Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 987 - 994
ตอนที่ 987 ศึกตัดสิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
อสูรสยองยักษ์ตัวนั้นเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอันตราย เมื่อเห็นเจ้านายล้มลง มันจึงรีบกางปีกเพื่อจะบินหนีไปทันที
เพื่อนๆ ของมันที่คอยช่วงดึงความสนใจจากปืนกลในตอนแรกต่างก็ถูกยิงตายไปจนหมดแล้ว ตัวมันเองก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนตอนที่ลงมาจากฟ้า ร่างกายอันใหญ่โตของมันกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงให้มันบินขึ้นไปบนฟ้าได้ช้าลง ถ้ามันยังอยู่บนพื้น บางทีพวกหน่วยปืนกลอาจจะไม่กล้ายิงมันเพราะกลัวกระสุนจะถูกพวกเดียวกันก็ได้ แต่พอมันบินขึ้นไปบนฟ้า พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลถึงปัญหานี้อีก
ทันใดนั้นเอง ปืนกลที่ใช้ยิงพวกอสูรสยองกว่าครึ่งต่างก็เล็งไปที่อสุรกายยักษ์
ม่านกระสุนที่สาดมาจากทั่วทุกทิศทุกทางเป็นเหมือนกับแส้ที่หวดเข้าไปที่อสูรสยอง ร่างกายตรงส่วนไหนที่มีเกราะก็จะมีประกายไฟแลบออกมา ร่างกายส่วนไหนที่เปลือยเปล่าก็จะถูกยิงจนเปื่อยยุ่ย ครั้งนี้มันถูกยิงร่วงตกลงมาที่พื้นโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ เลือดที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไหลทะลักออกมาจากรูกระสุนเหมือนรังผึ้ง ไม่นานบนร่างกายของมันก็มีแอ่งน้ำเลือดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
อกาธาถอนใจออกมา
ดูเหมือนโซอี้จะพูดถูก แม่มดอาญาสิทธิ์นั้นเป็นไพ่ตายที่เอาไว้ใช้จัดการกับปีศาจระดับสูงจริงๆ แล้วก็เป็นเหตุผลที่ทำให้แม่มดระดับสูงจำนวนมากในสมาพันธ์ต่างเห็นด้วยกับราชินีสตาร์ฟอล
พวกเธอสามารถสลายเวทมนตร์ได้ทุกเมื่อ แล้วก็ทำให้ข้อได้เปรียบของปีศาจระดับสูงที่มีพลังเวทมนตร์แตกต่างกันไปนั้นใช้ไม่ได้ผล อีกทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายก็ไม่ได้เป็นรองแม่มดอมนุษย์ ไม่เพียงแต่จะกำจัดจุดอ่อนของแม่มดในเรื่องที่พลังความสามารถไม่นิ่งได้แล้ว พวกเธอยังทำลายความได้เปรียบของศัตรูในเรื่องของจำนวนลงด้วย สำหรับสมาพันธ์ที่พ่ายแพ้จนต้องถอยร่นมาตลอดแล้ว นี่เรียกได้ว่าเป็นแสงสว่างที่อยู่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดอย่างไม่ต้องสงสัย
ตามความคิดที่ท่านอควาเรียสคิดเอาไว้ในตอนแรก ขอเพียงมีแม่มดสายสนับสนุนครึ่งหนึ่งทำการเปลี่ยนร่าง เช่นนั้นก็หมายความว่าสมาชิกแม่มดที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้นับพันๆ คนจะกลายเป็นสุดยอดนักรบ พวกแม่มดสายต่อสู้จะเป็นคนจัดการกับกองทัพปีศาจ แม่มดอาญาสิทธิ์จัดการปีศาจระดับสูง ส่วนพวกที่รับมือได้ยากที่สุดก็จะให้สุดยอดอมนุษย์เป็นคนจัดการ นี่คือศึกที่อาณาจักรแม่มดพยายามทำให้มันเกิดขึ้น
เมื่อคิดถึงว่าเดิมแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นเป็นนักฆ่าที่เอาไว้จำกัดปีศาจอยู่แล้ว การที่พวกเธอสามารถจัดการปีศาจระดับสูงได้รวดเร็วขนาดนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พูดอีกอย่างคือถ้าพวกเธอสิบกว่าคนไม่สามารถจัดการปีศาจระดับสูงเพียงตัวเดียวได้ ราชินีสตาร์ฟอลก็ต้องไม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับแผนการนี้แน่นอน
แต่ทุกอย่างมันก็ยังสายไป
อกาธามองไปยังโซอี้ที่ยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ภายในใจของเธออดรู้สึกทอดถอนใจออกมาไม่ได้
ถ้าสมาพันธ์ผลักดันแผนการนี้ตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มก่อตั้ง ไม่แน่ผลการรบในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองอาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมก็ได้ ในตอนนั้นถึงแม้มนุษย์จะแพ้จนต้องหนีออกมาจากดินแดนรุ่งอรุณ แต่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ยังมีเมืองอยู่อีกหลายเมือง มีประชาชนอยู่อีกนับสิบล้านคน ด้วยพื้นฐานเหล่านี้อาจจะทำให้สมาพันธ์สามารถสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองปีศาจขึ้นมาได้
แต่หลังจากที่พ่ายแพ้ในสงครามแห่งโชคชะตา สิ่งที่เหลือให้กับราชีนีสตาร์ฟอลนั้นมีเพียงดินแดนเล็กๆ กับคนอีกไม่ถึงหนึ่งล้านคน เกรงว่าตอนที่เธอทำการตัดสินใจอันนี้ออกมาในตอนนั้น ภายในใจเธอคงคิดเพียงแต่ว่าจะทำมันให้ดีที่สุดก็พอ
“เจ้าไม่ฆ่ามันเหรอ?” อกาธาเดินไปข้างโซอี้
ปีศาจระดับสูงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่ตาย ศัตรูที่น่าหวาดกลัวเหล่านี้ตายยากกว่าสุดยอดอมนุษย์เสียอีก ต่อให้ไม่ต้องตรวจสอบดูพลังเวทมนตร์ อกาธาก็รู้ว่าพลังเวทมนตร์ที่หลงเหลืออยู่ไม่เท่าไรของศัตรูกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะพยายามรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักนี้
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าปีศาจจะสามารถรอดจากการบาดเจ็บขนาดนี้ไปได้ ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายนั้นมีขีดจำกัดอยู่ ต่อให้ปล่อยมันทิ้งเอาไว้แบบนี้ไม่ทำอะไร สุดท้ายมันก็ต้องตายเพราะพลังเวทมนตร์ไหลออกไปจากร่างจนหมดอยู่ดี
นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมอกแดงที่ถูกใช้ไปเรื่อยๆ อยู่ทุกวินาทีเลย
น่าจะเป็นเพราะโซอี้อยากจะเป็นมันเจ็บปวดแบบนี้มากกว่าที่จะจัดการมันให้ตายไปในทีเดียว
“ข้าอยากจะไว้ชีวิตมันก่อน” แต่ว่าคำตอบของอีกฝ่ายกลับทำให้อกาธารู้สึกแปลกใจอย่างมาก “ปีศาจที่บุกมาโจมตีครั้งมีจำนวนเยอะมาก เราน่าจะยึดเอาถังหมอกแดงมาได้ไม่น้อย ถ้าเรารักษาบาดแผลกับคอยเติมหมอกแดงให้มัน มันน่าจะอยู่รอดไปได้อีกหลายวัน”
“เจ้าอยากจะทำอะไร?” แม่มดน้ำแข็งขมวดคิ้วขึ้นมา
“วางใจได้ ถึงแม้ตัวข้าอยากจะทำให้มันทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต แต่นั่นมันยังไม่ถึงเวลา” โซอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในแม่มดอีกกลุ่มหนึ่งเหมือนจะมีแม่มดที่สามารถเชื่อมต่อจิตใจได้อยู่ใช่ไหม?”
“เจ้าอยากจะให้นางเชื่อมต่อกับปีศาจเหรอ?” อกาธาถามอย่างตกใจ
โซอี้พยักหน้า “ข้ารู้ว่านี่มันจะต้องมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน แต่ถ้าทำได้ พวกเราก็จะมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับปีศาจแบบตรงๆ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ในหัวมันจะต้องมีสิ่งที่คุ้มค่าแก่การที่เราจะเสี่ยงอยู่แน่นอน!”
อกาธาคิดในใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อน นี่จะต้องเป็นความเย้ายวนที่แม่มดระดับสูงไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ยุคสมัยของสมาพันธ์อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทโรแลนด์หรือว่าทิลลี วิมเบิลดันก็ล้วนแต่ไม่มีทางบีบบังคับแม่มดเพื่อความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแน่นอน
นอกเสียจากคามิล่า แดริลจะยอมสมัครใจเอง
ในขณะที่เธอกำลังลังเล อีกด้านหนึ่งของสนามรบพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาหลายครั้ง!
เมื่อมองดูจากตรงนี้ จะเห็นว่าตรงแนวหน้าทางเหนือมีฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาเหมือนถูกอะไรบางอย่างกวาดผ่านไปอย่างไรอย่างนั้น
แต่เธอก็ไม่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาเลยแม้แต่นัดเดียว
หรือว่าศัตรูจะยังมีสัตว์อสูรเหลืออยู่อีก? หรือว่า…แนวป้องกันจะถูกปีศาจบุกเข้ามาแล้ว?
อกาธารีบกระตุ้นรูนสดับขึ้นมา “ซิลเวีย แนวหน้าเป็นยังไงบ้าง?”
“มีสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยเจอชนิดหนึ่งกำลังโจมตีใส่พวกเรา” เสียงของซิลเวียฟังดูร้อนใจ “แนวหน้าต้องการความช่วยเหลือจากปืนใหญ่!”
…..
หลังเสาหินระเบิดออก กระสุนปืนครกก็ตกลงไปในกองทัพปีศาจเหมือนกัน
สำหรับปีศาจที่มีแต่กระดูกกับหนังสัตว์ห่อหุ้มร่างกายแล้ว ปืนใหญ่ 152 มม.กับปืนครกนั้นแทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย ในทางกลับกัน ปืนครกนั้นกลับมีความได้เปรียบในเรื่องจำนวนและความเร็วในการยิงมากกว่า ทำให้มันสามารถสร้างความเสียหายให้กับศัตรูที่กำลังวิ่งเข้ามาได้มากกว่า
บนสนามรบที่มีสะเก็ดระเบิดปลิวว่อน ปีศาจที่วิ่งดาหน้าเข้ามาโดยไม่มีอะไรคอยคุ้มกันร่างกายยิ่งทำให้อาณุภาพทำลายล้างของกระสุนปืนครกนั้นรุนแรงมากขึ้นไปอีก ภาพที่มีหมอกแดงฟุ้งกระจายขึ้นมาหลังการระเบิดในแต่ละนัดกลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อต้องเจอกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องไม่หยุด สุดท้ายพวกปีศาจเหมือนจะถูกหยุดเอาไว้ไม่ให้บุกเข้ามาต่อ
แต่ซิลเวียไม่มีสมาธิจะไปนั่งดูผลลัพธ์ของปืนครกว่าเป็นอย่างไร
นอกจากจะคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวบนท้องฟ้าแล้ว ในสายตาของเธอตอนนี้เหลือแค่เพียงอสุรกายที่น่าเกลียดน่ากลัว 4 ตัวนั้นเท่านั้น
เสียดายที่อีกฝ่ายเป็นแมลงประหลาดที่สร้างขึ้นมาจากหินสีดำและเหล็ก ปืนครกจึงใช้กับมันไม่ค่อยได้ผลเท่าไร
ถ้าไม่ยิงถูกมันตรงๆ สะเก็ดระเบิดก็ยากจะทะลุเปลือกนอกจากมันเข้าไปได้
ในเวลานี้ด้านหลังสัตว์ประหลาดยักษ์มีเสาหินสีดำงอกออกมาอีกครั้ง ซิลเวียพบว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้าสัตว์ประหลาดจริงๆ อย่างที่เธอคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นหินหรือว่าหลอดเลือดต่างๆ ล้วนแต่ค่อยๆ ลอกออกมาจากร่างกายของมัน จากนั้นจับตัวกันเป็นเสาทรงกลม
เธอรู้ว่าจำเป็นต้องรีบจัดการเจ้าประหลาดที่สามารถโจมตีระยะไกลได้พวกนี้ให้เร็วที่สุด
การโจมตีของมันเมื่อครู่นี้ได้สร้างความเสียหายให้กับกองทัพที่หนึ่งไม่น้อย เนื่องจากไม่มีการป้องกันใดๆ เลย ทำให้แนวหน้ามีทหารที่ได้รับบาดเจ็บทีเดียวร้อยกว่าคน ทหารบางส่วนที่อยู่ในหลุมเพลาะถูกยิงทะลุแขนกับหน้าอก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการโจมตีที่ไม่เคยเจอมาก่อนและไม่มีแผนที่จะรับมือแบบนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารอย่างมาก
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ เพราะว่า ‘การงอกอาวุธ’ ของพวกศัตรูนั้นช้ากว่าการเติมกระสุนมาก
“กองพันปืนใหญ่จะรีบทำให้ปืนใหญ่กลับมายิงได้อีกครั้ง” น้ำเสียงสุขุมของอกาธาทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นไม่น้อย “ข้าจะให้หัวหน้ากองพันคุยกับเจ้า”
“สะ สวัสดีขอรับ…คุณหนูซิลเสีย” น้ำเสียงที่ฟังดูระมัดระวังดังขึ้นมา “ข้าคือหัวหน้ากองพันแวนนา….เราต้องใช้เวลานิดหน่อยในการทำให้ปืนใหญ่กลับมายิงได้อีกครั้ง แต่ที่โชคดีคือมีปืนใหญ่กระบอกหนึ่งที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ถ้าคุณหนูบอกพิกัดในการยิงได้ เดี๋ยวข้าจะให้คนของข้าทำการยิงสนับสนุนไปตอนนี้เลยขอรับ”
ซิลเวียกำหมัดแน่น เธอพยายามสะดความตื่นเต้นภายในใจ เธอเหลือบมองดูเข็มทิศที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเอง ก่อนจะรายงานพิกัดออกมาแบบช้าๆ ชัดๆ “ทางเหนือ 11 องศา 17 ลิปดา ระยะ 2,310 เมตร — ยิงได้!”
