอากาศ ก็พบระลอกคลื่นอันเร้นลับนี้ด้วยกันทั้งสิ้น


“เอ๊ะ” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปลี่ยนแปรไป เขาอดหันไปมองมิได้ สายตาของเขามองทะลุผ่านกำแพงของตำหนักที่อยู่ ก็เห็นเรือรบที่อยู่กลางฟากฟ้าลำนั้น สายตาของเขาถึงขั้นมองทะลุอากาศและเห็นบุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินภายในเรือรบคนนั้นด้วย


ทั้งสองสบสายตากันอยู่ห่างๆ


“น้องชายต่างเผ่าคนนี้ช่างความรู้สึกไวนัก สามารถพบข้าได้ด้วย” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินปรากฏกายขึ้นในโถงตำหนักแห่งนี้แล้ว “ดูจากท่าทางของเจ้า คงจะมิใช่สิ่งมีชีวิตจากแปดจักรวาลใหญ่ที่พวกข้าพิชิตได้หรอกกระมัง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอีกฝ่าย


เมื่อครู่เขาได้ล่วงรู้ข้อมูลไปไม่น้อย และได้รู้ว่าในฐานะที่จักรวาลแห่งนี้เป็นระบบการบำเพ็ญสายเลือด จึงชมชอบสงครามนัก! จักรวาลนี้ยังสร้าง ‘ทางเชื่อมจักรวาล’ ขึ้นมาเป็นประจำ และได้อาศัยทางเชื่อมจักรวาลพิชิตจักรวาลอื่นไปแล้วถึงแปดแห่ง การจะพิชิตจักรวาลหนึ่งได้นั้น ต้องมีทางเชื่อมจักรวาลระดับสูงสุดจึงจะสามารถทำให้บรรดาผู้ปกครองบุกเข้าไปได้ อย่างทางเชื่อมจักรวาลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เข้ามานั้น  มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ยังมิได้หลุดพ้นจึงจะเข้าออกได้ เห็นได้ชัดว่ามิอาจส่งทัพใหญ่เข้าไปพิชิตได้


แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะพิชิตจักรวาลทั้งแปดแล้ว แต่กลับดีกว่าลัทธิจอมมารดามากทีเดียว


พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตในจักรวาลเดิมอย่างโอบอ้อมอารี เพียงแค่ให้ชนเผ่าของตนไปยังจักรวาลอื่นแล้วทำการวิวัฒน์เท่านั้น พวกเขาถึงขั้นปฏิบัติต่อชนต่างเผ่าอย่างเท่าเทียมกับที่ปฏิบัติต่อผู้แกร่งกล้าของเผ่าตน


“ข้ามีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง มายังจักรวาลนี้เป็นครั้งแรก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“ข้ามีนามว่าซานตาน” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินปรายตามองชนรุ่นหลังสองคนด้านข้างที่กำลังตกอยู่ในเขตลวง “นับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเจ้าหนุ่มสองคนนี้ พวกเขาล้วนเป็นชนรุ่นหลังตามสายเลือดของข้า”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา


ตนสำแดงเขตลวงออกมาใส่ชนรุ่นหลังของอีกฝ่ายเข้าพอดี


“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าอาจจะไม่รู้กระจ่างนัก ว่าพวกเราสามารถสัมผัสรับรู้ถึงชนรุ่นหลังตามสายเลือดของตนได้ตลอดเวลา และย่อมจับตามองคนที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นธรรมดา” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินเอ่ย “และข้าก็รับรู้ได้ว่าสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังของข้ามีสภาพไม่ค่อยชอบมาพากลนัก จึงเร่งมาหา”


“น่าละอายนัก ข้ามาครั้งแรก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น จึงได้กระทำการเช่นนี้ลงไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ขณะเดียวกันเขาก็เก็บเขตลวงลงไป


ชนรุ่นหลังตามสายเลือดสองคนที่หลับใหลอยู่ก็ฟื้นขึ้นมาทันที พวกเขามองคนทั้งสองที่เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่ในโถงตำหนักด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นบุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงิน พวกเขาก็รีบลุกพรวดขึ้นมา แล้วตะโกนด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่งว่า “ท่านประมุขตระกูล!”


สายเลือดภายในกายทำให้พวกเขาเข้าใจว่า คนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบรรพบุรุษต้นตระกูลของตน


ผู้ก่อตั้งตระกูล ผู้แกร่งกล้าเป็นที่สุด ท่านประมุขตระกูล…ซานตาน!


“อืม” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินพยักหน้าเนือยๆ “ที่ข้ามาก็เพื่อมาหาสหายของข้าคนหนึ่ง พวกเจ้าทำธุระของพวกเจ้าต่อไปเถิด”


“น้องตง พวกเราออกไปคุยกันหน่อยดีไหม” ซานตานเกรงอกเกรงใจเป็นอันมาก


“ได้สิ ทว่าพี่ซานตาน ท่านเรียกข้าว่าตงป๋อเหมือนเดิมเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ น้องตงหรือ คำเรียกขานเช่นนี้ตนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก


สวบๆ


ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็มาถึงกลางท้องฟ้านอกโลก


“ฮ่าฮ่าฮ่า ตงป๋อ เจ้าเพิ่งมายังจักรวาลของพวกเรา ยังเข้าใจอะไรไม่มาก แต่ก็คงจะรู้จักตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสามกระมัง นั่นก็คือตระกูลเทพอากาศทั้งสาม” ซานตานเอ่ย


“ข้าเพิ่งจะเคยได้ยิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“ตอนนี้ข้าอุทิศตนให้แก่ ‘ตระกูลเจียวอวิ๋น’ หนึ่งในตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสามอยู่” ซานตานกล่าว “จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมีบุตรสามคน ซึ่งก็คือท่านชายทั้งสาม สายเลือดของพวกเขาไม่ธรรมดา และมีความสามารถอันสูงส่งยิ่งซ่อนอยู่ บวกกับสถานะอันสูงศักดิ์ จึงสามารถโยกย้ายทรัพยากรจำนวนมากได้ ผู้แกร่งกล้ามากมายล้วนอยากติดตามท่านชาย บัดนี้ข้าติดตามท่านชายสาม ‘เจียวอวิ๋นหลิว’ อยู่”


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า เขาก็พอจะเดาได้


ในระบบการบำเพ็ญสายเลือด แน่นอนว่าบุตรของเทพอากาศย่อมมีสถานะอันสูงศักดิ์อย่างยิ่ง บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร ก็ย่อมเลี้ยงดูบุตรของตนด้วยความใส่ใจ แค่เทพอากาศเจียดทรัพยากรและสมบัติล้ำค่าที่ครอบครองออกมาเล็กน้อยให้บุตรของตน ก็เกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้แล้ว“เจ้าคงจะรู้แล้วว่า จักรวาลของเราชมชอบการต่อสู้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง! ผู้แกร่งกล้ารอด ผู้อ่อนแอก็ตายไป” ซานตานกล่าว “การแย่งชิงนั้นโหดร้ายนัก แม้แต่ในหมู่ท่านชาย ก็ยังมีการต่อสู้ห้ำหั่นกัน ขอเพียงชีวิตของร่างจริงมิได้ถูกคุกคาม บรรดาจักรพรรดิเทพอากาศก็จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังดู


เขาก็รู้ว่า อย่าได้มองว่า ‘ซานตาน’ ผู้นี้เกรงอกเกรงใจตนเป็นอย่างมากเลย


แต่แม้จักรวาลแห่งนี้จะโอบอ้อมอารีเป็นอย่างมาก ทว่าการแก่งแย่งชิงดีกลับเหี้ยมโหดนัก ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาต่างดูถูกดูแคลนผู้ที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก และเคารพผู้ที่แกร่งกล้า! พวกเขาถึงขั้นนำผู้ที่อ่อนแอเหล่านั้นมาทำการซื้อขาย และการชมดูพวกเขาห้ำหั่นกันก็เป็นเรื่องสนุก!


แม้แต่บรรดาท่านชายผู้สูงส่งเหนือใครก็ยังมีอุปสรรคมากมายหลายชั้น เพราะถึงอย่างไรต่อให้สายเลือดสูงศักดิ์กว่านี้ ก็ต้องเคี่ยวกรำเพื่อให้ตื่นรู้อยู่ดี!


“ตอนนี้ท่านชายสามกำลังรับสมัครองครักษ์อยู่” ซานตานกล่าว “ตงป๋อ เจ้ามีพลังระดับผู้เคารพ สามารถเข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านชายได้นะ”


“มีข้อดีอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “แล้วต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง”


เขามาถึงจักรวาลแห่งนี้ ด้วยหมายที่จะทำให้พลังเพิ่มพูนขึ้น


“ข้อดีน่ะหรือ สิ่งที่ตามปกติแล้วเจ้ามิอาจได้ ท่านชายก็สามารถได้มาโดยง่ายแล้วประทานให้เจ้า” ซานตานกล่าว “ท่านชายให้ความสำคัญกับองครักษ์ของตนเป็นอันมาก ส่วนเจ้าต้องแลกมาด้วยอะไรบ้างน่ะหรือ ก็ไม่มีอะไรหรอก ท่านชายจะจัดที่พักให้กับเจ้า เจ้าสนใจแค่การบำเพ็ญก็พอ…โดยทั่วไปมีแต่เมื่อพบปัญหายุ่งยากหรืออันตรายเท่านั้น เหล่าองครักษ์จึงจะต้องลงมือปกป้องท่านชาย”


“บัดนี้ท่านชายก็เป็นระดับขั้นผู้เคารพ ระดับขั้นอย่างเขา พบอันตรายได้น้อยนัก” ซานตานกล่าว “ครั้งก่อนที่พบปัญหายุ่งยากก็ตั้งพันกว่าล้านปีก่อนโน่นแล้ว”


“จะได้เคล็ดวิชาระบบการบำเพ็ญของจักรวาลอื่นหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันเรื่องง่ายที่สุดแล้ว” ซานตานพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “มีมากมายถมไป!”


“ดี ข้าจะลองดูก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“ไป!”


ซานตานเบิกบานใจเป็นอันมาก


เขาเข้าใจดีมากว่า ในบรรดาท่านชายทั้งสามแห่งตระกูลเจียวอวิ๋น ท่านชายรองสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว! เนื่องจากท่านชายใหญ่กำเนิดก่อนใครเพื่อน จึงได้รับผลประโยชน์มามากมายอย่างยิ่ง แม้บัดนี้เป็นเพียงระดับผู้เคารพ แต่จำนวนผู้แกร่งกล้าที่ติดตามอยู่ข้างกาย แข็งแกร่งกว่าท่านชายสามมากนัก


ภายในตระกูลเจียวอวิ๋น ท่านชายสามเสียเปรียบมาก! ดังนั้นจึงต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ระดับผู้เคารพก็เป็นพลังรบที่สำคัญอย่างยิ่งแล้ว


“ฟิ้ววว…”


ซานตานพาตงป๋อเสวี่ยอิงโดยสารเรือรบออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว


……


“รวดเร็วนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้างเพราะเรือรบลำนี้ “แม้จะสู้เคล็ดการหลบหลีกในอากาศของข้ามิได้ แต่ก็เร็วกว่าการทะลุกาลมิติของผู้เคารพระดับเทพแท้โดยทั่วไปตั้งสิบเท่าได้กระมัง”


“ดูสิ”


ซานตานชี้ไปด้านหน้าอย่างกระตือรือร้น เมื่อมองผ่านเรือรบ ก็เห็นดวงดาราสีกากีดวงหนึ่งอยู่ไกลออกไป “ท่านชายสามพำนักเพื่อฝึกฝนอยู่ที่นี่ องครักษ์จำนวนมากก็อาศัยอยู่บนดวงดาราแห่งนี้เพื่อทำหน้าที่คุ้มครอง ข้านำเรื่องของเจ้าขึ้นทูลต่อท่านชายแล้ว พวกเรารีบไปพบท่านชายกันเถิด”


เขาพูดพลางเก็บเรือรบลงไป เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงบินมุ่งไปทางดวงดาราสีกากีดวงนั้น


4 สิ่งที่ท่านชายสามมอบให้

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ณ สถานที่ใต้ดินอันลึกลับ ท่านชายสาม ‘เจียวอวิ๋นหลิว’ กำลังมองพืชสีดำต้นหนึ่งตรงหน้า บนพืชสีดำนี้มีผลงอกขึ้นมาทั้งหมดสามผล ผลทั้งหมดเป็นสีเขียวเข้ม


“รีบสุกเสียทีเถิด ข้ารอมานานเกินไปแล้ว”


รูปโฉมของเจียวอวิ๋นหลิวค่อนข้างคมคาย เขามีเกล็ดสีแดงชาดปกคลุมทั่วร่าง ตรงหว่างคิ้วยังมีแผ่นเกล็ดสีแดงเข้มอยู่แผ่นหนึ่ง ใบหน้าขาวผ่อง กลิ่นอายทั้งร่างนุ่มนวลและเก็บงำเอาไว้ภายใน


ยามนี้สายตาของเขาจดจ้องพืชสีดำ ลึกลงไปในดวงตามีแววปรารถนาแฝงอยู่


“ท่านชาย ผลนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสุกอีกมาก ที่นี่มีพวกเราสามคนรับผิดชอบดูแลอยู่ ท่านชายโปรดวางใจเถิดขอรับ” บุรุษผิวดำที่มีตาเป็นขีดพูดยิ้มๆ เขาก็เป็นชนต่างเผ่าที่มาจากจักรวาลอื่นเช่นกัน ทว่ากลับเป็นดั่งดวงใจของท่านชายสาม ด้านข้างยังมียอดฝีมืออีกสองคน


“ท่านชาย ซานตานบอกว่าผู้เคารพต่างเผ่าคนหนึ่งนามตงป๋อเสวี่ยอิงจวนจะมาถึงแล้วขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งด้านหลังของเจียวอวิ๋นหลิวกล่าว


“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”


เจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้าแล้วนำองครักษ์จากไป แม้จะอยู่ใต้ดิน แต่รอบด้านก็มีค่ายกลอันเก่าแก่อยู่มากมาย มีการเตรียมการเอาไว้พร้อมสรรพนัก สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวมองผ่านค่ายกลเหล่านี้แล้วก็ลอบพยักหน้า แม้เขาจะรู้ว่าอีกนานกว่าผลไม้จะสุก แต่เขาก็อดมาดูมันเป็นประจำมิได้ เพราะเขากลัว…กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ต้องเห็นกับตาว่าผลยังคงเติบโตอยู่ เขาจึงจะวางใจ


แม้เขาจะอาศัยอยู่ที่ผิวดิน และเขาก็เป็นผู้ควบคุมค่ายกลเองด้วย แต่ก็ยังคงมาตรวจดูครั้งแล้วครั้งเล่า


“รอผลไม้สุก พลังของข้าก็จะสามารถก้าวหน้าได้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นอาจจะสายเลือดตื่นรู้จนก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองได้ และสามารถตั้งตัวเป็นอ๋องได้” นัยน์ตาของเจียวอวิ๋นหลิวฉายประกายคมกริบสายหนึ่ง จากนั้นก็เก็บซ่อนลงไป


……


เจียวอวิ๋นหลิวพาองครักษ์มาถึงผืนดินอย่างรวดเร็วนัก และภายใต้การนำทางของร่างแยกอีกร่างของซานตาน พวกเขาก็เข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง


“ท่านผู้นี้คือน้องตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” เจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะมาถึงจักรวาลแห่งนี้ ก็พบว่าท่านชายสามนำองครักษ์กลุ่มหนึ่งมาต้อนรับด้วยตนเอง ร่างจริงของซานตานที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยเตือน “ท่านนี้คือท่านชายสาม”


“คารวะท่านชายสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะเล็กน้อย


“ข้าประกาศหาองครักษ์มาตลอด น้องตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมาได้ ข้าก็ดีใจมาก ทว่าข้าก็อยากจะเห็นพลังขององครักษ์ตงป๋อด้วย เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกล่าว เพราะถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้เคารพ พลังก็มีทั้งแข็งแรงและอ่อนแอ อย่างน้อยเขาก็ต้องพอเข้าใจองครักษ์ข้างกายเขาบ้างคร่าวๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ได้ตลอดเวลาเลยขอรับ”


“องครักษ์ฉง เจ้ามาลองประมือกับองครักษ์ตงป๋อดูหน่อยเถอะ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ย


“ขอรับ”


บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผิวดำคล้ำคนหนึ่งเดินออกมาจากท่ามกลางกลุ่มองครักษ์ ทั้งร่างของเขาหล่อหลอมขึ้นมาจากโลหะ มิได้เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเลือดเนื้อ


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าเช่นเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรจักรวาลนี้ก็เป็นระบบการบำเพ็ญสายเลือด จึงย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมีเนื้อทั้งสิ้น! จากที่ตนได้ฟังซานตานพูดก่อนหน้านี้ ในหมู่องครักษ์ของท่านชายสาม องครักษ์ของจักรวาลตนมีสิบห้าคน  มีชนต่างเผ่าอยู่ห้าคน หากตนเข้าร่วมด้วย ก็จะเป็นคนที่หก!


“พวกเราไปประมือกันกลางอากาศเถิด” เสียงขององครักษ์ฉงทุ้มต่ำ เมื่อก้าวออกไปคราหนึ่งก็ไปถึงกลางอากาศแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามไปกลางอากาศ


ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ห่างๆ


“เริ่มเถิด” ท่านชายสามที่อยู่ด้านล่างและองครักษ์กลุ่มหนึ่งพากันเงยหน้ามอง ด้วยสายตาของพวกเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


“แฮ่…”


องครักษ์ฉงพลันร้องคำรามขึ้นมา


รังสีสีขาวสายหนึ่งถูกพ่นออกมาจากปาก และมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงแทบจะในพริบตาเดียว เหล่าองครักษ์ที่ชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างพากันมองดูอยู่เงียบๆ พวกเขาต่างก็เข้าใจดีมากว่า นี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายของระบบการบำเพ็ญของจักรวาลขององครักษ์ฉง คลื่นแสงนั้นบ่มเพาะอยู่ภายในกาย อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเขาส่วนใหญ่ก็มิกล้าขัดขวาง พวกเขารู้สึกว่าลำพังแค่กระบวนท่านี้ คาดว่าคนที่ชื่อ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้นั้นก็คงจะต้องเสียแรงไปไม่น้อย ถึงขั้นพ่ายแพ้ก็เป็นไปได้


ฟิ้ว


คลื่นแสงทะลุผ่านร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วสลายหายไปกลางท้องฟ้าห่างออกไป


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!


“เอ๊ะ” กลุ่มองครักษ์ที่อยู่ไกลออกไปพากันตกตะลึง ท่านชายสามที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างนัยน์ตาเป็นประกาย องครักษ์คนอื่นๆ ก็ตื่นตะลึงเหลือแสน เขาต้านรับซึ่งหน้าแต่กลับมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ราวกับร่างกายเป็นความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น


“ตาข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาสำแดงวิธีการของฟ้าดินโลกเทียมออกมา ดูเหมือนเขาจะยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่อันที่จริงกลับเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมแล้ว แม้การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามจะส่งผลกระทบเข้ามาภายในฟ้าดินโลกเทียมบ้างเล็กน้อย แต่อานุภาพน้อยนิดเท่านี้ ร่างกายของตนก็สามารถต้านเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ก้าวเดียว


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือกลับมีลูกดอกปรากฏขึ้น


ลูกดอกก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้มาจากการรบชนะผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดา ลูกดอกชุดนี้มีถึงสิบสองดอก พวกมันทำขึ้นมาจากกระดูกอันแปลกประหลาด แม้จะมิใช่อาวุธเทพแท้ แต่หากพูดถึงความแข็งแกร่งและความคมแล้ว ก็ไม่แพ้อาวุธเทพแท้เลย อันที่จริงอาวุธของลัทธิจอมมารดา ส่วนใหญ่ก็เป็นอาวุธยุคแรกเริ่มเช่นกระบอง มีด กระบี่ เป็นต้น แต่โดยทั่วไปล้วนสามารถตาต่อตาฟันต่อฟันกับอาวุธเทพแท้ได้


“ฟิ้ว”


ลูกดอกถูกขว้างออกไปแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


และไปถึงตรงหน้าศัตรูโดยผ่านฟ้าดินโลกเทียม


“เอ๊ะ ลูกดอกเล่า อยู่ที่ใดกัน” องครักษ์ฉงเบิกตาสีทองกว้างพลางมองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง แต่จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ลูกดอกกลับมาถึงตรงหน้าอกเขาแล้ว


“ตู้ม!”


ป้องกันไม่ทัน


กระบวนท่าซึ่งแฝงไว้ด้วยพละกำลังบางส่วนของร่างกายอันแข็งแกร่งของตงป๋อเสวี่ยอิงในทุกวันนี้ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยวิถีเข่นฆ่า…และมาถึงตรงหน้าศัตรูโดยผ่านฟ้าดินโลกเทียม ศัตรูจึงทำไม่ได้แม้แต่จะขัดขวางเสียด้วยซ้ำ


เสียงกัมปนาทดังขึ้น


แผ่นอกขององครักษ์ฉงถูกแทงทะลุจนเกิดเป็นหลุมใหญ่


องครักษ์ฉงก้มลงมองด้วยความตะลึงงัน แล้วเหลียวกลับมามอง ลูกดอกซึ่งโจมตีเขาในตอนแรกหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว


“ข้าแพ้แล้ว” องครักษ์ฉงพูดเสียงต่ำ เขาเข้าใจดีมากว่าหากเอาใหม่อีกครั้ง เขาก็ยังคงต้านทานลูกดอกนั่นไม่ได้อยู่ดี “พี่ตงป๋อช่างร้ายกาจโดยแท้ ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้!”


