Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน 953-957

ตอนที่ 953

 

ช้าไปหนึ่งก้าว


แปลโดย iPAT 


 


หลังจากยอมรับความพ่ายแพ้ ฮุ้ยฟงซื่อกลายเป็นตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะภาคกลางและถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อดูแลหุบเขาเหล่าโป


 


เขาเป็นเพียงลิ่วล้อระดับล่าง เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายฟงเซี่ยน


 


เขารู้เพียงว่าผู้อมตะหนึ่งคนกับมนุษย์เพศหญิงอีกคนเข้าไปในหุบเขาเหล่าโปและเขามีหน้าที่สอดส่องดูแลความเรียบร้อยเท่านั้น


 


เมื่อเห็นการมาถึงของไห่ลั่วหลัน เขาจึงต้องแจ้งข่าวนี้กับองค์ชายฟงเซี่ยน


 


องค์ชายฟงเซี่ยนได้รับข้อมูลในขณะที่มือของเขายังสั่นสะเทือนด้วยพลังอำนาจของลมมรณะ


 


หลังจากทั้งหมดลมมรณะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ


 


นี่ทำให้เขารู้สึกชื่นชมฟงจิวเก้อเป็นอย่างมากที่สามารถรักษาชีวิตจากลมมรณะมาจนถึงวันนี้


 


แต่น่าเสียดายที่ฟงจิวเก้อตายไปแล้ว


 


กระบวนการสืบทอดมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์รวดเร็วและง่ายดายมาก


 


เพียงคนผู้หนึ่งเป็นปีศาจต่างโลก เขาหรือนางก็จะได้รับมรดกทันที


 


หลังจากฟงจิวเก้อเสียชีวิต จ้าวเหลียนหยุนจึงได้รับมรดกจากเทพปีศาจปล้นสวรรค์ แน่นอนว่ามันก็คือท่าไม้ตายอมตะผนึกภูตผี


 


นางกลับออกมาพบองค์ชายฟงเซี่ยนและรายงานเกี่ยวกับการเสียชีวิตของฟงจิวเก้อ


 


“เห้อ…เรามาช้าไปก้าวหนึ่ง” องค์ชายฟงเซี่ยนถอนหายใจ


 


จากนั้นเขาจึงคว้าไหล่จ้าวเหลียนหยุนและบินจากไป


 


ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างเทพธิดาหลี่ซานกับนางมารผลาญสวรรค์ถูกเปิดเผยแล้ว


 


องค์ชายฟงเซี่ยนไม่ต้องการต่อสู้


 


ทั้งหมดก็คือแวดวงของผู้อมตะระดับแปดแคบมาก


 


ในภาคเหนือมีผู้อมตะระดับแปดที่ได้รับการยอมรับเพียงห้าคนเท่านั้น


 


หนึ่ง ปีศาจอมตะเซี่ยหู สอง จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู สาม เหยากวง สี่ องค์ชายฟงเซี่ยน และห้า ปรมาจารย์ห้าธาตุ


 


นางมารผลาญสวรรค์เป็นผีดิบอมตะ ดังนั้นนางจึงไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้


 


อย่างไรก็ตามคนทั้งหกต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีและเคยต่อสู้กันมาหลายครั้ง กล่าวได้ว่าหากคนหนึ่งผายลมออกมา คนที่เหลือก็จะรู้ทันทีว่าเป็นผู้ใด


 


หากองค์ชายฟงเซี่ยนโจมตีเทพธิดาหลี่ซานกับไห่ลั่วหลัน นางมารผลาญสวรรค์จะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน


 


ในความเห็นขององค์ชายฟงเซี่ยน มีความเป็นไปได้ว่านางมารผลาญสวรรค์อาจซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้เคียง


 


องค์ชายฟงเซี่ยนมีสถานะพิเศษ เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยง่าย หากนางมารผลาญสวรรค์จำเขาได้ ปัญหาใหญ่อาจจะตามมา


 


เหตุใดองค์ชายฟงเซี่ยนจึงปรากฏตัวที่หุบเขาเหล่าโป?


 


ผู้อมตะไม่ใช่คนโง่ พวกเขาจะสามารถคาดเดาตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายฟงเซี่ยนได้อย่างง่ายดาย


 


ไม่ควรลืมว่ามีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่บนโลกใบนี้


 


องค์ชายฟงเซี่ยนพิจารณาถึงภาพรวมและตัดสินใจล่าถอยอย่างระมัดระวังโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เพื่อให้ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาสามารถอนุมาน


 


ไห่ลั่วหลันกับคนอื่นๆยังไม่รู้ว่าพวกนางบังคับให้ผู้อมตะระดับแปดที่ยิ่งใหญ่ต้องล่าถอย


 


หลังจากทำลายปราการป้องกัน พวกนางจึงเข้าไปในหุบเขาเหล่าโปที่กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่หลายส่วนยังถูกปิดผนึกด้วยค่ายกลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยสมาชิกนิกายเงาหรือผู้อมตะหงซื่อหมิงของภาคกลาง


 


ค่ายกลวิญญาณเหล่านี้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมของหุบเขาเหล่าโป


 


คนทั้งสามตรวจสอบพื้นที่อย่างคร่าวๆ


 


ฟางหยวนพบซากศพของหนอนไหมบัวขาวตัวหนึ่ง นี่ทำให้เขาต้องถอนหายใจด้วยความเสียดาย


 


เขาได้รับข้อมูลจากไห่ลั่วหลันว่าในหุบเขาเหล่าโปเต็มไปด้วยหนอนไหมบัวขาว แต่การต่อสู้ร้อยวันทำให้พวกมันเสียชีวิต


 


โชคดีที่ฟางหยวนได้รับหนอนไหมบัวขาวจากสวรรค์สีเหลืองมามากพอแล้วสำหรับวิญญาณอมตะล้างใจ


 


เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่ามีบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้อมตะเหล่านั้นมากกว่า


 


ภายใต้การเฝ้ามองของไห่ลั่วหลันกับเทพธิดาหลี่ซาน ฟางหยวนเปิดประตูแสงก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว


 


ฟางหยวนถอนหายใจและตระหนักว่ามรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ถูกนำออกไปแล้ว บางทีอาจเป็นนิกายเงา


 


แต่เขาเดาผิด


 


ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงกลับเป็นจ้าวเหลียนหยุนและกองกำลังจากภาคกลาง


 


ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้รับมรดกก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน


 


องค์ชายฟงเซี่ยนมาช้าไปหนึ่งก้าวในการช่วยเหลือฟงจิวเก้อขณะที่ฟางหยวนก็มาช้าไปหนึ่งก้าวในการรับสืบทอดมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์


 


“แม้เทพปีศาจปล้นสวรรค์จะทิ้งมรดกไว้ที่นี่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันเป็นเรื่องปกติที่บางคนจะได้รับมันไปแล้ว สมบัติที่แท้จริงยังคงเป็นหุบเขาเหล่าโป” ไห่ลั่วหลันตบไหล่ฟางหยวนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ฟางหยวนรู้ว่านางกำลังกระตุ้นให้เขาทำงาน


 


ฟางหยวนพยักหน้าและกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะยกหุบเขาเหล่าโปขึ้นอย่างช้าๆ


 


เทพธิดาหลี่ซานกระตุ้นใช้วิญญาณจำนวนมากเพื่อให้ความช่วยเหลือจากด้านข้าง


 


“พวกเขากำลังจะนำหุบเขาเหล่าโปไป!” ฮุ้ยฟงซื่อตกใจมากเมื่อเห็นฉากเหตุการณ์นี้


 


องค์ชายฟงเซี่ยนก็ประหลาดใจเช่นกัน


 


เขาไม่คาดคิดว่าไห่ลั่วหลันจะมีวิธีการนอกรีตเช่นนี้


 


องค์ชายฟงเซี่ยนไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับสิ่งนี้ เขาลังเลแต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจและไม่ทำสิ่งใด


 


หลังจากหนึ่งชั่วโมง ฟางหยวนประสบความสำเร็จในการนำหุบเขาเหล่าโปเก็บไว้ในมิติช่องว่างของเขา


 


“ยังมีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ แต่เพื่อความปลอดภัย เราควรออกไปตอนนี้” หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมากมาย ตอนนี้ไห่ลั่วหลันสามารถควบคุมอารมณ์และใจเย็นลงมาก


 


แม้หุบเขาเหล่าโปจะถูกทำลายไปมากแต่มันยังสามารถฟื้นฟูขึ้นได้ด้วยวิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้าของไท่เป่ยหยุนเฉิง


 


หากเปรียบเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์ หุบเขาเหล่าโปล้ำค่ากว่ามาก


 


ผู้อมตะหลายคนตายที่นี่ระหว่างการต่อสู้ร้อยวัน แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้


 


ฟางหยวนสามารถฉกชิงหุบเขาเหล่าโปแต่เขาไม่สามารถนำแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไปด้วย


 


สิ่งสำคัญก็คือมันยังไม่ใช่เวลาที่จะค้นหาแดนศักดิ์สิทธิ์!