“รับทราบ ทางเหนือ 11 องศา 17 ลิปดา ระยะ 2,310 เมตร!” แวนนาพูดทวน “หมู่ 6…. ยิงได้!”
………………………………………………………………
ตอนที่ 988 ชัยชนะแรกบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปืนใหญ่ป้อมหมายเลข 6 เป็นหน่วยปืนใหญ่ที่แวนนามาลาดตระเวนดูก่อนที่จะถูกโจมตี เนื่องจากมันตั้งอยู่ริมสุดของแนวยิงปืนใหญ่ นอกจากหอกของปีศาจที่ถูกขว้างออกมาในสองครั้งแรกแล้ว มันก็แทบจะไม่ถูกโจมตีอะไรเลย เมื่อเทียบกับปืนใหญ่ที่ถูกอสูรสยองชนจนล้มระเนระนาดแล้ว ขอแค่มีคนควบคุม มันก็สามารถยิงออกไปได้เลย
หลังได้รับพิกัดมาไม่ถึงหนึ่งนาที ปืนใหญ่ป้อมก็พ่นเปลวไฟแห่งความโกรธไปทางเป้าหมาย!
ในระยะ 2 กิโลเมตรทำให้วิถีกระสุนถูกกดจนค่อนข้างต่ำเป็นพิเศษ ภายในสนามรบไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าปีศาจต่างก็ได้ยินเสียงหวีดที่เกิดจากการแหวกอากาศของลูกกระสุน
แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ พวกปีศาจพลันส่งเสียงคำรามดังลั่นออกมาทันที!
ราชาแห่งสงครามที่ทำให้พวกมันหวาดกลัวได้กลับมาในสนามรบของพวกมันอีกครั้ง!
ภายในระยะนี้เรียกได้ว่าปืนใหญ่ต้องยิงถูกเป้าหมายอย่างแน่นอน กระสุนหัวระเบิดลูกแรกตกลงไปข้างเท้าของสัตว์ประหลาดแมลงอย่างแม่นยำ การระเบิดอันรุนแรงทำให้ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันพลิกขึ้นมา เปลือกนอกแตกกระจัดกระจายปลิวว่อนจนเผยให้เห็นเนื้อที่อยู่ข้างใน
สิ่งที่ถูกกระสุนปืนใหญ่จัดการยังมีพวกปีศาจคุ้มคลั่งที่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ สัตว์ประหลาดแมลง
เมื่อดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังพยายามป้องกันการโจมตีของแม่มด เพียงแต่เมื่อถูกปืนใหญ่ครกคอยโจมตีมาเรื่อยๆ มันจึงต้องไปหลบอยู่ข้างๆ ‘แมงมุมยักษ์’ โดยหวังจะให้เปลือกหินของมันคอยป้องกันเศษสะเก็ดระเบิดที่ปลิวมา
แต่ด้วยลำกล้องปืนที่มีขนาดต่างกัน ทำให้สิ่งที่พวกมันพยายามทำกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ พลังที่เกิดจากแรงระเบิดยังคงส่งไปถึงร่างกายพวกมันได้อย่างง่ายดาย
พริบตาคลื่นกระแทกก็ได้บดขยี้อวัยวะภายในและกระดูกของปีศาจคุ้มคลั่งจนเป็นชิ้นๆ ทำเอาร่างกายที่ดูแข็งแรงของพวกมันกระเพื่อมขึ้นมาเหมือนคลื่นน้ำ กระทั่งฝุ่นควันตกลงมาถึงพื้น บริเวณรอบๆ จุดที่ระเบิดตกลงไปจึงมีศพของพวกปีศาจนอนกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
“ยิงถูกแล้ว!” ซิลเวียกำหมัดขึ้นมาอย่างดีใจ “เป้าหมายต่อไปคือ….12 องศา 6 ลิปดา ระยะ 2,480 เมตร!”
“ไม่มีปัญหา การยิงสนับสนุนจะไปถึงเดี๋ยวนี้!”
ในขณะเดียวกัน ปีศาจที่ถูกปืนครกโจมตีก็ได้เดินเข้ามาถึงระยะ 1 กิโลเมตรก่อนจะถึงแนวรบของแม่มดแล้ว
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าสงครามกำลังจะมาถึงจุดตัดสินแพ้ชนะนั้น จู่ๆ การโจมตีของศัตรูกลับหงุดชะงักไป
เหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินไปไม่ถึง 10 นาที
ปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่หน้าสุดเข้ามาถึงระยะ 500 เมตรก่อนจะถึงเนินนอร์ธบาวด์ ซึ่งนั้นเป็นหน้ารั้วลวดหนามแถวแรก
แต่พวกมันก็ทำได้เพียงเท่านั้น
เมื่อไม่มีอสูรสยองคอยสร้างความกดดัน หน่วยปืนกลทั้งหมดในแนวหน้า รวมไปถึงปืนกลที่ใช้ต่อต้านอสูรสยองต่างก็หันปากกระบอกปืนไปยังศัตรูที่แห่กันเข้ามา
ทั่วทั้งสนามรบพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที
แสนยานุภาพที่กองทัพที่หนึ่งมีอยู่ในแตกต่างจากตอนทำศึกที่สันเขาโคลด์วินด์อย่างไม่อาจเทียบได้ ในตอนนั้นปืนกลหนักที่มีจำนวนจำกัดล้วนแต่ถูกไปเอาติดตั้งไว้ในบังเกอร์ทั้งหมด แถมยังเล็งเฉพาะเป้าหมายที่ดูจะเป็นอันตรายที่สุดเท่านั้นด้วย แต่ตอนนี้พวกมันสามารถกราดกระสุนยิงใส่ศัตรูที่ก้าวเข้ามาในระยะยิงได้อย่างอิสระ
และในระยะ 500 เมตรก็เรียกได้ว่าเป็นลานสังหารของทีมแม่นปืนที่ซุ่มอยู่ในหลุมเพาะแถวแรก
สำหรับปีศาจแล้ว ปกติพวกมันเคยไม่เคยมองเครื่องกีดขวางอย่างพวกลวดหนามนี้อยู่ในสายตาเลย ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งพอที่จะเหยียบข้ามลวดหนามไปได้ หรือไม่ก็กระชากเอาเสาไม้ที่ใช้ยึดลวดหนามออกมาเลย
แต่ในสายตาของทีมสไนเปอร์แล้ว การทำแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายเลย
ในตอนที่ปีศาจพบว่าไม่ว่าพวกมันจะทำยังไงก็ไม่สามารถเข้าไปถึงระยะปาหอกได้ ภายในจิตใจของพวกมันก็เริ่มรู้สึกพังทลายลงอย่างไม่อาจควบคุมได้ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับระเบียบวินัยหรือขวัญกำลังใจ หากแต่เป็นความสิ้นหวังที่เกิดจากสัญชาตญาณของสัตว์ป่ามากกว่า
หลังศพนับพันของพวกมันนอนเกลื่อนอยู่หน้าแนวป้องกัน พวกมันที่เหลือก็หมุนตัวหนีกลับไปเหมือนสายน้ำ แต่ปืนกลก็ยังคงยิงต่อไปเรื่อยๆ จึงกระทั่งปากกระบอกปืนร้อนจนแดงขึ้นมา
ถ้าเทียบกับการต่อสู้อย่างดุเดือดของแนวหลังแล้ว แนวหน้ากลับดูค่อนข้างสบายกว่า
ในที่สุดซิลเวียก็รู้สึกเบาใจลง เกรงว่าคงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าการต่อสู้กันของ ‘ไพ่ตาย’ ของทั้งสองฝ่ายในระยะสองกิโลเมตรนั้นอันตรายขนาดไหน เธอเห็นวังวนเวทมนตร์ของสัตว์ประหลาดแมลงถูกชาร์จจนเต็มขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่มันกำลังจะปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมา ปืนใหญ่ป้อมหมายเลข 1 และ 3 ที่ทำการซ่อมแซมเสร็จแล้วก็ยิงออกมาพอดี
ถ้าช้ากว่านี้อีกเพียงเสี้ยววินาที เสาหินที่พวกมันยิงมาจะต้องสร้างความเสียหายให้กับกองทัพที่หนึ่งอย่างมากแน่นอน
แต่ไม่ว่ายังไง สุดท้ายมนุษย์ก็เป็นฝ่ายชนะในศึกครั้งนี้ หลังเวลาผ่านมา 400 ปี มนุษย์ก็ได้ก้าวเข้ามาในดินแดนที่ถูกลืมเลือนนี้อีกครั้งและเอาชนะปีศาจได้ในที่สุด
…..
หลังจากนั้นอีก 4 วันโรแลนด์ถึงจะได้รับรายงานอย่างละเอียด
เนื่องจากมีศพของปีศาจนอนเกลื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก กองทัพที่หนึ่งจึงต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเก็บกวาดสนามรบจนเรียบร้อย จากประสบการณ์ของแม่มดทาคิลา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการทำลายศพของปีศาจแล้วก็เอาหินเวทมนตร์ออกมา
โดยเฉพาะหินเวทมนตร์ ถ้าหากไม่สามารถเอาหินเวทมนตร์ออกมาจากร่างของศัตรูได้ อย่างนั้นก็ไม่อาจถือเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์ได้ ถ้าอีกฝ่ายเก็บมันกลับไปได้ล่ะก็ ไม่นานหินเวทมนตร์เหล่านั้นก็จะไปปรากฏอยู่บนตัวปีศาจตัวใหม่
ผลจากการนับที่ออกมาเป็นที่น่าตกใจอย่างมาก มีปีศาจ 6,000 กว่าตัวนอนตายในการโจมตีครั้งนี้ ตัวเลขอันนี้มากกว่าจำนวนทหารของกองทัพที่หนึ่งที่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ซะอีก
ทว่าในจำนวนนี้มีปีศาจไม่ถึงครึ่งที่ตายเพราะปืนใหญ่กับปืนกล ปีศาจส่วนใหญ่ตายเพราะหมอกแดงถูกตัดขาด พวกมันจึงนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่บนทาง
นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าปีศาจไม่ได้เตรียมตัวมาแต่อย่างใด ในระหว่างที่ทำการนับศพปีศาจ กองทัพที่หนึ่งพบอสูรแห่งสงครามสองคันที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นเครื่องมือในการขนหมอกแดง นี่ยังไม่รวมถึงอสูรแห่งสงครามคันอื่นที่ถูกระเบิดจนเป็นชิ้นๆ ถ้ามนุษย์ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบล่ะก็ พวกมันคงจะค่อยๆ เติมหมอกแดงให้กับพวกปีศาจ แต่การพ่ายแพ้ได้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายไปเหมือนฟองสบู่ เพียงแค่หมอกแดงที่พกติดตัวมานั้นแทบจะไม่พอให้พวกมันใช้เดินทางจากค่ายสังเกตการณ์กลับไปยังซากเมืองทาคิลาแล้ว
“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ แม่มดเองก็ใช้อสูรแห่งสงครามพวกนั้นได้ใช่ไหม?” โรแลนด์พูดใส่รูนสดับ
“ใช่เพคะ หัวใจในการขับเคลื่อนเจ้าสิ่งนี้คือหินเวทมนตร์ ขอเพียงฝึกนิดหน่อยก็จะสามารถบังคับมันได้เพคะ” คนที่ตอบคำถามเปลี่ยนจากขวานเหล็กกลายเป็นโซอี้ “ถึงแม้มันจะเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างช้า แต่มันสามารถบรรทุกของได้จำนวนไม่น้อย ในสมัยสมาพันธ์เคยใช้มันในการขนส่งทางไกลแทนม้าเพคะ”
เอาพวกมันไปให้กองโยธาธิการใช้ก็ไม่เลวเหมือนกัน โรแลนด์คิดในใจ ทีมก่อสร้างกำลังขาดรถที่ใช้ในการขนส่งอยู่พอดี ความเร็วที่ช้ากลับจะเป็นข้อดีเวลาที่ใช้มันในเมือง
แต่เสียดายที่หินเวทมนตร์ที่ใช้ในการขว้างซึ่งยึดมาได้มากที่สุดกลับไม่มีประโยชน์เท่าไร มันจำเป็นต้องรวมเข้ากับร่างของสิ่งมีชีวิตถึงจะใช้เวทมนตร์ออกมาได้ เรียกได้ว่าเป็นหินเวทมนตร์ที่ใช้ได้แต่เฉพาะในหมู่ปีศาจ ปกติพวกแม่มดจะยึดมาแล้วทำลายทิ้ง
“เออใช่ แล้วปีศาจมันหลบการตรวจสอบของซิลเวียไปได้ยังไง?”
