Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1486-1491
ตอนที่ 1486 แผนเกตเวย์
Ink Stone_Fantasy
‘แต่พวกเจ้าไม่คิดที่จะเดินไปยังจุดจบนี้’
ทันใดนั้นเอง เสียงอีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมา ขณะเดียวกันยังมีจุดแสงสีทองสองดวงปรากฏขึ้นมา มันดูแล้วเหมือนกับดวงตา
‘ชีวิตเนี่ย…ล้วนแต่มีข้อเสียที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือยิ่งก้าวไปข้างหน้าก็จะยิ่งคิดว่าตัวเองพิเศษ’ แสงอ่อนๆ ในเงาสีเทาไม่ได้วูบไหวอีกต่อไป หากแต่ส่องสว่างอยู่นิ่งๆ ‘ผู้คนไม่ได้ถามอีกต่อไปว่าต่อไปจะไปที่ไหน แล้วก็จะไปที่นั่นได้ยังไง — มันไม่ใช่คำถามที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ต่างๆ อีกต่อไป หากแต่กลายเป็นเป้าหมายๆ หนึ่ง’
‘สิ่งที่พันธนาการโลกนี้เอาไว้คือแรงดึงดูด เมื่อมีมันแล้วอารยธรรมถึงอยู่รอดสืบต่อไปได้ แต่มันก็กลายเป็นกฎเกณฎ์ชั้นต่ำของจักรวาลที่คอยจำกัดการปรากฏขึ้นของความเป็นไปได้อื่นๆ เหมือนกัน หลังดาวแคระเกิดการระเหยจนเหือดแห้ง หลุมดำขนาดเล็กเองก็จะถูกหลุมดำขนาดใหญ่กลืนกิน ขนาดของหลุมดำขนาดใหญ่ต้องใช้กาแล็คซี่มาเป็นหน่วยในการคำนวณ พวกมันกระจายตัวอยู่ทั่วจักรวาล ภายใต้แรงดึงดูด พวกมันอยู่ในสภาวะสมดุลอย่างหนึ่ง เจ้ารู้ไหมว่ามันเหมือนอะไร?’
‘ลูกบอลเล็กๆ ที่กองอยู่บนผ้าปูโต๊ะ’ เงาสีเทาถามเองตอบเอง ‘พวกมันขัดขวางซึ่งกันและกันเอาไว้ แต่กลับไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการเร่งความเร็วในการขยายตัวของจักรวาลเลย จนกระทั่งตัวมันเหือดแห้งไปและกลายเป็นความว่างเปล่า และในตอนนั้นเอนโทรปีจะขึ้นถึงจุดสูงสุด จักรวาลมีความเสถียรและสงบเงียบ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก สำหรับมันแล้ว ในช่วงเวลานี้คือวัยผู้ใหญ่ แต่นั่นไม่ผลลัพธ์ที่พวกเราอยากจะเห็น’
‘ถูกต้อง การมีอยู่ของพวกเราเรียกได้ว่าไม่มีค่าให้พูดถึงสำหรับจักรวาล เป็นเหมือนกับหยดน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร ต่อให้ไม่มีชีวิต จักรวาลก็ยังคงเป็นจักรวาล พูดอีกอย่างก็คือการปรากฏขึ้นมาของพวกเรานั้นเป็นความบังเอิญอย่างหนึ่ง แต่ในเมื่อพวกเราปรากฏขึ้นมาแล้ว มันก็หมายความว่าพวกเรามีตัวตน ต่อให้เสียงของเราจะเบาแค่ไหน เราก็ต้องส่งเสียงตะโกนที่เป็นของเราออกไป!’
เงาสีเทาสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
‘ก็เหมือนกับที่พวกเราสลัดแรงดึงดูดทิ้งไป แล้วกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ครั้งนี้…พวกเราจะหนีออกไปจากกรง แล้วออกไปดูดินแดนแห่งใหม่อีกครั้ง’
‘และวิธีการของพวกเจ้าก็คือใช้ประโยชน์จากแรงดึงดูด’ เสียงของดวงตาสุขุมอย่างมาก ไม่ได้มีอาการหวั่นไหวจากคำพูดของอีกฝ่ายปรากฏขึ้นมาให้เห็นเลย
‘ถูกต้อง แรงดึงดูดจะทำให้อวกาศยุบตัว นี่เป็นโอกาสที่จะมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียว ในตอนที่เอาลูกบอลเล็กๆ บนผ้าปูโต๊ะมารวมอยู่ที่จุดๆ หนึ่ง แทนที่จะปล่อยให้มันกระจายตัวตามธรรมชาติ แรงดึงดูดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันออกไป — มันเป็นกฏระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นมาซึ่งขัดแย้งกับเอนโทรปี แล้วก็เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของชีวิต!’
