Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 995-1010

 995 สอบสวนวิญญาณ (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อะไรนะ?” แม่มดที่อยู่ตรงนั้นต่างอุทานตกใจขึ้นมา ทุกคนต่างก็มองไปทางโซอี้ คามิล่าเชื่อมโยงดวงวิญญาณสองดวง ในเมื่อดวงวิญญาณฝั่งหนึ่งหายไปแล้ว อีกทั้งปีศาจเองก็ไม่น่าจะโพล่งออกมาด้วยความโกรธเฉยๆ อย่างนั้นก็เหลือความเป็นได้แค่เพียงอย่างเดียว


การตอบสนองของอาลิเธียนั้นเร็วกว่าคนอื่น ในตอนที่ทุกคนกำลังตกใจ เธอก็รีบตวัดหนวดหลักที่ทรงพลังพอจะบดขยี้ร่างกายของอสูรสยองไปทางโซอี้ จากนั้นจึงกดเธอลงไปกับพื้น ความรุนแรงของพลังที่เธอใช้นั้นเห็นได้จากเตียงหินที่อยู่ด้านหลังโซอี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คิดจะออมมือแม้แต่น้อย


เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากปากโซอี้


จากนั้นภายในโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ


ที่อาลิเธียทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจมายึดร่างของโซอี้แล้วก็สร้างปัญหาขึ้นมา การสะท้อนทางวิญญาณได้ไปชดเชยในเรื่องของการควบคุมประสาทสัมผัส ทันทีที่ปล่อยให้แม่มดอาญาสิทธิ์ใช้เขตแดนอาญาสิทธิ์ได้ ถึงแม้มันจะแค่นิดเดียว แต่มันก็อาจจะสร้างความเสียหายร้ายแรงขึ้นมาได้


โดยเฉพาะเมื่อแม่มดส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่มองว่าโซอี้เป็นศัตรูของพวกเธอ


ต้องยอมรับเลยว่าอาลิเธียที่เป็นอดีตผู้บังคับบัญชากองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีประสบการณ์ด้านการรบเหนือว่าคนอื่นมากจริงๆ


แต่โซอี้ก็ไม่ได้แสดงการดิ้นรนขัดเจรออกมาเหมือนที่พวกเธอคิดเอาไว้เลย นับตั้งแต่ตอนที่ปีศาจประกาศออกมาจนถึงตอนที่ถูกหนวดหลักกดทับ เธอก็เหมือนเป็นตุ๊กตาที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับ ดูแล้วไม่เหมือนว่าจะถูกปีศาจควบคุมเอาไว้แต่อย่างใด


“วิญญาณของปีศาจย้ายเข้าไปในร่างนี้จริงๆ เหรอ?” ผ่านไปครู่หนึ่งโรแลนด์จึงพูดทำลายความเงียบขึ้นมา


“หม่อมฉันไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยเพคะ…” คามิล่ายังคงหน้าซีดเผือด “ถึงแม้จะเข้าใจว่าการสะท้อนของวิญญาณเป็นเหมือนสะพานเชื่อมได้ แต่มันก็เป็นแค่วิธีการสื่อสารในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น การที่ทิ้งร่างกายที่มีอยู่ แล้วบุกเข้าไปในใจของผู้ที่เชื่อมต่อ มันจะเป็นไปได้ยังไง?”


“มีวิธียืนยันไหม?” ทิลลีขมวดคิ้วขึ้นมา


‘นอกเสียจากมันจะพูดขึ้นมาเอง’ อาลิเธียปล่อยหนวดหลัก แต่เธอยังคงเฝ้าระวังเอาไว้อยู่ ‘เพียงแต่ความเป็นไปได้อันนี้ถือว่าไม่น้อยทีเดียว วิญญาณนั้นไม่สามารถคงอยู่นอกร่างได้ ไม่อยากนั้นพวกเราก็คงไม่พึ่งพาอารยธรรมใต้ดินแบบนี้ เรื่องทำลายจิตสำนึกด้วยตัวเองแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงแม้ปีศาจจะทำเช่นนี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นพวกเราจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด’


“ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง” โรแลนด์ครุ่นคิด “ถ้าเอาลำแสงเวทมนตร์ของโซอี้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน…”


“หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ!” เวนดี้รีบห้ามทันที “สำหรับพระองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงอะไร พระองค์ก็ควรจะหลีกเลี่ยงนะเพคะ”


“ถูกต้อง ถ้าศัตรูมันยึดร่างของพระองค์ไปจะทำยังไงล่ะเพคะ?” ไนติงเกลพูดเสริมขึ้นมา “มันไม่ใช่ผู้แพ้ในสงครามแห่งวิญญาณ หากแต่เป็นปีศาจระดับสูงจริงๆ นะเพคะ!”


“ความเสี่ยงไม่ใช่ว่าจะควบคุมไม่ได้” โรแลนด์ค่อยๆ คิดแผนรับมือออกมา “ถ้ามันเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้จริงๆ มันก็จะไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้ ขอเพียงจัดนักรบอาญาสิทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปในความฝัน เราก็จะสามารถกำจัดมันได้ก่อนที่มันจะรู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นโลกแห่งความฝันกับการสะท้อนวิญญาณมันก็ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าในนั้นจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความจริง ขอเพียงข้าตื่นขึ้นมา เวลาในโลกแห่งความฝันก็จะหยุดเดิน ทุกสิ่งที่ไม่ได้เป็นของโลกแห่งความฝันจะถูกบีบออกมา แบบนี้ข้าก็จะได้รู้ว่าดวงวิญญาณของโซอี้ถูกปีศาจเข้าไปแทนที่จริงหรือเปล่า”


“แต่ว่า…” ไนติงเกลกัดริมฝีปาก ก่อนจะหันหน้าไปทางอันนา “เจ้าก็ช่วยห้ามพระองค์หน่อยสิ”


“ข้าไม่คัดค้านที่พระองค์จะทำเช่นนี้” คำพูดของอันนาเหนือความคาดหมายของทุกคน


“ทำไมล่ะ?” เวนดี้และคนอื่นๆ ต่างงุนงง


“เพราะว่าข้าก็ถูกพระองค์ช่วยมาแบบนี้เหมือนกัน” เธอตอบอย่างจริงจัง “ถ้าตอนนั้นมีคนพูดห้ามพระองค์แบบนี้ เกรงว่าข้าคงจะตายอยู่บนแท่นประหารไปนานแล้ว ตอนนี้ถ้าให้ข้าไปเป็นคนห้ามล่ะก็ หนึ่งคือข้าไม่มีทางบอกให้ตัวเองทำแบบนั้นได้ สองคือข้าเชื่อในการตัดสินใจของโรแลนด์ พระองค์จะต้องรู้แน่นอนว่าตอนนี้พระองค์ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว”


ในขณะที่พูด ทั้งสองคนยิ้มสบตากัน ในสายตาเต็มไปด้วยความเชื่อใจและรู้ใจกัน


‘….’ อาลิเธียนิ่งเงียบไปนาน ‘ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หม่อมฉันก็ต้องขอขอบพระทัยพระองค์แทนโซอี้ด้วยเพคะ’


“แต่ข้าอยากจะได้ยินคำนี้จากปากนางมากกว่า” โรแลนด์พยักหน้า


‘ข้าจะเตรียมแม่มดที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมาให้เพคะ’ พาซาร์พูดอย่างตื้นตัน


“นอกจากนี้ก่อนที่ข้าจะเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ให้ทำการสะท้อนวิญญาณต่อไป” เขาแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ “โซอี้บอกเอาไว้ไม่ใช่เหรอว่าถ้านางยังไม่บอกให้หยุด ก็อย่าหยุดการสะท้อนวิญญาณ ถ้านี่เป็นแค่การต่อสู้ในจิตสำนึก มันก็ยังไม่แน่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”


…….


“เฮ้ นังตัวเมีย ลองเดาซิว่าตอนนี้พวกแมลงเพื่อนของเจ้ามันกำลังทำอะไรอยู่?”


โซอี้เงยหน้ามองดูปีศาจระดับสูง ก่อนจะเอาสมาธิกลับมาอยู่ที่ร่างกายของตัวเอง


หน้าอกนูนขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้มันจะไม่ได้ต่างอะไรมากกับตอนที่ไม่มี แต่มันก็ดูสบายตากว่าร่างผู้ชายที่หยาบกร้าน มือเท้าอยู่ครบถ้วน สัมผัสก็ชัดเจน มีเพียงผมที่ยาวลงมาปิดหน้าผากเพราะไม่ได้ตัดมานาน เหมือนกับในโลกแห่งความฝันเลย..


“ฮ่าๆ! พวกมันจะต้องล้อมเจ้าเหมือนว่าเจ้าเป็นศัตรูแน่นอน” ปีศาจที่เรียกตัวเองว่าคาบราดาบียิ้มเยาะออกมา “เมื่อพวกมันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้ามีโอกาส 30% ที่จะถูกมัดเอาไว้บนเตียงเหล็กเหมือนพวกแมลงชั้นต่ำ นอนจมอยู่กับกองขี้กองเยี่ยวของตัวเองทั้งวัน ส่วนอีก 70% ก็คือเจ้าถูกฆ่าทิ้ง ยังไงซะเรื่องที่ฆ่าพวกเดียวกันเพื่อตัดปัญหาแบบนี้ พวกเจ้าก็ทำอยู่เป็นประจำมาตั้งแต่ 400 ปีก่อนแล้วนี่”


“โซอี้มองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าทุกที่ล้วนแต่เป็นสีดำ ไม่มีของอะไรซักอย่าง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นความมืดเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าไม่มีแสง เธอก็น่าจะมองตัวเองไม่เห็น แต่ตอนนี้ในสายตาของเธอ เธอกลับมองเห็นตัวเองกับปีศาจได้อย่างชัดเจน


“เฮ้ นี่เจ้าตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ หรือคิดว่าความเงียบมันจะทำให้เจ้าหนีออกไปจากที่ีนี่ได้?” เสียงของคาบราดาบีเริ่มฟังดูหงุดหงิดขึ้นมา “ความอดทนข้ามีจำกัดนะ เจ้าควรจะเข้าใจถึงสถานการณ์ของตัวเองได้แล้ว ที่นี่พวกเราไม่มีทางตายจริงๆ ถ้าเจ้าพยายามทำให้ข้ามีความสุข บางทีข้าอาจจะทำให้เจ้าทรมานน้อยหน่อย!”


“ข้านึกว่าปีศาจจะไม่พูดมากแบบนี้ซะอีก” โซอี้ฉีกเศษผ้าจากปลายแขนเสื้อขึ้นมามัดผมตัวเองเอาไว้ “ถ้าเป็นข้าล่ะก็ ต่อให้ข้าเรียนรู้ภาษาของแมลงได้แล้ว ข้าก็จึงไม่มานั่งพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าแมลงทั้งวันแบบนี้หรอก”


“ปากดีไปเถอะ ยังไงซะเดี๋ยวเจ้าก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องออกมาเท่านั้น” ปีศาจหัวเราะหึหึ “ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังในวิญญาณของเจ้าที่มีมากกว่าแมลงอีกจำนวนมาก ถ้าเอาเจ้ามาเป็นคู่ต่อสู้คนสุดของข้า นั่นก็นับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทีเดียว”


“จากนั้นล่ะ? หลังข้าถูกฆ่าตาย แล้วเจ้าจะทำยังไง? หรือว่าเจ้าทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาข้ามาระบายอารมณ์โกรธของเจ้าเท่านั้น?”


“แล้วมันผิดตรงไหน? ต่อสู้! ฆ่า! ทรมาน! ยกระดับ! แมลงเอ๋ย นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งเผ่าพันธุ์ระดับสูงควรจะมี! หรือว่าข้าต้องไปคุกเข่าขอร้องให้เจ้าให้อภัยข้า?” คาบราดาบีหวีดร้องออกมา “ความตายมันมีอะไรน่ากลัว? สุดท้ายวิญญาณของพวกเราก็จะถูกแหล่งกำเนิดเวทมนตร์รับกลับไป วันใดที่เผ่าพันธุ์เราขึ้นสู่จุดสูงสุด เราก็จะกลับมาบนโลกอีกครั้ง!”


“อย่างนั้นเจ้าทำเวลาหน่อยจะดีกว่า” โซอี้พูดหน้านิ่งๆ “ไม่แน่พวกนางอาจจะลงมือแล้วก็ได้”


“วางใจได้” คาบราดาบีแสยะยิ้มออกมา “เจ้าไม่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของเวทมนตร์ ในกระแสจิตสำนึก เวลาจะเดินช้าลงและสามารถควบคุมได้ แม้จะเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นเวลาหลายปี ในเมื่อเป็นการฆ่าครั้งสุดท้าย มันก็ต้องทำให้ข้ารู้สึกพึงพอใจถึงจะถูก”


996 เดินทางพร้อมกับความเจ็บปวด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลาที่ยาวนาน


แต่กลับเต็มด้วยความสุข


เหมือนว่าเธอได้กลับไปยังสนามรบเมื่อ 400 ก่อน ต่อสู้นองเลือดกับศัตรู เพียงแต่ครั้งนี้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บปวดหลังจากที่พ่ายแพ้ ไม่ต้องมองเห็นผองเพื่อนต้องนอนตายอยู่ในอ้อมอก แล้วก็ไม่มีภาระอันหนักอึ้งที่มากดทับจนหายใจไม่ออก


สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือว่าตัวเธอก็ล้วนแต่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในตอนที่ถูกมีดดาบแทงเข้าไปในร่างกาย


เมื่อมีความเจ็บปวด ก็เท่ากับมีความจริง


“นังตัวเมีย…ข้าต้องยอมรับเลยว่าเจ้าสู้ได้เยี่ยมมาก” คาบราดาบีโยนแขนที่ชุ่มเลือดข้างหนึ่งลงไปบนพื้น “ถึงแม้จะยังไม่หลุดพ้นจากความเป็นแมลง แต่เจ้าก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเพื่อนของเจ้าอย่างมาก ข้าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ เจ้าทำให้ข้ามีความสุขจริงๆ!”


“งั้นเหรอ?” โซอี้พูดจาอู้อี้ ก่อนจะถุยเศษเนื้อก้อนหนึ่งออกมาจากปาก “เสียดายที่เนื้อเจ้ารสชาติห่วยแตกไปหน่อย”


นี่เป็นวันที่ 5 หลังเริ่มต่อสู้…หรือว่าวันที่ 7 กันนะ? เธอไม่มีความสามารถในการคำนวนเวลาโดยไม่ใช้พระอาทิตย์ พระจันทร์หรือดวงดาว เธอทำได้เพียงประมาณวันเวลาคร่าวๆ จากการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกาย เวลาของที่นี่น่าจะถูกกำหนดให้หมุนวนเป็นรอบๆ อย่างเช่นความรู้สึกหิวหรือกระหายจะค่อยๆ หายไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็กลับไปอยู่ในสภาพเหมือนตอนแรกสุด ถ้ามองว่ามันเท่ากับ 1 วันแล้วล่ะก็ มันก็ดูสมเหตุสมผลทีเดียว เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สู้กันเป็นปีๆ เลย แค่ไม่กี่วันก็คงขยับตัวไม่ไหวแล้ว


ความเจ็บปวดอันรุนแรงตรงตำแหน่งแขนที่ถูกตัดขาดพุ่งเข้าไปที่หัวใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรม อีกฝ่ายนั้นสามารถรวมพลังเวทมนตร์ให้กลายเป็นดาบได้ แต่สิ่งที่เธอใช้ได้มีเพียงแค่สองมือสองเท้า แล้วก็ฟันในปากเท่านั้น


แต่โซอี้ไม่ได้สนใจเรื่องยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย


เพราะว่าแพ้ชนะมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ


สิ่งที่ต้องทำเวลาที่อยู่บนสนามรบคือสังหารศัตรูและปกป้องร่างกายตัวเอง แต่ที่นี่แขนขาที่ถูกตัดขาดไปจะงอกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางหมดสติไป ไม่มีการตาย ความเจ็บปวดกลายเป็นสิ่งที่คงอยู่ไปตลอด


แล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้แต่มีดดาบเพียงอย่างเดียวในการสร้างความเจ็บปวด


นับตั้งแต่ที่ต่อสู้กันมาหลายวัน เธอสังเกตเห็นว่านี่เป็นครั้งแรกที่ปีศาจผ่อนจังหวะการต่อสู้ลงแล้วเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมา


“แต่ว่าความอดทนของเจ้ามันไร้ความหมาย” ปีศาจระดับสูงกดแขนตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บ ปากแผลที่มีเลือดไหลฟื้นตัวกลับสู้สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว “การโจมตีแบบนี้มันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ถ้าเจ้าเพ้อฝันอยากจะใช้ฟันของเจ้ามาเอาชนะข้า เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังแล้วล่ะ หลังจากนี้ข้าจะค่อยๆ เลาะฝันของเจ้า จากนั้นก็จะเอามัดยัดใส่ลงไปในท้องของเจ้า เตรียมตัวให้ดีล่ะ!”


“แต่เจ้าก็ยังรู้สึกเจ็บไม่ใช่เหรอ?” โซอี้หอบหายใจ ก่อนจะเห็นแขนของตัวเองค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพกลับมา “เออใช่ ข้าอยากจะถามอะไรหน่อย เจ้าไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้มันคุ้นๆ?”


“นังตัวเมีย เจ้าหมายความว่ายังไง?”


ไม่ได้ ต้องอดทนไว้ ห้ามให้มันรู้ว่าเรากำลังมีความสุขเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะหมดสนุกเอาได้


ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่เธอก็ยังอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ตอนที่เจ้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ตอนนั้นเจ้าน่าจะรู้สึกได้ใช่ไหมล่ะ…” เธอชี้ไปยังตำแหน่งกระดูกสะบัก “แทงเข้าไปจากตรงนี้ แล้วเฉือนเอาเนื้อออกมา ดูจากร่างกายที่สั่นอย่างรุนแรงของเจ้าในตอนนั้นแล้ว มันน่าจะเจ็บมากใช่ไหม อ้อ ข้าเกือบลืมบอกไป คนที่ดูแลเจ้าเป็นพิเศษในตอนนั้นก็คือข้าคนนี้นี่แหละ”


“เจ้าแมลง…!” คาบราดาบีโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นมันส่งเสียงคำรามพร้อมเหวี่ยงดาบฟันออกไป “ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”


….


วันที่ 6 เวลาเหมือนจะเดินไปช้ากว่าเดิม


บนพื้นสีดำมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำตาลแดง มีบางส่วนสีเป็นสีน้ำเงินคล้ำ


นอกจากนี้ยังมีแขนขาที่ขาด เครื่องใน….แล้วก็ฟันตกกระจายอยู่เต็มพื้น ถึงแม้อวัยวะที่ขาดหายไปจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่ชิ้นส่วนที่มันหลุดออกไปจากร่างกายกลับไม่หายไปไหน เมื่อต้องต่อสู้ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ถ้าไม่ระวังก็อาจจะลื่นล้มได้ แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้โซอี้ได้สิ่งที่พอจะเอามาทำเป็นอาวุธได้สองชิ้น นั้นคือกระดูกต้นขาที่ถูกตัดขาดของตัวเองกับกระดูกสันหลังท่อนหนึ่งของปีศาจ


โดยกระดูกต้นขานั้นเอามาใช้เป็นค้อนได้ ส่วนกระดูกสันหลังนั้นเอามาใช้แทนดาบเรียวยาว ขอเพียงไม่ปะทะกับอาวุธเวทมนตร์ตรงๆ อาวุธทั้งสองอันนี้ก็คือว่าใช้คล่องมือทีเดียว


เวลา 400 ปีเพียงพอจะทำให้เธอเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด


และตำแหน่งที่เธอชอบโจมตีมากที่สุดยังคงเป็นส่วนแขนของอีกฝ่าย


ความเจ็บปวด บางครั้งก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าบาดแผลจะเล็กหรือใหญ่


“ถ้าเจ้าเหนื่อย ตอนนี้จะพักซักหน่อยก็ได้นะ” โซอี้เหน็บกระดูกสันหลังเข้าไปที่เอว พร้อมกับสะบัดข้อมือที่เริ่มชาเล็กน้อย “เพราะว่าเจ้ายังต้องทรมานข้าอีกนาน ค่อยๆ ทรมานมันถึงจะสนุก”


“….” เป็นครั้งแรกที่ปีศาจไม่ตอบอะไร หน้าอกของมันกระเพื่อมขึ้นลง ดวงตาสีแดงทั้งสองข้างจ้องมองมาที่แม่มดอมนุษย์ บนใบหน้าครึ่งคนครึ่งปีศาจของมันไม่มีความรู้สึกดูถูกเหมือนในตอนแรกอีก


ความสามารถของทั้งสองคนไม่ได้เปลี่ยนไป ความสามารถหลากหลายชนิดของปีศาจระดับสูงยังเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ ส่วนโซอี้นั้นกว่าจะสร้างบาดแผลให้กับศัตรูได้ทีหนึ่งก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากกว่ามันหลายเท่า ทันทีที่ผิดพลาด เธอก็จะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน นิ้วมือที่ถูกตัดขาด ท้องถูกผ่าออกกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ บรรยากาศการต่อสู้กลับค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเดิม


อีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่โซอี้ก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “ข้าขอถามหน่อย…เจ้าเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมางั้นเหรอ?”


น่าจะเป็นเพราะอยากจะพักจริงๆ คาบราดาบีจึงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่คือกระแสจิตสำนึก เป็นการรวมกันระหว่างพลังเวทมนตร์และวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องให้ใครสร้างมันขึ้นมา แมลงชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าคงยากจะเข้าไป คนที่มีโอกาสได้เข้ามาในกระแสจิตสำนึกเรียกได้ว่า….”


“ข้าเคยเห็นอันที่ใหญ่กว่านี้มาแล้ว มันเป็นเหมือนโลกที่สมบูรณ์” เธอพูดแทรกขึ้นมา “มีคนมีต้นไม้มีท้องฟ้ามีพื้นดิน ไม่เหมือนที่นี่ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย”


“อย่ามาล้อเล่นน่ะ นังตัวเมีย!” ปีศาจคำรามขึ้นมา “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการสร้างวัตถุขึ้นมาซักชิ้นในกระแสจิตสำนึกมันต้องใช้พลังเวทมนตร์มากขนาดไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกที่สมบูรณ์เลย! มีเพียงแหล่งกำเนิดเวทมนตร์เท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้!”


“แหล่งกำเนิดเวทมนตร์อีกแล้ว…เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเพียงแนวคิดที่เลือนรางเหมือนกับดินแดนของพระเจ้า แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันอยู่ที่ไหน แต่เจ้ากลับพูดเหมือนว่าเจ้าเคยเห็นมันมาแล้วอย่างนั้น” โซอี้หยิบกระดูกสันหลังขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ


“นี่มันเป็นสิ่งที่บันทึกอยู่ในชิ้นส่วนสืบทอด มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่อง!”


“อย่างนั้นเจ้าอธิบายให้มันละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม เอาหลักฐานมาทำให้ข้าเชื่อสิ”


“นังตัวเมีย เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นรึ?” คาบราดาบีแผดเสียงตะโกนออกมา “ลูกไม้แบบนี้ เจ้าคิดหรือว่าท่านคาบราดาบีผู้นี้จะ….”


ปีศาจยังไม่ทันพูดจบ หอกเล่มหนึ่งพลันแทงเข้าไปที่หัวของมัน


ตัวหอกสีขาวอันนั้นก็คือกระดูกสันหลังที่โซอี้ถือเอาไว้ในมือก่อนหน้านี้


“ในเมื่อไม่อยากพูด อย่างนั้นเวลาพักก็หมดลงเพียงเท่านี้แหละ เมื่อไรอยากพูด ตอนนั้นก็ค่อยพักแล้วกัน” เธอหยิบค้อนกระดูกขึ้นมาแกว่งพร้อมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย


….


หลายสิบวันหลังจากนั้น


“ทำไม” คาบราบาดีดูไม่ฮึกเหิมเหมือนอย่างในตอนแรกแล้ว มันเอาดาบเวทมนตร์มากันเอาไว้ตรงหน้าอก พร้อมกับมองดูโซอี้เหมือนว่ากำลังมองดูสัตว์ประหลาดอยู่ “หรือว่าเจ้าไม่กลัวความเจ็บปวด!”


“ถ้าจะบอกว่าสงครามเมื่อ 400 ปีก่อนทำให้ข้าเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้ เช่นนั้นการจมดิ่งอยู่ในช่วงเวลา 400 ปีหลังจากนั้นก็ได้ทำให้ข้าลืมมันไปแล้ว….ถ้าวันหนึ่งเจ้าได้เจอสิ่งๆ หนึ่งที่มันหายไปจากตัวเจ้าเป็นเวลานานแสนนาน เจ้ายังจะกลัวมันอีกเหรอ?” โซอี้ยิ้มมุมปากขึ้นมา ถึงตอนนี้ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว “ความจริงข้าต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยมอบความรู้สึกที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงไม่สามารถมอบให้ข้าได้”


“เจ้ามัน…บ้าไปแล้ว!”


“ถ้าเทียบกับเวลาหลายร้อยปีแล้ว นี่มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น…เอาล่ะ ตอนนี้ถึงตาเจ้ามาทำให้ข้ามีความสุขบ้างแล้วล่ะ”


ในตอนที่โซอี้เอานิ้วมือทั้งห้าแทงเข้าไปในหน้าอกของปีศาจอีกครั้ง ภาพตรงหน้าเธอพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา ทั้งเลือดเนื้อ เครื่องในกับกระดูกต่างก็หายไปหมด ความมึนงงอย่างรุนแรงเข้ามาปกคลุมเธอเอาไว้


ในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมา ภาพเพดานโค้งภายในโถงใหญ่ของเมืองชายแดนที่สามก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเธออีกครั้ง


997 ข่ม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นาง นางตื่นแล้ว!”