“เรื่องนี้ให้หม่อมฉันเป็นคนตอบเองเพคะ” อกาธากระแอมเล็กน้อย “หลังการต่อสู้จบลง พวกเราได้ทำการตรวจสอบดูภายในค่ายสังเกตการณ์ของพวกมันจนทั่ว แล้วก็ได้เจออุโมงค์ใต้ดินเส้นหนึ่งเพคะ มันเชื่อมต่อกับถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร และที่นั่นพวกเราก็พบกับค่ายใต้ดินที่ปีศาจสร้างขึ้นมา ในนั้นไม่เพียงแต่จะมีหอสำหรับเก็บหมอกแดงอยู่ แต่ยังมีเสาหินอาญาสิทธิ์อยู่แท่งหนึ่งด้วยเพคะ ขนาดของค่ายแห่งนี้ใหญ่กว่าค่ายสังเกตการณ์ที่เป็นเหยื่อล่อมาก ความจริงแล้วนี่ต่างหากที่เป็นที่พักที่แท้จริงของพวกปีศาจ”
โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา “หินอาญาสิทธิ์ที่สามารถปกปิดค่ายทั้งค่ายได้งั้นเหรอ?”
“ถูกต้องเพคะ” อกาธาพูดช้าลง “เส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 5 เมตร สูงประมาณ 10 เมตร ผิวเป็นมันวาวเหมือนกับแท่งน้ำแข็งที่ถูกมีดดาบตัดจนเรียบ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคสมัยสมาพันธ์ ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เกรงว่าหม่อมฉันคงไม่มีทางเชื่อแน่เพคะ”
……………………………………………………………………………
989 หลังสงคราม
โดย
Ink Stone_Fantasy
แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าหากปีศาจมีความสามารถแบบนี้ตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อน อย่าว่าแต่ 10 ปีเลย เกรงว่าแค่ 1 – 2 ปี พวกแม่มดก็คงถูกพวกปีศาจไล่ฆ่าทิ้งจนหมดแล้ว
เพราะด้วยกำลังของแม่มดอมนุษย์ที่มีจำนวนน้อยนิดนั้นไม่สามารถต้านทานศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสายได้เลย ทันทีที่ค่ายสังเกตการณ์แต่ละค่ายมีการตั้งเสาหินอาญาสิทธิ์เมื่อไร สิ่งที่แม่มดทำได้ก็มีแต่นั่งรอความตายอยู่เฉยๆ เท่านั้น
โรแลนด์ย่อมต้องรู้ว่าการจะสกัดเสาหินอาญาสิทธิ์ออกมานั้นมีความยากแค่ไหน คุณสมบัติพิเศษของหินอาญาสิทธิ์ก็คือยิ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันก็จะยิ่งมีความแข็ง เขาเคยใช้ปืนยิงแร่หินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ชั้นล่างของเหมืองตรงเนินทิศเหนือ แต่กระสุนก็ทำได้เพียงทิ้งรอยขาวๆ เอาไว้บนหินเท่านั้น วิธีเดียวที่จะสกัดมันออกมาได้คือใช้เลือดเวทมนตร์ค่อยๆ กัดเซาะมันออกมา ก่อนจะเอามาเจียระไนทีหลัง ด้วนเหตุนี้หินอาญาสิทธิ์ที่มีขนาดใหญ่จึงมีราคาแพงอย่างมาก
แต่ต่อให้เป็นเสาหินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ในวิหารที่เฮอร์มีสก็ยังไม่ใหญ่ขนาดนี้เลย เมื่อฟังจากคำบอกเล่าของแม่มดน้ำแข็งแล้ว ดูเหมือนว่าพวกปีศาจปีศาจจะใช้อาวุธมีคมบางอย่างตัดหินอาญาสิทธิ์ออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีเทคโนโลยีในการแปรรูปหินอาญาสิทธิ์ที่ล้ำหน้าแล้วล่ะก็ นั้นก็หมายความว่าพวกมันมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเวทมนตร์ที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนแต่ไม่ใช่ข่าวดีทั้งสิ้น
“เมื่อคิดโยงไปถึงอาวุธใหม่ของพวกปีศาจที่ปรากฏออกมา ช่วงเวลา 400 ปีมานี้พวกมันไม่ได้อยู่เฉยๆ เลย…” โรแลนด์พูดพร้อมเคาะโต๊ะ “ดูเหมือนสงครามโชคชะตาครั้งที่สามจะรับมือได้ยากกว่าที่เราคิดเอาไว้ซะแล้ว”
ความกังวลในตอนแรกได้รับการพิสูจน์แล้ว เมื่อเทียบกับปีศาจในยุคสมัยสมาพันธ์ ตอนนี้พวกมันไม่เพียงแค่จะเจ้าเล่ห์ขึ้น แม้แต่เทคโนโลยีของพวกมันก็รุดหน้าไปอย่างมาก อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตแบบผสมผสานอย่างสัตว์ประหลาดแมลงนั้นเรียกได้ว่าเป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับแม่มดสายต่อสู้ทั่วๆ ไปโดยเฉพาะ ระยะยิง 2 กิโลเมตรนั้นเพียงพอจะทำให้พวกมันโจมตีใส่แม่มดได้โดยที่พวกเธอไม่ทันได้ป้องกัน กว่าแม่มดจะรู้ตัว พวกเธอก็ใช้พลังออกมาไม่ทันแล้ว
ถึงแม้จะมีแม่มดที่มีความสามารถในการตรวจสอบเหมือนซิลเวีย แต่ขอเพียงศัตรูโจมตีแบบปูพรมออกมา แม่มดที่ความสามารถในการป้องกันถูกจำกัดเอาไว้ที่ระยะ 5 เมตรจะปกป้องเพื่อนแม่มดได้กี่คน?
“แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ความเร็วในการวิวัฒนาการของปีศาจมันล้ำหน้าพวกเราไปจริงๆ” โซอี้พูด “ถ้านี่เป็นศึกที่เกิดขึ้นในยุคสมัยสมาพันธ์ พวกเราคงต้องแพ้อย่างย่อยยับแน่”
โรแลนด์ย่อมต้องจินตนาการออก การถูกโจมตีกระหนาบจากสองด้าน เส้นทางด้านหลังถูกตัดขาด บนฟ้ามีปีศาจระดับสูงคอยจับตาดูอยู่ บนพื้นมีปีศาจคุ้มคลั่งจำนวนมหาศาล พวกปีศาจแบบใหม่ที่มีความสามารถในการโจมตีเป็นวงกว้าง ด้วยการโจมตีแบบนี้เกรงว่าคงมีแม่มดเพียงไม่กี่คนที่หนีรอดจากการซุ่มโจมตีนี้ได้
ปัญหาในตอนนี้ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดแมลง 5 ตัวนี้เป็นไพ่ตายสุดท้ายของพวกปีศาจแล้วหรือยัง หรือว่านี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในกองทัพอันล้ำหน้าของพวกมัน? นอกจากสัตว์ประหลาดแมลงแล้ว ปีศาจยังพัฒนาอาวุธอื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า? แล้วพวกมันหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วควรจะรับมืออย่างไร?
นี่เป็นปัญหาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ต้องรีบหาคำตอบโดยด่วน
หลังรายงานผลการรบจบ หลังจากนั้นก็เป็นการรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตของกองทัพที่หนึ่ง
สำหรับรายงานในส่วนนี้ โรแลนด์พอจะทราบคร่าวๆ หลังการรบจบลงแล้ว ซึ่งในรายงานอย่างละเอียดที่ได้รับหลังจากนั้นอีก 4 วันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไร นี่ย่อมต้องเป็นความดีความชอบของนาน่ากับลิลลี่อย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งกองทัพมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 190 กว่าคน เสียชีวิตไป 75 คน ส่วนใหญ่ล้วนแต่บาดเจ็บเพราะสัตว์ประหลาดแมลง เข็มหินที่ถูกยิงลงมาจากเหนือหลุมเพลาะนั้นทำให้เหล่าทหารไม่สามารถหลบไปไหนได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่แทงทะลุร่างคนแล้วมันยังปักลงไปในดินโคลน เหมือนกับเป็นการตอกยึดเหล่าทหารเอาไว้ในหลุมเพลาะ และเพื่อจะส่งเหล่าคนเจ็บเข้าไปในรักษาตัวต่อในค่าย หน่วยพยาบาลจึงจำเป็นต้องดึงเอาเข็มหินที่ยาวเมตรกว่าออกมา ผลก็คือเหล่าทหารเสียเลือดเป็นจำนวนมาก บาดแผลร้ายแรงหลายแห่งกับวิธีการรักษาพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้หลายๆ คนหยุดหายใจไปในเวลาแค่ไม่กี่นาที
โรแลนด์ย่อมไม่มีทางไปโทษหน่วยพยาบาลแน่ ความจริงแล้วการออกไปปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบครั้งแรกของหน่วยพยาบาลก็ช่วยยื้อเวลาให้คนเจ็บได้อย่างมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพลังเวทมนตร์ของนาน่าก็ไม่มีทางที่จะช่วยคนเจ็บจำนวนมากขนาดนี้ได้พร้อมกันด้วย ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ต้องใช้วิธีรักษาคนที่บาดเจ็บสาหัสก่อนเป็นอันดับแรก
หลังจากนี้เมื่อสงครามมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คนบาดเจ็บที่นาน่าจะดูแลได้ก็จะมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายกองทัพที่หนึ่งก็ต้องพึ่งตัวเองในการแก้ไขปัญหาการรักษาพยาบาล
“เอาอัฐิของทหารผู้เสียสละกลับมา” เขาพูดเสียงต่ำ “เนเวอร์วินเทอร์จะไม่มีทางลืมพวกเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ขวานเหล็กตอบด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งเช่นเดียวกัน
“อย่างนั้น….ปฏิบัติการของกองทัพที่หนึ่งหลังจากนี้ พระองค์ทรงมีแผนการอะไรไหมเพคะ?” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือถาม “เห็นได้ชัดว่าความเสียหายของศัตรูนั้นเหนือไปกว่าที่พวกมันคาดเอาไว้ จากการตรวจสอบของคุณหนูไลต์นิ่ง อสูรสยองที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณซากเมืองทาคิลาก็มีจำนวนน้อยลงไปมาก นางบินเข้าไปใกล้จนถึงระยะ 100 กิโลเมตรถึงจะเจอปีศาจเข้ามาดักไว้ นอกจากนี้คุณหนูซิลเวียก็ยืนยันในจุดนี้เหมือนกัน นอกจากสัตว์ประหลาดโครงเหล็กที่เหมือนหอคอยสูงพวกนั้นแล้ว ลำแสงเวทมนตร์ที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึงหนึ่งพัน พูดอีกอย่างก็คือฐานบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ของพวกมันในตอนนี้อยู่ในสภาพว่างเปล่าแล้วเพคะ”
โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจออกมาว่า “เอาไว้รักษาผู้บาดเจ็บเสร็จแล้วก็ให้ถอนทัพกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้วกัน”
“พระองค์ทรงกังวลว่าจะส่งเสบียงและอาวุธเข้าไปไม่ทันเหรอเพคะ?”
“ถ้าพวกเราไม่สามารถยึดซากเมืองได้ การบุกไปทางเหนือต่อมันก็ไม่มีประโยชน์” เขาจิบชาคำหนึ่ง “ยิ่งไปกว่านั้น…นี่ก็ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้วด้วย”
ถึงแม้เดือนแห่งปีศาจจะไม่ได้มาตรงเวลาตามฤดูกาล แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่รอบๆ ดินแดนรกร้างแล้ว หิมะที่ตกลงมาไม่หยุดกับเมฆที่บดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ต่างหากถึงจะเป็นฤดูหนาวอย่างแต่จริง
ถึงตอนนั้นกองทัพที่หนึ่งไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญกับสภาพอากาศอันเลวร้าย แต่พวกเขายังต้องคอยป้องกันสัตว์อสูรที่มีอยู่ทั่วทุกที่ด้วย การทำสงครามในระยะทางที่ไกลขนาดนี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะส่งเสบียงและอุปกรณ์กันหนาวไปให้พวกเขาได้ อีกทั้งกระสุนที่ยากจะสนับสนุนให้เพียงพอนั้นจะทำให้กองทัพที่หนึ่งต้องเจอกับศึกหลายด้าน
ด้วยเหตุนี้การใช้ชีวิตในดินแดนรกร้างในฤดูหนาวจึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
ถ้ารอให้หิมะตกลงมา ถ้าอยากจะให้พวกทหารถอยกลับมาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” เอดิธส์รับคำ “ทีมที่ปรึกษาจะเตรียมแผนถอยทัพเอาไว้ให้ท่านผู้บังคับบัญชาเพคะ”
“เน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ” ในขณะที่โรแลนด์กำลังจะเตรียมจบ ‘การประชุมทางไกล’ นี้ จู่ๆ เสียงของอกาธาก็ดังแทรกขึ้นมา
“ฝ่าบาท มีเรื่องหนึ่งที่พระองค์จำเป็นต้องรู้เพคะ”
“หืม? เรื่องอะไร”
“คืออย่างนี้เพคะ ปีศาจระดับสูงที่ถูกแม่มดอาญาสิทธิ์จัดการตัวนั้น ตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่เพคะ…”
พอได้ยินสิ่งที่อกาธาเล่ามา โรแลนด์พลันตึกตะลึงไปทันที
“ให้คามิล่าเชื่อมต่อกับวิญญาณของปีศาจ แบบนี้มันจะดีเหรอ?”