 


หลังจากได้รับหุบเขาเหล่าโป กลุ่มของฟางหยวนจึงรีบล่าถอย


 


“พวกเขาจากไปเร็วมาก พวกเขารู้สถานการณ์ดีจริงๆ” องค์ชายฟงเซี่ยนมองกลุ่มของฟางหยวนจากไปด้วยสายตาเย็นเยียบ


 


แม้เขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวแต่เขายังมีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอมตะหญิงสองคนคือมือกระบี่หยูหลานและหลี่เหยารวมถึงกองกำลังส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง


 


องค์ชายฟงเซี่ยนซ่อนตัวอยู่ที่ภาคเหนือมานานหลายปี เป็นเรื่องปกติที่เขาจะสามารถสะสมกองกำลัง


 


เขายังต้องการสร้างปัญหาให้กับกลุ่มของฟางหยวนแต่เป้าหมายล่าถอยเร็วเกินไปขณะที่เขาไม่สามารถติดตาม


 


องค์ชายฟงเซี่ยนกวาดมองสนามรบร้อยวันที่กลายเป็นความว่างเปล่า


 


แม้กลิ่นอายของวิญญาณอมตะจะถูกลบออกไปแต่ผู้เชี่ยวชาญยังสามารถรับรู้เบาะแสบางอย่าง


 


ผู้อมตะจำนวนมากเสียชีวิตอยู่ที่นี่ นั่นทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยทรัพยากร


 


องค์ชายฟงเซี่ยนยังไม่ยอมแพ้


 


กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันและต้องการยึดครองแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่


 


สำหรับวิญญาณอมตะ พวกมันย่อมถูกทำลายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย


 


‘ข้าหวังว่าภาระจะไม่ตกมาอยู่ที่ข้า ฟงจิวเก้อตายด้วยลมมรณะ เขาไม่ได้ทิ้งสิ่งใดเอาไว้เว้นเพียงคำสองคำ ข้าต้องส่งจ้าวเหลียนหยุนกับข้อมูลสำคัญกลับไปยังนิกายเป็นอันดับแรก’


 


องค์ชายฟงเซี่ยนไตร่ตรองก่อนจะนำจ้าวเหลียนหยุนจากไปอย่างรวดเร็ว


 


สำหรับฮุ้ยฟงซื่อ เขาถูกทิ้งไว้ให้เป็นผู้ดูแลแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น


 


“นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์เสี่ยวฮัน” ไห่ลั่วหลันนำฟางหยวนกับเทพธิดาหลี่ซานไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ของไห่เจิ้ง


 


มันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางแห่งความมืดและจิตวิญญาณที่มืดมิดและเต็มไปด้วยแรงกดดัน


 


มีป่าไม้ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง


 


ต้นไม้ของป่าแห่งนี้มีรูปร่างคล้ายกับหญิงสาว นี่เป็นทรัพยากรพิเศษที่มีอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของไห่เจิ้งเท่านั้น


 


ไห่ลั่วหลันเรียกจิตวิญญาณแผ่นดินออกมา


 


จิตวิญญาณแผ่นดินเสี่ยวฮันดูแปลกประหลาดเพราะมันมีร่างกายเป็นเถาวัลย์สีเขียว


 


เทพธิดาหลี่ซานถอนหายใจแนะนำ “เงื่อนไขในการเป็นเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์เสี่ยวฮันก็คือการอยู่ร่วมกันตลอดไปกับซูเซี่ยนเอ๋อ ดังนั้นเมื่อเสี่ยวหลันนำเจตจำนงของพี่สาวข้าออกมา นางจึงกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้”


 


ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


ผู้ใดจะคิดว่าเจตจำนงสุดท้ายก่อนตายของไห่เจิ้งจะเป็นเกี่ยวกับซูเซียนเอ๋อ


 


เห็นได้ชัดว่าเขารักซูเซียนเอ๋อด้วยหัวใจที่แท้จริง กระทั่งในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย สิ่งที่เขาคิดและต้องการก็มีเพียงซูเซี่ยนเอ๋อ


 


เรื่องนี้สามารถบอกได้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง


 


“เสี่ยวหลัน เจ้ากลับมาแล้ว” เจตจำนงของซูเซี่ยนเอ๋อกล่าว


 


“ท่านแม่” ไห่ลั่วหลันตอบรับเบาๆก่อนจะออกคำสั่งจิตวิญญาณแผ่นดิน


 


จิตวิญญาณแผ่นดินนำพวกเขาเคลื่อนย้ายสถานที่ในพริบตา


 


ความสามารถนี้แสดงให้เห็นว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เสี่ยวฮันมีพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งห้วงมิติอยู่ไม่น้อย


 


ฟางหยวนวางหุบเขาเหล่าโปลงที่นี่


 


เทพธิดาหลี่ซานเผยรอยยิ้มมีความสุขเมื่อภารกิจประสบความสำเร็จ “ฟางหยวน เจ้ามีภูเขาตงฮัน ข้ามีภูเขาน้อย เสี่ยวหลันมีหุบเขาเหล่าโป ฮ่าฮ่าฮ่า นี่น่าสนใจจริงๆ แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพทั้งสามต่างอยู่ในกำมือของพวกเรา!”


 


มองไปยังหุบเขาเหล่าโปที่อยู่ด้านล่าง ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะรู้สึกคาดหวัง


 


ภูเขาตงฮันกับหุบเขาเหล่าโปถูกยกย่องโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณว่าเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ฟางหยวนได้รับกำไรอย่างไม่รู้สิ้นสุดจากภูเขาตงฮันและไม่ต้องสงสัยเลยว่าหุบเขาเหล่าโปจะทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

 


ตอนที่ 954

 

สีน้ำเงิน


แปลโดย iPAT 


 


ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ ห้องประชุม


 


ผู้อมตะสิบห้าคนรวมตัวอยู่ที่นี่ มากกว่าครึ่งมาด้วยตนเอง


 


นี่เป็นภาพที่หาดูได้ยาก


 


มีการประชุมในนิกายบ่อยครั้งแต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะส่งเจตจำนงมาร่วมประชุมเท่านั้น


 


แต่ตอนนี้ผู้อมตะแปดคนกลับมาด้วยตนเองและมีสองคนเป็นผู้อมตะระดับแปด


 


หัวข้อการประชุมในวันนี้ก็คือฟงจิวเก้อ


 


ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกไม่สบายใจและไม่มั่นคงเมื่อขาดอัจฉริยะผู้นี้


 


“วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะประกาศ” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณกล่าวอย่างเคร่งขรึม


 


แตกต่างจากนิกายอื่น สมาชิกส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นผู้หญิง


 


มีผู้อมตะหญิงสิบคนและผู้อมตะชายเพียงห้าคน


 


ทุกคนตั้งใจฟังเรื่องที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกำลังจะกล่าว


 


ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไร้อารมณ์ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองมีสีหน้าเคร่งเครียด


 


เห็นการแสดงออกของคนทั้งสอง ผู้อมตะทั้งหมดต่างรู้สึกไม่สบายใจ


 


ดังคาด คำกล่าวต่อไปของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งราวกับก้อนหินขนาดใหญ่พุ่งเข้ากระแทกศีรษะของพวกเขา


 


“เราได้รับการยืนยันแล้วว่าฟงจิวเก้อเสียชีวิตที่ภาคเหนือ เขาเสียชีวิตเพราะลมมรณะและไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้เบื้องหลังนอกจากคำสองคำ”


 


หัวใจของกลุ่มผู้อมตะจมดิ่งลง


 


ใบหน้าของเทพธิดาไป่ชิงกลายเป็นซีดเผือด นางรู้สึกวิงเวียนและแทบสิ้นสติ


 


แม้นางจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยัน นางยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


 


ฟงจิวเก้อที่แข็งแกร่งที่สุดตายที่ภาคเหนือ ในทางตรงข้าม ผู้อมตะที่อ่อนแอกว่ากลับรอดชีวิต


 


กล่าวตามตรงไม่มีผู้ใดคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้


 


ความแข็งแกร่งของฟงจิวเก้อฝังแน่นอยู่ในหัวใจของผู้คนมาอย่างยาวนาน เขาเป็นใบหน้าของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ แต่ตอนนี้เขากลับเสียชีวิตโดยไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน นี่ทำให้ผู้อมตะทั้งหมดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกหดหู่


 


กระทั่งซูเฮาและเทพธิดาหลี่จุนอิงที่ต่อต้านเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวต่อ “ดูวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ตรงหน้าพวกท่าน รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในนั้น”


 


กลุ่มผู้อมตะตรวจสอบข้อมูล


 


“เห้อ…ฟงจิวเก้อเสียชีวิตในลมมรณะ มันไม่ใช่การตายที่คู่ควรกับเขา” หลังจากนั้นไม่นานผู้อมตะคนหนึ่งก็เปิดปากกล่าวทำลายความเงียบของห้องประชุม


 


ร่างกายของเทพธิดาไป่ชิงสั่นสะท้านเล็กน้อย ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าราวกับคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่หัวใจของนาง


 


นางรักฟงจิวเก้ออย่างสุดซึ้งและฟงจิวเก้อก็รักนางมากเช่นกัน


 


ฉากก่อนที่ฟงจิวเก้อจะออกเดินทางไปยังภาคเหนือปรากฏขึ้นในใจของนางแต่นางไม่คิดว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้พบเขา


 


ผู้คนมักจะถูกล้อเล่นโดยโชคชะตาเสมอ


 


ตอนนี้นางมีชีวิตอยู่แต่เขากลับตายไปแล้ว


 


เทพธิดาไป่ชิงไม่กล้าเปิดเปลือกตาขึ้นเพราะเกรงว่าน้ำตาจะไหลออกมาโดยไม่สามารถควบคุม


 


นางพยายามนึกถึงบุตรสาวและบอกกับตนเอง ‘ไป่ชิง เจ้าต้องเข้มแข็ง ในเวลาเช่นนี้เจ้าไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็น!’


