Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1492-1497
ตอนที่ 1492 ตัดสินใจ
Ink Stone_Fantasy
ภาพพื้นหลังกลับกลายเป็นสีขาวอีกครั้ง
มันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ว่า “ภาพเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในคลังความทรงจำ ตอนนี้ข้าปิดระบบการรับรู้ทั้งหมดไปแล้ว ไม่มีทางที่จะยังมีบันทึกหลงเหลืออยู่นอกโลกได้”
“ถูกต้อง” โรแลนด์พูดโดยไม่อ้อมค้อม ภาพที่ขาดหายไปเหล่านี้เป็นภาพความทรงจำที่เขาเห็นก่อนการฉายภาพความทรงจำจากวงแหวนดวงดาวจะจบลง — วงแหวนดวงดาวอันสุดท้ายของยิปซีลอนไม่ได้เป็นของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความทรงจำมากส่วนที่มาจากมิสต์ด้วย น่าจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลของการปะทะกันของพลังเวทมนตร์ ความทรงจำเหล่านี้จึงแค่ผุดขึ้นมาแล้วผ่านไป แต่โรแลนด์ใช้ประโยชน์จากลักษณะพิเศษของสงครามแห่งวิญญาณในการอุดช่องว่างเหล่านี้ด้วยการเอาภาพเหตุการณ์ที่กระจัดกระจายมาต่อเข้าด้วยกันเป็นภาพที่สมบูรณ์ “แต่เจ้าลืมไปแค่ประโยคนั้นประโยคเดียวจริงๆ เหรอ?”
จุดที่เป็นลักษณะพิเศษที่สุดของสงครามแห่งวิญญาณนั้นอยู่ที่การจินตนาการ แต่การจินตนาการเพียงอย่างเดียวไม่สามารถร่างแห่งปัญญาระดับสูงขึ้นมาได้ แทนที่จะบอกว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการถกเถียงกัน ควรจะบอกว่าเป็นการ….มากกว่า
เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ทำการสร้างหรือว่าในช่วงเวลาอันยาวนานที่ดำเนินแผนการเกตเวย์ เงาสีเทาของผู้สร้างก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเพียงเครื่องจักรเลย หากแต่คาดหวังให้มันเป็นมากกว่านั้น
เรียกได้ว่าเป็นเพราะการทับซ้อนเหล่านั้นที่สร้าง ‘ผู้พิทักษ์’ ในตอนนี้ขึ้นมา
ขอเพียงมันยังมองเหตุผลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มันก็ไม่มีทางหลอกตัวเองได้
อีกฝ่ายจ้องมองโรแลนด์อยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงยกแขนขวาขึ้นมา —- ลำแสงสีแดงสว่างวาบออกมาจากฝ่ามือของมัน จากนั้นจึงเป็นเสียงแตกดังเพล้ง!
โรแลนด์ตกใจขึ้นมาทันที
ท่าทางแบบนี้มันเหมือนกับตอนที่กำลังจะหลอมโลกขึ้นมาใหม่ไม่มีผิด
หรือว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
โรแลนด์อดมองไปทางหน้าจอที่อยู่ด้านหลังมิสต์ไม่ได้ เขาเห็นคลื่นกระเพื่อมอันหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากบอทธ่อมเลสแลนด์ ก่อนจะกระจายออกไปรอบๆ ด้วยความเร็วสูง
…….
“แนวป้องกันที่สามถูกทำลายแล้ว สัตว์ประหลาดพวกนี้กำลังบุกเข้ามา!”
“แนวรบตรงกลางต้องการกำลังเสริมจากอัศวินอากาศ!”
“ยังถอยไม่เสร็จอีกเหรอ?”
“อดทนอีกหน่อย ให้กองรบหุ้มเกราะป้องกันทางด้านท้าย ไม่ว่ายังไงก็ต้องอุดช่องโหว่นี้เอาไว้ให้ได้!”
อาณาจักรซีสกายแห่ทะลักจากทะเลขึ้นมาบนเกาะอย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้อัศวินอากาศจะทิ้งระเบิดเพื่อสร้างกำแพงเพลิงไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของพวกมันได้ ไม่ว่าจะเป็นอสูรมีดหรือว่ารังแม่ ในเวลานี้พวกมันเหมือนกับว่าได้ลืมความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณที่มี พร้อมกับเหยียบย่ำซากศพของพวกตัวเองแห่เข้ามาหากองทัพที่หนึ่ง
ภายในใจเฮคซอดมีความรู้สึกลำบากใจที่พูดไม่ออก
จากสถานการณ์ในตอนนี้ มันควรจะรีบถอยออกไปถึงจะถูก เพราะเรื่องที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงนั้นไม่เหมาะที่จะให้มันเข้ามายุ่งเกี่ยวเท่านั้น แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าตอนนี้หากทิ้งมนุษย์กับแม่มดเอาไว้บนเกาะมันก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเกิดอันนาทำสำเร็จขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นคนที่ผิดข้อตกลง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
รู้แบบนี้ไม่รับปากช่วยเจ้ามนุษย์พวกนี้ซะก็ดี!
แม้กองกำลังหลักจะทำการถอนกำลังออกมาแล้ว แต่ศัตรูยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด ในตอนนี้การโจมตีของกองทัพที่หนึ่งไม่สามารถรักษาแนวป้องกันทั้งหมดเอาไว้ได้ เฮคซอดมองเห็นอสูรมีดที่ฝ่าแนวป้องกันเข้ามาอยู่ห่างจากมันไม่ถึง 500 เมตร นี่หมายความว่าอีกไม่นานเท่าไร ศัตรูก็จะกลืนกินพื้นที่แห่งนี้แล้ว
มันตัดสินใจแล้ว ทันทีที่อาณาจักรซีสกายบุกเข้ามาในระยะ 100 เมตร ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร มันก็จะออกไปจากที่นี่
ในเวลานี้เอง รถถังสองคันทางปีกขวาถูกรังแม่พ่นน้ำกรดใส่จนหมดความสามารถในการรบไปทันที อสูรมีดที่มองเห็นช่องว่างรีบพุ่งเข้ามาทันที ถึงแม้แม่มดอาญาสิทธิ์จะเข้ามาเสริมช่องว่างตรงนี้ในทันที แต่อสูรมีดยังคงฝ่าเข้ามาถึงระยะ 200 เมตรได้!
พวกมันกางปีกแล้วบินถลาเข้ามา ในที่สุดก็ฝ่าแนวป้องกันเข้ามาถึงพื้นที่ใจกลางได้
ควรจะไปแล้ว!
ในขณะที่เฮคซอดกำลังเตรียมหมุนตัวจากไป เงาสีน้ำตาลเหลืองเงาหนึ่งได้วิ่งตัดเข้ามาในในทัศนวิสัยของมัน
นั่นคือหมาป่าทะเลทรายขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง
มันจำได้ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะชื่อโลก้าอะไรนี่แหละ
อสูรมีดตัวหนึ่งถูกกดลงไปกับพื้น ก่อนจะจบชีวิตลงด้วยปากขนาดใหญ่ของหมาป่าทะเลทราย
ส่วนอสูรมีดอีกตั้งหนึ่งยกกรงเล็บขนาดใหญ่ที่เหมือนเคียวขึ้นมา ก่อนจะฟันลงมาที่เฮคซอด!
แต่ทันใดนั้นแม่มดกลับทำในสิ่งที่สกายลอร์ดคาดคิดไม่ถึง
เธอพุ่งเข้ามาโดยไม่สนใจอะไร ก่อนจะใช้ร่างกายของตัวเองขวางไปบนเส้นทางการโจมตีของศัตรู กรงเล็บอันแหลมคมตัดขาหน้าข้างหนึ่งของเธอออก ก่อนจะแทงเข้าไปในท้องของเธอ เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาทันที แต่เธอกลับกัดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
จากนั้นเมซี่ก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แล้วฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม! อดทนไว้นะ!” สาวน้อยที่แปลงร่างเป็นคนรีบหยิบเอาผ้าพันแผลยัดเข้าไปในปากแผลของโลก้าโดยไม่สนใจเลือดที่กระเด็นมาเปื้อนตัว
โลก้ากระดิกหู ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยๆ “วางใจได้ ไม่ตายง่ายๆ หรอก…”
เมื่อมองดูภาพเหตุการณ์นี้ เท้าที่หมุนไปแล้วครึ่งหนึ่งของเฮคซอดพลันกลับมาที่เดิม
มันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม
ความคิดที่จะถอยออกไปก่อนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้เหมือนจะมีอารมณ์อะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา
อีก 5 นาที…มันคิดในใจ อย่างมากรออีก 5 นาที
ทันใดนั้นเอง คลื่นพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงได้ทะลักออกมาจากหลุมลึก ก่อนจะกวาดผ่านตัวสกายลอร์ดไปเหมือนกับลมพายุ คลื่นกระเพื่อมนี้รุนแรงจนกระทั่งเหล่าแม่มดก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ พวกเธอตกตะลึงไปกับที่ทันที โดยไม่มีรู้ว่านั่นคือเสียงคำรามที่เปล่งออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึก
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เฮคซอดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
แต่ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้มันต้องตกตะลึง
อสูรมีดกับรังแม่พากันล้มระเนระนาดไปกับพื้น เหมือนกับจู่ๆ ก็สูญเสียวิญญาณไปอย่างไรอย่างนั้น หลังคลื่นกระเพื่อมกระตายตัวออกไป สัตว์ประหลาดของอาณาจักรซีสกายที่ล้มลงไปกับพื้นก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นกองทัพที่หนึ่งเองก็ตกตะลึง
ศัตรูที่ก่อนหน้านี้ยังพากันฝ่ากระสุนปืนแห่เข้ามาพากันหยุดนิ่งลง ปีศาจทะเลเหล่านั้นยังไม่ แต่เดิมพวกมันก็ไม่ใช่กำลังหลักในการบุกโจมตีเข้ามาอยู่แล้ว ในตอนที่รังแม่พากันทยอยล้มลงไป ปีศาจทะเลก็พากันถอยกลับเหมือนกับสายน้ำ
สนามรบที่เดิมกำลังเดือดพล่านพลันเงียบสงบลง
ทหารที่กล้าบางคนที่กล้าหน่อยกระโดดออกมาจากหลุมเพลาะ ก่อนจะใช้ปากปืนกระทุ้งไปที่ศัตรูที่นอนฟุบอยู่บนพื้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เหมือนกับตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลังแรงกดดันอันมหาศาลหายไป ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง สิ่งแรกที่พวกเขาทำไม่ใช่การเฉลิมฉลองในชัยชนะ หากแต่เอาปืนยันไปบนพื้นแล้วค่อยๆ นั่งลงไปกับพื้น พร้อมกับเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าแล้วถอนใจออกมา
“เอ๋?” เมซี่มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันจิ๊บ?”