ข้างหูโซอี้มีเสียงร้องดังขึ้นมา จากนั้นดาบที่ส่องประกายวิบวับสามสี่เล่มก็มาพาดอยู่บนคอของเธอทันที “


‘อย่าขยับ’ เสียงของอาลิเธียดังขึ้นมาในหัวของเธอ ‘ก่อนที่พวกเราจะยืนยันได้ว่าเจ้าเป็นใคร นอนนิ่งๆ อยู่แบบนี้ไปก่อนจะดีกว่า’


อย่างนี้นี่เอง…เธอสังเกตเห็นนอนอยู่บนเตียงหินที่ปีศาจนอนอยู่ในตอนแรก พร้อมกับมือและเท้าของตัวเองถูกโซ่เหล็กล็อกเอาไว้ ส่วนรอบๆ ก็มีเพื่อนของตัวเองถือดาบยืนล้อมตัวเองเอาไว้ นี่ถือเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดจริงๆ ในตอนที่ยังไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่ในร่างแม่มดอาญาสิทธิ์คือเธอหรือว่าปีศาจ พวกนางจำเป็นต้องล็อกตัวเธอเอาไว้แบบนี้ก่อน นอกจากนี้พวกนางยังไม่ถามด้วยว่าเธอเป็นใคร หากแต่พวกนางจะเป็นคนวิเคราะห์เองว่าเธอเป็นใคร นี่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความชำนาญของคนที่จัดการเรื่องนี้


เพราะว่าถ้าปีศาจมันยึดร่างของเธอไป ไม่ว่าจะตอบอะไรออกมาก็ล้วนแต่เป็นคำพูดโกหก


ถ้าคาบราดาบีไม่ได้พูดโกหกล่ะก็ เวลาหลายสิบวันในกระแสจิตสำนึกก็น่าจะเท่ากับเวลาไม่กี่นาทีในโลกแห่งความเป็นจริง คนที่สามารถวิเคราะห์และหาวิธีจัดการที่เหมาะสมได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้ เกรงว่าคงมีแต่อาลิเธียเท่านัั้น


มีนางเป็นเพื่อนแบบนี้ เธอก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว


ในขณะที่โซอี้กำลังจะหลับตาแล้วปล่อยให้เพื่อนของเธอเป็นคนจัดการทุกอย่าง ภาพตรงกลางกลุ่มคนกลับทำให้เธอขมวดคิ้วขึ้นมา


นั่นพวกนางกำลังจะทำอะไร?


เธอเห็นด้านล่างของแกนเวทมนตร์มีเตียงหินเพิ่มขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง ถึงแม้จะมองไม่ชัดว่าใครนอนอยู่ แต่เมื่อดูจากแม่มดที่ยืนอยู่รอบๆ แล้ว คำตอบก็คงเป็นที่รู้ๆ กันอยู่


เธอรีบคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


หรือว่าพวกนางคิดจะให้ฝ่าบาทโรแลนด์ใช้โลกแห่งความฝันมายืนยันตัวตนเธอ?


ไม่สิ ที่นี่ไม่มีใครจะสั่งโรแลนด์ได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ อย่างนั้นก็น่าเป็นอีกฝ่ายที่เป็นคนเสนอขึ้นมาเอง


แต่…แบบนี้มันก็ไม่ค่อยเหมาะสมเหมือนกัน! ทำไมอาลิเธียถึงเห็นด้วยกับวิธีนี้ได้? นางไม่รู้หรือว่าราชาองค์นี้มีความสำคัญต่อแม่มดอาญาสิทธิ์ขนาดไหน! ยิ่งไปกว่านั้นจากคำพูดของปีศาจทำให้เธอรู้ว่าพวกมันมีความเข้าใจเรื่องเวทมนตร์มากกว่าแม่มดอย่างมาก ถ้าโลกแห่งความฝันสร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์จริงๆ ไม่ว่าจะปล่อยปีศาจระดับสูงตัวไหนเข้าไปก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก


เมื่อกี้ไม่น่าชมเธอเลย!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ โซอี้ก็ไม่สามารถนิ่งเงียบได้อีกต่อไป “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ข้าคือโซอี้!”


อาลิเธียหรี่ตามองเธอ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร


“ฟังนะ คาบราดาบีมันสามารถบิดเบือนผลของเวทมนตร์ได้ ถ้าให้มันเข้าไปในโลกแห่งความฝัน มันอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้ รีบปลุกฝ่าบาทขึ้นมาเร็ว!”


“โอ้? งั้นเหรอ…เอาจริงๆ นะ นอนอยู่บนแผ่นหินแบบนั้นมันเย็นจนปวดกระดูกเลยล่ะ ถ้าไม่มีผ้าปูเอาไว้ด้านล่าง ข้าก็ไม่มีทางนอนหลับหรอก ถ้าเจ้าเป็นปีศาจ เจ้าก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน”


เหนือหัวเธอมีเสียงคุ้นเคยดังขึ้นมา


โซอี้แหงนหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะมองเห็นภาพชายผมสีเทาคนหนึ่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอ นั่นคือโรแลนด์ วิมเบิลดัน ราชาของคนธรรมดา


เธอรู้สึกโล่งใจทันที


ที่แท้เขายังไม่ได้นอนลงไป


ดีจริงๆ


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ร่างกายที่ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกนี้กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอม เหมือนว่าภายในร่างกายไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป หากแต่มีบางสิ่งที่พูดไม่ออกว่ามันคืออะไรเพิ่มขึ้นมา ถ้าเทียบกับความเจ็บปวดที่ช่วยย้ำเตือนเธอให้รู้ว่าอะไรคือความจริงแล้ว ความรู้สึกที่แตกต่างกันเช่นนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจและสงบได้เหมือนกัน


โซอี้ถอนหายใจออกมา “ถูกต้องเพคะ ถ้าอีกฝ่ายมันยึดร่างนี้ไปแล้ว ไม่แน่มันอาจจะรู้ข้อมูลตรงนี้ก็ได้ ดังนั้นวิธีแยกแยะของหม่อมฉันจึงง่ายกว่ามาก ขอเพียงให้เลดี้คามิล่าทำการเชื่อมต่อหม่อมฉันปีศาจอีกครั้ง เราก็จะรู้ทันทีว่าหม่อมฉันเป็นใครกันแน่”


“เมื่อครู่หม่อมฉัน….สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของวิญญาณเพคะ หม่อมฉันก็เลยตัดการสะท้อนวิญญาณไปเพคะ” เมื่อเห็นสายตาทุกคู่มองมาที่ตา คามิล่าจึงพูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “แต่หม่อมฉันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าฝั่งไหนที่เป็นวิญณาณของปีศาจเพคะ”


“เจ้ามั่นใจว่าจะเข้าไปในการสะท้อนวิญญาณ?” โรแลนด์ถาม


“เพคะ ฝ่าบาท ที่นี่ไม่มีใครอีก ขอเพียงให้มันเอ่ยปากยอมรับ ความจริงก็จะเปิดเผยออกมาเพคะ”


“ให้ปีศาจ…ยอมรับเหรอ?” ทุกคนสบตากัน


‘ไม่ว่ายังไง สถานการณ์มันก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว’ พาซาร์พูด ‘ลองดูก็ไม่น่าเป็นอะไร ถ้าทางนั้นเป็นโซอี้ หม่อมฉันจะแยกออกแน่เพคะ’


“ในเมื่อเป็นแบบนี้” โรแลนด์มองดูรอบๆ ก่อนจะทำการตัดสินใจออกมา “อย่างนั้นเชื่อมต่ออีกครั้งแล้วกัน”


สัมผัสอันคุ้นเคยไหลเข้ามาในร่างกายเธออย่างรวดเร็ว โซอี้เอาจิตสำนึกของตัวเองสะท้อนกลับเข้าไปในหัวของคาบราดาบี “ไหนบอกว่าจะหยุดจนกว่าจะพอใจไง?”


“นังตัวเมีย เจ้าอย่าได้ใจไป!” เสียงอันโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายดังขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน


“ถ้าเจ้าไม่อยากคุยเรื่องนี้ อย่างนั้นเราเปลี่ยนเรื่องก็ได้ ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่?”


“เหอะ ทำไมข้าต้องยอมรับด้วย? ถ้าพวกเจ้ามีวิธีแยกแยะได้ก็ใช้มันออกมา” ปีศาจหัวเราะหึหึ “ข้าอยากจะดูเหมือนกันว่าแมลงที่ไม่รู้เรื่องกระแสจิตสำนึกอย่างพวกเจ้าจะแยะแยะดวงวิญญาณที่แตกต่างกันได้ยังไง”


“เจ้าไม่พูดก็ได้ อย่างนั้นข้าจะเข้าไปล่ะ” โซอี้พูดอย่างไม่สนใจ


“เดี๋ยว…เดี๋ยวๆๆ เข้าไปหมายความว่าไง?”


“ก็เข้าไปหาเจ้าน่ะสิ ใช้การสะท้อนวิญญาณในการย้ายดวงวิญญาณ แล้วก็เข้าไปในกระแสจิตสำนึก จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะทำได้เหมือนกัน ถึงแม้จะเอาแต่เรียกข้าว่าแมลงชั้นต่ำ แต่ความจริงแม่มดอมนุษย์เองก็รับรู้ถึงการไหลของพลังเวทมนตร์ได้รวดเร็วเช่นเดียวกัน ถึงแม้ข้าจะอธิบายมันไม่ได้ แต่ลองทำตามดูก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” เธอพูดยิ้มๆ “ยังจำที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ได้ไหม? ถ้าไม่อยากพูด อย่างนั้นเวลาพักก็หมดลงแค่นี้ ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากพักแล้วสินะ”


น้ำเสียงของคาบราดาบีเปลี่ยนขึ้นมาทันที “ไม่…นังตัวเมีย ข้าหมายความว่า…รอเดี๋ยวก่อน!”


“ต่อให้เจ้าจะย้ายดวงวิญญาณอีกมันก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงข้าก็ไล่จับเจ้าได้สบายๆ เพราะร่างมันก็มีอยู่แค่สองร่างนี้” โซอี้พูดอย่างใจเย็น “ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไม่กี่สิบวันแล้วจะจบได้หรอกนะ เจ้า…เตรียมตัวให้ดีล่ะ?”


การสะท้อนของวิญญาณไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถพูดโกหกได้ โดยเฉพาะในตอนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นฝ่ายอ่อนแอ ปีศาจที่สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเธอจึงหุบปากลงทันที


ผ่านไปครู่หนึ่ง มันจึงหัวเราะแบบชั่วร้ายขึ้นมา แต่ว่าครั้งนี้ร่างที่มันใช้คือร่างของทหารอาญาสิทธ์ที่แขนขาขาด ถึงแม้น้ำเสียงของมันจะฟังดูค่อนข้างตระหนก แต่มันก็ยังพยายามทำเป็นข่มอยู่ “พอได้แล้ว! เจ้าพวกแมลง คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะบีบท่านคาบราดาบีผู้นี้ได้ขนาดนี้ ครั้งนี้ถือว่าพวกเจ้าชนะ!”


“เบาๆ หน่อย อย่าทำฝ่าบาทตกใจ” โซอี้สื่อสารทางจิตอย่างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


“แค่กๆ นังตัวเมีย…” ปีศาจถึงกับสำลักออกมา “นี่เจ้ากำลังหยามเกียรติเผ่าพันธ์ชั้นสูงอยู่นะ!”


“พักพอแล้วเหรอ?”


“เจ้า…” มันถลึงตาใส่แม่มดอาญาสิทธิ์อย่างแค้นเคือง สุดท้ายก็เลือกที่จะอดกลั้นเอาไว้ ก่อนจะลดเสียงลงแล้วพูดออกมาอย่างโกรธแค้นว่า “อย่าคิดนะว่าพวกเจ้าจะชนะอย่างนี้ไปได้ตลอด สำหรับพวกข้ามันก็เป็นแค่ความพ่ายแพ้เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีค่าให้พูดถึง! เจ้าแมลงชั้นต่ำ พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าอีกฟากหนึ่งของทวีปมันมีอะไรอยู่ กองทัพของอาณาจักรซีสกายกำลังกลืนกินทวีปไปทีละน้อย พวกมันพยายามจะทำให้โลกนี้กลายเป็นขุมนรก ถ้าไม่ใช่เพื่อจะหยุดยั้งพวกมัน เผ่าพันธุ์ที่น่าสงสารอย่างพวกเจ้าคงจะถูกพวกข้าบดขยี้เป็นผุยผงไปตั้งแต่ 400 ปีก่อนแล้ว!”


998 ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

โดย

Ink Stone_Fantasy

คำพูดของทหารอาญาสิทธิ์ที่ร่างพิการทำเอาทุกคนต่างขมวดคิ้วขึ้นมา


ศัตรูทำศึกสองด้านพร้อมกัน ยิ่งไปกว่านั้นอีกด้านหนึ่งต่างหากที่เป็นศึกหลักของพวกมันอย่างนั้นเหรอ?


สมมติว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดโกหก ก็เท่ากับว่าปีศาจที่มาทำสงครามแห่งโชคชะตากับมนุษย์นั้นเป็นแค่เพียงกองกำลังส่วนเล็กๆ ของพวกนั้น อย่างนั้นสถานการณ์ที่ตอนแรกดูจะสดใส ตอนนี้เหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว


เผ่าพันธุ์ที่อยู่ในภาพวาดยักษ์ในดินแดนของพระเจ้านั้นมีอยู่ 4 เผ่าพันธุ์ ตอนนี้อารยธรรมใต้ดินได้ถูกกำจัดไปแล้ว โรแลนด์เดาว่า ‘อาณาจักรซีสกาย’ ที่ปีศาจพูดถึงนั้นน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในภาพวาดสุดท้าย หรือก็คือดวงตายักษ์ใต้ท้องทะเลลึกที่อยู่ในภาพวาด


หรือว่าหลังจากที่ศัตรูชิงเอามรดกของอารยธรรมใต้ดินไปได้แล้ว พวกมันจะไปสู้กับพวกสัตว์ประหลาดในทะเลต่อ ขณะเดียวกันก็ยังมีกำลังเหลือพอที่จะมาเอาชนะมนุษย์ในดินแดนรุ่งอรุณ?


ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ อย่างนั้นที่พวกปีศาจระดับสูงจะดูถูกแม่มดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


ส่วนคนธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทมนตร์นั้น เกรงว่าคงไม่ได้ต่างอะไรกับต้นหญ้าที่อยู่ริมทางเลย


แต่เขาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่มีทางบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ออกแต่โดยดีแน่ เมื่อดูจากที่มันบุกเดี๋ยวเข้ามาในแนวยิงปืนใหญ่ ปิดบังความคิดตัวเอง แล้วก็การใช้การสะท้อนวิญญาณในการยึดร่างโซอี้แล้ว เขามองออกว่ามันไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็ตาม ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถแยกแยะคำพูดโกหกของอีกฝ่ายได้ เขาก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จงใจพูดโกหกเพื่อให้ตัวเองรู้สึกหวาดกลัว


เมื่อมองดูสีหน้าคร่ำเคร่งของทุกคนแล้ว โรแลนด์รู้ว่าในเวลานี้จำเป็นต้องดึงสถานการณ์ให้กลับมาอยู่ฝั่งตัวเอง


ด้วยเหตุนี้เขาจึงยักไหล่ แล้วแสร้งทำเป็นพูดกับอาลิเธียอย่างผ่อนคลายว่า


“อย่างนั้น….ตัวนี้ก็คือปีศาจจริงๆ ใช่ไหม?”


อีกฝ่ายเองก็ได้สติคืนมา ‘ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่แน่ใจว่าโซอี้ใช้วิธีอะไร แต่หม่อมฉันคิดว่าตัวนางไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่’


“ดีมาก ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปนอนกลางวัน” โรแลนด์หันไปพยักหน้าให้โซอี้ “ในโลกแห่งความฝันคืนนี้ เจ้าอยากจะกินอะไรก็ได้”


“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท” โซอี้ยิ้มมุมปากขึ้นมา แต่จากนั้นเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว “เสียดายที่เจ้านี่มันชินกับการรับรู้ของมนุษย์แล้ว ถึงแม้มันจะยังไม่สามารถควบคุมแขนขาได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การสะท้อนวิญญาณก็ยากจะที่อ่านความคิดที่แท้จริงของมันได้เพคะ”


“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่ได้สัมผัสปีศาจระดับสูงอย่าใกล้ชิดมาก่อน การใช้ประสบการณ์ของมนุษย์มาทำการวิเคราะห์ มันก็ไม่แปลกที่จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น”


“ปีศาจ? พวกเจ้ายังใช้คำเรียกที่มันน่าตลกแบบนี้อยู่อีกเหรอ” คาบราดาบีพูดดูถูกขึ้นมา “โยนทุกสิ่งที่แปลกแยกไปจากตัวเองว่าเป็นความชั่วร้ายและความน่าหวาดกลัว โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่ไร้ค่า แต่พวกเจ้าก็โชคดีได้แค่นี้แหละ จุดกำเนิดเวทมนตร์ปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้งเมื่อไร วันนั้นก็คือวันตายของพวกเจ้า!”


ทุกคนต่างสบตากัน คำพูดประโยคสุดท้ายของมันเหมือนอะไรบางอย่างที่อยู่ในตำนาน


“จุดกำเนิดเวทมนตร์ที่เจ้าว่า…หมายถึงพระจันทร์สีแดงงั้นเหรอ?” โรแลนด์ถาม


“มองเห็นทุกเรื่องแค่เพียงเปลือกนอก สมกับเป็นแมลงชั้นต่ำจริงๆ” ปีศาจระดับสูงไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับ


“หรือว่าพระจันทร์สีแดงอันนั้นก็สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์เหมือนกัน?” อกาธาที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมา “แต่นี่ดูไม่สมเหตุสมผลเลย ข้าเคยเห็นพระจันทร์สีแดงมาก่อน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็อยู่ห่างไกลจากโลกนี้มาก ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าผู้ยกระดับในตอนสุดท้ายจะเปิดประตูไปสู่จุดกำเนิดเวทมนตร์ หรือว่าจะมีบันไดที่ขึ้นไปบนฟ้าได้?”


“เหอะ” คาบราดาบีหันหน้าไปอีกด้าน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอธิบายปัญหานี้


“อาณาจักรซีสกายอยู่ที่ไหน?”


ไม่มีเสียงตอบ


“พวกเจ้าเป็นคนทำลายอาณาจักรใต้ดิน?”


เงียบ


“เทคโนโลยีใหม่ของพวกเจ้า ข้าหมายถึงไอตัวประหลาดที่ยิงเสาหินสีดำออกมาได้ นั่นก็มาจากชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมใต้ดินเหรอ?”


“อย่าพยายามเลย เจ้าแมลง” ในที่สุดคาบราดาบีก็พูดออกมา “สิ่งที่ข้าพูดได้ข้าก็พูดไปหมดแล้ว สิ่งที่พูดไม่ได้ ต่อให้นังตัวเมียนี่มา…” เขากวาดตามองดูโซอี้ ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย “ข้าก็ไม่มีทางปริปากออกมาแม้แต่นิดเดียว! ถ้าจะฆ่าข้าก็รีบลงมือซะ แต่ว่าช้าเร็วพวกเจ้าก็ต้องถูกท่านจักรพรรดิเฮคซอดผู้เป็นราชาแห่งฟากฟ้ากำจัดทิ้ง ส่วนข้าคาบราดาบีก็จะได้ไปเกิดใหม่ในจุดกำเนิดเวทมนตร์!”


เห็นได้ชัดว่าตอนนี้การสอบสวนได้มาถึงจุดที่เป็นคอขวดแล้ว แต่ว่าในเมื่อปีศาจระดับสูงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในร่างทหารอาญาสิทธิ์ นั้นก็หมายความว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะได้พักหายใจไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเอามันให้แม่มดทาคิลาจัดการ สุดท้ายก็น่าจะเค้นอะไรออกมาจากปากมันได้บ้าง


เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์จึงพูดพร้อมผายมือออก “ในเมื่อเจ้าไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว อย่างนั้นข้าเปลี่ยนเรื่องก็ได้ ถ้าสงครามครั้งนี้มันเป็นแค่ความพ่ายแพ้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับพวกเจ้า อย่างนั้นพวกเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่? กองทัพของอาณาจักรซีสกายล่ะ? ถ้าเทียบกับเจ้าแล้วเป็นยังไง? แล้วยังมีราชาแห่งฟากฟ้าที่เจ้าพูดถึงอีก มันสามารถสู้กับสุดยอดมนุษย์ได้ไหม? ข้าคิดว่าคำถามพวกนี้น่าจะไม่เกี่ยวกับความลับเหล่านั้นหรอกนะ?”


นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ชมตัวเอง จากนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว เป็นไปได้สูงที่มันจะอดใจไว้ไม่ไหว


“เหอะ เจ้าแมลง…” เป็นไปตามคาด เสียงดูถูกของคาบราดาบีดังขึ้นมา “ข้าบอกได้เพียงว่าความแข็งแกร่งของพวกข้านั้นเหนือว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้! รู้ไหมว่าทำไมพวกข้าถึงเรียกพวกเจ้าว่าแมลง? เพราะมันเป็นความต่างชั้นกันของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงกับเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำเหมือนกับนกกับแมลงยังไงล่ะ มันถูกกำหนดขึ้นโดยธรรมชาติของเวทมนตร์ ตรงชายขอบที่เชื่อมระหว่างปลายสุดของทวีปกับอาณาจักรซีสกาย กองทัพของพวกข้านั้นมืดฟ้ามัวดิน เวลาเคลื่อนทัพขึ้นมาสั่นสะเทือนไปทั้งขุนเขา หากไม่เป็นเพราะอาณาจักรซีสกายก็เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน พวกเจ้าคงไม่มีทางรอดจนมาถึงทุกวันนี้ได้!”


มันชะงักไปเล็กน้อย “ส่วนสุดยอดมนุษย์ที่เจ้าว่า ถ้าเจ้าหมายถึงนังตัวเมียที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนนั้นล่ะก็ จริงอยู่ที่เมื่อก่อนพวกนางสูสีกับท่านจักรพรรดิ แต่พลังเวทมนตร์ของราชาแห่งฟากฟ้าในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งยังมีความเฉลียวฉลาดและความรอบคอบในการบัญชาการ ในศึกเช่นนี้ ท่านเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการพวกเจ้าได้แล้ว! เจ้าแมลง ต่อไปเวลาที่พวกเจ้าได้ยินชื่อของท่าน พวกเจ้าควรจะคุกเข่าร้องขอชีวิตจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยท่านอาจจะทำให้พวกเจ้าไม่ต้องตายอย่างทรมาน!”


โรแลนด์มองข้ามคำพูดโอ้อวดของอีกฝ่ายแล้วจับประเด็นสำคัญๆ ที่อยู่ในคำพูดของมัน การขนส่งของพวกปีศาจนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกมัน หากไม่มีหมอกแดง มันก็ยากที่จะไปไหนได้ ถ้าจะทำให้มีหมอกแดงเพียงพอสำหรับกองทัพทั้งกองทัพ อย่างนั้นมันก็จำเป็นต้องทำศึกภายในขอบเขตของเสาหินสีดำ


การที่สามารถสู้กับปีศาจภายในหมอกแดงได้อย่างสูสี อีกทั้งยังหยุดกองทัพหลักของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ด้วย นี่ก็หมายความว่าความน่ากลัวของสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึกคงจะไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่มันว่ามาซะแล้ว การที่มันใช้เพียงคำว่า ‘แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน’ ก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เยอะ


นอกจากนี้มันไม่ได้เรียกพวกอาณาจักรซีสกายว่าแมลง นั่นก็หมายความว่าสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึกนั้นได้รับการ ‘ยกระดับ’ เหมือนกัน แต่ตอนนี้เผ่าพันธุ์ที่ถูกกำจัดทิ้งไปมีเพียงแค่หนึ่ง นี่ดูแล้วไม่สอดคล้องกับการคาดเดาในตอนแรกเลย เมื่อกลับมาคิดๆ ดูแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดออกมาชัดๆ เหมือนกันว่าพวกมันเป็นคนกำจัดอารยธรรมใต้ดินไป มันพูดเพียงแค่ว่าเผ่าพันธุ์ที่ไปยังอาณาจักรซีสกายได้ก็จะมีคุณสมบัติได้รับชิ้นส่วนสืบทอด ในนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจอยู่


เมื่อเห็นปีศาจระดับสูงยังคงพล่ามถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ตัวเองไม่ยอมหยุด โรแลนด์จึงพูดตัดบทขึ้นมา


“ความจริงแล้วเจ้าไม่ได้เข้าใจเลยว่าอะไรคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง”


“เจ้า…” คาบราดาบีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “เจ้าแมลง เจ้าจะไปรู้อะไร”


“ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่จะทำให้โลกนี้ตกอยู่ในความมืด หากแต่เป็นคนที่ใช้พลังของตัวเองในการปัดเป่าแมฆหมอกออกไปต่างหาก ในตอนที่โลกกำลังจะล่มสลาย พวกเขาจะยินยอมแม้กระทั่งเผาวิญญาณของตัวเองเพื่อมอบแสงสว่างและความร้อนให้กับสรรพสิ่ง…เหมือนกับพระอาทิตย์”


“เจ้า…จะพูดอะไรกันแน่?”


“ง่ายมาก” โรแลนด์กระแอมลำคอ “ในเมื่อพวกเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมไม่ไปจุดไฟซะล่ะ”


เขาลุกขึ้นยืนพร้อมพาเหล่าแม่มดเดินออกไปจากโถงโดยไม่หันหน้ามามอง ปล่อยปีศาจให้ตกอยู่ในความงุนงง


999 สักขีพยาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องประชุมของปราสาทเนเวอร์วินเทอร์


สีหน้าของตัวแทนทุกฝ่ายต่างดูแย่อย่างมาก โดยเฉพาะอกาธากับฟิลลิส เห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่ได้มาจากปีศาจระดับสูงนั้นได้ทำลายความเข้าใจที่มีอยู่แต่เดิมของพวกเธอลง


ถอยร่นจากดินแดนรุ่งอรุณจนมาถึงขอบทวีป ต่อสู้กันมาเกือบพันปี ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ศัตรูกลับไม่ได้เอาจริงเลย อีกด้านหนึ่งของทวีปอันกว้างใหญ่ยังมีสถานที่ที่เรียกว่าอาณาจักรซีสกายอยู่ สัตว์ประหลาดที่นั่นไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าปีศาจ ที่มนุษย์ยังไม่สูญพันธุ์ไปก็เป็นเพราะพวกมันคอยถ่วงปีศาจเอาไว้อยู่


นี่ถือเป็นการทำลายความเชื่อของแม่มดทาคิลาอย่างรุนแรง


บรรยากาศอันตรึงเครียดนี้ลามไปถึงสโมสรแม่มดกับมนตร์แห่งสลีปปิ้งด้วย


การโจมตีค่ายของพวกปีศาจในครั้งนี้ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ความเสียหายจากสงครามนั้นเรียกได้ว่าน้อยที่สุดในรอบ 400 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นชัยชนะที่ได้มาจากสถานการณ์ที่ปีศาจยังไม่รู้จักคู่ต่อสู้ดีพอ อีกทั้งกองทัพที่หนึ่งก็ได้สู้ในจังหวะการรบที่ตัวเองคุ้นเคย ศึกในครั้งหน้าพวกเขาจะได้รับชัยชนะหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ถ้าทหารล้มตายมากขึ้นกว่าเดิมหรือสูญเสียดินแดนกับประชากรไป ความฝันที่จะกำจัดปีศาจทิ้งนั้นแทบจะดูเลือนลาง


“ไม่แน่นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ปีศาจมันแต่งขึ้นมาก็ได้” เวนดี้ลุกขึ้นมาพูดปลุกขวัญ “อันที่จริงก็ยังไม่มีใครเคยเข้าไปยังปลายสุดของทวีป แล้วใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจริงหรือไม่จริง? ก่อนที่เราจะแน่ใจในเรื่องนี้ ข้าว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้มากจะดีกว่า ทุกคนว่าไง?”