“ร่างกายขององครักษ์ฉงก็ไม่ธรรมดา กระบวนท่าเช่นนี้ของข้าเพียงแค่แทงเป็นรูเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เดิมทีเขาวางแผนจะโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง ทำให้อีกฝ่ายพอมีโอกาสรอดชีวิตก็เท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าเพียงแค่แทงทะลุแผ่นอกของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างพอถูไถเท่านั้น อานุภาพของมีดบินก็แทบจะสิ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างกายของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งทนทานมาก


……


ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกระตือรือร้นมาก “พลังขององครักษ์ตงป๋อไม่ธรรมดา ทว่าข้าเห็นว่าองครักษ์ตงป๋อไม่มีอาวุธดีๆ เลย แม้แต่อาวุธเทพแท้ก็ยังไม่มีสักชิ้น องครักษ์ตงป๋อเชี่ยวชาญการใช้ลูกดอกหรือ”


“หามิได้ขอรับ เป็นหอกยาวต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“หอกยาว…” เจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้า “ที่ข้าพอดีมีหอกยาวอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งข้าขโมยมาจากคลังสมบัติของท่านพ่อ”


เขาพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง


เบื้องหน้ามีอาภรณ์สีดำชุดหนึ่งและหอกยาวสีขาวเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านข้างยังมีเรือรบสีเทาอยู่ลำหนึ่งด้วย เรือรบมีลักษณะคล้ายลำที่ซานตานขับก่อนหน้านี้เป็นอันมาก


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง


“รับไว้เถอะ องครักษ์ทุกคนมีกันหมดนั่นแหละ” เจียวอวิ๋นหลิวกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเอาไว้ทันที ขณะที่รับมาเขาก็รู้สึกได้ถึงประกายอันน่าหวาดหวั่นซึ่งแฝงเอาไว้ในหอกยาวสีขาวเงินเล่มนี้ หากพูดถึงแค่ประกายก็พอจะคล้ายที่อยู่บนหอกงูโลหิตอยู่บ้าง เพียงแต่วิธีการหลอมหอกยาวเล่มนี้แตกต่างจากอาวุธเทพแท้อื่นๆ เช่นหอกงูโลหิต วิถีที่แฝงไว้ภายในมิใช่วิถีนิรันดร์กาล และมิใช่วิถีขั้นบุกเบิก หากแต่เป็นค่ายกลโบาณอันซับซ้อนหลายชั้น


“เป็นอาวุธเทพแท้ที่หลอมขึ้นมาด้วยระบบอีกอย่างหนึ่งหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เช่นอาวุธจำนวนมากที่ ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ทิ้งเอาไว้ในสถานที่แรกเริ่ม บรรพชนเทียนอวี๋เป็นบรรพบุรุษของจักรวาลผู้บำเพ็ญของพวกเขา ซึ่งเป็นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เช่นเดียวกัน อาวุธก็ย่อมเป็นระบบจำพวกเดียวกันเป็นธรรมดา


โดยทั่วไประบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน แม้แต่วิธีการหลอมอาวุธก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่อานุภาพก็ไม่แน่ว่าจะอ่อนแอเสมอไป


เช่นน้ำเต้าสีดำของตนก็อาศัยค่ายกลอันว่างเปล่าที่น่าหวาดหวั่นนั้น ก็สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตระดับ ‘ดวงอาทิตย์’ ได้อย่างง่ายดาย อาวุธเทพแท้นั้นห่างชั้นอย่างลิบลับ


“ฟังจากที่ซานตานพูด เจ้าอยากได้เคล็ดวิชาของระบบการบำเพ็ญอื่นหรือ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ


“อยากรู้นัก ดูสิว่าจะมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญของข้าหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องธรรมดานัก แต่ละระบบการบำเพ็ญล้วนมีลักษณะพิเศษของตนเองทั้งนั้น” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีผลึกรูปร่างเป็นก้อนๆ ปรากฏขึ้น “ข้างในนี้มีเคล็ดวิชาจำนวนมากของระบบการบำเพ็ญของสิบแปดจักรวาลบรรจุอยู่ บางระบบค่อนข้างคล้ายคลึงกัน บ้างก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”


พูดพลางส่งผลึกในมือให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไป


ระบบการบำเพ็ญของสิบแปดจักรวาลหรือ


ใช่แล้ว


แม้จักรวาลห่งนี้จะพิชิตจักรวาลไปแปดแห่งแล้ว แต่ก็ยังมีทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็กและทางเชื่อมจักรวาลขนาดกลางที่เชื่อมจักรวาลอื่นเอาไว้ด้วย และก็มีโอกาสได้เคล็ดวิชาระบบการบำเพ็ญมา


“หากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็มาหาข้าได้เต็มที่” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ “สิ่งที่ข้าสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้ ก็คือทรัพยากรภายนอกเหล่านี้นี่แหละ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบผลึกขึ้นมา แล้วสัมผัสกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ภายในซึ่งเป็นตัวแทนของอารยธรรมแห่งจักรวาลต่างๆ แล้วเขาก็ลอบรำพึง…


สิ่งที่ข้าต้องการให้พวกท่านช่วย ก็คือทรัพยากรภายนอกเหล่านี้นั่นแหละ!


“ขอบคุณท่านชายสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่งนัก หากให้ตนเก็บรวบรวมเอง เกรงว่าเก็บรวบรวมนานกว่านี้ก็คงจะได้ไม่มากเท่าเคล็ดวิชาของระบบการบำเพ็ญที่ท่านชายแห่งตระกูลเทพอากาศมอบให้หรอกกระมัง


5 ระบบการบำเพ็ญของสิบแปดจักรวาล

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“ไปๆๆ งานเลี้ยงตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกล่าว บรรดาองครักษ์รอบข้างก็ไปยังงานเลี้ยงด้วยกัน จากการสำแดงลูกไม้เล็กน้อยเมื่อครู่ ท่าทีขององครักษ์เหล่านี้ที่มีต่อตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดีขึ้นมากทีเดียว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน และดื่มด่ำไปกับอาหารรสเลิศของอีกจักรวาลหนึ่ง จักรวาลแห่งนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเลือดเนื้อเช่นกัน อาหารการกินจึงนับว่าพอถูกปากอยู่บ้าง ส่วนองครักษ์ฉงที่สวมเกราะโลหะทั่วร่างซึ่งต่อกรกับตงป๋อเสวี่ยอิงไปนั้น กลับแค่กรอกสุราชั้นเลิศเข้าปากไปเพียงไม่กี่อึกเท่านั้น โดยไม่แตะต้องอาหารเลยแม้แต่คำเดียว


หลังงานเลี้ยง


“ใต้เท้าตงป๋อ นี่คือคูหาของท่านขอรับ” มีบ่าวมาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงโดยเฉพาะ ที่ปากคูหาก็มีบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งกำลังรอต้อนรับตงป๋อเสวี่ยอิง


“คารวะนายท่าน” บ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่นอบน้อมหาใดเปรียบ


พวกเขาต่างก็รู้ว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไปชะตาชีวิตของพวกเขาก็ต้องตกเป็นของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าผู้แข็งแกร่งตรงหน้าคนนี้แล้ว! ต่อให้ต้องตายไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ก็ต้องตายเปล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองคราหนึ่ง ในบรรดาบ่าวรับใช้เหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นระดับเทพโลกาสวรรค์สองชั้น และส่วนใหญ่ก็เป็นขั้นเทพ


“ข้าจะบำเพ็ญ หากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ


“ขอรับ”


บ่าวรับใช้ทั้งกลุ่มพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่เป็นผู้ชมชอบการบำเพ็ญ คาดว่าบำเพ็ญครั้งหนึ่งก็คงจะเป็นเวลานานแสนนาน


******


ประตูขนาดมหึมาของโถงตำหนักภายในคูหาที่มีไว้สำหรับฝึกฝนโดยเฉพาะปิดลงเสียงดังโครม ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง วงแหวนสีดำอันหนึ่งร่อนลงบนโต๊ะยาว ตัวเขาเองกลับหายวับไปกลางอากาศแล้วเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์ภายในวงแหวนนั้น


นี่คือทุ่งหญ้าผืนหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้า พลางตรวจดูอาวุธ อาภรณ์ เรือรบและอื่นๆ ที่ท่านชายสามมอบให้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพยักหน้า “หอกยาวเล่มนี้ล้ำค่าไม่แพ้หอกงูโลหิตของข้าเลย เรือรบก็ล้ำค่าเช่นกัน อาภรณ์สีดำดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับแข็งแกร่งทนทานเป็นอย่างยิ่ง และสามารถเก็บงำกลิ่นอายได้เช่นกัน…ภายในจักรวาลผู้บำเพ็ญของเรา สมบัติล้ำค่าสามชิ้นนี้ก็ทำให้ผู้เคารพส่วนใหญ่ตาเป็นมันได้แล้ว”


เมื่อมองจากจุดนี้ สมบัติล้ำค่าของจักรวาลนี้มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด


“ระบบการบำเพ็ญ”


เมือพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีก้อนผลึกใสปรากฏขึ้น นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววร้อนแรง นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาเป็นที่สุด


ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญใด ก็ล้วนแต่เป็นการตกผลึกทางปัญญาของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของจักรวาลนั้นๆ  เป็นวิธีที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งได้!


“ระบบการบำเพ็ญของจักรวาลทั้งสิบแปด เริ่มต้นเถิด” ระบบการบำเพ็ญของทะเลควันยังประกอบด้วยเคล็ดวิชาจำนวนมาก ทั้งยังมีคำอธิบายต่างๆ อยู่อีกด้วย! ซึ่งคงจะเป็นคำอธิบายที่เหล่าผู้แกร่งกล้าในจักรวาลที่ท่านชายสามอยู่บันทึกเอาไว้


แม้ระบบการบำเพ็ญสายเลือดจะอาศัยการตื่นรู้ของสายเลือดเป็นหลัก แต่พวกเขาก็มิได้โง่งม พวกเขาก็ซึมซับข้อดีของระบบการบำเพ็ญของจักรวาลอื่นเพื่อทำให้พลังของตนแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน


เวลาล่วงเลยไป…


ด้วยความแข็งแกร่งของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็ใช้เวลาไปถึงสามวัน จึงอ่านระบบการบำเพ็ญทั้งสิบแปดจนจบรอบหนึ่ง


“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”


เนื่องจากเขาอ่านระบบการบำเพ็ญทั้งสิบแปดจนครบหมดแล้ว จึงย่อมมีการเปรียบเทียบเป็นธรรมดา และเกิดข้อสรุปขึ้นมา


“จักรวาลแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือจักรวาลซึ่งสิ่งมีชีวิตเก่าแก่เป็นผู้สร้างขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ดังนั้นระบบการบำเพ็ญจึงแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก!”


“ประเภทแรก คือคำชี้แนะที่บรรดาสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ทิ้งเอาไว้ ระบบการบำเพ็ญเช่นนี้เป็นวิถีใหญ่ สามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับขั้นที่สูงเสียยิ่งกว่าสูง”


“ประเภทที่สอง ในจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีการชี้แนะ สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็ได้แต่คลำทางเองเท่านั้น เพื่อความอยู่รอด เพื่อความแข็งแกร่ง เพื่อความเติบโต พวกเขาก็ได้คลำหาวิธีบำเพ็ญต่างๆ ขึ้นมา เมื่อเวลาผ่านไป วิธีการบำเพ็ญที่เยี่ยมยอด และเหมาะแก่การเผยแพร่ที่สุดก็กลายเป็นกระแสหลักในการบำเพ็ญของทั้งจักรวาลไป เมื่อผ่านการเพิ่มเสริมเติมแต่งของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตลอดคืนวันอันยาวนาน ก็สมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แม้จะสมบูรณ์แบบกว่านี้ ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องโลกทัศน์และพลังของตน บางคนทำอย่างไรก็ยังถูกจำกัดอยู่อย่างนั้น”


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรู้สึกว่าโชคดี


ระบบการบำเพ็ญของบ้านเกิดตนเป็นสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋ชี้แนะ ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นวิถีใหญ่  ไปจนถึงขั้นสุด!


“ในระบบทั้งสิบแปดนี้ มีระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเข้าใจว่าลัทธิจอมมารดาฝึกฝนอย่างไรจากในนั้น


ลัทธิจอมมารดา…


ถือเอาฟ้าดินเป็นดั่งรกของมารดา และใช้ฟ้าดินหล่อเลี้ยงตนเองตั้งแต่ตนยังเป็นทารก


เมื่อพลังแข็งแกร่งพอ ก็จะใช้จักรวาลเป็นรกหล่อเลี้ยงตนเอง ระบบเช่นนี้ต้องตั้งแท่นบูชาจอมมารดาและปรับปรุงจักรวาล สิ่งที่พวกเขาเชื่อถือมิใช่จักรวาล หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นซึ่งสูงส่งหาใดเปรียบ…จอมมารดานั่นเอง! จอมมารดาราวกับมารดาที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และมีความสามารถอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ ปรากฏขึ้นอีกด้วย ระบบนี้ ช่วงแรกค่อนข้างทึ่มทื่อ แต่ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดามากขึ้น


ต่อให้ในภายหน้าเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่าน พวกเขาก็มีวิธีอาศัย ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ มาหล่อเลี้ยงตนเองได้


ความสามารถและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านแล้วหน้าถอดสี


“เป็นระบบที่ร้ายกาจนัก” ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในบ้านเกิดส่งต่อข้อมูลจำนวนมากให้ท่านอาจารย์ ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ทันที


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจมาก “เสวี่ยอิง ที่เจ้าไปคือจักรวาลลัทธิจอมมารดาหรือนี่”


“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นจักรวาลที่แข็งแกร่งมากแห่งหนึ่งต่างหาก! จักรวาลนี้มีระบบการบำเพ็ญอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในจำนวนนั้นมีระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“ระบบการบำเพ็ญหลายระบบหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังหน่อยล่ะ โลภมากไปก็มิใช่เรื่องดี”


“ข้าเข้าใจ”


ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับการถ่ายทอดวิชาลับผู้ท่องมาก็รู้ว่า ระบบการบำเพ็ญออกจะไปคนละทิศคนละทางกันอยู่บ้าง ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญควบคู่กันเอาเสียเลย! มีแต่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้น จึงจะบำเพ็ญควบคู่กันแล้วได้ผลดี


จากสิ่งที่ ‘ผู้ท่องอากาศกู่ฉี’ ท่านอาจารย์ของตนพูด ระบบผู้ท่องอากาศและระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นสามารถบำเพ็ญควบคู่กันได้เป็นอย่างมาก ระบบหนึ่งเป็นการฝึกร่างกาย ส่วนอีกระบบหนึ่งเป็นการฝึกความเร้นลับของกฎเกณฑ์


……


หลังจากเข้าใจระบบการบำเพ็ญในเบื้องต้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มลองบำเพ็ญ ระบบการบำเพ็ญทั้งสิบแปดชนิด เขาสามารถลองฝึกได้เพียงแปดชนิดเท่านั้น ระบบอื่นๆ ล้วนแต่มีปัญหานานาชนิด เช่นระบบการบำเพ็ญสายเลือด! ตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่สิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งนี้ เมื่อไม่มีสายเลือดของพวกเขาเลย จึงไม่มีทางบำเพ็ญได้ อย่างสิ่งมีชีวิตในจักรวาลที่องครักษ์อาศัยอยู่ ก็ล้วนแต่มีร่างกายเป็นโลหะ และบำเพ็ญร่างกายเป็นหลัก แตกต่างกับระบบบำเพ็ญร่างกายของสิ่งมีชีวิตจำพวกเลือดเนื้ออย่างสิ้นเชิง จึงย่อมมิอาจฝึกฝนได้


ลัทธิจอมมารดา ยิ่งอ่อนแอเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเงื่อนไขต่อสิ่งแวดล้อมจำกัดมากขึ้นเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจฝึกฝนได้


“มีแต่ต้องบำเพ็ญอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจถึงความน่าสนใจของแต่ละระบบได้อย่างลึกซึ้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มลองฝึกระบบทั้งแปด


******


ระบบการบำเพ็ญทั้งแปดชนิด แต่ละชนิดเขาล้วนลองเข้าถึงอย่างลึกซึ้ง แต่ละชนิดล้วนต้องเตรียมใช้เวลาพันปี ด้วยการรับรู้อย่างเขา เวลาพันปีก็เพียงพอสำหรับการเข้าใจระบบการบำเพ็ญและรับรู้ให้ลึกซึ้งพอแล้ว และเข้าใจถึงความวิจิตรของมัน


ระบบการบำเพ็ญทั้งแปดชนิดนี้


ตามที่ระบุเอาไว้ในแก้วผลึก มีสองชนิดที่สามารถบำเพ็ญได้อย่างเต็มที่ ส่วนหกชนิดที่เหลือล้วนมีข้อบกพร่อง


ซึ่งที่บำเพ็ญได้อย่างเต็มที่นั้น…ชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘ทิพย์’ พวกเขาค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง และค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในหมื่นสรรพสิ่ง ณ ระดับขั้นที่ลึกซึ้งที่สุดให้พบ บรรดา ‘ทิพย์’ ใช้ความลับเหล่านี้ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้! จักรวาลที่ทิพย์อาศัยอยู่นั้น มีทางเชื่อมขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวที่เชื่อมกับจักรวาลของพวกท่านชายสาม แต่บรรดาทิพย์กลับกระตือรือร้นอยากที่จะนำระบบการบำเพ็ญของตนมาแลกเปลี่ยน พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นต่อสรรพสิ่งทั้งปวง รวมทั้งสรรพสิ่งในจักรวาลอื่นด้วย


ส่วนอีกชนิดหนึ่งมีนามว่า ‘ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด’ พวกเขาใช้การบำเพ็ญก็สามารถแก้ไขร่างกายของตนเองในระดับที่ลึกที่สุดได้ โลหิตหยดหนึ่งที่ดูเหมือนจะธรรมดามาก พวกเขากลับสามารถค้นคว้าได้ราวกับดวงดาราดวงหนึ่ง แม้แต่อณูหนึ่ง พวกเขาก็สามารถค้นคว้าเหมือนเป็นผืนดินแล้วทำโครงสร้างขึ้นใหม่ และสามารถทำให้ระดับขั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกได้ตามการบำเพ็ญของพวกเขา และค้นคว้าตนเองได้ ‘ละเอียดยิบ’ ยิ่งขึ้น จากนั้นก็แก้ไขตนเองได้ละเอียดยิบยิ่งขึ้น เป้าหมายการบำเพ็ญของพวกเขา ก็คือทำให้ร่างกายแข็งแกร่งราวกับจักรวาลหนึ่ง พวกเขาใฝ่หาขั้นสุดไปตลอดกาล!


พวกเขาไม่ต้องการอาวุธ เพราะร่างกายของพวกเขาก็คืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด จะกินอาวุธลงไปแล้วย่อยสลายให้หมด ก็ทำได้ง่ายดายมาก


พวกเขาไม่ต้องการเกราะ เพราะผิวหนังของพวกเขาแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบ


ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นสงสัยว่า ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด และเทพโลกาผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ตนพบในสถานที่แรกเริ่มท่านนั้นเป็นระบบการบำเพ็ญนั้นเป็นระบบเดียวกันหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นฝ่ายตรงข้ามก็กินอาวุธเทพแท้มีดบินของตนลงไป เพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้มีดบินผุพังไปหมดแล้ว ความสามารถในการย่อยสลายน่าหวาดหวั่นเป็นอันมาก


“ไม่เสียทีที่เป็นสองระบบการบำเพ็ญซึ่งบรรลุถึงขั้นสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมรับว่าระบบทั้งสองนี้ร้ายกาจมาก


แต่ว่า


ทั้งสองระบบนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจเป็นอันมาก


อันที่จริงการค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่งนั้นยิบย่อยกว่าการรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์เสียอีก


การค้นคว้าร่างกายของระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด มิได้ง่ายไปกว่าจักรวาลอื่นใดเลย


อีกหกชนิดที่เหลือล้วนเป็นระบบที่ขาดตกบกพร่อง…


“เอ๋”


 ในสหัสวรรษที่ห้าของการบำเพ็ญ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกอยู่ท่ามกลางความยินดีจนแทบคลั่ง


6 การบำเพ็ญสามสิบล้านปี

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


นี่เป็นระบบการบำเพ็ญที่มีข้อบกพร่องซึ่งมีนามว่า ‘ระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต’ เพื่อความอยู่รอด เพื่อความแข็งแกร่ง เพื่อความปรารถนาต่างๆ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลของพวกเขาได้ปรับปรุงแก้ไขระบบนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งระบบนี้ ในตอนที่อ่อนแอสามารถติดต่อกับฟ้าดินได้ และหยิบยืมพลังฟ้าดินมาใช้ในการต่อสู้! และสามารถใช้พลังฟ้าดินทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ได้


ตอนที่แข็งแกร่ง ก็สามารถติดต่อกับต้นกำเนิดจักรวาลได้! และทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นสามารถควบคุมต้นกำเนิดจักรวาลส่วนหนึ่งได้


พวกเขาเพียงแค่ยกมือยกเท้าขึ้นมา สามารถปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้ พลังรบน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง


ถึงขั้นที่ว่าท้ายที่สุด มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นผู้หนึ่งในจักรวาลแห่งนี้ได้หลอมรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับต้นกำเนิดจักรวาล! ปณิธานของตนก็คือปณิธานของจักรวาล ภายในจักรวาล เขาเป็นผู้ที่ไร้ศัตรู! แต่ระบบการบำเพ็ญพรรค์นี้…เมื่อมาถึงระดับนี้ก็นับว่าถึงบทสรุปสุดท้ายแล้ว! เพราะหลังจากหลอมรวมกับจักรวาลเรียบร้อย จักรวาลก็ประหนึ่งกรงขังที่จองจำเขาเอาไว้ จนเขามิอาจไปจากจักรวาลแห่งนี้ได้อีกเลยตลอดกาล


ส่วนจักรวาลเทวทูตคนอื่นๆ เนื่องจากมีท่านหนึ่งที่หลอมรวมเข้ากับต้นกำเนิดจักรวาลไปแล้ว เทวทูตท่านอื่นๆ จึงมิอาจหลอมรวมเข้าไปได้อีก นอกเสียจากเปลี่ยนไปบำเพ็ญระบบอื่น มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มิอาจยกระดับขึ้นได้อีกแม้แต่น้อย


จักรวาลของพวกเขานี้…


แข็งแกร่งนัก!


แต่ข้อบกพร่องก็เห็นได้ชัดเจนมาก ภายในจักรวาลของตน พวกเขาแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่หากออกจากจักรวาลของตนไปก็ใช้ไม่ได้แล้ว ในจักรวาลอื่น พวกเขามิอาจปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้! พลังรบจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ


ระบบนี้ยังมีปัญหาอยู่อีกอย่างหนึ่ง


ดังเช่นบรรพชนเทียนอวี๋ หรือ ‘ท่านบรรพชน’ แห่งจักรวาลระบบการบำเพ็ญสายเลือด พวกเขาสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมา ก็ล้วนตั้งใจปกป้องต้นกำเนิดจักรวาลเอาไว้เป็นอย่างดี! ดังนั้นจักรวาลที่ถูกสร้างขึ้นมา แหล่งกำเนิดก็มิอาจถูกควบคุมได้! และยิ่งไม่มีโอกาสหลอมรวมเข้าไปได้ด้วย


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่บนทุ่งหญ้า


“ตู้มมม…”


ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงยิ่งนัก ร่างกายของแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หลังรับรู้ระบบนี้ได้เพียงร้อยปีก็ติดต่อกับต้นกำเนิดจักรวาลได้สำเร็จ


โครมมมม…


พละกำลังเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาลแผ่คลุมลงมา แล้วปกคลุมรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิง


“ช่าง…ช่าง…ช่างดีเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีจนแทบคลั่งจากก้นบึ้งของหัวใจ “เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจระบบนี้เลย เพราะรู้สึกว่าระบบนี้มีข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป แต่เมื่อดูจากตอนนี้ ข้าคงประเมินพวกเขาต่ำเกินไป ระบบใดก็ตามที่สามารถกลายเป็นระบบการบำเพ็ญของจักรวาลหนึ่งได้ ก็ล้วนยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งนั้น”


“นี่…”


“การรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ จะไปสู้การทำให้พลังต้นกำเนิดจักรวาลแผ่คลุมลงมาให้สัมผัสได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นยินดีจนร่างกายสั่นระริก


ตามระดับขั้นของกฎเกณฑ์


กฎเกณฑ์ฟ้าดินที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในโลกมนุษย์ธรรมดานั้นเป็นพื้นฐานที่สุด ที่สูงกว่านั้นก็เช่นกฎเกณฑ์ของทั้งโลกวัตถุ กฎเกณฑ์ของหุบเหวลึกดำมืด การหมุนเวียนค่ายกลเกาะใจกลางทะเลสาบ กฎเกณฑ์ของดวงอาทิตย์และดวงจันทรา…ระดับขั้นเหล่านี้ล้วนสูงส่งเป็นอย่างมาก


ที่สูงที่สุดก็คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลหนึ่งๆ


การทำให้พลังของต้นกำเนิดจักรวาลปกคลุมลงมาข้างกายได้ เป็นการตรวจสอบกฎเกณฑ์การหมุนเวียนจักรวาลอย่างตรงไปตรงมาที่สุด! มีส่วนช่วยต่อกฎเกณฑ์การบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องลองทำให้พละกำลัง ‘เข่นฆ่า’ ที่แฝงอยู่ในต้นกำเนิดจักรวาลปกคลุมลงมาเสียก่อน


“ลำพังแค่สัมผัสรับรู้ยังไม่พอ ต้องบำเพ็ญเคล็ดวิชาของพวกเขาด้วย”


“ยุทธ์ระลอกคลื่นดำมืด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาจำพวกการเข่นฆ่าซึ่งสืบทอดมาจากจักรวาลนั้น และสัมผัสความเข้าใจที่สิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งนั้นมีต่อการเข่นฆ่าจากการตกผลึกทางจิตใจและเลือดเนื้อเหล่านี้ แต่ละเคล็ดวิชาล้วนแต่เป็นการปรับเปลี่ยนและควบคุมพละกำลังเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาล เมื่อฝึกฝนพวกมันอย่างลึกซึ้งขึ้นมาจริงๆ ความเข้าใจของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่อการเข่นฆ่าก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ


ในบ้านเกิด ผู้ที่บุกเบิกวิถีเข่นฆ่ามีทั้งหมดสักกี่คนกันเชียว


ส่วนใน ‘ระบบจักรวาลเทวทูต’ กลับมีผู้ที่เลือกบำเพ็ญ ‘พละกำลังเข่นฆ่าต้นกำเนิดจักรวาล’ มากมาย พวกเขาใฝ่หาพละกำลัง จึงย่อมยินดีที่จะเลือกการเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมีเคล็ดวิชาจำพวกเข่นฆ่าอยู่ไม่น้อยเลย


“เข่นฆ่า…”


“ที่ผ่านมาข้าคิดอย่างตื้นเขินเกินไปแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกอยู่ในความยินดีจนแทบคลั่งอย่างเต็มที่ เขารู้สึกว่าความเข้าใจที่มีต่อการเข่นฆ่ายกระดับมากขึ้นทุกวัน


ระหว่างนั้นเขายังแบกหน้าไปเยี่ยมคารวะท่านชายสาม แล้วขอให้ท่านชายสามช่วยเก็บรวบรวมเคล็ดวิชาและศาสตร์ลับวิถีเข่นฆ่าภายใน ‘ระบบจักรวาลเทวทูต’ให้อีกด้วย ซึ่งท่านชายสามก็ตกปากรับคำทันที แล้วติดต่อคนภายในตระกูล ก่อนจะขอเคล็ดวิชาและศาสตร์ลับของระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต


“ท่านชายสาม ระบบนี้ไร้ซึ่งอนาคต อย่างมากก็ใช้สัมผัสความแข็งแกร่งของต้นกำเนิดจักรวาลบ้างก็เท่านั้น” คนระดับสูงภายในตระกูลออกจะไม่พอใจอยู่บ้าง ทั้งยังตำหนิว่า “ท่านน่ะ เคี่ยวกรำร่างกายให้มากเสียหน่อยเถอะ ต่อสู้ให้มากหน่อย ขอเพียงสายเลือดตื่นรู้ พลังของท่านก็จะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง”


“เข้าใจแล้วๆ ข้าเพียงแค่ใช้อ้างอิงเท่านั้น รบกวนท่านอาฝูเร่งเก็บรวบรวมแล้วนำมาให้ข้าเสียเถอะ” ท่านชายสามกำชับ


“ก็ได้”


เพียงครึ่งเดือนให้หลัง


เคล็ดการบำเพ็ญทั่วไปเพิ่มขึ้นมาเพียงสองชนิด แต่ศาสตร์ลับกลับถูกนำเล่มจริงมาถึงแปดฉบับ แล้วท่านชายสามก็มอบทั้งหมดให้ตงป๋อเสวี่ยอิง


เรื่องนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงต้องลอบรำพึง ไม่ว่าอย่างไรท่านชายสามผู้นี้ก็ปฏิบัติต่อเหล่าองครักษ์อย่างตั้งอกตั้งใจมากจริงๆ


******


เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาของพละกำลังต้นกำเนิดจำพวกเข่นฆ่าทีละชนิดๆ และยังบำเพ็ญศาสตร์ลับด้วย เขาไม่สนใจอย่างอื่น สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือความเข้าใจที่ตนมีต่อวิถีเข่นฆ่า ในเวลาเพียงล้านปี วิถีเข่นฆ่าของเขาก็บรรลุถึงระดับยอดสุดแล้ว


แน่นอนว่านอกจากรับรู้ระบบอื่นแล้ว


อย่างวิชาลับผู้ท่องที่สำคัญยิ่งกว่า เขาก็มิได้ย่อหย่อนแต่อย่างใด และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหลบเข้าไปบำเพ็ญในโลกคูหาสวรรค์ การบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องแต่ละครั้ง สิ่งที่ปรับเปลี่ยนก็คือพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน เมื่อถูกพบเข้า ก็จะยุ่งยากแล้ว! หากพูดถึงระดับอันแข็งแกร่ง วิชาลับผู้ท่องนั้นอยู่เหนือกว่าระบบอื่นทั้งปวง เพราะถึงอย่างไรเมื่อเพิ่งจะฝึกจนเข้าที่ ในจักรวาลก็ยากมากที่จะหาผู้ถ่ายทอดได้สักคน


……


เวลาล่วงเลยไป


เนื่องจากความเร็วในการเคลื่อนของเวลาเป็นสามพันกว่าเท่าของจักรวาลบ้านเกิด บ้านเกิดเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหมื่นปี ภายในจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ก็ผ่านไปสามสิบล้านปีแล้ว


“ดีมาก”


“ดียิ่งนัก”


ลึกลงไปใต้ดินซึ่งเป็นที่พำนักของตงป๋อเสวี่ยอิงบนดวงดาราแห่งนี้ ดวงตาทั้งคู่ของท่านชายสาม ‘เจียวอวิ๋นหลิว’ กำลังมองตรงไปที่พืชสีดำตรงหน้าด้วยสายตาร้อนรุ่ม ผลไม้สามผลบนต้นพืชสีดำได้กลายเป็นสีดำขลับไปแล้ว มันดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ ไม่มีความพิเศษอันใดแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นใบของพืชสีดำก็ค่อยๆ เริ่มเหี่ยวเฉาไป


“ยินดีกับท่านชายขอรับ ยินดีกับท่านชายขอรับ บัดนี้ผลวิเศษมารดำสุกงอมแล้ว ท่านชายจะต้องบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองได้อย่างรวดเร็วแน่” ด้านข้างมีองครักษ์ทั้งหมดสี่นาย แต่ละนายล้วนตื่นเต้นเป็นอันมาก


“ฮ่าฮ่าฮ่า…พอข้าก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง ก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงแล้ว” เจียวอวิ๋นหลิวยากที่จะปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป ค่ายกลซึ่งมีพืชสีดำปกคลุมเอาไว้ในตอนแรกก็สลายหายไป เขายื่นมือออกไปแล้ววางเอาไว้ใต้ผลไม้ทั้งสามลูกนั้น แล้วใบไม้ก็เหี่ยวเฉาไปต่อหน้าต่อตา ในที่สุด…แปะ แปะ แปะ ผลไม้สีดำสามลูกร่วงลงมาอยู่ในมือของท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเอง


ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเผยสีหน้ายินดีออกมา เขาหยิบขวดสีทองขวดหนึ่งออกมาก่อน แล้ววางผลไม้สีดำสามลูกเข้าไป


“ได้มาไว้ในมือแล้ว”


ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวจับขวดสีทองเอาไว้ นัยน์ตามีแววคมกริบกะพริบวาบผ่าน


เขาดูแลมันและจำศีลมานานปี และได้ทุ่มเทเพื่อผลวิเศษมารดำนี้มากมายเกินไปแล้ว จนบัดนี้มันสุกงอมและมาอยู่ในมือเขาแล้ว


“ตาข้ากลับตัวบ้างแล้ว!” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ จากนั้นก็หมุนกายเดินออกไปข้างนอก “ไป”


เขารอไม่ไหวแล้ว


ตอนนี้เขาจะเริ่มฝึกฝนแล้ว


7 อารักขาท่านชาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สามสิบล้านปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ ณ ยอดเขาสูงแห่งหนึ่งพลางเหลือบมองลงไปยังโลกคูหาสวรรค์อันกว้างใหญ่แห่งนี้


ภายในโลกคูหาสวรรค์แห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจเลือกสรรมา  เพราะอานุภาพจากการฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องของเขายิ่งใหญ่เกินไป หากมีรังสีแผ่ออกไปแม้เพียงสายเดียว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ต้องสูญพันธุ์ไป ทว่าหลังผ่านการฝึกฝนสามสิบล้านปี บัดนี้ก็สามารถควบคุมการฝึก วิชาลับผู้ท่องได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และไม่ทำให้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านที่ปกคลุมลงมาแผ่รังสีไปรอบด้านอีกด้วย


“บัดนี้พลังของข้าเหนือกว่าผู้รักษากฎทิพย์ทั้งสามและจักรพรรดิผลาญเอกาในตอนนั้นไปมากโขแล้ว เมื่อถึงสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวาลผู้บำเพ็ญและลัทธิจอมมารดา ข้าก็คงจะไม่ถึงกับเป็นตัวถ่วงกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


สามสิบล้านปี นานเกินไปแล้ว


ก่อนจะมายังจักรวาลคีรีมาร เขาก็เพิ่งจะบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาเพียงสิบกว่าล้านปีเท่านั้น ก็มีผลสำเร็จเช่นนี้แล้ว


บัดนี้ผ่านไปสามสิบล้านปี ด้วยการรับรู้ของเขา ค่ายกลอันว่างเปล่าของน้ำเต้าสีดำที่รับรู้ไม่เพียงทำให้ ‘วิถีโลกเทียม’ ในตอนนี้บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้วเท่านั้น แม้แต่การรับรู้อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยังสูงส่งลึกล้ำมากขึ้นด้วย และผลักดันให้วิชาลับผู้ท่องไปถึงชั้นที่หก มีแต่ต้องบรรลุถึงระดับนี้อย่างแท้จริงเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้เข้าใจว่า…เหตุใดทางสายผู้ท่องอากาศจึงได้เลือกผู้สืบทอดอย่างรอบคอบเช่นนี้!


มีเงื่อนไขเรื่องการประสานจิต ด้วยกลัวว่าจะถ่ายทอดให้ผิดคน! อันที่จริงก็เพราะนี่คือระบบการบำเพ็ญที่เย้ยฟ้าอย่างยิ่งโดยแท้จริง เป็นระบบที่สามารถเผยแพร่ไปได้กว้างกว่าระบบทั้งสิบแปดชนิดซึ่งบันทึกเอาไว้ในแก้วผลึกที่ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวมอบให้เสียอีก  ตอนที่อยู่ใน ‘ขั้นผู้เคารพ’ พลังก็มีข้อได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดมากแล้ว


ในภายหน้า…


หากบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นอย่างบรรพชนเทียนอวี๋หรือจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบแล้ว ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อาจจะสามารถเทียบกับทางสายผู้ท่องอากาศได้


แต่ทว่าในช่วงแรก อย่างน้อยก็ในตอนที่ยังอยู่ในขั้นผู้เคารพนั้น ระบบผู้ท่องอากาศกลับกดดันระบบอื่นๆ


“สามารถเข้ามาในจักรวาลคีรีมารได้ และมีข้อได้เปรียบเรื่องการเคลื่อนของเวลาสามพันกว่าเท่า ช่างเป็นโชคดีของข้าจริงๆ! ก่อนหน้าสงครามใหญ่ครั้งสุดท้าย ข้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้มั่น แล้วพยายามยกระดับของตนอย่างเต็มที่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่นี่ยังมิใช่จุดสิ้นสุด  พลังของเขาในขั้นผู้เคารพยังมีช่องว่างให้ยกระดับขึ้นไปได้อีก


“ตู้มมมม…”


ทันใดนั้น นอกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองด้วยความสงสัย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”


“องครักษ์ทั้งหลาย เร่งอารักขาท่านชายเร็วเข้า!” สารหนึ่งส่งตรงมาอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนรน เห็นได้ชัดว่ามันถูกส่งให้องครักษ์ทั้งหมด ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้แกร่งกล้าจากจักรวาลอื่นจึงไม่มีเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงพกวัตถุส่งสารเอาไว้


“อารักขาท่านชายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก


สวบ!


ตงป๋อเสวี่ยอิงหายวับไปในโลกคูหาสวรรค์


******


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวรีบกลับไปยังวังเหนือผิวดินของตนด้วยความตื่นเต้นเหลือประมาณ ก่อนจะกำชับองครักษ์ข้างกายว่า “ข้าจะเก็บตัวเพื่อฝึกฝน ผู้ใดก็ห้ามรบกวนข้าโดยเด็ดขาด”


“ขอรับ”


องครักษ์สี่คนขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน


เจียวอวิ๋นหลิวเพิ่งจะพุ่งเข้าไปในโถงตำหนักลับของตนเพียงลำพัง ประตูตำหนักก็ปิดตาย มือของเขาหยิบขวดสีทองนั้นออกมา เขายังมิทันได้นำผลวิเศษมารดำออกมาจากในนั้น


ทันใดนั้น…


คลื่นระลอกหนึ่งก็แพร่ออกมา


เจียวอวิ๋นหลิวสีหน้าเปลี่ยนแปรไปในทันใด เนื่องจากค่ายกลที่ใจกลางของดวงดาราดวงนี้มีเขาเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ในทันทีว่ามีศัตรูบุกรุกเข้ามา


สวบ


เขารีบพุ่งออกไป เพิ่งจะพ้นหน้าประตูตำหนักแห่งนี้ของตน ก็เห็นว่ากลางอากาศมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ นำโดยบุรุษสวมเกราะสีทองผู้หนึ่ง เขาก็มีเกล็ดสีแดงชาดและ บริเวณหว่างคิ้วก็มีแผ่นเกล็ดสีแดงเข้มอยู่แผ่นหนึ่งเช่นเดียวกัน แม้แต่รูปร่างลักษณะก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับเจียวอวิ๋นหลิว เพียงแต่แววตาเยือกเย็นกว่า


“พี่ใหญ่รึ” สีหน้าของเจียวอวิ๋นหลิวคล้ำเขียวขึ้นมาทันที


“น้องชายที่น่าสงสารของข้า พี่ชายมาหาแล้ว” บุรุษเกราะทองหัวเราะคิกคัก “โชคของเจ้าช่างไม่เลวเลยจริงๆ ได้พบต้นผลวิเศษมารดำเข้าต้นหนึ่งด้วย จุ๊ๆๆ ในเมื่อตอนนี้สุกงอมดีแล้ว เช่นนั้นก็มอบให้พี่ชายอย่างข้าเสียเถอะ”


สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวกวาดผ่านองครักษ์สี่คนรอบกายทันที เขาไม่มีความสุภาพอ่อนโยนเช่นยามปกติอีกต่อไป กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขามององครักษ์สี่คนรอบกายแล้วพูดลอดไรฟันว่า “พวกเจ้าคนไหนหักหลังข้าหา”


องครักษ์สี่คนนี้


มีองครักษ์สองคนที่พบต้นผลวิเศษมารดำในตอนแรก และมีอีกสองคนที่เป็นองครักษ์ข้างกายที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด


แต่ว่า…


บัดนี้ความแตกแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเปิดเผยออกไปได้ เช่นนั้นก็เป็นไปได้แค่หนึ่งในสี่องครักษ์ที่รู้จักต้นผลวิเศษมารดำเท่านั้น


“มิใช่พวกเรานะขอรับ”


“ตอนนั้นที่พวกเราพบต้นผลวิเศษมารดำก็เรียนท่านชายให้ทราบทันที หากพวกเราทรยศ พวกเราไม่จำเป็นต้องบอกท่านชายก็ได้นี่ขอรับ” องครักษ์สองคนพูดขึ้นอย่างร้อนรน


“น้องชายที่ไร้ความสามารถของข้าเอ๋ย ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังเดาไม่ถูกอีกหรือ ฉาอวิ๋นหนง ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว! ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายน้องชายข้าอีกแล้วล่ะ” บุรุษเกราะทองยิ้มหยัน ทันใดนั้นองครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงคนหนึ่งก็บินขึ้นมาเสียงดังสวบ ก่อนจะบินตรงมาอยู่ข้างกายของบุรุษเกราะทองและผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “อันที่จริงเขามิได้สงสัยข้าเลย จะปล่อยให้ข้าอยู่ข้างกายเขาต่อไปก็ได้”


“ฉา…”


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางองครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้า เจ้าทรยศข้าหรือนี่ ทำไม ทำไมกัน”


ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมด ผู้ที่เขาเชื่อใจมากที่สุดก็คือฉาอวิ๋นหนง


ภรรยาของเขาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉาอวิ๋นหนง! ดังนั้นสำหรับฉาอวิ๋นหนงแล้ว…ท่านชายสามจึงโปรดปรานมากเป็นพิเศษ ฉาอวิ๋นหนงน่าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติต่ำต้อยที่สุดคนหนึ่งในบรรดาองครักษ์ของเขาแล้ว หากมิได้เขาคอยช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ฉาอวิ๋นหนงก็คงไม่มีทางมีพลังเช่นวันนี้แน่


“โง่เง่า” องครักษ์เกราะสีเทาร่างสูงหัวเราะเย้ยหยัน คร้านจะพูดให้มากความอีกต่อไป


“น้องชาย ทำไมรึ เจ้ายังคิดจะดิ้นรนอีกหรือ” บุรุษเกราะทองพูดยิ้มๆ


“ท่านชายสาม” ชายชราผมแดงผู้มีตาข้างเดียวที่อยู่ข้างกายบุรุษเกราะทองเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน “ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอีกแล้วล่ะ มอบผลวิเศษมารดำให้ท่านชายใหญ่เสีย! มิเช่นนั้นท่านและองครักษ์ทั้งหมดของท่านจะต้องตาย!”


ภายในจักรวาลคีรีมาร แม้จะเป็นบุตรของเทพอากาศ ก็มีการต่อสู้แย่งชิงระหว่างกัน


ขอเพียงมิได้วิญญาณแตกสลายไปอย่างแท้จริง เทพอากาศก็คงจะไม่สนใจ หากมิได้พบอุปสรรคหรือความยากลำบาก…ต่อให้สายเลือดสูงส่งกว่านี้ก็ยากนักที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ เทพอากาศถึงขั้นลอบเติมเชื้อไฟด้วยการจัดสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าให้บุตรของตน!


“จักรพรรดิเทพมารแดง…” เจียวอวิ๋นหลิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


เขาและท่านชายใหญ่ต่อสู้กันมานานปีถึงเพียงนี้ เขาตกเป็นรองมาโดยตลอด ก็เพราะผู้ปกครองต่างเผ่า…จักรพรรดิเทพมารแดงผู้นี้นั่นเอง!


ผู้ปกครองคนหนึ่งช่วยเหลือพี่ใหญ่ของเขา พลังของทั้งสองฝ่ายจึงไม่สามารถเทียบกันได้เลย ดังนั้นทุกครั้งจึงต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัส นิสัยของพี่ใหญ่เขาเลือดเย็นและบ้าคลั่ง ทรมานเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้ซึ่งบำเพ็ญอยู่ ณ จุดที่ลึกที่สุดของ ‘ภูเขาบรรพชนคีรีมาร’ กลับมองดูทั้งหมดนี้อย่างเยือกเย็น โดยคร้านที่จะไปยุ่งเกี่ยว


“ส่งมาเถอะ ครั้งนี้ข้าอารมณ์ดี จะไม่แกล้งเจ้าแล้ว” นัยน์ตาของบุรุษเกราะทองแฝงแววรอคอยและบ้าคลั่งอยู่ เขาก็คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้จะสามารถค้นพบ ‘ต้นผลวิเศษมารดำ’ ได้ หากมิได้กลัวว่าน้องชายของเขาจะทำลายต้นผลไม้นั้น เขาก็คงลงมือไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เขารอให้มันสุกมาโดยตลอด อีกทั้งผลวิเศษมารดำก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แทบมิอาจทำลายได้เลย เขาจึงลงมืออย่างเปิดเผยซึ่งหน้า หากได้วัตถุประหลาดนี้มา เขาก็หวังว่าจะตื่นรู้และก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองได้


“เจ้าเพ้อฝันไปแล้ว” เจียวอวิ๋นหลิวพูดเสียงต่ำ


“น่าเสียดาย เจ้าคิดจะทำลายมันก็มิอาจทำได้ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับปาก เช่นนั้นข้าก็ทำได้แค่ลงมือแล้ว” บุรุษเกราะทองพูดเสียงเบา “ประเดี๋ยวตอนลงมือ ไม่จำเป็นต้องไว้น้ำใจเลย ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยงแล้วเอาผลวิเศษมารดำกลับมาให้ได้”


“ขอรับ” กลุ่มองครักษ์ใต้บังคับบัญชาพากันรับคำสั่ง


บุรุษเกราะทองมองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ข้างกาย นี่จึงจะเป็นหลักประกันชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา เพื่อที่จะดึงตัวผู้ปกครองท่านหนึ่งให้มาทำประโยชน์ให้เขา เขาก็ได้เสียแรงไปไม่น้อย


จักรพรรดิเทพมารแดงพยักหน้าเบาๆ


“ตู้มมม…


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวยืนอยู่ตรงนั้น แต่วังข้างกายเขากลับมีค่ายกลวงแล้ววงเล่าปะทุออกมา ค่ายกลต่างๆ ทั่วทั้งดวงดาราถูกกระตุ้นขึ้นมา อานุภาพโหมกระหน่ำ


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวผู้อยู่ภายใต้การคุ้มกันของค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเข้าไปในวัง  เขามองผ่านประตูหน้าไปยังศัตรูด้านนอกกลุ่มนั้นพลางคำรามด้วยเสียงดุดัน “เจียวอวิ๋นเถิง เจ้าอย่าคิดว่าจะได้ไปเลย ถึงข้าจะตายก็ไม่มีทางให้เจ้าได้ไปหรอก”


“ตายไม่ตายอะไรกันเล่า ก็แค่ทำลายร่างแยกของเจ้าไปร่างเดียวเท่านั้นเอง เจ้าเป็นน้องชายข้า ข้าจะกล้าปลิดชีพเจ้าจริงๆ ได้อย่างไรกัน” บุรุษเกราะทองยิ้ม “ยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เจ้าพูดผิดไป รอจนฆ่าพวกเจ้าจนเกลี้ยง ผลวิเศษมารดำก็จะตกเป็นของข้าแล้ว เจ้าขัดขวางไม่ได้หรอก”


“องครักษ์ทั้งหลาย รีบอารักขาท่านชายเร็วเข้า” องครักษ์ประจำตัวอีกคนหนึ่งของเขาวุ่นวายใจขึ้นมา จึงรีบถ่ายเสียงอย่างร้อนรน


ฟิ้วๆๆ…


ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์ที่กระจายตัวกันอยู่ตามคูหาต่างๆ ภายในดวงดาราก็เร่งมาจนถึงทันที ดวงดาราก็ใหญ่แค่เท่านี้ ลำพังแค่บินท่องมา แต่ละคนใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงนอกวังของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งได้รับสารและเร่งตรงเข้ามาด้วย


สายตาของบุรุษเกราะทองกวาดผ่านเหล่าองครักษ์ที่กำลังเร่งเข้ามากลุ่มนั้นพลางยิ้มหยัน “พวกคนโง่เง่า ลงมือเถอะ ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง!”


8 พลังอันน่าหวาดหวั่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ขอรับ”


องครักษ์กลุ่มนี้ทุกคนล้วนมีแววสังหารสูงเทียมฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉาอวิ๋นหนงที่เพิ่งเผยสถานะที่แท้จริงออกมาเองก็ยิ่งคันไม้คันมืออยากจะเคลื่อนไหวและสำแดงพลังออกมา ทางฝ่ายพวกเขามีผู้ปกครอง  ‘จักรพรรดิมารแดง’ อยู่ ทำให้พวกเขามั่นใจในตนเองหาใดเปรียบ เพราะถึงอย่างไรความแตกต่างระหว่างระดับผู้เคารพและระดับผู้ปกครองก็มากเกินไปแล้วจริงๆ ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครอง ก็จะเป็นการวิวัฒน์จากแก่นแท้!


อย่างผู้ครองชิงที่สามารถกวาดล้างผู้เคารพกลุ่มหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียว  แต่ตอนนั้นเขามีวิถีถึงสามสายที่บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุด ก็เพียงแค่เทียบเคียงได้กับ ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัว’ ซึ่งทำทีเป็นอ่อนแอที่สุด เพื่อจงใจปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ในตอนนั้น จะเห็นได้ว่าผู้เคารพและผู้ปกครองนั้นแตกต่างกันมากเพียงใด


พวกเขาต้องชนะแน่นอน! นี่คือการเข่นฆ่ายกหนึ่ง!