‘ในตอนที่แรงดึงดูดอันนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความโค้งที่อยู่ใกล้อวกาศก็จะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เหมือนกับผู้ปูโต๊ะที่ถูกลูกบอลกดจนยุบลงไปอย่างไรอย่างนั้น — มันไม่ได้หมายความว่าจะขยายใหญ่ได้โดยไม่มีขีดจำกัด ในตอนที่มันขยายตัวจนเลยจุดๆ หนึ่งไป วัตถุทรงกลมนี้ก็จะกลายเป็นภาวะเอกฐานใหม่และเกิดการระเบิดออก หรือไม่ก็…จักรวาลจะถูกฉีกจนเป็นรอยแตก’
ในตอนที่มันพูดถึงตรงนี้ โรแลนด์เหมือนได้ยินเสียงกลองทึบๆ ดังขึ้นมา นั่นถือเสียงจักรวาลที่ถูกเคาะ อวกาศที่บิดเบี้ยวอย่างรุนแรงดูดตัวกลับทันทีที่ถูกแทงทะลุ การสั่นสะเทือนของมันรุนแรงจนทำให้เกิดคลื่นแรงดึงดูดที่สั่นสะเทือนโลกได้
‘รอยแตกนี้จะกลายเป็นโอกาสในการมีชีวิตใหม่ มันเชื่อมต่อกับพื้นที่ที่อยู่นอกจักรวาล ไม่มีใครรู้ว่าที่นั่นมีอะไร แต่อย่างน้อยมันก็ไม่มีความสมดุลที่ไร้ชีวิตชีวิตอยู่ พลังงานจะไหลต่อไปอีกนานแสนนาน’
‘นี่…คือเส้นทางที่พวกเราเลือก’
‘และวันนี้—‘
‘ก็คือก้าวใหม่ที่ชีวิตก้าวออกไป!’
พอเงาสีเทาพูดจบ ลำแสงพลันเปล่งประกายออกมาจากร่างกายของมัน จนส่องสว่างไปทั่วทั้งอวกาศ — หมู่ดาว กาแล็คซี่และเนบิวล่าต่างปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน — ความมืดกลายเป็นสีสันที่สดใสงดงามทันที
จากนั้นโรแลนด์ก็ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ
ท่ามกลางดวงดาวที่นับไม่ถ้วน กองเรือรบจำนวนมากตั้งเรียงรายเป็นแถว — รูปร่างและขนาดของพวกมันไม่เหมือนกัน บางลำมีขนาดใหญ่กว่าดาวฤกษ์เสียอีก วัตถุที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติเหล่านี้ตั้งเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวเหยียดออกไปสุดลูกหูลูกตา
เมื่อเห็นภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาพลันรู้สึกได้ถึงความตกตะลึงอย่างที่ยากจะอธิบายได้
ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมายมานิยาม กองเรือรบที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบนี้คือระเบียบอย่างหนึ่ง มันแสดงให้เห็นถึงการลดลงของเอนโทรปี มีแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นถึงจะต่อต้านกฎเกณฑ์ของจักรวาลได้ แล้วก็มีแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่จะใช้ร่างอันเล็กจ้อยในการท้าทายการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
พูดอีกอย่างก็คือการมีชีวิตอยู่ก็คือการฝืนลิขิตของพระเจ้า!
‘อารยธรรม 176,425 อารยธรรมมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะทำงานที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นี้ให้สำเร็จ พวกเราจะเคลื่อนย้ายกาแล็คซี่นับแสนล้านกาแล็คซี่ แล้วเอาสสารหนึ่งในหมื่นของจักรวาลมารวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างรอยแตกแรงดึงดูดขึ้นมา ทันทีที่สำเร็จ โลกก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง — และงานที่ว่านี้ก็คือแผนการเกตเวย์!’
‘แผนการนี้มีความเสี่ยงอยู่นะ’ ดวงตาพูดเตือน
‘ด้านหนึ่งคือความเสี่ยง อีกด้านคือความเงียบอันเป็นนิรันด์ที่ไร้ความหวัง จะเลือกแบบไหนยังต้องคิดอีกเหรอ?’ แสงที่เงาสีเทาเปล่งออกมาทั้งอ่อนโยนและมั่นคง ‘ข้าเคยบอกแล้ว สิ่งมีชีวิตมักจะคิดว่าตัวเองนั้นไม่ธรรมดา แต่เพียงแค่นี้มันยังไม่พอที่จะทำแผนการให้สำเร็จได้ มันจำเป็นต้องมีคนที่วางแผนจัดการแผนการในภาพรวมทั้งหมดมาคอยจัดการเรื่องทรัพยากรและภารกิจต่างๆ ด้วย ถึงแม้จะผ่านไปกี่ล้านปีมันก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าเพื่อทำให้เป้าหมายนี้กลายเป็นจริง’
‘วางใจได้’ ดวงตากะพริบตา ‘นั่นคือเหตุผลของการคงอยู่ของข้า’
…..
การตกผ่านไปอย่างยาวนาน
ยาวนานจนอันนาเริ่มสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง
ท้องฟ้าที่อยู่ด้านบนหายไปแล้ว ถึงแม้เธอจะจุดไฟที่ปลายนิ้วขึ้นมา มันก็ยังไม่สามารถส่องผ่านความมืดที่ไร้ขอบเขตนี้ได้
ความลึกของบอทธ่อมเลสแลนด์ลึกเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการถึง
อันนารู้สึกว่าตัวเองกำลังทะลุเข้ายังใจกลางของพื้นดิน
ความเร็วอันมหาศาลทำให้หูของเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลม
ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ พริบตาที่ตกลงไปบนพื้น เธอคงจะกลายเป็นแพนเค้กในทันทีแน่
ถ้าโชคดีพอ เธอก็จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ ทุกอย่างจะจบลงก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อันนาจึงกอดโรแลนด์แน่นยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ เธอพลันรู้สึกว่ากระแสอากาศที่พัดผ่านข้างแก้มไปเหมือนจะเบาบางลง
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เธอตื่นตัวขึ้นมาทันที!