ไม่ใช่แค่จิตใจเท่านั้น ในอีกแง่หนึ่งมันจะเท่ากับเป็นการแชร์ความรู้สึกและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันด้วย พูดอีกอย่างคือในตอนที่ทำการสะท้อนทางวิญญาณ คนที่ทำการเชื่อมต่อจะได้สัมผัสรสชาติของการเป็นปีศาจว่าเป็นยังไง ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าลิ้มลองเท่าไร ประสบการณ์ในตอนที่ไปสิงอยู่ในร่างเปลือกของแม่มดทาคิลานั้นได้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่ไม่ได้เป็นของมนุษย์นั้นอาจจะทำให้ความคิดของตัวเองเกิดความสับสนได้ หลังจากเคยชินแล้วจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในสภาพปกติได้อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหากจิตใจที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสองดวงมาเจอกันมันจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง
นี่ทำให้เขาคิดถึงคำว่า ‘การปนเปื้อนทางจิตวิญญาณ’ ขึ้นมา
“มันมีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นหม่อมฉันเลยปรึกษากับโซอี้อยู่หลายครั้งจนได้วิธีที่น่าจะใช้วิธีหนึ่งเพคะ”
990 เบื้องหลังวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วิธีอะไร?”
อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “ถ้าการที่มนุษย์รับเอาการรับรู้ของปีศาจมาเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง อย่างนั้นเราก็เปลี่ยนปีศาจให้กลายเป็นคนซะก็สิ้นเรื่องเพคะ”
“เจ้าจะบอกว่า…ถ่ายโอนวิญญาณอย่างนั้นเหรอ?” โรแลนด์เข้าใจประเด็นทันที
“พระองค์เคยบอกว่าในโลกแห่งความฝันก็มีปีศาจอยู่เหมือนกัน นั่นก็หมายความว่าผู้สืบทอดของเมืองสตาร์ฟอลคนนั้นเคยใช้ความสามารถในการดึงเอาวิญญาณของปีศาจออกมา อย่างน้อยนี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกมันจะได้รับผลกระทบของแกนเวทมนตร์สำหรับถ่ายโอนวิญญาณเหมือนกัน” โซอี้พูดอธิบาย “หลังจากนี้ขอเพียงย้ายวิญญาณของปีศาจไปอยู่ในร่างของนักรบอาญาสิทธิ์ ความเสี่ยงในเรื่องการรับรู้ก็จะกลายเป็นตัวปีศาจที่ต้องแบกรับเพคะ”
“อย่างนี้นี่เอง” โรแลนด์พยักหน้าออกมา ถ้าเอาร่างนักรบอาญาสิทธิ์มาเป็นร่างภาชนะ ก็เท่ากับเป็นการบีบให้ปีศาจต้องเป็นคนปรับตัวเข้ากับมนุษย์แทน ส่วนการสะท้อนกลับทางการรับรู้ที่ผู้เชื่อมต่อวิญญาณได้รับก็จะเป็นข้อมูลที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังปั่นป่วนจะยิ่งทำให้ครองความได้เปรียบในการต่อสู้ทางด้านจิตใจได้ง่าย ฟังดูแล้วเป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว “แต่พวกเจ้าก็จะเสียภาชนะในการถ่ายโอนวิญญาณไปร่างหนึ่ง”
หลังศาสนจักรล่มสลายไป ร่างนักรบอาญาสิทธิ์ก็มีไม่มีทางเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“เมื่อเทียบกับกรงอันเยือกเย็นที่ไร้ความรู้สึกแล้ว พวกเรายินดีที่จะจำศีลอยู่ในความฝันของพระองค์มากกว่าเพคะ…ดังนั้นนี่ถึงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรเพคะ”
“แค่กๆ” โรแลนด์เกือบสำลักน้ำชา ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้หญิง แต่พอได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายพูดคำพูดแบบนี้ เขาก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้
“ล้อเล่นน่ะเพคะ” โซอี้ยิ้มขึ้นมา “ความจริงในคลังของพวกเรามีร่างชำรุดอยู่หลายร่างเพคะ สามารถเอามาใช้ในการถ่ายโอนวิญญาณครั้งนี้ได้พอดี ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเทียบกับข้อมูลที่เราอาจจะได้มาแล้ว การเสียร่างชำรุดไปหนึ่งร่างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยเพคะ”
“ร่างชำรุด?” เขากระแอมเล็กน้อยพร้อมถามออกมา
“จากเฮอร์มีสจนมาถึงสถานที่ที่เราใช้ซ่อนตัวในตอนแรกนั้นต้องเดินทางผ่านเทือกเขาสิ้นวิถี ซึ่งนั่นไม่ใช่เส้นทางที่เดินทางได้ง่ายเลย โดยเฉพาะในเดือนแห่งปีศาจ มีนักรบอาญาสิทธิ์บางคนถึงกับต้องคลานกลับมา เพราะว่าขาทั้งสองข้างถูกสัตว์อสูรมันกัดไป ร่างที่ชำรุดเช่นนี้ไม่สามารถใช้ในการสู้รบได้อีก ตอนแรกพวกเราคิดอยากจะใช้เป็นภาชนะให้พวกขุนนางได้ใช้ดื่มด่ำกับชีวิตอมตะเพคะ”
มุมปากโรแลนด์แอบกระตุกขึ้นมา ชีวิตแบบนี้มันจะเรียกดื่มด่ำได้ด้วยเหรอ?
“แต่ถึงแม้จะเป็นร่างชำรุด มันก็ยังมีความสามารถเหมือนหินอาญาสิทธิ์อยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้ามันเกิดใช้พลังขึ้นมาในระหว่างที่เชื่อมต่อล่ะ มันจะเกิดปัญหาอะไรไหม?”
“เรื่องนี้พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ แม้แต่พวกหม่อมฉัน ถ้าอยากจะควบคุมร่างแปลกหน้าร่างหนึ่งอย่างชำนาญก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบปี” โซอี้ตอบ “ส่วนการจะกระตุ้นเขตแดนอาญาสิทธิ์นั้นต้องใช้เวลานานกว่านั้นมาก หลายๆ คนต้องรอให้ถึงตอนที่ถ่ายโอนวิญญาณรอบที่สองกว่าจะใช้ความสามารถนี้ได้ ต่อให้ปีศาจจะมีพรสวรรค์มากกว่าที่เราคิดเอาไว้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มันจะใช้ความสามารถออกมาในระหว่างที่ถูกสอบสวนเพคะ”
อกาธาพูดเสริมขึ้นมา “แล้วถ้าสมมติว่าการสะท้อนถูกตัดจาก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ซิลเวียเคยพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวนางเองแล้วในตอนที่ทำการสอดแนมเพคะ”
“เออใช่ แล้วพวกเจ้าคุยเรื่องนี้กับคามิล่าหรือยัง?” จู่ๆ โรแลนด์ก็นึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมา
“คุยแล้วเพคะ ตอนแรกนางปฏิเสธ เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่นางไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดคนไหนก็ตามที่รับหน้าที่สอบสวนก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าจะไม่มีความเสี่ยง แต่โซอี้ก็ได้พูดกล่อมจนนางยอมแล้วเพคะ”
“งั้นเหรอ…” เขาพูดอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ใช่คนที่พูดเก่งเลย
“ความจริงแล้วง่ายมากเพคะ ฝ่าบาท” โซอี้พูดต่อ” หม่อมฉันแค่บอกนางไปว่าคนที่จะเชื่อมต่อวิญญาณกับปีศาจไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นตัวหม่อมฉันเพคะ”
โรแลนด์ตกตะลึง
“หม่อมฉันเป็นทั้งแม่มดอมนุษย์ แล้วก็เป็นแม่มดอาญาสิทธิ์คนแรกที่ถูกปลุกขึ้นมา….ดังนั้นหม่อมฉันจึงเป็นคนที่เหมาะที่สุดที่จะเชื่อมต่อกับปีศาจเพคะ” เธอพูดอย่างใจเย็นต่อว่า “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหม่อมฉันเป็นคนเสนอแผนนี้ขึ้นมา ดังนั้นหม่อมฉันจึงควรเป็นคนรับความเสี่ยงนี้เพคะ”
นี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเกลียดแม่มดโบราณไม่ลง ทั้งๆ ที่พวกเธอนั้นหยิ่งยโส….โรแลนด์คิดในใจ ในเรื่องต่อสู้กับปีศาจ พวกเธอนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่วิ่งน้ำหน้าคนอื่นอยู่เสมอ อาศัยแค่เพียงจุดนี้ก็เหนือกว่าหลายๆ คนแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ทำตามที่เจ้าว่ามาก็แล้ว” เขาตอบออกมาหลังนิ่งเงียบไปครู่ “ระหว่างทางที่พามันกลับมา ต้องคอยตรวจตรามันให้ดีล่ะ”
“หม่อมฉันจะ ‘จับตา’ ดูมันอย่างดีเลยเพคะฝ่าบาท” โซอี้พูดยิ้มๆ
บางทีถ้าเทียบกับการสอบสวนในตอนสุดท้ายแล้ว การคุมตัวปีศาจกลับมาต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เธอรอคอยมากที่สุด
หลังจบการสนทนา โรแลนด์ก็จมอยู่ในความคิดของตัวเอง
คนกับปีศาจมีวิญญาณจริงๆ เหรอ?
ถ้าหากไม่มี แล้วแม่มดทาคิลาพวกนี้เปลี่ยนร่างกายตามใจชอบได้อย่างไร? หลักการทำงานของแกนเวทมนตร์ถ่ายโอนวิญญาณคืออะไร?
แล้วถ้ามี ทำไมวิญญาณถึงออกมาจากร่างเองไม่ได้? เพราะว่าถ้าสามารถถอดวิญญาณกับเอาวิญญาณใส่เข้าไปในร่างได้ตามใจชอบแล้วล่ะก็ อย่างนั้นมันก็เท่ากับว่าวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่มีวันดับสลายน่ะสิ
แล้วก็โลกแห่งความฝัน โลกเสมือนจริงที่ใกล้กับความจริงอย่างมาก แต่กลับไม่ได้มีอยู่บนโลกนี้จริงๆ มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงกันแน่ ลำแสงที่เชื่อมต่อกับดินแดนของพระเจ้าที่อารยธรรมใต้ดินพูดขึ้นนั้น ปลายทางของลำแสงมันมีอะไรอยู่?
คิดไปคิดมา เกรงว่าคงต้องรอให้ทำความเข้าใจพลังเวทมนตร์กับสงครามแห่งโชคชะตาเรียบร้อยแล้วถึงจะมีโอกาสเข้าใจปริศนาอันนี้ได้
แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เขาก็มีโอกาสที่ได้เห็นการถ่ายโอนวิญญาณด้วยตาตัวเองแล้ว
…..
เมื่อเทียบกับตอนเคลื่อนทัพออกไปรบ เวลาตอนขากลับเหมือนจะเดินเร็วกว่ามาก
เนื่องจากสำนักงานเมืองมีการเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน งานที่โรแลนด์จำเป็นต้องลงไปดูด้วยตัวเองจึงมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอาเวลาว่างส่วนใหญ่ไปทุ่มให้กับงานสำคัญๆ
งานทดสอบการบินของเครื่องร่อนยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ คู่มือการบินที่ทิลลีเขียนจากตอนแรกที่มีแค่ไม่กี่แผ่น ตอนนี้กลายเป็นหนังสือที่หนากว่า ‘เคมีระดับกลาง’ แล้ว ตอนที่ใส่หน้าปก โรแลนด์จงใจทำชื่อหนังสือให้เป็นสีทอง
เรือเหล็กที่อยู่ในมือของธันเดอร์ก็ค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ตอนแรกระบบขับเคลื่อนและระบบควบคุมจะยังติดๆ ขัดๆ มีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่หลังทำการแก้ไขไปสองสามรอบ ในที่สุดมันก็ดูเหมือนเรือเดินสมุทรที่แท้จริงแล้ว
นอกจากนี้หอนักเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นมาให้อกาธาโดยเฉพาะก็สร้างเสร็จเรียบร้อยในเดือนสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง นับตั้งแต่ที่ตึกคอนกรีตสูง 5 ชั้นหลังนี้ถูกสร้างเสร็จเรียบร้อย ด้วยรูปแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และความสูงของมันที่สูงกว่าปราสาทของผู้ปกครอง ทำให้มันกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ก่อนที่ตึกปาฏิหาริย์จะสร้างเสร็จ มันจะต้องเป็นตึกที่สะดุดตาที่สุดในเมืองอย่างแน่นอน
นอกจากนี้หอกลั่นน้ำมันและโรงงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อประกอบแหล่งพลังงานรุ่นใหม่ก็ใกล้จะสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมายิ่งฤดูหนาวใกล้เข้ามา ดินแดนตะวันตกก็ยิ่งดูเงียบสงบ เหมือนว่าเมืองได้เข้าสู่สภาวะจำศีลไปพร้อมกับโลกภายนอก แต่หลังจากที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกสร้างขึ้นมา ภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ยิ่งในปีนี้ที่ภายในเมืองยิ่งยุ่งวุ่นวายกันเป็นพิเศษ ตั้งแต่เหมืองเนินทิศเหนือไปจนถึงท่าเรือหาดน้ำตื้น ทั่วทุกที่จะเห็นคนกำลังง่วนอยู่กับการทำงานและสิ่งก่อสร้างใหม่ ความเจริญรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวาที่อยู่ตามท้องถนนทำเอาเหล่าพ่อค้าที่มาถึงเมืองแห่งนี้ต้องรู้สึกตกใจไปตามๆ กัน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในที่สุดกองทัพที่หนึ่งก็กลับมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่พวกเขาจากไปนาน
ชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์พากันส่งเสียงโห่ร้องตอนรับเหล่าทหารของกองทัพที่หนึ่ง
ในวันเดียวกันนั้นเอง หิมะสีขาวก็ได้ตกโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า
ฤดูหนาวอันยาวนาน…ได้มาถึงแล้ว
991 ชะตาชีวิตที่ต้องแบกเอาไว้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังโซอี้บอกลาโรแลนด์ เธอก็นำเหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์กลับมายังเมืองชายแดนที่สาม
หลังจากการกับปีศาจระดับสูงเสร็จเรียบร้อย เธอก็เดินตามอาลิเธียเข้าไปยังห้องลับที่อยู่ส่วนลึกใต้ดินห้องหนึ่ง คนที่รออยู่ในห้องนั้นยังมีพาซาร์กับเซลีนอยู่ด้วย
เห็นได้ชัดว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญสำหรับพวกเธอมากกว่าร่างมีชีวิตของปีศาจที่จับมาได้
‘เจ้าคิดว่าไง’ หลังปิดประตูหินอันหนักอึ้งลง อาลิเธียก็รีบมายืนอยู่ตรงหน้าเธอทันที ‘พวกเราชนะได้ไหม?’