“ตู้มๆๆๆๆๆ…”


พวกเขาแต่ละคนแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ก็เร่งตรงมาอย่างรวดเร็วด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจอยู่บ้าง


“พี่ฉง พี่ซานตาน เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าใดนัก องครักษ์ฉง ซานตานและคนอื่นๆ ที่บินมาข้างกายเขาด้วยความเร็วสูงเช่นกันต่างก็สีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ติดตามท่านชายมานานกว่า เพียงแวบเดียวก็จำท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ ที่อยู่ไกลออกไปผู้นั้นได้แล้ว และเห็นชายชราผมแดงผู้มีตาข้างเดียวคนนั้นด้วย ซึ่งนั่นก็คือสิ่งมีชีวิตที่พวกเขามิอาจต้านทานได้…ผู้ปกครอง ‘จักรพรรดิเทพมารแดง’ นั่นเอง


“ท่านชายใหญ่นำคนมาแล้ว ข้างกายเขาคือผู้ปกครองจักรพรรดิเทพมารแดง” ซานตานรีบถ่ายเสียงบอกตงป๋อเสวี่ยอิง


“มีจักรพรรดิเทพมารแดงอยู่ ครั้งนี้พวกเราต้องเอาชีวิตมามอบให้อีกแล้ว” องครักษ์ฉงรู้สึกขมขื่นขึ้นมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที


ในช่วงสามสิบล้านปีนี้ เขาได้ออกมาบ้างเป็นครั้งคราว และได้เรียนรู้จากเหล่าองครักษ์คนอื่นๆ บ้างคร่าวๆ จึงได้รู้ข้อมูลอะไรอยู่บ้าง และได้รู้ว่าผู้ที่ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเจ้านายตนเห็นเป็นปฏิปักษ์ที่สุดก็คือ ท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’


“พวกเขาบุกเข้ามาแล้ว!”


“ก่อนจักรพรรดิเทพมารแดงจะลงมือ ฆ่าได้กี่คนก็ฆ่าเสีย”


“สู้สุดชีวิต!”


เหล่าองครักษ์ที่เร่งตรงมากลุ่มนี้ประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว และรู้ว่าไม่มีโอกาสคว้าชัยได้เลย ในใจของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความเดือดดาล ดีร้ายอย่างไรพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผู้เคารพ มีหน้ามีตา มีเกียรติยศของพวกเขาเอง! พวกเขาไม่ยอมถูกล้างสังหารง่ายๆ เช่นนี้หรอก ย่อมต้องโจมตีกลับแน่นอนอยู่แล้ว ถือโอกาสที่จักรพรรดิเทพมารแดงยกตนสูงส่งอยู่จนไม่ได้ลงมือ สามารถปลิดชีพคนหนึ่งได้ก็ทำเสีย


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเหล่าผู้แกร่งกล้าของฝ่ายศัตรูซึ่งมีแววสังหารสูงเทียมฟ้าซึ่งแปรเป็นลำแสงสายแล้วสาย แล้วปรายตามองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งอยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง นัยน์ตาแฝงแววรอคอย “ก่อนที่จักรวาลผู้บำเพ็ญและลัทธิจอมมารดาจะเปิดศึก ข้ามีโอกาสได้ประมือกับผู้ปกครองก่อน หาโอกาสดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!”


“ฟิ้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีลูกดอกปรากฏขึ้นหกดอก หลังจากร่างผู้ท่องอากาศบรรลุถึงระดับขั้นชั้นที่หก พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นก็แทรกเข้าไปภายในลูกดอกเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ อาศัยพละกำลังเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถบดขยี้ผู้รักษากฎทิพย์ทั้งสามในตอนนั้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อรับมือกับผู้เคารพกลุ่มหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากเกินไปเลย เขาสะบัดลูกดอกออกไปทันที


ลูกดอกหกดอกหายวับไปกลางอากาศแล้วเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม


จากนั้นในมือตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีลูกดอกปรากฏขึ้นอีกหกดอก ก่อนจะสะบัดออกไปอีกครั้ง! ลูกดอกชุดนี้ได้มาจากผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดา ชุดหนึ่งมีสิบสองดอกพอดี


ลูกดอกสิบสองดอกลอยอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียม แต่ละดอกมีอานุภาพอันน่าหวาดหวั่น ภายใต้การควบคุมฟ้าดินโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิง ลูกดอกทั้งสิบสองดอกก็โผล่ออกมาจากฟ้าดินโลกเทียมพร้อมกัน แล้วปรากฏขึ้นด้านหน้าองครักษ์สิบสองคนในกลุ่มนั้น องครักษ์ทั้งสิบสองคนสกัดกั้นเอาไว้ไม่ทันเลยแม้แต่คนเดียว เพราะบัดนี้วิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดเรียบร้อยแล้ว ในจักรวาลผู้บำเพ็ญ ก็ไม่มีผู้เคารพหน้าไหนสามารถรู้ตัวล่วงหน้าได้เลยสักคน


ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์ทั้งสิบสองก็ถูกลูกดอกปักเข้าที่อก ลูกดอกทะลุแผ่นอกของพวกเขาไป จากนั้นลูกดอกก็หายวับไป


ชั่วขณะที่ลูกดอกทะลุแผ่นอกของพวกเขาไปนั่นเอง


พละกำลังอันไร้รูปร่างที่เต็มไปด้วยแววอาฆาตอันน่าหวาดหวั่นพลันถูกส่งถ่ายเข้ามาในร่างพวกเขา ทุกอณูทั่วร่างของพวกเขาล้วนสั่นสะเทือนคราหนึ่ง


เดิมทีองครักษ์ทั้งสิบสองกำลังบินไปด้วยความเร็วสูง แต่จากนั้นก็ชะงักก่อนจะเริ่มกระเด็นลอยไปตามแรงที่ทะลุผ่านมา ความเร็วก็ลดลง ทำให้องครักษ์เหล่านั้นพากันมองมาด้วยความงุนงง


“ฟิ้ว…”


ร่างกายขององครักษ์แต่ละคนเริ่มถล่มทลายลงราวกับกรวดทรายอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็มลายหายไป


องครักษ์สิบสองนาย…ร่างกายต่างก็ถล่มทลายไปจนสิ้น ในจำนวนนั้นมีร่างขององครักษ์คนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งจากความว่างเปล่า เขาสวมอาภรณ์สีดำทั้งร่าง ร่างกายคุดคู้อยู่ นัยน์ตาสีเขียวภายใต้อาภรณ์สีดำมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตื่นตระหนก


ทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบงันไปอย่างสิ้นเชิง!


ไม่ว่าจะเป็นเหล่าองครักษ์ทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิงหรือว่าเหล่าองครักษ์ของท่านชายใหญ่ก็ล้วนหยุดลงทั้งสิ้น


……


“เหตุใดจึงเป็นเขาอีกแล้ว เป็นเขาอีกแล้วรึ ข้าไม่ยอม ไม่ยอมหรอก!” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางบุรุษเกราะทองซึ่งอยู่ไกลออกไป ร่างกายสั่นเครือไปหมด เห็นได้ชัดว่าโกรธแค้นจนถึงขีดสุด “ข้าพบต้นผลวิเศษมารดำแล้วอดใจรอมานานถึงเพียงนี้ ก็เพื่อรอจะใช้ผลวิเศษมารดำช่วยให้ข้าฝึกจนบรรลุได้ ไยเขาจึงมาอีกแล้วเล่า ข้าไม่ยอมจริงๆ นะ!”


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางเหล่าองครักษ์ใต้บังคับบัญชาของตนที่อยู่ไกลออกไปและองครักษ์ของพี่ชายกลุ่มนั้นซึ่งกำลังจะต่อกรกัน ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดนัก


เขาเข้าใจดี


จักรพรรดิเทพมารแดงผู้นั้นต้องลงมือตามอำเภอใจแล้วล้างสังหารองครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไปหลายคน เหล่าองครักษ์คนอื่นๆ ก็จะถูกล้อมโจมตีและถูกสังหารตาย


“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี” เจียวอวิ๋นหลิวรู้สึกความแค้นเคือง สิ้นหวัง และไม่ยินยอม โลหิตภายในกายเดือดพล่าน สมองจวนจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ


ทันใดนั้น…


เจียวอวิ๋นหลิวก็ชะงักงันไป


เขามองออกไปไกลด้วยความตกตะลึง ลูกดอกสิบสองดอกทะลุแผ่นอกขององครักษ์สิบสองนาย จากนั้นก็หายวับไป ร่างกายขององครักษ์เหล่านั้นถล่มทลายไป มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อีกครั้ง


สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวตกต้องลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไป ยามนี้เบื้องหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงมีลูกดอกสิบสองดอกนั้นปรากฏขึ้นมา เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บลูกดอกลงไป


“องครักษ์ตงป๋อรึ” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ


……


ตกใจจนตะลึงงันไป


ตกใจจนโง่งมไปเสียแล้ว!


อย่าว่าแต่องครักษ์ของฝ่าตรงข้ามกลุ่มนั้นเลย แม้แต่พวกพ้องข้างกายตนเหล่านี้ก็ตกใจจนตะลึงงันไปกันหมดแล้ว


แค่ขว้างลูกดอกจำนวนหนึ่งออกไป องครักษ์ระดับผู้เคารพก็สิ้นใจไปสิบเอ็ดนายแล้วอย่างนั้นหรือ บนร่างขององครักษ์เหล่านั้นล้วนมีเกราะสวมเอาไว้ แต่ก็ถูกแทงทะลุจนตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้วอย่างนั้นหรือ


ท่านชายใหญ่ผู้นั้นมีองครักษ์ทั้งหมดสักเท่าใดกันเชียว ทั้งหมดก็แค่ยี่สิบกว่านายเท่านั้น! จะพอให้สังหารได้สักกี่ครั้งกันเล่า


“น้องตงป๋อหรือ” ซานตาน องครักษ์ฉงและคนอื่นๆ พากันตกตะลึงไป พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เคยเรียนรู้กับพวกเขาสองสามครั้งซึ่งมีอัธยาศัยดีมากผู้นี้จะน่าหวาดหวั่นถึงขั้นนี้ไปได้


“ยังไม่ไปอีกรึ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแต่กลับไม่หยุดลง เขาบินต่อไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวซึ่งอยู่ห่างออกไป


“ถอย!” เหล่าองครักษ์ของท่านชายใหญ่แต่ละคนพากันกลัวจนต้องรีบหนีไป พวกเขาไม่มีความคิดที่จะสู้เลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งกว่าผู้ครองชิงและผางอีตอนก่อนที่จะสำเร็จเป็นผู้ปกครองมากนัก สำหรับผู้เคารพเหล่านี้แล้ว เป็นการล้างสังหารโดยแท้


“แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว มิน่าเล่า พวกท่านอาจารย์จึงมิให้เหล่าผู้เคารพร่วมสงครามครั้งสุดท้ายด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แม้แต่พลังของตนก่อนหน้านี้ เหล่าผู้ปกครองก็ยังไม่แยแส มีแต่พละกำลังของ ‘น้ำเต้าสีดำ’ เท่านั้นที่พอจะช่วยได้บ้าง


“ทว่าข้าในตอนนี้ คงจะเพียงพอแล้วกระมัง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังจักรพรรดิเทพมารโลหิตที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ร่อนลงหน้าประตูวัง พลางมองไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวซึ่งแตกตื่นอยู่บ้างผู้นั้น “ท่านชาย”


“องครักษ์ตงป๋อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวตื่นตระหนกมากเกินไปแล้วจริงๆ เขาก็แค่ต้อนรับขับสู้องครักษ์ตงป๋อซึ่งเพิ่งจะเข้าร่วมใหม่ผู้นี้ตามความเคยชินที่ต้อนรับองครักษ์อย่างที่แล้วๆ มาเท่านั้น มิได้รู้สึกว่าสำคัญมากแต่อย่างใด วันนี้เขากลับตะลึงงันไปแล้ว ‘องครักษ์ตงป๋อ’ ผู้นี้ช่างเหนือกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้จริงๆ เกรงว่าเหล่าองครักษ์ทั้งกลุ่มของพี่ชายตนร่วมมือกันก็ยังได้ผลถูกกวาดล้างเช่นเดิม


“ท่านชายไม่จำเป็นต้องกังวลใจไปนะขอรับ ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายท่านชายได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“ดีๆๆ เจ้าต้องระวังจักรพรรดิเทพมารแดงผู้นั้นเอาไว้ให้ดีล่ะ เขาเป็นผู้ปกครอง ร้ายกาจยิ่งนัก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวกลับยังคงไม่สบายใจ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงผู้ปกครอง


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม


จะเอาชนะผู้ปกครองได้หรือไม่นั้นเขาก็ยังไม่มั่นใจนัก แต่เขากลับมั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถปกป้องท่านชายได้เป็นอย่างดี! เมื่อบรรลุผู้ท่องอากาศชั้นที่หกแล้ว เขาก็แข็งแกร่งด้านการควบคุมอากาศยิ่งนัก จนสามารถพาท่านชายหนีจากไปได้ในชั่วพริบตาเดียว


ทว่าเขาก็คงไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ


“ปากดีนัก” น้ำเสียงเยียบเย็นส่งมาจากที่ไกลโพ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า


ใบหน้าของบุรุษเกราะทอง ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ ที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปเต็มไปด้วยความโมโห “เจ้าเป็นองครักษ์คนใหม่ที่น้องชายผู้ไร้ความสามารถของข้าเพิ่งรับมาหรือ เฮอะ เจ้าประเมินตนเองสูงเกินไปแล้ว” เขามองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ข้างกาย


ตาข้างเดียวของจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งอยู่ด้านข้างกลับมีแต่ความราบเรียบ ทั้งยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย “หนุ่มน้อย พลังไม่เลวเลยนี่ ในหมู่ผู้เคารพก็เพียงพอให้เรียกว่าไร้ศัตรูได้แล้ว เอ้อ เจ้าชื่ออะไรหรือ”


“ข้าชื่อตงป๋อเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม


จักรพรรดิเทพมารแดงรู้สึกนึกสนุกขึ้นมา “ข้าจะสังหารท่านชายของเจ้าแล้วชิงเอาผลวิเศษมารดำไป เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าอยากจะประมือกับข้าน่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มความตื่นเต้นและรอคอยเอาไว้ การบำเพ็ญสามสิบล้านปีทำให้เขาประเมินพลังตนเองได้ไม่แม่นยำอยู่บ้าง สงครามครั้งสุดท้ายของบ้านเกิดที่จวนจะมาถึงทำให้เขาตั้งตารอคอยที่จะได้ประมือกับผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มองไปยังจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งยืนอยู่กลางอากาศผู้นั้น สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สาดประกายออกมา พลางแสยะยิ้มพูดว่า “ข้าตั้งตารอคอยที่จะได้ต่อสู้กับท่านสักยกหนึ่ง ที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยต่อสู้กับผู้ปกครองมาก่อนเลย”


9 ตงป๋อเสวี่ยอิงปะทะผู้ปกครอง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


จักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งอยู่กลางอากาศมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง และรู้สึกว่าน่าสนุกยิ่งขึ้นไปอีก “หนุ่มน้อย ก็เพราะเจ้าไม่เคยสู้กับผู้ปกครองมาก่อนนี่แหละ เจ้าจึงกล้าท้าทายข้า อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เองว่า การท้าทายผู้ปกครองคนหนึ่งเป็นเรื่องโง่งมเพียงใด”


“จักรพรรดิเทพมารแดง ฆ่าเขาเสีย” ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงที่อยู่ด้านข้างคำรามเสียงต่ำ “ฆ่าเขาเสีย”


“จักรพรรดิเทพ จะให้เขาตายง่ายๆ ไม่ได้หรอก ดูสิว่าเขาจะกล้าโอหังอีกหรือไม่” ฉาอวิ๋นหนงคนทรยศซึ่งเพิ่งจะหันไปสวามิภักดิ์ต่อท่านชายใหญ่ตะโกนสวนขึ้นมา ทำให้เหล่าองครักษ์คนอื่นๆ ของท่านชายใหญ่ฟังแล้วลอบบ่นขึ้นมาในใจ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูก็ต้องสังหารให้ตาย แต่พลังอันแข็งแกร่งของตงป๋อเสวี่ยอิง ต่อให้ร่างแยกถูกสังหารไป ทุกคนก็ยังยอมรับนับถือจากก้นบึ้งของหัวใจ


ต่อให้เขาโอหัง ก็เพราะดาบีพอที่จะโอหัง จักรพรรดิเทพมีคุณสมบัติพอที่จะสั่งสอนได้ คนทรยศอย่างเจ้าคนหนึ่งจะแหกปากหาอะไรกันเล่า


“ประมือกับผู้ปกครองหรือ” ทางฝั่งท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวแต่ละคนกลับตึงเครียดเป็นอันมาก เหล่าองครักษ์เช่นซานตาน องครักษ์ฉงและคนอื่นๆ ต่างพากันกังวลใจ แม้ก่อนหน้านี้จะได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอานุภาพอันเกรียงไกรออกมา พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจสักเท่าใดนัก


มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเองเท่านั้นที่มีแววรบสูงเทียมฟ้า


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรดาผู้ปกครองล้วนสร้างบริเวณกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองด้วยกันทั้งสิ้น” จักรพรรดิเทพมารแดงกล่าว ร่างกายของเขาเริ่มปลดปล่อยรัศมีอันเรืองรองออกมา รัศมีนั้นส่องสะท้อนไปรอบด้าน ปกคลุมไปทั่วบริเวณนับพันเมตร


“นี่คือบริเวณของข้า…”


ทันใดนั้นเค้าร่างของเขาก็ขยับไหวแล้วบีบเข้าไปใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิงทันที ตาข้างเดียวดวงนั้นของเขาจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง ระยะห่างระหว่างกันถือว่าใกล้มากแล้ว บริเวณที่เขาปลดปล่อยออกมาก็เข้าปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ “บริเวณ…กระจายตัว!”


“ฟึ่บๆๆ…”


ทุกสิ่งภายในบริเวณของเขาเริ่มแตกสลาย ไม่ว่าจะเป็นอากาศหรือดินโคลนบนพื้นล้วนเริ่มกระจายตัวออก


พลังกระจายตัวของกฎเกณฑ์ระลอกหนึ่งส่งผลต่อร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิเทพมารแดงมองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะเมื่อพลังกระจายตัวอันไร้รูปร่างนี้ปกคลุมลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เหมือนกับเหนี่ยวนำเอาพลังที่แท้จริงอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเก็บซ่อนไว้ออกมา “ตู้ม!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นพลันปะทุออกมา ทุกสิ่งรอบด้านเริ่มบิดเบือนไป คลื่นสีเทาอันไร้รูปร่างแผ่คลุมรอบด้าน แล้วทำลายพลังกระจายตัวลงไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะเริ่มปะทะเข้ากับรัศมีอันเรืองรองที่จักรพรรดิเทพมารแดงปลดปล่อยออกมา


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ระลอกคลื่นสีเทาที่ปลดปล่อยออกมาจากผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทะเข้ากับรัศมีอันเรืองรองที่แผ่ออกมาจากร่างของจักรพรรดิเทพมารแดงอย่างรุนแรงเสียงดังสนั่น บริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นรองกว่าเล็กน้อย


“อะไรกัน!”


“บริเวณกฎเกณฑ์หรือ”


“เขาก็มีบริเวณกฎเกณฑ์ด้วยหรือ”


ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิง ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวและเหล่าองครักษ์คนอื่นๆ ที่ชมการต่อสู้อยู่พากันตกตะลึงไป แม้แต่จักรพรรดิเทพมารแดงก็ยังมีสีหน้าตื่นตกใจ


“เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาเป็นผู้เคารพ” เหล่าองครักษ์ของทั้งสองฝ่ายตะลึงงันไปหมด


“ร่างกายของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแกร่งเสียจนก่อให้เกิดบริเวณกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองตามธรรมชาติเลยทีเดียว” ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเย็นชา ปากก็พูดต่อไปว่า “ผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เช่นระบบกฎเกณฑ์ของลัทธิจอมมารดา หรือระบบกฎเกณฑ์พลรบที่แข็งแกร่งที่สุด …ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ก็มีผู้เคารพที่ยอดเยี่ยมเป็นอันมาก ในช่วงผู้เคารพนั้นร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงก่อกำเนิดบริเวณกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย”


……


จักรพรรดิเทพมารแดงมองตงป๋อเสวี่ยอิง ในดวงตาข้างเดียวนั้นฉายแววแตกตื่นระคนตกใจ “ระดับผู้เคารพ ร่างกายของเจ้าก็สามารถก่อให้เกิดบริเวณกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองตามธรรมชาติแล้ว! นับถือๆ เกรงว่าหากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว ข้าก็คงจะสู้เจ้าไม่ได้”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม


อันที่จริงอย่างผู้รักษากฎทิพย์ของลัทธิจอมมารดาก็สามารถปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างออกมาได้แล้ว นั่นนับได้ว่าเป็นบริเวณกฎเกณฑ์ขนาดเล็กแล้ว ส่วนระบบผู้ท่องอากาศนั้นไม่เหมือนกัน ตนฝึกมาโดยตลอดจนถึงชั้นที่หก หากพูดถึงความแข็งแกร่งของกายหยาบเพียงอย่างเดียว คาดว่าคงจะสามารถเทียบได้กับเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งเพิ่งจะบรรลุ การควบคุมร่างกายที่มีต่ออากาศรอบด้านจึงก่อให้เกิดบริเวณกฎเกณฑ์ขึ้นมาในที่สุด! บริเวณกฎเกณฑ์ของตน…ค่อนไปทางด้านอากาศ


ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่มีความหยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย


เช่นประมุขเกาะกาลมิติและเจ้าแม่กานเหอ หากพูดถึงร่างกายของพวกเขา เกรงว่าคงจะสู้ผู้รักษากฎทิพย์ลัทธิจอมมารดามิได้ แต่ด้วยข้อได้เปรียบอย่างมหาศาลทางด้านกฎเกณฑ์ ทำให้พวกเขาสามารถสังหารผู้รักษากฎทิพย์ได้อย่างง่ายดาย


ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน…


แม้จักรพรรดิเทพมารแดงตรงหน้าผู้นี้จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าตน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญมิใช่กายหยาบ ตามข้อมูลที่ท่านชายสามมอบให้ สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายก็คือตาข้างเดียวนั่นเอง!


“จักรพรรดิเทพมารแดง สำหรับพวกเราแล้ว แค่บริเวณกฎเกณฑ์อันหนึ่งไม่ส่งผลกระทบอันใดหรอก สำแดงพลังที่แท้จริงออกมาเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีหอกยาวสีเงินเล่มนั้นปรากฏขึ้น


“ข้าเห็นดีในตัวเจ้ามากจนไม่อยากจะฆ่าเจ้าเลย แต่ในเมื่อเจ้าอยากรนหาที่ตายเอง…” จักรพรรดิเทพมารแดงส่ายหน้า เขายินดีที่จะผูกสัมพันธ์กับคนที่สามารถสร้างบริเวณกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้ตั้งแต่ยังเป็นผู้เคารพ ทว่าครั้งนี้ต้องเอาผลวิเศษมารดำมาให้ได้ อีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าควรรุกหรือถอยเมื่อใด “เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว”


วิ้งๆๆๆๆๆ!