แต่ไม่มีใครตอบเธอกลับมา


อกาธามองเธอด้วยสายตาขอบคุณ “ถึงแม้คำพูดของคาบราดาบีจะดูโอ้อวดเกินจริง แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะพูดโกหกทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่มันพูดออกมาในช่วงแรกของการถ่ายโอนวิญญาณ ตอนนั้นมันแทบจะความคุมร่างกายเอาไว้ไม่ได้ สิ่งที่มันพูดออกมาส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มันคิดอยู่ในหัว จุดนี้โซอี้น่าจะรับรู้ได้ แม้แต่คำพูดที่มันเพ้อออกมาก็ยังเชื่อมโยงกับสิ่งที่มันพูดในตอนหลัง นอกเสียจากมันจะฝึกพูดโกหกมาเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางทำแบบนี้ได้เลย”


“เจ้าหมายถึงชิ้นส่วนสืบทอดน่ะเหรอ?” บุ๊คพูดเหมือนคิดอะไรอยู่


“ใช่ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสืบทอดของเผ่าพันธุ์ไหนก็ตาม หรือก็คือมรดกของพระเจ้าก็ล้วนแต่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์ตัวเองยกระดับขึ้นได้” อกาธาค่อยๆ พูดต่อว่า “ถ้าปีศาจมันมีความสามารถที่จะโจมตีพวกเราแล้วชิงเอามรดกไปได้จริงๆ อย่างนั้นมันจะปล่อยโอกาสนี้ไปทำไม? ดังนั้นจึงมีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือพวกมันยังไม่ว่างที่จะบุกเข้ามาหาพวกเรา”


เห็นได้ชัดว่ามีอีกหลายคนที่คิดเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อดูจากลำดับของเวลาแล้ว ในช่วงแรกของสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง ปีศาจนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับพวกสัตว์ป่าเลย เมื่อเจอกับมนุษย์ที่อยู่กับอย่างกระจัดกระจายไม่เป็นกลุ่มก้อน มันก็ยังใช้เวลาสู้อยู่ตั้งหลายร้อยปี อารยธรรมใต้ดินเองก็มาหามนุษย์ในช่วงเวลานั้น กระทั่งตอนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง จู่ๆ ศัตรูก็น่ากลัวขึ้นกว่าเดิม ในเวลาเพียง 30 ปีก็สามารถโค่นสมาพันธ์ได้แล้ว


ถ้าการยกระดับสามารถทำให้แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ อย่างนั้นพวกปีศาจมันก็ควรจะรีบบุกเข้ามาขยี้มนุษย์เพื่อช่วงชิงมรดกไปถึงจะถูก


“พวกเราดูถูกความแข็งแกร่งของพวกปีศาจไปจริงๆ” ฟิลลิสกล่าวโทษตัวเอง “ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ตลอดระยะเวลา 400 ปี สมาพันธ์ไม่เคยมองออกไปนอกดินแดนรุ่งอรุณเลย พวกเราเอาแต่มองดูพื้นดินใต้เท้าที่พวกเราคุ้นเคย แต่กลับไม่รู้เรื่องโลกภายนอกแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่อาณาจักรซีสกายที่อยู่ปลายสุดของทวีปเลย แม้แต่อีกด้านหนึ่งของดินแดนรุ่งอรุณ พวกเราก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ”


“หืม? อีกด้านหนึ่งของทวีปมันเป็นยังไงเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น


“หม่อมฉันเพียงแค่เคยอ่านจากในบันทึกมาเพคะ ว่ากันว่ามันเป็นแผ่นดินที่รกร้างแห่งหนึ่ง ทุกที่มีแต่ภูเขาและหน้าผาที่สูงชัน ความสูงเฉลี่ยของมันสูงกว่าดินแดนรุ่งอรุณมาก” ฟิลลิสนึกย้อนสิ่งที่เธอเคยอ่านมา “ทั้งสองที่อยู่ห่างไกลกันหลายร้อยกิโลเมตร มีเทือกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แนวหนึ่งเชื่อมเอาไว้อยู่ ส่วนรอบๆ คือทะเลที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ปกติเทือกเขาครึ่งหนึ่งจะจมอยู่ใต้ทะเล มีแต่ตอนที่น้ำลงถึงจะเห็นเทือกเขาได้ทั้งหมด ว่ากันว่าปีศาจบุกเข้ามาในดินแดนรุ่งอรุณจากทางนั้นเพคะ”


เดี๋ยวนะๆ คำบรรยายอันนี้ทำไมฟังแล้วดูคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินจากไหนมาก่อน…เขาลูบคางตัวเอง จากนั้นภายในหัวพลันมีสายฟ้าฟาดลงมา!


ไหล่ทวีปที่สูงชัน หน้าผาที่ยาวสุดลูกหูลูกตากับประตูหินบานยักษ์ที่ฝังอยู่บนหน้าผา ถึงแม้ฟิลลิสจะไม่ได้พูดถึงรื่องประตูออกมา แต่คำบรรยายในส่วนแรกนั้นคล้ายกับภาพอันน่าตกตะลึงที่ธันเดอร์ได้ไปเห็นมาจากทะเลชาโดว์เลย หรือว่าสิ่งที่ทีมนักสำรวจไปเจอจะเป็นทวีปที่อยู่ตรงข้ามกับดินแดนรุ่งอรุณ?


ชักน่าสนใจแล้วสิ โรแลนด์คิดในใจ ถ้าเอาเมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นจุดเริ่มต้น ดินแดนรุ่งอรุณส่วนใหญ่ก็จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนทะเลชาโดว์ก็จะอยู่ไกลออกไปทางตะวันออกของทะเล จากตรงนั้นจะไปมองเห็นทวีปแปลกหน้าที่อยู่ตรงข้ามกับดินแดนรุ่งอรุณได้ยังไง? ขอเพียงโลกยังกลมอยู่ ต่อให้มีกล้องส่องทางไกลที่ดีแค่ไหนมันก็ยังได้รับผลกระทบจากความโค้งของโลก ถ้ามองทองฟ้ายังพอได้อยู่ แต่จะมองตรงๆ ไปยังทวีปที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้เนี่ย เรื่องนี้จะต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่แน่นอน


เขาสังเกตเห็นสายตาทิลลีที่มองมา เห็นได้ชัดว่าเธอซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมนักสำรวจในตอนนั้นจะต้องคิดถึงภาพที่เธอได้เห็นในซากโบราณสถานใต้ทะเลเหมือนกันแน่นอน


ไม่ใช่สิ่งที่สมาพันธ์สร้างขึ้นมา แต่กลับคอยจับตาดูทวีปที่ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของปีศาจ เจ้าของซากโบราณสถานนั้นเป็นใครกันแน่?


ดูเหมือนตอนที่ธันเดอร์ออกทะเลในครั้งนี้ คงต้องบอกให้เขาสำรวจโบราณสถานนั่นอย่างละเอียดซะแล้ว ไม่ใช่แค่เดินดูผ่านๆ เท่านั้น หากแต่ต้องสำรวจมันแบบทุกซอกทุกมุมจนกว่าจะไขปริศนาเรื่องนี้ได้


“ฝ่าบาท?”


น่าจะเป็นเหมาะใจลอยเป็นเวลานาน ในตอนที่โรแลนด์ถูกขัดจังหวะความคิด เขาพบว่าอกาธากับมองดูความด้วยสายตาที่เหมือนจะเข้าใจและปลอบใจ “พระองค์ทรงสบายดีไหมเพคะ?”


“เอ่อ…แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” เขาโบกมือ


“ทรงไม่ต้องกังวลนะเพนะ หม่อมฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันสร้างความกดดันให้กับพระองค์มาก แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความหวังนะเพคะ” แม่มดน้ำแข็งพูดเสียงอ่อนโยน “ในตอนที่หม่อมฉันตื่นขึ้นมาจากโลงศพน้ำแข็ง พระองค์ตรัสกับหม่อมฉันว่าคนธรรมดาจะต้องเอาชนะปีศาจได้แน่…ตอนนี้ หม่อมฉันยังคงเชื่อเช่นนั้นอยู่ ต่อให้มันต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนก็ตาม”


“ถูกต้องเพคะ” ฟิลลิสเองก็พูดเสริมขึ้นมา “อีกนิดเดียวพวกเราก็จะไปถึงซากเมืองทาคิลาแล้ว หลังทำลายมันลงได้ ปีศาจก็จะหมดโออาสได้ตั้งหอคอยปลายแหลม ถ้ามันอยากจะทำลายพวกเรา อย่างน้อยมันก็ต้องรอไปอีก 400 ปี ต่อให้สุดท้ายมนุษย์ยังพ่ายแพ้อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของพระองค์เพคะ ในเรื่องนี้พระองค์ทรงทำดีกว่าสามผู้นำของสมาพันธ์แล้วเพคะ”


โรแลนด์กะพริบตาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงนึกขึ้นมาได้


เขาคิ้วขมวดขึ้นมาเพราะคิดถึงเรื่องซากโบราณสถาน ก็เลยทำให้พวกเธอคิดว่าตัวเองกำลังกลุ้มใจเรื่องปีศาจจนตกอยู่ในความสับสนและสิ้นหวัง


พวกเธอก็เลยพยายามปลอบใจตัวเอง เพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นมาสู้ใหม่


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงส่ายหัวออกมา พร้อมกับพูดยิ้มๆ “เรื่องที่จะให้พวกเราไปหลบอยู่ในมุมๆ หนึ่งของทวีป แล้วทิ้งปีศาจให้เป็นภาระกับคนในอีก 400 ปีข้างหน้านั้นไม่ได้อยู่ในแผนการของข้า เพราะว่า…ข้าจะอยู่ไปถึงตอนนั้นได้หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ส่วนเรื่องที่จะจัดการกับศัตรูทั้งหมด แล้วก็เปิดเผยความลับของเจตจำนงของพระเจ้า มันจะไปมีความหมายอะไรถ้าข้าไม่ได้เป็นคนทำมันเอง เจ้าว่าจริงไหมล่ะ?”


“ฝ่าบาท…” แม่มดส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นพากันตกตะลึง มีเพียงอันนาเท่านั้นที่ยิ้มมุมปากขึ้นมา


“ในเมื่อเจ้าจำได้ว่าข้าเคยบอกว่าคนธรรมดาจะต้องเอาชนะปีศาจได้แน่” โรแลนด์มองไปทางฟิลลิส “อย่างนั้นเจ้ายังจำอีกเรื่องที่ข้าพูดได้ไหม?”


“พลังที่แท้จริงไม่ใช่การทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิด หากแต่เป็นการมอบแสงสว่างและความร้อนใจกับโลกนี้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่ข้าแกล้งพูดให้ปีศาจนั่นฟัง” เขาชิงพูดออกมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ “เมื่ออยู่ต่อหน้าขุมพลังที่เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ ทุกสรรพสิ่งจะกลายเป็นผุยผง พวกปีศาจเองก็เหมือนกัน ส่วนพวกเจ้าก็จะได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเองพร้อมกับข้า”


1000 เพื่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เตาผิงภายในห้องมีไฟลุกโชน เพดานครึ่งหนึ่งถูกส่องจนเป็นสีแดง


อาซีม่าที่ได้ยินเสียงเปรี๊ยะปร๊ะของฟืน สายตามองดูสายลมและหิมะที่พัดโปรยอยู่นอกหน้าต่าง ทั่วทั้งร่างกายของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น บางทีอาจจะเป็นเพราะโรคเก่าสมัยที่เธอยังคุ้ยกองขยะหาเศษอาหารในวัยเด็ก ทำให้พอถึงฤดูหน้า สองมือของเธอจะเป็นแผลน้ำแข็งกัด ผิวหนังหลุดลอกออกมา หลังจากที่ไปอยู่เกาะสลีปปิ้งก็ไม่ดีขึ้น กลับกลายเป็นยิ่งแสดงอาการหนักขึ้นเพราะสัมผัสกับน้ำทะเล


แต่ตอนนี้บนนิ้วมือของเธอมีเพียงรอยแผลบางๆ ไม่กี่แห่ง ไม่มีทั้งรอยเลือดแล้วก็ความเจ็บปวดอีก ถึงแม้บาดแผลพวกนี้จะเทียบไม่ได้กับความยากลำบากในตอนที่เร่ร่อนขอข้าวชาวบ้านมาประทังชีวิต แต่ไม่ว่าใครก็คงอยากจะให้ตัวเองพบกับความเจ็บปวดน้อยลง ความรู้สึกสบายในเวลานี้ทำให้เธอแทบจะลืมความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นไปแล้ว


สภาพที่อยู่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นเหมือนมีพลังเวทมนตร์ที่ยากจะบรรยายได้อยู่ ต่อให้เป็นที่อยู่ธรรมดาที่สุดก็ยังแตกต่างไปจากเมืองอื่นอย่างมาก


อย่างเช่นตึกหลักนี้ สองด้านของกำแพงล้วนแต่ฉาบปูนหนาๆ เอาไว้ ทุกๆ มุมของหน้าต่างจะเชื่อมต่อแนบสนิทไปกับก้อนอิฐ ถึงแม้ด้านนอกจะมีลมแรงแค่ไหน แต่ภายในห้องก็ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นเพียงแค่เตาผิงอันเดียวไม่มีทางที่จะให้ความอบอุ่นได้พอแน่ ถ้าเป็นที่อยู่ธรรมดาๆ ของเมืองวาเลนเซีย ในเวลาเกรงว่าคงมีเสียงลมแทรกเข้ามาผ่านทางช่องหน้าต่างแล้ว


นอกจากนี้ภายในเตาผิงยังมีการต่อท่อเอาไว้ มันสามารถนำเอาความร้อนส่วนหนึ่งส่งไปยังใต้เตียงในห้องนอนที่อยู่อีกห้องหนึ่งได้ เมื่อถึงกลางดึกตอนที่ไฟในเตาผิงดับลง ภายในเตียงก็จะอุ่นจนนอนได้สบาย


และนี่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่เธอค้นพบเท่านั้น ทุกที่ภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ยังมีรายละเอียดแปลกๆ แบบนี้อยู่อีกมากมาย ยิ่งเธออาศัยอยู่ที่นี่นานเท่าไร เธอก็ยิ่งสัมผัสมันได้มากขึ้น บางครั้งอาซีม่าถึงกับสงสัยขึ้นมาว่าบางทีเมืองแห่งนี้อาจจะไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ผู้คนได้อยู่อาศัย


หากแต่เป็นสวนสนุกที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ความสุขกับผู้คน


ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงมาสร้างอยู่ในดินแดนตะวันตกซึ่งเป็นที่ที่ได้รับกระทบจากเดือนแห่งปีศาจมากที่สุด นั่นน่าจะเป็นเพราะความแตกต่างอย่างสุดขั้ว เห็นได้ชัดว่าความอบอุ่นที่สามารถสัมผัสได้ในพื้นที่ที่อากาศดีตลอดทั้งปีนั้นไม่อาจสู้ความรู้สึกอบอุ่นในตอนที่มีหิมะอันหนาวเหน็บตกลงมาได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในตอนที่มันสำเร็จมันก็ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น


มีชั่วแวบหนึ่งตัวเธอเกือบจะเชื่อความคิดนี้


“น้ำแกงเสร็จแล้ว มากินข้าวเย็นได้แล้ว” ดอร์ริสยกน้ำแกงออกมาจากห้องครัว ก่อนจะมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยๆ ในห้องนั่งเล่น


“…ขอบคุณนะ” อาซีม่าเอาเบาะรองนั่งให้อีกฝ่าย ส่วนตัวเองก็นั่งลงข้างโต๊ะ


กับข้าวสองอย่างกับน้ำแกง ทุกอย่างเน้นเห็ดเป็นหลัก สินค้าขึ้นชื่อของดินแดนตะวันตกที่ถูกเรียกว่าเห็ดเบิร์ดคิสนี้มีทั้งรสสัมผัสที่เต็มปากเต็มคำและรสชาติที่หวานหอม มันไม่จำเป็นต้องมีเครื่องปรุงอะไรมากมาย แค่ใส่เกลือนิดหน่อย ไม่ว่าทำอะไรก็อร่อยทั้งสิ้น แต่เธอเองก็รู้ว่าความจริงนี่เป็นวัตถุดิบทำอาหารที่ถูกที่สุดในเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ราคาของมันพอๆ กับข้าวสาลีเลย


“แหะๆ ในตลาดกำลังขายแบบโละทิ้ง ข้าก็เลยซื้อมากองไว้เต็มห้องเลย” ดอร์ริสพูดอย่างมีความสุข “ต่อให้ฤดูหนาวปีนี้ไม่มีข้าวขาย แต่เห็ดพวกนี้ก็น่าจะพอให้พวกเราใช้ชีวิตไปได้ถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ถึงแม้ถ้าทิ้งเอาไว้นานรสชาติจะไม่อร่อยเหมือนตอนแรก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้อิ่มท้องได้”


อาซีม่าตัดน้ำแกงขึ้นมาคำหนึ่ง ภายใต้แสงสว่างที่ส่องลงมา หยดน้ำมันหยดเล็กๆ ที่ลอยอยู่บนน้ำแกงส่องแสงระยิบระยับออกมา ดูแล้วช่างน่าหลงใหลอย่างมาก ในตอนที่ตักเข้าปาก รสชาติหอมอร่อยกระจายไปเต็มปากเธอทันที จากนั้นน้ำแกงร้อนๆ ก็ไหลลงไปในท้องของเธอ ทำให้ท้องรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา


ยังคงเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกอยากอาหาร


ดื่มไปได้เพียงสองคำ อาซีม่าก็วางชามในมือลง


“ทำไมเหรอ?” ดอร์ริสสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเธอ


“ข้ากำลังคิดว่า…วันนั้นข้าตัดสินใจผิดหรือเปล่า” อาซีม่านิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “เดิมการออกไปจากที่นี่มันน่าจะเป็นการตัดสินใจของข้าเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้ข้ากลับทำให้ทุกคนกับญาติพี่น้องของพวกเขาสูญเสียโอกาสในการใช้ชีวิตที่ดีกว่าไป ถ้าพวกไวท์แพร์ไม่ออกจากมนตร์แห่งสลีปปิ้ง บางทีตอนนี้พวกนางน่าจะได้อยู่ในห้องใหญ่ๆ ที่มีเครื่องทำความร้อนแล้ว ไม่ใช่มาอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ ที่ไม่มีที่ให้แม้กระทั่งพลิกตัวแบบนี้


“ทำไมจู่ๆ เจ้าพูดแบบนี้ล่ะ…” ดอร์ริสงุนงง จากนั้นเธอจึงพูดปลอมว่า “ไม่ว่าห้องจะเล็กแค่ไหน มันก็เป็นแค่ที่ๆ ให้หลบลมหลบฝนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากญาติพี่น้องของพวกนางได้เงินซื้อบ้านก้อนแรก พวกนางก็จะทยอยย้ายออกไปเอง ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีเหมือนที่อยู่ของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง แต่ข้าคิดว่าถ้าอยู่กันสองคนมันก็ดีมากแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนตอนที่เร่ร่อน…”


“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว!” เธอพูดตัดบทอีกฝ่าย น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้างขึ้นมา


อาซีม่าประเมินความสามารถของตัวเองผิด แล้วก็ประเมินสถานการณ์ผิด เมื่อก่อนที่เธอสามารถพาทุกคนไปคุ้ยขยะได้เป็นเวลานานหรือไม่ก็แย่งอาหารกับพวกหมาจรจัด แต่ตอนนี้จะให้เธอลดตัวไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง? ต่อให้พี่น้องคนอื่นๆ ไม่ถือ แต่เธอก็ไม่มีทางยอมให้พวกทิลลีต้องมาหัวเราะเยาะตนเด็ดขาด


เธอไปยื่นสมัครงานหลายงานกับทางสำนักงานเมืองเหมือนอย่างชาวบ้านทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเธอเข้าทำงานเลย กองโยธาธิการกับกองอุตสาหกรรมนั้นรับสมัครแต่ผู้ชายร่างใหญ่ นี่หมายความว่าเธอไม่สามารถไปทำงานในเขตเตาหลอมกับเขตเหมืองที่เป็นงานที่ต่ำที่สุดได้ นอกจากนี้ตำแหน่งส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการคนที่อ่านออกเขียนได้ ถ้างานที่ดีขึ้นมาหน่อย ส่วนใหญ่ก็ต้องการใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสำนักงานเมืองยังแนะนำให้เธอไปเรียนหนังสือเพื่ออนาคตของตัวเธอเอง


ในพวกเธอทั้ง 6 คน มีเพียงดอร์ริสกับไวท์แพร์ที่มีงานทำ ถึงแม้จะเป็นงานที่ไม่มีความมั่นคงก็ตาม ดอร์ริสนั้นได้รับการจ้างจากทางสโมสรแม่มด โดนเธอจะทำการเสกเวทมนตร์ลงไปในแท่งทองแดงที่ลูน่าสร้างขึ้นมา ค่าจ้างของเธอประมาณวันละ 3 – 4 เหรียญทอง ซึ่งพอๆ กับแม่มดที่อาศัยอยู่ในปราสาท แต่เสียดายที่งานนี้ไม่ใช่ว่าจะมีทุกวัน บางอาทิตย์อาจจะไม่มีงานเลยก็ได้


ส่วนไวท์แพร์นั้นไปทำงานอยู่ในร้านตัดเสื้อแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถของเธอ ค่าจ้างจึงแทบจะเหมือนกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป เดือนหนึ่งได้ 15 –  20 เหรียญเงินขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่ทำงาน


ส่วนพี่น้องแม่มดคนอื่นๆ นั้นตกอยู่สภาพที่ไม่ได้ต่างจากตัวเอง


พูดอีกอย่างก็คือภาระค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตพวกเธอทั้ง 6 คนตกอยู่ที่ดอร์ริสกับไวท์แพร์สองคน


และก็ด้วยเหตุนี้ ชีวิตที่ยิ่งสุขสบายกลับยิ่งทำให้อาซีม่ารู้สึกผิด ตอนแรกเธอปฏิเสธน้ำใจของเวนดี้ไป ก็เพราะเธอต้องการพิสูจน์ตัวเองให้คนที่ชื่อไนติงเกลนั้นเห็นว่าเธอไม่ใช่พวกอ่อนแอ ต่อให้ไม่มีมนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปด้วยตัวเองได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกแย่อย่างมาก


ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกหงุดหงิดแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ


แต่ว่าทันทีที่หลุดปากออกไป อาซีม่าก็รู้สึกผิดขึ้นมา “ขอโทษ ข้าไม่ได้…”


“ไม่เป็นไร”ดอร์ริสกุมมือของเธอเอาไว้ “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ที่ข้าอยากจะพูดก็คือทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับความคิดของเจ้า พวกนางถึงได้ตัดสินใจออกมาจากมนตร์แห่งสลีปปิ้ง มันไม่ใช่ความผิดของใครเลย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เจ้าก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เมื่อก่อนเจ้าทำเพื่อพวกเราตั้งเยอะตั้งแยะ หรือว่าตอนนี้จะไม่ยอมให้พวกเราตอบแทนเจ้าหน่อยเหรอ?”


“ตอบแทนอะไรกัน ข้าไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเจ้ามาตอบแทนอะไรข้าซักหน่อย”


“อย่างนั้นพวกเราก็เหมือนกัน ตกลงไหม?” ดอร์ริสกะพริบตา


“เอ่อ…” อาซีม่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป เธอมองดูสีหน้าจริงใจของอีกฝ่าย จากนั้นจู่ๆ ภายในดวงตาของเธอพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมา ความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่ได้เจอมานานนี้เหมือนกับโซ่เหล็กที่มีสนิมขึ้นอยู่เต็มไปหมด ในตอนแรกเธอรู้สึกเหอมือนแสบจมูก แต่เธอก็พยายามกลั้นเอาไว้ ในฐานะที่เป็นผู้นำที่ทุกคนเชื่อมั่น คำพูดเมื่อครู่ของเธอถือว่าเป็นเรื่องผิดพลาด เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองทำผิดพลาดซ้ำสองอีก


ขณะนั้นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา


“ใคร?” เธอรีบหันหน้าไปพร้อมดึงมือกลับ จากนั้นลุกขึ้นยืน คำถามนี้เป็นทั้งการถาม แล้วก็เป็นการปิดบังความรู้สึกของตัวเองด้วย


“ข้าเอง เวนดี้” อีกฝ่ายตอบ “ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงต้องการคุยกับเจ้าหน่อย”


1001 แผ่นหินที่ไม่ธรรมดา

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนถนนที่มีลมและหิมะพัดสลับกัน อาซิม่าก้าวเข้าไปในเขตปราสาทอีกครั้ง


ถึงแม้การเรียกตัวเธอในเวลากลางคืนนั้นจะดูไม่ค่อยปกติเท่าไร แต่ด้วยความเชื่อใจที่มีให้กับเวนดี้ สุดท้ายเธอถึงตัดสินใจมาด้วย โดยให้ดอร์ริสที่อยากจะตามมารออยู่ที่ห้อง


เพราะถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมา…อย่างน้อยเพื่อนเธอก็จะได้ไม่เป็นอะไร


อาซีม่ากระชับคอเสื้อตัวเองตอนที่มายืนอยู่หน้าประตูปราสาท


“หนาวเหรอ?” เวนดี้พูดยิ้มๆ “วางใจได้ เดี๋ยวพอเข้าไปข้างในเจ้าได้ถอดมันแน่นอน”


เดี๋ยวๆ…ถอด?


หรือว่าเรื่องที่ฝ่าบาทอยากจะคุยกับเธอคือ


“เชิญขอรับ ท่านเวนดี้” ในขณะที่เธอกำลังตกตะลึงปนสงสัยอยู่นั้น ประตูหน้าพลันค่อยๆ เปิดออก ทหารยามสองคนทำความเคารพเวนดี้ พร้อมกับทำมือเชิญทั้งสองคนเข้าไป “ฝ่าบาททรงรออยู่ในห้องหนังสือขอรับ ตอนนี้ข้ายังอยู่ในหน้าที่อยู่ ขออภัยที่ไม่ได้นำทางให้นะขอรับ”


“ขอบใจเจ้ามากนะ” เวนดี้พยักหน้า ก่อนจะจูงมืออาซีม่าเดินเข้าไปในปราสาท


พริบตานั้นเอง สายลมอุ่นๆ ได้โอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ ความหนาวเหน็บถูกพัดหายไปจนหมด


นี่คือ…เครื่องทำความร้อนย่างนั้นเหรอ


ถึงแม้เธอจะรู้ว่าในบ้านดีๆ จะมีเครื่องทำความร้อนแบบนี้อยู่ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น แต่เมื่อได้มาสัมผัสมันจริงๆ เธอก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้


แม่บ้านที่เดินไปเดินมาภายในปราสาทแต่งตัวกันสบายๆ เหมือนตอนฤดูร้อน พวกเธอสวมเสื้อตัวเดียวกับกระโปรงยาว ส่วนตรงมุมหนึ่งในห้องครัว แม่มดจำนวนไม่น้อยไม่ได้ใส่รองเท้า พวกเธอวิ่งไปวิ่งมาบนพรมด้วยเท้าเปล่าๆ เมื่อเทียบกับตอนฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ตอนนี้ดูจะเหมือนฤดูร้อนมากกว่า นี่ทำให้เธอสงสัยในการคาดเดาของตัวเองอันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง


เขาสร้างเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมาเพื่อให้คนสนุกกับมันจริงๆ ด้วย!