ผ่านไปอีกหลายนาที ใจกลางหลุมลึกที่อยู่ด้านล่างเริ่มมีแสงสว่างลางๆ ปรากฏขึ้นมา แต่ไม่นานเธอก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดไปเอง แสงสว่างเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระยะห่างหดสั้นลง
แล้วก็ในตอนนี้เอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปกลางอากาศที่มีความเหนียว ความเร็วในการตกลงไปเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดความรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา
วินาทีที่เท้าของอันนาแตะลงพื้น ความเร็วก็กลับไปเท่ากับเสี้ยววินาทีแรกที่ตกลงมาพอดี
เธอแทบจะไม่รู้สึกถึงการกระแทกเลย
“ตุบ” ด้านหลังมีเสียงเบาๆ ดังขึ้นมา
อันนาหันกลับไปมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายคือไนติงเกล “ทำไมเจ้าถึง…”
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ลังเลแล้วก็ตามหลังอีกแล้ว” ไนติงเกลปัดกางเกง ก่อนจะยืดตัวขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะวางใจปล่อยให้เจ้ามาคนเดียวได้ยังไง”
“ตุบ!” เสียงตกลงพื้นเสียงที่ตามดังขึ้นมา ครั้งนี้เป็นไซเลนท์ดิสแอสเตอร์
“เอ่อ…” ไนติงเกลรีบมายืนอยู่ด้านหน้าอันนาทันที
กลับเป็นอันนาที่มีความสุขุมมากกว่า “ไม่เป็นไร นางมาเพราะไนท์แมร์”
“ข้าแค่ทำตามที่ตกลงกันไว้” เซโรเชสพูดจบก็มองซ้ายมองขวา “ดูเหมือนเจ้าจะเดาถูกนะ”
“อื้อ ที่นี่ต่างหากถึงจะเป็นหน้าตาที่แท้จริงของโลกแห่งจิตสำนึก” อันนาพยักหน้า
ตำแหน่งที่พวกเธอยืนอยู่ไม่ใช่ก้อนหินหรือว่าดิน หากแต่เป็นพื้นที่เป็นโลหะ มันดูเป็นมันวาวอย่างมาก ขณะเดียวกันด้านในยังมีแสงที่ดูกระจ่างเปล่งประกายออกมาด้วย ทั้งแข็งแรงแล้วก็โปร่งใส ดูแล้วไม่เหมือนกับวัตถุที่เป็นของโลกนี้เลย
ตอนที่ 1487 ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา
Ink Stone_Fantasy
ไนติงเกลคุกเข่าลง ก่อนจะใช้นิ้วมือแตะไปที่พื้น ในตอนที่เธอยกมือขึ้นมา ทั้งสองคนต่างเห็นที่ปลายนิ้วของเธอสะอาดสะอ้าน แม้แต่เศษฝุ่นก็ไม่มีแม้แต่นิดเดียว
นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมัน
ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาวนเวียนไม่จบสิ้น เผ่ากัมมันตรังสีย่อมไม่ใช่ผู้ชนะเผ่าพันธุ์แรกที่พยายามจะสำรวจบอทธ่อมเลสแลนด์แน่ ไม่ว่าจะพลาดตกลงมา หรือว่าตั้งใจกระโดดลงมา มันก็น่าจะมีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง แต่นี่กลับไม่มีแม้กระทั่งพวกก้อนหินหรือเศษดินที่ร่วงตกลงมาเลย
ท่ามกลางวันเวลาอันนานแสนนาน ที่แห่งนี้ยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ ทำให้คิดได้เพียงว่าจะต้องมีคนคอยทำความสะอาดพื้นใต้หลุมลึกอยู่ตลอดเวลา
“ฮัลโหล เวนดี้ เจ้าได้ยินเสียงข้าไหม?” ไนติงเกลหยิบเอารูนสดับขึ้นมาพูด แต่ฝั่งนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาเลย “ไม่ได้…ดูเหมือนเราจะอยู่นอกระยะการสื่อสารแล้วล่ะ”
“ต่อให้ไม่อยู่นอกระยะสื่อสาร มันก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้” เซโรเชสพูดตรงๆ “ถ้าพระเจ้าไม่คิดที่จะปล่อยให้คนเอาความลับออกไป การปิดกั้นการสื่อสารก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมัน”
“เอาล่ะ…” เธอยักไหล่ “อย่างนั้นพวกเราจะเอายังไงต่อ?”
อันนาจ้องไปที่แถบแสงที่พื้นอยู่ครู๋ใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาว่า “พวกเจ้ารู้สึกบ้างไหมว่า แสงไฟพวกนี้มันกำลังนำทางพวกเราอยู่?”