ตาข้างเดียวของจักรพรรดิเทพมารแดงปลดปล่อยรัศมีออกไป ร่างกายก็พลันกลายเป็นเลือนรางไปในทันใด รอบด้านเริ่มปรากฏเป็นเงาร่างของจักรพรรดิเทพมารแดงร่างแล้วร่างเล่า


จักรพรรดิเทพมารแดงนับร้อยคนกระจายตัวอยู่ทั่วทุกทิศทุกทางบนฟากฟ้าและเหนือผิวดิน แล้วห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิง เอาไว้อย่างสิ้นเชิง แต่ละคนล้วนมองตงป๋อเสวี่ยอิง


“ลงมือแล้ว”


“จักรพรรดิเทพมารแดงสำแดงท่าไม้ตายออกมาแล้ว”


“ร่างแปรจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ จะโจมตีอย่างไรเล่า หาร่างจริงไม่พบเลย! อีกทั้งร่างแปรแต่ละร่างยังมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก”


เหล่าองครักษ์ของทั้งสองฝ่ายและท่านชายทั้งสองชมการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น


……


“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีแววสงครามสูงเสียดฟ้า รายงานของท่านชายสามบันทึกเอาไว้ละเอียดมากว่า เท่าที่เขาทราบ กระบวนท่าของจักรพรรดิเทพมารแดงที่มีชื่อเสียงและร้ายกาจที่สุดก็คือกระบวนท่านี้…ร่างแปรนั่นเอง! ร่างจริงสามารถสับเปลี่ยนในหมู่ร่างแปรได้ อีกทั้งพลังรบของร่างแปรก็ห่างชั้นกับผู้เคารพทั่วไปมากนัก ลำพังแค่ข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนก็ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังแล้ว


“ตายเสียเถอะ!” เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบ พละกำลังและความเร็วของผู้ท่องอากาศปะทุออกมาจนสิ้น ทำให้จักรพรรดิเทพมารแดงตระหนกตกใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็แอบหัวเราะเยาะอย่างสงบนิ่ง “พวกผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งพรรค์นี้ ต่อสู้ได้แค่ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ค่อนข้างโง่งม โจมตีให้พ่ายแพ้ได้ง่ายดายนัก”


“แคว่ก!”


อากาศถูกตัดเฉือน


หอกยาวสีเงินทิ้งร่องรอยสายแล้วสายเล่าเอาไว้กลางอากาศโดยรอบ และเชือดเฉือนตามอำเภอใจ กวาดไปทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง บรรดาร่างแปรทั้งหลายของจักรพรรดิเทพมารแดงต่างก็ถือดาบรบสีดำเล่มใหญ่เข้ามาล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง


แต่ ปังๆๆๆ…


ร่างแปรแต่ละร่างบ้างก็ถูกหอกยาวเฉือนออกเป็นสองซีก บ้างก็แทงทะลุร่างกายไป


ช่างเป็นการกดดันจริงๆ


“วิถีหอกร้ายกาจนัก” ร่างจริงของจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งอยู่ท่ามกลางร่างแปรทั้งหลายซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างห่างจากตงป๋อเสวี่ยอิงมาโดยตลอดพลางลอบมองดู ขณะเดียวกันสีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปรไป “การต่อสู้ของเขาไม่โง่งมเลยแม้แต่น้อย ระดับความพิสดารของวิถีหอกของเขาทำเอาข้ามองไม่ออกเลย”


ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดของวิถีเข่นฆ่า ขาดเพียงแค่ก้าวสุดท้าย วิถีเข่นฆ่าก็จะสมบูรณ์แบบตลอดนิรันดร์กาลได้! วิถีหอกที่มีระดับขั้นเช่นนี้จะสกัดกั้นได้ง่ายๆ ถึงเพียงนั้นเสียที่ไหนกันเล่า


หากร่างจริงของเขาเข้าไปขัดขวางก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่แค่ร่างแปรเพียงร่างหนึ่งน่ะหรือ ถ้าร่างแปรต่อสู้กับผู้เคารพทั่วไปก็แล้วไปเถิด แต่จะต่อกรกับตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังห่างชั้นนัก!


“น่าเสียดายที่ข้ามีจำนวนมากกว่า!”


“พอแล้ว ไม่เล่นแล้ว ฆ่าเขาเสีย”


ร่างแปรของจักรพรรดิเทพมารแดงตายจากไปทีละร่างๆ แต่กลับมีร่างแปรใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีก จำนวนรวมของร่างแปรมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้น…ร่างแปรทั้งหมดก็พรั่งพรูเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีหอกเพียงเล่มเดียวเท่านั้น จะสังหารร่างแปรทั้งหมดทิ้งได้อย่างไรกันเล่า


“ฟึ่บ”


มีร่างแปรสองร่างที่มิอาจต้านทานได้ ร่างหนึ่งในจำนวนนั้นสลับมาเป็นร่างจริงในทันใด


ประกายดาบกลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมา ก่อนจะวาดผ่านร่างกายของพวกเขาไป ราวกับเชือดเฉือนผ่านอากาศอันว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น!


สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย


“ฟึ่บ!”


เมื่อถึงคราวคับขัน ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ซ่อนตัวอยู่ในฟ้าดินโลกเทียม แต่ก็ยังคงถูกเชือดไปดาบหนึ่ง ทำเอาอาภรณ์ที่ท่านชายสามมอบให้เสียหายไป และทิ้งรอยสีขาวเอาไว้บนผิวหนัง


ฟึ่บๆๆ…


ร่างแปรทั้งหลายล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกฟันครั้งแล้วครั้งเล่า!


ส่วนวิถีหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกไปสังหารร่างแปรครั้งแล้วครั้งเล่ากลับมิได้กระทบถูกร่างจริงเลย


“ทุกครั้งที่ออกกระบวนท่าก็หลบหลีกไปได้ทันควัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ “เห็นทีอาศัยแค่ร่างกายอย่างเดียว คิดจะเอาชนะก็ยังห่างไกลนัก”


“เคล็ดลับอันแข็งแกร่งที่สุดซึ่งข้าสู้อุตส่าห์ปรับปรุงให้สมบูรณ์มาสามสิบล้านปี ให้ผู้ปกครองท่านนี้ได้ลิ้มลองเสียหน่อยเถอะ”


10 เคล็ดลับอันแข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ตู้มมมม…


ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นพลันแผ่ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทรที่โหมซัดสาดไปทุกสารทิศทั้งบนฟ้าและใต้ดิน!


ภายใต้ระลอกคลื่นสีแดงโลหิต ร่างแปรทั้งหลายของจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งเดิมทีล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้น ก็ร่างกายสั่นสะท้านก่อนจะสลายหายไปในทันที หากพูดถึงระดับความแข็งแกร่งของร่างแปรเหล่านี้แล้วก็สามารถเทียบกับผู้รักษากฎระดับยอดของลัทธิจอมมารดาได้เลยทีเดียว แต่ภายใต้ระลอกคลื่นสีแดงโลหิต ก็ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย! เมื่อถูกกระทบเข้าก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ฉากนี้ทำให้จักรพรรดิเทพมารแดงตกตะลึงไปจริงๆ!


“อะไรกัน นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิเทพมารแดงตกใจเสียจนถอยหลังกรูด


สวบๆๆ


เขาถอยไปอย่างรวดเร็ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตแผ่กำจายออกไปทั่วสารทิศ ขอบเขตที่แผ่รังสีออกไปขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นพันลี้ เป็นหมื่นลี้ ทำเอาท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ และเหล่าผู้เคารพใต้บังคับบัญชาของเขาที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างๆ พากันถอยหลังออกไปไกลขึ้นอีก


เมื่อแผ่รังสีออกไปกว่าหมื่นลี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บงำลงก่อนชั่วคราว


“นี่มันกระบวนท่าอันใดกัน”


“เหตุใดจึงมีอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ แม้แต่ร่างแปรกลุ่มหนึ่งของจักรพรรดิเทพมารแดงก็ยังต้องสังเวยชีวิตในพริบตา” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวและองครักษ์เหล่านั้นต่างตกตะลึงเหลือแสน องครักษ์ซานตานยิ่งไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ระดับผู้เคารพคนหนึ่งที่ตนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องไปอย่างนั้นเองในตอนนั้น…จะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ได้! บริเวณระลอกคลื่นสีแดงโลหิตที่สำแดงออกมาก็สามารถกวาดร่างแปรของจักรพรรดิเทพมารแดงออกไปได้ วิธีการเช่นนี้ต้องเป็นขั้นผู้ปกครองแน่นอนแล้วกระมัง


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวทั้งตกใจทั้งยินดี “หรือข้าจะโชคดีจริงๆ ที่ได้สิ่งมีชีวิตอย่างตงป๋อมาเป็นองครักษ์ของข้า”


เขากลับไม่รู้เลยว่า


ด้วยอุปนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากมิใช่เพราะท่านชายสามปฏิบัติต่อองครักษ์อย่างใจกว้างนัก อีกทั้งตัวเขาเองก็ต้องการกฎเกณฑ์ของระบบการบำเพ็ญอื่นเพื่อมาศึกษาเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะยอมรับปากเป็นองครักษ์ง่ายๆ ได้เล่า


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้า พลางมองดูจักรพรรดิเทพมารแดงซึ่งหลบอยู่นอกระลอกคลื่นสีแดงโลหิตด้วยความหวั่นเกรงอยู่บ้าง


“ทำไมรึ จักรพรรดิเทพมารแดง ท่านกลัวแล้วหรือ แม้แต้บริเวณที่ข้าสำแดงออกมา ท่านก็ยังไม่กล้าเข้ามาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “หากท่านกลัวเสียแล้ว ก็จะไม่มีทางได้ผลวิเศษมารดำไปหรอกนะ”


ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงที่อยู่ไกลออกไปร้อนใจขึ้นมา


นั่นสิ


หากไม่เอาชนะ ‘องครักษ์ตงป๋อ’ ผู้น่าหวาดหวั่นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนคนนี้ แล้วจะชิงผลวิเศษมารดำมาจากน้องชายได้อย่างไรกันเล่า


“จักรพรรดิเทพมารแดง” ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงก็มองไปทางจักรพรรดิเทพมารแดงเช่นกัน


ตาข้างเดียวของจักรพรรดิเทพมารแดงจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง


เกียรติยศศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ปกครอง จะปล่อยให้เขาทำเสื่อมเสียไม่ได้ง่ายๆ


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า บริเวณที่ผู้เคารพคนหนึ่งสำแดงออกมาจะสามารถสังหารข้าได้” จักรพรรดิเทพมารแดงทะยานไปทางบริเวณสีแดงโลหิตด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ มือของเขาก็ปะทะเข้ากับบริเวณสีแดงโลหิตก่อนตามธรรมชาติ


ฟิ้ว!


บริเวณแดงโลหิตพลันปะทุออกมา แล้วปกคลุมจักรพรรดิเทพมารแดงเอาไว้ทันที


จักรพรรดิเทพมารแดงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับมิได้เอ่ยคำใดออกมา เขาสัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันไร้รูปร่างได้ทำลายบริเวณกฎเกณฑ์ของเขาลงไปเสียแล้ว และกำลังแทรกซึมเข้าไปในกายเขา และส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา อีกทั้งระลอกคลื่นสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนรอบกายก็โอบล้อมเขาอย่างต่อเนื่อง ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ ไม่ว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะบินหรือเคลื่อนที่อย่างไร พันธนาการเหล่านี้ก็ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป อาการบาดเจ็บภายในกายก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย


“นี่มัน…”


จักรพรรดิเทพมารแดงนึกถึงศาสตร์ลับที่บันทึกเอาไว้ในระบบกฎเกณฑ์การบำเพ็ญอื่นขึ้นมาทันที


“บริเวณการเข่นฆ่าหรือ” จักรพรรดิเทพมารแดงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตกตะลึง


“นับว่าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หรอก มันสู้อานุภาพของบริเวณการเข่นฆ่าที่แท้จริงไม่ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


“อะไรนะ บริเวณการเข่นฆ่ารึ”


“บริเวณการเข่นฆ่าของระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูตน่ะหรือ”


ท่านชายทั้งสองและผู้เคารพทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ


ระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต เมื่อบรรลุถึงระดับผู้ปกครอง ทุกความเคลื่อนไหวล้วนสามารถปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้ อานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก ในจำนวนนั้น ทางสายการเข่นฆ่าของพวกเขาก็มีตำนานอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่า…‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ตามระบบของพวกเขา ต้องบรรลุถึงระดับผู้ปกครอง และสามารถปรับเปลี่ยนพลังการเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาลได้เสียก่อนจึงจะสามารถสร้างบริเวณการเข่นฆ่าขึ้นมาได้


ภายในบริเวณการเข่นฆ่า…ศัตรูเพิ่งจะเข้ามาถึงก็ต้องตายเสียแล้ว! ต่อให้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างพอถูไถ แต่เมื่อเข้าไปก็ต้องได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังอาการบาดเจ็บก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย! ขณะเดียวกันก็จะประสบกับการพันธนาการของบริเวณการเข่นฆ่า และการพันธนาการก็จะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ภายในบริเวณการเข่นฆ่า พลังรบของสิ่งมีชีวิตผู้ควบคุมบริเวณการเข่นฆ่าก็จะยกระดับขึ้น ตามหลักการแล้ว ต่อให้เป็นบรรดาผู้ปกครองที่แข็งแกร่งกว่านี้ ท้ายที่สุดก็ล้วนต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา!


แน่นอนว่านี่คือหลักการ!


เพราะว่าภายใน ‘จักรวาลคีรีมาร’ ผู้ใดก็มิอาจควบคุมพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้


“เขาฝึกบริเวณการเข่นฆ่าสำเร็จได้อย่างไรกัน”


“จักรวาลของเราสร้างขึ้นโดยท่านบรรพชน พลังต้นกำเนิดจักรวาลมิอาจควบคุมได้!” ท่านชายทั้งสองล้วนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เหล่าองครักษ์ก็ตะลึงงันกันไปหมด


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับเข้าใจดี


ตอนแรกเขาพบว่าสายการเข่นฆ่าของระบบจักรวาลเทวทูตนั้นมีส่วนช่วยเขาอย่างใหญ่หลวง จึงได้ขอให้ท่านชายช่วยเก็บรวบรวมศาสตร์ลับจำพวกนี้ เขาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและสั่งสมให้ ‘วิถีเข่นฆ่า’ มีรากฐานแน่นหนามากยิ่งขึ้น แต่ระหว่างการค้นคว้า ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้วิเคราะห์ศาสตร์ลับเหล่านี้จากแง่มุมของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เขาพบว่าศาสตร์ลับเหล่านี้ยังมีวิถีอื่นแฝงเอาไว้ด้วย เช่นวิถีแห่งระลอกคลื่น วิถีแห่งเปลวเพลิง วิถีแห่งการทำลายล้าง เป็นต้น


เห็นได้ชัดว่า


ในระบบจักรวาลเทวทูต  พวกเขาได้หลอมรวมสิ่งที่มีส่วนช่วยเรื่องการเข่นฆ่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหมือนบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แบ่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์ออกมาละเอียดยิบถึงเพียงนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงพบว่าอันที่จริง ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ นั้นประกอบด้วยวิถีเข่นฆ่าและวิถีแห่งระลอกคลื่นเป็นหลัก! ในระบบจักรวาลเทวทูตมีการใช้วิถีระลอกคลื่นมากมายนัก เพราะเมื่อเขาค้นคว้าศาสตร์ลับมากเข้า เขาก็ค่อยๆ สั่งสมด้านระลอกคลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ


เวลาสิบล้านปีในจักรวาลบ้านเกิด เขาก็ได้บุกเบิกวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าขึ้นมา


ส่วนในเวลาสามสิบล้านปีนี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้บุกเบิกวิถีสายที่สามขึ้นมา…ซึ่งก็คือวิถีแห่งระลอกคลื่น! ทั้งยังยกระดับวิถีแห่งระลอกคลื่นจนถึงระดับยอดสุด เข้าใกล้ขีดจำกัดขั้นสุดมากทีเดียว


วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นผสานกัน! อาศัยแง่มุมของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ค้นคว้ากระบวนท่า ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ นี้ แล้วปรับโครงสร้างขึ้นมาใหม่ให้สมบูรณ์! หลังผ่านวันคืนอันยาวนาน ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้คิดค้นเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบสามสิบล้านปีของเขา…บริเวณการเข่นฆ่าขึ้นมาได้! แม้จะสู้ฉบับดั้งเดิมมิได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชื่อว่า นี่เป็นเพราะวิถีทั้งสองของตนยังไม่บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล


ทันทีที่บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล


‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้! ที่ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของระบบจักรวาลเทวทูตแข็งแกร่ง ก็เพราะอาศัยการปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาล ส่วน ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนอาศัยกฎเกณฑ์เป็นหลัก ยิ่งกฎเกณฑ์แข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น


“ภายในบริเวณการเข่นฆ่า พลังของข้าก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาถือหอกด้วยมือข้างเดียว มือขวากวัดแกว่งไปตามอำเภอใจ


เฉือน! แทง! กวาด! จิ้ม! ดูด! พัน!


กระบวนท่าสำแดงออกมาตามอำเภอใจ แต่เมื่อผ่านการสะท้อนของระลอกคลื่นของบริเวณการเข่นฆ่า กลับก่อเกิดเป็นการโจมตีขึ้นมารอบกายจักรพรรดิเทพมารแดง! การโจมตีแต่ละกระบวนท่าราวกับสำแดงออกมาในระยะประชิด แปลกประหลาดยากเกินคาดเดา


“ข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อหรอกว่าผู้ปกครองที่เกรียงไกรอย่างท่านจะมีพลังน้อยนิดเท่านี้ สำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา เมื่อประมือกับผู้ปกครองท่านนี้ การเอาชนะมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออาศัยการต่อสู้ครั้งนี้สำรวจดูพลังที่แท้จริงของตนต่างหากเล่า!


“หากท่านไม่สำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมา ท่านก็จะพ่ายแพ้แล้วนะ” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่ว


ท่านชายทั้งสองและเหล่าองครักษ์ที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มองดูด้วยความตะลึงลาน


ผู้เคารพคนหนึ่งกล้าอวดดีเช่นนี้ เป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ แต่ยังให้อีกฝ่ายสำแดงพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ออกมาอีกหรือ โอหังเกินไปแล้วกระมัง


“ดีมาก ดีมาก” จักรพรรดิเทพมารแดงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขาคำรามเสียงต่ำว่า “ข้ามาถึงจักรวาลคีรีมารก็เพื่อฝึกฝนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบีบบังคับให้ข้าสำแดงพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ดีมาก ดีมาก…”


ตาข้างเดียวของเขาพลันกลายเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ


ตู้ม!


สีขาวโพลนเต็มไปหมด!


ความหนาวเย็นจนเสียดกระดูกระลอกหนึ่งพลันแผ่ออกไป แม้แต่ค่ายกลต่างๆ โดยรอบ ก็ยังถูกทำให้แข็งแล้วเริ่มแตกออก พวกท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวที่หลบอยู่ภายในวังจับตามองอย่างละเอียด


บริเวณการเข่นฆ่าสีแดงโลหิตยังคงพลิกหมุนและสั่นสะเทือนอยู่ เพียงแต่ขนาดในการพลิกหมุนต่ำลงบ้างอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้รับการกดดัน


ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายจะมีจริงแต่ก็เหมือนภาพลวง เขายังคงสัมผัสได้ว่าความหนาวเย็นอันน่าหวาดหวั่นแทรกซึมเข้ามาในฟ้าดินโลกเทียม และแทรกเข้าไปในร่างกายของตน


“เห็นทีการจะเอาชนะผู้ปกครองคนหนึ่ง มิใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพมารแดงที่อยู่ไกลออกไป ยามนี้ผิวกายของจักรพรรดิเทพมารแดงมีเกราะสีขาวชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้ว กลิ่นอายก็แข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว


“ครั้งก่อนที่ข้าสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าออกมา จักรวาลคีรีมารก็ยังต้องสยบให้บ้านเกิดของเรา” จักรพรรดิเทพมารแดงคำรามด้วยความโมโห “ผู้เคารพเช่นเจ้าคนหนึ่งอยากตาย ข้าก็จะช่วงสงเคราะห์ให้เจ้าตายเอง!”


จักรพรรดิเทพมารแดงโมโหจนแทบคลั่งขึ้นมาจริงๆ แล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้า มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ


11 ปิดฉาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

รอบกายเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บจนเสียดกระดูก ค่ายกลส่วนหนึ่งจับตัวแข็งและปริแตกออก หลายบริเวณของดวงดาราแห่งนี้ถึงขั้นเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปลิวขึ้นมา ท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ และเหล่าองครักษ์เช่นฉาอวิ๋นหนงชมการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้นอยู่ไกลออกไป เคราะห์ดีที่จักรพรรดิเทพมารแดงจงใจควบคุมให้ความหนาวเหน็บอันน่าหวาดหวั่นนั้นหลบหลีกพวกเขาออกไป พวกเขาเพียงแค่ถูกลูกหลงกระทบเล็กน้อย แต่ก็ยังคงตัวสั่นระริกอยู่บ้าง


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นเป้าหมายหลักกลับเผยรอยยิ้มออกมา เขามองดูจักรพรรดิเทพมารแดงที่กำลังคลุ้มคลั่ง “บางทีอาจจะเป็นข้าที่ส่งท่านไปตายก็ได้!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


ตู้ม!


จักรพรรดิเทพมารแดงที่กำลังหัวเราะด้วยความกราดเกรี้ยวสุดขีดนั้นสวมเกราะสีขาวทั่วร่าง ในมือกุมดาบรบขนาดมหึมาเอาไว้แล้วกระโจนพรวดเข้ามาหาตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น รอบด้านมีคลื่นสีแดงโลหิตม้วนตัวอยู่ ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ฉบับดั้งเดิม เพียงแค่อาศัยมันมาศึกษาเท่านั้น เป็นเคล็ดวิชาลับที่ผสมผสานกันระหว่างวิถีเข่นฆ่าและวิถีแห่งระลอกคลื่น อีกทั้งวิถีสองสายล้วนยังมิได้บรรลุถึงระดับขั้นนิรันดร์กาลอย่างสมบูรณ์แบบ บริเวณการเข่นฆ่านี้ก็ถูกความหนาวเหน็บอันไร้ที่สิ้นสุดกดดัน อานุภาพก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ


แต่ว่า…


ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพลางกุมหอกยาวสีเงินเอาไว้ แล้วยิ้มมองจักรพรรดิเทพมารแดงบุกเข้ามาสังหาร


ดาบรบขนาดมหึมาฟันเข้ามาอย่างดุเดือดด้วยความเร็วปานสายฟ้า อานุภาพแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก


“ฟิ้ว” หอกยาวในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกหมุน แล้วเข้าสกัดกั้นคมดาบรบขนาดมหึมาอย่างพิสดารหาใดเปรียบ พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นภายในกายทำให้เขามิได้ถอยไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว จักรพรรดิเทพมารแดงกลับถูกกระแทกเสียจนต้องโซซัดโซเซถอยไปหลายก้าว


“ความเร็วของข้าลดลงแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว ทุกอณูของมิติโดยรอบล้วนมีไอหนาวเย็นอันไร้รูปร่างอยู่ ไอหนาวเย็นนั้นสามารถกดดันบริเวณการเข่นฆ่าได้ และทำให้แต่ละการเคลื่อนไหวของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกขัดขวางจนช้าลงเช่นเดียวกัน


“ข้ายอมรับว่าพลังของเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่ยังไม่พอที่จะท้าทายผู้ปกครองสักคนหนึ่งหรอกนะ!” เสียงของจักรพรรดิเทพมารแดงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน ขณะเดียวกันเงาร่างของเขาก็เข้าลอบโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงจากทุกทิศทุกทางครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับภูตผีปีศาจอย่างไรอย่างนั้น เมื่อสำแดงท่าไม้ตายออกมา อานุภาพและความเร็วของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นอันมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับได้รับผลกระทบ เพียงครู่เดียวก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้านความเร็วไปเสียแล้ว


แต่อาศัยหอกยาวเพียงเล่มเดียว ก็สามารถป้องกันได้โดยไม่บกพร่องเลยแม้แต่น้อย


“ร่างกายของเขามิได้รับผลกระทบแม้แต่นิดเดียวเลยหรือนี่” จักรพรรดิเทพมารแดงโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในใจกลับร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะจากประสบการณ์ของเขา ตามปกติแล้วเมื่อผู้ปกครองทั่วไปเผชิญหน้ากับความหนาวเหน็บเช่นนี้ โดยทั่วไปร่างกายก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งเมื่อเย็นจนแข็ง อาการบาดเจ็บก็จะฟื้นตัวได้ช้ามาก เวลาผ่านไปนานเข้า พลังชีวิตถูกเผาผลาญไปจนสิ้นและตายจากไปก็ยังเป็นไปได้


แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น แม้ความเร็วจะลดลงไปบ้าง แต่ก็มองไม่ออกเลยว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บ!