ส่วนเวนดี้ที่อยู่ข้างๆ ได้ถอดเสื้อคลุมออก พร้อมทั้งหันมาเธอตาปริบๆ “ไม่ถอดเหรอ เดี๋ยวเหงื่อออกนะ แล้วพอออกไปเจอลมเย็นข้างนอก เจ้าอาจจะเป็นไข้เย็นได้นะ”


“ข้า ข้ารู้แล้ว”


อาซีม่าถอดเสื้อออกอย่างเก้ๆ กังๆ เธอคอยเหลือบมองดูหน้าอกของอีกฝ่าย ถึงแม้หน้าอกเธอจะไม่ถือว่าเล็ก แต่ก็ยังไม่อาจเทียบของเวนดี้ได้เลย


ถ้าฝ่าบาทคิดจะทำอะไรแบบนั้นจริงๆ …ดูยังไงก็ไม่น่าจะมาหาเธอหรือเปล่า?


เธอเดินตามเวนดี้ขึ้นไปยังชั้นสามของปราสาทพร้อมกับความสงสัยในใจ จากนั้นจึงเข้าไปในห้องหนังสือของราชา


“ฝ่าบาท อาซีม่ามาแล้วเพคะ”


“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”


อาซีม่าย่อตัวลงพร้อมกับใช้หางตากวาดมองดูคนที่อยู่ในห้อง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผมสีเทาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ


คนที่อยู่ตรงข้ามเธอคือราชาของเกรย์คาสเซิล เธอคิดในใจ เมื่อก่อนนี้ตอนที่เธอยังไม่ออกจากมนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอเคยเห็นเขาจากระยะไกลๆ ในงานเลี้ยงเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาในระยะใกล้ๆ ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเธอคือราชาผู้นี้ดูหนุ่มอย่างมาก


อายุยังไม่ถึง 30 ปีก็สามารถเอาชนะพี่น้องของตัวเอง เอาชนะศาสนจักร แล้วก็รวบรวมอาณาจักรเข้ามาอยู่ในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จ นี่เป็นสิ่งที่คนอายุเท่าเขาสามารถทำได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ?


เธอสามารถเถียงกับทิลลีอย่างเปิดเผยได้ แต่กลับไม่สามารถใช่ท่าทีอย่างเดียวกันนั้นกับราชาได้ เพราะทันทีที่ออกจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมนตร์แห่งสลีปปิ้งอีก เธอไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย เพราะทุกที่นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของชายผู้นี้ นอกเสียจากเธอจะออกไปจากเกรย์คาสเซิล ถึงตัวเธอจะไม่เกรงกลัวอำนาจของเขา แต่เธอก็ไม่อาจคิดแทนพวกดอร์ริสได้


“ตามสบาย” เสียงของราชาฟังดูนุ่มนวลอย่างมาก “ความจริงข้าอยากจะเจอเจ้ามานานแล้ว ที่เรียกเจ้ามาในเวลากลางคืนเช่นนี้ก็ออกจะกะทันหันไปเสียหน่อย แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถของเจ้ามีความสำคัญสำหรับอาณาจักรอย่างมาก ในเมื่อเวลามาถึงแล้ว ข้าก็ไม่อยากจะรอต่อไปแม้แต่คืนเดียว”


“….” อาซีม่าเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ “พระองค์ทรงหมายความว่า พระองค์จะจ้างหม่อมฉันเหรอเพคะ?”


ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนจะเป็นการจ้างแบบพิเศษด้วย สำหรับงานที่ต้องใช้ความสามารถแล้ว สโมสรแม่มดมักจะจ่ายค่าจ้างให้ค่อนข้างสูง


แต่เวลาที่เขาว่า…มันหมายความว่ายังไง?


“ถูกต้อง สัญญากำหนดระยะเวลา ค่าตอบแทนดีอย่างมาก” โรแลนด์ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ค่าจ้างเดือนละ 2 เหรียญทองจนกว่าภารกิจของเจ้าจะเสร็จสิ้น หลังจบงานแล้วจะมีรางวัลให้อีก 50 เหรียญทอง เจ้าคิดว่าไง?”


อาซีม่าใจเต้นขึ้นมาทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินรางวัลนั่น เพียงแค่ค่าตอบแทนเดือนละ 2 เหรียญทองก็เท่ากับเงินช่วยเหลือที่มนตร์แห่งสลีปปิ้งให้แล้ว ถ้ามีรายได้ตรงนี้ เธอไม่เพียงแต่จะเลี้ยงดูตัวเองได้ แต่เธอยังช่วยเพื่อนๆ ของเธอได้ด้วย! ส่วนเงินรางวัล 50 เหรียญทองนั้น ไม่ว่าจะเอาไว้เป็นทุนสำหรับออกไปจากเมือง หรือว่าเอาให้พวกไวท์แพร์ที่เจอญาติของตัวเองแล้วไปซื้อบ้านที่ใหญ่หน่อยก็ล้วนแต่เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”


งานนี้มาได้ทันเวลาจริงๆ!


แต่ว่าการใช้ชีวิตเร่ร่อนเป็นเวลานานทำให้เธอรู้ดีว่าโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ การใช้ผลประโยชน์มาหลอกล่อให้ตกหลุมพรางนั้นเป็นลูกไม้ที่พวกขุนนางชอบใช้กัน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นราชาของอาณาจักร เธอก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน “จริงอยู่ที่เงินตอบแทนดีอย่างมาก แต่หม่อมฉันต้องรู้ก่อนว่าพระองค์ทรงต้องการให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันถึงจะให้คำตอบได้เพคะ”


ความสามารถของเธอมีประโยชน์อย่างมากเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นการหาแหล่งน้ำ รังสัตว์หรือผลไม้ก็ล้วนแต่ทำได้ทั้งสิ้น แต่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เหมือนจะไม่ได้ขาดแคลนของพวกนี้เลย


“ง่ายมาก ช่วยข้าหาหินชนิดหนึ่ง” โรแลน์หยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะเอามันวางบนโต๊ะ “สำหรับเจ้าแล้วไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร”


“หม่อมฉันขอดูมันหน่อยได้ไหมเพคะ?”


“แน่นอน”


อาซีม่าเดินเข้าไปหยิบสิ่งที่อยู่ในกล่องขึ้นมาดู มันมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ เป็นแผ่นบางๆ ผิวดูแวววาวและมีความเย็น เห็นได้ชัดว่ามันถูกขัดมาแล้ว แทนที่จะบอกว่ามันเป็นหิน ควรจะบอกว่ามันเหมือนเหรียญชนิดพิเศษมากกว่า อีกทั้งจากสีดำๆ เทาๆ ของมัน ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่ได้มีความแวววาวอะไรเลย เธอนึกไม่ออกเลยว่าทำไมฝ่าบาทถึงสนใจเจ้าสิ่งนี้


เธอลังเลเล็กน้อย “ถ้ามันเป็นแค่หินล่ะก็ เกรงว่าหม่อมฉันคงยากที่จะช่วยพระองค์หาแหล่งกำเนิดของมันได้เพคะ ตอนที่อยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เคยมีสมาคมหอการค้ามาวานหม่อมฉันให้ช่วยหาแหล่งอัญมนี แต่พลังของหม่อมฉันกลับพาพวกเขาไปยังหมู่เกาะเซียร์ริ่งเฟลม ที่นั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากทรายร้อนๆ ทางมนตร์แห่งสลีปปิ้งก็เลยต้องชดใช้ค่าออกทะเลให้กับพวกเขาเพคะ”


“ข้าเดาว่าพวกนั้นน่าจะเป็นบ็อกไซต์ เมื่อดูจากส่วนประกอบแล้ว มันก็ถือว่าเป็นแหล่งอัญมณีนั่นแหละ” โรแลนด์พูดยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนเจ้าจะช่วยข้าหาสิ่งที่ข้าต้องการได้หรือไม่นั้น เดี๋ยวเราลองทดสอบดูก็รู้”


หินสีดำกับอัญมณีเป็นของแบบเดียวกันเหรอ? อาซีม่าระงับความสงสัยภายในใจเอาไว้ จากนั้นเธอก็ใช้พลังกับหินที่อยู่ในมือ ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวดูแสบตาพลันส่องออกมาจากมือของเธอ! ความสว่างของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าไฟในปราสาทเลย!


ส่วนในโต๊ะหนังสือของราชาก็มีแสงสีเขียวแบบเดียวกันสว่างขึ้นมา


เธอตกตะลึงไปทันที


มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่มองเห็นลำแสงอันนี้ มันไม่เพียงแต่จะชี้ให็เห็นถึงทิศทางของแหล่งกำเนิด แต่มันยังสามารถชี้ให้เห็นถึงระดับความสมบูรณ์ของแหล่งกำเนิดด้วย ส่วนใหญ่มันมักจะเป็นแสงเหมือนหิ่งห้อยที่กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อเอาลำแสงมาบรรจบกันแล้ว เธอก็จะสามารถตามหาลำแสงจุดต่อไปได้


การที่อีกฝ่ายเอาแผ่นหินอีกส่วนหนึ่งแอบเอาไว้ในโต๊ะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะนี่เป็นการทดสอบง่ายๆ เพื่อยืนยันความสามารถของเธอเท่านั้นว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้อาซีม่ารู้สึกประหลาดใจก็คือระดับความเข้มของลำแสง นี่หมายความว่าแผ่นหินที่ดูไร้ค่าที่อยู่ในมือเธอชิ้นนี้กับแผ่นหินที่แอบอยู่ในโต๊ะนั้นเป็นหินในระดับแหล่งกำเนิด!


วัตถุระดับแหล่งกำเนิดที่มีขนาดเล็กแบบนี้ เธอเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก!


แต่…มันจะเป็นไปได้ยังไง?


ตอนที่ยังไม่ได้ไปอยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เธอเคยบังเอิญเก็บเหรียญทองได้เหรียญหนึ่ง ตอนนี้เธอเคยคิดจะใช้ความสามารถในการหาเงินที่คนอื่นเผลอทำตกไว้มากกว่านี้ ถึงแม้สุดท้ายความคิดนี้มันจะไม่กลายเป็นจริงก็ตาม เพราะเงินที่ไม่มีเจ้าของนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ส่วนใหญ่ลำแสงมักจะชี้ไปที่กระเป๋าของคนอื่นๆ ต่อให้รู้ว่ามันมาจากตรงนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่นี่ก็ทำให้เธอได้รู้ว่าเงินเหล่านี้มาจากไหน


ตอนนั้นปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงที่สุดนั้นมาจากคลังเก็บเงินใต้ดินในปราสาทของผู้ปกครองคนหนึ่ง ซึ่งปฏิกิริยาของลำแสงสีเขียวอันนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าลำแสงในตอนนั้นเลย


หรือว่า…ระดับความหายากของเจ้าสิ่งนี้จะมากกว่าทองหลายร้อยเท่า?


1002 แข่งกันเวลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปครู่ใหญ่ อาซีม่าจึงสูดหายใจขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปยังโต๊ะหนังสือของโรแลนด์ “ในลิ้นชักของพระองค์ น่าจะมีของที่เป็นวัสดุแบบเดียวกันอยู่เพคะ”


“ถูกต้อง” อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเอากล่องอีกใบมาวางไว้บนโต๊ะ “แต่ข้ารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ทำไมเจ้าถึงบอกว่ามันเป็น ‘วัสดุแบบเดียวกัน’ แทนที่จะบอกว่าของที่ ‘เหมือนกัน’?”


“เพราะว่า…ปฏิกิริยาของทั้งสองมันไม่เหมือนกันเพคะ ถึงแม้จะเป็นระดับแหล่งกำเนิดเหมือนกัน แต่อันแรกนั้นมีปฏิกิริยาที่รุนแรงกว่า” อาซีม่าบรรยายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมา


“อย่างนั้นเจ้าสามารถหาของที่เป็นวัสดุแบบเดียวกันชิ้นที่สามได้ไหม?”


“ขอหม่อมฉันลองดูก่อนนะเพคะ”


เธอจมลงไปในความคิดพร้อมพยายามรับรู้ถึงลำแสงสีเขียวที่อยู่ในมืออีกครั้ง เนื่องจากเป้าหมายก่อนหน้านี้อยู่ใกล้เกินไป เธอจึงมองข้ามลำแสงนำทางเส้นอื่นๆ หลังรวบรวมสมาธิอีกครั้ง อาซีม่าก็มองเห็นลำแสงเส้นยาวอีก 3 เส้น พวกมันชี้ไปยังทิศตะวันออก ตะวันตกและทิศเหนือ นี่หมายความว่าตอนนี้มีแหล่งกำเนิดอย่างน้อย 3 แห่งที่ใหญ่กว่าของที่เธอถืออยู่ในมือ แค่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจก็คือถึงแม้เส้นนำทางเหล่านั้นจะดูแล้วใหญ่อย่างมาก แต่มันกลับประกอบขึ้นจากลำแสงเส้นเล็กๆ จางๆ จำนวนนับไม่ถ้วน


หลังจากบอกให้โรแลนด์ฟังถึงสิ่งที่เธอเห็น อีกเห็นก็พยักหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “ก็หมายความว่าก่อนที่จะไปถึงแหล่งกำเนิดของมัน เจ้าก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่ามันอยู่ไกลเท่าไร”


“ใช่เพคะ”


“อย่างนั้นไปทางตะวันออกก่อน แล้วค่อยไปทางเหนือ” โรแลนด์ตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว “ทางตะวันตกมันต้องเข้าไปในดินแดนรกร้าง ซึ่งจะอันตรายมากเกินไป ถ้าไปจนถึงทะเลแล้วยังไม่เจอแหล่งกำเนิดก็ค่อยเปลี่ยนเส้นทางไปทางเหนือก็ได้”


อาซีม่าลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ถามสิ่งที่เธอสงสัยออกมา “ฝ่าบาท เจ้าสิ่งนี้มัน…มีค่ามากกว่าทองอีกเหรอเพคะ?”


เธอไม่ใช่แม่มดสายต่อสู้ ความสามารถในการป้องกันตัวเองเรียกได้ว่าแทบจะไม่มี ถ้าเจ้าสิ่งนี้มันมีค่าขนาดนั้นจริงๆ ทันทีที่ข้อมูลนี้รั่วไหลออกไป ไม่เพียงเธออาจจะทำภารกิจไม่สำเร็จ แต่เธออาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้กลางทางด้วย


โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นถึงความกังวลของเธอ เขาพูดยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “ความจริงมันทั้งล้ำค่าแล้วก็ไร้ค่า สำหรับคนที่ไม่เข้าใจมัน มันก็เป็นแค่หินธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีทั้งความสวยงามและประโยชน์ใดๆ เลย แต่สำหรับข้าแล้ว มันมีค่าเหนือกว่าทองคำเสียอีก อีกทั้งมันยังเป็นกุญแจสำคัญในการเริ่มต้นโครงการเรสเพลนเดนท์ เรเดียชั่นด้วย


เรสเพลนเดนท์ เรเดียชั่น? มันคืออะไร? อาซีม่าพบว่าตัวเองเหมือนจะฟังเข้าไป แต่พอคิดๆ ดูอย่างละเอียดเหมือนว่าตัวเองไม่เข้าใจอะไรเลย


“แต่เมื่อคิดถึงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าไปหามันคนเดียวแน่นอน” โรแลนด์ชี้ไปยังทหารที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่ง “เขาชื่อฌอน เขาจะเป็นคนปกป้องเจ้าในการเดินทางครั้งนี้เอง นอกจากนี้ยังมีวิศวกรทหารจากกองทัพที่หนึ่งที่จะไปกับเจ้าด้วย ภารกิจครั้งนี้คือตามหาแหล่งกำเนิดให้เจอ ดังนั้นทุกเรื่องที่ต้องการความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ในดินแดนอื่นๆ เจ้าสามารถบอกให้ฌอนไปจัดการให้ได้”


“พระองค์ทรงหมายความว่า…ผู้ปกครองพวกนั้นจะทำงานให้หม่อมฉันเหรอเพคะ?” อาซีม่าพูดอย่างตกใจ


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” โรแลนด์ยักไหล่ “พวกเขาไม่ใช่ผู้ปกครองเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว การทำตามคำสั่งจากส่วนกลางเป็นหน้าที่ของพวกเขาในตอนนี้” เขาชะงักไปเล็กน้อย “เนื่องจากการตามหาแหล่งกำเนิดอาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นเงินค่าจ้างข้าจะจ่ายให้เจ้าก่อนล่วงหน้า 30% ส่วนที่เหลือจะจ่ายให้เดือนละครั้ง นี่คือทั้งหมดที่อยู่ในสัญญา แล้วคำตอบของเจ้าล่ะ ว่ายังไง?”


อาซีม่าคิดเล็กน้อย “ฝ่าบาท พระองค์ทรงจ่ายเงินค่าจ้างพวกนี้ให้ดอร์ริสได้ไหมเพคะ?”


“ตามหลักแล้วไม่มีปัญหา” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “ถ้าเจ้าอยากจะให้ทำแบบนั้นล่ะก็นะ”


“อย่างนั้นหม่อมฉันรับงานนี้เพคะ” เธอโค้งคำนับเขา “พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันพร้อมจะออกเดินทางเพคะ”


ถึงแม้จะมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อย….เธอก็ไม่ต้องเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเธออีก นอกจากนี้ภารกิจนี้ก็ดูไม่มีอะไรที่แปลกๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีความช่วยเหลือของกองทัพที่หนึ่งล่ะก็ ช้าเร็วเธอก็จะต้องหาแหล่งกำเนิดนั่นเจอแน่ แล้วเมื่อรวมกับเงินรางวัล 50 เหรียญ ชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนๆ เธอก็จะดีขึ้นกว่าเดิม เธอทนที่จะบอกข่าวดีนี้กับดอร์ริสไม่ไหวแล้ว


“อย่างนั้นก็ดี” โรแลนด์ลุกขึ้นมา “แล้วข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้านะ”


…..


หลังเวนดี้ส่งอาซีม่าออกไปแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินไปที่หน้าต่าง สายตามองดูภาพเมืองในยามค่ำคืนพร้อมกับถอนหายใจออกมา


“ในที่สุดก็เริ่มแล้วสินะ”


“สร้างพระอาทิตย์น่ะเหรอเพคะ?” ไนติงเกลปรากฎตัวออกมาจากหมอกมายา “หม่อมฉันรู้สึกว่าทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ พระองค์จะดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษนะเพคะ…”


“เพราะมันเป็นเหมือนการไล่ตามพระอาทิตย์น่ะสิ” โรแลนด์อุทานออกมา “นับจากนี้เป็นต้นไป มนุษย์จะก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ จากที่เคยต้องเอาแต่แหงนหน้ามองพระอาทิตย์กลายเป็นการสร้างพระอาทิตย์ขึ้นมาเอง สำหรับข้าแล้ว เกรงว่าคงไม่มีเรื่องไหนที่โรแมนติกไปมากกว่าเรื่องนี้แล้ว” เขาหมุนตัวกลับมา ก่อนจะชี้ไปบนหัวของตัวเอง “เจ้ามองเห็นเครื่องหมายตกใจสีเหลืองบนหัวข้าไหม?”


ไนติงเกลส่ายหัวยิ้มๆ “หม่อมฉันเห็นเพียงคนเพ้อเจ้อ…ที่พูดเองเออเองอยู่คนเดียวเพคะ”


“แค่กๆ…” โรแลนด์เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง “เฮ้ พูดตรงๆ แบบนี้มันจะดีเหรอ?”


“หม่อมฉันแค่ไม่อยากพูดโกหกต่อหน้าพระองค์เพคะ” อีกฝ่ายหลบสายตา


โรแลนด์ถลึงตาใส่เธออย่างโมโหปนขำ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าไนติงเกลพูดกึ่งๆ ล้อเล่นกับเขา แต่เขาก็รู้ว่าตอนที่มันไม่เสร็จเป็นรูปเป็นร่างออกมา ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเขาบ้าทั้งนั้น


กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่


ถ้าไม่มีแม่มด เขาคงไม่มีทางคิดจะทำมันออกมาแน่ ทั้งทรัพยากร แรงงานและเงินที่ใช้ในโครงการแมตฮัตตันในโลกสมัยใหม่นั้นมากจนประเทศใหญ่ๆ บางประเทศอาจจะรับไม่ไหว การจะสร้างมันขึ้นมาจากศูนย์นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับคนบ้าที่พูดเพ้อเจ้อเลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแม่มด พระอาทิตย์ก็ไม่ได้อยู่ไกลเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้


ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เขาต้องลงทุนก็มีน้อยมาก หน้าที่หลักๆ ตกอยู่ในความรับผิดชอบของแม่มดแค่ไม่กี่คน การจับระเบิดนิวเคลียร์ด้วยมือเปล่าๆ อาจจะเป็นเรื่องตลกในอีกโลกหนึ่ง แต่ที่นี่มันมีโอกาสที่จะทำได้จริงๆ


เนื่องจากเป็นแผนการที่ถูกศึกษาเอาไว้ก่อนแล้ว มันจึงสามารถดำเนินงานไปพร้อมๆ กับโครงการอุตสาหกรรมใหญ่ๆ โครงการอื่นได้ ถึงแม้จะล้มเหลวมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก


ความจริงแล้ว นับตั้งแต่วันที่ลูเซียบรรลุนิติภาวะ เขาก็เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้แล้ว ในตอนที่ทำการเก็บรวบรวมธาตุต่างๆ มาเทียบกับบนตารางธาตุฉบับสมบูรณ์ เขาสั่งให้เคโมทำการเลือกเอาตัวอย่างตั้งต้นของยูเรเนียมออกมาจากธาตุเหล่านั้น แล้วเอามาเก็บไว้


ยูเรเนียมนั้นเป็นธาตุที่มีอยู่เยอะแยะมากมายในธรรมชาติ นอกจากเหมืองยูเรเนียมแล้ว ทั้งหินแกรนิต ถ่านหิน ไปจนถึงน้ำทะเลก็ล้วนแต่มียูเรเนียมอยู่ทั้งสิ้น เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้ การจะเก็บรวบรวมมันออกมานั้นเรียกได้ว่ามีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่ความสามารถของลูเซียนั้นสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดตรงนี้ไปได้ ขอเพียงมีตัวอย่าง เธอก็สามารถดึงเอาธาตุยูเรเนียมจำนวนน้อยนิดเหล่านั้นออกมารวมกันได้


ที่เขาพูดจาฟังดูฮึกเหิมในห้องประชุมนั้นก็เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของทุกคน แต่มีคำพูดบางคำที่เขาเก็บซ่อนมันเอาไว้ในใจ ความโรแมนติกในการสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมานั้นเป็นเพียงแค่เหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากไม่ถึงช่วงวลาชี้เป็นชี้ตายจริงๆ เขาก็คงยังไม่ตัดสินใจที่จะลงมือแน่ แต่ในข้อมูลที่ปีศาจระดับสูงบอกว่า เขาคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายแล้ว


จุดสิ้นสุดของพลังเวทมนตร์อยู่ที่ไหน


เขาไม่รู้เลย


สำหรับพลังที่มันไม่สมเหตุสมผลอันนี้ เขาไม่กล้าไปดูถูกมันแม้แต่นิดเดียว


ความเร็วในความก้าวหน้าของปีศาจนั้นน่าตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการยกระดับหลังจากที่แย่งเอาชิ้นส่วนสืบทอดมาได้แล้ว


คำแนะนำเรื่องการป้องกันของอกาธานั้นฟังดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่มันมีช่องโหว่ที่สำคัญอยู่ นั่นคือการเอาเวลาไปให้อีกฝ่ายเป็นคนจัดการ ที่สมาพันธ์พ่ายแพ้ ก็เป็นเพราะพวกเธอมองข้ามเรื่องนี้ไป


ถ้าในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สาม ปีศาจกับสัตว์ประหลาดสู้กันรู้แพ้รู้ชนะ จากนั้นก็ได้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น พวกมันจะกลายสภาพเป็นยังไง?