“พวกเราก็ชนะแล้วไม่ใช่เหรอ?” โซอี้พูดพร้อมผายมือออก
อาลีเธียใช้หนวดเขกหน้าผากของเธออย่างหงุดหงิด ‘เจ้ารู้ว่าข้ากำลังถามอะไร เลิกล้อข้าเล่นได้แล้ว’
ในฐานะที่เป็นอมนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของทาคิลา ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่มดระดับสูงขึ้นค่อนข้างใกล้ชิดกว่าคนอื่น
ถึงแม้หลังจากที่สมาพันธ์ล่มสลายลงไปแล้ว แม่มดที่เหลือรอดจะถือหลักการว่า ‘แม่มดทุกคนมีความสำคัญเท่ากัน’ แต่จริงๆ แล้วลำดับชั้นในอดีตยังคงส่งผลกระทบอยู่ไม่มากก็น้อย
‘ในเมื่อเจ้าดูสบายใจแบบนี้ ข้าว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสินะ’ พาซาร์พูดยิ้มๆ
“ความจริง…ข้าไม่มั่นใจ” เมื่อเห็นพาซาร์พูดขึ้นมา โซอี้จึงจริงจังขึ้นมาทันที “เกรงว่าปีศาจในตอนนี้จะไม่เหมือนกับศัตรูที่เราเคยเจอเมื่อ 400 ปีก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่ในเรื่องการใช้พลังเวทมนตร์เท่านั้น แต่พวกมันยังมีปีศาจชนิดใหม่ปรากฏตัวออกมาด้วย” จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องการรบทั้งหมดออกมาอย่างละเอียด “เรียกว่า…ความคิดของท่านอควาเรียสนั้นไม่ผิด แต่ถ้าทำตามแผนของนาง มนุษย์จะต้องแพ้อย่างแน่นอน”
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับปีศาจระดับสูงได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย เพราะถ้าอาศัยพวกนางเพียงอย่างเดียวนั้นยากที่จะสู้กับศัตรูแบบซึ่งๆ หน้าในสนามรบได้ ร่างกายที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเวทมนตร์ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธชนิดใหม่ของปีศาจ ความได้เปรียบของแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เมื่อแนวหน้าในสนามรบไม่สามารถฝ่าเข้าไปหาศัตรูได้ แผนการของราชินีสตาร์ฟอลก็จะไร้ประโยชน์
หลังทำการยืนยันในเรื่องนี้แล้ว พาซาร์กลับดูเหมือนรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ราวกับว่าเธอได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งทิ้งไป ‘อย่างนี้ก็หมายความว่าพวกเราเลือกติดตามคนถูกสินะ ท่านนาตาย่าตัดสินใจได้ถูกต้อง นี่ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ….’
‘ใช่ ดีจริงๆ….’ เซลีนเองก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา เสียงของเธอฟังดูเหมือนจะสะอื้นเล็กน้อยด้วย สำหรับแม่มดที่มีชีวิตอยู่มา 400 กว่าปีแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ในเวลานี้โซอี้กลับรู้สึกเห็นใจพวกเธอขึ้นมา
ตอนที่แม่มดระดับสูงจำนวนมากในสมาพันธ์ต่างให้การสนับสนุนอควาเรียส พวกเธอกลับเลือกที่จะยืนอยู่ข้างนาตาย่าเพราะความคิดที่แตกต่างกัน สุดท้ายพวกเธอก็ต้องมาสู้กันเองจนกระทั่งฐานรากของสมาพันธ์แตกสลาย
โซอี้จำไม่เคยลืม เพื่อนร่วมรบในกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของเธอนอนอยู่ในอ้อมอกเธอ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “พวกเจ้าเป็นคนทำลายทุกสิ่ง”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ภายในใจเธอก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่คอยกดทับเอาไว้อยู่
ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
สิ่งที่น่ากลัวคือการตามหาความหวังอันริบหรี่ในความมืด โดยที่แบกความไม่เข้าใจและการเหยียดหยามของเพื่อนเอาไว้บนหลัง
ถ้าพวกเธอแพ้ นั่นก็หมายความว่าพวกเธอได้ทำลายความเป็นไปได้หนึ่งเดียวที่จะทำให้แม่มดมีชีวิตอยู่รอดต่อไปลง โทษที่หนักขนาดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ความตายจะชดใช้ได้เลย
และก็เป็นเพราะความคิดเช่นนี้ ทุกคนถึงได้อดทนที่จะอยู่ในร่างที่ไร้ความรู้สึกมาจนถึงตอนนี้
ตอนนี้แผนของอควาเรียสได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นการเดินในทิศทางที่ผิดพลาด พวกเธอย่อมต้องรู้สึกถึงความหลุดพ้นที่ไม่ได้รู้สึกมาเป็นเวลานาน ถึงแม้สุดท้ายมนุษย์จะยังคงถูกทำลายไปจนหมด แต่อย่างน้อยชะตาชีวิตของผู้ที่อยู่รอดก็คงไม่ได้น่าเศร้าขนาดนั้น
‘ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ท่านนาตาย่าก็แค่ถือว่าเสมอกับราชินีสตาร์ฟอลเท่านั้น’ อาลิเธียลูบจมูกที่ไม่มีอยู่แล้วของตัวเอง ‘พวกเรายังคว้าชัยชนะสุดท้ายมาไม่ได้ มาดีใจกันตอนนี้มันจะเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า’
‘วางใจได้ อยู่ในสภาพนี้แล้ว ต่อให้ร้องไห้ก็ไม่มีใครเห็นหรอก’
‘พาซาร์!’
โซอี้ส่ายหัวยิ้มๆ “ข้ายังพูดไม่จบ…ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามแห่งโชคชะตา แต่อย่างน้อยข้าก็มองเห็นความหวัง”
แม่มดระดับสูงทั้งสามเงียบทันทีเมื่อเธอพูดคำนี้
ในการเสาะหาท่ามกลางความมืดมา 400 ปี ความหวังคือสิ่งที่พวกเธอปรารถนามากที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่พวกเธอก็จำเป็นต้องค้นหาต่อไป ความสับสนที่ไร้เป้าหมายเช่นนี้ได้วนเวียนอยู่ในจิตใจของพวกเธออยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีชีวิตยาวนาน ความทุกข์ทรมานก็ยิ่งรุนแรง ตอนแรกทุกคนยังคุยกันถึงเรื่องความสามารถของผู้ถูกเลือก แล้วก็อายุกับรูปร่างหน้าตาที่น่าจะเป็นไปได้ของเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ในตอนที่เริ่มยืมมือแบล็คมันนี่ในการช่วยค้นหา พวกเธอกลับไม่กล้าที่จะคุยประเด็นนี้ส่งเดชอีกต่อไป
เพราะพวกเธอกลัวว่าพวกเธอจะไปสร้างภาพลักษณ์ของผู้ถูกเลือกขึ้นมาเอง แล้วก็มองว่ามันเป็นเป้าหมายที่ต้องตามหา ถ้าหากพวกเธอเจอคนที่สอดคล้องกับความคิดของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ผู้ถูกเลือกล่ะก็ ความผิดหวังเช่นนั้นมันคงรุนแรงจนยากที่จะรับไหว
และก็ด้วยเหตุนี้ ความหวังจึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับพวกเธอ
แต่ในตอนนี้ พวกเธอสามารถพูดถึงคำๆ นี้ได้อย่างสบายใจอีกครั้ง
แม่มดโบราณที่คิดได้ถึงจุดนี้พากันเงียบไปทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งพาซาร์จึงพูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า ‘อย่างนั้น…พวกเราทำภารกิจที่ท่านนาตาย่ามอบหมายเอาไว้สำเร็จแล้วใช่ไหม?”
‘มอบหมาย?‘ อาลิเธียงุนงง ‘เดี๋ยวๆ…พวกเรายังหาผู้ถูกเลือกที่แท้จริงไม่เจอเลยนะ!’
“ข้าไม่มีความเห็น” โซอี้ยักไหล่ “ในเอกสารโบราณของอารยธรรมใต้ดินไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าผู้ที่ถือกุญแจนั้นเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย? พูดอีกอย่างคือพวกมันมีแนวคิดเรื่องเพศหญิงเพศชายหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
คำสั่งเสียที่นาตาย่าทิ้งเอาไว้ก็คือถ้าหาผู้ถูกเลือกพบ ให้ทุกคนยกนางเป็นผู้นำในการเอาชนะปีศาจและฟื้นฟูทาคิลาขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ผู้ถูกเลือกที่หินเวทมนตร์หลากสีแสดงออกมาจะไม่เหมือนที่พวกเธอคิดเอาไว้ อีกทั้งเขายังไม่สามารถใช้งานทัณฑ์สวรรค์ได้ด้วย แต่ในเรื่องจัดการกับปีศาจนั้นกลับให้ผลที่เหมือนกัน
‘ข้าเองก็…ไม่มีปัญหาเหมือนกัน’ เซลีนออกความเห็นเป็นคนสุดท้าย ‘ในเอกสารโบราณไม่ได้บอกเอาไว้เหมือนกันว่าผู้ถูกเลือกจะมีเพียงหนึ่งเดียว เอาไว้พบแม่มดที่เป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่ พวกเราค่อยเปลี่ยนก็ได้’
‘ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็เห็นด้วย…อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้’ อาลิเธียถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
“จะมีผู้ถูกเลือกคนใหม่หรือเปล่านั้นยังไม่อาจตอบได้ แต่เรื่องที่จะเปลี่ยนตัวข้าว่าไม่ต้องหรอก’ โซอี้มองไปทางพาซาร์ “เรื่องที่เจ้าเคยกังวล ตอนนี้เหมือนจะเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว”
‘แม่มดพวกนั้นแสดงความรังเกียจเจ้าในตอนที่ทำศึกเหรอ?’
“มันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น” เธอเล่าเรื่องคามิล่าออกมารอบหนึ่ง “หลังได้ยินว่าข้าจะเป็นคนสืบสวนปีศาจ นางก็รับปากที่จะเชื่อมต่อวิญญาณเข้ากับปีศาจให้ นี่แสดงให้เห็นว่าในความกังวลว่าแม่มดจะได้รับอันตรายของนางนั้นไม่มีสัตว์ประหลาดอย่างพวกเราอยู่ด้วย”
‘…..’ บรรยากาศคร่ำเครียดขึ้นมาทันที เมื่อร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ พาซาร์เคยพูดถึงความเป็นไปได้แบบนี้ ถึงแม้พวกเธอจะคิดว่าตัวเองเป็นแม่มด แต่แม่มดในยุคสมัยใหม่นั้นอาจจะไม่ได้คิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก ลักษณะพิเศษหรือเรื่องความสามารถ พวกเธอกับแม่มดสมัยใหม่ก็ไม่มีอะไรคล้ายกันเลย เผลอๆ พวกเธออาจจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนด้วยซ้ำ การที่พวกเธอได้รับการยอมรับจากโรแลนด์ วิมเบิลดันเร็วขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากแล้ว
ในตอนที่ประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน บางทีผู้ที่ตื่นรู้ขึ้นมาใหม่อาจจะไม่ได้มองพวกเธอว่าเป็นแม่มดอีกแล้วก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกแม่มดอาจจะเอาพวกเธอมาเป็นหนูทดลองในการค้นหาความลับของเวทมนตร์กับเทคโนโลยีของอารยธรรมใต้ดินก็ได้
ถึงแม้ความคิดนี้จะค่อนข้างมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย แต่ในช่วงเวลาที่ยาวนานเป็นร้อยหรือเป็นพันปี มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อได้ยินโซอี้พูดเยาะเย้ยตัวเอง พาซาร์จึงถอนหายใจออกมา ‘อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าข้าไม่เสียใจหรอกนะ’
ทั้งสามคนต่างไม่พูดอะไร เพราะว่านี้เป็นเส้นทางที่พวกเธอเลือกเอง
‘ถ้าสามารถทำความปรารถนาของสามผู้นำให้กลายเป็นจริงได้ ภารกิจของพวกเราก็ถือเป็นอันสิ้นสุด’ เธอชะงักไปเล็กน้อย ‘โลกหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปควบคุมได้…แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเราสามารถเตรียมตัวเลือกทางเดินให้กับตัวเองในอนาคตได้’
‘ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ไม่โผล่หน้าออกมาให้ใครเห็น หรือไม่ก็หาที่ฝังตัวเองงั้นเหรอ?’ อาลิเธียพูดอย่างไม่สบอารมณ์
‘ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน’ พาซาร์พูดพร้อมโบกหนวดหลัก ‘พวกเราจะกลายเป็นขุมกำลังที่อาณาจักรมนุษย์ไม่อาจขาดได้ต่างหาก’
992 ทิศทางของอนาคต
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘เจ้าหมายถึงแม่มดอาญาสิทธิ์เหรอ? แต่เกรงว่าราชาของคนธรรมดาคงจะไม่ได้คิดเช่นนี้…’
‘พลังไม่ได้หมายถึงอาวุธและพละกำลังเพียงอย่างเดียว’ พาซาร์ชี้ไปยังโซอี้ ‘หัวใจสำคัญที่ทำให้อาณาจักรของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจทดแทนได้ และนั่นก็เป็นข้อได้เปรียบของพวกเราพอดี’
‘อย่างนี้นี่เอง!’ เซลีนเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันที ‘เทียบกับความสามารถในการต่อสู้แล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ’
“หา…” โซอี้กุมขมับ “ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ เรื่องนี้ให้พวกฟาลดี้เป็นคนจัดการแล้วกัน”
‘เฮ้ พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เนี่ย?’ อาลิเธียพูดอย่างไม่พอใจ ‘ทำไมข้าฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย?’