การกะพริบของพวกมันมีความเป็นระเบียบอย่างมาก เหมือนกับคลื่นที่กระเพื่อมออกมาจากใต้เท้าแล้วหายไปในความมืดอย่างไรอย่างนั้น — นอกจากตำแหน่งที่ทั้งสามคนยืนอยู่แล้ว ที่อื่นๆ ล้วนแต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย เหมือนกับว่ากำลังหลับใหลอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พยายามเดินไปทางตรงกันก้าวสองสามก้าว แสงไฟเองก็เคลื่อนไหวตามมันไป แต่ทิศทางการกระเพื่อมยังคงเหมือนเดิม
“ดูเหมือนจะใช่”
“การเชื้อเชิญของพระเจ้างั้นเหรอ…น่าสนใจนี่” ไนติงเกลเอาปืนสั้นมาถือไว้ในมือ “อย่างนั้นก็ไปเจอหน้าหน่อยแล้วกัน”
ทั้งสามคนเดินตามแถบแสงไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ปากทางที่สว่างเจิดจ้าอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเธอ
เมื่อเทียบกับความมืดที่มองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว เส้นทางหลังจากนั้นทำให้พวกเธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย — เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่ชอบเดินอยู่ในที่แปลกหน้าที่้ตกอยู่ในความมืดจนมองไม่เห็นปลายทางแน่ ถึงแม้ตอนนี้พวกเธอจะยังอยู่ใต้ดิน แต่อย่างน้อยพวกเธอก็มองเห็นเส้นทางรอบๆ ได้อย่างชัดเจน
“ที่นี่มันใช่โลกแห่งจิตสำนึกจริงๆ งั้นเหรอ…” ไนติงเกลอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?” อันนาหันหน้ากลับมา
“เพราะว่ามันเกี่ยวกับโลกแห่งจิตสำนึกน่ะสิ” เธอเกาหัว “ไม่ว่าจะเรียกมันว่าโลกแห่งจิตสำนึกหรือว่าแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ มันก็ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ว่าที่นี่….”
“เหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น” จู่ๆ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา
บนเส้นทางที่ยาวเหยียดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงหรือว่าพื้นก็ล้วนแต่ดูไม่เข้ากับคำเรียกเหล่านั้นเลย พวกมันทั้งแข็งและเรียบ มีเหลี่ยมมีมุมชัดเจน ดูแล้วให้ความรู้สึกสบายตา ขณะเดียวกันก้อนโลหะโปร่งแสงเหล่านี้ยังสามารถเปล่งแสงออกมาจากตัวได้ด้วย ไม่ว่าจะใช้เท้าเหยียบหรือใช้มือกดก็ล้วนแต่ส่องแสงออกมาเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งกดเร็วมันก็ยิ่งส่องแสงออกมาเร็ว แถมบางครั้งยังมีสัญลักษณ์แปลกๆ กระเด้งออกมาด้วย ดูแล้วไม่ได้มีความรู้สึกหนาวเย็นหรือนน่ากลัวที่ดูไม่น่าเข้าใกล้เลย
“บางทีโลกแห่งจิตสำนึกอาจจะถูกสร้างออกมาก็ได้” คำตอบของอันนาทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงไปเล็กน้อย “ถูกคนอย่างพวกเรา…หรือพูดอีกอย่างคืออารยธรรมสร้างขึ้นมา”
ไนติงเกลกลืนน้ำลาย “อีกฝ่าย…ไม่ใช่พระเจ้าเหรอ?”
“จะเรียกแบบไหนก็ได้” อันนาส่ายหัว “ข้าเคยได้ยินโรแลนด์บอกว่าที่มิสต์เรียกมันว่าพระเจ้า ก็เพราะว่านั้นเป็นการพูดที่ทำให้พวกเราเข้าใจได้ง่ายที่สุด เหมือนกับถ้าเปรียบกับมด พวกเราก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้า”
เธอรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที “ช่างเป็นคำพูดที่น่ารังเกียจจริงๆ”
“ใช่” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เห็นด้วย “แต่ว่าข้าเข้าใจ”
ในขณะที่ไนติงเกลกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ เธอพลันพบว่าเธอเดินมาสุดทางแล้ว
“นี่เรา…เดินผิดเหรอ?”
แต่ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงซ่าๆ เบาๆ ลำแสงสายหนึ่งกวาดผ่านตัวทั้งสามตนไปอย่างรวดเร็ว อย่างนั้นภาพพวกเธอทั้งสามก็ไปปรากฏอยู่บนกำแพงตรงปลายสุดของทางเดิน
แม้แต่อันนาก็ยังรู้สึกตกใจกลัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้
เพียงแต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้ทำอะไร กำแพงพลันเปลี่ยนเป็นรูปหกเหลี่ยมจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วหายไป พื้นที่ว่างทรงกลมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทั้งสามคน
รอบๆ ผนังทรงกลมมีรางเหมือนรางรถไฟวนเป็นรอบอยู่เส้นหนึ่ง ตรงกึ่งกลางถูกกั้นไว้ด้วย ‘กระจก’ ใสแผ่นหนึ่ง เมื่อมองผ่านพื้นกระจกใสแผ่นนั้นลงไป พวกเธอมองเห็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่อันหนึ่งหมุนวนอยู่ด้านล่าง และวัตถุทรงกลมนั้นไม่ใช่ของแข็ง หากแต่ดูเหมือนของไหลที่ประกอบขึ้นมาจากแสงและกระแสไฟฟ้ามากกว่า กระแสไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งขึ้นลงตามผนังที่เป็นท่อ กระแสไฟฟ้าแต่ละสายดูรุนแรงกว่าสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากบนท้องฟ้าเสียอีก ถึงแม้จะมีกระจกกั้นเอาไว้อยู่ แต่ทั้งห้องนั้นกลับเงียบอย่างมาก ราวกับว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้านในนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกภายนอกเลย
ทั้งสามคนกลั้นหายใจทันที ไม่ว่าใครถ้าได้มาเห็นภาพนี้ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงอย่างแน่นอน ไม่มีใครที่จะคิดถึงว่าด้านล่างเกาะที่โดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลจะมีของที่ยิ่งใหญ่แบบนี้แอบซ่อนอยู่
สิ่งที่ทำให้พวกเธอยิ่งรู้สึกตกใจก็คือ วัตถุทรงกระบอกอันหนึ่งลอยออกมาจากกำแพง ก่อนจะค่อยๆ บินมาตรงหน้าอันนา จากนั้นฝาของมันจึงเปิดออก
ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหน ทั้งสามคนก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กับไนติงเกลต่างหันไปมองอันนาเพื่อรอให้เธอทำการตัดสินใจ ส่วนอีกฝ่ายนั้นจ้องมองโรแลนด์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยสองมือออก ภายใต้การดึงของไฟสีดำ โรแลนด์ที่นอนหลับตาทั้งสองข้างค่อยๆ ถูกวางลงไปในวัตถุทรงกระบอกนั้น จากนั้นฝาครอบจึงปิดลง วัตถุทรงกระบอกลอยกลับเข้าไปในกำแพงใหม่อีกครั้ง ก่อนจะฝังแนบสนิทเข้าไปราวกับหายไปในกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเรา…ถือว่าทำสำเร็จแล้วใช่ไหม?” ไนติงเกลพูดงึมงำขึ้นมา
“ไม่รู้สิ” อันนาพูดเบาๆ “แต่อย่างน้อยพวกเราก็ทำเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้สำเร็จเรียบร้อย สิ่งที่เราทำได้หลังจากนี้ก็มีแค่รอเท่านั้น”
…..