 


นางสูดหายใจสองสามครั้งก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น


 


ผู้อมตะในห้องประชุมกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับการกระทำสุดท้ายของฟงจิวเก้อ


 


“ก่อนเขาจะเสียชีวิต เขาเขียวคำว่า โป้ชิง ไว้บนฝ่ามือ เขาต้องการสื่อสิ่งใด?”


 


“ในความคิดเห็นของข้า เรื่องนี้สำคัญมาก ฟงจิวเก้อต้องตระหนักถึงบางสิ่งก่อนตาย เมื่อเขาพบจ้าวเหลียนหยุน เขาไม่แม้แต่จะสามารถกล่าวสิ่งใดออกมาและต้องทิ้งข้อความเลือดไว้เท่านั้น”


 


“ฟงจิวเก้อกำลังตรวจสอบความจริงเบื้องหลังการล่มสลายของวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง เรื่องนี้เกี่ยวกับโป้ชิงหรือไม่?”


 


“ฟงจิวเก้อกับโป้ชิงมีความคล้ายกันมาก แน่นอนว่าโป้ชิงแข็งแกร่งกว่ามาก เขาคือจุดสูงสุดของภาคกลาง กระทั่งวังสวรรค์ยังเกรงใจเขา ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของนิกายคฤหาสน์วิญญาณอย่างแท้จริง ผู้คนคิดว่าเขาจะกลายเป็นเทพอมตะแต่สุดท้ายเขากลับล้มเหลว”


 


“เรารู้ข้อมูลของโป้ชิงแต่สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือเหตุใดฟงจิวเก้อจึงกล่าวชื่อเขาก่อนตาย”


 


ห้องประชุมเงียบลงชั่วขณะก่อนที่บางคนจะเปิดปากกล่าว “ทุกคนลืมบางสิ่งไปหรือไม่? ในการต่อสู้ร้อยวัน ฉินไป่เฉิงใช้ท่าไม้ตายอมตะดาบห้าดัชนี ท่าไม้ตายนี้ถูกสร้างขึ้นโดยโป้ชิง”


 


“ฟงจิวเก้อพยายามบอกว่าการล่มสลายของวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับโป้ชิงงั้นหรือ?”


 


“ตามการอนุมานของข้า เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามใช้ท่าไม้ตายอมตะดาบห้าดัชนี ฟงจิวเก้ออาจคิดว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับโป้ชิงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โป้ชิงเคยเป็นสมาชิกของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมาก่อน นี่คือจุดสำคัญและทำให้พวกเรามีความได้เปรียบในการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้”


 


“ย้อนกลับไป เมื่อโป้ชิงเสียชีวิตในภัยพิบัติ ไม่มีแม้แต่กองเถ้าถ่านของเขาเหลืออยู่ แล้วผู้อมตะภาคเหนือสามารถใช้ท่าไม้ตายของเขาได้อย่างไร?”


 


ความคิดทุกประเภทถูกกล่าวถึงแต่ไม่มีความคิดใดน่าเชื่อถือ


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งยกมือขึ้นหยุดการพูดคุยของกลุ่มผู้อมตะ


 


“ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องตรวจสอบเรื่องของโป้ชิง ข้าจะมอบภารกิจนี้ให้กับเจ้า ไป่ชิง”


 


เทพธิดาไป่ชิงมองไปที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง


 


นี่เป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของสามีนาง!


 


ดังนั้นนางจะใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


“มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้เรื่องการเสียชีวิตของฟงจิวเก้อ เราต้องปกปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่างดีที่สุด หากผู้ใดปล่อยข่าวออกไปจะถือว่าเป็นคนทรยศของนิกาย!”


 


การเสียชีวิตของฟงจิวเก้อจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


แม้นิกายจะมีผู้อมตะระดับแปดถึงสองคนแต่ทั้งสองก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยง่าย


 


ประการแรก ผู้อมตะระดับแปดเหมือนกับยืนอยู่บนชั้นน้ำแข็งบางๆ หากพลาดพลั้งและสูญเสียความแข็งแกร่ง พวกเขาอาจเสียชีวิตในภัยพิบัติสวรรค์พิภพ


 


ประการที่สอง นิกายโบราณทั้งสิบมีต้นกำเนิดเดียวกัน นั่นก็คือวังสวรรค์ แน่นอนว่าวังสวรรค์ไม่ต้องการให้ผู้อมตะระดับแปดเข้าร่วมในความขัดแย้งของนิกายทั้งสิบและทำให้มันรุนแรงมากขึ้น


 


ด้วยเหตุนี้ภาคกลางรวมทั้งห้าภูมิภาค กลุ่มที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วมีเพียงผู้อมตะระดับหกและผู้อมตะระดับเจ็ด


 


ท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ด ฟงจิวเก้อถือเป็นจุดสูงสุด


 


ปราศจากฟงจิวเก้อ นิกายคฤหาสน์วิญญาณอาจถูกคุกคามและแย่งชิงทรัพยากร


 


“เทือกเขาซวนวูมีทรัพยากรมากมาย มันเป็นคลังเก็บทรัพยากรอมตะ อย่างน้อยต้องมีผู้อมตะระดับเจ็ดหนึ่งคนคอยปกป้องอยู่”


 


“การขุดเหมืองทองของเรามาถึงจุดสำคัญแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว เราไม่สามารถล้มเลิก”


 


“สนามรบกลับชาติมาเกิดสำคัญที่สุด!”


 


ผู้อมตะนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกปวดหัว พวกเขามีทรัพยากรมากเกินไปขณะที่มีผู้อมตะน้อยเกินไป


 


นี่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขาตระหนักถึงอิทธิพลของฟงจิวเก้อมากที่สุด


 


เทพธิดาไป่ชิงเงียบ


 


ที่ประชุมปรึกษากันเกี่ยวกับทรัพยากรต่างๆของนิกายและไม่ได้กล่าวถึงฟงจิวเก้ออีกต่อไป


 


ราวกับการดำรงอยู่ของฟงจิวเก้อจบสิ้นลงแล้วด้วยคำเพียงสองคำคือโป้ชิง


 


นี่ทำให้เทพธิดาไป่ชิงรู้สึกโศกเศร้า ‘สามี ท่านทำประโยชน์มากมายให้กับนิกาย แต่สุดท้ายพวกเขากลับลืมท่านได้ในทันที’


 


ทุกคนเข้าใจเทพธิดาไป่ชิงและไม่มีผู้ใดตำหนินาง


 


เพียงเมื่อชื่อของจ้าวเหลียนหยุนถูกกล่าวถึง ดวงตาของเทพธิดาไป่ชิงจึงส่องประกายขึ้นอีกครั้งด้วยความกังวล


 


ตอนนี้ฟงจิวเก้อจากไปแล้ว จ้าวเหลียนหยุนจึงกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อฟงจินฮวง


 


ดังนั้นเทพธิดาไป่ชิงจึงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก


 


นางได้ยินกลุ่มผู้อมตะพูดคุยกัน


 


“จ้าวเหลียนหยุนได้รับมรดกทั้งสองของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ มีสิ่งใดในตัวนางเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?”


 


“ปีศาจต่างโลกเชื่อถือไม่ได้!”


 


“ผนึกศักดิ์สิทธิ์และผลึกภูตผีเป็นท่าไม้ตายอมตะสายป้องกันระดับแนวหน้า เรายังต้องค้นคว้ามันต่อไป ท่าไม้ตายทั้งสองสร้างชั้นพลังงานแห่งเต๋าสองชั้นปกปิดจิตวิญญาณของจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้ ข้าไม่เคยเห็นสิ่งใดเหมือนสิ่งนี้มาก่อน”


 


“เราพยายามใช้หลากหลายวิธีเพื่ออนุมานแต่กลับไม่พบสิ่งใดเลย หากข้าไม่พบกับตนเอง ข้าจะไม่มีวันเชื่อเรื่องนี้”


 


“ท่าไม้ตายอมตะทั้งสองไม่พึ่งพาพลังงานอมตะ พวกมันเหมือนโชคลาภที่ได้รับจากสวรรค์ พลังอำนาจระดับเทพอมตะช่างยากที่จะเข้าใจ”


 


“ความสามารถของผนึกศักดิ์สิทธิ์คือป้องกันการอนุมาน แล้วความสามารถของผนึกภูตผีคือสิ่งใด?”


 


“เรื่องนั้นยังไม่แน่ชัด เราอยู่ระหว่างการทดลอง แม้จ้าวเหลียนหยุนจะเป็นปีศาจต่างโลกแต่นางก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางรู้วิธีปฏิบัติตัวและสามารถเลี้ยงดู”


 


“สหายน้อยผู้นี้ต้องการช่วยเหลือหนุ่มคนรักของนาง ฮ่าฮ่า น่าเสียดายที่ปีศาจอมตะเซี่ยหูรวบรวมทรัพยากรได้มากพอแล้ว”


 


ในที่สุดผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งก็สรุปผลการประชุม “ค้นคว้าต่อไปและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจ้าวเหลียนหยุน ข้าจะรอดูอนาคตของข้า”


 


…..