“พาซาร์กำลังพูดถึงความรู้” อมนุษยที่อายุน้อยที่สุดเบะปาก “ในโลกแห่งความฝันของฝ่าบาทมีทั้งโรงเรียน ห้องสมุดแล้วก็พวกนักวิชาการใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อทุกสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความฝันล้วนแต่มาจากความทรงจำของพระองค์ อย่างนั้นทุกคนก็น่าจะสามารถเรียนรู้มันได้ เมื่อเทียบกับการไปนั่งคัดลอกหนังสือมาแล้ว สู้เรียนรู้มันทั้งหมดเลยดีกว่า ขอเพียงพวกเราเจียดเวลาหาความสุขส่วนหนึ่งไปเรียนรู้ความรู้พวกนั้นตั้งแต่พื้นฐานเลย หลังผ่านไปสิบปี ฝ่าบาทก็จะมีผู้ช่วยที่เข้าใจเจตนาของพระองค์อย่างถ่องแท้เพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่ม”
‘เรี่ยวแรงของคนธรรมดาจะถดถอยไปตามกาลเวลา แต่พวกเรากลับไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เวลา 100 ปีเพียงพอจะทำให้แม่มดอาญาสิทธิ์กลายเป็นผู้สืบทอดในอุดมคติของฝ่าบาท นี่ต่างหากถึงจะเป็นข้อได้เปรียบของพวกเรา’ พาซาร์พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า ‘โดยเฉพาะในตอนที่พระองค์ทรงจากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะมีเพียงพวกเราที่รู้ว่าโลกนั้นมีเป็นอย่างไร’
‘ถ้าอยากจะเดินทางเส้นทางที่ฝ่าบาททรงบุกเบิกเอาไว้ ก็มีแต่ต้องเดินผ่านทางพวกเรา เมื่อเป็นแบบนี้ ต่อให้โยนสถานะแม่มดทิ้งไป พวกเราก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก ในอีกแง่หนึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเราก็คือการพยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของฝ่าบาท ซึ่งพวกสโมสรแม่มดไม่มีทางที่จะนั่งดูเรื่องนี้เฉยๆ แน่นอน ในทางกลับกัน ขอเพียงพวกเราควบคุมความรู้เอาไว้ในมือ มันก็จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย ต่อให้เราไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เราก็จะกลายเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งได้’
‘นี่มันวิธีของพวกสำนักซีคลาวด์ไม่ใช่เหรอ?’ อาลิเธียพูดพึมพำขึ้นมา
ตามตำนานเล่าว่าในยุคสมัยที่มนุษย์ยังเป็นพวกป่าเถื่อนอยู่นั้น ได้มีนักปราชญ์บางคนจับกลุ่มกันขึ้นมา แล้วทำการกระจายเปลวไฟแห่งอารยธรรมออกไป พวกเขาถ่ายทอดความรู้เรื่องการหลอมและตีเหล็ก การทอผ้า การปลูกข้าวเลี้ยงสัตว์ให้กับผู้คน จนกระทั่งมนุษย์กระจายตัวออกไปทั่วทั้งดินแดนแห่งรุ่งอรุณ หลังจากนั้นหลายร้อยปี ชื่อเสียงและบารมีของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้มีอำนาจทุกคนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะดึงพวกเขามาเป็นพวก จนทำให้สมาชิกของสำนักจำนวนไม่น้อย จากที่เป็นผู้เผยแพร่ความรู้ก็กลายเป็นของใช้ส่วนตัวของพวกผู้มีอำนาจ
หลังจากที่หัวหน้านักปราชญ์รู้ถึงเรื่องนี้เขา เขาก็ได้พากลุ่มนักปราชญ์ที่เหลือย้ายออกจากเมืองใหญ่ๆ แล้วตั้งกฎขึ้นมาว่าไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก ให้ตั้งใจศึกษาความลับของโลกนี้ และคลายปริศนาของซากโบราณสถาน เนื่องจากสถานที่ที่พวกเขาย้ายไปอยู่ใหม่นั้นอยู่บนยอดเขาสูง แล้วก็มักจะมีเมฆคอยปกคลุมอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกที่นั่นว่าสำนักซีคลาวด์
ถึงแม้คนเหล่านี้จะไปมาหาสู้กับมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างน้อยมาก แต่สถานะของพวกเขายังคงมีความพิเศษอย่างมาก ไม่ว่าอำนาจการปกครองภายในวังจะเปลี่ยนไปยังไง พวกเขาก็ยังให้ความเคารพสำนักซีคลาวด์อยู่ ทุกปีจะมีการส่งข้าวของเครื่องใช้กับลูกศิษย์ที่ยังหนุ่มสาวไปให้นักปราชญ์ช่วยชี้แนะ
แต่ช่วงเวลาแบบนี้ก็ดำเนินไปได้ไม่นาน จากนั้นปีศาจก็บุกเข้ามารุกรานมนุษย์ แล้วก็เกิดสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งขึ้น และในตอนนั้นก็ได้มีข่าวลือข่าวหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีแพร่สะพัดไปทั่ว ข่าวลือบอกว่าคนที่พาพวกปีศาจที่น่ากลัวเหล่านี้เข้ามายังดินแดนแห่งรุ่งอรุณก็คือนักปราชญ์คนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
จากนั้นชื่อเสียงของสำนักซีคลาวด์ก็ตกลงด้วยเหตุนี้ เมื่อไม่มีผู้ปกครองคนไหนยินดียื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายพวกเขาก็ถูกปีศาจกลืนกินและกลายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ในประวัติศาสตร์
‘อย่างน้อยพวกเราก็ไม่มีทางจับมือกับพวกปีศาจแน่นอน’ เซลีนพูดปฏิเสธ ‘ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งผู้ดูแลความรู้ก็ฟังดูไม่เลวเหมือนกัน เทียบกับชื่อที่สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลี้ลับตั้งให้แล้วน่าฟังกว่าตั้งเยอะ’
‘เอาเป็นว่า นี่เป็นแค่เพียงทิศทางที่เราจะเดินหน้าไปเท่านั้น เพราะแผนที่เกี่ยวข้องกับอนาคตทั้งหมดมันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราเอาชนะปีศาจไม่ได้’ พาซาร์พูดยิ้มๆ พร้อมกับเอาหนวดหลักตบไปที่หัวเซลีนเบาๆ ‘เอาล่ะ พวกเราไปทำการปรับแกนเวทมนตร์สำหรับถ่ายโอนวิญญาณดีกว่า เอาไว้ด้านนอกเฉลิมฉลองกันเสร็จแล้ว ทางนี้ก็น่าจะเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ข้าว่าฝ่าบาทคงทนรอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแน่นอน’
……
ในขณะที่ชาวเมืองกำลังเฉลิมฉลองในชัยชนะอยู่นั้น โรแลนด์ก็ได้พาสมาชิกสำคัญๆ ของกองทัพพันธมิตรเข้าไปยังเมืองชายแดนที่สาม
เขารอไม่ไหวแล้วจริงๆ
ถ้าบอกว่าเมืองของปีศาจที่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำนั้นเป็นข้อมูลเก่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวของปีศาจระดับสูงตัวนี้ย่อมต้องเป็นข้อมูลล่าสุดของพวกมันอย่างแน่นอน ทว่าเนื่องจากวิธีการเค้นเอาข้อมูลแบบปกตินั้นใช้กับพวกปีศาจไม่ได้ผล โอกาสในครั้งนี้ถึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ในตอนที่เหยียบเข้าไปในโถงแกนเวทมนตร์ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
เขาเห็นแม่มดทาคิลายืนเป็นแถวเรียงหนึ่งอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงกลางโถง ส่วนคนที่ยืนอยู่หัวแถวก็คือแม่มดระดับสูงที่อยู่ในร่างต้นแบบทั้งสามคน
จากนั้นแม่มดอาญาสิทธิ์ก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาขนานกับพื้น นิ้วทั้งสิบซ้อนทับกันอยู่ตรงหน้าอก พร้อมกับโค้งตัวลงให้กับเขา
วิธีการทำความเคารพที่แปลกประหลาดเหล่านี้เขาเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่ว่านั่นเป็นการทำความเคารพที่แม่มดระดับล่างจะใช้กับแม่มดระดับสูงเท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถามอะไร ร่างเปลือกทั้งสามคนก็เอาหนวดขึ้นมาซ้อนทับที่หน้าอกเหมือนกัน จากนั้นเสียงของพาซาร์ก็ดังขึ้นมาให้หัวของเขา ‘ขอบพระทัยพระองค์มากเพคะ ฝ่าบาท ทาคิลาขอสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ไปตลอดกาลเพคะ’
นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกค่อนข้างแปลกใจทีเดียว คำพูดขอบคุณในช่วงแรกนั้นยังพอเข้าใจได้อยู่ นั่นน่าจะเป็นเพราะพวกเธอมองเห็นความหวังที่จะเอาชนะปีศาจและชำระแค้น แต่คำพูดท่อนหลังนั้นดูแปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้กองทัพพันธมิตรจะเรียกร้องให้พันธมิตรทุกคนต้องทำงานให้กับผู้นำ แต่ท่าทีที่เคารพนอบน้อมของอีกฝ่ายนั้นกำลังบอกเขาว่าการทำงานให้กับการสวามิภักดิ์มันเป็นคนละเรื่องกัน
ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเดิมแม่มดระดับสูงทั้งสามนั้นก็เป็นแม่มดระดับบนของสมาพันธ์ และคนที่พวกเธอต้องทำความเคารพเช่นนี้ก็มีแค่สุดยอดอมนุษย์ทั้งสามเท่านั้น
นี่หมายความว่าพวกเธอมองเขาเป็นสามผู้นำของสมาพันธ์แล้วเหรอ?
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมท่าทีของอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่ในฐานะที่กุมอำนาจมานานขนาดนี้ ต่อให้เขาโง่เรื่องการปกครองแค่ไหน เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งซักไซร้หาเหตุผล
โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้เหมือนมันเป็นการทำความเคารพแบบธรรมดา “ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ ชัยชนะครั้งนี้เป็นของทุกคน เออใช่ การถ่ายโอนวิญญาณเตรียมพร้อมไปถึงไหนแล้ว?”
‘สามารถเริ่มได้ทุกเมื่อเพคะ’ พาซาร์ชี้ไปยังแกนเวทมนตร์ที่ส่องแสงสีม่วงอยู่ด้านหลัง ‘เชิญตามหม่อมฉันมาเลยเพคะ’
เมื่อเดินตามเธอไปถึงแกนเวทมนตร์ โรแลนด์ก็สังเกตเห็นเตียงหินสองหลังที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียงฝั่งซ้ายมีนักรบอาญาสิทธิ์ผู้ชายที่ไม่มีขาทั้งสองข้างคนหนึ่งนอนอยู่ ผมของเขาเป็นสีขาว เห็นได้ชัดว่าถูกเปลี่ยนร่างมาเป็นรบอาญาสิทธิ์นานแล้ว ส่วนเตียงด้านขวาก็มีร่างที่แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมที่ดูคล้ายคนนอนอยู่ แขนขาของมันถูกตัดขาด แม้แต่เกราะสีดำบนตัวก็มีรอยยุบอยู่เต็มไปหมด ยากที่จะจินตนาการได้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง
“ปกติแล้วมันไม่มีทางอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้เพคะ” โซอี้เหมือนจะมองเห็นความสงสัยของเขา เธอเป็นฝ่ายอธิบายออกมาเองว่า “ถ้าไม่มีการรักษาของคุณหนูนาน่า เกรงว่ามันคงจะตายไปในวันนั้นแล้วเพคะ นอกจากนี้ท่านอกาธายังมีส่วนช่วยอย่างมาก ไม่อย่างนั้นพวกหม่อมฉันคงไม่สามารถเก็บรักษาหมอกแดงที่ยึดมาได้นานขนาดนี้ แต่ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจมันฟื้นตัวกลับมาได้ระหว่างทาง พวกหม่อมฉันก็เลยต้องทำการปรับอะไรนิดหน่อย มันก็เลยออกมาเป็นสภาพเหมือนที่เห็นนี่แหละเพคะ”
“ปรับ?” เวนดี้ถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำยังไง?”