ท้องฟ้ามืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาวค่อยๆ หายไป แสงสีขาวเติมเต็มเบื้องหน้าของเขา
ท่ามกลางแสงสีขาวสุดลูกหูลูกตานี้ บันไดที่ยืดยาวอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงใต้เท้าโรแลนด์ —- ครั้งนี้ไม่มีจุดสีขาวแล้วก็ไม่มีฝ้าเพดานที่คุ้นเคยแล้ว สายตาของเขามองไปยังปลายสุดของบันได ก่อนจะเห็นว่าปลายบันไดเชื่อมต่ออยู่กับพื้นที่เปิดโล่งราบเรียบแห่งหนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอยู่เลย
อย่างนี้นี่เอง….
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสต์ถึงบอกว่าตอนที่เส้นทางแห่งการกัดกินปรากฏขึ้นมา เขาจะรู้ได้เอง
ทั้งสองโลกแตกต่างกันขนาดนี้ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองไม่ออก
จากที่มิสต์บอกมา เป็นไปได้สูงที่ที่นี่จะเป็นเมืองของพระเจ้า — เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะวงแหวนดวงดาวของยิปซีลอนที่ทำให้โลกแห่งความฝันขยายตัวครั้งสุดท้ายหรือว่าเป็นเพราะกองทัพทำเป้าหมายในโลกแห่งความจริงได้สำเร็จ ที่ทำให้เขามาถึงที่นี่ได้
แต่ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์
โรแลนด์ก้าวเท้าไปบนบันได
ระยะทางนี้ไม่ยาวนัก เดินมาได้ไม่นานเขาก็เดินขึ้นมาบนที่เปิดโล่งนั้น ตรงกลางพื้นที่เปิดโล่งนั้นมีบัลลังก์ที่ดูสะดุดตาอยู่อันหนึ่ง และบนนั้นก็มีคนสวมหน้ากากนั่งอยู่คนหนึ่ง ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างมาก ไม่เหมือนกับ ‘ดินแดนของพระเจ้า’ ที่เขาคิดเอาไว้เลย
ก่อนหน้านี้โรแลนด์ยังคิดว่าพระเจ้าจะสร้างวิหารที่ดูหรูหราตระการตาขึ้นมาข่มเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเรียบง่ายจนเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้น้ำเสียงแบบไหนทักอีกฝ่ายไป
“เจ้าคือ…พระเจ้างั้นเหรอ?”
ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะพูดเปิดแบบตรงๆ ออกไป
ถ้าเกิดอีกฝ่ายเป็นแค่เทวทูตหรือผู้นำทาง เขาคงขายหน้าแย่
“เจ้าจะเรียกข้าแบบนั้นก็ได้ เด็กน้อย” แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาตรงๆ “แต่ข้าชื่นชอบอีกชื่อหนึ่งมากกว่า ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา”
ตอนที่ 1488 จุดกำเนิด
Ink Stone_Fantasy
“ผู้พิทักษ์?” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “คอยคุ้มครองให้แต่ละอารยธรรมเดิมไปดูการดับสูญงั้นเหรอ?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะถามแบบนี้…แต่นี่มันก็ช่วยไม่ได้จริง” อีกฝ่ายลุกขึ้นมาจากบัลลังก์ มือขวายกขึ้นมา จากนั้นลูกบอลแสงลูกหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากในมือของมัน จากนั้นผิวนอกของลูกบอลแสงก็เริ่มเปิดออกทีละชั้นๆ เผยให้เห็นโครงสร้างที่ซับซ้อนด้านใน จนกระทั่งโรแลนด์มองออกว่ามันคืออะไร
ถึงแม้จะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ในตอนที่ได้เห็นภาพนี้จริงๆ หัวใจของเขายังคงเต้นแรง
สิ่งที่ลอยอยู่บนมือของอีกฝ่ายคือโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่
เขามองเห็นดินแดนรุ่งอรุณ ที่ราบลุ่มบริบูรณ์ แล้วก็อาณาจักรเกรย์คาสเซิล ด้านนอกพื้นทวีปยังมีแบล็คสโตนกับอาณาจักรซีสกายอยู่ด้วย — แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือด้านนอกโลกมีเปลือกที่เป็นทรงรังผึ้งห่อหุ้มเอาไว้อยู่ เหมือนกับม่านพลังที่กั้นดวงดาวกับโลกภายนอกเอาไว้
ส่วนด้านล่างพื้นทวีปกับทะเลก็มีแกนที่มีความซับซ้อนอย่างมากแอบซ่อนอยู่ มันไม่เหมือนแกนโลกที่ถูกบีบอัดจนกลายเป็นทรงกลม หากแต่เป็นทรงเรขาคณิตที่ดูไม่เป็นระเบียบ เส้นทะเลตรงส่วนที่ยืดยาวขึ้นไปบนฟ้าก็ตั้งอยู่บนขอบของทรงสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งพอดี เขาถึงขนาดมองเป็นพื้นด้านล่างของทะเลน้ำวนที่เชื่อมต่อกับอาณาจักรซีสกาย เส้นทางของมันเป็นเหมือนกับขวดไคลน์
สาเหตุที่โลกนี้ดูไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ก็เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ
ดวงดาวที่ถูกสร้างขึ้นมาที่เขาเห็นอยู่ในภาพความทรงจำที่สองก็คือโลกแห่งความจริงที่เขาอยู่ในตอนนี้