ในเมื่อศัตรูสามารถใช้วิธีอันน่าเหลือเชื่ออย่างเวทมนตร์มาทำให้ตัวมันแข็งแกร่งขึ้นได้ อยางนั้นเขาก็มีแต่ต้องใช้อาวุธอันทรงพลังอย่างหนึ่งมาเป็นไพ่ตายเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเท่านั้น


1003 บันไดอันใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำไมต้องทำหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นด้วยล่ะเพคะ” จู่ๆ ไนติงเกลก็ยิ้มขึ้นมา “ความจริงไม่ว่าพระองค์ตรัสอะไร หม่อมฉันก็เชื่อทั้งนั้นแหละเพคะ แต่ว่าพระองค์ก็ต้องให้เวลาคนอื่นๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าพระองค์ไปบอกพวกเขาว่าของเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือนี่สามารถทำให้ปีศาจนับพันนับหมื่นกลายเป็นผุยผงได้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะนึกภาพมันออกหรอกเพคะ โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาได้เห็นสิ่งที่ลูเซียสกัดออกมา”


“จริงเหรอ?” โรแลนด์ลูบหน้าของตัวเอง น่าจะเป็นเพราะเขากังวลถึงเรื่องการแข่งกับเวลาของมนุษย์เมื่อต้องเจอกับช่วงเวลาที่สำคัญ ก็เลยทำให้หน้าเขาคร่ำเคร่งขึ้นมา “แต่ว่าเจ้าก็พูดถูกนะ เพราะว่าถ้าไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง แม้แต่ข้าก็คงยากที่จะเชื่อเหมือนกัน”


เขาหมุนตัว แล้วถือ ‘แผ่นหิน’ ที่ดูไร้ค่านั้นเอาไว้ในมือ


นี่คือจุดเริ่มต้นของการไล่ตามพระอาทิตย์ —- ยูเรเนียมบริสุทธิ์


แค่คำพูดไม่กี่คำนั้นยากที่จะทำให้คนเชื่อมโยงมันเข้ากับ ‘สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับพระอาทิตย์’ ได้ ผิวสีขาวเงินกลายเป็นสีหม่นๆ เพราะปฏิกิริยาออกซิเดชั่น สัมผัสเย็นๆ ของมันไม่ว่าดูยังไงก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับแสงและความร้อนเลย แต่โรแลนด์รู้ว่าขอเพียงมีเงื่อนไขที่เหมาะสม มันก็จะเป็นสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้


เพื่อที่จะเก็บรวบรวมมัน หลังจบการประชุมในวันนั้น ลูเซียกับสเปียร์ก็วุ่นอยู่ที่เหมืองทิศเหนือมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว พวกเธอทำการสกัดเอายูเรเนียมออกมาจากหินแกรนิตที่อยู่รอบๆ เหมือง ซึ่งสเปียร์ก็บ่นกับเรื่องนี้ยกใหญ่ เพราะเธอคิดว่าการที่ให้เธอไปนั่งคุ้ยหินไปมานั้นเป็นเรื่องที่ทำให้เธอเสื่อมเสียเกียรติ หลังจากนั้นเธอจึงใช้เหตุผลนี้มาอ้างกับทางสำนักงานเมืองเพื่อขอเจ้าหน้าที่ไปอีก 5 คน


ผลที่ได้ออกมาคือแผ่นหินเล็กๆ แค่นี้


เมื่อเทียบกับแท่งยูเรเนียมที่เป็นตัวอย่างในตอนแรกแล้ว แผ่นยูเรเนียมที่มีขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือนี้มีความบริสุทธิ์มากกว่า 90% ลูเซียได้แบ่งมันออกเป็นสองชั้น โดยชั้นผิวด้านหนึ่งนั้นเป็นยูเรเนียม-235 ส่วนที่เหลือคือยูเรเนียม-238 สัดส่วนคือ 1:99 ซึ่งนี่ก็เป็นสัดส่วนตามธรรมชาติของยูเรเนียมทั้งสอง


พูดอีกอย่างคือธาตุยูเรเนียมที่มีความบางมากกว่าเส้นผมที่อยู่บนผิวของแผ่นหินนั้นอยู่ในระดับที่ ‘เป็นอาวุธ’ ได้แล้ว


ในฐานะที่เป็นนิวไคลด์ที่เกือบจะเสถียร ไม่ว่าจะเป็นยูเรเนียม-238 ที่มีสัดส่วนเป็นจำนวนมาก แต่กลับใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ หรือว่ายูเรเนียม-235 ที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้นั้นก็ล้วนแต่มีครึ่งชีวิตที่ยืนยาวเป็นพันล้านปี ด้วยช่วงเวลาการสลายตัวที่ยาวนานเช่นนี้ บวกกับรังสีแอลฟาซึ่งเป็นรังสีหลักที่ถูกปล่อยออกมาในตอนที่มันสลายตัวและมีความสามารถในการทะลุทะลวงที่ต่ำจนไม่สามารถทะลุผิวหนังได้ ทำให้ถึงแม้จะถือมันเอาไว้ในมือก็ไม่มีทางที่จะได้รับอันตรายใดๆ จนถึงแก่ชีวิต


แต่ก็ไม่ใช่ว่าการสัมผัสยูเรเนียมที่มีความเข้มข้นสูงจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์


เพราะว่าในรังสีแอลฟาบางส่วนที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของยูเรเนียมอาจจะมีพิษอยู่ หากมือเราปนเปื้อนแล้วไปหยิบของกินเข้าปาก แบบนั้นคงมีปัญหาแน่


ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงให้โซโรยาทำฟิล์มใส่เคลือบ ‘แผ่นหิน’ เอาไว้ชั้นหนึ่ง นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้มันเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นไปมากกว่าเดิมแล้ว มันยังช่วยป้องกันพิษของรังสีแอลฟาได้ด้วย


เพราะว่าคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ติดนิสัยไม่ชอบล้างมือ


เขามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเอง ก่อนจะรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา ยูเรเนียมที่มีพลังมันมหาศาลแฝงอยู่ในตัวแผ่นนี้กำลังนอนนิ่งอยู่ในมือของเขา มันดูแล้วไม่ได้มีพิษมีภัยแม้แต่น้อยเลย แทบจะไม่ต่างอะไรกับเหล็กทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ นี่จึงไม่แปลกที่พวกพาซาร์จะรู้สึกยากที่จะเชื่อคำพูดของเขาได้


ในเมื่อตอนนี้เดินมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างนั้นงานแรกที่ต้องทำก็คือรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในแผน ‘เรสเพลนเดนท์ เรเดียชั่น’


อาซีม่าสามารถใช้ยูเรเนียมความเข้มข้นสูงในการหาตัวอย่างที่มีระดับความเข้มข้นที่ต่างกันอย่างมากได้ อย่างน้อยนี่ก็ช่วยยืนยันได้มันสามารถใช้ในการสำรวจเหมืองได้ ถึงแม้การที่ลูเซียไปสกัดเอายูเรเนียมมาจากในเหมืองวันแล้ววันเล่าจะสามารถรวบรวมยูเรเนียม-235 มาได้ปริมาณมากพอเช่นเดียวกัน แต่การทำแบบนั้นมันจะทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ไม่สามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้


เพราะในอุตสาหกรรมการหลอมโลหะระดับสูง ลูเซียคือคนที่ไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยยูเรเนียมเกรดที่ใช้ทำอาวุธเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถทำระเบิดที่ใช้งานจริงได้ ถ้าอยากจะทำให้มันกลายเป็นระเบิดกัมมันตรังสี โรแลนด์ยังจำเป็นต้องใช้ธาตุอีกอย่างหนึ่งที่หาได้ยาก ปกติมันมักจะเกิดอยู่ในเหมืองยูเรเนียม แต่ปริมาณของมันมีเพียงแค่ 1 ใน 10 ล้านของยูเรเนียมเท่านั้น ต่อให้มีลูเซียคอยช่วย เขาก็จำเป็นต้องใช้แร่ดิบจำนวนมหาศาลในการแก้ไขปัญหานี้


เอาเป็นว่า หลังจากนี้คงต้องพึ่งอาซีม่าแล้ว


โรแลนด์เก็บแผ่นยูเรเนียมลงไปในกล่อง ก่อนจะใส่มันเข้าในลิ้นชักพร้อมกับล็อกลิ้นชักเอาไว้ จากนั้นเขาหยิบเอาแปลนออกแบบเครื่องยนตร์สันดาปภายในที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยออกมากางไว้บนโต๊ะ


ถึงแม้ในค่ำคืนที่มีหิมะตกเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จะพากันเข้านอนไปแล้ว แต่สำหรับเขาแล้ว เขายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ


“คืนนี้จะนอนดึกอีกแล้วเหรอเพคะ?” ไนติงเกลเอียงหน้าถามเขา


เขาขยับคอตัวเอง ก่อนจะหยิบเอาปากกาขนนกขึ้นมา “ทุกคนลำบากกันมามากกว่าจะมองเห็นความหวัง ข้าไม่อาจทำให้ทุกสิ่งพังลงเพียงเพราะความขี้เกียจของตัวเองได้ เพื่อที่จะได้มีชื่อบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์ นอนน้อยหน่อยก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร”


“จริงเหรอเพคะ…แต่ทำไมหม่อมฉันฟังดูแล้วเหมือนจะมีคำพูดส่วนหนึ่งที่ไม่ตรงกับใจของพระองค์นะเพคะ”


“แค่กๆๆ…..ไหนบอกว่าข้าพูดอะไรเจ้าก็เชื่อทั้งหมดไง”


“แต่พระองค์เป็นคนสั่งหม่อมฉันเองว่าให้ใช้พลังมาดูความคิดที่แท้จริงของพระองค์นะเพคะ” ไนติงเกลแลบลิ้นใส่


“เอาล่ะๆ ข้าอยากทำแบบนี้เอง พอใจหรือยัง?” เขาพูดอย่างจนปัญญา “ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่อยากจะแพ้ปีศาจ แล้วก็ยังมีเจตจำนงของพระเจ้าอะไรนั้นอีก”


“อื้อ ครั้งนี่ตรัสออกมาจากใจจริง อย่างนั้นหม่อมฉันชงชาให้พระองค์นะเพคะ แล้วก็จะไปเอาของว่างมาด้วย” ไนติงเกลยิ้มเล็กน้อย “บาร์บีคิว เห็ดอบน้ำผึ้ง กุ้งทอดกระเทียม แล้วก็เครื่องดื่มยุ่งเหยิง ให้พ่อครัวเตรียมมาอย่างละที่นะเพคะ?”


เฮ้ นี่เจ้าอยากจะกินเองใช่ไหม!


โรแลนด์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “เอาที่เจ้าชอบแล้วกัน”


“เพคะ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์


…..


วันถัดมาอาซีม่าพกเอาแผ่นยูเรเนียมความเข้มข้นสูงออกเดินทางไปบนเส้นทางแห่งการตามหาแหล่งกำเนิดของมัน ส่วนโรแลนด์เองก็ได้ข่าวดีอีกข่าวจากทางสำนักงานเมือง


โครงการหอกลั่นน้ำมันที่เป็นความร่วมมือระหว่างกองโยธาธิการกับกองอุตสาหกรรมเคมีได้สร้างหอกลั่นหมายเลขหนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว


โรแลนด์ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมัน


หอกลั่นแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ตรงแม่น้ำแดง ตัวหอนั้นสูงเกือบ 25 เมตร อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของการรรวมกันระหว่างเทคโนโลยีใหม่กับแนวคิดใหม่ ตัวหอที่เป็นเหล็กนั้นไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษ มีเพียงแค่ตรงกลางที่ถูกแบ่งออกเป็นชั้นเพื่อเอาไว้แยกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามจุดเดือดที่แตกต่างกัน ส่วนการวัดอุณภูมิอย่างละเอียดกับการควบคุมปริมาณการระเหยนั้นทำเสร็จเรียบร้อยภายในห้องทดลอง บวกกับเทคนิคการเชื่อมโลหะของอันนาทำให้สามารถทำการกลั่นน้ำมันอย่างง่ายๆ ได้


ความจริงแล้ว….คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ทำการกลั่นออกมามีความสัมพันธ์กับตัวหอกลั่นน้อยมาก น้อยถึงขนาดที่ว่าบางพื้นที่สามารถเอาอิฐมาก่อเป็นเตา แล้วก็สามารถกลั่นน้ำมันออกมาได้เลย นี่ทำให้เขาคิดถึงหนังสือภูมิศาสตร์ในสมัยเด็กๆ ของตัวเองขึ้นมา บนหนังสือเขียนว่าประเทศของเขานั้นมีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแร่หรือทรัพยากรอะไรก็มีทั้งหมด แต่พอโตมาเขาถึงได้รู้ว่า ที่บอกว่ามีมันก็มีอยู่หรอก…แต่คุณภาพของมันกลับไม่ได้ดีเท่าไร จนมักจะสร้างปัญหาให้โรงกลั่นอยู่บ่อยๆ


เขาพบว่าแหล่งทรัพยากรพวกนี้มันเหมือนกับหน้าตาคนเราที่แตกต่างกันตั้งแต่เกิด ความแตกต่างระหว่างแร่คุณภาพเยี่ยมกับแร่คุณภาพต่ำนั้นเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน ซึ่งก็ได้แต่ต้องใช้ความพยายามถึงจะทำให้แร่คุณภาพต่ำนั้นสามารถนำมาใช้งานได้ น้ำมันเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน น้ำมันดิบที่มีขี้ผึ้ง ซัลเฟอร์และเกลืออนินทรีย์ปนเปื้อนนั้นเหนียวจนเป็นเหมือนโคลน เอามาจุดไฟก็ไม่ลุกไหม้ ถ้าไม่ทำการแปรรูปก็แทบเอาไปใช้งานอะไรไม่ได้เลย แต่ก็มีน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นน้อยบางตัว อย่างเช่นแหล่งน้ำมันในบอร์เนียวที่ส่วนใหญ่แค่สัมผัสถูกไฟก็ลุกไหม้ พอสูบขึ้นมาก็สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เลย


น้ำสีดำที่มีอยู่ทั่วทั้งดินแดนทางใต้สุดนั้นเป็นน้ำมันแบบหลัง


หลังจากที่รู้ว่ามีน้ำมันที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน โรแลนด์ก็สนใจทะเลทรายแห่งนี้มาโดยตลอด และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าน้ำมันที่เก็บกลับมาจากแหลมเอนด์เลสนั้นมีคุณภาพที่ใช้ได้เลยทีเดียว หลังกลั่นออกมาแล้วส่วนใหญ่สามารถนำมาใช้งานได้ ถึงแม้จะไม่อาจเทียบกับน้ำมันคุณภาพดีในยุคสมัยใหม่ได้ แต่มันก็เพียงพอที่จะบรรลุความต้องการของโรแลนด์ในตอนนี้แล้ว


สิ่งที่เป็นความล้ำหน้าจริงๆ ของแผนการนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระบบสนับสนุนและการออกแบบระบบ


1004 โลกที่อยู่ในตรงหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั่วทั้งเขตโรงกลั่นน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งหรือว่าการป้อนวัตถุดิบก็ล้วนแต่พยายามใช้เครื่องจักรไอน้ำเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ให้ได้มากที่สุด ระดับการใช้เครื่องจักรนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเขตที่มีการใช้งานเครื่องจักรสูงที่สุดในเนเวอร์วินเทอร์


เนื่องจากมันจำเป็นต้องใช้ถ่านหินและน้ำมันดิบเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อมองลงมาจากบนฟ้าจะเห็นว่าเขตโรงงานเป็นเหมือนลานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ทางทิศเหนือนั้นจะหันเข้าหาแม่น้ำแดง พื้นที่ตรงนั้นมีทั้งท่าเรือของเขตโรงกลั่นและลานกองถ่านหิน สายพานลำเลียงจำนวนหลายสิบเส้นที่เชื่อมต่อกับเครื่องจักรไอน้ำนำเอาถ่านหินส่งเข้าไปในห้องเตาเผาอยู่ตลอดเวลา สายพานสีดำที่ดูเป็นระเบียบกับพื้นดินที่ถูกทำให้กลายเป็นคอนกรีตสีเทาดูตัดกันอย่างชัดเจน


อีกด้านหนึ่งของลานสี่เหลี่ยมใช้สำหรับเก็บน้ำมันที่ถูกส่งมาจากหาดน้ำตื้น รางเหล็กและรถลากที่วิ่งไปมากลายเป็นภาพที่เห็นได้ประจำของพื้นที่ตรงนี้ ในตอนที่ขาดแคลนถ่านหิน ห้องเตาเผาสามารถเอาน้ำมันที่ยังไม่ได้ทำการกลั่นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนได้


โรงเก็บน้ำมันที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของหอกลั่นน้ำมันเพิ่งจะสร้างเสร็จไปได้เพียงครึ่งเดียว ตึกคอนกรีตที่ดูเหมือนป้อมปราการเรียงเป็นแถวยาว รูปร่างที่ดูหยาบๆ ของมันดูแล้วเหมือนจะไม่เข้ากับบ้านเรือนผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเลย แต่มันกลับมีความงดงามอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ ถึงแม้รูปร่างของมันจะดูแปลกๆ แต่เทคโนโลยีที่ใส่เข้าไปในตัวมันนั้นถือว่าค่อนข้างล้ำสมัยเลยทีเดียว ทั้งวาล์วระบายแรงดัน ช่องกระจกสำหรับดูน้ำมัน ท่อขนส่ง อุปกรณ์สำหรับป้องกันไฟฟ้าสถิต….ตั้งแต่รายละเอียดการก่อสร้างไปจนถึงกฎระเบียบการใช้งาน หากไม่มีประสบการณ์จากโรงงานอุตสาหกรรมเคมีก่อนหน้านี้ ทุกอย่างคงไม่มีทางราบรื่นขนาดนี้แน่


สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างพึงพอใจก็คือตัวเองทำหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบและทำการอนุมัติในตอนสุดท้ายเท่านั้น ขั้นตอนการออกแบบทั้งหมดเป็นฝีมือของกองโยธาธิการกับกองอุตสาหกรรมเคมี เห็นได้ชัดว่างานวิศวกรรมเหมืองและเขตเตาหลอมที่ผ่านมานั้นทำให้พวกเขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังกล้าเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในโครงการใหม่นี้ด้วย เนื่องจากในยุคสมัยนี้ยังไม่มีมาตรฐานทางอุตสาหกรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำหรับยกขึ้นลงหรือกว้านสำหรับลากจูง เครื่องจักรทุกๆ อย่างล้วนแต่ต้องทำการกำหนดตัวเลขพารามิเตอร์ต่างๆ ก่อนถึงจะส่งไปให้ทางโรงงานประกอบได้ ถ้าไม่มีระดับความรู้ด้านวิศวกรรมพื้นฐานกับอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แล้วล่ะก็ การสื่อสารระหว่างคนงานทั้งสองฝั่งคงเป็นไปได้ยาก


หลังผลักดันการศึกษาภาคบังคับไปสองปี ผลสำเร็จของมันก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาให้เห็น


เมื่ออุณหภูมิในเตาเผาสูงขึ้นเรื่อยๆ น้ำมันที่ถูกเพิ่มความร้อนจนอยู่ในสภาพไอน้ำก็จะไหลเข้าไปในหอกลั่น ในจุดนี้จะเห็นได้จากหิมะที่จับตัวอยู่บนหอกลั่นละลายกลายเป็นไอน้ำออกมา ในตอนนี้ลมเหนือได้นิ่งสงบแล้ว มีเพียงแค่หิมะที่ตกโปรยปรายลงมา แต่ประชาชนทุกคนที่มาเยี่ยมชมต่างก็พากันอุทานให้กับความสวยงามของหอกลั่นแห่งนี้ เสียงลมหายใจของพวกเขาสอดประสานเข้าไปเสียงไอน้ำที่พ่นออกมาจากเครื่องจักรต่างๆ ที่อยู่บนลาน ท่ามกลางฤดูหนาวที่มองไม่เห็นแสงอาทิตย์นี้ มันกลายเป็นความอบอุ่นที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าแสงแดดเลย


……


“สวยจัง” เอดิธส์ยืนพูดเสียงเบาๆ อยู่บนสะพานเหล็ก


ที่นี่อยู่ห่างจากเขตโรงกลั่นประมาณ 2 – 3 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้จึงมีคนสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย บางครั้งจะมีคนที่รีบวิ่งผ่านไป ส่วนใหญ่แล้วพวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังหอกลั่น นอกจากจะไปดูสิ่งแปลกใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว พวกเขาไปที่นั่นก็เพื่อดูราชา แต่ว่าในตอนที่พวกเขาเดินผ่านไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ คนส่วนใหญ่มักจะอดเหลือบมาทางพวกเธอสองคนไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพวกเขามองว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะสองคนนี้มีหน้าตาที่สะสวยอย่างมาก


นั่นมันก็แค่ปล่องไฟไม่ใช่เหรอ? สวยตรงไหน? โคลบ่นอยู่ในใจ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดมันออกมา “ถ้าท่านอยากจะดูทำไมถึงไม่บอกทางสำนักงานเมืองล่ะ? ท่านบารอฟจัดที่ดีๆ ให้ท่านได้ไม่ใช่เหรอ ฝ่าบาทเองก็…”


ถึงแม้ตรงนี้จะอยู่ในมุมที่ค่อนข้างสูง มุมมองเองก็กว้าง แค่เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล ด้วยเหตุนี้จึงมองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการเดินทางไปเยี่ยมชมหอกลั่นครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับคนในสำนักงานเมือง การที่เจ้าหน้าที่สำนักงานเมืองไปรวมตัวอยู่ด้วยกัน ความสำคัญของมันไม่ได้อยู่ที่การไปเยี่ยมชม หากเปลี่ยนเป็นยุคสมัยของขุนนาง นี่ก็เป็นเหมือนกับงานเลี้ยงงานหนึ่ง สิ่งสำคัญของงานเลี้ยงนั้นไม่ได้อยู่ที่อาหารภายในงานเลี้ยง หากแต่อยู่ที่ว่าคู่สนทนาที่เราสนทนาด้วยกับคนที่เราได้ทำความรู้จักใหม่นั้นมีใครบ้าง


สำหรับพี่สาวที่เชี่ยวชาญเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแล้ว เธอไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องพวกนี้แน่นอน ตอนแรกเธอบอกให้เขาตั้งใจฝึกงานอยู่ในสำนักงานเมืองแท้ๆ แต่นี่เธอกลับจงใจที่จะปล่อยโอกาสแบบนี้ไป บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในหัวสมองของอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่


แต่สายตาที่เหลือบมองมาของเอดิธส์ทำเอาโคลต้องหุบปากไปทันที


“ก็เพื่อเจ้าน่ะสิ น้องชายที่รักของข้า” เธอพูดเสียงเบาๆ “เจ้าอยากจะให้เจ้าหน้าที่คนอื่นเห็นเจ้าในสภาพนี้จริงๆ เหรอ?”


เดี๋ยวๆ ท่านเป็นคนบอกให้ข้าทำแบบนี้เองไม่ใช่เหรอ!


ให้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ในบ้านก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เธอดันบังคับให้เขาใส่มันออกมาข้างนอก นี่ถ้าถูกคนรู้จักเห็นเข้า เขาคงต้องไปกระโดดสะพานหนีอายแน่


บ้าจริง! เพราะตัวเองหาเรื่องแท้ๆ เลย ดันไปหยิบเอาเสื้อผ้าของพี่สาวๆ มาลองทาบตัวดูจนถูกพี่สาวมาเห็นเข้า ก็เลยตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะยอมทำตามง่ายๆ ได้ยังไง


ในขณะที่โคลกำลังจะพูดแย้งออกไป ด้านหลังเขาพลันมีเสียงผิวปากดังขึ้นมา


เขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็จับคอเสื้อขึ้นมาเหมือนจะพยายามเอาหัวมุดลงไปในเสื้อ


“ไม่ นั่นไม่ใช่วิธีรับมือที่ถูกต้อง”


มือข้างหนึ่งดันคางของเขาไว้ ทำให้เขาจำต้องเงยหน้าขึ้นมาใหม่


จากนั้นโคลเห็นพี่สาวของตัวเองหันหลังกลับไปมองดูคนๆ นั้นด้วยสายตาดูถูก ความเย็นชาในสายตาของเธอเย็นยะเยือกจนแม้แต่เขาก็ยังอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ชายคนนั้นถอยหลังไปทันที ก่อนจะเดินหนีไปโดยไม่กล้าพูดอะไรอีก


“เข้าใจหรือยัง?” เอดิธส์ยักไหล่ “นี่คือบททดสอบสำหรับเจ้า”


“….ถ้าแต่งตัวให้มันดีๆ ก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้หรอก” โคลบ่นเสียงเบาๆ


“แต่ถ้าเจ้าอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง มันก็จะต้องเกิดเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แบบนี้แน่นอน สิ่งที่เจ้าทำได้นั้นมีเพียงแค่ยอมรับมันและพยายามเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “หรือเจ้าคิดว่าตอนที่ทอว์ฟิคขึ้นมาพักอยู่ที่ดินแดนทางเหนือ ข้ายินดีต้อนรับเขาด้วยใจจริง? ทุกสิ่งบนโลกนี้มีหลายมุม สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเจ้าจะเลือกมองมุมไหน อีกอย่างเจ้าเป็นคนหยิบเอาเสื้อผ้าข้ามาลองเอง ความจริงภายในใจเจ้าก็รอช่วงเวลาแบบนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ?”


โคลรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา พี่สาวเขามักจะเอาการกระทำที่ไร้สาระบางอย่างของเขามาพูดเป็นตุเป็นตะ ในเวลานี้แบบนี้ถ้าไปเถียงกับเธอ เขาต้องแพ้แน่นอน วิธีที่ถูกต้องก็คืออยู่เงียบๆ


ส่วนประโยคสุดท้ายนั้น เขาไม่ยอมรับเด็ดขาด!


แต่ที่เธอบอกว่าสวยก่อนหน้านี้มันก็เป็นเพราะมุมมองที่ไม่เหมือนกันเหรอ?


หลังถามคำถามนี้ออกไป โคลก็เห็นแก้มของอีกฝ่ายแดงเรื่อขึ้นมาอย่างชัดเจน


“เจ้าจำฤดูหนาวของเมืองอีเทอร์นอลไนท์ได้ไหมว่าเป็นยังไง?”


“เออ…” เขาตกตะลึงเล็กน้อย ภายในหัวมีภาพหลายภาพผุดขึ้นมา แต่ในภาพเหล่านั้นมีเพียงไม่กี่ภาพที่เป็นภาพเมือง ภาพส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพเตาผิงร้อนๆ เหล้าและงานเลี้ยง ภาพที่นึกขึ้นมาได้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพภายในห้อง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดอย่างไม่มั่นใจขึ้นมาว่า “เหมือนจะค่อนข้าง….เงียบ?”


“ไร้ชีวิตชีวา เหมือนทั้งเมืองถูกน้ำแข็งปิดตายเอาไว้” เอดิธส์มองไปทางหอกลั่น “ข้าคิดมาตลอดว่านั่นคือสภาพปกติของฤดูหนาว แต่ดูตอนนี้สิ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย” เธอพ่นลมหายใจสีขาวออกมา “ตอนนี้เจ้ามองเห็นอะไร? แผ่นดินกำลังโห่ร้อง ส่วนไอน้ำพวกนั้นก็คือเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดว่ามันยังมีชีวิตอยู่”


“ข้าไม่ค่อย….เข้าใจ”


“นี่พิสูจน์ได้ว่าธรรมชาติสามารถถูกมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดช้าๆ ชัดๆ “ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตามกฏของธรรมชาติ แล้วก็ไม่ต้องถูกกดเอาไว้เพียงเพราะตัวเราอ่อนแอ และหลังจากที่พวกเราแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ พลังแบบนี้ยังสวยงามไม่พอเหรอ?”


แต่ว่าโคลกลับมองเห็นอีกเรื่องหนึ่งที่สวยกว่า


หญิงสาวที่กำลังพูดอยู่นั้นเหมือนมีประกายที่ไม่สามารถบรรยายได้แผ่กระจายออกมา หิมะที่โปรยปรายลงมาบนเส้นผมสีเขียวครามดูงดงามทิวทัศน์ไหนๆ แก้มที่แดงเรื่อช่วยลดความดุร้ายที่ผ่านมาขอเธอลงไปได้ ทำให้ใบหน้าที่ขาวเนียนดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก


ภายในใจเขามีความรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาว่าโลกภายในดวงตาของเอดิธส์นั้นเป็นอย่างไรกันแน่?


….


“น้ำมัน น้ำมันออกมาแล้ว!”


บริเวณใกล้ๆ หอกลั่นหมายเลขหนึ่งมีเสียงตะโกนขึ้นมา ผู้คนก็พากันแตกตื่น


“อะไรออกมานะ?”


“เหมือนจะเป็นน้ำมัน!”


“เอามาทอดแป้งเหรอ?”


“ใช่ที่ไหนล่ะ ตรงลานมีแต่ถ่านหินกองเต็มไปหมด ไม่ใช่เนื้อซักหน่อย”


“จะไปสนทำไมล่ะว่าอะไรออกมา ในเมื่อเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงต้องการ อย่างนั้นมันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่”


“อย่างนั้นพวกเราฉลองได้แล้วใช่ไหม?”