ส่วนเฮคซอดนั้นมองไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์
ภายในใจมันมีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา แต่มันก็ไม่กล้ายืนยันว่าการคาดเดาของตัวเองถูกหรือไม่
สงครามแห่งโชคชะตา…บางทีอาจจะจบสิ้นลงจริงๆ แล้ว
แถมยังไม่มีวันจะเกิดขึ้นอีกตลอดกาลด้วย
……
“เจ้าเดาถูกต้อง ข้าเป็นคนสร้างอาณาจักรซีสกายขึ้นมาเอง” ผู้พิทักษ์วางมือลงพร้อมกับพูดออกมา “ตอนแรกพวกมันเป็นแค่เครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการคัดเลือกสิ่งมีชีวิต โดยเอามาใช้เปรียบเทียบกับ ‘กลุ่มที่วิวัฒนาการขึ้นมาตามธรรมชาติ’ ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มความกดดันในการใช้ชีวิตให้กับเผ่าพันธุ์ต่างๆ ได้ ในช่วงหมื่นปีแรก การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดยังเป็นแบบดั้งเดิมอยู่ แผนการเองก็ยังถือว่าราบรื่นอยู่ แต่หลังจากนั้นเผ่าพันธุ์ต่างๆ เริ่มใช้พลังเวทมนตร์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่ข้าพบว่าพวกมันสามารถสร้างปัญหาให้กับเปลได้ ข้าก็เลยเพิ่มความสามารถให้กับพวกมันเพิ่มขึ้น”
“ข้าเองก็เคยหวังว่าถ้าอาณาจักรซีสกายสามารถวิวัฒนาการไปจนถึงระดับที่สามารถปรับตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีพลังเวทมนตร์เข้มข้นสูงได้ ปัญหาทั้งสองข้อที่เจ้าพูดมาก็น่าจะคลี่คลายได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้มันจึงถอนใจออกมา “เสียดายที่พลังเวทมนตร์ส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกเป็นสองทาง อาณาจักรซีสกายที่ถูกควบคุมตอนนี้สามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้จำกัดอย่างมาก ส่วนใหญ่พวกมันพึ่งพายีนคุณภาพสูงกับเทคโนโลยีทางชีวภาพมาก กลับกลายเป็นในบรรดาเผ่าพันธุ์ที่ถูกกำจัดทิ้งไปเหล่านั้นที่สุดท้ายอาจจะอารยธรรมที่สามารถวิวัฒนาการจนทำลายผ่านพลังออกไปได้
โรแลนด์สังเกตเห็นว่าเสียงของมันไม่ได้ฟังดูสุขุมเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว หากแต่มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
“บางทีมันอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่เจ้าพูดมา สงครามแห่งโชคชะตาที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเปลอาจจะไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างที่คิดได้” ถึงแม้น้ำเสียงของผู้พิทักษ์จะฟังดูท้อใจเล็กน้อย แต่มันกลับเหมือนเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง “แผนการนี้มันไม่มีผลลัพธ์มาตั้งแต่ต้นแล้ว”
ตอนที่ 1493 มาจากไหน
Ink Stone_Fantasy
“หรือว่า เจ้า….” โรแลนด์กะพริบตา
“ถูกต้อง” มันเหมือนได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งออกอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่หางคิ้วเองก็ดูผ่อนคลายขึ้น “ว่าแต่เจ้านั่นแหละ — ข้าต้องขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าเวลามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก ในช่วงเวลาพันปี หมื่นปีหรือสิบล้านปีหลังจากนี้ เจ้าจะต้องเฝ้าดูเปลเล็กๆ แห่งนี้ บางทีตอนแรกเจ้าอาจจะรูัสึกว่าตัวเองมีอะไรหลายอย่างให้ค้นหา แต่ความจริงแล้วความเงียบเหงามันจะมาหาเจ้าเร็วกว่าที่เจ้าคิดไว้ แต่ถึงแม้จะเป็นเวลาสิบล้านปีมันก็ยังเป็นเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเมื่อเทียบกับจักรวาล
ผู้พิทักษ์ชะงักไปเล็กน้อย “บางครั้ง…ข้าจะรู้สึกว่าเวลามันก็เป็นพลังเวทมนตร์อย่างหนึ่ง เจ้าสัมผัสได้ถึงการไหลของมัน ขณะเดียวกันก็ถูกมันเปลี่ยนแปลงด้วย ถ้าคิดอยากจะคงความเป็นตัวเองเอาไว้ให้ได้ในช่วงระยะเวลาอันนานแสนนานนี้ เจ้าก็จำเป็นต้องละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกส่วนใหญ่ไป มิเช่นนั้นแล้วช้าเร็วความว่างเปล่ามันจะทำให้เจ้าพังทลาย แต่แน่นอน ต่อให้เจ้าคิดถอนคำพูดตอนนี้มันก็สายไปแล้ว”
โรแลนด์มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ — เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของมัน
“เจ้าจะบอกว่า สุดท้ายแล้วข้าจะกลายเป็นเหมือนเครื่องจักรงั้นเหรอ?” จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาเล็ดน้อย “วางใจได้ ข้าไม่คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรอก ก่อนที่ข้าจะตายด้านไป ข้าจะชิงลงมือก่อน —- แต่นั่นไม่ใช่การผิดสัญญา เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะเลือกสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมมาทำหน้าที่นี้แทนข้า ไม่แน่หลังจากนี้พวกเราอาจจะได้ไปเจอกันที่อีกด้านหนึ่งของจักรวาลก็ได้”
ผู้พิทักษ์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนั้นมันก็ต้องรอให้เจ้าอยู่รอดไปถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน”
“เออใช่ ในเมื่อเจ้าเป็นแก่นกลางของเปล แล้วเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้เหรอ?” จู่ๆ โรแลนด์พลันคิดถึงปัญหาสำคัญขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าพอเจ้าไปแล้ว โลกนี้มันก็พังทลายลงนะ?”
“แสดงว่ากระทั่งเรื่องที่เป็นพื้นฐานแบบนี้เจ้าก็ยังไม่รู้เลย แต่กลับมาคุยโวต่อหน้าข้าเนี่ยนะ?” มันถลึงตากลับมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ก่อนอื่น ระบบที่ดีนั้นล้วนแต่มีการสำรองข้อมูลอยู่ นับประสาอะไรกับข้าที่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของสุดยอดเทคโนโลยีของอารยธรรมนับหมื่นนับพัน”
“อันดับต่อมา จริงอยู่ที่หน่วยความจำของเปลนั้นมีขนาดใหญ่ แล้วก็ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย แต่สิ่งมันบันทึกเอาไว้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นข้อมูลนับตั้งแต่ที่เริ่มแผนการเกตเวย์มา รวมไปถึงการคัดเลือกคุณลักษณะพิเศษของเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตและกระบวนการวิวัฒนาการด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องเอาหน่วยความจำเหล่านี้ไปด้วย ใช้แค่เพียงแค่ข้อมูลส่วนที่ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนมาถึงตอนนี้ก็พอ”
“สุดท้าย ทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับคลังความรู้แล้ว เขาก็จะเข้าใจวิธีการทำงานของเปลเอง ขอเพียงเจ้าจัดการไปตามปกติ มันก็จะทำงานด้วยตัวเองไปได้หลายหมื่นปี แต่ถ้าอยากจะให้มันทำงานแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลมันให้ดี —- เพราะเปลนั้นไม่เสียหายง่ายๆ แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นมันก็ไม่แน่”
“แบบนี้ข้าก็สบายใจแล้ว” โรแลนด์ค่อยๆ ถอนใจออกมา ในที่สุดร่างกายที่ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่อนคลายลง
เห็นๆ อยู่ว่าเพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่จะแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจออกมาบนใบหน้า กระทั่งน้ำเสียงก็ฟังอวดดีขึ้นกว่าตอนแรก — นี่ทำให้มันยิ่งเหมือนสิ่งมีชีวิตมากขึ้น
“ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังอยู่นี่ เจ้าอยากจะถามอะไรก็รีบถามมาเถอะ” ผู้พิทักษ์พูดพร้อมกอดอก
“เอ่อ…เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
“เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกมันสร้างภาระอย่างมากให้กับเจ้า?” มันพูดพร้อมยักไหล่ “ถ้าเจ้าอยากจะทำให้เจ้ายังคงเป็นเจ้าหลังจากหลอมรวมจิตสำนึกแล้วล่ะก็ ข้าว่าเจ้าควรจะเริ่มเร็วหน่อยดีกว่า”
มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา ดูเหมือนี่ตัวเลขสีแดงบนหัวตัวเองลดลงไปอย่างผิดปกติมันจะเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความฝันจริงๆ ด้วย เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่ สุดท้ายจึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเคยได้ยิน…ดาวที่ชื่อโลกบ้างไหม?”
ครั้งนี้มันใช้ภาษาของตัวเอง
ผู้พิทักษ์หลับตาไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังค้นหาข้อมูลอะไรบางอย่าง “อืม…ดวงดาวที่ออกเสียงเหมือนกันมีทั้งหมด 3,251 ผลลัพธ์ แต่เมื่อดูจากลักษณะของเผ่าพันธุ์บนดวงดาวแล้ว ดาวที่เจ้าถามน่าจะเป็นดาวเคราะห์หินที่ตั้งอยู่ขอบนอกของทางช้างเผือกหมายเลขสาม”
“ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์รีบถาม
“ตอนนี้? ก็ต้องหายไปหลังจากที่รอยแตกเปิดออกสิ จากข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเดินทางออกไปถึงขอบกาแล็คซี่ ในคลังข้อมูลก็มีข้อมูลของเผ่าพันธุ์นี้อยู่” เมื่อพูดถึงตรงนี้มันพลันตกตะลึงขึ้นมาทันที จากนั้นมันมองไปทางโรแลนด์อย่างตกใจ “เดี๋ยวๆ นั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ล้านปีกว่า ถ้าเจ้าเกิดในเปลแห่งนี้ ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องดาวดวงนี้ได้?”
“ความจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าปวดหัวมาโดยตลอดเหมือนกัน…” เขายิ้มแห้งๆ พร้อมเล่าเรื่องที่มาของตัวเองออกมาอย่างคร่าวๆ
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอเนี่ย” ผู้พิทักษ์ทำสีหน้าสนใจขึ้นมา “ที่แท้การไหลของแรปปิ้งไทม์ก็ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดเหรอเนี่ย….”
“การไหล….อะไรนะ?”
“คือแบบนี้” มันผายมือทั้งสองข้างพร้อมอธิบาย “เจ้าน่าจะเคยได้ยินแนวคิดเรื่องจักรวาลคู่ขนานใช่ไหม — ในตอนที่มีไดเวอร์เจนท์ที่มีความรุนแรงมากพอปรากฏขึ้นมา มันก็จะนำพาโลกไปในสองทิศทาง และอัตราความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของแต่ละโลกก็จะถูกเรียกว่าแรปปิ้งไทม์ ส่วนเวลาที่เจ้าสามารถสัมผัสได้นั้น อันนั้นเรียกว่าออฟเซิร์ฟวิ่งไทม์ แต่เนื่องจากผู้สังเกตการณ์ที่เสนอแนวคิดนี้ขึ้นมามักจะอยู่ในโลกใดโลกหนึ่ง ดังนั้นแนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดที่อยู่แค่บนกระดาษเท่านั้น”
“ความหมายของเจ้าคือ—” โรแลนด์ทำสีหน้าประหลาดใจ
“ถูกต้อง บางทีพลังงานอันรุนแรงที่เกิดจากแผนการเกตเวย์อาจจะเห็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้ามาที่นี่ ก็เหมือนกับแผ่นเยื่อที่ขนานกันเกิดการทับซ้อนกันในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่่เกิดการปะทะ — ไดเวอร์เจนท์อันนี้ทำให้จักรวาลของพวกเราเปลี่ยนไปเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกพลังเวทมนตร์เข้าท่วม อีกส่วนหนึ่งก็เสียหายจากแผนการเกตเวย์ที่ล้มเหลว ส่วนจักรวาลยังคงเหมือนเดิม อยู่แต่เนื่องจากความแตกต่างของการไหลของแรปปิ้งไทม์จึงทำให้เจ้าดูเหมือนว่าข้ามเวลามาหลายสิบล้านปี แต่ความจริงแล้วทั้งสองกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน”
“เอ่อ….เข้าใจยากแฮะ” โรแลนด์นวดขมับ “แต่แบบนี้มันก็แสดงให้เห็นว่ามันมีวิธีการบางอย่างที่สามารถเชื่อมจักรวาลที่ขนานกันเข้าไว้ด้วยกันได้ใช่หรือเปล่า?”
“เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้ เพราะว่านี่ก็เป็นดินแดนที่แม้แต่ผู้สร้างก็ยังไม่เคยย่างกรายเข้าไป” ผู้พิทักษ์เหมือนจะค่อนข้างสนใจกับคำพูดนี้ “เมื่อมองจากทฤษฎีแล้ว จักรวาลคู่ขนานกับพหุจักรวาลนั้นเป็นสองแนวคิดที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ความจริงแล้วจักรวาลคู่ขนานมันพิสูจน์ได้ยากกว่าพหุจักรวาล แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ไม่แน่นี่อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้จักรวาลไม่ต้องเดินไปสู่ความอ้างว้างก็ได้ เพียงแต่สำหรับข้าแล้ว ปัญหานี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ให้เจ้าเป็นคนศึกษามันต่อไปดีกว่า”
พอพูดจบมันก็โบกมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังปลายสุดของพื้นสีขาว — ตรงนั้นมีประตูเล็กๆ บานหนึ่งปรากฏขึ้นมา ส่วนอีกด้านหนึ่งของประตูนั้นเป็นสีแดง
จากนั้นตรงหน้าโรแลนด์พลันมีภาพคนจำนวนมากปรากฏขึ้นมา
รูปร่างหน้าตาของพวกมันแตกต่างกันร้อยแปดพันเก้า โดยมีทั้งมนุษย์และปีศาจอยู่ในนั้นด้วย ภาพคนที่ดูโปร่งแสงเหล่านี้ก้าวเดินไปทางผู้พิทักษ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะทยอยรวมร่างเข้ากับมัน
ในบรรดาภาพคนที่เป็นมนุษย์ เขามองเห็นมิสต์ ยิมซีลอน และเทวทูตที่เขาได้เคยเจอหน้าพวกนั้น—
ยิปซีลอนโบกมือลาเขา สีหน้าของเธอดูมีความสุขความมาก เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว
ส่วนมิสต์หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่งพร้อมกับขยับปากขึ้นลง
เมื่อดูจากรูปปากแล้ว เธอกำลังพูดว่า ‘ขอบคุณ’
ในตอนที่ภาพคนทุกคนซ้อนทับเข้ากับตัวผู้พิทักษ์แล้วเดินไปยังประตูสีแดงบานนั้น อวกาศที่เป็นสีขาวพลันพังทลายลงเป็นชิ้นๆ — สิ่งที่พังทลายลงยังมีร่างกายของโรแลนด์ด้วย แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดหรือความผิดปกติใดๆ เขารู้สึกเพียงแค่ร่างกายเบาสบาย เหมือนกับได้ปลดเอาเปลือกที่หนักอึ้งออกอย่างไรอย่างนั้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองของเขาเหมือนกับสายน้ำ เขาเหมือนมีดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่อยู่ดอกม่านพลังหรือว่าโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในม่านพลังก็ล้วนแต่ปรากฏอยู่ในหัวของเขา
เขาได้กลายเป็นเปลแล้ว
ตอนที่ 1494 ไปที่ไหน
Ink Stone_Fantasy
แต่ยังไม่ทันที่โรแลนด์จะได้สัมผัสกับการรับรู้ที่ถูกขยายออกไปหลายหมื่นเท่าว่ามันเป็นอย่างไร ด้านนอกบอทธ่อมเลสแลนด์พลันมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นมา
ด้วยความสามารถในการรับรู้ที่ถูกขยายเพิ่มขึ้นหลายหมื่นเท่า เขา ‘มองเห็น’ วัตถุทรงกระบอกที่สมมาตรขนาดใหญ่อันหนึ่งลอยขึ้นมาจากใต้ท้องทะเล ก่อนจะพุ่งขึ้นมาสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน เจ้าสิ่งนั้นก็พุ่งผ่านน้ำทะเลที่ลึกพันกว่าเมตร ก่อนจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ความกว้างของมันประมาณเกาะทะเลหลายสิบเกาะรวมกัน ส่วนความยาวนั้นยาวจนน่าตกใจ เนื่องจากขนาดอันมหึมาของมัน ในตอนที่มันลอยขึ้นมาจึงทำให้น้ำทะเลไหลย้อนกลับจนกลายเป็นน้ำวนที่มีรัศมีประมาณร้อยกิโลเมตรเกิดขึ้นตรงด้านหนึ่งของบอทธ่อมเลสแลนด์
แต่การเคลื่อนไหวของมันก็ไม่ได้หยุดลงเท่านั้น
วัตถุทรงกระบอกนั้นพุ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนัก ความเร็วในการลอยขึ้นไปของมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานมันก็ลอยขึ้นไปเหนือเกาะลอยฟ้าเอเลนอร์ ทุกคนที่อยู่บนเกาะต่างเห็นภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อนี้ — รอบๆ วัตถุทรงกระบอกขนาดมหึมาไม่มีแสงไฟ แล้วก็ไม่มีเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนด้วย การลอยขึ้นไปของมันเรียกได้ว่าไร้ซึ่งซุ่มเสียง แต่การที่มันไม่มีเสียงก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมัน
โรแลนด์รู้ว่านั่นคือร่างหลักของผู้คุ้มครอง
หลังจากนั้นไม่นาน วัตถุทรงกระบอกก็สัมผัสเข้ากับม่านพลังของเปล โรแลนด์มองเห็นเหตุการณ์ตอนที่มันหลุดออกไปนอกดวงดาวทั้งหมดจากหลายๆ มุม — มันไม่ใช่การพุ่งปะทะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าม่านพลังเปิดช่องให้มันลอยออกไป หากแต่ม่านพลังปกคลุมไปบนวัตถุทรงกระบอกเหมือนกับเยื่อที่อ่อนหยุ่น จากนั้นจึงยืดยาวตามวัตถุทรงกระบอกขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งม่านพลังคลุมวัตถุทรงกระบอกเอาไว้ทั้งหมด
ในตอนที่ทั้งสองแยกตัวออกไปจากดวงดาว ม่านพลังก็กลับมาเป็นสภาพเดิมอีกครั้ง
วัตถุทรงกระบอกลอยขึ้นไปบนอวกาศแล้วจึงปรับทิศทางเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ มันก็เร่งความเร็วขึ้นมา — พริบตานั้นเอง ตัววัตถุทรงกระบอกเหมือนกับยืดยาวขึ้นมาคล้ายกับแถบลำแสงเล็กๆ ก่อนจะหายลับไปในอวกาศเหมือนกับว่าไม่เคยมีมันมาก่อน
โรแลนด์อดส่ายหัวขึ้นมาไม่ได้
กระทั่งบอกลาก็ยังไม่พูดอะไรซักคำ นี่คือสไตล์ของร่างตรรกะอย่างนั้นเหรอ?