ก้อนเมฆ พระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาวที่มนุษย์มองเห็นล้วนแต่เป็นภาพที่ม่านพลังสร้างขึ้นมา
ส่วนในอวกาศที่อยู่ด้านนอก โรแลนด์มองเห็นแต่ความเงียบสงัด
“เจ้าคือ ‘ดวงตาคู่นั้น’” ทันใดนั้นเอง เขาพลันเข้าใจปัญหาหลายๆ ข้อขึ้นมา
พระเจ้าถอนหายใจเบาๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ไม่เป็นไร เมื่ออยู่ที่นี่ เวลาเป็นหน่วยวัดที่สามารถยืดหดได้ตามต้องการ ข้าจะสนองความอยากรู้อยากเห็นของเจ้า จากนั้น….ค่อยทำลายเจ้าซะ”
“สมแล้วที่เป็นคำพูดของผู้พิทักษ์” โรแลนด์พูดพร้อมผายมือออก ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เขาก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ หรือพูดอีกอย่างก็คือสรรพชีวิตที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นพระเจ้า เขาก็ห้ามแสดงความกลัวออกมา “สิ่งที่ข้าอยากจะถามมากที่สุดก็คือทำไมถึงต้องมีสงครามแห่งโชคชะตา? เขาอยากจะได้อะไรกันแน่?”
“ข้านึกว่าเจ้าจะเริ่มจากปัญหาเล็กๆ ก่อนซะอีก แต่ช่างเถอะ” มันเก็ลูกบอลลำแสงที่อยู่ในมือ จากนั้นสะบัดมือข้างหนึ่ง ด้านหลังมันพลันมี ‘จอภาพ’ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ก่อนจะประกอบกันกลายเป็นกำแพงที่ดูสะดุดตา
โรแลนด์พบว่าเนื้อหาที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นคือ…สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
“แผนการเกตเวย์นั้นประสบความสำเร็จ มันแตกต่างจากผลลัพธ์ที่ทำการคำนวณเอาไว้ไม่เท่าไร ภายใต้การช่วยเหลือกันของอารยธรรมต่างๆ ในที่สุดจักรวาลนี้ก็ถูกแรงดึงดูดฉีกออก จนกลายเป็นรอยแตกเล็กๆ รอยหนึ่ง” พระเจ้าค่อยๆ พูด “แต่แผนการเกตเวย์ก็ถือเป็นความล้มเหลวเหมือนกัน พลังจากดินแดนอีกด้านหนึ่งไหลทะลักเข้ามาทำลายสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาจำนวนมาก ซึ่งในนั้นรวมไปถึงผู้สร้างแผนการเกตเวย์ขึ้นมาด้วย”
นั่นคือภาพที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงท้ายของภาพความทรงจำที่สามงั้นเหรอ….
โรแลนด์นึกย้อนถึงความรู้สึกโศกเศร้าเหล่านั้นขึ้นมา มันเหมือนกับตอนนั้นเขาได้เชื่อมต่อเข้ากับทุกอารยธรรมที่มีส่วนร่วมกับแผนการนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ถูกต้อง พลังที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘เวทมนตร์’”
“มันไม่ใช่ทั้งแสง ไม่ใช่ความร้อน ไม่ใช่อนุภาค แล้วก็ไม่ใช่คลื่น — พูดง่ายๆ ก็คือมันมาจากอวกาศที่มีกฏเกณฑ์แตกต่างจากจักรวาลที่พวกเราอาศัยอยู่ ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ล้วนแต่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้ แทบจะในพริบตานั้นเอง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมันก็ได้เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ”
“อีกด้านหนึ่งของรอยแตก….มันคืออะไรกันแน่?” โรแลนด์อดถามขึ้นมาไม่ได้
“ไม่อาจอธิบายอย่างชัดเจนได้ เพราะยังไม่เคยมีใครก้าวข้ามรอยแตกที่บิดเบี้ยวนั้นไป แต่จากการวิเคราะห์แล้ว หลักๆ แล้วมันสามารถแบ่งออกได้เป็นสองความน่าจะเป็น —- ความเป็นไปได้แรกก็คือมันเป็นจักรวาลที่ห่อหุ้มจักรวาลของเราเอาไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นสมมติฐานที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด” ตอนที่พูดถึงตรงนี้ เสียงของอีกฝ่ายพลันฟังดูล่องลอยขึ้นมา “ภาวะเอกฐานใหม่สามารถถือกำเนิดขึ้นมาจากด้านในจักรวาล ก่อนจะระเบิดกลายเป็นจักรวาลอันใหม่ แล้วก็ให้กำเนิดกฎเกณฑ์และค่าคงที่ของมันขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ต่อให้โลกของพวกเรามีจุดกำเนิดมาจากจักรวาลที่อยู่นอกรอยแตก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตกับสสารต่างๆ จะข้ามผ่านมาได้ง่ายๆ”
“ความเป็นไปได้ที่สองก็คือ ‘พื้นที่รอยแรก’ ระหว่างพหุภพ เจ้าสามารถมองว่ามันเป็นเหมือนน้ำแกงข้นๆ หม้อหนึ่งก็ได้ และพวกเราก็คือฟองอากาศที่ลอยขึ้นมา มันปรากฏขึ้นมา ขยายตัว รวมเข้าด้วยกัน แล้วก็แตกออก…แน่นอนว่าในความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้นมาก แต่นั่นมันก็อยู่เหนือขอบเขตที่เจ้าจะทำความเข้าใจไปแล้ว”