 


ป่าไร้นามแห่งหนึ่ง


 


ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารามองเข้าไปในกระจกเพื่อสื่อสารกับบางคน


 


มีร่างผู้สูงอายุที่คลุมเครืออยู่ในกระจก


 


เขากล่าวอย่างช้าๆ “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วแต่วังสวรรค์ก็สามารถฟื้นฟูวิญญาณโชคชะตาเช่นกัน เจ้าต้องรีบดำเนินการเดี๋ยวนี้”


 


“เข้าใจแล้ว” ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารากล่าวอย่างเคร่งขรึม


 


“ระวังตัวด้วย สีน้ำเงิน” ร่างในกระจกกล่าวอีกครั้ง


 


ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราเงียบ


 


เขาหันหลังกลับและเข้าไปในป่าลึกโดยไม่หันหน้ากลับมาอีก


 


 ————–



 

 

 


ตอนที่ 955

 

ดาบผ่าปฐพี


แปลโดย iPAT 


 


กลางดึกที่เงียบสงัด


 


ภายใต้แสงจันทร์ เงาของต้นไม้ราวกับกำลังเต้นรำ เสียงคำรามของสัตว์น้อยใหญ่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว


 


โคมไฟถูกจุดในกระท่อมกลางภูเขา


 


ฟงจินฮวงนอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนล้าและใบหน้าซีดขาว


 


นางมองเทพธิดาไป่ชิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงและกล่าว “ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ทำมันอีก…”


 


เทพธิดาไป่ชิงกล่าวเสียงเข้ม “ฮวงเอ๋อ แม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด เจ้าฝึกหนักจนได้รับบาดเจ็บห้าหรือหกครั้งในช่วงหลายสิบวันที่ผ่านมา แม่เคยบอกเจ้าแล้วว่าการบ่มเพาะต้องค่อยเป็นค่อยไป การเร่งรีบยิ่งจะทำให้ความก้าวหน้าของเจ้าล่าช้าลงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”


 


ฟงจินฮวงกล่าวเบาๆ “ข้าขอโทษ…”


 


“ข้าวางวิญญาณไว้ในร่างของเจ้าแล้ว เจ้าไม่สามารถบ่มเพาะเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนและไม่สามารถออกจากภูเขาลูกนี้ หากเจ้าหิว เจ้าสามารถกินผลไม้ป่า หากเจ้ากระหาย เจ้าสามารถดื่มน้ำพุจิตวิญญาณธรรมชาติ นี่คือบทลงโทษของเจ้า จงใช้ช่วงเวลานี้สำนึกผิด” เทพธิดาไป่ชิงกล่าวอย่างจริงจัง


 


“ท่านแม่ อย่า…” ฟงจินฮวงกังวลมาก


 


อย่างไรก็ตามเทพธิดาไป่ชิงกลับสะบัดแขนเสื้อและทำให้ฟงจินฮวงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อเห็นบุตรสาวหลับสนิท เทพธิดาไป่ชิงขมวดคิ้วด้วยความกังวล


 


นางไม่ได้แจ้งข่าวการเสียชีวิตของฟงจิวเก้อกับบุตรสาว


 


ด้านหนึ่ง นิกายคฤหาสน์วิญญาณต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้ได้นานที่สุด ฟงจินฮวงยังเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ นางไม่มีสิทธิรับรู้เรื่องนี้ หลังจากทั้งหมดมันเป็นเรื่องง่ายที่มนุษย์จะถูกรีบเค้นข้อมูล


 


อีกด้านหนึ่ง เทพธิดาไป่ชิงก็ไม่รู้ว่าควรบอกบุตรสาวอย่างไร


 


เหตุใดฟงจินฮวงจึงหักโหมบ่มเพาะอย่างสิ้นหวัง? นางทำงานอย่างหนักเพราะต้องการช่วยเหลือบิดา!


 


หากเทพธิดาไป่ชิงบอกความจริงเรื่องฟงจิวเก้อ แล้วนางจะรู้สึกอย่างไร?


 


นางจะทนไม่ได้


 


“เห้อ…” เทพธิดาไป่ชิงถอนหายใจยาวขณะมองหน้าบุตรสาว


 


เทพธิดาไป่ชิงลูบศีรษะฟงจินฮวงเบาๆด้วยความรัก รูปลักษณ์ของฟงจินฮวงเป็นการผสมผสานระหว่างฟงจิวเก้อกับเทพธิดาไป่ชิง ดังนั้นใบหน้าของนางจึงทำให้เทพธิดาไป่ชิงคิดถึงสามี


 


ฟงจิวเก้อตายไปแล้ว ตอนนี้ฟงจินฮวงเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้นางยังมีชีวิตอยู่


 


ไม่นานหลังจากนั้นแสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็เริ่มเล็ดลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง


 


เทพธิดาไป่ชิงตระหนักว่านางต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้


 


นางลุกขึ้นและเดินออกจากห้องอย่างแผ่วเบา


 


นางหันหน้ามองกลับไปยังกระท่อมที่อยู่ด้านหลังและพึมพำกับตนเอง “ฮวงเอ๋อ รอแม่อีกเจ็ดวัน ระหว่างนี้เจ้าจะต้องดูแลตนเองและสงบจิตใจลง”


 


เทพธิดาไป่ชิงไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฟงจินฮวง


 


ที่นี่คือนิกายคฤหาสน์วิญญาณ แม้จะมีความขัดแย้งภายในแต่พวกนางก็มีขีดจำกัด


 


เทพธิดาไป่ชิงเหยียบก้อนเมฆและบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ


 


จุดหมายของนางก็คือน้ำตกสวรรค์!


 


เหตุใดจึงเป็นที่นี่?


 


นางได้รับภารกิจตรวจสอบเบาะแสเกี่ยวกับโป้ชิงที่ฟงจิวเก้อทิ้งไว้


 


โป้ชิงเคยเป็นสมาชิกของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเขา อย่างไรก็ตามสิ่งที่เทพธิดาไป่ชิงรู้สึกสนใจก็คือ โม่เหยา คนรักของโป้ชิง


 


โม่เหยาเป็นอดีตผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณ สิ่งที่ทำให้นางแตกต่างก็คือนางไม่ใช่ผู้อมตะมนุษย์แต่เป็นผู้อมตะมนุษย์หมึก


 


‘โป้ชิงอาจไม่ได้ไปภาคเหนือแต่โม่เหยาไปและกระทั่งลอบเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวง บางทีโม่เหยาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จรง’


 


เทพธิดาไป่ชิงรู้เหตุผลที่โม่เหยาเสี่ยงชีวิตเข้าในแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือ นั่นก็คือเพื่อช่วยโป้ชิงก้าวข้ามภัยพิบัติ


 


ย้อนกลับไปการก้าวเข้าสู่ระดับเก้าของโป้ชิงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ผู้อมตะทั่งโลกให้ความสนใจ


 


น่าเสียดายที่โป้ชิงเสียชีวิตในภัยพิบัติขณะที่โม่เหยาก็ตายไปพร้อมกัน


 


ผู้อมตะภาคกลางทุกคนรู้เรื่องนี้


 


เทพธิดาไป่ชิงเคยได้ยินเรื่องนี้มาหลายครั้ง


 


แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกแตกต่างออกไปราวกับนางนั่งอยู่บนเรือลำเดียวกันกับโม่เหยา


 


นางกระทั่งรู้สึกอิจฉาโม่เหยาที่สามารถตายไปพร้อมกับสามี


 


เทพธิดาไป่ชิงตรวจสอบและพบว่าทุกเบาะแสชี้ไปยังสถานที่เดียวกัน นั่นคือน้ำตกสวรรค์


 


นางไม่พบเงื่อนงำอื่น ดังนั้นนางจึงต้องเดินทางไปยังน้ำตกสวรรค์เพื่อค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม


 


น้ำตกสวรรค์คือสถานที่เสียชีวตของโป้ชิง


 


สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างไกลจากนิกายคฤหาสน์วิญญาณ หากเทพธิดาไป่ชิงใช้วิธีส่วนตัว นางอาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่าจะเดินทางไปถึง


 


แน่นอนว่านางจะไม่ทำเช่นนั้น


 


นางเดินทางด้วยการใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ นี่ทำให้นางสามารถประหยัดเวลาไปได้มาก


 


นางไม่ได้บินไปยังน้ำตกสวรรค์โดยตรงแต่มุ่งหน้าไปที่นิกายท่าเรือหมื่นมังกรก่อนจะเดินทางต่อด้วยค่ายกลวิญญาณขนส่งของนิกายท่าเรือหมื่นมังกร แม้จะเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากแต่มันก็ช่วยให้นางประหยัดเวลามากขึ้น


 


หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืน เทพธิดาไป่ชิงก็อยู่ห่างจากน้ำตกสวรรค์เพียงหนึ่งพันลี้


 


เบื้องหน้านางคือน้ำตกขนาดมหึมาที่ตกลงมาอย่างไม่รู้สิ้นสุด


 


เสียงน้ำตกดังราวกับเสียงฟ้าร้องอย่างต่อเนื่อง


 


ไอน้ำปริมาณมหาศาลสร้างชั้นหมอกหนาทึบปกคลุมพื้นที่ในวงกว้าง


 


เหตุใดมันจึงถูกเรียกว่าน้ำตกสวรรค์?