เขากลับไม่รู้เลยว่า เมื่อวิถีโลกเทียมและ ‘สายผู้ท่องอากาศ’ ผสานเข้าด้วยกัน ทำให้ความสามารถในการรักษาชีวิตของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แพ้จ้าวจิ้งหรีดทิพย์เลย แม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้เคารพ แต่ความสามารถในการรักษาชีวิตนี้ทำให้ผู้ปกครองที่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิตเหล่านั้นต้องอิจฉา!


“ฟิ้ว” เมื่อจักรพรรดิเทพมารแดงโจมตีออกไปอีกครั้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็หายวับไปแล้ว


“หายไปแล้วหรือ” จักรพรรดิเทพมารแดงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป พลางมองไปรอบกาย ความหนาวเหน็บอันไร้ที่สิ้นสุดซึ่งปะทะออกมาจากตาข้างเดียวแผ่คลุมทั้งซ้ายขวา แต่กลับสัมผัสมิได้เลยแม้แต่น้อย “ข้าตรวจสอบไม่พบเลยหรือนี่”


รอบกายของจักรพรรดิเทพมารแดงเริ่มปลดปล่อยรัศมีอันเรืองรองออกมา ซึ่งก็คือบริเวณกฎเกณฑ์นั่นเอง


ขอบเขตของบริเวณกฎเกณฑ์เล็กมาก แต่การรับรู้กลับแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง


“อยู่นี่!” สีหน้าของจักรพรรดิเทพมารแดงเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง


เขาพบแล้ว


แต่เมื่ออาศัยบริเวณกฎเกณฑ์พบเข้า ด้วยความเร็วในการออกหอกของตงป๋อเสวี่ยอิง หอกยาวก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว


“ฟึ่บ…” ปลายหอกยาวมีระลอกคลื่นวงแล้ววงเล่า ระลอกคลื่นเหล่านี้ราวกับจะฉีกทึ้งและทำลายทุกสิ่ง จักรพรรดิเทพมารแดงมิอาจสกัดกั้นได้ทัน ปลายหอกก็แทงลงบนแผ่นอกของเขา


“กึ้ก…”


เกราะสีขาวเหนือผิวของจักรพรรดิเทพมารแดงเพียงแค่ได้รับความเสียหายเล็กน้อย ปลายหอกกลับไม่สามารถแทงทะลุไปได้


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเก็บหอกแล้วหายวับไปอีกครา


“ไปไหนแล้ว” จักรพรรดิเทพมารแดงเสาะหาไปทั่วทุกทิศทุกทาง ในใจทั้งร้อนรนและแตกตื่น ลูกไม้การหลบหลีกของผู้เคารพคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว นอกจากบริเวณกฎเกณฑ์ของเขาที่สามารถพบศัตรูได้แล้ว วิธีการอื่นๆ ล้วนมิอาจตรวจพบได้เลย! แต่ขอบเขตบริเวณกฎเกณฑ์ของเขาเล็กเกินไปแล้ว จำกัดเพียงแค่ในระยะพันเมตรเท่านั้น สำหรับคนระดับพวกเขาแล้ว การประมือในระยะทางพันเมตร ก็ถือว่าสั้นยิ่งนัก


……


ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างรวมทั้งคนอีกฝ่ายหนึ่งอย่างท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงต่างก็มองดูด้วยความตื่นตระหนก


ก่อนหน้านี้พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้จะดำเนินมาถึงขนาดในตอนนี้ได้


จักรพรรดิเทพมารแดงสำแดงกระบวนท่าที่แม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ออกมา ความเย็นยะเยือกอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั่วสารทิศ ไม่ใช่แค่สามารถโจมตีศัตรูได้เท่านั้น แต่ยังสามารถกดดันศัตรูได้ด้วย ส่วนพลังของตัวจักรพรรดิเทพมารแดงเองกลับปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้แต่การป้องกันก็ยังร้ายกาจขึ้นเพราะเกราะน้ำแข็งสีขาวชั้นนั้นด้วย


แต่องครักษ์ตงป๋อผู้เร้นลับคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย…แล้วลอบโจมตีอย่างลับๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า!


“แม้แต่ผู้ปกครองก็ยังยากที่จะพบเขาได้ หากลอบโจมตีพวกเราขึ้นมา จะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือ” เหล่าองครักษ์ที่ชมดูอยู่พากันร่ำร้อง


“ลอบโจมตีหรือ สังหารพวกเรายังต้องลอบโจมตีอีกรึ”


องครักษ์เหล่านี้ตื่นตระหนกอย่างสุดขีด จนถึงกับเกิดความรู้สึกเคารพเทิดทูนขึ้นมาเลยทีเดียว


******


ภายในฟ้าดินโลกเทียม


ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสำแดงเคล็ดการหลบหลีกสองวิชาออกมาพร้อมกัน วิชาหนึ่งคือฟ้าดินโลกเทียม อีกวิชาหนึ่งก็คือเคล็ดการหลบหลีกในอากาศ!  เนื่องจากนี่คือฟ้าดินที่ตนบุกเบิกและเข้าถึง  เมื่อหลบซ่อนตัวภายในฟ้าดินโลกเทียม…ก็จะสามารถหลบซ่อนได้ร้ายกาจยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการทะลุมิติในฟ้าดินโลกเทียม ก็ทำได้เร็วขึ้นมาก


วิชาหนึ่งคือวิธีหลบซ่อนจำพวกกฎเกณฑ์ ส่วนอีกวิชาหนึ่งคือการหลบซ่อนที่ระบบผู้ท่องอากาศเชี่ยวชาญ ทั้งสองสิ่งสามารถผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ทำให้ผู้ปกครองผู้องอาจอย่าง ‘จักรพรรดิเทพมารแดง’ มิอาจพบตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลย นอกเสียจากจะใช้บริเวณกฎเกณฑ์มาสัมผัสเท่านั้น


“ก็แค่ผู้ปกครองที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอันใดคนหนึ่ง! เป็นผู้ปกครองซึ่งมาเป็นองครักษ์ของท่านชายใหญ่ ก็แค่ผู้ปกครองพรรค์นี้คนหนึ่งเท่านั้น…กลับโจมตีให้พ่ายแพ้ได้ยากถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ลองสำแดงเกราะพลดูดีกว่า หากอาศัยเกราะพลแล้วยังมิอาจทำลายการป้องกันของเขาได้ ก็คงเอาชนะมิได้แล้ว”


เกราะพล


เป็นหนึ่งในสามกลเม็ดของผู้ท่องอากาศ ซึ่งได้แก่ร่างกาย เคล็ดการหลบหลีกในอากาศและเกราะพล


เกราะพลเป็นการนำเอาพละกำลังที่มีแรงทำลายล้างสูงยิ่งซึ่งร่างกายมิอาจดูดซับเข้าไปได้ระหว่างการดูดซับพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านเข้าไปในร่างกายมาหลอมรวมกัน  ท้ายที่สุดก็หลอมขึ้นมาเป็นพละกำลังพิเศษซึ่งมีแรงโจมตีอย่างยิ่งยวด ที่ถูกขนานนามว่า…เกราะพล!


“เกราะพล” ตงป๋อเสวี่ยอิงจับหอกยาวสีเงินเอาไว้ ที่ฝ่ามือของเขาพลันมีประกายสีดำปรากฏขึ้น และค่อยๆ แผ่ขยายไปตามด้ามหอก ไม่นานนักทุกอณูเหนือผิวด้ามหอกสีเงินเล่มนี้ก็มีประกายสีดำเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง แม้แต่เหนือปลายหอกก็มีประกายสีดำเคลือบอยู่เช่นกัน ประกายสีดำพลิกหมุนไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับเชือดเฉือนทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา


“ฆ่า”


หอกยาวพลิกหมุนราวกับมังกรตัวหนึ่งที่โผทะยานออกมา มันแฝงไว้ด้วยแรงอาฆาตอันน่าหวาดหวั่น แล้วทะลุผ่านจากฟ้าดินโลกเทียมเข้าไปในฟ้าดินปกติ ผ่านบริเวณกฎเกณฑ์ตรงเข้าไปหาจักรพรรดิเทพมารแดง


ความเร็วของการออกหอกรวดเร็วเกินไปแล้ว


เมื่อเขาซ่อนอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมอย่างสิ้นเชิง พละกำลังอันหนาวเหน็บที่เผชิญก็นับได้ว่าต่ำลงมากทีเดียว ผลกระทบที่มีต่อความเร็วแทบจะสามารถมองข้ามไปได้


“ฟึ่บ”


จักรพรรดิเทพมารแดงหันมาก็มองเห็นว่าหอกยาวซึ่งแฝงไว้ด้วยเงารางเล่มหนึ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง นอกจากบนปลายหอกจะมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตวงแล้ววงเล่าแฝงอยู่แล้ว ที่ผิวยังมีประกายสีดำชั้นหนึ่งฉาบเอาไว้อีกด้วย แม้แต่ด้ามหอกก็ยังมีประกายสีดำชั้นหนึ่งฉาบเอาไว้เช่นกัน


12 รับประโยชน์จากผู้ใด ทำการแทนผู้นั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“นี่มันอะไรกัน” จักรพรรดิเทพมารแดงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็รู้สึกถึงภัยคุกคามได้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเขาก็ยังคงต้านรับไว้ไม่ทันอยู่ดี


ปลายหอกทิ่มลงบนเกราะน้ำแข็งสีขาวเหนือบ่าของเขา แต่ขอบคมอันน่าหวาดหวั่นนี้กลับทะลวงผ่านเกราะน้ำแข็งสีขาว ทะลุเข้าสู่ร่างกายของเขา เกราะพลที่รวมตัวอยู่บนปลายหอกระเบิดออกมาในทันใด อีกทั้งคลื่นสังหารยังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของจักรพรรดิเทพมารแดง


สีหน้าของจักรพรรดิเทพมารแดงพลันแดงจัด เขารีบใช้พลังน้ำแข็งแช่แข็งร่าง ปกป้องร่างกายอย่างแข็งขันในทันใดเพื่อขับไล่เกราะพลและคลื่นสังหารอันน่าหวาดหวั่นนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงแทงหอกออกไปคราหนึ่งแล้วก็รีบชักกลับ เตรียมจะแทงหอกอีกเป็นครั้งที่สอง


จักรพรรดิเทพมารแดงสีหน้าซีดเผือด แม้ว่าพลังชีวิตของเขาจะอาศัยการแช่แข็งของพลังน้ำแข็งช่วยปกป้องเอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สูญเสียไปเกือบสามส่วน แม้ว่าหลังจากนี้จะป้องกันตัวอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น แต่ก็คาดการณ์ว่าเพียงแปดหอกสิบหอกก็สามารถปลิดชีพตนได้แล้ว


พ่ายแพ้เสียแล้ว


จักรพรรดิเทพมารแดงเข้าใจในจุดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีลูกไม้เล็กๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่หลบหลีกเสียจนหาตัวจับยาก ผนวกกับวิชาหอกอันน่าหวั่นเกรงนี่…เขาก็รู้ว่าตนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย


“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ข้า… จักรพรรดิเทพมารแดง จะพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของผู้เคารพคนหนึ่งได้ ฮ่าฮ่าฮ่า…”


จักรพรรดิเทพมารแดงหัวเราะลั่น ดวงตาข้างเดียวของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ความหนาวเหน็บเริ่มจะหดหายกลับไป แต่ในขณะนั้นเอง รอบด้านกลับมีร่างแปรปรากฏขึ้น ร่างจริงของเขาก็หายไปท่ามกลางร่างแปร แล้วร่างแปรก็หลีกลี้หนีไปทั่วทุกทิศทุกทาง


“หนีหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตเห็นเสียแล้ว


กระแสคลื่นสีแดงโลหิตพลันสาดกระจายไปทั่วบริเวณ แววสังหารแผ่กำจายไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ความเร็วในการแผ่กระจายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ชัดเจนว่าจักรพรรดิเทพมารแดงทุ่มหมดหน้าตักแล้ว ร่างแปรร่างแล้วร่างเล่าหลบหนีอย่างฉับไวยิ่ง


“ปัง!” คลื่นสีแดงโลหิตอันปั่นป่วนพุ่งไปถึงเบื้องหน้าท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงในทันใด เจียวอวิ๋นเถิงมองคลื่นสีแดงโลหิตที่พุ่งโจมตีเข้ามาด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง เขาเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างยิ่งว่าเขาต้านรับการคุกคามของเขตแดนสังหารนี้ไม่ไหวแน่


“อย่าสังหารเขา จับเป็นเขาเสีย!” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวตะโกนขึ้นมา


สิ้นเสียงตะโกนนี้


กระแสคลื่นสีแดงโลหิตที่พุ่งไปถึงเบื้องหน้าท่านชายใหญ่กระจายตัวออกในทันใด แล้วแหวกทางให้ท่านชายใหญ่ ก่อนจะไปไล่ล่าร่างแปรเหล่านั้นต่อไป


หากแต่ร่างแปรรวดเร็วเกินไป และอาณาบริเวณของค่ายกลดาวเคราะห์ก็เล็กเกินไป ร่างแปรที่จักรพรรดิเทพมารแดงแยกออกมาจ่อมจมอยู่ภายใต้เขตแดนสังหาร หากแต่ร่างแปรที่มีกำลังมากก็ยังพุ่งออกมา พอออกจากอาณาบริเวณของค่ายกล จักรพรรดิเทพมารแดงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว และเขาก็มิได้คิดจะช่วยเหลือท่านชายใหญ่ด้วย ถึงอย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เขาย่อมมิได้มีความหวังแม้แต่น้อย หากต้องช่วยก็เกรงว่าจะต้องเกี่ยวพันถึงชีวิตแล้วจริงๆ


ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่ง แต่จักรพรรดิเทพมารแดงก็ไม่อยากตายอยู่ดี!


การถูกผู้เคารพเอาชนะกับการถูกผู้เคารพสังหารนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! จักรพรรดิเทพมารแดงยังหวังว่า…จะเหลือหน้าเอาไว้สักหน่อย


……


พรึ่บ


ณ ฟากฟ้าอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง จักรพรรดิเทพมารแดงปรากฏกายขึ้น เขาหันศีรษะมองกลับไปมาแล้วจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกจากปากด้วยความจนใจและทอดถอนใจอยู่บ้าง


“น่าขายหน้าเสียจริง”


“จักรวาลบ้านเกิดถูกพิชิตเสียได้! มาถึงจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ ปรารถนาจะไปที่ ‘บรรพคีรีมาร’ แต่กลับถูกบดขยี้สังหาร… เพื่อทรัพยากรในการบำเพ็ญ จึงได้สวามิภักดิ์ต่อท่านชายใหญ่ของตระกูลเทพอากาศ ใครเล่าจะไปคิดว่าจะถูกผู้เคารพคนหนึ่งกำราบเอาได้” จักรพรรดิเทพมารแดงส่ายศีรษะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยท่านชายใหญ่ แต่เขาก็มิได้แยแสเลยสักนิด


ถึงอย่างไรก็เป็นท่านชายใหญ่ที่ขอร้องเขา!


เขาเป็นถึงผู้ปกครอง จะต้องยอมจำนนจริงๆ เหล่าท่านชายของสามตระกูลใหญ่เทพอากาศ เพียงแค่ยังมิได้เป็นผู้ปกครองเท่านั้น เกรงว่าทุกคนต่างก็กระหายอยากกันทั้งนั้น


ทว่าผู้ปกครองเป็นองครักษ์ให้แก่ผู้เคารพคนหนึ่ง…นับได้ว่าน่าขายหน้าอยู่บ้าง


“ครั้งนี้เสียหน้าอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านชายทั้งสองกับเหล่าองครักษ์มากมายต่างก็เห็นกันหมด เกรงว่าอีกไม่นานก็คงแพร่ไปทั่วทั้งจักรวาลคีรีมารแล้ว! แล้วยังมีผู้แกร่งกล้าของจักรวาลอื่นๆ อีก เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงได้สร้างชื่อ แต่เป็นการย่ำยีชื่อเสียงของข้า” จักรพรรดิเทพมารแดงเศร้าโศกอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับทั้งปากและใจ เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงที่ต่อสู้กับเขาเมื่อครู่นั้นกระตุ้นเขาอยู่ตลอด บีบให้เขาแสดงพลังที่กล้าแกร่งที่สุดออกมา


ภายใต้สถานการณ์ที่สำแดงพลังอันกล้าแกร่งที่สุดออกมาแล้วยังถูกเอาชนะได้ เขาก็ไม่มีวาจาจะเอ่ยแล้ว


******


กระแสคลื่นโลหิตห่อหุ้มท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงเอาไว้ เช่นเดียวกับเหล่าองครักษ์


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” ท่านชายใหญ่ฝืนคลี่รอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อน้องชายของข้าก็เพียงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างใช่หรือไม่ เขาให้อะไรเจ้า ข้าสามารถให้ได้มากกว่าอีกนะ!”


“สายไปแล้วล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


ตอนแรกเขาต้องการโอกาสในการเข้าถึงกฎเกณฑ์ของระบบการบำเพ็ญสักครั้ง ตอนนี้ก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ในตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญเท่านั้น


“องครักษ์ตงป๋อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวกับซานตาน องครักษ์ฉง และเหล่าองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งเหินลอยออกมาอย่างรวดเร็วตามทางที่กระแสคลื่นสีแดงโลหิตแยกตัวออก บรรดาองครักษ์เหล่านั้นต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นตะลึงระคนยกย่อง เหมือนกับที่บรรดาผู้เคารพทั่วไปที่จักรวาลผู้บำเพ็ญมอง ‘ผู้ครองชิง’ อย่างไรอย่างนั้น! ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะโอ้อวดเกินจริงยิ่งกว่านี้ แต่อย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นวิถีสามสาย ส่วนวิถีสองสายก็ไปถึงจุดคอขวดสูงสุด วิถีระลอกคลื่นก็ไปถึงขั้นสุดยอด นอกจากนี้ที่สำคัญยังสืบเชื้อสายผู้ท่องอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ครองชิงในตอนแรกเสียอีก


“ท่านชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “สังหารใคร ไว้ชีวิตใครดีขอรับ”


“สังหารองครักษ์คนอื่นให้หมดเสีย ไว้ชีวิตพี่ใหญ่ข้ากับฉาอวิ๋นหนงเอาไว้” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ถ้าหากองครักษ์ตงป๋อมีความคิดเห็นเช่นไรก็พูดมา”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดอะไร


กระแสคลื่นสีแดงโลหิตที่ล้อมรอบอยู่กลายเป็นคลื่นกระเพื่อม แล้วหุ้มห่อองครักษ์เหล่านั้นเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกับพวกเขามิได้มีความชิงชังอันใดต่อกัน แต่ท่านชายทั้งสองต่อสู้กันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เหล่าองครักษ์ของทางฝั่งท่านชายสามเองก็ตายตกตามกันหลายต่อหลายครั้ง เมื่อครู่ถ้าหากมิใช่ตน ฝั่งตนเองก็ต้องถูกสังหารเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิอาจไว้น้ำใจได้! ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้น อย่างมากก็แค่ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปบ้าง


เขตแดนสังหารกลายเป็นคลื่นกระเพื่อม องครักษ์คนอื่นๆ ถูกสังหารจนหมด เหลือไว้เพียงแค่ฉาอวิ๋นหนงกับท่านชายใหญ่ ‘เจียวอวิ๋นเถิง’ เท่านั้น


“เจียวอวิ๋นเถิง พี่ชายข้า ท่านเคยคิดถึงบ้างหรือไม่ว่าท่านจะมีวันนี้ได้” ร่างของท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวสั่นเทาอยู่บ้าง


ทว่าท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงไม่มองน้องชายของตน แต่กลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงแทน “ที่แท้แล้วน้องชายข้าให้สิ่งใดกับเจ้ากันแน่”


“เคล็ดวิชาของระบบการบำเพ็ญอื่นกับศาสตร์ลับจำนวนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“แค่นี้เองหรือ” ท่านชายใหญ่ยากที่จะเชื่อได้


จักรวาลคีรีมารมีความเปิดกว้างอย่างยิ่ง เคล็ดการบำเพ็ญที่สืบทอดกันก็เรียบง่ายนัก เมื่อเทียบกันแล้วศาสตร์ลับสูงค่ากว่า แต่สำหรับท่านชายใหญ่แล้ว ระดับท่านชายสามนี้มิอาจนับเป็นอะไรได้เลย


“หอกยาวเล่มหนึ่ง เสื้อเกราะ กับเรือรบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


ท่านชายใหญ่ไม่เอ่ยวาจา


เป็นสิ่งที่องครักษ์ทั่วไปของท่านชายก็ควรจะมีอยู่แล้ว


“หมดแล้วหรือ” ท่านชายใหญ่มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วมองไปทางท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิว “น้องข้า เจ้าช่างโชคดีเสียจริง”


“ข้าสามารถให้เจ้าได้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า เจ้าอยากจะมาเป็นองครักษ์ของข้าหรือไม่เล่า” ท่านชายใหญ่มองตงป๋อเสวี่ยอิง


“ข้าก็ทำได้” ท่านชายสามตะโกน เขารู้สึกเคร่งเครียดอยู่บ้าง


“รับประโยชน์จากผู้ใด ทำการแทนผู้นั้น” พอตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็มิได้พูดอะไรต่ออีก


ตงป๋อเสวี่ยอิงยึดมั่นจนเข้ากระดูกว่ามีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ สามสิบล้านปีมานี้ ท่านชายสามช่วยเหลือเขาเอาไว้ไม่น้อย ทั้งยังมีความเมตตา ในเมื่อมีบุญคุณเขาก็ต้องทดแทนอยู่แล้ว


ท่านชายใหญ่เจียวอวิ๋นเถิงเห็นท่าก็รู้แล้วว่าขอร้องต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ บุคคลระดับผู้เคารพที่เหนือชั้นพรรค์นี้ย่อมมีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เจียวอวิ๋นเถิงจึงเอ่ยค่อยๆ ว่า “แต่น้องชายข้ามีผลวิเศษมารดำ ผลวิเศษมารดำอาจไม่มีประโยชน์อันใดต่อระบบการบำเพ็ญอื่นๆ แต่กลับเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับระบบการบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเรา เหตุใดเจ้าไม่สังหารน้องชายข้า แล้วชิงเอาผลวิเศษมารดำมาเล่า ประโยชน์ที่จะได้จากผลวิเศษมารดำมันเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เลยนะ”


เจียวอวิ๋นเถิงมองท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวที่มีสีหน้าซีดเผือด “น้องชาย ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่นอนหรอกนะ ผลวิเศษมารดำน่ะหรือ ข้าไม่ได้มา เจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้ไปเลย!”


ปัง!