“ใช่ ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”


“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”


ไม่นานก็มีคนอีกจำนวนมากพากันตะโกนตามขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ถึงความสำคัญของหอกลั่นน้ำมัน แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาต่อการร่วมแบ่งปันความสุขกันในเวลานี้


เสียงตะโกนกระจายออกไปเหมือนคลื่น จนดังไปทั่วทั้งเขตโรงกลั่นในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ภาพเหตุการณ์แบบนี้ทำเอาเดือนแห่งปีศาจดูไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างทุกที


เมื่อมองดูควันสีขาวดำที่พุ่งขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำ กับหอกลั่นที่เทาที่ดูลางๆ ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ภายในใจโรแลนด์เต็มไปด้วยความรู้สึกภูมิใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้


ถ้าบอกว่ากลุ่มควันที่พวยพุ่งขึ้นมาตรงเนินทิศเหนือนั้นเป็นผลสำเร็จของปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง อย่างนั้นควันที่เกิดขึ้นตรงพื้นที่นี้ก็หมายถึงการมาถึงของยุคสมัยใหม่


1005 เสียงของทราย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮัด…เช่ย….”


ในตอนที่โลก้าลุกขึ้นมาจากผ้าห่มอันอบอุ่น หัวของเธอยังรู้สึกปวดอยู่เล็กน้อย เธอดูดปากตัวเอง ก่อนจะพบว่าตามร่องฟันยังคงมีรสชาติของเหล้าขาวสมุนไพรอยู่


ดูเหมือน…เธอจะดื่มเยอะไปอีกแล้ว


“อือ…”


เธอส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาในลำคอ


หลังกลับมาจากการรบ เธอก็อยู่ในสภาพแบบนี้มาอาทิตย์กว่าแล้ว


“ต้องโทษหัวหน้านั่นแหละ” เธอย่อมต้องหมายถึงโรแลนด์ วิมเบิลดัน


แม่มดทุกคนที่เข้าร่วมการรบจะได้รับรางวัล น้อยหน่อยก็หลายสิบหยวน มากหน่อยก็มากกว่าร้อย ในขณะที่เธอเป็นแนวหน้าในสนามรบ เธอเองก็ได้รับรางวัลมา 35 หยวน ถ้าแปลงเป็นเหรียญทองก็จะได้ประมาณ 100 เหรียญทอง


การเฉลิมฉลองหลังการรบนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่นักรบชาวโมเกนสู้ตายในการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความกล้าและเกียรติของตัวเองแล้ว พวกเขายังสู้เพื่อรางวัลด้วย ทรัพยากรในทะเลทรายไม่พอที่จะเลี้ยงดูทุกคน ถ้าอยากจะทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นก็จำเป็นต้องสู้เพื่อมัน


แต่ว่าท่าที่ของแม่มดในสโมสรแม่มดที่มีต่อรางวัลนั้นแตกต่างไปจากชาวโมเกนอย่างสิ้นเชิง


หลังเรียนเสร็จ ภายในห้องโถงของปราสาทจะครึกครื้นอย่างมาก


เมื่อภายในกระเป๋าเงินมีเงินเพิ่มขึ้นมา พวกเธอก็ต้องเอาเงินเหล่านั้นไปแลกอาหารชนิดต่างๆ จากพ่อครัว จากนั้นก็เอามาแบ่งๆ กันกิน โดยเฉพาะแอนเดรียที่ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลเยอะที่สุด แต่เธอยังเชี่ยวชาญในการจัดงานเลี้ยงอย่างมากด้วย เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้นำการใช้ชีวิตแบบนี้มาสู่ทุกคน


ต้องยอมรับเลยว่าแผ่นกระดาษที่ดูสวยงามเหล่านี้เหมือนมีพลังเวทมนตร์อันน่ามหัศจรรย์ พอใช้ออกไปแล้วกลับไม่รู้สึกถึงความกดดันอะไรเลย โลก้าคอยลองคำนวณดู ก่อนจะพบว่าเงินที่ทุกคนใช้ออกไปในแต่ละคืนรวมกันแล้วเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมาก


แต่ชีวิตแบบนี้ไม่สามารถหยุดลงได้….


หมาป่าสาวเพิ่งจะเคยรับความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเพื่อนที่อายุใกล้ๆ กันแบบนี้เป็นครั้งแรก หลังจากที่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในสโมสนแม่มด เธอก็ได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างรวดเร็ว ความเชื่อใจแบบนี้ทำให้เธอแอบรู้สึกตกใจเล็กน้อย ถึงแม้แม่มดที่เกิดขึ้นมาในหมู่ชาวทะเลทรายจะถูกยกย่องให้เป็นเทพี อีกทั้งยังได้รับความเคารพจากคนจำนวนมากในเผ่า แต่ตัวเทพีกลับมีโอกาสได้พูดคุยกันน้อยมาก เพราะว่าพวกเธอต่างก็เป็นอาวุธในการช่วงชิงตำแหน่งของแต่ละเผ่า อย่าว่าแต่จะมานั่งกินดื่มด้วยกันเลย แค่จะเจอหน้ายังต้องระมัดระวังกันอย่างมาก


แต่ถึงแม้ทุกคนจะมีเงินเหลือ แต่การจะดื่มเครื่องดื่มยุ่งเหยิงอย่างเต็มที่นั้นค่อนข้างเป็นเรื่องลำบาก ด้วยเหตุนี้แอนเดรียจึงคิดเกมทายไพ่ขึ้นมาสองสามเกม คนชนะได้ดื่มเครื่องดื่มยุ่งเหยิง คนแพ้ได้ดื่มเหล้าขาว ห้ามใช้พลัง แล้วก็ต้องถือหินอาญาสิทธิ์เอาไว้ในมือถึงจะเล่นเกมได้


จากนั้นเธอก็กลายเป็นแบบนี้


หรือว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนั้น? โลก้าย่อมไม่มีทางยอมรับ ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นความผิดของชีค


หากพระองค์มอบรางวัลเป็นเหรียญทองเหมือนอย่างเมื่อก่อนนี้ เธอเชื่อว่าทุกคนคงไม่มีทางเอามันมาใช้จนหมดอย่างรวดเร็วแบบนี้แน่!


ไม่ได้ เธอจะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้


หมาป่าสาวตบแก้มตัวเอง


อย่าลืมสิว่าเธอมาที่นี่เพื่อฝึกฝนตัวเอง ถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ฝีมือการต่อสู้ของเธออาจจะหายไปหมดก็ได้!


เธอไม่เคยเห็นแม่มดอาญาสิทธิ์เฉลิมฉลองแบบนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน พวกเธอก็ล้วนแต่มีท่าทีสุขุม นี่สิถึงจะเป็นแบบอย่างของนักรบยอดเยี่ยมที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน


โลก้าสูดหายใจ ก่อนจะหยิบเอาเสื้อกันหนาวมาใส่แล้วลุกลงจากเตียง เธอเตรียมจะไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปเมืองชายแดนที่สาม


ที่นั่นทุกคนต่างก็มีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ในเมื่อชีคไม่อนุญาตให้เธอออกจากเมืองไปคนเดียว อย่างนั้นการไปหาพวกแม่มดอาญาสิทธิ์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน


ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องนอน เธอพลันสังเกตเห็นกระดาษหนังแกะเหน็บอยู่ตรงช่องประคู


หลังเข้ามาอยู่ในสโมสรแม่มด เธอก็ได้ย้ายมาอยูที่ตึกแม่มดในปราสาท โดยเธอนอนคู่กับชารอน แต่ว่าปกติอีกฝ่ายมักจะมานอนที่นี่ในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ส่วนใหญ่เธอจึงนอนในห้องเพียงคนเดียว


ดังนั้นนี่จึงเป็นจดหมายของเธอ?


โลก้ากางกระดาษออกมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะพบว่ามันเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอคือลายมืออันคุ้นเคยของพ่อเธอ


‘ลูกสาว อยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นยังไงบ้าง? มีใครมารังแกเจ้าหรือเปล่า?’


ไม่มีคำขึ้นต้นอย่างที่นิยมกันในดินแดนทางเหนือ ลายมือยังคงเขียนหวัดๆ เหมือนเคย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นทะเลทราย


หางของเธอกระดิกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว


ถึงแม้ตอนที่จากบ้านมา โลก้าจะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับการดูแลจากครอบครัว แต่ในตอนที่ได้เห็นประโยคนี้ เธอพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นภายในใจ


“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ?” เธอบ่นพึมพำ


‘แต่คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีประโยชน์ที่จะถามแบบนี้ เพราะว่าเจ้าคือเจ้าหญิงโลก้าแห่งเผ่าไวลด์เฟลม มีแต่เจ้าที่รังแกคนอื่น คนอื่นไม่มีทางที่จะมารังแกเจ้าได้ใช่ไหม?’


‘ตอนนี้สมาชิกภายในเผ่าย้ายจากเมืองไอรอนแซนด์มายังท่าเรือเคลียร์วอเทอร์แล้ว แถมยังได้อยู่ตรงริมแม่น้ำด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชีคดูแลเจ้าดีหรือเปล่า แต่อย่างน้อยที่นี่เขาก็ไม่ได้ผิดคำพูด คำสัญญาที่ให้ไว้ตอนการต่อสู้ศักดิ์ล้วนแต่กำลังกลายเป็นจริง ขอเพียงหางานทำ ก็จะไม่มีทางอดตาย เผ่าต่างๆ ก็เลยย้ายมาที่นี่กันมากขึ้น แล้วก็ทำให้มีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรเพิ่มขึ้นด้วย’


‘แต่วิธีการแก้ปัญหาของคนทางเหนือไม่เหมือนกับราชินีเคลียร์วอเทอร์ พวกเขาห้ามไม่ให้มีการต่อยตีกัน ทุกคนต้องใช้กฏหมายของอาณาจักรทางเหนือในการแก้ไขปัญหา ถึงแม้ประสิทธิภาพจะต่ำไปหน่อย แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอกใช้ คนที่ยอมรับในจุดนี้ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่จึงค่อนข้างเป็นระเบียบทีเดียว’


‘นอกจากจะสร้างท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ขึ้นมาใหม่แล้ว เผ่าบางเผ่ายังไปทำนาอยู่ด้านนอกเมืองด้วย ข้าวที่พวกเขาปลูกก็เป็นข้าวสาลีที่ถูกขนมาจากทางแม่น้ำ ทางเมืองฟอลเลนดราก้อนส่งคนมาสอนพวกเราขุดร่องน้ำ ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยว ต้องยอมรับเลยว่าคนทางเหนือนี่หาวิธีทำให้ตัวเองอิ่มท้องได้ง่ายจริงๆ พวกเราต้องลำบากลำบนกว่าจะหาอาหารมาจากโอเอซิสได้ พวกเขาไม่ต้องทำอะไรมากก็ปลูกมันขึ้นมาได้แล้ว แถมยังเยอะกว่าเราตั้งหลายเท่าด้วย ตอนนี้ทุกคนใช้ชีวิตแทบจะเหมือนกับคนทางเหนือแล้ว ข้าไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่พอไม่ต้องออกไปล่าสัตว์เพื่อฝึกพลังและจิตใจของตัวเอง มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป…ลูกสาว เจ้ามีวิธีดีๆ บ้างไหม?”


“คำถามพวกนี้ท่านควรจะไปถามพี่ใหญ่ถึงจะถูก” โลก้าเบะปาก ก่อนจะอ่านลงไปต่อ


‘ข้าคุยเรื่องข้าจบแล้ว เรามาคุยเรื่องเจ้ากันบ้างดีกว่า ถ้า…ข้าหมายถึงสมมติว่าชีคเขาดูแลเจ้าดี เจ้าก็น่าจะลองหาโอกาสแสดงให้เขารู้ว่าเจ้าพร้อมจะรับใช้เขา ข้าได้ยินว่าพวกขุนนางทางเหนือมีงานอดิเรกมากมาย ไม่แน่เขาอาจจะเป็นพวก…’


หมาป่าสาวกรอกตาขึ้นมาทันที


‘เอาล่ะ เก็บกรงเล็บก่อน ข้าก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น ความจริงแล้วข้าอยากจะรู้มากกว่าว่าตอนนี้ฝีมือเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว? ได้เจอศัตรูที่น่ากลัวพวกนั้นหรือยัง? เทียบกับตอนที่จากเมืองไอรอนแซนด์ไป เจ้าน่าจะเติบโตขึ้นมากใช่ไหม? แต่จำเอาไว้นะ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็อย่าได้ใจร้อนและหน้ามืดตามัว อย่าได้ลืมเส้นทางที่ตัวเองตามหาเด็ดขาด’


เมื่อเห็นประโยคนี้ โลก้ารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เธอรู้สึกขายหน้าจนอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไป


ปีศาจน่ะเจอแล้ว แถมยังได้ทำศึกกับพวกมันด้วย แต่ประโยชน์ของเธอแทบจะเป็นศูนย์ เดิมคิดว่าแนวหน้าจะเป็นหน่วยที่ได้ปะทะกับศัตรูก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถเข้ามาในระยะ 300 เมตรได้ นอกจากเสาหินแปลกๆ ที่เล่นงานเธอจนมอมแมมแล้ว เธอแทบจะไม่เห็นหน้าศัตรูเลย


ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ เธอไม่มีทางเลือกไปอยู่แนวหน้าแน่


นอกจากนี้เธอยังรู้สึกไม่ชินอย่างมากกับอาวุธใหม่ที่ชีคสร้างขึ้นมาให้เธอเป็นพิเศษด้วย จริงอยู่ที่มันมีอานุภาพรุนแรงจนน่าตกใจ แต่เธอมักจะรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่พละกำลังของเธอ แล้วก็ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างใจต้องการและไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้จากการฝึกฝนด้วย นี่จึงทำให้ยากจะเชื่อมโยงมันเข้ากับเทคนิคการต่อสู้ได้


บวกกับเรื่องที่เธอเที่ยวเล่นจนเพลินหลังจากสงครามจบลง นี่จึงยิ่งทำให้โลก้ารู้สึกผิดขึ้นมา


ถ้าไม่เป็นเพราะช่วงท้ายของจดหมายยังมีข้อความอยู่อีกหน่อย เธอคงจะรีบวิ่งไปยังเมืองชายแดนที่สามแล้ว


แต่เนื้อหาส่วนสุดท้ายกลับทำให้โลก้าขมวดคิ้วขึ้นมา


‘อ้อใช่แล้ว ยังมีปัญหาเล็กน้อยอีกเรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ในเมืองไอรอนแซนด์ไม่ค่อยสงบสุขเท่าไร พวกเผ่าใหญ่ๆ ที่ยังไม่ย้ายออกมาเหมือนจะไม่พอใจที่ชาวทะเลทรายจำนวนมากย้ายออกมาจากซิลเวอร์สตรีม แต่เรื่องรายละเอียดข้ายังไม่รู้แน่ชัดเท่าไร ส่วนเรื่องที่ว่าจะบอกชีคหรือไม่นั้น อันนี้ก็แล้วแต่เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ถ้าเขาแสดงท่าทีรังเกียจเจ้าเพราะรูปร่างของเจ้าล่ะก็ อย่างนั้นก็สมควรหาเรื่องให้เขาปวดหัวหน่อยใช่ไหมล่ะ?’


ปัญหานี้แทบจะไม่ต้องลังเลเลย


โลก้าเก็บจดหมายพร้อมผลักประตูออก ในขณะที่เธอกำลังจะไปยังปราสาท เธอบังเอิญเห็นเวนดี้เดินอยู่ตรงระเบียงทางเดือนพอดี


เธอรีบเข้าไปทำความเคารพ “ท่านช่วยพาข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหน่อยได้ไหม? ข้ามีเรื่องอยากจะบอกพระองค์”


“บังเอิญจัง” เวนดี้กะพริบตาก่อนจะยิ้มขึ้นมา “ฝ่าบาทเองก็ทรงอยากจะพบเจ้าพอดี เชิญตามข้ามาเลย”


1006 หนังเวทมนตร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชีคไม่ได้รอพบเธออยู่ที่ห้องหนังสือเหมือนอย่างทุกที


โลก้าเดินตามเวoดี้เข้าไปยังห้องรับแขกที่อยู่ชั้นหนึ่ง ก่อนจะพบว่าภายในห้องนอกจากโรแลนด์ วิมเบิลดันแล้ว ยังมีผู้หญิงแปลกหน้าอยู่อีกคนหนึ่งด้วย


เธอมองดูอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ส่วนอีกฝ่ายเองก็มองมาที่เธอเหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่ทำให้หมาป่าสาวรู้สึกแปลกๆ ก็คือในสายตาของผู้หญิงคนนั้นเหมือนพยายามจะมองทะลุตัวเธอเพื่อตรวจสอบอย่างไรอย่างนั้น


“มาแล้วเหรอ” โรแลนด์ยังคงทำสีหน้าอ่อนโยน “ข้าตามเจ้ามาก็เพราะมีภารกิจอยากจะมอบหมายให้เจ้าทำ นั่งลงก่อนสิ”


“เพคะ” หลังอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มาครึ่งปี โลก้าก็พอจะรู้ถึงนิสัยของชีคที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพิธีรีตองเท่าไรนัก เธอยกหางของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามผู้หญิงคนนั้น “แต่ว่าทรงอนุญาตให้หม่อมฉันรายงานข่าวๆ หนึ่งก่อนได้ไหมเพคะ นี่เป็นข่าวเกี่ยวกับดินแดนทางใต้สุดเพคะ”


“โอ้?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นมา “ว่ามาสิ”


โลก้าเล่าสิ่งที่พ่อของเธอเขียนเอาไว้ในจดหมายออกมา “ถึงแม้หม่อมฉันจะคิดว่าชาวเผ่าในเมืองไอรอนแซนด์จะทำอะไรท่าเรือเคลียร์อวอเทอร์ไม่ได้ แต่เราก็ควรจะป้องกันเอาไว้ดีกว่าเพคะ การบุกเบิกพื้นที่หนึ่งๆ ขึ้นมานั้นต้องใช้กำลังและเวลาอย่างมาก แต่การทำลายมันนั้นง่ายนิดเดียว โดยเฉพาะในตอนที่กองทัพที่หนึ่งกลับมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทั้งหมดแบบนี้


“อย่างนี้นี่เอง” โรแลนด์ลูบคางตัวเอง “ความจริงตอนที่กำหนดแผนการเคลื่อนย้ายชาวทะเลทราย ทางทีมที่ปรึกษาก็เคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนนี้น่าจะประมาณปีนึงได้แล้ว พวกเขาน่าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วล่ะ”


โลก้าเหมือนจะคิดอะไรอยู่ “พวกเขาหมายถึง…”


“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ” โรแลนด์ตอบยิ้มๆ “ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะคลี่คลาย กองทัพที่หนึ่งไม่มีทางที่จะดูแลทั้งอาณาจักรได้อย่างทั่วถึงแน่นอน เรื่องของดินแดนทางใต้สุด ยังไงก็ต้องให้คนในพื้นที่เป็นคนจัดการ” เขาชะงักไปเล็กน้อย “แต่ไม่ว่ายังไง ข้าก็ต้องขอบคุณพ่อของเจ้ามาก ถ้าเขายินดีจะให้ความร่วมมือ เรื่องนี้จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”


“บางทีหม่อมฉันอาจจะเขียนจดหมายให้ท่านพ่อได้เพคะ” หมาป่าสาวตอบออกไปทันที ในตอนที่พูดออกไปแล้ว เธอถึงจะสังเกตเห็นว่าตอนนี้เธอยืนอยู่ในุมุมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์…หรือพูดอีกอย่างคือในมุมของชีคเรียบร้อยแล้ว


“ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เดี๋ยวข้าเป็นคนเขียนเองจะดีกว่า” โรแลนด์โบกมือ “ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าตามเจ้ามาก็ไม่ใช่เพื่อจะมาคุยเรื่องเครียดๆ พวกนี้ เดี๋ยวข้าขอแนะนำก่อน เลดี้ที่อยู่ข้างข้าคนนี้ชื่อเมย์ เจ้าน่าจะเคยได้ยินอีกฉายาหนึ่งของนาง ‘ดวงดาราแห่งดินแดนตะวันตก’”


“คณะละคร…สตาร์ฟลาวเวอร์?” โลก้างุนงง เธอไม่ได้สนใจเรื่องละครพวกนี้เท่าไร แม้แต่ชื่อคณะละครนี้ก็ได้ยินมาจากปากของเอคโค่ เธอรู้เพียงว่าในคณะละครนี้มีนักแสดงอยู่สองคนที่เป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างมาก และคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ก็ได้ชื่อนี้มาเพราะเหตุนี้


แต่ว่านี่เกี่ยวอะไรกับเธอด้วยเล่า?


“ท่านคือองค์หญิงลำดับที่สามของเผ่าไวลด์เฟลมเหรอ? สมแล้วที่เป็นชาวทะเลทราย ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย” ในที่สุดเมย์ก็เก็บสายตาที่เหมือนจะพยายามมองทะลุตัวเธอไป ก่อนจะทำความเคารพเธออย่างสง่างาม “ยินดีที่ได้รู้จัก คุณหนูโลก้า การทำงานด้วยกันหลังจากนี้ข้าคงต้องขอคำชี้แนะด้วย”


ทำงานด้วยกันเหรอ? โลก้ามองไปทางชีคด้วยสายตาเลิกลัก อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่แม่มด ส่วนเธอก็ไม่ได้มีความสามารถในการแสดงเหมือนอย่างเอคโค่ แล้วจะไปทำงานด้วยกันได้ยังไง?


“คืออย่างนี้” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “เจ้ายังจำที่ข้าเคยบอกว่าอยากจะให้หลายๆ คนยอมรับพลังพวกนั้นกับแม่มดที่เป็นเหมือนอย่างเจ้าได้หรือเปล่า? วิญญาณไม่ควรจะเกี่ยวอะไรกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าพวกนางจะมีรูปร่างที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่นยังไง จะมีหูมีหางหรือมีเกล็ดบนใบหน้า โดยเนื้อแท้แล้วพวกนางก็คือหนึ่งในพวกของเรา ถ้าอยากทำให้คนยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ ละครคือวิธีที่ได้ผลเร็วที่สุด”


“พระองค์ทรงอยากจะให้หม่อมฉันไปแสดงละครเหรอเพคะ?” โลก้าหน้าตาลนลานขึ้นมาทันที ถึงแม้หลังจากที่เธอตัดสินใจว่าจะไม่ปิดบังหูและหางของตัวเอง ชาวบ้านในเมืองจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจตัวเองออกมาอย่างชัดเจน แต่นี่มันเป็นคนละเรื่องกับการให้เธอไปยืนอยู่ตรงหน้าคนเป็นพันๆ คน “แต่หม่อมฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย แล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันถนัดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แห่งนี้ หม่อมฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีใครไม่ชอบหม่อมฉัน บางทีพระองค์น่าจะไปหาคนอื่น…”


“สบายใจได้” โรแลนด์เหมือนจะมองความคิดของเธอออก “เจ้าไม่ต้องไปแสดงอยู่ต่อหน้าทุกคน ผู้ชมเองก็ไม่ใช่คนในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน ข้าเรียกมันว่าภาพ….ไม่สิ ข้าเรียกมันว่า ‘หนังเวทมนตร์’”


“หนังเวทมนตร์?” หมาป่าสาวพูดทวน


ชีคหยิบเอาผลึกแปลกๆ ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาให้เธอดู ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่ามันไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดาๆ ทั่วไป บนตัวปรึซึมสีขาวเงินมีอัญมณีแวววาวฝังอยู่สามเม็ด รอบๆ ยังมีริ้วสีน้ำเงินอยู่อีกหลายเส้น ตอนที่แกว่งไปแกว่งมา เธอเหมือนจะมองเห็นสำแสงเย็นๆ วูบไหวไปมาอยู่ในลวดลายของมัน


“เจ้าสิ่งนี้คือรูนเวลา เป็นเทคโนโลยีที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยทาคิลาเหมือนกับรูนแห่งโชคชะตา มันสามารถเอาไปรวมกับหินเวทมนตร์อื่นๆ แล้วทำให้เกิดผลทางเวทมนตร์ที่ต่างกันได้” เขาพูดอธิบาย “แต่ว่ารูนแห่งเวลาไม่ได้ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขเวลา หากแต่ใช้บันทึกภาพเหตุการณ์หนึ่งๆ ลงไป แล้วฉายมันซ้ำไปซ้ำมาได้ ถ้าไม่เป็นเพราะชัยชนะในครั้งนี้ที่ทำให้เราสามารถเก็บเอาหินเวทมนตร์คุณภาพดีมาจากปีศาจระดับสูงและอสูรสยองตัวยักษ์นั้นได้จำนวนมาก รูนที่มีค่าเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะทำออกมาได้ง่ายๆ พูดอีกอย่างคือ สถานที่ในการแสดงครั้งนี้ไม่ใช่ลานเมือง แล้วก็ไม่ใช่ที่ไหนด้วย หากแต่เป็นโลกแห่งความจริงนี้”


“ในตอนที่ข้าได้ยินว่าเวทมนตร์สามารถทำเรื่องที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้ ภายในใจข้ารู้สึกประหลาดใจและยินดีจนไม่อาจบรรยายได้เลย” เมย์อุทานออกมา “คุณหนูโลก้าอาจจะไม่รู้เรื่องละครมากนัก แล้วก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร นักแสดงอย่างพวกเราจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ประสบการณ์และฝีมือการแสดง จึงทำให้พวกเขายากจะรักษามาตรฐานการแสดงของตัวเองเอาไว้ให้เหมือนเดิมทุกครั้งได้ ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาสูงสุดในอาชีพนักแสดงของทุกคนจึงมีเพียงแค่ครั้งเดียว”


“แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงสามารถบันทึกการแสดงเหล่านี้เอาไว้ได้ นั่นก็หมายความว่าขอเพียงเตรียมตัวมาดี ฝึกซ้อมบ่อยๆ ก็จะทำให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดสามารถฉายออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ พวกเราจะสามารถทุ่มเทสมาธิเข้าไปในทุกๆ การเคลื่อนไหว ทุกๆ สีหน้าได้ สำหรับพวกเราแล้วนี่มันเป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์!”