 


เพราะมันใหญ่เกินไป


 


หากเปรียบเทียบ เทพธิดาไป่ชิงราวกับมดปลวกที่ไร้นัยสำคัญ


 


เทพธิดาไป่ชิงเคยเห็นมันมาก่อนเมื่อครั้งที่นางออกเดินทางผจญภัยพร้อมกับฟงจิวเก้อ


 


ตอนนี้เมื่อมองไปยังน้ำตกสวรรค์ ช่วยไม่ได้ที่นางจะคิดถึงชายคนรัก


 


นางยังจำทุกถ้อยคำที่ฟงจิวเก้อเคยกล่าวในครั้งนั้น


 


มันเกี่ยวกับต้นกำเนิดของน้ำตกสวรรค์


 


ฟงจิวเก้อกล่าวว่ามีสองคำอธิบายที่น่าเชื่อถือ


 


หนึ่งคือน้ำตกสวรรค์เป็นรูปแบบหนึ่งของภัยพิบัติสวรรค์พิภพ อีกหนึ่งคือเมื่อโป้ชิงใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบในภัยพิบัติของเขา พลังอำนาจของดาบเจาะทะลวงสวรรค์สีขาวไปถึงสวรรค์สีดำและสร้างรูช่วงโหว่ขึ้น


 


สุดท้ายแม่น้ำในสวรรค์ทั้งสองจึงร่วงหล่นลงมา


 


เทพธิดาไป่ชิงถามสามีของนางว่าคำอธิบายใดสมเหตุสมผลมากกว่ากัน


 


ฟงจิวเก้อตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่คำอธิบายที่สองสามารถอธิบายความรุนแรงของน้ำตกสวรรค์ในช่วงเวลากลางวัน กระทั่งผู้อมตะระดับแปดก็ยังไม่สามารถต่อต้านแรงกดดันนี้ ในช่วงเวลากลางคืน แรงดันน้ำจะลดลง แต่กระนั้นผู้อมตะระดับเจ็ดก็แทบไม่สามารถรับมือ”


 


หลังจากรำลึกอดีต เทพธิดาไป่ชิงดึงสติกลับมา


 


นางยืมวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีมากมายมาเพื่อช่วยให้นางเข้าสู่น้ำตกสวรรค์


 


อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเข้าไปในช่วงเวลากลางวัน นางเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด นางสามารถเข้าไปสำรวจในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น


 


ตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลากลางวัน ดังนั้นเทพธิดาไป่ชิงจึงลดความเร็วและเคลื่อนที่อย่างช้าๆ


 


นางตั้งใจรอให้ฟ้ามืดก่อนจะเข้าไป


 


เวลาค่อยๆผ่านไป ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์จะตกกระทบบนใบหน้าของนาง


 


เทพธิดาไป่ชิงจ้องมองน้ำตกสวรรค์ด้วยความประหลาดใจ


 


“บึม!”


 


สัตว์ร้ายโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและเผยให้เห็นเขาขนาดใหญ่ของมัน


 


มันมีลักษณะเหมือนศีรษะกระทิงที่มีเขาโค้งงอ


 


‘สัตว์อสูรแรกกำเนิด กระทิงหมื่นตา!’ ใบหน้าของเทพธิดาไป่ชิงกลายเป็นซีดเผือดเมื่อเห็นสัตว์อสูรตัวนี้


 


น้ำตกสวรรค์ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย


 


มันเป็นน้ำตกที่ใหญ่โตและงดงามแต่แฝงไว้ด้วยอันตรายนานับประการ มีสัตว์อสูรบรรพกาลและสัตว์อสูรแรกกำเนิดมากมายอาศัยอยู่ที่นี่


 


กระทิงหมื่นตาเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดและยังเป็นหนึ่งในเจ้าเหนือหัวของน้ำตกสวรรค์


 


‘โดยปกติไม่ใช่ว่ามันจะอาศัยอยู่ที่ตาน้ำตลอดเวลางั้นหรือ? เหตุใดมันจึงมาปรากฏตัวที่นี่?’ เทพธิดาไป่ชิงรู้สึกงุนงง แน่นอนว่านางล่าถอยและสร้างระยะห่างออกมาจากกระทิงหมื่นตาอย่างรวดเร็ว


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด


 


เทพธิดาไป่ชิงไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรตัวนี้


 


ยิ่งไปกว่านั้นจุดประสงค์หลักของนางไม่ใช่การล่าสัตว์


 


หลังจากล่าถอย เทพธิดาไป่ชิงต้องถอนหายใจให้กับความโชคร้ายของตนอย่างช่วยไม่ได้


 


การปรากฏตัวของกระทิงหมื่นตาทำให้นางเริ่มรู้สึกสังหรณ์ร้าย


 


ทันใดนั้นดาบแสงที่สว่างไสวพลันแผ่พุ่งออกมาจากน้ำตกสวรรค์อย่างกะทันหัน!


 


มันแทงทะลุศีรษะของกระทิงหมื่นตาราวกับสายฟ้าฟาด


 


ศีรษะของสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่ทรงพลังถูกแยกออกเป็นสองในการโจมตีเดียว!


 


เลือดและอวัยวะภายในระเบิดออกไปรอบๆ


 


แต่ก่อนที่เทพธิดาไป่ชิงจะสามารถตอบสนอง ดาบแสงอีกเล่มก็ฟันลงมาอีกครั้ง


 


ร่างกายทั้งหมดของกระทิงหมื่นตาถูกฝ่าออกเหมือนก้อนเต้าหู้


 


ทะเลสาบถูกแยกออกก่อนที่มวลน้ำปริมาณมหาศาลจะไหลทะลักเข้ามาแทนที่อย่างดุเดือด


 


เทพธิดาไป่ชิงตกใจมาก


 


เกิดสิ่งใดขึ้น?


 


ดาบแสงมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด กระทั่งสัตว์อสูรแรกกำเนิดยังถูกตัดอย่างง่ายดายไม่ต่างจากเศษผัก!


 


“บึม บึม บึม…”


 


ดาบแสงจำนวนมากยังถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


ราวกับดอกไม้ไฟที่ถูกยิงออกไปทุกหนทุกแห่งก่อนจะหายไปในพริบตา


 


ดาบฝ่าปฐพี!

 

 

 


ตอนที่ 956

 

 พลังอำนาจที่สั่นคลอนโลกหล้า


แปลโดย iPAT 


 


ภาคกลาง หุบเขาตะขาบ


 


การไล่ล่าเกิดขึ้นบนเส้นทางหุบเขาที่ทั้งแคบและลาดชัน


 


“วิ่งเร็วขึ้นอีก!” มนุษย์จิ๋วที่อยู่บนศีรษะของหงอี้ตะโกนด้วยความกังวล


 


“โอ๊ย! อย่าดึงผมข้า!” หงอี้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


 


มนุษย์จิ๋วไม่สนใจและยังดึงผมหงอี้ต่อโดยไม่รู้ตัว


 


“บัดซบ! มันใกล้เข้ามาแล้ว หากเจ้าไม่เร่งความเร็ว เราจะถูกกิน!” มนุษย์จิ๋วหันไปข้างหลังและกระตุ้นหงอี้ด้วยความหวาดกลัว


 


“ข้าอยากวิ่งให้เร็วกว่านี้เช่นกัน…” หงอี้กัดฟันวิ่งด้วยพลังงานทั้งหมด น่าเสียดายที่ระดับการบ่มเพาะของเขาต่ำเกินไป เขาเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสองเท่านั้น


 


แน่นอนว่าการบ่มเพาะระดับนี้ถือว่าหาได้ยากในเด็กรุ่นเดียวกันกับเขา


 


ตั้งแต่การแข่งขันใหญ่บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม หงอี้ได้รับโชคลาภมากมายและก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


แต่การบ่มเพาะระดับสองยังไม่เพียงพอให้เขาหลบหนีจากสัตว์อสูรระดับห้า ตะขาบเขาทอง ที่กำลังไล่ล่ามาจากด้านหลัง


 


ตะขาบตัวนี้มีขนาดร่างกายเท่ากับงูยักษ์ มันมีเขาเดี่ยวสีทองอยู่บนศีรษะและมีขาหลายร้อยขาที่ทำให้มันเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่ว


 


“พวกเราจบแล้ว! มันอยู่ข้างหลังเจ้า!” ใบหน้าของมนุษย์จิ๋วกลายเป็นซีดเผือด


 


“ข้าต้องเสี่ยง!” เส้นขนทั่วร่างของหงอี้ลุกชันขึ้นด้วยความสยดสยอง เขาตัดสินใจใช้ท่าไม้ตาย


 


มันคือท่าไม้ตายสายเคลื่อนไหว


 


แต่หงอี้พึ่งได้รับมันมาและยังฝึกฝนได้ไม่มากนัก


 


อัตราความสำเร็จและล้มเหลวในการใช้ท่าไม้ตายนี้คือห้าสิบต่อห้าสิบ


 


ท่าไม้ตายต้องกระตุ้นใช้วิญญาณอย่างน้อยสองดวงในเวลาเดียวกัน ยิ่งใช้วิญญาณมากเท่าใด มันก็ยิ่งมีความซับซ้อนและยากลำบากมากเท่านั้น


 


ท่าไม้ตายสายเคลื่อนไหวใหม่ของหงอี้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์เกือบสิบดวง


 


มันอาจเทียบไม่ได้กับท่าไม้ตายของผู้อมตะแต่สำหรับผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ นี่ถือว่ามากแล้ว


 


ท่าไม้ตายไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝน


 


หากล้มเหลว ผู้ใช้วิญญาณจะได้รับผลกระทบย้อนกลับ


 


ดังนั้นในการใช้ท่าไม้ตายทุกครั้งหงอี้จึงต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก


 


แต่ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย เขาไม่สามารถรีรอ


 


ความเร็วเดิมของเขาไม่สามารถหลบหนีจากตะขาบเขาทอง หากถูกจับ เขาต้องตายอย่างแน่นอน


 


ตอนนี้เหลือเพียงทางเดียว เขาต้องเสี่ยง!