ร่างของเจียวอวิ๋นเถิงระเบิดออกในทันใด


แต่กระแสคลื่นสีแดงโลหิตม้วนกลืนเขาจนจมมิดทันที แรงกระเพื่อมจากการระเบิดถูกเขตแดนสังหารสลายไปอย่างง่ายดาย


ทว่าบริเวณโดยรอบกลับเงียบสงบ ซานตานและองครักษ์ฉง ต่างก็มองท่านชายสามและตงป๋อเสวี่ยอิง


ผลวิเศษมารดำหรือ


“ยังมีฉาอวิ๋นหนงอีกคนหนึ่ง ท่านชาย ท่านจัดการเอาเองเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยความคิดออกมา สายโลหิตสาดกระจายไม่สิ้นสุด สุดท้ายก็เหลือแค่ฉาอวิ๋นหนงเพียงคนเดียวแล้ว ท่านชายกับองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็สามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย


“องครักษ์ตงป๋อ น้องตงป๋อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจอดที่จะปลาบปลื้มยินดีมิได้


“ท่านชาย” ฉาอวิ๋นหนง กลับตะโกนขึ้นมาในเวลานี้


เจียวอวิ๋นหลิวสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาหันหน้าไปมอง บนใบหน้าฉายแววเดือดดาล “เจ้ายังมีหน้ามาตะโกนใส่ข้าอีกหรือ ข้าเชื่อใจเจ้ามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาข้าตาบอดไปจริงๆ ฆ่ามันให้ข้าเสีย”


ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์กลุ่มหนึ่งต่างก็มองฉาอวิ๋นหนงด้วยแววตาอาฆาต


……


แต่เจียวอวิ๋นหลิวกลับนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงภายในวังแล้วนั่งลงตรงข้ามกันภายในโถงตำหนัก สาวใช้ยกสุราชั้นเลิศมาให้


ด้านนอกยังมีกองหิมะอยู่ ซึ่งเป็นกองหิมะที่เกิดขึ้นจากการที่จักรพรรดิเทพมารแดงสำแดงลมหนาวอนันต์เมื่อครู่


เจียวอวิ๋นหลิวรินสุราให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเองพลางยิ้มพูดว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้า เจียวอวิ๋นหลิว จะมีโชคดีเช่นนี้ ทำให้น้องตงป๋อมาเป็นองครักษ์ของข้าได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป น้องตงป๋อมิใช่องครักษ์ของข้าอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นพี่น้องของข้า ถ้าหากไม่รังเกียจข้า มา ดื่มสุราจอกนี้เสียสิ” เขาวางสุราจอกหนึ่งลงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงกับมือตนเอง


ตงป๋อเสวี่ยอิงยกจอกเหล้าขึ้น “ขอบคุณท่านชาย”


ทั้งสองยกจอกขึ้นดื่มพร้อมกัน


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เจียวอวิ๋นหลิวอารมณ์เบิกบานยิ่ง “คราวนี้น้องตงป๋อสามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ ตัวเป็นผู้เคารพแต่สามารถเอาชนะผู้ปกครองคนหนึ่งได้ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งจักรวาลคีรีมารและจักรวาลรอบๆอีกมากมาย พอข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้ว เกรงว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างตามมาแน่”


“เรื่องบางอย่างหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยท่าทีประหลาดใจ “ขอท่านชายโปรดชี้แนะด้วย”


เขาสนทนาพาทีกับเหล่าองครักษ์มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ และรู้จักจักรวาลคีรีมารดีพอสมควร ทั้งยังเข้าใจว่าหลังจากที่ตนเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงแล้วหมายความว่าอย่างไร แต่ก็มิได้รู้มากเท่ากับที่ท่านชายสามผู้นี้รู้อย่างแน่นอน


นอกจากนี้การสำแดงพลังก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาด้วย


ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เคยสนทนากับเขาว่า “เสวี่ยอิง ถ้าหากถูกบีบบังคับ ก็สามารถแสดงเคล็ดวิชาระบบการบำเพ็ญของพวกเราให้จักรวาลคีรีมารรับรู้ได้ ความเร้นลับของระบบกฎเกณฑ์ในห้วงอากาศอันสับสนอลหม่านไร้ที่สิ้นสุดนั้นก็มิใช่ความลับอันใหญ่หลวงแต่อย่างใด ระบบของพวกเรานี้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว! แพร่ออกไปก็ไม่เป็นอะไร หากไม่มีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ การบำเพ็ญก็ยากเย็นยิ่งนัก ภารกิจของเจ้าก็คือ…การรวบรวมสิ่งที่สามารถช่วยเหลือจักรวาลของเราทั้งหมดมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญ เคล็ดวิชา หรือว่าสิ่งอื่นๆ ก็ตาม”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมตัวอย่างเต็มที่


แม้กระทั่งระดับขั้นของเขาในตอนนี้ ก็ยังเรียนรู้จากร่างแยกที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแยกไว้ก่อนนานแล้ว ตอนนี้ยังมีร่างแยกอีกร่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืดที่จักรวาลคีรีมาร! ถึงอย่างไรเวลาที่นี่ก็เคลื่อนไปเร็วกว่าถึงสามพันเท่า การอยู่ที่นี่ช่วยแม้กระทั่งการบำเพ็ญได้เป็นอย่างมาก


“เจ้าน่าจะได้ยินจากองครักษ์เหล่านั้นมาบ้างแล้ว แต่พวกเขาก็รู้ไม่มากนักหรอก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวรินเหล้าให้ตนเองพร้อมกับเอ่ยต่อไปว่า “ฉะนั้นฟังรายละเอียดที่ข้าจะพูดให้ดีล่ะ”


13  จุดประสงค์สุดท้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“น้องตงป๋อ จักรวาลคีรีมารของข้าปฏิบัติต่อผู้แกร่งกล้าต่างถิ่นอย่างเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งแยก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวอมยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าว่านี่เป็นเพราะอะไร”


“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างตั้งใจ


“ด้วยเป็นคำสั่งของบรรพบุรุษ ข้าผู้เป็นผู้สืบทอดรุ่นหลังย่อมมิกล้าละเมิด” เจียวอวิ๋นหลิวกดเสียงต่ำพูดว่า “เจ้าก็คงจะได้ยินมาแล้ว ระบบการบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเรา…ก็เพราะวิญญาณของพวกเราทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนสังเคราะห์มาจากท่านบรรพชนร่วม ท่านบรรพชนท่านมีพละกำลังอันมิอาจเอาชนะได้อย่างเหนือจินตนาการ ในอนาคตเมื่อจักรวาลแห่งนี้ถึงกาลอวสาน พวกเราไปจากจักรวาลแห่งนี้ ก็สามารถไปร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านบรรพชนได้”


ในขณะนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดิมทีกำลังจิบสุราอย่างช้าๆ ก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว


“ข้าบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง”


เสียงของเจียวอวิ๋นหลิวยิ่งกดต่ำลงไปอีก “ท่านบรรพชนของบ้านข้าอยู่ที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา โลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นเป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนของบ้านข้ากับท่านผู้ทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่งร่วมมือกันสรรค์สร้างขึ้น!”


ม่านตาของตงป๋อเสวี่ยอิงหดตัวลง ในใจหวาดหวั่น


โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราหรือ


นี่มัน…


มิใช่สถานที่ที่บรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบอาศัยอยู่หรอกหรือ ในท้ายที่สุดแล้วเหล่าผู้บำเพ็ญของจักรวาลตนก็ต้องไปสวามิภักดิ์ต่อบรรพชนที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา


ที่แท้แล้วโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเป็นสถานที่ที่ท่านบรรพชนของจักรวาลคีรีมารกับท่านผู้ทัดเทียมกันอีกท่านหนึ่งร่วมมือกันสรรค์สร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ


“สถานะของท่านบรรพชนของบ้านข้าในโลกทิพย์ทะเลสัตตดารานั้นสูงส่งยิ่งนัก” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ผู้ที่เต็มใจจะสวามิภักดิ์ต่อบรรพชนนั้นมีมากมายเหลือคณานับ กับสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลอื่นๆ ท่านบรรพชนก็ปฏิบัติด้วยอย่างทัดเทียมกัน ดังนั้น น้องตงป๋อ… เจ้ามีพลังเช่นนี้ ถึงแม้ว่าบ้านเกิดเจ้าจะไม่มีเทพอากาศ แต่จักรวาลคีรีมาของพวกเรามี! เจ้าสามารถพาคนของเจ้ามา แล้วออกเดินทางร่วมกับพวกเรา มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา แต่ทว่าเวลาของจักรวาลเรานั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ตอนที่จักรวาลถึงกาลอวสาน จักรวาลอื่นๆ อาจเพิ่งผ่านไปเพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้นก็เป็นได้”


“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่แตกต่างกันเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก”


“ฮ่าฮ่าฮ่า…ท่านบรรพชนก็อยากจะให้กำเนิดทายาทผู้แกร่งกล้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยน่ะสิ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ


จักรวาลคีรีมารแห่งนี้ช่างมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เสียจริง! บรรพชนเทียนอวี๋ ประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบที่ตนต้องไปหาในอนาคตผู้นั้น ก็อยู่กับเหล่าผู้แกร่งกล้าของจักรวาลคีรีมารที่โลกทิพย์แห่งหนึ่ง ต้องรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้ดีสักหน่อย ไม่แน่ว่าอำนาจของอีกฝ่ายอาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋เสียอีก


“จักรวาลคีรีมารของพวกเราเชื่อมต่อกับจักรวาลอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย สร้างทางเชื่อมกับแต่ละจักรวาล” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “การทำให้ระบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกันได้ปะทะกัน จะช่วยในการบำเพ็ญของพวกเราได้”


“แต่ว่า…”


“การปะทะของระบบที่แตกต่างกัน ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่เหนือกว่าจักรวาลอื่นๆ นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านบรรพชนยังทิ้ง ‘บรรพคีรีมาร’ เอาไว้อีกด้วย ”ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด


“มาแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว


ต่อให้มิได้สังหารจักรพรรดิเทพมารแดง รอให้ตนบำเพ็ญจนแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ แผนการเดิมคือรอให้ถึงเวลาที่วิชาลับผู้ท่องไปถึงชั้นที่เก้าชั้นที่สิบ แล้วค่อยหาโอกาสแสดงพลัง ตอนนี้แสดงพลังไปก่อนล่วงหน้า…ก็ไม่เห็นเป็นอะไร! ผนวกกับความได้เปรียบของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของตนก็นับได้ว่ามั่นอกมั่นใจได้พอควรแล้ว


มาถึงยังจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ นอกจากเวลาที่เคลื่อนไปเร็วขึ้นกว่าสามพันเท่าจะสามารถยกระดับการบำเพ็ญของตนได้แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘บรรพคีรีมาร’ ที่เล่าขานกันมา


ยามที่พูดคุยกับองครักษ์เหล่านั้น…ย่อมได้ยินเกี่ยวกับบรรพคีรีมารในตำนานนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยเปรยกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ย่อมต้องมีความคิดเกี่ยวกับบรรพคีรีมาร


“บรรพคีรีมารเป็นสถานที่บำเพ็ญอันพิสดารพันลึกที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้” เจียวอวิ๋นหลิวพูด “ไปบำเพ็ญที่นั่น พลังจะรุดหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เจ้าไปดูก็จะรู้เอง แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆ มาก่อนเลย”


พูดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเจียวอวิ๋นหลิวก็ปรากฏแววกระหาย


ตัวเขาเป็นบุตรชายของเทพอากาศ ก็ปรารถนาบรรพคีรีมารเป็นอย่างมากเฉกเช่นเดียวกัน แต่กฎที่ท่านบรรพชนบัญญัติเอาไว้ ผู้ใดก็มิกล้าละเมิด


“บรรพคีรีมารมหัศจรรย์เป็นที่สุด ที่แท้แล้วมหัศจรรย์อย่างไร ต้องเข้าไปดูจึงจะรู้”


“ที่นั่นแบ่งออกเป็นชั้นใจกลาง ชั้นใน แล้วก็ชั้นนอก”


“ท่านบรรพชนบัญญัติกฎเอาไว้ว่า… มีเพียงผู้ปกครองที่แข็งแกร่งที่สุดและไปถึงระดับขั้นเทพอากาศเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปถึงชั้นใจกลางได้” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด “ผู้ปกครองที่สามารถไปที่นั่นได้มีเพียงผู้เดียว ทั้งยังแข็งแกร่งที่สุด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าคงมีความหวังริบหรี่”


“ชั้นใน ว่ากันว่ามีแกนค่ายกลอยู่เพียงเก้าอันเท่านั้น ทุกๆ แกนค่ายกลจะมีคูหาอยู่แห่งหนึ่งซึ่งสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียว กฎของท่านบรรพชนก็คือ ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งกับผู้ปกครองแปดคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปยังชั้นในได้”


“ชั้นนอก มีค่ายกลสามสิบสองแห่งประกอบเข้าด้วยกัน เท่ากับมีสามสิบสองคูหา! ท่านบรรพชนกำหนดให้ผู้ปกครองสามสิบคน กับผู้เคารพสองคน ที่จะสามารถเข้าไปได้”


เจียวอวิ๋นหลิวเอ่ยอย่างจนใจ “ดังนั้นทั่วทั้งบรรพคีรีมาร…อย่างมากที่สุดก็มีเพียงผู้ปกครองสามสิบแปดคน ผู้เคารพกับเหล่าเทพอากาศสามคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้”


“และผู้ปกครองของจักรวาลคีรีมารของเราก็มีเกินกว่าสองร้อยคน แล้วยังมีผู้ปกครองจากจักรวาลแห่งอื่นๆ รวมเข้าไปอีกร้อยกว่าคน คิดจะเป็นสามสิบเก้าคนแรกที่ได้เข้าไปนั้นยากเย็นสักเพียงใดกั


เจียวอวิ๋นหลิวส่ายศีรษะ


ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง


ยากจริงๆ


ผู้ปกครองของจักรวาลคีรีมารมีมากมายไม่ต่างจากจักรวาลอื่นๆ ผู้ปกครองสามร้อยกว่าคน! คิดจะเข้าไปยังบรรพคีรีมาร มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น


“มีผู้เคารพมากน้อยสักเท่าใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม


“จักรวาลคีรีมารของพวกเรามีผู้เคารพเกินพันคนกระมัง รวมกับจักรวาลอื่นๆก็ต้องมีเป็นหลายร้อยคน ท้ายที่สุดมีเพียงสามคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ “ผู้เคารพสามคนนี้ มีสองคนที่ล้วนมาจากต่างถิ่น มีเพียงคนเดียวที่เป็นคนของจักรวาลคีรีมารเรา”


เจียวอวิ๋นหลิวมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเป็นประกาย “น้องตงป๋อ ข้าบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าก็เพราะเหตุนี้ ถึงแม้ว่าผู้เคารพทั้งสามที่เข้าไปในบรรพคีรีมาร พวกเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างมากแล้ว แต่ว่า…ในพวกเขาสามคน มีเพียงสองลำดับแรกเท่านั้นที่เอาชนะผู้ปกครองได้ ส่วนคนที่สามนั้นก็แค่พอสูสีกับผู้ปกครองเท่านั้น”


“เจ้าสามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้” เจียวอวิ๋นหลิวพูดต่อ “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะมิใช่จักรพรรดิเทพที่ร้ายกาจอะไร ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปยังบรรพคีรีมาร แต่ก็มิได้นับว่าอ่อนแอเกินไปนัก เจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ ก็มีหวังที่จะไปท้าทายผู้เคารพในบรรพคีรีมารได้แล้ว”


“การเข้าไปในบรรพคีรีมาร…จุ๊ๆ แม้ยามฝันข้าก็ยังอยากเข้าไป เกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้บำเพ็ญทุกคนในจักรวาลคีรีมารของเรา ก็คือการเข้าไปยังบรรพคีรีมาร!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


การจะเข้าไปยังบรรพคีรีมารนั้นมิง่ายเลย เพราะด้านในมีผู้เคารพอยู่สามคนแล้ว ตนต้องการที่จะเข้าไป เช่นนั้นก็จำเป็นต้องต่อสู้เอาชนะเพื่อขับออกมาเสียคนหนึ่ง


ต้องรู้ไว้ว่า…


สามท่านตรงหน้า มีสองท่านที่เคยมีประวัติเอาชนะผู้ปกครองมาแล้ว


เหมือนกับผู้ครองชิงและผางอีแห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญ ยามที่ผู้ครองชิงเป็นผู้เคารพก็ไม่เคยเอาชนะผู้ปกครองมาก่อนเลย อย่างมากที่สุดก็แค่สูสีกับผู้ปกครอง ส่วนผางอีนั้น ถึงแม้ว่าตอนเป็นผู้เคารพจะเคยเอาชนะผู้ปกครอง แต่นั่นคือผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดที่ซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงเอาไว้


เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว การที่ผู้เคารพจะเอาชนะผู้ปกครองได้นั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก


นี่คือสามท่านที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในบรรดาผู้เคารพจำนวนมหาศาลของ ‘จักรวาลคีรีมาร’ และจักรวาลอื่นๆ อีกมากมาย นั่นต้องเรียนรู้ผ่านระบบการบำเพ็ญมากมายกว่าจะคัดสรรผู้เคารพสามท่านออกมาได้ ทั้งยังบำเพ็ญอยู่ภายในบรรพคีรีมารเป็นระยะเวลานาน พลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มีหลักประกันเพียงพอ เดิมทีวางแผนจะบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องให้ร้ายกาจกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไป ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิเทพมารแดงจะโผล่ออกมากันเล่า!


“ลองดูก่อนก็แล้วกัน”


“ถึงแม้จะพ่ายแพ้ ก็สามารถลองดูอีกเป็นครั้งที่สองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดล่าถอย ถึงอย่างไรการต่อสู้ที่บ้านเกิดก็สามารถปะทุขึ้นมาได้ทุกเวลา ยิ่งเข้าไปในบรรพคีรีมารได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเล่าเรื่องราวอีกเล็กน้อย จริงๆแล้วเขาก็มิได้รู้มากมายสักเท่าใดนัก สุดท้ายแล้วพลังของเขาก็ยังห่างชั้นกับการเข้าไปในบรรพคีรีมารอีกไกลโข


“เอาล่ะ ข้าก็พูดในสิ่งที่รู้ไปหมดแล้ว น้องตงป๋อ ข้าต้องรีบไปบำเพ็ญ มิอาจอยู่เป็นเพื่อนได้แล้ว”


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวยืดกายลุกขึ้น เขามีความทอดถอนใจอยู่บ้าง “คราวนี้ได้น้องตงป๋อช่วยข้ารักษาผลวิเศษมารดำเอาไว้แท้ๆ ข้าติดค้างบุญคุณอันใหญ่หลวงกับเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว”


“การปกป้องท่านชาย เป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องทำอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายลุกขึ้นเช่นกัน


“ไม่ๆ ถ้าหากเจ้าทรยศ หรือแย่งชิงผลวิเศษมารดำไปจากข้า ข้าก็หมดหนทางแล้ว” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูด


“บุญคุณครั้งนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ตอนนี้ข้าไปเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญก่อนล่ะ”


“ไปเถิดๆ อย่ากังวลเรื่องข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาเองก็รู้ว่าเจียวอวิ๋นหลิวผู้นี้จะต้องอยากไปบำเพ็ญอยู่แล้วเป็นแน่


เจียวอวิ๋นหลิวแย้มยิ้ม แล้วจากไปเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญในทันที


ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาพลางพึมพำเสียงแผ่ว “บรรพคีรีมาร…”


……


จักรวาลผู้บำเพ็ญ ภายในห้องโถงเล็กของตำหนักเทพคมมีดโลหิต


ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น นั่นก็คือร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิง


“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่เดินออกมา


“เสวี่ยอิงหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตถามขึ้น “มีข่าวอันใดหรือ”


“ข้าอาจจะต้องไปที่บรรพคีรีมารในเร็ววันนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านอาจารย์ ภารกิจที่ท่านให้ข้าทำ ข้าจะต้องทำอย่างสุดกำลังแน่ ท่านอาจารย์ยังมีคำสั่งอันใดอีกหรือไม่ขอรับ”


14 การมาเยือนของเทพอากาศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ก็มีสองเรื่องที่พูดไปก่อนหน้านี้ บัญชีกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดต่อ “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความต้องการเร่งด่วน เจ้าทำสำเร็จเพียงเรื่องเดียวก็ดีเหลือเกินแล้ว ถ้าหากทำได้ทั้งสองเรื่อง… เช่นนั้นพวกเราก็ชนะการต่อสู้ในคราวนี้อย่างแน่นอนแล้ว”


“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


 ก่อนหน้านี้เคยถามท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเกี่ยวกับสิ่งล้ำค่าสองชิ้นที่เป็นความต้องการเร่งด่วนของพวกท่านอาจารย์มาแล้ว แต่เจียวอวิ๋นหลิวก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ


เห็นได้ชัดว่าต้องไปหาสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ จักรวาลคีรีมารมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ มีผู้ปกครองอยู่มากมาย สมบัติล้ำค่าที่พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตหาไม่พบ กลับมีหวังที่จะหาพบได้ในจักรวาลคีรีมาร


“เช่นนั้นศิษย์ขอลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“เจ้าต้องระมัดระวังด้วยนะ การต่อสู้กับลัทธิจอมมารดานั้น เดิมที่พวกเราก็เป็นต่ออยู่แล้ว ความพยายามในตอนนี้ก็เพียงเพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะเท่านั้น เจ้าอย่าเพิ่งเทหมดหน้าตักเด็ดขาด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตชี้แนะต่อไป “ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีร่างแยก ดูเหมือนว่าจะปลอดภัยอย่างยิ่ง ทว่าลูกไม้ของเทพอากาศนั้นยังเหนือกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ นอกจากนี้ภูมิหลังของบรรพคีรีมารแห่งนั้นก็ไม่ธรรมดาเลย จะต้องทำตามกฎกติกาของพวกเขาโดยตลอด”


“ข้าเข้าใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วกล่าวลาท่านอาจารย์ไปในทันที


จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สลายหายไปตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เรื่องที่เขาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปจัดการสองเรื่องนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


“อ๊ะ…เสวี่ยอิงเคยพูดว่า การจะเข้าไปในบรรพคีรีมารนั้นยากยิ่ง เขามั่นใจแล้วหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “หรือว่าได้ท่านชายสามผู้นั้นช่วยเหลือ”


ความเข้าใจที่เขามีต่อบรรพคีรีมารก็ล้วนเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบอกเล่า สิ่งที่รู้ก็ย่อมน้อยนัก


ย่อมมิได้เข้าใจว่า…การเข้าไปนั้นจะยากเย็นสักเพียงใด


******


ตงป๋อเสวี่ยอิงออกเดินทางอย่างไม่เร่งร้อน แต่ยังคงคอยท่าอยู่บนดาวดวงนั้น เพราะท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเคยพูดว่ารอให้เขาเสร็จสิ้นการบำเพ็ญแล้วจะไปส่งตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง


คนต่างเผ่าอย่างเขาบุ่มบ่ามบุกเข้าไปคนเดียว มิสู้รอให้ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวส่งเขาเข้าไป และอาศัยช่วงเวลาเล็กน้อยนี้ในการตกตะกอนบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้กับจักรพรรดิเทพมารแดงก่อนหน้านี้


“ซ่าๆๆ”


ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เกิดเป็นม่านฝนขึ้นระหว่างผืนฟ้าและพื้นดิน


“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะลั่นก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน สะท้อนก้องไปทั่วทั้งดวงดาว กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งก็ระเบิดปะทุออกมาในขณะเดียวกัน


“หืม”


เหล่าองครักษ์ทั้งหลายล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกมา พวกเขาล้วนหันหน้ามองไปทางตำหนักของท่านชายที่อยู่ไกลออกไป


เห็นเพียงว่ามีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศเหนือตำหนักแห่งนั้น ในขณะนี้พื้นผิวร่างกายของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวภายใต้ชุดเกราะสีแดงเลือดหมู มีไอคลื่นสีแดงระเหยออกมา กลิ่นอายอันน่าหวาดเกรงทะยานสู่ผืนฟ้า ทำให้ทั่วทั้งดวงดาราสั่นสะเทือน โชคดีที่มีค่ายกลคอยป้องกัน มิฉะนั้นทั่วทั้งดวงดาวคงจะสิ้นสูญไปเสียแล้ว


“ยินดีด้วยท่านชาย ยินดีด้วยท่านชาย” ทันใดนั้นก็มีองครักษ์ตะโกนเสียงสูงขึ้นมา


บรรดาเหล่าองครักษ์ต่างก็พูดตามๆ กันไป


“เป็นผู้ปกครองแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกตะลึงอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าการเป็นผู้ปกครองในระบบการบำเพ็ญสายโลหิตจะยากเย็นยิ่ง แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังง่ายกว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อยู่เล็กน้อย อย่างน้อยเพียงแค่อาศัยความช่วยเหลือจาก ‘ผลวิเศษมารดำ’ ก็ทำให้ความมั่นใจในสายโลหิตตื่นรู้ของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเพิ่มพูนขึ้นมากๆแล้ว ตอนนี้ยังก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองได้สำเร็จอีกด้วย