ก่อนหน้านี้ไม่นานยังยืนกรานที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ แต่ตอนนี้กลับตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังรอยแตกอย่างไม่ลังเล เพียงแค่การตัดสินใจและการกระทำของมันก็คงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะเทียบได้แล้ว
ในที่สุดภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษย์ก็ถูกคลี่คลาย
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะว่างลง หลังจากนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่เขาต้องรีบแก้ไข — อย่างเช่นคำสัญญาที่ให้ไว้กับทิลลี แล้วก็บรรลุข้อตกลงที่ให้ไว้กับปีศาจ
เรื่องที่เขาจำเป็นต้องคิดในเวลานี้ไม่เพียงแต่จะไม่น้อยลง หากแต่ยังเพิ่มมากขึ้นด้วย
เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาแค่ต้องสนใจเรื่องแพ้ชนะของมนุษย์ แต่ตอนนี้เขาต้องคิดถึงเรื่องอนาคตของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในจักรวาล
ในขณะที่ทำความเคยชินกับ ‘ร่างกาย’ ใหม่ โรแลนด์ก็เริ่มทำการค้นหาข้อมูลเพื่อใช้ตรวจสอบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามแห่งโชคชะตา บันทึกการกระเพื่อมของโลกแห่งจิตสำนึกและสถานการณ์คร่าวๆ สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในเปล
สิ่งแรกที่เขาต้องทำย่อมต้องเป็นการปิดการทำงานของชิ้นส่วนสืบทอด
เช่นนี้สงครามแห่งโชคชะตาถึงจะถือว่าสิ้นสุดของอย่างแท้จริง
ส่วนปีศาจนั้น โรแลนด์คิดจะหาดินแดนที่มีทรัพยากรเพียงพอให้ปีศาจใช้เป็นที่อยู่อาศัย — ระยะห่างของทั้งสองที่ไม่ไกลกันจนเกินไป แล้วก็ไม่ใกล้กันจนเกินไป บางทีถ้าเป็นระบบดาวคู่เหมือนโลกกับพระจันทร์ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน
ในตอนที่ทำการตรวจสอบเปล โรแลนด์ยังเจอบางสิ่งที่คิดไม่ถึงด้วย เขาเห็นสิ่งมีชีวิตกลายมันที่ดูคล้ายรังแม่ตัวหนึ่งได้หลบหนีคำสั่งของผู้คุ้มครองไปหลบอยู่ในดินใต้ทะเลอย่างหวาดกลัว สิ่งที่โผล่ออกมาจากใต้ดินมีเพียงแค่ดวงตาที่มองไปมองมารอบๆ จากนั้นเขาจึงตรวจสอบประวัติของอีกฝ่ายย้อนกลับไป ก่อนจะพบว่ามันคือสัตว์ประหลาดที่เคยมาเยือนดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลตัวนั้น
ดูเหมือนถึงแม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผู้คุ้มครองสร้างขึ้นมา มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่คาดไม่ถึงได้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจปล่อยมันไป — ทันทีที่ปีศาจออกไปแล้ว มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างสงบสุข แต่เขาไม่อยากจะให้เปลกลายเป็นเรือนกระจกที่ใช้เพาะเลี้ยง มีการแข่งขันบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ผู้คุ้มครองได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอาศัยเพียงการฆ่าฟันกันไม่สามารถทำให้อารยธรรมเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เส้นทางที่เขาจะเดินหลังจากนี้ต้องวางแผนให้ดี
นอกจากนี้ พวกเรื่องราวที่ผ่านมาของอารยธรรมที่อยู่ในหน่วยความจำ เขาก็ต้องกลับไปดูอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเพิ่มพูนความรู้และแรงบันดาลใจ
แล้วก็โลกแห่งจิตสำนึกเองก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างการเพิ่มขึ้นของแม่มดและโลกแห่งความฝันเอาไว้ ที่โชคดีก็คือหลังจากลบเอาสงครามแห่งโชคชะตาไปแล้ว หน่วยความจำก็มีพื้นที่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องรีบแก้ไขปัญหานี้ในตอนนี้
ในขณะที่โรแลนด์กำลังจัดการกับข้อมูลมหาศาล ภาพๆ หนึ่งพลันทำให้เขาหยุดมือลง
มันเป็นภาพที่มาจากส่วนลึกของบอทธ่อมเลสแลนด์
ในทางเดินที่อยู่ด้านนอกใจกลางของเปล หญิงสาวสองคนกับปีศาจตัวหนึ่งเหมือนกำลังเงยหน้ารอคอยอะไรบางอย่างอยู่
โรแลนด์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ยากจะอธิบายได้เอ่อล้นออกมาจากในหัวใจทันที เขาขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปลูบแก้วของทั้งสองคน
….ที่แท้ก็เป็นพวกเธอที่พาตัวเขามาส่งที่นี่
นับตั้งแต่วันแรกที่มายังโลกนี้ เขาก็สร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นเข้ากับทั้งสองคน การอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานทำให้เขาเคยชินกับการที่มีอีกฝ่ายอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมรวมจิตสำนึกและกลายมาเป็นเปล เขามักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป จนกระทั่งมองเห็นภาพนี้ โรแลนด์ถึงได้รู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองขาดไปมันคืออะไร
จริงอยู่ที่ในช่วงเวลานับร้อยล้านปีหลังจากนี้ เขาคงไม่อาจะจากเปลแห่งนี้ไปได้ บางทีมันอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่ผู้คุ้มครองว่าไว้ว่านั้นเป็นช่วงเวลาอันยาวนานและสิ้นหวัง แต่ภายในใจเขากลับไม่รู้สึกกลัว
สิ่งที่เขาแตกต่างกับผู้คุ้มครองมากที่สุดก็คือไม่ว่าวันเวลาหลังจากนี้จะยาวนานเท่าไร เขาก็ไม่ต้องก้าวผ่านมันด้วยตัวคนเดียวอีก
……
……
……
หลังจากนั้น 5 ปี
อ่าวน้ำตื้น เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
ในฐานะที่เป็นหัวใจของอาณาจักรมนุษย์ ที่นี่จึงเป็นท่าเรือที่คึกคักที่สุดบนโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนจะมีผู้คนจำนวนหลายหมื่นคนเดินทางมาที่นี่ เพื่อที่จะไม่ทำให้ท่าเรือแออัดแล้ว นอกจากจะมีการขยายชายฝั่งท่าเรือออกไป สำนักบริหารยังได้มีการตั้งระบบขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วย
ดันน์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่เดินทางมายังเนเวอร์วินเทอร์
เขาเคยเป็นอดีตพ่อค้าของเมืองอีเทอร์นอลไนท์ แล้วก็เคยช่วยกองทัพที่หนึ่งในการต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรของอัลเบน โมยา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทางสำนักบริหารจะจดความดีความชอบอันนี้เอาไว้ แล้วค่อยตามตัวเขามาหลังจากสงครามจบสิ้น หลังรู้ว่าตัวเองจะได้รับบ้านหลังหนึ่งในเมืองหลวงของเกรย์คาสเซิล เขาก็รีบพาลูกเมียเดินมาทางที่นี่ทันที — ใครๆ ก็รู้ว่าต้นทุนในการอยู่อาศัยที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นสูงมาก ในเมื่อมีโอกาสแบบนี้ เขาย่อมไม่มีทางพลาดแน่นอน
ส่วนการค้าที่ทำเงินได้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ ดันน์เองก็ขี้เกียจที่จะไปสนใจมันแล้ว หากแต่หันมารับการฝึกฝนอาชีพจากสำนักบริหาร แล้วกลายเป็นคนขับรถแท็กซี่
ถูกต้อง ถึงแม้เขาจะติดต่อกับคนเนเวอร์วินเทอร์มานานแล้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะก้าวหน้าได้ขนาดนี้ — รถแท็กซี่ที่ว่านี้โดยแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรถม้า เพียงแต่รถม้านั้นมีแต่พวกขุนนางที่ร่ำรวยถึงจะนั่งได้ แต่ที่เมืองหลวง รถแท็กซี่กลับเป็นส่วนหนึ่งของการขนส่งสาธารณะ!
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงจ่ายเงิน ไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสกับประสบการณ์อันหรูหราแบบนี้ได้
แต่แน่นอนว่าก็ยังมีรถประจำทางขนาดใหญ่ที่มีราคาถูกกว่า รถคันหนึ่งสามารถบรรจุคนได้เกือบร้อยคน แต่เมื่อเทียบกับรถแท็กซี่ที่ออกเดินทางทันทีเมื่อขึ้นไปนั่ง รถประจำทางที่ออกรถตามเวลาที่กำลังและที่นั่งที่มีไม่พอนั่งนั้นดูจะลำบากมากกว่า
หลังรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่ด้านหน้ามีผู้โดยสารขึ้นไปนั่งหมดแล้ว ในที่สุดก็คือคิวรถของดันน์เสียที — รายได้ของเขานอกจากเงินเดือนประจำแล้ว เขายังได้จากเงินรางวัลที่ผู้โดยสารให้ด้วย ด้วยแหตุนี้การมารอผู้โดยสารแต่เนิ่นๆ นั้นเป็นเรื่องดี
“แคร่ก” ประตูรถถูกเปิดออกอย่างช่ำชอง ผู้หญิงรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเอากระเป๋าเดินทางโยนขึ้นไปที่นั่งด้านหลัง ก่อนจะก้มตัวลงแล้วขึ้นมานั่งบนรถ
ดันน์มองดูผ่านกระจกหลัง ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อแจ๊กเก็ตและกางเกงผ้าแคนวาสที่ทันสมัย บนหัวสวมหมวกแก๊ปและแว่นตาดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกค้าขาประจำของเรนโบว์สโตน แต่เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว เขากลับมองไม่เห็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์สโตนอยู่บนเสื้อผ้าเลย
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะไปที่ไหนขอรับ? ในซองด้านหลังที่นั่งมีแผนที่เมืองกับราคาอยู่ขอรับ”
“ปราสาทราชาของเนเวอร์วินเทอร์น่าจะยังไม่ถูกรื้อไปใช่ไหม? ถ้าปราสาทยังอยู่ ข้าก็ไปที่นั่นแหละ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ตอนที่ 1495 เส้นทางที่แตกต่างกัน
Ink Stone_Fantasy
ดันน์อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย หรือว่าดูจากกิริยาท่าทางของเธอหลังจากที่ขึ้นรถมา ผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะเป็นคนเนเวอร์วินเทอร์ถึงจะถูก ถ้าบอกว่าเสื้อผ้าสามารถทำเลียนแบบขึ้นมาได้ อย่างนั้นเมืองอื่นก็ไม่น่าจะมีระบบคมนาคมที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ได้นี่นา
เขาทำอาชีพนี้มาสองปี ผู้โดยสารที่เคยให้บริการมามีตั้งแต่พ่อค้าใหญ่จากฟยอร์ดไปจนถึงมหาเศรษฐีของดอว์น แต่เมื่อมาอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนบ้านนอกเท่าไร นี่เองก็เป็นเรื่องขำขันที่พวกคนขับรกแท็กซี่เอามาพูดคุยกันในระหว่างมื้ออาหาร ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเปิดประตูขึ้นรถมา เขาก็มองหญิงสาวคนนี้เป็นคนเนเวอร์วินเทอร์ที่กำลังจะออกไปเที่ยวข้างนอก แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนว่าไม่รู้จักเมืองนี้เท่าไร….