 


‘ข้าต้องทำได้!’ หงอี้กรีดร้องอยู่ภายใน


 


แต่ความปรารถนากับความจริงเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน


 


การกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายต้องใช้สมาธิ บางท่าไม้ตายต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมพิเศษและไม่สามารถถูกรบกวน


 


ฟางหยวนสามารถใช้ท่าไม้ตายได้อย่างคล่องแคล่วเพราะเขามีประสบการณ์มากมายแต่หงอี้เป็นมือใหม่!


 


ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตและต้องให้ความสนใจกับเส้นทางข้างหน้าเนื่องจากมันเป็นเส้นทางหุบเขาที่อันตราย หากพลาดพลั้ง เขาอาจตกเหวและเสียชีวิต


 


อีกด้านหนึ่ง ตะขาบเขาทองกำลังไล่ล่ามาจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง กลิ่นอายแห่งความตายกำลังใกล้เข้ามา แล้วหงอี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากมันได้อย่างไร?


 


ภายใต้สถานการณ์นี้มีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่สามารถสงบจิตใจ สำหรับหงอี้ เขายังเด็กเกินไป


 


“มันกำลังจะตามทันแล้ว!” มนุษย์จิ๋วกรีดร้องก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นตะขาบเขาทองอ้าปากและเตรียมพร้อมที่จะกัดพวกเขา


 


แม้มนุษย์จิ๋วจะมีปีกแต่ตอนนี้ปีกของมันหักไปแล้ว มันบินไม่ได้!


 


มนุษย์จิ๋วประสบความสำเร็จในการขโมยทรัพยากรระดับห้า น้ำเกสรดอกไม้ร้อยปี ระหว่างการสำรวจถ้ำ แต่ราคาที่มันต้องจ่ายก็คือความโกรธของตะขาบเขาทอง มนุษย์จิ๋วไม่มีทางเลือกนอกจากหลบหนีออกมาพร้อมกับหงอี้เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์จิ๋วเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง มันกลับรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


 


ด้วยเหตุผลบางประการ หงอี้สามารถหลบหนีจากปากของตะขาบเขาทอง!


 


แต่ในเวลาต่อมา ตะขาบเขาทองก็ไล่ล่าพวกเขาอีกครั้ง


 


มนุษย์จิ๋วสังเกตเห็นแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่ตะขาบเขาทองอ้าปาก มันจะเงยศีรษะขึ้นโดยไม่รู้ตัว


 


การกระทำนี้ทำให้ร่างของมันยกตัวขึ้นสูงหลายสิบเมตรก่อนที่มันจะพุ่งลงมา


 


เมื่อขาของมันไม่ได้อยู่บนพื้น มันจึงสูญเสียความเร็วในการเคลื่อนที่


 


ในจังหวะนี้หงอี้ที่ยังวิ่งอย่างไม่ลดลงจึงสามารถสร้างระยะห่างออกมาจากตะขาบเขาทองและสามารถรอดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้ง


 


“เจ้าโง่นี่!” มนุษย์จิ๋วหัวเราะอย่างมีความสุขที่สามารถรอดพ้นจากอันตราย


 


มนุษย์เป็นจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดขณะที่สัตว์ป่ามีสติปัญญาจำกัด ชีวิตและความตายของพวกมันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่


 


“ข้าให้เจ้าหลบหนีมาด้วย แต่เจ้ากลับเรียกข้าว่าเจ้าโง่งั้นหรือ?” หงอี้ไม่พอใจ


 


“ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า ข้าจะบอกว่าตะขาบเขาทองตัวนี้โง่มาก!” มนุษย์จิ๋วตะโกน


 


หงอี้ยังไม่พอใจ “เจ้าต่างหากที่โง่ ข้าเคยบอกแล้วว่าตะขาบเขาทองกำลังหลับอยู่ เราสามารถหลบหนีออกมาอย่างเงียบๆ แต่เจ้ากลับกรีดร้องอย่างไร้เหตุผล!”


 


มนุษย์จิ๋วรู้สึกผิดและแสดงสีหน้าลำบากใจ


 


มันต้องการโต้ตอบแต่ในจังหวะนี้ดวงตาของมันกลับเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ


 


ปรากฏว่าตะขาบเขาทองตระหนักว่ามันไม่สามารถกัดเหยื่อ ดังนั้นมันจึงเปลี่ยนวิธีโจมตีโดยใช้เขาสีทองของมัน


 


แน่นอนว่ามันไม่ได้ฉลาดขึ้น


 


ตะขาบเขาทองเคยพบศัตรูที่มีร่างกายใหญ่โตและไม่สามารถกลืนเหยื่อเข้าไปโดยตรง ในสถานการณ์นั้นมันใช้เขาสีทองตัดร่างเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ


 


การอ้าปากกัดคือสัญชาตญาณของตะขาบเขาทอง การใช้เขาก็เช่นกัน


 


ตะขาบเขาทองกระโจนเข้ามาพร้อมกับเขาอันแหลมคมของมัน


 


“เจ้าโง่ วิ่ง!” มนุษย์จิ๋วตะโกนและจับเส้นผมของหงอี้เอาไว้อย่างแน่นหนา


 


“เจ้ายังเรียกข้าว่าเจ้าโง่อีกงั้นหรือ? โอ๊ย!” หงอี้ตะโกนเสียงแหลม ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างกะทันหัน


 


เขาสีทองพุ่งเข้าแทงบั้นท้ายของหงอี้


 


มนุษย์จิ๋วรู้สึกสิ้นหวัง


 


แต่ทันใดนั้นความเร็วของหงอี้กลับพุ่งสูงขึ้นโดยไม่คาดคิด


 


เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับลูกปืนใหญ่


 


มันกลายเป็นว่าเขาประสบความสำเร็จในการกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายในจังหวะที่เขากรีดร้อง


 


หงอี้สามารถหลบหนีไปได้ด้วยเหตุนี้


 


“เจ้าเลือดออก!” มนุษย์จิ๋วกรีดร้องอีกครั้ง


 


เขาสีทองของตะขาบเขาทองแทงบั้นท้ายของหงอี้ไปแล้ว แต่การระเบิดความเร็วอย่างกะทันหันทำให้ทั้งสองแยกกันออกจากกัน


 


ราวกับมีดสั้นถูกดึงออกจากบั้นท้ายของหงอี้และทิ้งบาดแผลเลือดไหลเอาไว้


 


“ก้นข้า! ข้าเจ็บก้น!” จิตใจของหงอี้ถูกโจมตีด้วยความเจ็บปวด


 


เขาใช้มือจับก้นและปิดบาดแผลของตนโดยไม่รู้ตัว


 


อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดทำให้เขาฟุ้งซ่านและเป็นเหตุให้ท่าไม้ตายของเขาหยุดลง


 


ความเร็วของเขาลดลงอีกครั้ง แต่ตะขาบเขาทองยังไล่ล่าอยู่


 


เขาสีทองพุ่งเข้าโจมตีก้นอีกข้างหนึ่งของหงอี้


 


“อา…” หงอี้กรีดร้องอีกครั้ง


 


สิ่งเดิมเกิดขึ้นอีกหน!


 


ความเจ็บปวดกระตุ้นท่าไม้ตายของเขาให้ทำงานและส่งร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง


 


“เจ้าเลือดออก! เจ้าเลือดออก!” มนุษย์จิ๋วกรีดร้องไม่หยุด


 


หงอี้จับก้นทั้งสองข้างและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร


 


“โอ้ ไม่ พลังวิญญาณของข้ากำลังจะหมด!” ใบหน้าของหงอี้กลายเป็นซีดเผือด


 


ผู้ใช้วิญญาณมีพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยขณะที่การกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายต้องจ่ายด้วยพลังวิญญาณจำนวนมหาศาล หลังจากวิ่งมาเป็นเวลานาน เขาก็ถึงขีดจำกัดในที่สุด


 


ความตายกำลังใกล้เข้ามา หงอี้ถูกบังคับให้ตกลงสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง


 


“เรากำลังจะตาย เรากำลังจะตาย เจ้าตะขาบ อย่ากินข้า ข้าตัวเล็กมีเนื้อน้อย กินเขา กินเจ้าโง่นี่!” มนุษย์จิ๋วกล่าวอย่างไร้สติ


 


หงอี้รู้สึกว่างเปล่าและไม่มีอารมณ์ตอบโต้มนุษย์จิ๋ว


 


แต่ในวินาทีนี้ดาบแสงที่สว่างไสวกลับส่องประกายขึ้น


 


โลกถูกอาบย้อมไปด้วยแสงสีขาว


 


สภาพแวดล้อมตกอยู่ในความเงียบ


 


การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ทำให้หงอี้หยุดวิ่ง เขาวิ่งต่อไปอีกสักพักก่อนจะตระหนักถึงบางสิ่ง


 


เมื่อมองย้อนกลับไป เขาตกใจมาก


 


ตะขาบเขาทองระดับห้าอันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์


 


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขามีเพียงรอยแยกขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้นเท่านั้น


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” หงอี้รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


 


“มันคือดาบแสง…” มนุษย์จิ๋วตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์


 


…..