“ข้าได้ยินว่าปกติรูนนี้จะใช้บันทึกการประชุมที่มีความสำคัญๆ หรือพิธีเฉลิมฉลองเท่านั้น การที่ฝ่าบาททรงคิดเชื่อมโยงมันเข้ากับการแสดงละครได้นี่นับว่าพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยะจริงๆ” เมย์กล่าวชมโรแลนด์ “ข้ากล้าพนันเลยว่าขอเพียงข่าวนี่แพร่ออกไป นักแสดงทุกคนจะต้องดีใจกันอย่างมากแน่ ต่อให้ต้องจ่ายเงินจำนวนมาก พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปแน่”


“อะแฮ่มๆ” ชีคทำสีหน้าอายๆ ออกมา “ความดีความชอบตรงนี้ควรเป็นของคณะสตาร์ฟลาวเวอร์จะดีกว่า ในช่วงสองปีมานี้พวกเราทำงานกันหนักมากเพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องนโยบายของเมือง” พูดจบเขาก็มองไปทางโลก้า “เจ้าคิดว่าไง? ละครเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ ข้าใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งเดือนแหนะ กว่าจะเขียนมันออกมาได้”


ถึงแม้สุดท้ายโลก้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าหนังเวทมนตร์มันคืออะไร เพราะเธอไม่สามารถเชื่อมโยงละครเข้ากับปาฏิหาริย์ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากเอาเวลาอันมีค่ามาใช้กับเรื่องที่เธอไม่สนใจแบบนี้ด้วย เพียงแต่ในตอนที่ได้ยินว่าละครนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ เธอกลับเปลี่ยนความคิดของตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้….อย่างนั้นหม่อมฉันลองดูก็ได้เพคะ” โลก้าตอบพร้อมกระดิกหู


1007 รูนแห่งเวลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

กระทั่งสองคนออกไปแล้ว ไนติงเกลจึงพูดขึ้นมาว่า “ใช้เวลาครึ่งเดือนเหรอเพคะ? ไหนพระองค์บอกว่าพระองค์เพิ่งจะตัดสินใจเรื่องนี้เมื่อสองวันก่อนไม่ใช่เหรอเพคะ?”


“ไม่ต้องไปสนใจรายละเอียดพวกนั้นน่า” โรแลนด์แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าข้าไม่พูดแบบนี้ เจ้าคิดว่านางจะตอบตกลงทันทีเหรอ? ถ้าโลก้าไม่เห็นด้วย อย่างนั้นละครนี้ก็มีแต่ต้องให้โจนมาเป็นคนแสดงแทน แต่ตอนนี้โจนยังสื่อสารไม่ได้เลย มีแต่ตอนที่อยู่กับไลต์นิ่งกับเมซี่เท่านั้น นางถึงจะดูผ่อนคลายลง ถึงแม้จะมีเมย์คอยชี้แนะก็คงจะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงต้องพูดแบบนี้ อีกฝ่ายถึงจะไม่กล้าปฏิเสธ…นี่มันเป็นหนึ่งในเทคนิคการเจรจาต่อรองนะ”


“ก็ได้ ถือว่าพระองค์ตรัสถูกต้องแล้วกันเพคะ…” ไนติงเกลเบะปากพร้อมกับพูดงึมงำออกมา “แต่ทำไมหม่อมฉันกลับรู้สึกว่านางไม่ได้รับปากเพราะเหตุผลนี้ล่ะเพคะ?”


“เอ่อ เจ้าว่าอะไรนะ?”


“เปล่าเพคะ ไม่มีอะไรเพคะ” เธอผิวปาก ก่อนจะเอาปลาแห้งใส่เข้าไปในปาก “แล้วเรื่องดินแดนทางใต้สุด ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงจริงๆ เหรอเพคะ?”


“โรแลนด์ยักไหล่ เขาไม่ได้ถามจี้อะไรไนติงเกลอีก “ถ้าเป็นช่วงก่อนที่จะทำการอพยพ บางทีมมันอาจจะถือเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์มันจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ถ้าพวกนั้นจะมาหาเรื่องมันก็สายไปเสียแล้ว จดหมายที่หัวหน้าเผ่าไวลด์เฟลมเขียนมาหาโลก้าก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงจุดนี้ ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะยืนอยู่ตรงหน้ากับประชาชน อย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการประกาศเป็นศัตรูกับเผ่าอื่นๆ”


ที่ฟอลเลนดราก้อนกับท่าเรือเคลียร์วอเทอร์มีทหารใหม่ประจำการอยู่ที่ละ 500 คน แต่ว่าเขาไม่คิดจะใช้ทหารพวกนี้บุกเข้าไปในทะเลทราย ขอเพียงแจ้งไปทางไบรอันที่ยังเฝ้าอยู่ที่ดินแดนทางใต้สุด อีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าจะต้องจัดการยังไง


ช่วงเวลาที่จะพูดกล่อมกับแสดงพลังมันได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ถ้ามีคนอยากจะทำลายระเบียบละก็ เขาก็ยินดีที่จะให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสชาติของกำปั้นเหล็ก


เพียงแต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่มีค่าพอที่จะให้เขาต้องไปสนใจอะไรมาก โรแลนด์หันความสนใจมาที่รูนแห่งเวลาอีกครั้ง


ตอนนี้เข้าสู่เดือนแห่งปีศาจมาได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน การทำงานภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะเปลี่ยนจากการก่อสร้างมาเป็นการป้องกันเมือง ในจุดนี้เขาไม่จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์อะไรมาก พวกชาวเมืองนั้นเตรียมพร้อมที่จะสู้กับสัตว์อสูรอยู่แล้ว


แต่ที่น่าแปลกก็คือทั่วทั้งพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือกลับเงียบสงบ ไม่เพียงแต่จะไม่มีสัตว์อสูรพันธุ์ผสมขนาดใหญ่ แม้แต่สัตว์อสูรตัวเล็กๆ ก็แทบจะไม่เจอเลย


มีครั้งหนึ่งที่ไลต์นิ่งบินขึ้นไปถึงที่ราบสูงเฮอร์มีส แต่สถานการณ์ที่นั่นก็เป็นเหมือนที่นี่ บนกำแพงเมืองศักดิ์สิทธิ์มีธงของราชวงศ์เกรย์คาสเซิลปลิวไสว เหล่าแม่ชีพากันขนอิฐไปก่อเป็นป้อมปราการขึ้นมาใหม่ ทหารที่ประอยู่ที่สันเขาโคลด์วินด์ก็เข้าไปประจำแนวป้องกัน แต่ที่ปลายสุดของทุ่งหิมะมีเพียงหิมะสีขาวโพลน ราวกับที่ราบลุ่มบริบูรณ์ถูกน้ำแข็งปิดตายเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น


หลักทำการปรึกษากันแล้ว แม่มดโบราณลงข้อสรุปว่าน่าจะเป็นเพราะปีศาจที่ไปหยุดไม่ให้สัตว์อสูรบุกเข้ามา


ความคิดนี้ดูแล้วเป็นเหตุเป็นผลทีเดียว ถึงแม้ซากเมืองทาคิลาจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนที่ราบอันกว้างใหญ่ แต่ด้านหลังของมันจะต้องมีหอสังเกตการณ์และท่อส่งหมอกแดงจำนวนมากของปีศาจอยู่แน่ เกรงว่าพวกสัตว์อสูรคงจะถูกกำจัดทิ้งไปนานแล้ว


ไม่ว่ายังไง เรื่องที่ชายแดนอยู่ในความสงบนั้นก็เป็นเรื่องจริง บวกกับหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้การก่อสร้างต่างๆ ต้องล่าช้าออกไป ในยุคสมัยที่ขาดกิจกรรมที่ให้ความบันเทิงอย่างนี้ เวลาว่างแค่เพียงนิดเดียวก็จะทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก เหล่าแม่มดที่เล่นไพ่กับกินเหล้าอยู่ในปราสาทต่างรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนั้นมันน่าเบื่อขนาดไหน โดยเฉพาะหลังจากที่ชนะสงครามแล้ว ทุกคนก็จะยิ่งพากันว่างมากขึ้นไปอีก เพื่อที่จะรักษาความมีชีวิตชีวาของเมืองเอาไว้และหาทางให้แม่มดได้ใช้พลัง ความคิดเรื่องถ่ายหนังจึงถือกำเนิดขึ้นมา


โรแลนด์เคยเห็นประสิทธิภาพของรูนแห่งเวลามาแล้วตอนที่อยู่ในวิหารของเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่า ภาพที่เหมือนจริงและความรู้สึกเหมือนได้อยู่ในสถานการณ์จริงๆ ของมันเรียกได้ว่าเหนือกว่าภาพยนตร์สามมิติเลยก็ว่า ก่อนที่จะมีเทคโนโลยีการทำภาพเสมือนจริงขึ้นมา รูนชนิดนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมีอะไรมาแทนที่ได้


แค่ละครเวทีธรรมดาๆ ยังสามารถทำให้ประชาชนสนุกได้ขนาดนั้น หากเปลี่ยนเป็นภาพยนตร์ที่มีความเหมือนจริงมันจะได้รับผลตอบตอบรับแบบไหนกัน?


ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เมย์ได้ยินความคิดนี้และได้สัมผัสกับรูนที่เอากลับมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ สำหรับเธอแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งศักราชใหม่อย่างแท้จริง หากสามารถทำให้ตัวเองไปอยู่ในนั้นได้ ชื่อของเธอจะต้องถูกจารึกอยู่ในโลกแห่งการแสดงแน่นอน


แต่เธอคงจะคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ภาพยนตร์ปรากฏขึ้นมาบนโลกได้ไม่นาน มันจะเข้าไปแทนที่ละครเวทีและกลายเป็นราชาแห่งการแสดงแทน


แต่รูนแห่งเวลาก็มีจุดอ่อนที่ไม่อาจมองข้ามได้อยู่ นอกจากเรื่องที่ว่ามันต้องเอาวัตถุดิบที่ได้จากปีศาจมาสร้างเท่านั้นแล้ว มันยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่บันทึกลงไปในรูนได้ด้วย จากที่อกาธาบอกมา ตัวรูนเวลานั้นจะมีสิ่งที่เป็นเหมือนแบตเตอรี่อยู่ หนึ่งแบตเตอรี่เวลาจะสามารถบันทึกได้ต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง ขอเพียงใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป มันก็จะจับบันทึกภาพทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ารูนเอาไว้ ถ้าหยุดใส่พลังเวทมนตร์มันก็จะหยุดบันทึก นี่หมายความว่าทันทีที่เกิดความผิดพลาดระหว่างที่บันทึก มันก็จะคงอยู่อย่างนั้น วิธีเดียวที่จะลบมันออกไปคือต้องกระตุ้นรูนเอาไว้จนเลย 12 ชั่วโมงเพื่อทำให้มันเริ่มต้นใหม่ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในตอนแรกก็จะหายไปด้วย


เรื่องต่อมาคือรูนนี้ไม่สามารถใช้ซ้ำได้


รูนแห่งเวลานั้นเป็นรูนผสมชนิดพิเศษเหมือนอย่างรูนสดับ เพียงแต่รูนสดับนั้นหลังจากทำการแบ่งฐานรูนออกเป็นสองส่วนแล้ว มันจะกลายเป็นรูนส่วนที่ใช้พูดและส่วนที่ใช้ฟัง แต่รูนแห่งเวลานั้นจะสลับกัน ด้านบนของฐานรูนที่สร้างขึ้นมาจะมีรูอยู่รูหนึ่ง หลังจากที่ใส่หินเวทมนตร์ก้อนสุดท้ายและเลือดแห่งเวทมนตร์ลงไปแล้ว ไม่ว่าจะบันทึกอะไรลงไปมันก็จะเปลี่ยนจากการจับภาพกลายเป็นการแสดงภาพออกมาแทน ขั้นตอนนี้จะไม่สามารถย้อนกลับได้อีก ถ้าแกะหินเวทมนตร์ออกมาก็จะทำให้รูนเสียหาย สำหรับการบันทึกประวัติศาสตร์แล้วมันถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ขอเพียงทำให้มันอยู่ในสภาพที่ฉายภาพออกมา สิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ก็ไม่มีวันลบเลือนไปไหน


แต่สำหรับการถ่ายภาพยนตร์ นี่กลับเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอย่างยิ่ง


ไม่สามารถดูผลการแสดงได้แบบทันที ต้องถ่ายแบบรวดเดียวจบ แถมห้ามมีความผิดพลาดใดๆ ด้วย นี่เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย


แต่โรแลนด์ได้หาทางแก้ไขเรื่องนี้เอาไว้แล้ว


นั่นก็คือให้แอคเซียมาฉายภาพย้อนกลับก่อน


แบบนี้ไม่ว่าจะผิดพลาดกี่ครั้งก็ยังไม่ถือว่าเป็นการถ่ายจริง หลังจากที่นักแสดงทุกคนต่างแสดงได้อย่างไร้ที่ติแล้ว ก็ค่อยให้ ‘ตากล้อง’ ที่เธอรูนแห่งเวลาเข้ามาถ่าย เนื่องจากความสามารถในการฉายภาพย้อนกลับนั้นสามารถเร่งให้ภาพเร็วขึ้น ช้าลงและหยุดภาพได้ ด้วยเหตุนี้ขอเพียงใช้พลังอย่างเหมาะสม แม้แต่เทคนิคพิเศษอย่าง Bullet Time เขาก็ทำมันออกมาได้


ส่วนเรื่องที่ว่าไม่มีเสียงในภาพที่ฉายย้อนกลับนั้น เดี๋ยวเขาให้เอคโค่มาใส่เสียงทีหลังได้


ตอนนี้เงื่อนไขทั้งหมดพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่ให้นักแสดงเข้าฉาก เมื่อคิดถึงเจ้าสิ่งนี้มันจะสร้างความตกตะลึงให้กับโลกได้แค่ไหน ภายในใจโรแลนด์พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


…..


หลังจากอาบน้ำล้างเหงื่อไคลออกไปแล้ว โลก้าก็พันผ้าขนหนูไว้บนหัวแล้วเดินกลับมายังห้องของตัวเอง


ยังไม่ทันที่หางจะแห้งดี เธอก็พุ่งตัวลงไปบนเตียงอันอ่อนนุ่ม


การฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนวิชาตลอดทั้งวันทำเอาเธอแทบจะใช้พลังไปจนหมด ร่างกายเหมือนจะปวดระบมไปทั้งตัว แต่เธอกลับรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ไม่ว่าเทคนิคการต่อสู้ของตัวเองจะก้าวหน้าขึ้นหรือไม่ อย่างน้อยเธอก็ดึงตัวเองออกมาจากชีวิตที่ไร้สาระได้แล้ว


หลังจากนี้เธอควรจะนอนพักผ่อน


ขณะเดียวกันนั้นเอง หางตาของเธอพลันเหลือบไปเห็นหนังสือปกสีเหลืองที่วางอยู่บนตู้หัวเตียง


อา…ใช่แล้ว บทละคร


หูของโลก้าตั้งขึ้นมาจนผ้าขนหนูหลุดออก เธอถอดเสื้อคลุมพร้อมกับมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ก่อนจะหยิบเอาบทละครมาไว้ในมือ


เลดี้เมย์ แลนนิสคนนั้นเหมือนจะบอกเอาไว้ว่าสิ่งแรกที่เธอต้องทำคือทำความคุ้นเคยกับเนื้อเรื่องเสียก่อน ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจก็ให้ไปถามเธอได้ทุกเมื่อ


แต่ว่านี่ไม่ใช่คำถามที่อยู่ในใจของเธอ


เธอแค่อยากรู้ว่าในสายตาของชีคแล้ว เขาคิดยังไงกับเธอกันแน่?


ในเมื่อนี่เป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาให้เธอโดยเฉพาะ บางทีมันอาจจะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงก็ได้


โลก้าสูดหายใจพร้อมพลิกหน้าปก


จากนั้นชื่อหนังสือแถวหนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอ


‘หัวใจแห่งหมาป่า’


1008 หัวใจแห่งหมาป่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

‘ในเมืองแห่งขุนเขาแห่งหนึ่งที่ด้านหลังติดกับเทือกเขา ส่วนด้านหน้านั้นหันหน้าให้กับทุ่งหญ้ามีเจ้าหญิงองค์น้อยน่ารักใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้สองคน ทั้งสองคนรักใคร่กันมาก พวกเธอแทบจะไม่เคยอยู่ห่างกันเลย ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็จะได้รับการชื่นชมรักใคร่จากประชาชน’


‘แต่เสียดายที่เรื่องดีๆ นั้นเกิดขึ้นไม่นาน ในตอนที่เจ้าหญิงองค์โตอายุได้ 14 ปี เธอได้ตื่นรู้กลายเป็นแม่มด ความจริงนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ได้ก็เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากแม่มด ทว่าปัญหานั้นอยู่ที่ว่าพลังที่เจ้าหญิงองค์โตได้รับมานั้นแปลกประหลาดอย่างมาก เพราะมันไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เธอดูงดงามขึ้น แต่ยังไปทำลายใบหน้าที่งดงามอยู่แต่เดิมของเธอด้วย’


‘ใบหูของเธอค่อยๆ หดหายไป บนหัวมีหูปลายแหลมที่มีขนฟูฟ่องปกคลุมงอกขึ้นมาแทน นิ้วมือของเธอเองก็ยาวขึ้น อีกทั้งยังมีขนที่ยากจะโกนออกได้ปกคลุมอยู่เต็มไปหมดด้วย แม้แต่หน้าของเธอก็เริ่มดูไม่ค่อยเหมือนคนเท่าไร’


‘ไม่เคยมีใครเคยเห็นแม่มดแบบนี้มาก่อน แม้แต่พระอาจารย์ที่อยู่ในวังก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่านี่เป็นเพราะการตื่นรู้ของเธอหรือไม่’


‘ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มพูดขึ้นมา แต่หลังจากที่สภาพของเจ้าหญิงองค์โตไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ภายในวังจึงค่อยๆ มีข่าวลือหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่เป็น ‘คำสาป’’


อย่างนั้นข้าต้องแสดงเป็นพี่สาวเหรอ? โลก้าแอบลูบใบหน้าของตัวเอง ยังดี…แก้มทั้งสองข้างของเธอไม่มีขนงอกออกมา


แต่ว่าชีคเขียนดูน่ากลัวไปหน่อยหรือเปล่า ที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเธอใช้พลังซ้ำๆ ต่างหาก ถ้าตอนที่เธอตื่นรู้ขึ้นมาแล้วมีสภาพเป็นแบบนี้ล่ะก็ คนอื่นๆ คงแสดงท่าทีรังเกียจเธอมากกว่านี้แล้ว


บางทีตรงนี้น่าจะเปลี่ยนนิดหน่อย?


หมาป่าสาวพลิกตัวเพื่อเปลี่ยนท่าให้สบายขึ้น ก่อนจะพลิกอ่านหน้าต่อไปอย่างสนอกสนใจ


‘ถึงแม้น้องสาวจะไม่สนใจเรื่องที่พี่สาวของเธอเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่ตัวพี่สาวกลับรู้สึกถึงพลังในร่างกายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะควบคุมมันเอาไว้ได้ เพื่อที่จะไม่ทำให้น้องของเธอได้รับบาดเจ็บ เธอจึงเลือกที่จะขังตัวเองเอาไว้ในส่วนลึกของพระราชวัง’


‘ทั้งสองคนที่ไม่ได้พูดคุยกันจึงทำให้เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น’


‘ไม่นานทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยกัน 4 ปี’


‘กระทั่งในฤดูหนาวที่น้องสาวอายุ 16 ปี เรื่องราวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง’


‘เจ้าชายจากต่างแดนพระองค์หนึ่งเดินทางมาถึงเมืองแห่งขุนเขาพร้อมบอกว่าต้องการแต่งงานกับเจ้าหญิงองค์เล็ก ขบวนรถของเขาเรียงยาวออกไปเกือบสองกิโลเมตร ลูกน้องของเขายกย่องเขาว่าเป็นราชาของโลก เพชรนิลจินดาที่อยู่บนร่างกายเขาเปล่งประกายมากกว่าแสงอาทิตย์ ใบหน้าของเขาหล่อเหลาจนหญิงสาวในเมืองไม่อาจละสายตาไปได้’


‘พระราชายินดีเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติท่านนี้’


‘ขุนนางทุกคนต่างก็ยกย่องเขา พร้อมกับบอกว่าถ้าเจ้าหญิงแต่งงานกับคนๆ นี้ได้ เมืองแห่งนี้จะร่ำรวยและเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างมาก’


‘ข้าไม่เห็นด้วย!’


‘ทันใดนั้นเอง เจ้าหญิงองค์โตที่ไม่เคยโผล่หน้ามาเป็นเวลานานก็ปรากฏตัวขึ้นภายในงานเลี้ยง’


‘เธอไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ แล้วมองดูคนอื่นพรากน้องสาวของตัวเองไปได้’


‘ความห่างเหินที่ผ่านมา 4 ปีกลับทำให้น้องสาวเกิดความสงสัย’


‘ความเสียใจและความผิดหวังทำให้เธอไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้ เธอไม่เพียงแต่ทำลายงานเลี้ยงจนพังพินาศ แต่เธอยังทำร้ายเจ้าชายต่างแดนจนได้รับบาดเจ็บด้วย จากนั้นเธอจึงหนีออกไปจากเมืองแห่งขุนเขา’


เฮ้อ…เจ้าโง่นี่ โลก้ากุมขมับขึ้นมา ความสามารถมันต้องฝึกฝนบ่อยๆ ถึงจะควบคุมได้ เจ้าหญิงองค์โตคงจะไม่ได้ฝึกฝนแน่ๆ ถึงได้ไม่คุ้นเคยกับพลังขนาดนี้ ถ้าเป็นเธอล่ะก็ เธอจะให้พ่อของตัวเองสร้างสนามฝึกซ้อมขึ้นมา แล้วก็ฝึกซ้อมสู้กับคนอื่นในนั้นทุกวัน แบบนี้ต่างหากถึงจะทำให้เติบโตได้อย่างแท้จริง


เหมือนอย่างในปีที่ 2 หลังจากที่เธอตื่นรู้ขึ้นมา เธอก็สามารถใช้มือที่อยู่ในสภาพของหมาป่ากำแก้วเอาไว้โดยไม่ให้มันแตกได้


ตอนนี้โลก้านึกว่าจะเปิดอ่านแค่ผ่านๆ แต่ตอนที่อ่านมาถึงตรงนี้ เธอกลับพบว่าตัวเองไม่สามารถหยุดอ่านได้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังรู้สึกอยากรู้ด้วยว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร


‘หลังพี่สาวออกไปจากเมือง เธอก็ได้ปลดเปลื้องพันธนาการทั้งหมดที่มัดตัวเองเอาไว้ จากนั้นเธอก็ได้กลายเป็นหมาป่ายักษ์อย่างแท้จริงในวันที่เธอบรรลุนิติภาวะ ขณะเดียวกันเธอก็พบถึงความผิดปกติของเจ้าชายต่างแดน เห็นๆ อยู่ว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาวที่มีหิมะตกโปรยปราย แต่ตรงขบวนรถที่ยาวเหยียดกลับไม่มีรอยล้อรถเลย ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนที่ทั่วทุกที่ถูกความหนาวเย็นเข้าปกคลุม ภายในตัวรถก็ไม่มีดวงไฟแม้แต่ดวงเดียว เหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในรถนั้นไม่ใช่มนุษย์’


‘อีกด้านหนึ่งนอกสาวเองก็รู้สึกผิด บนโลกนี้สิ่งเดียวที่เธอไม่อยากสูญเสียไปก็คือพี่สาวของเธอ ด้วยความช่วยเหลือจากนกพิราบและปลาที่เป็นเพื่อนของเธอ เธอได้หนีออกมาจากพระราชวังเพื่อจะไปตามหาพี่สาวของเธอ’


‘ระหว่างทาง เธอได้เจอกับเจ้าชายที่ไล่ตามเธอมา หลังจากที่การโน้มน้าวไม่เป็นผล สุดท้ายเจ้าชายจึงไม่ปิดบังตัวเองอีกต่อไป เขากระชากหน้ากากและเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองออกมา แท้ที่จริงแล้วเขาคือราชาปีศาจผู้เจ้าเล่ห์ มันอธิบายเรื่องราวทุกอย่างออกมาให้เจ้าหญิงฟังว่าเมืองแห่งขุนเขานั้นเป็นเมืองที่บุกโจมตีเข้าไปได้ยาก ถ้าสามารถทำลายการป้องกันจากด้านในได้ กองทัพของปีศาจก็จะบุกเข้าไปในเมืองได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เส้นทางลับของเมืองในการลำเลียงเอาอาวุธเข้าไปในยังใจกลางเมืองได้ด้วย ในเวลานี้ลูกน้องของมันได้ซ่อนตัวอยู่ในขบวนรถที่เป็นภาพมายา และกำลังค่อยๆ เคลื่อนผ่านประตูเมืองที่เปิดอ้าอยู่เข้าไปในเมือง ไม่ว่ามนุษย์จะทำอย่างไรมันก็สายไปเสียแล้ว!’


‘ถึงแม้น้องสาวจะถูกจับไป แต่นกพิราบกลับแอบได้ยินเรื่องราวที่น่าตกใจนี้ มันจึงรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพี่สาว เจ้าหญิงองค์โตรีบกลับมาและบุกเข้าไปในเมืองที่กำลังตกอยู่ในความโกลาหลอย่างไม่ลังเล เธอช่วยเหล่าทหารในการกู้สถานการณ์กลับมา ก่อนจะพาผู้คนที่ตาสว่างบุกเข้าไปในพระราชวัง’


‘ศึกตัดสินระหว่างราชาปีศาจกับแม่มดหมาป่าได้เริ่มต้นขึ้น’


‘หลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายเจ้าหญิงองค์โตก็สามารถสังหารศัตรู พร้อมทั้งช่วยเหลือน้องสาวกับอาณาจักรเอาไว้ได้ แต่ตัวเธอก็ต้องจากโลกนี้ไปเพราะได้รับบาดเจ็บหนัก หลังเจ้าหญิงองค์ที่สองได้ขึ้นครองราชย์ เธอก็ได้สร้างรูปปั้นที่เป็นอนุสาวรีย์ขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงพี่สาวของตัวเอง เรื่องราวที่น่าประทับใจนี้กลายเป็นที่จดจำและเล่าสืบต่อกันต่อไป…’


โลก้าปิดหนังสือลง เธอนวดคอที่เมื่อยล้าของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจออกมา


เธอสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ!