“คุณผู้โดยสารอย่าล้อเล่นสิขอรับ…ปราสาทของราชาจะมีใครกล้ารื้อได้ล่ะขอรับ” ดันน์หัวเราะแหะๆ ออกมา ก่อนจะขับรถออกไปจากเขตรับผู้โดยสาร “ทว่าทางสำนักบริหารก็เคยพูดถึงเรื่องที่จะขยายพระราชวังหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกฝ่าบาทปฏิเสธกลับมา เรื่องนี้เคยขึ้นหนังสือพิมพ์ด้วยนะขอรับ สุดท้ายพื้นที่ที่เตรียมเอาไว้สำหรับขยายพระราชวังก็ถูกเอาไปสร้างเป็นสวนอนุสรณ์สงคราม คุณ…ไม่ใช่คนในพื้นที่เหรอขอรับ?”
“เคยอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งน่ะ” หญิงสาวนั่งพิงไปด้านหลัง ก่อนจะหันออกไปดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอก “ดูเหมือนฝ่าบาทจะรู้จักเห็นใจประชาชนนะเนี่ย”
“นั่นน่ะสิขอรับ! ถึงแม้ตอนที่ฝ่าบาทวิมเบิลดันทรงขึ้นครองราชย์ต่อจะมีคนไม่น้อยสงสัยในความสามารถของพระองค์ แต่ความจริงมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถึงว่าจะอายุยังน้อยและเป็นผู้หญิง แต่ตระกูลวิมเบิลดันยังไงก็ยังคงเป็นตระกูลวิมเบิลดัน” ดันน์พูดไม่หยุดปาก แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดจริงๆ! ถ้าไม่เป็นเพราะนโยบายตามให้รางวัลหลังจบสงคราม เขาจะมีโอกาสย้ายจากดินแดนทางเหนือมายังเมืองแห่งความฝันนี้ได้อย่างไร
“หืม…” หญิงสาวยิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นเจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ให้ข้าฟังหน่อยสิ”
เดี๋ยวนะ…ทำไมท่าทีที่คนๆ นี้มีต่อฝ่าบาทถึงได้แปลกขนาดนี้? ภายในใจดันน์เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา มันไม่เหมือนคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพ แล้วก็ไม่เหมือนกับขุนนางเก่าพวกนั้นที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา มันเหมือนกับว่ากำลังพูดถึงเพื่อนเก่าอย่างไรอย่างนั้น คงไม่ใช่ว่าเป็นสาบลับที่แอบมาสืบข้อมูลหรอกนะ?
นี่ไม่ใช่ว่าเขาเดาสุ่มสี่สุ่มห้า ดันน์เคยได้ยินข่าวลือมา — ถึงแม้สงครามแห่งโชคชะตาจะจบไปแล้ว ราชาแห่งดอว์นเองก็ประกาศสละราชบัลลังก์ อิทธิพลของเกรย์คาสเซิลแผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าแผ่นดินจะแน่นแฟ้นเป็นปึกแผ่น อย่างน้อยทางด้านอาณาจักรดอว์นก็ยังมีขุนนางไม่น้อยที่แสดงออกว่าไม่พอใจตระกูลควินน์ ส่วนบุตรชายของดยุคลองซองที่ได้รับอภัยโทษก็เดินทางไปยังฟยอร์ด ถ้าพูดถึงว่าใครคิดอยากจะโค่นคระกูลวิมเบิลดันมากที่สุด เขาจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
แล้วก็ยังมีลูกชายของเจ้าชายองค์โตที่จะกลายเป็นจุดสนใจของทุกๆ ฝ่าย ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพอโตไปแล้วเขาจะมีความคิดเช่นไร
ไม่ว่าว่าตอนนี้คนพวกนั้นอาจจะกำลังวางแผนชั่วอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้!
ดันน์ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก ด้านหนึ่งเขาก็พยายามชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องสัพเพเหระ อีกด้านเขาก็พยายามแอบสังเกตดูอีกที่นั่งอยู่ด้านหลัง — ถ้าอีกฝ่ายเป็นสายลับจริงๆ ตัวเองก็ควรจะจดจำรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นค่อยแจ้งทางศูนย์รักษาความปลอดภัย
แต่ว่า…ลักษณะหน้าตาและท่าทางของเธอมันช่างพิเศษจริงๆ พวกคนชั่วพวกนั้นมันจะเลือกคนแบบนี้มาเป็นสายลับให้จริงๆ เหรอ?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องผมที่ดำสลวยและรูปร่างที่ดูสะดุดตา เพียงแค่ความมั่นใจและผ่าเผยในขณะที่พูดคุยก็ยากที่จะทำให้อีกฝ่ายถูกมองข้ามได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากเงาที่สะท้อนออกมาจากกระจก ดันน์มองเห็นดวงตาสีทองที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำ
เมื่อมองดูดวงตาที่แหลมคมเหมือนดาบคู่นั้น เขากลับเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ในขณะที่เขากำลังคิดนั่นคิดนี่อยู่ในหัว รถก็มาถึงเขตปราสาท
“เอ่อ…ถึงแล้วขอรับ” ดันน์กระแอมเล็กน้อย “ค่ารถทั้งหมด 100 หยวนขอรับ”
หญิงสาวยื่นแบงค์กระดาษส่งให้ ก่อนจะถือกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินขึ้นเนินไปยังปราสาท
เดี๋ยวนี้สายลับทำอะไรเปิดเผยกันแบบนี้แล้วเหรอ? เขามองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายอยู่นาน จนกระทั่งเธอหายลับไปจากสายตา…ช่างเถอะ ไม่คิดดีกว่า ดันน์สะบัดหัว ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าไปในปราสาทแล้ว อย่างนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปแจ้งศูนย์รักษาความปลอดภัยแล้ว เมื่อคนที่อยู่ในปราสาทล้วนแต่เป็นแม่มดที่เก่งกาจกว่าพวกตำรวจ ถ้าเธอเจตนาร้ายจริงๆ หลังจากนี้เธอคงไม่มีทางออกมาจากประตูบานใหญ่นั้นได้แน่
แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ดันน์ก็รู้สึกว่ามันน่าเสียดายมาก
เขาขยับปากเล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไป
…..
“เรื่องที่จะขยายการใช้งานพลังเวทมนตร์ยังไง พวกเราหาข้อสรุปไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
ท่ามกลางผู้คนที่เดินเข้าออกตรงหน้าประตูทางเข้าปราสาท อิสซาเบลล่าเดินไล่ถามอกาธา
เมื่อครู่นี้ทางสำนักบริหารเพิ่งจะจบการประชุมที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดไป ประเด็นหลักในการประชุมก็คือจะเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตื่นรู้กับคนธรรมดาให้มากขึ้นอย่างไร เพื่อทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากพลังเวทมนตร์
ตอนนี้หลังจากที่สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลี้ลับได้ทำการเอาเทคโนโลยีของแต่ละเผ่าพันธุ์รวมเข้าด้วยกันแล้ว พวกเขาก็ได้เสนอแนวทางมาสองทาง ทางหนึ่งนั้นคืออุปกรณ์พลังเวทมนตร์เหมือนอย่างหน่วยพลังงานลูกบาศก์เวทมนตร์ ส่วนอีกทางหนึ่งคือเลียนแบบเทคโนโลยีหลอมรวมหินเวทมนตร์ของปีศาจหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าเผ่าคาร์การ์ด โดยทางแรกนั้นแทบจะไม่มีผลข้างเคียงอะไร แต่มันยังคงต้องพึ่งพาแม่มดในการใช้งานอยู่ เนื่องจากความเร็วและพรสวรรค์ของผู้ตื่นรู้ล้วนแต่มีข้อจำกัดจากปัจจัยภายนอกอยู่ ด้วยเหตุนี้เส้นทางนี้จึงมีเพดานขีดจำกันอย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่จำนวนอุปกรณ์มีมากกว่าแม่มด มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับคนชั้นสูงเท่านั้น ซึ่งนี่ไม่ตรงกับเป้าหมายของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ แต่แผนการนี้กลับได้รับความเห็นชอบจากหลายๆ คน — ภายในอนาคตข้างหน้าที่สามารถคาดการณ์ได้ คนที่สามารถเข้ามาในเขตปราสาทและสำนักบริหารได้ล้วนแต่ถือเป็นบุคคลระดับสูงของอาณาจักร หากมีอุปกรณ์เวทมนตร์อะไรใหม่ๆ พวกเขาต้องได้สัมผัสกับมันในทันทีอย่างแน่นอน แต่คนธรรมดาทั่วไปกลับไม่แน่ว่าจะได้สัมผัสกับอุปกรณ์พวกนั้น
ส่วนทางที่สองนั้นมีความเสี่ยงอยู่ หัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาของมันอยู่ที่การศึกษาวิจัยของเอเลนอร์ อดีตสามผู้นำที่กลายเป็นมาเธอร์ออฟโซลกำลังเพาะเลี้ยงอวัยวะชีวภาพของเผ่าคาร์การ์ดที่สามารถรวมเข้ากับร่างกายมนุษย์ขึ้นมาได้ มันสามารถเป็นได้ทั้งแขน ขา จมูก หู….หรือแม้กระทั่งเขาที่อยู่บนหน้าผาก โดยอวัยวะชีวภาพเหล่านี้จะสามารถฝังหินเวทมนตร์ลงไปได้
ตอนนี้การทดลองมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จสองราย โดยอาสาสมัครได้กลายเป็นผู้มีพลังเวทมนตร์โดยการเปลี่ยนแขนขา — ถึงแม้ความสามารถของพวกเขาจะน้อยนิดจนถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถกระตุ้นหินเวทมนตร์ระดับต่ำได้ แต่พวกเราจะสามารถใช้อุปกรณ์พลังเวทมนตร์ได้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่ามันขีดจำกัดของแนวทางแรกไปแล้ว
เพียงแต่เมื่อคำนึงถึงเรื่องผลกระทบระหว่างพลังเวทมนตร์กับผู้ที่มีพลังเวทมนตร์ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากที่หลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ไปแล้ว คนธรรมดาเหล่านั้นจะเดินไปในทิศทางไหน ด้วยเหตุนี้คนส่วนใหญ่ในห้องประชุมจึงแสดงท่าทีคัดค้านแนวทางนี้ ถึงขนาดบอกให้บารอฟซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ทำให้ปิดตายเทคโนโลยีนี้ไป
แต่อกาธารู้ดีเรื่องข้อสรุปที่อิสซาเบลล่าถามนั้นไม่ใช่ทั้งสองแนวทางนี้ หากแต่เป็นแผนสามที่มีเพียงสมาชิกระดับสูงของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับเท่านั้นที่รู้ — นั่นคือการเปลี่ยนแปลงมนุษย์ จากข้อมูลที่ได้รับมาจากสงครามแห่งโชคชะตา สิ่งมีชีวิตสามารถรับเอาพลังวทมนตร์มาใช้ได้มากขึ้นจากการวิวัฒนาการ และตัวพลังเวทมนตร์มันก็มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ ด้วยเหตุนี้เป้าหมายสูงสุดของการวิจัยคือมนุษย์ทุกคนสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการตื่นรู้ แล้วก็ไม่มีการแบ่งแยกเพศ ทุกคนเป็นผู้มีพลังเวทมนตร์ตั้งแต่เกิดมา ถ้าวิธีนี้ประสบความสำเร็จล่ะก็ มันก็จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด!