 


ภาคกลาง ชายฝั่งตะวันออก


 


คลื่นซัดสาดอย่างไม่หยุดยั้ง มวลอากาศเย็นแผ่กระจายไปเป็นวงกว้าง


 


“เด็กๆ นี่คือเกาะน้ำแข็ง ที่ตั้งของนิกายหิมะเหิน หลังจากนี้พวกเจ้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ มันจะเป็นสถานที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเจ้า” ผู้ใช้วิญญาณอาวุโสชี้นิ้วไปที่เกาะน้ำแข็งและกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


 


ดวงตาของเด็กๆส่องประกายขึ้นด้วยความคาดหวัง


 


แม้นิกายหิมะเหินจะไม่มีผู้อมตะและไม่ใช่นิกายใหญ่แต่มันยังเป็นนิกายที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่นี้และเป็นคู่แข่งกับนิกายห้าคุณธรรม


 


นิกายหิมะเหินเป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานแข่งขันบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมเมื่อไม่นานมานี้


 


ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของนิกายหิมะเหินจึงแพร่กระจายไปทั่ว


 


‘เด็กกลุ่มนี้มีพรสวรรค์สูงที่สุดในรอบสิบปี พวกเขาคืออนาคตของนิกาย พวกเขาจะทำให้นิกายแข็งแกร่งขึ้น’ ผู้ใช้วิญญาณอาวุโสลอบคาดหวัง


 


“ซูม…”


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่แสงสีขาวสว่างขึ้นอย่างกะทันหันและทำให้ทุกคนต้องปิดเปลือกตาลง


 


เมื่อพวกเขาเปิดเปลือกตาขึ้น สิ่งที่เห็นทำให้พวกเขาตกตะลึง


 


เกาะน้ำแข็งหายไปและทิ้งไว้เพียงร่องลึกเท่านั้น


 


กระทั่งทะเลยังถูกแยกออก!


 


มวลน้ำไหลทะลักลงไปในร่องลึกและไม่ปรากฏร่องรอยในการเติมเต็ม


 


ฉากที่แปลกตาทำให้หัวใจของผู้คนถูกโจมตีด้วยความหวาดกลัว


 


…..


 


วังสวรรค์


 


เจ้าวังยืนอยู่บนพื้นด้านหน้าหอคอยดวงตาสวรรค์ด้วยร่างกายสั่นเทา


 


มือที่เหี่ยวย่นของเขาถือวิญญาณโชคชะตาเอาไว้


 


วิญญาณโชคชะตาฟื้นฟูขึ้นมาก นี่ทำให้เจ้าวังรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข


 


ผู้อมตะเพ่ยกังซุ้ย เหลียนจิวเฉิง และไป่เฉินเทียนจากไปแล้ว


 


ผู้อมตะส่วนใหญ่ของวังสวรรค์จะมักเข้าสู่การจำศีลและใช้วิธียืดอายุบางอย่าง เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาจะทำงานให้กับวังสวรรค์และจัดการเรื่องผู้สืบทอด


 


วังสวรรค์เป็นผู้นำนิกายโบราณทั้งสิบ ในขณะเดียวกันสมาชิกของวังสวรรค์ก็ถูกคัดเลือกมาจากนิกายโบราณทั้งสิบเช่นกัน


 


ไม่ใช่ผู้อมตะทุกคนที่จะสามารถเข้าสู่วังสวรรค์


 


นอกจากต้องเป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีความสามารถโดดเด่น สิ่งสำคัญที่วังสวรรค์จะพิจารณาก็คือทัศนคิตของพวกเขา


 


วังสวรรค์คือสิ่งใด?


 


เทพอมตะกลุ่มดาวเคยอธิบายไว้เมื่อสามล้านปีก่อนว่ามันคือการทำตามเจตจำนงสวรรค์และผดุงความยุติธรรมให้กับสวรรค์


 


“หลังจากวิญญาณโชคชะตาฟื้นตัวขึ้น มันสามารถใช้พลังอำนาจได้ห้าสิบส่วน ด้วยหอคอยดวงตาสวรรค์ เราจะพบคนที่หลบหนีจากโชคชะตามากขึ้น การกำจัดผู้คนเหล่านี้จะช่วยให้วิญญาณโชคชะตาฟื้นตัวเร็วขึ้น ตราบเท่าที่วัฎจักรนี้ดำเนินต่อไป สุดท้ายวังสวรรค์จะกลับมายิ่งใหญ่เช่นในอดีต!”


 


เจ้าวังเต็มไปด้วยความคาดหวัง


 


“บึม!”


 


ทันใดนั้นดาบแสงพลันแผ่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและตัดผ่านวังสวรรค์อย่างแม่นยำ


 


ปากของเจ้าวังอ้าค้าง รูม่านตาของเขาหดเล็กลงเมื่อมองเห็นครึ่งบนของวังสวรรค์ค่อยๆเอียงและร่วงหล่นลงมา


 


“หอคอยดวงตาสวรรค์!” เจ้าวังกรีดร้องเสียงดังเมื่อสามารถตอบสนอง


 

 

 


ตอนที่ 957

 

 ความโกลาหล


แปลโดย iPAT 


 


“ในที่สุดมันก็หยุด” เทพธิดาไป่ชิงมองไปยังน้ำตกสวรรค์ที่กลับคืนสู่ความสงบด้วยใบหน้าซีดขาว


 


นางอยู่ใกล้กับต้นกำเนิดของดาบแสงมากที่สุด มันจึงช่วยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกสยดสยอง


 


ตอนนี้น้ำตกสวรรค์เต็มไปด้วยซากศพ


 


ชิ้นส่วนร่างกายของสัตว์อสูรบรรพกาลและสัตว์อสูรแรกกำเนิดกระจัดกระจายไปทั่ว


 


ทะเลสาบถูกย้อมเป็นสีเลือด


 


น้ำตกสวรรค์ตกลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยแรงกดดันมหาศาล ในทะเลสาบด้านล่างยังเต็มไปด้วยวังน้ำวนและสัตว์อสูรที่ดุร้าย กระทั่งผู้อมตะยังแทบไม่สามารถรักษาชีวิตหากเข้าไปที่นั่น แต่ตอนนี้มันกลับถูกทำลายโดยพลังอำนาจที่ไม่รู้ต้นกำเนิด


 


เทพธิดาไป่ชิงเฝ้ามองอยู่ชั่วครู่แต่ดาบแสงก็ไม่ปรากฏขึ้นอีก


 


นางรีบวิ่งไปที่ทะเลสาบและรวบรวมซากศพสัตว์อสูรจำนวนมาก


 


นี่เป็นโชคลาภครั้งใหญ่อย่างแท้จริง!


 


โชคลาภครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกมีความสุขอย่างช่วยไม่ได้


 


แต่ความสุขมักจะอยู่ไม่นาน หลังจากชั่วครู่สัตว์อสูณบรรพกาลจำนวนมากก็เริ่มปรากฏตัว เทพธิดาไป่ชิงยังมองเห็นเงาของสัตว์อสูรแรกกำเนิดเคลื่อนที่อยู่ใต้น้ำ


 


สัตว์อสูรเหล่านี้ถูกดึงดูดมาที่นี่ด้วยกลิ่นคาวเลือด


 


เนื้อและกระดูกที่ถูกตัดแบ่งเป็นอาหารชั้นยอดสำหรับพวกมัน


 


นี่ทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างสัตว์อสูร


 


พวกมันต่อสู้เพื่อแย่งชิงอาหาร


 


เทพธิดาไป่ชิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล่าถอย แต่ซากศพกว่าครึ่งยังถูกนางเก็บเอาไว้ สิ่งเหล่านี้คือวัสดุชั้นยอดสำหรับการหลอมรวมวิญญาณ!


 


“ดาบแสงพุ่งออกมาจากน้ำตกสวรรค์ ข้าควรตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่?” เทพธิดาไป่ชิงลังเลเมื่อคิดถึงฟงจินฮวง


 


อย่างไรก็ตามเบาะแสทั้งหมดของโป้ชิงชี้ไปที่น้ำตกสวรรค์


 


เทพธิดาไป่ชิงกัดฟันแน่นก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งไปยังน้ำตกสวรรค์


 


ดาบแสงถูกยิงออกไปทุกทิศทุกทางและกวาดผ่านภาคกลางทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหุบเขาตะขาบ นิกายหิมะเหิน หรือกระทั่งวังสวรรค์


 


ภาคกลางตกสู่ความโกลาหลทันที


 


วังสวรรค์


 


ใบหน้าของเจ้าวังกลายเป็นซีดขาว มือของเขาเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องเพื่อซ่อมแซมหอคอยดวงตาสวรรค์


 


เขาส่งข้อความไปหาเหลียนจิวเฉิง เพ่ยกังซุ้ย และไป่เฉินเทียนเพื่อเรียกพวกเขากลับมาโดยด่วน


 


ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางมา


 


ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะพลังงานแห่งเต๋า ด้วยเหตุนี้หอคอยดวงตาสวรรค์จึงถูกกัดกร่อนตลอดเวลา ยิ่งนาน หอคอยดวงตาสวรรค์ก็ยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้น


 


“เราประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูวิญญาณโชคชะตา ข้ากำลังจะใช้งานมันแต่หอคอยดวงตาสวรรค์กลับถูกแยกออกอย่างกะทันหัน นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?”