“ง่ายมาก ถ้ารู้สึกว่ามันฟื้นตัวขึ้นมาก็แทงมันไปทีนึง พยายามให้มันใช้พลังเวทมนตร์ไปกับการรักษาตัวเอง เพียงแต่ข้าเพิ่งจะเคยทำแบบนี้เป็นครั้งเลย ก็เลยมีอยู่หลายครั้งที่เกือบจะทำมันตาย” โซอี้พูดเหมือนยังรู้สึกไม่พอใจ
นี่เป็นเรื่องที่เธออยากจะทำมากที่สุดจริงๆ ด้วย
บรรยากาศตรงนั้นดูตรึงเครียดขึ้นมาทันที โรแลนด์จึงกระแอมเล็กน้อยพร้อมพูดออกมาว่า “อย่างนั้น เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา….เราเริ่มถ่ายโอนวิญญาณกันเลยดีกว่า”
‘เพคะฝ่าบาท’ เซลีนยื่นหนวดหลักออกมา ก่อนจะเสียบเข้าไปในแกนเวทมนตร์
993 สอบสวนวิญญาณ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระสวยโครงกระดูกของแกนเวทมนตร์ขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีม่วงไหลเวียนขึ้นไปบนโครงกระดูก ทำเอาภายในโถงถูกย้อมไปด้วยสีม่วงเย็นๆ จากนั้นแกนเวทมนตร์ขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือพื้น 2 เมตรก็ค่อยๆ หมุนขึ้นมา บวกกับแสงที่สว่างวูบวาบ ทำให้มันดูแล้วคล้ายกับโคมไฟม้าวิ่งในโลกยุคหลัง
แต่โครงกระดูกที่ขยายตัวออกมาได้เองนั้นกำลังบอกโรแลนด์ว่าพลังเวทมนตร์เป็นสิ่งที่ ‘ฟิสิกส์’ ยังไม่สามารถอธิบายได้ เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่มีอะไรยึดอยู่เลย แต่โครงกระดูกเหล่านั้นกลับสามารถกางออกได้โดยที่ไม่กระเด็นหลุดออกไป ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังจับพวกมันเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“อารยธรรมใต้ดินสร้างของพวกนี้ขึ้นมาได้ยังไง?” เขามองไปทางพาซาร์ “ถ้าให้วัสดุที่ใกล้เคียงกับพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถสร้างมันออกมาได้ไหม?”
‘ตอนนี้เกรงว่ายังไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท’ พาซาร์ส่ายหัว ‘ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่การศึกษาเวทมนตร์ของเผ่าพันธุ์นี้เหนือไปจากสมาพันธ์มาก เซลีนนั้นเป็นหัวกะทิของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลี้ลับแล้ว แต่ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ นางทำได้เพียงแค่เรียนรู้ว่าจะควบคุมพวกมันอย่างไรเท่านั้นเพคะ’
‘คนไม่พอก็เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญเพคะ’ เซลีนหันกลับมาตอบ ‘การวิเคราะห์โครงสร้างของมันไม่ใช่แค่การใส่เวทมนตร์เข้าไปเฉยๆ แต่มันจำเป็นต้องรับรู้ถึงจุดสัมผัสนับหมื่นในเวลาเดียวกันด้วยถึงจะทำให้มองเห็นตัวมันทั้งหมดอย่างชัดเจน ซึ่งผิวหนังของคนธรรมดานั้นไม่สามารถทำแบบนี้ได้เพคะ’
“พูดอีกอย่างคือถ้าอยากจะเข้าใจมัน ก็ต้องกลายเป็นเหมือนพวกเจ้าตอนนี้ใช่ไหม?” ทิลลีถาม
‘ถูกต้อง เหมือนกับหนอนฤดูร้อนที่ไม่รู้จักความหนาวเย็นของฤดูหนาว เหมือนกับคนหูหนวกที่ไม่ได้ยินเสียงของสรรพสิ่ง’ เซลีนพูดอย่างจนปัญญา ‘ข้าไม่สามารถใช้ภาษามนุษย์มาบรรยายความรู้สึกทั้งหมดที่ข้ารับรู้ได้ เพราะว่าคำศัพท์ที่มีอยู่ในตอนนี้มันไม่มีคำไหนที่พอจะแสดงออกมาได้เลย ดังนั้นตอนนี้จึงมีแค่ข้ากับพาซาร์เท่านั้นที่สามารถควบคุมแกนเวทมนตร์ได้’
“เดี๋ยวนะ…หรือเจ้าจะบอกว่าหนวดหลักที่ดูใหญ่โตของร่างต้นแบบมันไวต่อสัมผัสอย่างมาก?” โรแลนด์พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
‘ไม่ใช่แค่หนวดหลักเพคะ แต่ทุกหนวดต่างก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน’ เซลีนตอบ ‘พวกมันสามารถแยกแยะความร้อนเย็น กลิ่น ความชื้นความแห้ง…แล้วก็การสัมผัสแม้เพียงน้อยนิด หนวดหลักนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของเวทมนตร์ ดังนั้นทันทีที่ย้ายเข้ามาในร่างต้นแบบ ก็จะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับร่างกายในอดีตได้อีกต่อไปเพคะ เอ่อ พระองค์ทรงสนใจมันเหรอเพคะ?’
“เปล่าๆ ข้าก็แค่ถามเรื่อยเปื่อยน่ะ…” โรแลนด์เบือนหน้าหนี ในเวลาสำคัญแบบนี้ อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้จะดีกว่า ต่อให้หนวดหลักจะไวต่อความรู้สึกแค่ไหน แต่มันก็เป็นอาวุธอันทรงพลังของร่างต้นแบบ เขาจำที่ฟิลลิสเคยบอกได้ว่าถ้าวัดกันแต่เรื่องขอพละกำลังเพียงอย่างเดียว ร่างต้นแบบนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่มดอมนุษย์เลย
แต่จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาๆ จะไปศึกษาพลังเวทมนตร์ได้เลย กระทั่งการรับรู้ก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปศึกษามันได้อย่างไร? นี่ก็หมายความว่าก่อนที่จะมีเครื่องมือในการสำรวจที่น่าเชื่อถือ เจ้าสิ่งนี้คือวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งสำหรับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
‘แกนหมายเลข 3 ทำการปรับเป็นรูปแบบสำหรับถ่ายโอนวิญญาณ การถ่ายโอนกำลังจะเริ่มขึ้น’ เสียงของเซลีนดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา จากนั้นเขามองเห็นพาซาร์กับอาลิเธียต่างก็ยื่นหนวดหลักเข้าไปในกระสวยแกนเวทมนตร์
โรแลนด์ลืมตาโต เหมือนกลัวว่าจะพลาดอะไรไป
แต่ความจริงขั้นตอนนี้กลับไม่มีอะไรพิเศษเลย เขาเป็นลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากแกนเวทมนตร์ ก่อนจะไปปกคลุมที่เตียงหินด้านล่างทั้งสองเตียง ขณะเดียวกันพลังเวทมนตร์ที่อยู่ในโครงกระดูกก็ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่กี่นาที เซลีนก็ถอนหายใจออกมา ‘โชคดีทีเดียวเพคะ เจ้านี่มันถูกแกนเวทมนตร์กระตุ้นได้จริงๆ ด้วย ตอนนี้ก็แค่รอให้มันไปอยู่ในร่างของทหารอาญาสิทธิ์เพคะ’
“แค่นี้เหรอ?” โรแลนด์กะพริบตา
‘ความจริงการถ่ายโอนวิญญาณก็คือการแลกเปลี่ยนกุญแจเพคะ’ พาซาร์อธิบาย ‘ถ้าหากมองผ่านหินเวทมนตร์หลากสี พระองค์จะทรงเห็นว่าลำแสงเวทมนตร์ที่เป็นของปีศาจนั้นถูกย้ายมาที่ตัวทหารอาญาสิทธิ์เพคะ’
เมื่อคำพูดของแม่มดโบราณจบลง จู่ๆ นักรบอาญาสิทธิ์ที่นอนแน่นิ่งพลันลืมตาขึ้นมา!
ใบหน้าของเขายู่เข้ามาจนดูดุร้ายอย่างมาก ในลำคอไม่เพียงแต่จะส่งเสียงคำรามแปลกๆ ออกมา แต่ร่างกายยังสั่นขึ้นมาไม่หยุดด้วย นิ้วมือเองก็กางชี้ไปคนละทิศคนละทาง ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำเอาแม่มดที่ยืนดูอยู่รอบๆ พากันถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
“จู่ๆ ก็ถูกจับยัดใส่เข้าไปในร่างที่ไม่รู้จักมันก็เป็นแบบนี้แหละ” โซอี้พูด “ตอนพวกเราเปลี่ยนร่างครั้งแรกก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้านี่เท่าไร ถ้าไม่มีคนคอยช่วยเหลือ เกรงว่าแม้แต่กินข้าวก็ยังทำไม่ได้เลย”
โรแลนด์อดนึกถึงภาพแม่มดกลุ่มหนึ่งที่หนีตายเข้าไปอยู่ในถ้ำใต้ดินอันหนาวเหน็บด้วยสภาพล้มลุกคลุกคลาน…การที่พวกเธอสามารถกัดฟันอดทนอยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ถือว่าพวกเธอเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก
“ตอนนี้เป็นช่วงที่ความคิดของปีศาจสับสนมากที่สุด ดังนั้นต่อไปคงต้องฝากเลดี้คามิล่าด้วย” เธอมองไปทางทุกคน “ถ้าอยากจะถามอะไรก็ถามออกมาได้เลย ถ้ามีคำตอบ ข้าจะอธิบายความคิดของมันออกมาเอง” โซอี้ชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเพคะ”
“เจ้าว่ามา” โรแลนด์พยักหน้า
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหม่อมฉันไม่บอกให้หยุดก็ห้ามหยุดการสะท้อนของวิญญาณนะเพคะ” เธอพูดช้าๆ ชัดๆ “ทุกอย่างเน้นการสอบสวนเป็นสำคัญ”
“นี่…” ในที่สุดสีหน้าของคามิล่า แดริลก็เปลี่ยนไป
“ข้าเข้าใจแล้ว” โรแลนด์รับปากเธออย่างไม่ลังเล อีกฝ่ายได้ตัดสินใจแล้ว ตอนนี้ถ้ามัวแต่ลังเล มันจะเท่ากับเป็นการดูถูกความตั้งใจของเธอเปล่าๆ
“อย่างนั้นหม่อมฉันจะใช้พลังแล้วนะเคพะ” หัวหน้าแม่บ้านแห่งเกาะสลีปปิ้งมองดูเขา จากนั้นจึงยกสองมือขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของโซอี้กับทหารอาญาสิทธิ์
สีหน้าโซอี้ดูเจ็บปวดขึ้นมาทันที
จากนั้นเหมือนเธอจะทนไม่ไหว ปากของเธออ้าออกพร้อมส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่พริบตานั้นเอง โรแลนด์รู้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของปีศาจ การเชื่อมต่อทางวิญญาณทำให้ปีศาจสามารถใช้ปากของเธอส่งเสียงคำรามออกมาได้
“พวกเจ้าทำอะไรข้า!?” เสียงของเธอเปลี่ยนไปทันที “เจ้าแมลงชั้นต่ำ รีบปล่อยข้า! ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้นังตัวเมียนี่มันทุกข์ทรมาน!”
เหล่าแม่มดพากันตกใจ “หรือว่าโซอี้นาง…”
“นี่แค่เป็นการขู่เท่านั้น” อันนาพูดอย่างใจเย็น “พวกเจ้าลองดูนิ้วของเธอสิ”
ในเวลานี้ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่ามือข้างขวาของแม่มดอาญาสิทธิ์มีนิ้วมือนิ้วหนึ่งตั้งขึ้นมาพร้อมกับโบกไปมาอย่างสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ถูกมันควบคุม
โรแลนด์เองก็เดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เห็นชัดว่าแทนที่จะใช้วิธีถามตอบ การพูดคุยแบบนี้ดูจะได้ผลมากกว่า แถมยังทำให้ปีศาจมีเวลาได้ครุ่นคิดก็น้อยลงด้วย
“แมลงชั้นต่ำอย่างนั้นเหรอ?” เขาหัวเราะหึหึขึ้นมา “อย่างนั้นเจ้าที่แพ้ให้กับพวกเราคืออะไรล่ะ?”
“ข้า…แพ้เหรอ?” ปีศาจตกตะลึง เสียงดูเบาลงไปทันที สีหน้าเจ็บปวดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่โรแลนด์ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดนี้มันมาจากความคิดอันสับสนของปีศาจหรือว่าตัวโซอี้
“ถูกต้อง เจ้าเกือบถูกยิงจนพรุน ส่วนกองทัพของเจ้านั้นพ่ายแพ้ย่อยยับ กว่าครึ่งตายอยู่ในสนามรบ ส่วนอีกครึ่งก็ไม่สามารถมีชีวิตกลับไปถึงทาคิลา” แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีเวลาพักหายใจ เขาฉวยโอกาสตอนที่ยังได้เปรียบพูดต่อไปว่า “พวกเราถล่มค่ายของพวกเจ้าจนราบ แล้วก็เอาไฟเผาปีศาจนับพันจนเป็นผุยผง ไหนบอกข้าหน่อยสิ ใครกันแน่ที่เป็นพวกชั้นต่ำ!”
พอถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนจะตะโกนออกมา
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! นอกเสียจาก นอกเสียจาก…” หัวของโซอี้ส่ายไปมา ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงเหมือนตกตะลึงว่า “หรือว่าพวกเจ้าได้ชิ้นส่วนสืบทอดมาแล้วชิ้นหนึ่ง เผ่าพันธุ์เลยได้รับการยกระดับ? อาวุธพวกนั้น….สร้างขึ้นมาจากสิ่งที่อยู่ในชิ้นส่วนอย่างนั้นเหรอ?”