แต่ตอนนี้แผนการวิจัยนี้ยังอยู่แค่ในช่วงการค้นคว้าทางทฤษฎีเท่านั้น นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทดลองเป็นจำนวนมากเลย หากพูดออกไปตอนนี้มีแต่จะทำให้เกิดกระแสโต้กลับมาเปล่า ต่อให้แอบทำการศึกษาต่อไปโดยไม่สนใจต่อเสียงคัดค้าน มันก็มีโอกาสที่คนอื่นจะรู้เรื่องนี้ได้ง่ายๆ ดังนั้นอกาธาจึงไม่ได้ตั้งแม้กระทั่งหน่วยวิจัยขึ้นมา เรียกได้เก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้
“ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า แต่เจ้าเองก็เห็นแล้ว ระดับการยอมรับพลังเวทมนตร์ของผู้คนยังไม่มากพอเหมือนอย่างที่เราคิดเอาไว้” อกาธาพูดเสียงเบาๆ “สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับพึ่งจะก่อตั้งขึ้นมาใหม่ได้ไม่นาน พวกเราจำเป็นต้องสร้างผลงานให้ได้มากกว่านี้ก่อน ถึงจะทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบายและความก้าวหน้าที่พลังเวทมนตร์นำมาให้ ความผิดพลาดที่ท่านอควาเรียสได้เคยทำพลาดมา พวกเราห้ามทำพลาดซ้ำเด็ดขาด”
“แต่พวกหัวรั้นพวกนั้นกระทั่งแนวทางที่สองก็ยังคัดค้านเลย” อิสซาเบลล่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่มีการสนับสนุนของผู้มีพลังเวทมนตร์เป็นจำนวนมากพอ อุปกรณ์พลังเวทมนตร์ก็ยากที่จะแพร่หลายไปยังพื้นที่นอกเนเวอร์วินเทอร์ได้”
“มันก็ใช่ แต่พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” อกาธาคลายมือที่กำออก ก่อนจะเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือ — นั้นคือกระดาษที่เอดิธส์ยัดในมือเธอหลังจบการประชุม
‘คืนนี้ทุ่มนึง งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ห้องไวท์ฮอร์ส ณ ร้านโกลเด้นเจด หวังว่าทั้งสองคนจะมาร่วมสนุกได้’
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การปฏิวัติล้วนแต่หมายถึงการจัดกลุ่มและจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ สำหรับมนุษย์แล้ว แผนการที่จะทำให้พลังเวทมนตร์กลายเป็นสิ่งที่สามารถใช้กันได้อย่างแพร่หลายซึ่งมีความหมายที่ลึกซึ้งนั้นไม่ได้เป็นแค่ปัญหาทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นสงครามครั้งใหม่ด้วย
เธอรู้สึกคิดถึงวันเวลาที่ฝ่าบาทโรแลนด์ยังอยู่ ในตอนนั้นขอเพียงฝ่าบาททำการตัดสินพระทัา ก็ไม่มีใครที่จะแสดงความเห็นคัดค้านออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแค่ไหน ทุกคนก็จะมุ่งไปข้างหน้าด้วยกัน
เพียงแต่หลังรู้สึกหดหู่ใจไปเล็กน้อย อกาธาก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่
ถูกต้อง เธอไม่สามารถเอาแต่พึ่งพาคนๆ นั้นได้ —- เขาได้พามนุษย์เดินออกมาจากความสิ้นหวังแล้ว หลังจากนี้เป็นหน้าที่พวกเธอที่จะแบกรับและสานต่อเจตนารมณ์นี้เอง
ทันใดนั้นเองพลันมีผู้หยิงคนหนึ่งเดินผ่านตัวเธอไป
อกาธาตกตะลึง
เธอรีบหันหน้ากลับไปทันที
“มีอะไรเหรอ?” อิสซาเบลล่าถาม “เจ้าลืมอะไรหรือเปล่า?”
ในเวลานี้อกาธาถึงได้สังเกตเห็นว่าทั้งสองคนได้ยืนอยู่ห่างกันหลายเหตุ อิสซาเบลลากำลังมองดูเธออย่างแปลกใจ เหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงหยุดเดิน
“เปล่า…เมื่อกี้ข้านึกว่าตัวเองเจอคนรู้จักน่ะ”
เธอกะพริบตา ก่อนจะกวาดตามองดูกลุ่มคนที่เดินไปเดินมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังมองไม่เห็นคนที่คุ้นหน้าคนนั้น
“คนรู้จักเหรอ?”
“อื้อ น่าจะมองผิดล่ะมั้ง” อกาธารีบเดิน “พวกเรากลับไปที่หอแม่มดเถอะ ยังมีงานวิจัยอีกหลายอย่างที่ต้องทำ”
เธอจะเป็นคนเริ่ม ‘สงคราม’ แห่งการปฏิวัติพลังเวทมนตร์นี้เอง
เธอได้ทำการตัดสินใจแล้ว
ตอนที่ 1496 กลับมาเจอกันอีกครั้ง
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องสมุดของปราสาท
“ฝ่าบาท มีจดหมายถึงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฌอนเคาะประตู ก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้ามา จากนั้นวางซองจดหมายยับๆ ซองหนึ่งไปบนโต๊ะ
ตอนนี้ทั้งวิทยุคลื่นยาว โทรเลขแบบมีสายและรูนสดับที่มีอุปกรณ์เก็บพลังเวทมนตร์ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดาก็สามารถจ่ายเงินแค่ไม่กี่เหรียญในการส่งโทรเลขทางไกลได้ จดหมายที่ใช้คนในการส่งแบบนี้นับวันจะยิ่งน้อยลงไปทุกที
“โอ้? จากไหนล่ะ?” ทิลลีวางปากกาในมือลง ก่อนจะนวดนิ้วที่เมื่อยล้า
“ได้ยินว่า…จากบนทะเลพ่ะย่ะค่ะ” ฌอนกระแอมเล็กน้อย “คนที่ได้รับมันมาคนแรกเป็นนักสำรวจของฟยอร์ด จากนั้นก็เป็นพ่อค้า ท่าเรือเรฟเวลรี่ ก่อนที่สุดท้ายจะมาถึงท่าเรือน้ำตื้น ถ้าไม่เป็นเพราะลายเซ็น กระหม่อมเองก็คงไม่—”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ทิลลีพลันฉีกซองจดหมายออก
คนที่ส่งจดหมายมาจากบนทะเลได้ เกรงว่าคงมีแต่พวกนั้นเท่านั้น
ใช่จริงๆ ด้วย หลังจากที่กางจดหมายออก ลายมือที่คุ้นเคยก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอ — หลังผ่านมือคนมาหลายคนและเจอกับแสงแดดและลมทะเล กระดาษก็มีรอยด่างอย่างเห็นได้ชัด แต่สไตล์การเขียนและลายมือแปลกๆ บนจดหมาย ตอให้มันกลายเป็นเถ้าท่านเธอก็จำมันได้
‘สวัสดี’
‘นี่คือจดหมายฉบับแรกของทีมนักสำรวจ’
‘ตามธรรมเนียมแล้ว หัวหน้าทีมต้องเป็นคนเขียนก่อน’
‘ไฮ องค์หญิง ไม่สิ….ฝ่าบาททิลลี พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรซีสกาย พูดให้ถูกคือ พวกเรากำลังไปถึงขอบของแผ่นดินลอยฟ้าเพคะ’
‘ในตอนที่เห็นมัน หม่อมฉันถึงได้เข้าใจว่าอะไรกันแน่ที่เรียกว่าแผ่นดินลอยฟ้า เมื่อเทียบพระผู้สร้างกับมันแล้ว มันก็เหมือนกับเกาะฟยอร์ดกับดินแดนรุ่งอรุณเลยเพคะ ด้านบนของมันมีภูเขา แล้วก็มีแม่น้ำ น้ำทะเลหลายพันสายไหลทะลักออกมาจากหน้าผา ภาพอันน่าตกตะลึงนี้ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ หม่อมฉันก็อยากจะพาพระองค์กับพี่โซโรย่ามาที่นี่เพคะ’
‘ถึงแม้สัตว์ประหลาดของอาณาจักรซีสกายจะหายไปหมดแล้ว แต่แผ่นดินแห่งนี้ยังคงเป็นดินแดนที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามาอยู่ ข้างบนจะมีซากโบราณสถานแห่งใหม่อยู่หรือเปล่า? จะมีแกนเวทมนตร์ที่คอยพยุงแผ่นดินอยู่หรือเปล่า? อืม ทุกอย่างล้วนแต่เป็นคำถาม! หม่อมฉันกล้าพนันเลยว่าในเวลา 10 ปีหลังจากนี้ มันจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักสำรวจปรารถนาจะมาเยือนมากที่สุด’
‘แต่ว่าหม่อมฉันคือคนแรก!’
‘เอาไว้หลังจากนี้หม่อมฉันจะค่อยๆ เล่าให้พระองค์ฟัง กองเรือของพ่อของหม่อมฉันกำลังตามหม่อมฉันมา แต่ครั้งนี้เขาเลิกคิดเรื่องที่จะนำหน้าหม่อมฉันไปแล้วเพคะ อย่างนั้น หม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ!’
‘คิดถึงพระองค์นะเพคะ ไลต์นิ่ง’
หลังจากนั้นลายมือก็เปลี่ยนไป
‘คนที่สองก็คือเมซี่จิ๊บ!’