 


เจ้าวังรู้สึกสังหรณ์ร้าย


 


ไป่เฉินเทียนเป็นคนแรกที่มาถึง จากนั้นจึงเป็นเทพธิดาเพ่ยกังซุ้ย และเหลียนจิวเฉิง


 


เหลียนจิวเฉิงกล่าว “ข้าตรวจสอบมาแล้ว ต้นกำเนิดของดาบแสงมาจากน้ำตกสวรรค์ ตอนนี้ภาคกำลังตกลงสู่ความโกลาหล”


 


“น้ำตาสวรรค์ สถานที่ที่โป้ชิงเสียชีวิตงั้นหรือ?” เพ่ยกังซุ้ยอุทานด้วยความตกใจ


 


เมื่อชื่อของโป้ชิงถูกกล่าวถึง ผู้อมตะทั้งสี่ล้วนเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน


 


ย้อนกลับไป ไม่ใช่ว่าวังสวรรค์ไม่เคยเชิญโป้ชิงให้เข้าร่วม แต่น่าเสียดายที่โป้ชิงปฏิเสธ


 


“โป้ชิง…” ดวงตาของเจ้าวังกลายเป็นมืดครึ้ม “ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน กังซุ้ย เจ้ามีความเชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งวารี เรื่องนี้ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว ส่วนพวกเราสามคนจะอยู่ที่นี่เพื่อซ่อมแซมหอคอยดวงตาสวรรค์ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้ารู้สึกสังหรณ์ร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้”


 


ไป่เฉินเทียนกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านเจ้าวัง แน่นอนว่าพวกเราไม่สามารถเพิกเฉยกับเรื่องนี้!”


 


ภาคกลาง นิกายเทพยุทธ์อมตะ


 


“เกิดเหตุขึ้นที่น้ำตกสวรรค์ ข้าสงสัยว่าด่านรับสืบทอดมรดกของโป้ชิงจะปรากฏขึ้นแล้ว จินลี่หยาง เจ้าจงไปสืบหาความจริง นำผู้อมตะระดับหกสองคนไปกับเจ้า เลือกผู้ใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายเทพยุทธ์อมตะกล่าว


 


ผู้อมตะระดับเจ็ด จินลี่หยาง เป็นชายที่มีเส้นผมสีทองและดวงตาที่ลุกเป็นไฟ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่ง


 


จินลี่หยางกล่าวเสียงเข้ม “ท่านควรให้ซื่อเล่ยไปทำงานนี้ ฟงจิวเก้อจากไปแล้ว ตอนนี้ซื่อเล่ยถือเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดของภาคกลาง”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จินลี่หยาง ซื่อเล่ยอาจแข็งแกร่ง แต่เขาไม่ใช่สมาชิกเพียงคนเดียวของนิกายเทพยุทธ์ที่แท้จริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการให้เขาไปด้วย?”


 


ได้ยินเช่นนี้ จินลี่หยางจึงป้องหมัดขึ้น “ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เดิมทีข้าต้องการสะสมพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งไฟเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรีบออกเดินทางทันที”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งพยักหน้า “รีบไปเถอะ”


 


นิกายเมฆาวายุ


 


“พี่ใหญ่ ท่านออกจากการปิดประตูฝึกตนแล้วงั้นหรือ?” ผู้อมตะหงซื่อหมิงทักทายบุรุษตรงหน้า


 


เขาเป็นชายชุดขาวที่ดูสง่างาม เขาพยักหน้าและเผยรอยยิ้มบาง “ข้าออกมาเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้องชาย เจ้าเข้าร่วมในการต่อสู้ร้อยวันและเคยเห็นท่าไม้ตายดาบห้าดัชนี ดังนั้นครั้งนี้ข้าคงต้องรวบกวนให้เจ้าไปตรวจสอบน้ำตกสวรรค์แล้ว”


 


หงซื่อหมิงกล่าวอย่างจริงใจ “พี่ใหญ่ โปรดอย่าทำเหมือนข้าเป็นคนนอก ก่อนหน้านี้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ข้าคงมาไม่ถึงจุดนี้ ครั้งนี้ข้าจะพยายามอย่างเต็มความสามารถ”


 


นิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


“เราควรส่งคนไปตรวจสอบที่น้ำตกสวรรค์หรือไม่?” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่อยู่ ดังนั้นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองจึงทำหน้าที่ผู้นำในห้องประชุม


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง เทพธิดาไป่ชิงพึ่งไปที่นั่นเมื่อสองสามวันก่อน” หลี่จุนอิงกล่าว


 


“โอ้ ถูกต้อง นางพบเบาะแสบางอย่างหรือไม่?” ผู้อมตะบางคนพึ่งนึกได้


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองขมวดคิ้ว “เทพธิดาไป่ชิงเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก นางยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ แต่ตอนนี้บุคลากรของเรามีอยู่อย่างจำกัด ข้าควรส่งผู้ใดไปช่วยเหลือนาง?”


 


ซูเฮาหัวเราะ “ผู้อาวุโสลำดับที่สอง ตอนนี้เทพธิดาไป่ชิงก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดแล้ว นางเพียงปกปิดเอาไว้และไม่รายงานเท่านั้น”


 


“โอ้ ข้าจำได้ว่ายังเหลือเวลาอีกสักพักก่อนที่นางจะพบกับภัยพิบัติมิใช่หรือ?”


 


ซูเฮากล่าวต่ออย่างใจเย็น “เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ก่อนที่ฟงจิวเก้อจะออกเดินทางไปยังภาคเหนือ เขายืมวิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อช่วยเหลือเทพธิดาไป่ชิงอย่างลับๆ”


 


“เป็นเช่นนั้น” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองพึมพำ “อย่างไรก็ตามเทพธิดาไป่ชิงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ด นี่เป็นเรื่องดีต่อนิกาย เมื่อนางกลับมา นางจะได้รับรางวัล นอกจากนั้นให้นางเลือกวิญญาณอมตะระดับเจ็ดหนึ่งดวงจากคลังสมบัติ สำหรับภารกิจตรวจสอบน้ำตกสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องส่งกำลังเสริมไปอีก เพียงส่งข้อความถึงนางและบอกความตั้งใจของนิกายเท่านั้น”


 


“ทราบแล้ว เราจะทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสลำดับที่สอง”


 


ภูเขาเทียนตี้


 


“ดาบแสง โป้ชิง…ผู้อมตะกึ่งระดับเก้าที่สามารถแยกภูมิภาคทั้งห้าด้วยดาบของเขา โชคดีของผู้คนที่ความรักทำให้เขาเปลี่ยนไป บางทีนี่อาจเกิดจากมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งดาบของเขา”


 


ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ เจี้ยนอี้เฉิง มองไปที่ขอบฟ้าด้วยความตื่นเต้น


 


“เหตุการณ์นี้จะนำผู้อมตะจำนวนมากไปรวมตัวกันที่น้ำตกสวรรค์ บางทีอาจมีโอกาสทำกำไรจากความวุ่นวาย ข้าควรจะไปที่นั่นหรือไม่?”


 


เจี้ยนอี้เฉิงคิดก่อนจะบินออกจากภูเขาเทียนตี้และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก


 


ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรือปีศาจ พวกเขาต่างเคลื่อนไหวหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


ข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับโป้ชิงแพร่สะพัดออกไปและส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คน


 


“ดาบแสงคือสิ่งที่โป้ชิงทิ้งไว้เบื้องหลัง มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามรดกที่แท้จริงของเขาปรากฏขึ้นแล้ว เขาจะใช้สิ่งนี้คัดเลือกผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุด”


 


หลังจากตื่นตกใจ หัวใจของผู้คนจึงถูกแทนที่ด้วยความโลภ


 


ผู้อมตะจำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งปีศาจเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ยังต้องเคลื่อนไหว


 


ภาคใต้


 


ภูเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อกำลังเล่นหมากรุกอยู่ในศาลาหินบนยอดเขา


 


“เรียกข้างั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงเดินเข้ามาอย่างเย็นชา


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับไป่หนิงปิง


 


ไป่หนิงปิงกล่าวต่อเสียงเย็น “แม้เจ้าจะช่วยให้ข้ากลายเป็นผู้อมตะแต่ข้าก็ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าที่เจ้าจะเรียกใช้งานเมื่อใดก็ได้”


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อเผยรอยยิ้มบางและกล่าวเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฟางหยวนกำลังจะกลับมา”


 


ฟางหยวน!?


 


ดวงตาของไป่หนิงปิงส่องประกายขึ้น


 


ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นก่อนกล่าว “อธิบายให้ชัดเจน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)