ในสายตาของเธอ ตัวเธอนั้นคือนักรบที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่เพียงสามารถปกป้องพวกพ้องได้ แต่เธอยังช่วยเหลือทั้งอาณาจักรเอาไว้ได้ด้วย การให้เกียรติอันนี้ทำให้หางของเธอถึงกับตั้งชี้ขึ้นมา


ส่วนเรื่องที่สุดท้ายเธอต้องตายลงไปพร้อมกับศัตรูนั้น เธอไม่ได้ใส่ใจมันแม้แต่น้อย การตายในการต่อสู้นั้นถือเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง ศัตรูยิ่งแข็งแกร่ง เกียรติตรงนี้ก็ยิ่งสูง แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เธอไม่ใส่ใจก็เป็นเพราะเจ้าหญิงองค์โตที่อยู่ในเรื่องไม่มีคุณหนูนาน่า


แต่ว่าในบทละครนี้ก็ยังมีอีกหลายที่ที่เธอไม่เข้าใจ


อย่างเช่นทำไมพี่สาวต้องเสียใจที่น้องสาวจะแต่งงานด้วย? ในตอนนั้นศัตรูยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนออกมาเลย เมื่อเจอกับคู่แต่งงานที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ไม่ว่าดูยังไงเธอก็ควรจะยินดีกับน้องสาวถึงจะถูก


แล้วราชาปีศาจแค่จับตัวเจ้าหญิงองค์ที่สองกลับมาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมถึงต้องอธิบายเรื่องราวทุกอย่างซะละเอียดด้วย เหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจเรื่องราวอย่างไรอย่างนั้น ช่างประมาทเสียจริงๆ


แต่…จะไปสนใจทำไมล่ะ


ในเมื่อรับปากชีคไปแล้ว อย่างนั้นเธอก็ตั้งใจเล่นละคร…ไม่สิ เล่นหนังเวทมนตร์ให้ดีแล้วกัน ส่วนเรื่องฝึกซ้อมนั่น…เลื่อนออกไปอีกซักครึ่งเดือนคงไม่เป็นไร


โลก้าบิดขี้เกียจอย่างภูมิใจ ก่อนจะนอนหลับลงไปพร้อมรอยยิ้ม


1009 คำสัญญา

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


หลังจากนั้นสามวัน การถ่ายทำ ‘หัวใจแห่งหมาป่า’ ก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ


โรแลนด์คาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้วว่านี่จะต้องเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่อย่างมากแน่ แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะน่าสนใจถึงเพียงนี้


แค่ในวันแรกของการถ่ายทำก็สามารถดึงดูดความสนใจของแม่มดทั้งสโมสรแม่มดเอาไว้ได้แล้ว


ถึงแม้พวกเธอจะไม่เคยดูหนังที่แท้จริงมาก่อน แต่พวกเธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความสุดยอดของการแสดงนี้จากการซ้อมของเหล่านักแสดง ยิ่งไปกว่านั้นนักแสดงส่วนหนึ่งจะเป็นแม่มดของทาคิลาด้วย เมื่อมีคำบอกเล่าจากคนที่เคยไปดูหนังมาแล้วจริงๆ นี่ยิ่งทำให้ความน่าดึงดูดของหนังเวทมนตร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก


ถ้าทำแบบสอบถามเหล่าแม่มดในหัวข้อ ‘สถานที่ที่เจ้าอยากจะไปมากที่สุด’ คำตอบของทุกคนจะต้องเป็นโลกแห่งความฝันแน่นอน


พวกเธอไม่สามารถเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้ แต่ตอนนี้พวกเธอกลับมีโอกาสได้เห็นการแสดงที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน ความเย้ายวนตรงนี้ย่อมไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน


วันถัดมา การกินการเล่นไพ่ที่ปกติจะมีตั้งแต่เช้ายันเย็นหายไปทันที สิ่งที่เขามาแทนที่คือเสียงเรียกร้องที่จะขอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทำ แม้แต่ทิลลีเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน


ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากขอร้องเขา


ด้วยเหตุนี้กลุ่มนักแสดงจึงต้องมีการเปลี่ยนตัวอย่างกะทันหัน ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิต โรแลนด์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้พวกเธอเข้ามาแสดงด้วย และการเข้ามามีส่วนร่วมของแม่มดก็ยิ่งทำให้ทิศทางของการแสดงแปลกไปจากเดิม


อย่างเช่นตากล้องที่เปลี่ยนจากเอมี่เป็นไลต์นิ่ง


เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของพี่สาวและน้องสาวกับชีวิตที่มีความสุขในวัยเด็ก สาวน้อยจึงค่อยๆ บินลงมาจากบนฟ้าเหนือเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่มีลมหนาวพัดโบกเพื่อเก็บภาพเมืองที่มีหิมะปกคลุมเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นบินผ่านถนนและผู้คนที่เดินไปเดินมา ก่อนจะบินทะลุเข้าไปในหน้าต่างของปราสาท แล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าเตาผิงที่มีไฟลุกโชน เมืองอันใหญ่โตและห้องนอนอันคับแคบ หิมะและเปลวไฟ ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาและสองพี่น้องที่หัวเราะอย่างมีความสุข การเปรียบเทียบทั้งสามนี้ได้แสดงให้เห็นถึงภาพโลกที่อยู่ภายในใจของทั้งสองคนที่เชื่อมต่อกันไว้อย่างเหนียวแน่น


โรแลนด์เสียเวลาอยู่นานในการอธิบายเรื่อง ‘กล้อง’ ให้ทุกคนฟัง จนสุดท้ายต้องใช้ฝีมือการวาดภาพอันห่วยแตกของเขาเข้ามาช่วยด้วยถึงจะทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายของ ‘กล้อง’


ขณะเดียวกันเขายังสังเกตเห็นว่าในตอนที่ตัวเองกำลังอธิบายเรื่องเทคนิคการถ่ายวีดีโอพื้นฐานอยู่ ในสายตาของเมย์ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นประกายอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้


เขาต้องยอมรับเลยว่าดวงดาราแห่งดินแดนตะวันตกนั้นมีพรสวรรค์ในเรื่องการแสดงที่เหนือว่าคนทั่วไปจริงๆ มันเหมือนกับว่าเธอสามารถสร้างภาพทั้งหมดเอาไว้ในหัวและสามารถเอาทุกตัวละครที่อยู่บนเวทีมาใช้ประโยชน์ได้ จุดเด่นตรงนี้บางทีอาจจะเห็นไม่ชัดนักในละครเวทีซึ่งเป็นการแสดงที่อยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่ถูกกำหนดเอาไว้ แต่หลังจากเปลี่ยนมาเป็นภาษากล้องแล้ว เธอก็เหมือนว่ามีช่องทางให้เธอได้ระบายความสามารถของเธอออกมา


ส่วนเอรินที่ถูกยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะอีกคนหนึ่งนั้นเหมือนจะไม่มีพรสวรรค์ตรงนี้


การปรับเปลี่ยนมุมมองหลังจากนั้นกลายเป็นเรื่องปกติ


จากตอนแรกที่ลอกเลียนแบบวิธีถ่ายจากเขาเพียงอย่างเดียว เธอก็เริ่มสามารถแต่งเติมบางอย่างเข้าไปได้เอง ซึ่งการเรียนรู้ตรงนี้เธอใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น


วิธีถ่ายทำบางอย่างทำให้เขานึกถึงกลิ่นอายในภาพยนตร์สมัยปัจจุบัน


ในตอนที่ราชาจากต่างแดนปรากฏขึ้นในฉาก เธอใช้วิธีถ่ายจากมุมเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายออกไปเป็นภาพรวมทั้งหมด ตอนแรกเธอถ่ายไปที่รองเท้าบู๊ทที่มีอัญมณีฝังอยู่เต็มไปหมด จากนั้นจึงเลื่อนขึ้นมาเป็นเสื้อคลุมและเสื้อแพรที่ทอประกายระยิบระยับ สุดท้ายจึงเป็นใบหน้าอันหล่อเหลาพร้อมกับรอยยิ้มของเจ้าชาย ก่อนจะขยายให้เห็นภาพของแถวคนใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา ซึ่งช่วยแสดงความร่ำรวยและอำนาจของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ อนึ่ง คนที่แสดงเป็นเจ้าชายก็คือคาร์เตอร์ แลนนิสสามีของเธอ ถึงแม้โรแลนด์จะไม่อยากยอมรับ แต่หัวหน้าอัศวินที่ผ่านการแต่งตัวอย่างพิถีพิถันนั้นเหมาะที่จะเป็นตัวแทนของความหล่อเหลาของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จริงๆ


แต่วิธีการใช้กล้องนั้นเป็นเพียงแค่ด้านหนึ่งของประสบการณ์อันแปลกใหม่เท่านั้น


สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกตกใจมากกว่านั้นก็คือการปรากฏตัวของสเปเชียลเอฟเฟค


ในทุกๆ วันมักจะมีไอเดียใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมา และนี่ก็ทำให้วิชวลเอฟเฟคอันน่าเหลือเชื่อถือกำเนิดขึ้นมา


อย่างเช่นโซโรยาที่วาดภาพพื้นหลังสามมิติที่เหมือนจริงอย่างมากขึ้นมา


หรืออย่างสเปเชียลเอฟเฟคสายฟ้าที่ชารอนเป็นคนสร้างขึ้นมา


นอกจากนี้ยังมีการค่อยๆ หายตัวไปในหมอกมายาของไนติงเกล ผู้ช่วยวิเศษของมอลลี การแบ่งร่างของชาโดว์…


เมซี่นั้นแสดงเป็นสองบทบาท หนึ่งคือนกพิราบที่เป็นเพื่อนสนิทของน้องสาว และสัตว์อสูรที่เป็นสุดยอดนักรบของราชาปีศาจ โดยในเรื่องเธอจะสู้กับหมาป่าสาวอย่างดุเดือดชนิดที่ว่าพื้นดินสั่นสะเทือน สัตว์ชนิดต่างๆ พากันแตกตื่นหนีออกมา


แน่นอนว่าสเปเชียลเอฟเฟคเหล่านี้ต้องให้โลตัสกับฮันนี่ช่วยเหลือ


ในตอนที่หนังเวทมนตร์ถ่ายทำไปได้ครึ่งหนึ่ง คนที่เข้าร่วมการแสดงก็มีมากกว่า 300 คนแล้ว…ไม่ใช่แค่สโมสรแม่มดเท่านั้น แต่มนตร์แห่งสลีปปิ้งกับแม่มดของทาคิลาก็รู้สึกสนใจอย่างมาก แทนที่จะบอกว่านี่เป็นการแสดง ควรจะบอกว่านี่เป็นการเล่นสนุกของพวกเธอจะมากกว่า


โรแลนด์ที่ยืนอยู่บนกำแพงมองดูภาพพวกเธอที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ภายในใจเขาอดรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้


เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากลุ่มแม่มดที่แตกออกเป็นสามกลุ่มจะกลับมาใกล้ชิดสนิทสนมกันด้วยการถ่ายภาพยนตร์แบบนี้ ก่อนหน้านี้ความสามัคคีเป็นกลุ่มก้อนของพวกเธอเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน เขายังพอเห็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างพวกเธออยู่บ้าง แต่ในเวลานี้การแบ่งแยกแบบนั้นไม่มีเหลืออยู่แล้ว


ไม่ว่าจะมีความสามารถแบบไหน ทุกคนก็จะเอามันออกมาใช้ในเรื่องเดียวกัน ไม่มีการแบ่งว่าความสามารถใครแข็งแกร่งกว่าใคร แล้วก็ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครอยู่ฝ่ายไหนด้วย ขอเพียงใช้ความคิดนิดหน่อย ทุกคนก็จะเจอที่ๆ ของตัวเองในนั้น ความรู้สึกแบบนี้ได้ละลายความแตกต่างระหว่างกันและกันไปโดยไม่รู้ตัว และทำให้ผลงานสร้างสรรค์อันนี้กลายเป็นสายสัมพันธ์ที่เชื่อมทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน


สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเซอร์ไพรส์ที่เขาคาดคิดไม่ถึงจริงๆ


โรแลนด์พ่นลมหายใจสีขาวออกมา ก่อนจะหันไปมองอันนา “เจ้าไม่ลงไปพักผ่อนกับพวกนางเหรอ?”


ตอนแรกไนติงเกลก็ลงไปถ่ายแค่เฉพาะในตอนที่ต้องใช้พลังของเธอเท่านั้น แต่สุดท้ายเธอก็สนุกอยู่ตรงนั้นจนไม่ยอมออกมา


“อีกเดี๋ยวต้องไปทำงานต่อแล้วเพคะ” อันนายื่นมือออกมา เผยให้เห็นคราบจารบีที่อยู่ตรงปลายแขนเสื้อ “ขนาดของชิ้นส่วนเครื่องยนตร์สันดาปภายในที่อยู่บนแปลนไม่สามารถใช้ได้ มันยังต้องทำการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย นอกจากนี้…”


“หืม?” โรแลนด์กะพริบตา


“การอยู่กับพระองค์ก็เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดแล้วเพคะ” เธอยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเอาศีรษะซบไปบนไหล่ของเขา


เปลวไฟอันร้อนแรงแผ่กระจายออกมา ช่วยพัดพาเอาความเย็นจากลมหนาวออกไป


โรแลนด์เองก็ปิดปาก แล้วก็ดื่มด่ำความสงบจากการพักผ่อนนี้กับเธอ


ผ่านไปครู่หนึ่ง อันนาจึงพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “อนาคตที่พระองค์ทรงสัญญาเอาไว้ ตอนนี้กลายเป็นจริงแล้วนะเพคะ”


เขามองตามสายตาของอีกฝ่ายลงไปด้านล่าง ภายในกลุ่มการแสดงดูมีสนิทสนมกลมกลืนขึ้นมา นี่ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มแม่มดเท่านั้น แต่รวมไปถึงกลุ่มคนธรรมดาด้วย เมย์กำลังทำสัญญาณมือเหมือนกำลังสอนโลก้ากับคาร์เตอร์ว่าต้องเล่นคู่กันอย่างไร เอรินนั่งยองๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง มือของเธอกำลังลูบหัวให้เมซี่อย่างมีความสุข ส่วนเมซี่ก็ทำหน้าทำตาเหมือนกำลังเคลิ้มอยู่ สมาชิกใหม่ในคณะนักแสดงพูดคุยกับแม่มดอาญาสิทธิ์พร้อมกับวางอุปกรณ์สำหรับเข้าฉากต่อไปเอาไว้ เมื่อเทียบกับในโรงงานที่มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจนแล้ว ความสัมพันธ์ ณ ที่ตรงนี้ดูเป็นธรรมชาติและมีความกลมกลืนกันมากกว่า


ไม่เกี่ยวกับความสามารถ ทุกคนกลายเป็นคนเหมือนกันท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา


“ไม่ ยังมีอีกส่วนหนึ่งยังไม่กลายเป็นจริง” โรแลนด์ส่ายหัว


“พระองค์ทรงหมายถึงดินแดนอื่นในเกรย์คาสเซิลเหรอเพคะ? เมืองเหล่านั้นก็น่าจะอีกไม่นานหรอกเพคะ”


“ข้าไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์ของคนธรรมดากับแม่มด หากแต่เป็นคำสัญญาอีกอันหนึ่ง” เขาตอบยิ้มๆ “เดิมข้าคิดว่าควรจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อน แล้วค่อยๆ ทำให้มันกลายเป็นจริงทีละขั้น แต่ตอนนี้ข้าพบว่าความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นจะมีหรือไม่มีไม่ได้สำคัญเลย สิ่งสำคัญนั้นคือการไปทำมัน ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น สุดท้ายมันก็ต้องมีวิธีแก้ไขของมันอยู่ ก็เหมือนกับการถ่ายภาพยนตร์ครั้งนี้ที่เป็นเพราะว่ามันไม่มีกฏอะไรเนี่ยแหละ มันถึงได้สร้างความประหลาดใจได้มากถึงเพียงนี้”


“อย่างนั้นสัญญาอันนั้นคือ…”อันนาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินกะพริบปริบๆ บนดวงตาที่เป็นเหมือนทะเลสาบสีน้ำเงิน เขาเหมือนจะมองเห็นหิมะที่สะท้อนออกมา


“ขึ้นครองราชย์” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ “จากนั้นก็แต่งงานกับเจ้า”


1010 ผู้สืบทอด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท ขอทรงไตร่ตรองก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” ยังไม่ทันที่จะได้ไปปรึกษาคนอื่น เสียงร้องละล่ำละลักของหัวหน้าสำนักงานเมืองก็ดังขึ้นที่นอกประตู


กระทั่งตอนที่บารอฟยืนหอบหายใจอยู่หน้าโต๊ะทำงาน โรแลนด์จึงวางแก้วชาในมือลงด้วยสีหน้าใจเย็น “ไตร่ตรองเรื่องอะไร? พิธีราชาภิเษกเหรอ?”


“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหมายถึง…เรื่องที่พระองค์จะทรงประกาศไปทั่วอาณาจักร เรื่องที่จะทรงอภิเษกกับแม่มดน่ะพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักงานเมืองเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหัว ส่วนสายตาก็แอบเหลือบมองไปทางด้านหลังจากโรแลนด์ “เรื่องนี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”


หลังจากแจ้งเรื่องนี้ไปทางสำนักงานเมืองแล้ว โรแลนด์ก็รู้ว่าข่าวนี้จะต้องสร้างแรงกระเพื่อมไม่น้อยแน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ถ้าอยากจะกำจัดอุปสรรคออกไป พวกแรกที่ต้องจัดการก็คือสำนักงานเมือง


เขาไม่ได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หลังจากเดินแห่งปีศาจสิ้นสุดลง เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะกลับไปโจมตีฐานที่มั่นของพวกปีศาจตรงซากเมืองทาคิลาอีกครั้ง อีกทั้งยังมีการเพาะปลูก แผนการก่อสร้างใหม่และเรื่องการค้าอีก เรียกได้ว่าทั่วทั้งเกรย์คาสเซิลจะยุ่งตลอดทั้งปี ถ้าจัดพิธีราชาภิเษกตามปกติ ตั้งแต่เรื่องเชิญแขกไปจนถึงงานพิธี


จะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือน ถ้ารวมงานแต่งงานเข้าไปด้วยก็จะนานกว่านั้น นี่เท่ากับเป็นการถ่วงเรื่องการผลิตของอาณาจักรเอาไว้ ถ้าเป็นเวลาปกติก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไร


แต่ฤดูหนาวในปีนี้มีความสงบอย่างมาก การจัดงานจะช่วยสร้างชีวิตชีวาให้กับประชาชน อีกทั้งยังช่วยกำจัดปัญหาความขัดแย้งภายในอาณาจักรด้วย


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือโรแลนด์อยากจะทำคำสัญญานี้ให้กลายเป็นจริงเร็วๆ


แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นราชาผู้กุมอำนาจ เขาสามารถทำให้คำสัญญากลายเป็นจริงได้ด้วยอำนาจของตัวเอง ในประวัติศาสตร์ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งที่ไร้สาระหรือคำขอที่ดูน่าเหลือเชื่อก็ล้วนแต่กลายเป็นจริงได้ด้วยความปรารถนาของผู้ปกครอง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เขาจะทำนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงอะไร เพียงแต่ในเมื่อเขาเป็นคนสร้างกรอบการทำงานของสำนักงานเมืองขึ้นมา หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากฉีกมันทิ้งด้วยมือของตัวเอง


การใช้อำนาจภายในกฎเกณฑ์นั้นได้ผลดีกว่าการใช้อำนาจตามอำเภอใจ


“เหตุผลล่ะ?” โรแลนด์เคาะโต๊ะ จงใจถามคำถามนี้ออกไป


“ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องผู้สืบทอดพ่ะย่ะค่ะ..” บารอฟรีบพูด “แม่มดไม่สามารถให้กำเนิดได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดี โดยเฉพาะในช่วงที่สงครามใหญ่กำลังมาถึงเช่นนี้ หากพระองค์ทรงเป็นอะไรไป พวกขุนนางอื่นๆ ก็จะก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีก ประชาชนเองก็ไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” เขากลืนน้ำลาย “ถ้าพระองค์ทรงต้องการเพียงแค่ได้อยู่กับเลดี้อันนา ความจริงพระองค์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”


“อ้อ? ความหมายของเจ้าคือ…”


“พระองค์เพียงแค่อภิเษกกับลูกสาวคนนางซักคนก็พอพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักงานเมืองพูดแผนการออกมา “นางสามารถใช้ปิดปากชาวบ้านได้ แล้วก็ให้นางโผล่หน้าออกมาในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนหลังจากนั้นพระองค์จะทำยังไงกับนางก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้แล้วพระองค์จะทรงทำในเรื่องที่พระองค์อยากทำได้พ่ะย่ะค่ะ”


“อย่างนั้นอันนาก็ไม่สามารถเป็นราชินีได้?” จู่ๆ ไนติงเกลก็พูดแทรกขึ้นมา “แค่เพียงเพราะว่านางเป็นแม่มดอย่างนั้นเหรอ?”


“กระหม่อมคิดว่าเลดี้อันนาคงไม่สนใจสิ่งที่เป็นเปลือกนอกพวกนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพูดงึมงำ “นี่ก็เพื่อความมั่นคงของอาณาจักร หากฝ่าบาทคิดว่าพระองค์ไม่อาจตรัสเช่นนั้นได้ กระหม่อมสามารถพูดแทนพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”


“เจ้าไม่ใช่นาง จะไปรู้ได้ยังไงว่านางสนใจหรือเปล่า? เรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกแบบนี้ ข้ากล้าพนันเลยว่านางไม่อยากเห็นใครต้องมาเป็นหุ่นเชิดให้นางแน่นอน!”


“แต่นี่มันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึก หากแต่เป็นเรื่อง…”


“พอได้แล้ว” โรแลนด์ยกมือขึ้นมา “พูดไปพูดมา ขอเพียงหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมมาซักคนก็พอใช่ไหม?”


“ผู้สืบ…ทอด?” บารอฟงุนงง


“หรือว่าไม่ใช่?” เขาแสดงทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ว่า “หลังเอาชนะพระสังฆราชของศาสนจักรได้ ข้าก็ได้รับอายุขัยทั้งหมดของนางมา ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการให้ใครมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของข้า และนี่ก็เป็นเหตุผลที่จากตัดสินจะแต่งงานกับอันนา เสียดายที่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ นั่นรวมไปถึงเจ้าด้วย สำหรับประชาชนที่ไม่เข้าใจเรื่องพลังเวทมนตร์แล้ว หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เกรงว่าพวกเขาคงยากที่จะเชื่อเรื่องนี้ได้ และก็ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องหาใครซักคนมาเป็นหลักให้พวกเขาฝากความหวังเอาไว้ หรือก็คือผู้สืบทอดนั่นแหละ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลใจ ข้าพูดถูกไหม?”


หลังทำศึกกับศาสนจักรที่สันเขาโคลด์วินด์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานเมืองจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้ว่าเขาได้เอาชนะในสงครามแห่งวิญญาณมา ผู้ชนะได้ทุกสิ่ง ผู้แพ้สูญเสียทุกสิ่ง ถึงแม้ฟังดูแล้วจะน่าเหลือเชื่ออย่างมาก แต่การปรากฏตัวของแม่มดโบราณและการเคลื่อนย้ายวิญญาณได้ทำให้เรื่องที่เขาได้รับอายุขัยมามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และหลังจากที่เขาใช้เหตุผลนี้พูดกล่อมพาซาร์ในการประชุมของกองทัพพันธมิตร ทุกคนก็ยอมรับคำพูดนี้ไปโดยปริยาย


“ใช่ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหมายความเช่นนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าไปในหลุมพรางทีละน้อยๆ “ขอเพียงมีผู้สืบทอดแต่ในนามขึ้นมาซักคน เสียงคัดค้านในอภิเษกก็จะหายไปพ่ะย่ะค่ะ”


“อย่างนั้นข้ามีวิธีหนึ่งที่ง่ายกว่าของเจ้า” โรแลนด์ยักไหล่ “ตอนที่บุกเข้าไปโจมตีเฮอร์มีสเมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้บังเอิญเจอกับคนรักของกูลอน วิมเบิลดัน และสาวในร้านเหล้าผู้นี้ก็ตั้งท้องสายเลือดของเขาอยู่”


“พระองค์…ว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” หัวหน้าสำนักงานเมืองตาโตขึ้นมาทันที “พระองค์ทรงแน่ใจว่าเด็กคนนั้นคือสายเลือดของ…”


“อือ ผมกับดวงตาเป็นสีเทา” เขาพยักหน้า


“ทำไม ทำไมตอนนั้นพระองค์ทรงไม่บอกกระหม่อมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”


“ถ้าเจ้ารู้ สองแม่ลูกนั่นจะอยู่มาได้ถึงตอนนี้หรือเปล่าล่ะ” โรแลนด์หยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ “ว่าไง ผู้สืบทอดที่มีตัวตน สะดวกกว่าวิธีของเจ้าหรือเปล่าล่ะ?”


ผู้สืบทอดที่ไม่มีวันจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆ ด้วย แล้วก็ยังสามารถถูกแทนที่ได้ทุกเมื่อ….เมื่อเห็นสายตาหลุกหลิกไปมาของบารอฟ โรแลนด์ก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้อยู่แน่ แถมเขายังไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่ประกาศต่อประชาชนว่ามีคนๆ นี้อยู่ จากนั้นก็เรียกเขากลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็พอ


ส่วนที่เหลือ ประชาชนก็จะพูดคุยและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปเอง


‘ถ้าแม่เป็นหญิงในร้านเหล้า เด็กนี่ก็ถือเป็นแค่ลูกนอกสมรสเท่านั้น ต้องสร้างสถานะที่สูงกว่านี้ให้เขา ไม่อย่างนั้นต้องเกิดเสียงคัดค้านขึ้นแน่ นอกจากนี้ต้องคอยดูสาวใช้คนนี้ให้ดี เทียบกับขุนนางแล้ว นางควบคุมได้ง่ายกว่ามาก…” บารอฟคิดคำนวนขึ้นมาในใจทันที


โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา เขานึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง ตอนที่เขาเพิ่งจะกลายเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่ของตระกูลวิมเบิลดัน ทว่าในตอนนั้นเขาจำเป็นต้องพูดอยู่นานกว่าจะดึงอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในจังหวะความคิดของตัวเองได้ แต่ตอนนี้เขาเพียงแค่พูดไม่กี่คำ อีกฝ่ายก็ตกหลุมพรางตัวเองแล้ว ขอเพียงออกมาจากปากเขา ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยว่ามันเป็นจริงหรือไม่ แม้แต่เรื่องที่เขาเป็นอมตะก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน


“เจ้าไปเตรียมแผนเถอะ แล้วก็ยังมีเรื่องพิธีราชาภิเษกด้วย เสร็จแล้วเอามาให้ข้าดู” เขาโบกมือเพื่อบอกให้อีกฝ่ายออกไปได้แล้ว


หลังบารอฟออกไป โรแลนด์จึงถอนหายใจออกมา “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะช่วยทวงความเป็นธรรมให้อันนา”


“ขออภัยเพคะ หม่อมฉัน…”


“ไม่ ไม่ต้องขอโทษ เจ้าไม่ได้ทำผิดเลย” เขามองดูไนติงเกล ก่อนจะพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูสงบกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้ “ข้าแค่นึกว่าเจ้าจะ…”


“จะอะไรเพคะ?” จะทำหน้าเศร้าเสียใจเหรอเพคะ?” ไนติงเกลกรอกตาใส่เขา “หม่อมฉันกลับคิดว่าพระองค์ทรงพูดถึงเรื่องนี้ช้าไปหน่อยมากกว่าเพคะ แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่อันนา หม่อมฉันก็ไม่มีทางยอมหรอกเพคะ”


เมื่อคิดถึงครั้งนั้นที่ทางหายตัวไปสองวันก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โรแลนด์จึงได้แต่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องเกี่ยวกับคำสัญญาระหว่างเธอกับอันนาอันนั้นแน่


ถึงแม้ในใจอยากจะรู้เรื่องนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)