‘หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีจิ๊บ หม่อมฉันรู้แค่ว่าหม่อมฉันมีความสุขทุกวันเลยจิ๊บ! ถึงแม้หมาป่าที่แบกอยู่บนหลังมันจะหนักมาก แต่ทุกคนก็มีเรื่องให้พูดคุยกันไม่จบเลย แล้วก็มีทิวทัศน์ใหม่ให้ได้ดู เทียบกับการเกาะอยู่บนคานคนเดียวแล้ว แบบนี้มีความสุขกว่าเยอะเลยเพคะ!’
‘ใช่แล้วเพคะ ที่แท้ปลาในทะเลมันก็มีอยู่ตั้งมากมายหลายชนิด แทบจะกินไม่หมดเลยเพคะ! เสียดายที่ไม่มีเครื่องปรุง ปิ้งแล้วเลยไม่ค่อยมีรสชาติ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ พระองค์ช่วยส่งเครื่องปรุงมาที่อาณาจักรซีสกายหน่อยได้ไหมเพคะ?’
ทิลลีหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะพลิกจดหมายไปหน้าที่สอง
‘ฝ่าบาทที่เคารพ หม่อมฉันโลก้า เบิร์นเฟลมแห่งเผ่าไวลด์เฟลมเพคะ นอกจากนี้เนื่องจากโจนต้องแช่อยู่ในน้ำทะเล ดังนั้นในส่วนของนางหม่อมฉันจะเขียนแทนเองเพคะ’
‘การสำรวจเป็นเรื่องที่สนุกมากจริงๆ ด้วยเพคะ มันทำให้หม่อมฉันได้รู้ว่านอกจากทวีปแล้ว บนโลกนี้ยังมีดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าอยู่อีก แผนการของพวกเราหลังจากนี้คือขึ้นไปบนอาณาจักรซีสหายแล้วสร้างค่ายขึ้นมา จากนั้นค่อยเข้าในยังด้านในของมันเพื่อหาจุดเชื่อมต่อที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ใต้ทะเลตรงหมู่เกาะชาโดว์ เพราะที่แห่งนี้อยู่ไกลจากดินแดนรุ่งอรุณอย่างมาก ถ้าอยากจะบุกเบิกมัน ก็จำเป็นต้องสร้างทางลัดที่สามารถใช้เดินทางไปหาได้อย่างรวดเร็วขึ้นมา’
‘เพราะว่าตอนนี้ทุกคนยังไม่ค้นพบอะไรมากนัก หม่อมฉันเองก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาของพระองค์ สุดท้ายหม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องพระองค์เรื่องหนึ่งเพคะ พระองค์ทรงช่วยบอกพ่อและเผ่าของหม่อมฉันหน่อยได้ไหมเพคะว่าหม่อมฉันสบายดี? ขอบพระทัยพระองค์เพคะ’
‘ใช่แล้วเพคะ ทรงอย่าสนใจคำพูดของเมซี่เลยนะเพคะ พวกเราต่างรู้ดีกว่าตอนนี้ต้องรับผิดชอบหน้าที่หลายอย่าง ท่านเอเลนอร์เองก็คงไม่สามารถเคลื่อนเกาะลอยฟ้าข้ามทะเลมาได้ แต่ว่า…แต่ว่าถ้าสามารถเอาเครื่องปรุงมาส่งให้ได้จริงๆ พระองค์ช่วยเอาเหล้าที่อีฟลินทำส่งมาด้วยได้ไหมเพคะ’
‘ขอสามเทพคุ้มครองพระองค์เพคะ’
ด้านล่างกระดาษมีรูปวาดง่ายๆ เพื่อแทนลายเซ็น โดยมีรูปคน นก หมาป่า ปลา
ทิลลีพับจดหมายลงพร้อมกับสูดหายใจ จากนั้นจึงหันไปพูดกับฌอนว่า “จดหมายฉบับนี้ไม่ต้องตอบกลับไป เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” อีกฝ่ายโค้งคำนับ ก่อนหมุนตัว
เมื่อเห็นประตูปิดลง ทิลลีก็เงียบไปครู่ จากนั้นจู่ๆ ก็เอาหัวมุดเข้าไปในกองเอกสาร
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”
เธอส่งเสียงร้องด้วยความอิจฉาออกมา ขณะเดียวกันก็ส่ายหัวไปมาจนเอกสารบนโต๊ะส่งเสียงฟึบฟับๆ
ได้ขับฟินิกส์บินไปรอบโลกกับเพื่อนๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตที่เธอต้องการ!
เพราะพี่ชายของเธอนั่นแหละ มาบอกว่าตัวเองต้องไปตามหาแอสเชสเลยกลับมาไม่ได้ แล้วให้เธอขึ้นครองราชย์แทนจนกระทั่งแม่มดสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนธรรมดาได้อย่างแนบแน่น ไม่ทันไรก็ผ่านมาห้าปีแล้ว อันนากับไนติงเกลก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าเขาลืมเธอไปแล้วหรือเปล่า!
ดูสิว่าตอนนี้เธอต้องมาจัดการกับเรื่องอะไร
ที่ราบลุ่มบริบูรณ์กำลังทำการบุกเบิกเพิ่มขึ้น พื้นที่ที่เดิมเป็นของวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ก็ถูกเอามาใช้ประโยชน์อีกครั้ง ทุกที่ล้วนแต่ยื่นมือขอเงินจากเธอ เงินพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่างอกขึ้นมาจากใต้ดินซักหน่อย!
แล้วก็ยังมีข่าวลูกชายของดยุคไรอันที่พยายามจะก่อกบฏอีก — พวกพ่อค้าที่ได้รับคำเชิญจากเขาเอาข่าวมาขายให้กับเนเวอร์วินเทอร์ เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าแผนการตัวเองได้มาวางอยู่บนโต๊ะของเธอแล้ว? ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับอิสรภาพ แต่กลับพยายามจะพาตัวเองมากลับเข้ากรงอีกครั้ง การทำอะไรไร้เดียงสาและไร้แผนการแบบนี้ ทิลลีไม่รู้ว่าควรจะมองเขาเป็นศัตรูหรือไม่
แต่แน่นอน นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวจริงๆ ก็คือทิศทางที่อาณาจักรต้องเดินหลังจากนี้ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีอะไรก่อน เรื่องการกระทบกระทั่งกันระหว่างบริษัทเอกชนและธุรกิจของสำนักบริหาร และจะทำอย่างไรที่จะรักษาสมดุลของอำนาจทุกๆ ฝ่ายเอาไว้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนเธอมักจะรู้สึกว่าการบริหารอาณาจักรไม่มีอะไรยาก เพราะขนาดคนอย่างโรแลนด์ยังรับมือได้เลย นับประสาอะไรกับเธอล่ะ แต่ตอนนี้ทิลลีถึงได้พบว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นโรแลนด์ยังอาศัยเวลาว่างหลังจากงานบริหารบ้านเมือง พาบุ๊คและแม่มดอาญาสิทธิ์เข้าไปหาความรู้ในโลกแห่งความฝัน เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ
“แอ๊ด”
ในเวลานี้จู่ๆ พลันมีเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา
ทิลลีรีบเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทำท่าเหมือนกำลังตั้งใจทำงานอยู่ จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรอีก บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้ามีเรื่องอะไร ให้มาแจ้งข้าก่อน?”
เพราะว่านอกจากองครักษ์แล้ว เวนดี้ บุ๊คและอกาธาล้วนแต่เป็นคนที่เข้ามาในห้องทำงานบ่อยๆ โดยเฉพาะบุ๊ค ถ้าเธอมองเห็นตัวเองแอบขี้เกียจคงจะต้องโดนบ่นแน่ ดังนั้นการบแจ้งล่วงหน้าจึงเป็นหนึ่งในหน้าที่ของฌอน…พูดอีกอย่างก็คือเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด
แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา
ทิลลีเงยหน้ามองไปทางประตูอย่างแปลกใจ
“ปัก!”
ปากกาในมือของเธอตกลงไปบนพื้น
ตอนที่ 1497 ภาพที่เปลี่ยนไปจากเดิม
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้แสงแดดยามบ่าย สายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะปลิวตามสายลมขึ้นมา ปลายผมของทิลลีเองก็เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นผมที่น่ารำคาญมากระทบถูกดวงตาของเธอหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น จู่ๆ เธอพลันรู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาในกระบอกตา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังไม่กล้าที่จะหลับตา ด้วยกลัวว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าจะหายไป
ส่วนอีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่คิดให้เธอได้มีโอกาสตกตะลึง
ผู้มาเยือนทิ้งสัมภาระ ก้าวยาวๆ อ้อมโต๊ะไม้สีแดง จากนั้นจึงกางแขนโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก
ความรู้สึกที่จริงและหนักแน่นทะลุผ่านเสื้อผ้าออกมา นี่ทำให้ทิลลีรู้ว่า สิ่งที่เธอมองเห็น…บางทีอาจจะไม่ใช่ความฝัน
“แอช…เชส?”
“หม่อมฉันเอง” แอชเชสพูดข้างๆ หูของเธอ “ไม่เจอกันนานนะเพคะ”
ในตอนที่อีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมา ดวงตาของทิลลีพลันพร่ามัว
เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ถูกกดทับเอาไว้มาเป็นเวลานาน แล้วในที่สุดมันก็มีโอกาสได้ระบายออกมา
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าแบบนี้มันทำให้เธอเสียภาพลักษณ์ แต่เธอกลับไม่คิดที่จะหยุดมัน — เมื่ออยู่ต่อหน้าแอสเชส เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มีความสุขหรือว่าเศร้าเสียใจ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่ได้เสียใจ
ไม่เลยแม้แต่น้อย
แอสเชสลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายได้ระบายอารมณ์ออกมา ทั้งสองคนกอดกันอยู่ท่านี้ โดยปล่อยให้แสงแดดปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ทิลลีจึงสงบสติอารมณ์ลงได้
เธอเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มก่อนจะถลึงตามองแอชเชส “หลังสงครามแห่งโชคชะตามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าเพิ่งกลับมาตอนนี้? หลายปีมานี้พี่ชายข้ามัวไปทำอะไรอยู่?”
อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับลูบแก้มที่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “วางใจได้เพคะ หม่อมฉันจะทูลพระองค์ทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้ ทูลตามตรง หม่อมฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอกับโรแลนด์อีกครั้ง — ในโลกแห่งความฝัน”
จากนั้นแอชเชสก็เล่าเรื่องหลังจากที่ตัวเองตื่นขึ้นมาอย่างละเอียด
จากที่โรแลนด์บอกมา ถึงแม้เขาจะได้สิทธิ์ในการควบคุมเปลแล้ว แต่การค้นหาจิตสำนึกของแม่มดคนหนึ่งในคลังความทรงจำของอารยธรรมนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเธอก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อคิดถึงว่าต้องพยายามคืนร่างแอชเชสให้เหมือนเดิมมากที่สุด ด้วยเหตุนี้แอชเชสถึงต้องอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกเป็นเวลานาน
ในกระบวนการนี้ เธอจากที่เป็นเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายได้ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาเป็นตัวเองอย่างในตอนแรก แต่เมื่อคิดถึงว่าในกระบวนการปรับตัว จิตสำนึกเองก็กำลังเติบโตเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้แอชเชสจึงไม่แน่ใจว่าตัวเธอในตอนนี้มันจะต่างกับตัวเธอในอดีตมากเท่าไร
ส่วนเรื่องร่างกายนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยอิงจากความทรงจำทั้งหมด ถึงแม้โรแลนด์หวังว่าจะสามารถทำการทดสอบดูก่อนซักสองสามครั้งค่อยทำการเชื่อมต่อจิตสำนึกกับร่างกาย แต่เธอกลับไม่อยากจะรออีกต่อไปแล้ว ที่โชคดีก็คือกระบวนการรวมร่างนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี ในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ยืนอยู่บนเกาะบอทธ่อมเลสแลนด์แล้ว
“เพราะแบบนี้บาดแผลบนหน้าเจ้าก็เลยหายไปด้วยงั้นเหรอ?” ทิลลีถาม
“เอ่อ…” ครั้งนี้เป็นแอชเชสที่กระอักกระอ่วนใจขึ้นมาเล็กน้อย “เมื่อก่อนหม่อมฉันคิดว่ามันสามารถช่วยย้ำเตือนหม่อมฉันให้ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังเพิ่มความน่าเกรงขามได้ในเวลาต่อสู้ ดังนั้นหม่อมฉันก็เลยปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้น แต่ตอนนี้…เราไม่จำเป็นต้องออกไปฆ่าฟันแล้ว หม่อมฉันเลยคิดว่าพระองค์…บางทีอาจจะ…”
เมื่อเห็นท่าทางอึกๆ อักๆ ของอีกฝ่าย ทิลลีพลันหลุดขำขึ้นมา “ข้าไม่ปฏิเสธ แต่นั้นไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นเหตุผลที่ข้าชอบเจ้า เสื้อผ้าอันนี้ก็เป็นชุดที่เจ้าใส่อยู่ในโลกแห่งความฝันใช่ไหม?”
“อ่าฮะ ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าเพคะ ยังมีเงินแล้วก็สัมภาระด้วย — โรแลนด์บอกว่าการสร้างของพวกนี้ขึ้นมามันง่ายกว่าการฟื้นความทรงจำขึ้นมาใหม่เยอะ”
หลังสองคนสบตากันอยู่ครู่ จากนั้นแอชเชสจึงพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันไม่รู้ว่าในตอนที่ล่องลอยโดยไม่มีการรับรู้นั้น ตัวหม่อมฉันได้สูญเสียอะไรไปบ้าง แล้วก็เมื่อเทียบกับตัวหม่อมฉันในอดีตแล้ว หม่อมฉันในตอนนี้ใช้แอชเชสที่อยู่ในใจพระองค์หรือเปล่า แต่มีเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันแน่ใจได้ นั่นก็คือความรู้สึกที่อยากจะเจอพระองค์มันไม่เคยลดลงเลยแม้แต่น้อย—”
ทิลลียื่นมือขัดจังหวะเธอ “ข้าขอยืนยันแทนเจ้าว่าเจ้ายังคงเป็นแอชเชสคนเดียวกับในอดีต ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย”
แอชเชสนิ่งไปครู่ ก่อนจะทำสีหน้าเหมือนโล่งใจออกมา
“เออใช่ อันนากับไนติงเกลล่ะ ตอนสงครามจบลงพวกนางยังกลับมาที่ฐานอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พี่ชายข้าเป็นยังไงบ้าง? หรือว่าหลังจากนี้เขาไม่สามารถออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกได้แล้ว?” ทิลลีผลักตัวเองออกมาจากอ้อมอกอีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น
“ตอนนี้โรแลนด์ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก หากแต่เขาคือโลกนี้เพคะ จริงอยู่ที่เขาไม่สามารถออกมาจากแกนของเปลได้ แต่อันนากับไนติงเกลกลับสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ว่า..” เมื่อพูดถึงตรงนี้ แอชเชสพลันกระแอมเล็กน้อย “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ได้หรือไม่ได้ หากแต่อยู่ที่อยากหรือไม่อยาก สรุปแล้วก็คือ โรแลนด์ใช้ชีวิตดีกว่านี่พระองค์คิดเอาไว้เพคะ พระองค์ไม่ต้องเป็นกังวลถึงเขาหรอกเพคะ”
“อย่างนั้น…เหรอ?” ทิลลีพูดอย่างสับสน
“ใช่เพคะ ลืมเจ้านั่นไปเถอะเพคะ เขาไม่คู่ควรให้พระองค์เป็นกังวลหรอกเพคะ” แอชเชสยักไหล่ จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหมุนตัวไปหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเดินทาง “นอกจากนี้โรแลนด์ยังฝากอะไรบางอย่างมาให้พระองค์ด้วยเพคะ”
ทิลลีหน้าคร่ำเคร่งทันที “คงไม่ใช่ว่ามีหน้าที่ใหม่มาสั่งให้ทำหรอกนะ?”
“เรื่องนี้พระองค์ทรงไม่ต้องจัดการเองเพคะ” แอชเชสอธิบาย “พวกนี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างออกมา ส่วนใหญ่พวกมันใช้สำหรับเปิดอุโมงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงขึ้นมาใหม่เพคะ”
ในการเข้าไปในโลกแห่งความฝันก่อนหน้านี้ล้วนแต่ต้องอาศัย ‘เสาลำแสง’ ของโรแลนด์ และเนื่องจากเขาขาดการติดต่อไป เหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์จึงไม่สามารถเข้าไปผ่อนคลายในโลกแห่งความฝันได้เหมือนอย่างเมื่อก่อน ถ้าไม่เป็นเพราะรู้ว่าเขาเพียงแค่จากไปชั่วคราว เกรงว่าแค่แม่มดทาคิลานี้ก็คงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
ในที่สุดตอนนี้ก็มีวิธีแก้ไขปัญหาเสียที ทิลลีอดรู้สึกโล่งใจแทนเหล่าแม่มดโบราณไม่ได้
เมื่อดูจากสัญลักษณ์และลวดลายแปลกๆ ที่อยู่บนเอกสารแล้ว เป็นไปได้สูงว่านี่จะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชนิดใหม่
“เดี๋ยวข้าเรียกอกาธามาดู” หลังโทรศัพท์หาอกาธาเสร็จ คิ้วของทิลลีพลันเลิกขึ้นมาเล็กน้อย “เออใช่ แล้วตอนนั้นมีแม่มดโบราณสองสามคนที่ติดอยู่ในโลกแห่งความฝันพร้อมกับพี่ชายด้วยใช่ไหม? ร่างกายของพวกนางตอนนี้ใช้การไม่ได้แล้ว”
“เรื่องนี้โรแลนด์เองก็คิดเอาไว้เหมือนกัน ความจริงแล้วเรื่องต่อไปที่เขาจะทำก็คือออกแบบร่างใหม่ให้กับเหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์ มันไม่เพียงแต่จะใช้เป็นภาชนะบรรจุวิญญาณได้ แต่มันยังทำให้ความสามารถในการรับรู้ต่างๆ กลับมาเป็นปกติด้วยเพคะ” แอชเชสพยักหน้า “แต่เรื่องนี้ไม่อาจพึ่งพาเปลเพียงอย่างเดียวได้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะต้องเข้ามามีส่วนรวมด้วย จนกว่าจะสามารถสร้างเทคโนโลยีแบบนี้ขึ้นมาได้”
“ข้าเชื่อว่าพวกเซลีนจะต้องเต็มใจอย่างมากแน่นอน” ทิลลีอมยิ้มขึ้นมา
“แล้วพอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นเรื่องสุดท้าย” แอชเชสพูดต่อว่า “ครั้งนี้โรแลนด์เหมือนจะคิดทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่มากกว่านั้น นอกจากจะทำให้แม่มดสามารถเข้าไปสัมผัสกับโลกแห่งความฝันได้แล้ว เขายังคิดจะทำให้คนจากโลกนั้นเข้ามาที่นี่ด้วยเพคะ เจ้านั่นเรียกแผนการนี้ว่าแผนการเกตเวย์ใหม่เพคะ”
ทิลลีอ้าปากค้างอย่างตกใจ
เธอเข้าใจถึงเป้าหมายของโรแลนด์ทันที ทันทีที่กลุ่มคนที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีกับกลุ่มที่เชี่ยวชาญในเรื่องพลังเวทมนตร์เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน มันจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่นอน
มันจะต้องผลักดันการพัฒนาของอารยธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็จะทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างด้วย เมื่อคิดถึงว่าคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านั้นคือตัวเอง ทิลลีก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ข้าไม่น่ารับตำแหน่งนี้มาเลยจริงๆ” เธอมุ่ยปากบ่นออกมา
“แต่หม่อมฉันกลับคิดว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ พระองค์ก็ยังจะรับปากเขาอยู่ดีเพคะ” แอชเชสถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกับยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกเหมือนกับอัศวิน “พระองค์ทรงทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่ตัวเองคิดไว้ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน ตอนนี้พระองค์คือราชาที่ดีแล้วเพคะ”
ทิลลีจ้องมองเธออยู่ครู่ จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป “อย่างนั้นเจ้ายินดีที่จะคอยเดินอยู่ข้างกายข้าไหม?”
“แน่นอนเพคะ” แอชเชสตอบอย่างหนักแน่น “นี่คือเกียรติของหม่อมฉันเพคะ”
ถูกต้อง เทียบกับเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่วางกองอยู่บนโต๊ะไม่เพียงแต่จะไม่ลดน้อยลง ในทางกลับกัน มันกลับเยอะขึ้นกว่าเดิมด้วย
แต่เธอกลับไม่ได้หงุดหงิดเมื่ออย่างก่อนหน้านี้แล้ว
เพราะว่าครั้งนี้ ภาพที่อยู่รอบกายเธอมันได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น