โรแลนด์จับใจความสำคัญได้ทันที “ชิ้นส่วนสืบทอด…มันคืออะไร? การยกระดับมันหมายความว่ายังไง?”
994 สอบสวนวิญญาณ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้จะแค่ชั่วแวบหนึ่งที่เขาอยากจะตะโกนออกมาว่า ‘อ้อ เจ้าเป็นคนของ Tal’darim[1] เหรอ? ขอโทษที จำไม่ได้เลย’ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องสะกดมันเอาไว้
เพราะว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงสอบสวนอยู่ ถ้าพูดออกนอกประเด็นเกินไปมันจะทำลายความน่าเกรงขามของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออยู่ในสภาวะที่ทำการสะท้อนวิญญาณอยู่นี้ ผู้ที่เชื่อมต่อจะพยายามแปลความคิดของอีกฝ่ายออกมาเป็นภาษาที่ตัวเองเข้าใจได้ ถ้าไม่มีคำศัพท์ที่เหมาะสม เธอก็จะพยายามเลือกเอาคำพูดที่มีความใกล้เคียงกันมาแทนที่ ดังนั้นต่อให้เป็นคำพูดที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่ความหมายมันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ยินก็ได้
ทว่าปีศาจไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่กำลังตกอยู่ในสภาพสับสนอย่างรุนแรง
“ไม่ นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้! แมลงอย่างพวกเจ้าไม่เคยเข้าไปในอาณาจักรซีสกาย แล้วจะเอาชิ้นส่วนสืบทอดมาได้ยังไง? นั่นมันไม่ใช่ดินแดนที่พวกเจ้าจะเข้าไปเหยียบได้! แต่ถ้าไม่ใช่แบบนี้ แล้วพวกข้าแพ้ได้ยังไง? โกหก เจ้าโกหก…ข้า คาบราดาบีไม่มีวันยอมรับ!”
ก่อนการสอบสวน โรแลนด์รู้ว่าช่วงแรกของการถ่ายโอนวิญญาณนั้นเป็นช่วงที่ปีศาจอ่อนแอมากที่สุด จากที่โซอี้บอกมา หลังดวงวิญญาณถูกแกนเวทมนตร์ถึงออกมาแล้วมันจะเกิดความรู้สึกไม่เคยชินอย่างรุนแรง จนทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ แล้วก็เปิดเผยข้อมูลที่ปกติไม่มีทางพูดออกมาง่ายๆ ออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อยๆ บีบอีกฝ่ายต่อ “ยังจะให้ข้าเตือนสติเจ้ามากกว่านี้ไหม? พวกเจ้าอยากจะซุ่มโจมตีกองทัพของข้า แต่กลับถูกบีบให้ต้องเผยตัวออกมาสู้ จากนั้นกองทัพของเจ้าก็เสียหายอย่างหนักโดยที่ยังไม่ได้เข้ามาใกล้แนวรบของข้าเลย ส่วนเจ้าก็พาลูกน้องออกมาโดยหวังจะกู้สถานการณ์ แต่ในตอนที่เพิ่งลงมาเหยียบบนพื้นดินก็ถูกแม่มดอาญาสิทธิ์เล่นงานจนพ่ายแพ้โดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้หาวเลย ตอนนี้คนที่เอาชนะเจ้าได้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้าค่อยๆ นึก เจ้าก็จะมองเห็นตัวเจ้าผู้อ่อนแออยู่ในหางตาของนาง”
“เจ้า….” สีหน้าของปีศาจระดับสูงดูแย่ขึ้นมาทันที
การพูดคุยทางจิตสำนึกนั้นเร็วกว่าทุกสิ่ง เห็นได้ชัดว่าหลังได้ยินในสิ่งที่เขาพูด โซอี้ก็รีบแสดงภาพสนามรบเข้าไปในหัว
“ไม่ยอมรับมันก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเจ้าพ่ายแพ้ได้หรอก คำว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าพูด สุดท้ายมันก็เป็นแค่คำพูดไร้สาระ” โรแลนด์พูดเสียดสี “ไม่เข้าไปเหยียบในอาณาจักรซีสกาย ก็จะไม่มีทางได้ชิ้นส่วนสืบทอดอย่างนั้นเหรอ? เจ้าไม่บอกมาก่อนล่ะว่ามันคืออะไร ถ้าเราเข้าใจไม่ตรงกัน แล้วข้าจะไปตอบข้อสงสัยในใจเจ้าได้ยังไงล่ะ? ไม่แน่ในสายตาข้า มันอาจจะไม่ได้มีค่าขนาดนั้นก็ได้”
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นงั้นหรือ เจ้าแมลง” เสียงของคาบราดาบีเต็มไปด้วยความโกรธ “ต้นกำเนิดสงครามแห่งโชคชะตา กุญแจสำคัญที่จะตัดสินให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดและยกระดับ แต่เจ้ากลับบอกว่ามันไม่มีค่างั้นเหรอ!?”
ทันใดนั้นพาซาร์เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ‘เดี๋ยวๆ มันเป็นเหมือนผลึกสีแดงที่รูปทรงคล้ายกระสวยทอผ้าปลายแหลม ถ้าเข้าใกล้มันก็จะถูกมันพาเข้าไปยังโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แล้วก็มองเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างใช่หรือเปล่า?’
“มรดกของพระเจ้า!” ทิลลีอุทานออกมาเสียงเบาๆ
“พวกเจ้าเรียกมันว่ามรดกของพระเจ้างั้นเหรอ? เป็นพวกแมลงชั้นต่ำจริงๆ ด้วย” ปีศาจพูดอย่างดูถูก “นั่นมันเป็นชิ้นส่วนที่สืบทอดต่อกันมาของแต่ละเผ่าพันธุ์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระเจ้าเลย ถ้ากลืนกินมัน เผ่าพันธุ์ก็จะได้รับการยกระดับ ถ้าเสียมันไป เผ่าพันธุ์ก็จะกลายเป็นอาหารของเผ่าพันธุ์อื่น! ตอนนี้รู้หรือยังว่าความโง่ของพวกเจ้ามันอยู่ตรงไหน? ในตอนที่พวกขี้ขลาดใต้ดินมันถูกทำลาย แมลงอย่างพวกเจ้ายังเอาแต่มุดหัวหลบอยู่บนพื้นดินอยู่เลย แล้วพวกเจ้าจะไปได้รางวัลส่วนนี้มาได้ยังไง?”
โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมาทันที ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่ามนุษย์ไม่มีทางได้มรดกนั่นมา อารยธรรมที่แสดงอยู่ในภาพวาดนั้นมีทั้งหมดสี่อารยธรรม ในเมื่อต้องทำลายอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งก่อนถึงจะแย่งเอามรดกมาได้ อย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะโชคดีได้มันมาจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะในช่วงเวลาที่อารยธรรมใต้ดินพ่ายแพ้ในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง ตอนนั้นมนุษย์กำลังสู้อยู่กับพวกปีศาจ แล้วพวกเขาจะไปมีกำลังเหลือพอจะเข้าร่วมอีกสงครามได้ยังไง?
เขามองดูรอบๆ ก่อนจะเห็นสีหน้าที่คร่ำเคร่งของทุกคน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็รู้ว่าข้อมูลนี้มันสำคัญขนาดไหน
อันดับแรก ข้อมูลตรงนี้ได้ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของแม่มดทาคิลาว่าเป็นเรื่องจริง — ‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้…เข่นฆ่ากันมาเป็นร้อยปีพราะหินที่ไม่รู้เอาไว้ใช้ทำอะไรก้อนเดียวเนี่ยเหรอ? เจตจำนงของพระเจ้าจะโหดร้ายเกินไปแล้ว’ โรแลนด์จำได้ว่าเวนดี้เคยทอดถอนใจเช่นนี้ออกมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามรดกจะไม่ใช่แค่ตัดสินเรื่องการอยู่หรือการดับสูญของอารยธรรมเท่านั้น แต่มันยังมีค่าสำหรับเผ่าพันธุ์อื่นอย่างมากด้วย นี่จึงหมายความว่าสงครามแห่งโชคชะตาแทบจะไม่มีทางที่จะจบลงแบบสันติเลย
อันดับต่อไป เมื่อดูจากคำพูดของปีศาจระดับสูงแล้ว พวกมันคือหนึ่งในผู้ที่ได้ประโยชน์จากการยกระดับอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าการกลืนกินมรดกนั้นเป็นอย่างไร แต่การที่พวกมันบอกว่าการวิวัฒนาการและอาวุธใหม่ของพวกมนุษย์นั้นเป็นเพราะมรดก นี่ทำให้โรแลนด์อดนึกถึงการถ่ายทอดความรู้ขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าที่ดินแดนรุ่งอรุณมีปีศาจแปลกๆ และโครงกระดูกยักษ์ปรากฏขึ้นมานั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมใต้ดิน?
นี่มันน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมเสียอีก ถ้าการปฏิวัติอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้คนงานอุตสาหกรรมและวัตถุดิบจำนวนมาก จากนั้นก็ต้องรอให้เทคโนโลยีก้าวข้ามจุดๆ หนึ่งไปถึงจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วของการผลิตได้ อย่างนั้นชิ้นส่วนสืบทอดที่ว่านี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการถ่ายทอดวรยุทธ์ในนิยายกำลังภายในเลย ขอเพียงได้มรดกของอารยธรรมใดอารยธรรมหนึ่งมา ก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งของผู้แพ้ ถ้านี่คือความจริงที่อยู่เบื้องหลังการยกระดับเผ่าพันธุ์ล่ะก็ อย่างนั้นมันก็ค่อนข้างน่าทีเดียว
สุดท้ายในฐานะที่เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่อยู่ในภาพวาด มนุษย์นั้นล้าหลังกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมากจริงๆ อย่างเช่นข้อมูลที่ได้รับมาในตอนนี้ ถึงแม้มันจะมีความสำคัญอย่างมาก แต่ถึงรู้ไปมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ต่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของมรดก แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อสู้รบแม้แต่น้อย สู้ไม่ได้ยังไงมันก็สู้ไม่ได้อยู่วันยังค่ำ มันเหมือนเป็นข้อมูลที่ใครจะรู้ก็ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มนุษย์กลับรู้เรื่องนี้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ในช่วงเวลาเกือบพันปีที่ผ่านมานี้ มนุษย์ไม่สามารถสามัคคีกันได้เลย จนทำให้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อมาคิดดูแล้ว เรียกได้ว่าการสู้กันเองของมนุษย์ทำให้เราเสียเวลาไปมาก
โรแลนด์เลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งของตัวเอง ก่อนจะเลือกเอาปัญหาที่สำคัญที่สุดในบรรดาคำถามจำนวนมากที่อยู่ในหัวออกมา
“ทั้งหมดนี้เป็นการจัดสรรของพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ? พวกเจ้าถึงได้เรียกมันว่าสงครามแห่งโชคชะตาเหมือนกัน”
“เจ้าเข้าใจคำว่าโชคชะตาแบบนี้งั้นเรอะ?” น่าจะเป็นเพราะเงียบไปนานเกินไป ในตอนที่อ้าปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของปีศาจระดับสูงดูจะสงบขึ้นกว่าเดิมเยอะ “เอาล่ะ ให้พวกเจ้ารู้ก่อนตายก็ดูไม่เลวเหมือนกัน ฟังให้ดีนะเจ้าแมลง การต่อสู้ครั้งนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย มันเกี่ยวพันกับเผ่าพันธุ์ของตัวเองเท่านั้น เผ่าที่ยกระดับเป็นเผ่าสุดท้ายจะได้เปิดประตูสู่แหล่งกำเนิดเวทมนตร์และได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนั้น เจตจำนงของผู้ที่ได้ครอบครองพลังก็คือเจตจำนงของพระเจ้า! แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแมลงชั้นต่ำ ชะตาของพวกเจ้าถูกกำหนดเอาไว้ให้ดับสูญ!”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
“ทำไม เจ้าคิดว่าคาบราดาบีผู้นี่จะพูดต่อไม่ได้เหรอ?” อีกฝ่ายหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“หมายความว่าไง?” จู่ๆ โรแลนด์พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “โซอี้?”
“เกรงว่าตอนนี้้นังตัวเมียนี่มันคงไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอกนะ ใช้ลูกไม้ถ่ายโอนวิญาณมาป่วนจิตข้า แล้วใช้แมลงที่สามารถอ่านจิตได้มาอ่านความคิดข้างั้นเหรอ? หลายร้อยปีมานี้พวกเจ้าไม่มีอะไรพัฒนาไปจริงๆ” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เสียงของโซอี้พลันฟังดูเยือกเย็นไร้ความรู้สึก “กล้าใช้ลูกไม้กระจอกๆ แบบนี้ต่อหน้าคาบราดาบีผู้นี้ มันไม่ได้ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายเลย ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถควบคุมร่างนี้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะใช้พลังเวทมนตร์ไม่ได้!”
“คามิล่า!” โรแลนด์ตะโกนไปทางหัวหน้าแม่บ้านของเกาะสลีปปิ้งทันที
“สายไปแล้ว บอกลานังตัวเมียนี้ซะ!”
สิ้นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วแสบแก้วหู โซอี้พลันปิดปากลง ส่วนคามิล่า แดริลนั้นใบหน้าซีดเผือด ราวกับว่าเธอไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า “วิญญาณในร่างนักรบอาญาสิทธิ์…หายไปแล้ว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น