การจะเป็นผู้ปกครองในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ยากเย็นอย่างยิ่ง วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าของตนนั้นก็บำเพ็ญจนถึงจุดคอขวดสูงสุดแล้ว แต่ต้องการจะสมบูรณ์นิรันดร์ ก็รู้สึกว่ายังมืดมัวนัก


ถึงแม้ว่าในใจจะยังเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังทะยานเหินไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวที่ตอนนี้กำลังตื่นเต้นยินดีอย่างหาใดเปรียบเพื่อแสดงความยินดี “ยินดีด้วยท่านชาย ได้เป็นผู้ปกครองแล้ว”


“ฮ่าฮ่า”


ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง เขาย่อมมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปต่อเหล่าองครักษ์คนอื่นๆบ้าง ถึงอย่างไรช่องว่างระหว่างผู้ปกครองกับผู้เคารพก็แตกต่างกันมากนัก แต่กับตงป๋อเสวี่ยอิง


เจียวอวิ๋นหลิวก็ยังค่อนข้างเกรงใจ เพราะว่าเขารู้สึกว่าองครักษ์ตงป๋อผู้นี้สามารถร้ายกาจเช่นนี้ได้


การจะเป็นผู้ปกครองย่อมไม่มีปัญหาอันใดอยู่แล้ว หลังจากเป็นผู้ปกครองแล้วก็จะต้องเป็นผู้ที่เหนือกว่าใครในบรรดาผู้ปกครองแน่ แม้ว่าอนาคตจะมุ่งหน้าไปยัง ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ ก็ยังต้องติดต่อกันอยู่บ่อยๆ


น้องตงป๋อ ต้องขอบคุณเจ้ามาก ถ้าหากไม่มีผลวิเศษมารดำ ลำพังข้าเองก็ไม่รู้เลยจริงๆว่าเมื่อไหร่จึงจะสามารถบรรลุได้” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวทอดถอนใจ


“ผลวิเศษมารดำเป็นวัตถุภายนอก การบรรลุนั้นนอกจากวัตถุภายนอกแล้วก็ยังต้องอาศัยตัวเองด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านชายสามารถบรรลุได้ เห็นได้ชัดว่าโดยปกติแล้วจะต้องสั่งสมอะไรมามากมาย”


เจียวอวิ๋นหลิวคลี่ยิ้ม


ใช่แล้ว


เขาถึงอัดอั้นตันใจมานานเกินไปแล้ว! เขาได้ทดลองบำเพ็ญระบบอื่นเพื่อการบรรลุ สิ้นเปลืองพลังงานไปมากมายเหลือเกิน ทั้งยังสั่งสมอะไรมามากมาย สุดท้ายตอนนี้กลับบรรลุได้ในคราวเดียว! ระดับชีวิตก็ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้หากตงป๋อเสวี่ยอิงจะสังหารท่านชายสามนั้นก็ง่ายดายราวกับปอกกล้วย ทว่าตอนนี้…หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเอาชนะท่านชายสามได้หรือไม่ก็ยากจะพูดได้


สามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถเอาชนะท่านชายสามที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ปกครองแล้วได้


“ข้าเคยบอกแล้วว่าหลังจากเก็บตัวบำเพ็ญ ข้าจะส่งเจ้าไปบรรพคีรีมารด้วยตนเอง” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ “ถึงแม้ว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไป แต่ข้าคุ้นเคยกับผู้ดูแลเขาบรรพคีรีมารเป็นอย่างยิ่ง แล้วข้าก็ยังรู้พวกกฎพื้นฐานด้วย”


“ต้องขอบคุณท่านชายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้าเป็นผู้ปกครอง บำเพ็ญต่ออีกสักระยะเวลาหนึ่งข้าก็จะเข้าไปในบรรพคีรีมารด้วย” เจียวอวิ๋นหลิวอมยิ้ม “ผู้เคารพมีเพียงสามคน ตอนแรกข้าไม่กล้าจะคิด แต่ผู้ปกครองในบรรพคีรีมารกลับมีถึงสามสิบเก้าคน… ข้ามีท่านพ่อข้าช่วยเหลือ บำเพ็ญให้มากอีกสักระยะหนึ่งก็น่าจะสามารถสู้ได้อยู่”


“มีข้าช่วยเหลือ เจ้ายังไม่มั่นใจเต็มที่อีกหรือ” น้ำเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจจนตัวโยน เจียวอวิ๋นหลิวก็หันหน้าไปอย่างตกใจ พวกเขาสองคนต่างก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งหยัดยืนอยู่กลางอากาศด้านข้าง บุรุษผู้นี้สวมเกราะเกล็ดสีแดงเข้มตลอดร่าง ทว่าเกราะตรงบริเวณคิ้วกลับเป็นสีขาวซีด นัยน์ตาสีเงินทั้งคู่ก็เยียบเย็นราวน้ำแข็ง ราวกับสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งหยามเหยียดมดปลวก


“ท่านพ่อขอรับ” เจียวอวิ๋นหลิวทักทายอย่างเคารพนบนอบ


“จ้าวท่าน” เหล่าองครักษ์ทั้งหมดกล่าวทัก เช่นเดียวกันกับตงป๋อเสวี่ยอิง


ไม่มีผู้ใดโง่งม ต่างก็รู้ว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นในทันทีทันใดผู้นี้ก็คือหนึ่งในจักรพรรดิสามท่านที่มีสถานะสูงส่งที่สุดในจักรวาลคีรีมาร แล้วยังเป็นจ้าวแห่งตระกูลเจียวอวิ๋น…จักรพรรดิเจียวอวิ๋น!


จ้าวท่าน เป็นคำเรียกขานที่ใช้กันโดยทั่วไปมากกว่าในจักรวาลผู้บำเพ็ญ


แต่ในจักรวาลคีรีมาร ‘อ๋อง’ ก็หมายถึงผู้ปกครองแล้ว! ส่วน ‘จ้าวท่าน’ มีเพียงเทพอากาศเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับคำเรียกขานเช่นนี้


“ยังนับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา


แต่ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกลับได้ยินแววยินดีที่แสดงออกมาสายหนึ่ง เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว หลายปีมานี้ท่านพ่อของเขายากที่จะชมเชยเขาสักครั้ง ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งที่สองกระมัง


“ตัวเจ้าเป็นผู้ปกครอง ทั้งยังเป็นบุตรชายของข้า ก็จะต้องเข้าไปในบรรพคีรีมารอยู่แล้วสิ” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่าทำตัวไร้ประโยชน์เช่นนั้น”


“ขอรับ” เจียวอวิ๋นหลิวเอ่ยอย่างเชื่อฟัง


จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาสีเงินอันเยียบเย็นไร้อารมณ์คู่นั้นทำให้หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงบีบรัด กลิ่นอายของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้นี้เป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเหนือกว่ากฎเกณฑ์การหมุนเวียนของทั้งจักรวาลเสียอีก


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเปิดปากเรียก “ข้ารู้จักเจ้า เอาชนะมารแดงได้ ผู้ปกครองที่สามารถเอาชนะผู้เคารพได้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก”


ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มพลางก้มศีรษะต่ำอย่างเชื่อฟัง


เขาอยู่ที่จักรวาลคีรีมาร มิได้มีเจตนาเป็นศัตรู ย่อมต้องทำตามกฎเกณฑ์อย่างเชื่อฟัง


ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยต่อไปว่า “โชคดีที่มีน้องตงป๋อ หากมิได้น้องตงป๋อ ผลวิเศษมารดำของข้าก็คงถูกชิงไปแล้ว”


จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพยักหน้า “พี่ใหญ่ของเจ้าสามารถทำให้มารแดงคอยช่วยเหลือได้ ก็เป็นความสามารถของเขา! เจ้าสามารถทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือได้  ก็เป็นความสามารถของเจ้าเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิง พลังของเจ้าเพียงพอที่จะไปยังบรรพคีรีมาร ไปแข่งกับผู้เคารพอีกสามคน เจ้าอยากไปหรือไม่ล่ะ”


“อยากไปแน่นอนขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ดี เช่นนั้นก็ไปเถิด”


จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพูดจบก็นำทางตงป๋อเสวี่ยอิงและท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวไป เสียงดังฟิ้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


เหล่าองครักษ์คนอื่นๆ ในที่นั้นค่อยผ่อนลมหายใจออกจากปาก ทั้งตื่นเต้นและพรั่นพรึงไปพร้อมๆ กัน ในที่สุดชั่วชีวิตนี้ของพวกเขาก็ได้เห็นจักรพรรดิสักครั้งหนึ่งแล้ว!


15 บรรพคีรีมาร

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


เพียงชั่วครู่


ตงป๋อเสวี่ยอิงและท่านชายสามมาถึงบรรพคีรีมาร ภายใต้การนำทางของจักรพรรดิเจียวอวิ๋น


“ถึงแล้ว” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวมองไปด้านหน้าอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองไปอย่างระแวดระวัง ท่ามกลางฟากฟ้าอันไร้ขอบเขตเบื้องหน้า มีภูเขาใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำแห่งหนึ่ง ภูเขาใหญ่ตระหง่านราวกับเป็นศูนย์กลางของฟ้าดินแห่งนี้ ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือศูนย์กลางของจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ต่างหาก


บริเวณโดยรอบบรรพคีรีมารแห่งนี้ยังมีหินอุกกาบาตรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก หินอุกกาบาตทุกก้อนล้วนเปล่งแสงออกมาจางๆ เห็นได้ชัดว่าค่ายกลอันไร้รูปร่างเชื่อมโยงหินอุกกาบาตโดยรอบเอาไว้ทั้งหมด


“ไป” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยวาจาอย่างเย็นชาแล้วนำทางคนทั้งสองเหินทะยานไปด้วยความเร็วสูง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งเคลื่อนผ่านท้องฟ้าแล้วร่อนลงบนหินอุกกาบาตก้อนหนึ่งในนั้น บนหินอุกกาบาตก้อนนั้นยังมีเพิงหินที่พักอยู่จำนวนหนึ่ง ขณะนี้บนพื้นผิวหินอุกกาบาตมีผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลรอคอยอยู่อย่างเคารพนบนอบ ยามที่จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพาคนทั้งสองมาถึง เขาก็เอ่ยอย่างเคารพขึ้นมาในทันที “จ้าวท่าน”


“อืม” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพยักหน้า ทันใดนั้นก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลัง “ตงป๋อเสวี่ยอิง นี่คือเอ้อเฉิน เรื่องที่เจ้าเตรียมจะต่อสู้กับผู้เคารพภายในบรรพคีรีมารก็ให้เขาช่วยจัดการ”


“ขอบคุณจ้าวท่าน”  ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหันศีรษะมองไปทางผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลผู้นั้นแล้วเอ่ยทักทายเล็กน้อย “รบกวนผู้ปกครองเอ้อเฉินแล้ว”


ผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลเผยรอยยิ้มออกมา ทว่าใบหน้าของเขาดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัว ถึงแม้แย้มยิ้มก็ยังชวนให้ผู้คนตกใจอยู่บ้าง ฉีกยิ้มกว้างเสียจนเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมทั่วทั้งปาก “ได้ยินมาว่าผู้เคารพตงป๋อสามารถเอาชนะผู้ปกครองได้ ข้าก็นับถิอยิ่งนัก เจ้าต่อสู้กับผู้เคารพของบรรพคีรีมาร ข้าก็แค่คอยช่วยเหลือชี้แนะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเท่านั้น จะสามารถคว้าชัยชนะมาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพลังของผู้เคารพตงป๋อเองแล้ว”


“ท่านพ่อ ระยะเวลาที่น้องตงป๋อเข้ามาในจักรวาลคีรีมารของพวกเรายังสั้นนัก ทั้งยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับยอดฝีมือของแต่ละระบบการบำเพ็ญอย่างเพียงพอ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดขึ้น ด้วยเขาต้องการให้ท่านพ่อช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิง


จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองบุตรชายของตนปราดหนึ่ง


เขาเย่อหยิ่งเย็นชา


แต่บุตรชายทั้งสามคนของเขา นับได้ว่ายากที่เขาจะเห็นความสำคัญ สำหรับการให้เหล่าบุตรชายหญิงต่อสู้กันนั้นก็เป็นเพราะเขาคิดว่าผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน มิได้หมายความว่าในส่วนลึกของจิตใจไม่แยแสสนใจบุตรชาย


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเย็นชา “พูดมาเถิด มีอะไรอยากให้ข้าช่วยหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง


“มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ารีบคว้าโอกาสเอาไว้ดีกว่า” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา เขาย่อมไม่เห็นผู้เคารพที่น่าเหลือเชื่อคนหนึ่งอยู่ในสายตาอยู่แล้ว สุดท้ายต่อให้เป็นผู้ปกครองแล้วอย่างไรเล่า จากเทพแท้ไปเป็นเทพอากาศ…มีกำแพงกั้นสูงยิ่งนัก การบรรลุในก้าวนี้ยากเย็นเป็นที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิเจียวอวิ๋นก็รู้กระจ่างดีว่าเมื่อใดที่จักรวาลแห่งนี้ถึงกาลอวสาน พวกเขาก็จะออกเดินทางไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ไปติดตามท่านบรรพชน


เหล่าเทพแท้จำนวนหนึ่งเฉกเช่นท่านชายสามยังคิดจะผูกมิตรกับตงป๋อเสวี่ยอิง


ทว่าสายตาของพวกจักรพรรดิเจียวอวิ๋นกว้างไกลยิ่งกว่า…ยังไม่เข้าสู่ชั้นเทพอากาศ เขาก็คร้านจะไปสนใจ แต่เพื่อบุตรชายแล้วเขาก็ปรารถนาจะให้โอกาสตงป๋อเสวี่ยอิงสักครั้งหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาของอีกฝ่าย แต่เขาก็มิได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยแล้วเอ่ยขึ้นทันควันว่า “ข้าน้อยมีสิ่งที่อยากจะขอ เพียงแต่ว่าหาไม่พบมาโดยตลอด”


เพื่อจักรวาลบ้านเกิด


เพื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย นั่นเป็นการตัดสินชะตาของชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้อีกฝ่ายเย็นชายิ่งกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า


“ว่ามา” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพูด


“ข้าน้อยต้องการสิ่งของสองชิ้นมาโดยตลอด หนึ่งคือโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรที่เล่าลือกัน ส่วนอีกอย่างก็คือบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง สำหรับบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นมิได้ขอทั้งเล่ม เพียงแค่ตอนที่สามก็เพียงพอแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพร้อมกับมองจักรพรรดิเจียวอวิ๋นไปพร้อมกัน


จักรพรรดิเจียวอวิ๋นขมวดคิ้วมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งพลางเอ่ยเสียงเย็น“เจ้าเป็นผู้เคารพคนหนึ่ง ยังนึกอยากได้โลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรอีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแมลงเพลิงพันเนตรคือสิ่งใด”


“ไม่ทราบขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ


“ไม่รู้แล้วยังกล้าเปิดปากพูดอีก” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นยิ้มเยาะ เขาผู้เป็นถึงระดับนี้ยังให้ความสำคัญต่อสิ่งล้ำค่าอย่างโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร เขาเองก็เพียงแค่เคยเห็นบันทึกในตำราโบราณที่ท่านบรรพชนมอบให้เท่านั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โมโห เขารับฟังอย่างเชื่อฟัง ทว่ากลับแอบทอดถอนใจอยู่ภายใน… ดูท่าจะหมดหวังกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรเสียแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะต้องการไปเพื่ออะไร


“โลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นข้าสามารถยกให้เจ้าทั้งเล่มได้” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่แยแส “อีกไม่นานจะมีคนส่งบัญชีหมื่นสรรพสิ่งมา เจ้าก็อยู่รอที่นี่แหละ หลิวเอ๋อร์ ไปกับข้า”


“ขอรับ ท่านพ่อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวไม่กล้าคัดค้าน ทำได้เพียงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า “ต่อไปก็ต้องอาศัยตัวเจ้าเองแล้วล่ะนะ”


“ต้องขอบคุณท่านชายเป็นอย่างยิ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตอบรับ


ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง


ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้องขอตนในสองเรื่องนี้ ดูจากน้ำเสียงของท่านอาจารย์ในตอนนั้นแล้วจะต้องสำคัญอย่างที่สุด ตนสามารถทำสำเร็จได้เรื่องหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว! ถึงอย่างไรตอนที่ตนถามท่านชายสามก่อนหน้านี้ท่านชายสามยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ส่วนเทพอากาศ ‘จักรพรรดิเจียวอวิ๋น’ ผู้นี้ถึงแม้จะรู้จักวัตถุทั้งสอง ทว่าเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีหวังกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรเลย แต่กลับรับปากจะยกบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้ทั้งเล่ม


“ขอบคุณจ้าวท่านขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพนบนอบ


จากนั้นจักรพรรดิเจียวอวิ๋นก็พาท่านชายสาม แปรเป็นลำแสงแล้วหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว


ทว่า ‘ผู้ปกครองเอ้อเฉิน’ ที่อยู่ด้านนั้นกลับยิ้มพูดขึ้นว่า “ผู้เคารพตงป๋อ อยากจะท้าทายผู้เคารพภายในบรรพคีรีมาร ข้าจะบอกกฎง่ายๆ ให้เจ้าได้รู้ก่อน”


“ผู้ปกครองเอ้อเฉินเชิญพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“มิใช่ว่าผู้ใดมาท้าทายแล้วผู้เคารพสามท่านสามท่านภายในนั้นก็จะตอบรับคำท้าทั้งหมดหรอกนะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็เกรงว่าผู้เคารพสามท่านภายในนั้นก็คงต้องคอยตอบรับคำท้าทายทั้งหมดจนไม่มีเวลาบำเพ็ญแล้ว” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “อยากจะท้าทาย…ก็ต้องเอาชนะหุ่นเชิดตัวหนึ่งตรงทางเข้าบรรพคีรีมารให้ได้ก่อน หากเอาชนะหุ่นเชิดได้ก็หมายความว่ามีคุณสมบัติพอที่จะไปท้าทายพวกเขาได้”


“จนถึงตอนนี้ผู้เคารพที่สามารถเอาชนะหุ่นเชิดได้มีทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน” ผู้ปกครองเอ้อเฉินมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ก็ยังยากเย็นยิ่งนัก”


“หลังจากเอาชนะหุ่นเชิดแล้ว ผู้เคารพตงป๋อก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปท้าทายผู้เคารพอันดับสองและผู้เคารพอันดับสามภายในบรรพคีรีมาร” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “หากชนะ ก็จะไปแทนที่หนึ่งในพวกเขา ลำดับของพวกเขาก็จะขยับถอยไปอยู่หลังอีกคนหนึ่งลำดับ… ผู้ที่อยู่ในลำดับที่สี่ก็จะถูกขับออกจากบรรพคีรีมาร”


“หลังจากชนะแล้วก็สามารถท้าทายต่อไปได้ คราวนี้ก็จะสามารถท้าทายผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้แล้ว” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “เมื่อชนะแล้ว เจ้าก็คือผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถเข้าสู่ชั้นในของบรรพคีรีมารได้!”


“ระหว่างการท้าทาย หากพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว นึกอยากจะท้าทายอีกก็ต้องรอไปหนึ่งล้านปี!”


ผู้ปกครองเอ้อเฉินยิ้มพูดว่า “เจ้าคงเข้าใจกฎกติกาแล้วกระมัง”


“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


หากพ่ายแพ้การต่อสู้แล้วก็จะต้องรอไปหนึ่งล้านปีจึงจะสามารถท้าทายใหม่ได้อีก นี่ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เหล่าผู้เคารพมาคอยท้าทายไม่หยุดหย่อน เวลาหนึ่งล้านปีจะว่ายาวก็ไม่ยาว แต่หากจะว่าสั้นก็ไม่สั้นแน่นอน มิได้มีผลกระทบต่อการบำเพ็ญมากมายนัก


“อีกประเดี๋ยวคงจะมีบัญชีหมื่นสรรพสิ่งส่งมา เช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าอยู่พักผ่อนที่นี่สักวันหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในบรรพคีรีมาร ดีหรือไม่ล่ะ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินถาม


“ก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ผ่านไปสามล้านปีแล้ว กับเวลาเพียงแค่วันเดียวเขาคงไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด


ผู้ปกครองเอ้อเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเป็นลำแสงเหินทะยานไปทางบรรพคีรีมารที่อยู่ไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติจะเข้าไปในบรรพคีรีมารได้!


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หมุนกายเลือกเพิงหินแห่งหนึ่งเอาตามใจชอบ


ภายในเพิงหินมีค่ายกลไหลเวียนอยู่ ทั้งยังสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่รู้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าในอดีตคนใดทิ้งเอาไว้


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงรอคอยอย่างเงียบเชียบ


เวลาล่วงเลยผ่านไป…


ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ด้านนอกก็มีเสียงเสนาะหูดังขึ้น “ผู้เคารพตงป๋อ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไป


หญิงสาวมีหางหน้าตาดีในอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่งแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ผู้เคารพตงป๋อ ข้ามาส่งมอบบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้ตามบัญชาของจ้าวท่าน” นางพูดพลางหยิบจานรูปร่างกลมสีทองใบหนึ่งออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาด้วยความยินดียิ่ง เขาเปิดปากเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้ปกครอง”


ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้นั้นล้วนเป็นชั้นผู้ปกครองทั้งสิ้น


“เรื่องเล็กน่า”  หญิงสาวผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วหมุนกายกลายเป็นลำแสงเหินออกไปจากรัศมีของหินอุกกาบาตนี้ หายลับไปพร้อมกับเวลาที่เคลื่อนผ่าน


ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้าลงมองบัญชีหมื่นสรรพสิ่งในมือ เมื่อรับสัมผัสแล้วเขาก็รับสัมผัสได้ถึงข้อมูลอันมากมายที่บรรจุอยู่ภายใน ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่สมอง เวลาผ่านไปราวๆช่วงเวลาจิบน้ำชาถ้วยหนึ่งจึงค่อยหยุดลง เห็นได้ชัดว่าภายในบัญชีหมื่นสรรพสิ่งยังมีข้อมูลอีกจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ตนเองกลับไม่สามารถรับได้ไหวอีกแล้ว ด้วยมีค่ายกลอันลึกลับขัดขวางอยู่ ถ้าหากไม่ทำลายเสียก่อนก็มิอาจตรวจดูต่อไปได้อีก


“นี่มิใช่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่เป็นระบบ ‘ทิพย์’ ที่ค้นคว้าสรรพสิ่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ


ในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจระบบมากขึ้นแล้ว


หากพูดถึงระดับความลึกลับ เขารู้สึกว่า ‘ทิพย์’ นี้เป็นระบบเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับ ‘ความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ได้


“ท่านอาจารย์ต้องการสิ่งนี้ไปทำไมกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดแล้วคิดอีก จนไม่อยากคิดมากอีกต่อไปแล้ว


พรึ่บ


ไกลออกไป เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดง แต่เป็นร่างแยกร่างใหม่ที่มาจากการบำเพ็ญ โดยอาศัยเคล็ดวิชาแยกร่างของท่านอาจารย์ ในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีถึงสามร่างแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำยื่นจานกลมสีทองในมือให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดง


“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สำแดงเคล็ดการหลบหลีกในอากาศ ผ่านเส้นทางจักรวาลที่มาในตอนแรกเส้นนั้นด้วยความเร็วสูงสุด เตรียมตัวกลับไปที่จักรวาลบ้านเกิดเพื่อนำสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปมอบให้ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก่อน! ในเมื่อมีความสำคัญต่อการต่อสู้มาก ยิ่งส่งมอบให้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)