“เอาล่ะ…กลับมาเรื่องพลังเวทมนตร์กันดีกว่า” มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามันทำลายสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไป แต่ตอนนี้มันกลับทำให้เกิดโลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ขึ้นมา นี่มันฟังดูแล้วขัดแย้งกันไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าบอกว่ามนุษย์คือบุตรที่ถูกเลือกของจักรวาล อย่างนั้นมันก็ดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย
“พลังเวทมนตร์มีกฎเกณฑ์ที่มีความพิเศษอย่างมาก หนึ่งในกฎเกณฑ์นั้นก็คือมันถูกจิตสำนึกเปลี่ยนแปลงได้ ขณะเดียวกันมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้าของจิตสำนึกนั้นด้วย”
โรแลนด์ตกตะลึง “อะไรนะ?”
“สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ถูกเปลี่ยนแปลงก็คือผู้ที่มีส่วนร่วมกับแผนการเกตเวย์ โครงสร้างของพวกมันถูกบิดเบือนและประกอบขึ้นมาใหม่ หลังผ่านการเปลี่ยนนับสิบล้านปี สุดท้ายมันก็กลายเป็นร่างผลึกที่มีความพิเศษ หรือก็คือหินเวทมนตร์ที่พวกเจ้าใช้กัน” พระเจ้าพูดด้วยเสียงราบเรียบ “และเป็นเพราะข้าไม่ได้จัดอยู่ในรูปแบบของสิ่งมีชีวิต ข้าถึงได้รอดมาได้ แต่ข้าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเหมือนกัน ต้องใช้เวลาอยู่หลายหมื่นปีกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา แรงดึงดูดก็ไม่ใช่พลังที่น่าเคารพบูชาที่สุดบนโลกนี้อีกต่อไป”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
แต่สำหรับคำพูดที่บอกว่าผู้พิทักษ์ไม่ได้จัดอยู่ในร่างสิ่งชีวิต โรแลนด์กลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะแผนการเกตเวย์คือภารกิจที่ก้าวข้ามกาแล็คซี่นับแสนล้านและมีอารยธรรมแสนเจ็ดหมื่นอารยธรรมเข้าร่วม การจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในช่วงเวลาอันแสนยาวนานนี้ ผู้ประสานงานนั้นไม่มีทางที่จะเป็นร่างสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็เผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งอย่างแน่นอน
มันเกิดขึ้นมาก็เพื่อแผนการนี้
“หลังจากนั้น ‘เปล’ ก็ถูกสร้างขึ้นมา มันเป็นโลกที่หยิบยืมพลังเวทมนตร์ในการสร้างขึ้นมา เพียงแต่ว่าระดับความเข้มข้นของพลังเวทมนตร์ของมันได้ถูกจำกัดเอาไว้ ข้าได้คัดเลือกเอาสิ่งมีชีวิตจากฐานข้อมูลที่ชำรุดเสียหายแล้วเริ่มเลี้ยงดูฟูมฟักขึ้นมาใหม่ ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่บนกฎเกณฑ์ใหม่ เนื่องจากการแข่งขันสามารถเพิ่มความเร็วในการวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ได้ ด้วยเหตุนี้เปลจึงคัดเลือดเอาสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่มีสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่ใกล้เคียงกันมาอยู่ด้วยกัน แต่จากการคำนวณก็ทำให้พบว่าระยะเวลาของกระบวนการนี้กินเวลายาวนานจนไม่สามารถประมาณได้ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ได้จำกัดการเติบโตอย่างมีอิสระเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องนำเอาแรงจากภายนอกมาช่วยเร่งกระบวนการนี้ว่านี้”
“….ชิ้นส่วนสืบทอด” โรแลนด์พูดเบาๆ
“นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น” อีกฝ่ายพยักหน้า “ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วข้าอยากจะได้อะไร ความจริงแล้วมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ผู้สร้างแผนการเกตเวย์หรือก็คืออารยธรรมที่สร้างข้าขึ้นมา ไม่ได้คิดแค่เพียงที่จะทำให้จักรวาลมีชีวิตต่อไป มันไม่เคยคิดที่จะหยุดก้าวไปข้างหน้า แม้กระทั่งก่อนที่จะตายก็ไม่คิดที่จะหยุด การเปิดรอยแตกนั้นเป็นแค่เพียงก้าวแรก เป้าหมายที่แท้จริงของมันคือการออกไปดูดินแดนที่ยังไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไปแห่งนั้น”
“มันมอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้า และภารกิจสุดท้ายที่ข้าต้องทำก็คือสร้างอารยธรรมที่สามารถปรับตัวเขากับกฎเกณฑ์ของทั้งสองโลกได้” มันหยุดชะงักไปเล็กน้อย “และการแข่งขันกับการวิวัฒนาการนี้ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าสงครามแห่งโชคชะตา”
ตอนที่ 1489 สงครามแห่งวิญญาณอีกครั้ง
Ink Stone_Fantasy
ครั้งนี้ โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เขามองดูสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนบนหน้าจอนับพันนับหมื่นที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่าย นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนในอดีตที่ผ่านมา และการที่สงครามแห่งโชคชะตาดำเนินมาจนถึงตอนนี้ก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหนที่จะออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกม่านพลังได้
โลกนี้ถูกเรียกว่า ‘เปล’ ทั้งๆ ที่มันเต็มไปด้วยกองกระดูกและซากปรักหักพัง
“….อย่างนั้นโลกแห่งจิตสำนึกคืออะไร?” หลังผ่านไปครู๋หนึ่งเขาจึงถามขึ้นมา
“คือหัวใจสำคัญในการรักษาให้การวิวัฒนาการคงอยู่ แล้วก็เป็นแก่นกลางของเปลด้วย” พระเจ้าไม่มีท่าทีปิดบังแม้แต่น้อย “พลังเวทมนตร์จะถูกจิตสำนึกขับเคลื่อน แต่มันไม่ได้ง่ายถึงขนาดที่ว่าแค่คิดก็ทำได้แบบนั้น หลังผ่านการวิวัฒนาการมานับครั้งไม่ถ้วน พลังเวทมนตร์ก็ค่อยๆ ถูกสิ่งมีชีวิตเอาไปใช้ประโยชน์ในระดับหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนให้มันเป็นพลังที่อยู่ภายใต้กฎของโลกนี้ — นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีของผู้สร้างนั้นถูกต้อง เพียงแต่มีความแตกต่างนิดหน่อยในวิธีการเท่านั้น”
แตกต่างนิดหน่อย…โรแลนด์เงียบไป ไม่ว่าใครก็คงจะคิดไม่ถึงว่าอาศัยแค่การครุ่นคิดจะสามารถทำให้เกิดการลดลงของเอนโทรปีได้จริงๆ เกรงว่านี่คงเป็นจุดที่น่าเหลือเชื่อที่สุดของพลังเวทมนตร์ล่ะมั้ง
“การใช้พลังเวทมนตร์ยังคงต้องใช้วิธีการและการคำนวณ เพียงแต่มันไม่สามารถเข้ากับคณิตศาสตร์และกฎธรรมชาติอื่นๆ ที่พวกเรารู้จักได้ หากไม่เป็นเพราะข้าเคยถูกพลังเวทมนตร์เปลี่ยนแปลง เกรงว่าแม้แต่จะทำความเข้าใจมันก็คงจะเป็นไปได้ยาก”
มันยื่นนิ้วมือออกมาสะบัดเล็กน้อย หน้าจอที่อยู่ด้านหลังพลันรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งเดียว — บนหน้าจอนั้น ภาพลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหักเหลงมาจากม่านพลังแล้วไปรวมตัวกันที่บอทธ่อมเลสแลนด์ “ในช่วงเวลาอันยาวนาน เปลได้พบว่าถึงแม้จะมีสงครามแห่งโชคชะตา แต่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็ยังใช้เวลายาวนานอย่างมากในการเติบโตและทำความเข้าใจ ถึงแม้พวกเขาจะเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีเวทมนตร์แต่ต้นก็ตาม เพื่อที่จะเร่งความเร็วของกระบวนการนี้ โลกแห่งจิตสำนึกจึงเข้ามาทำหน้าที่แทนในการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้เพิ่มปริมาณการใช้พลังเวทมนตร์ได้เร็วขึ้น และในทางกลับกัน พลังเวทมนตร์เหล่านี้มันก็จะเปลี่ยนแปลงร่างกายของพวกเขาด้วย”
“ดังนั้นเสาลำแสงที่ถูกเรียกว่า ‘กุญแจ’ ความจริงแล้วก็คือ ‘ท่อ’ ที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลใช่ไหม?” โรแลนด์ถาม
“จะเรียกว่าท่อมันก็ไม่ถูกนัก เพราะว่าที่จริงแล้วพวกมันก็คือพลังเวทมนตร์ที่เปลี่ยนกลายเป็นข้อมูลข่าวสาร โลกแห่งจิตสำนึกจะทำการตรวจทานข้อมูลเหล่านั้นตามความปรารถนาและความคาดหวังของผู้ใช้แล้วส่งผลลัพธ์กลับไป นี่จะทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ รู้วิธีในการควบคุมพลังเวทมนตร์ปริมาณมหาศาลได้ในระยะเวลาสั้นๆ และทำให้ลดระยะเวลาที่ใช้ในการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“อย่างนั้นเจ้าก็รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเปล—” โรแลนด์พูดเสียงต่ำ
“ถูกต้อง และนี่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้แน่ใจว่าระบบสามารถเดินหน้าไปได้อย่างปกติ”
อย่างนี้นี่เอง…ในที่สุดคำถามที่คาใจเขาก่อนหน้านี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว อย่างเช่นทำไมเสาลำแสงของแม่มดบางคนถึงได้ดูใหญ่กว่าแม่มดบางคนอย่างชัดเจน ถึงแม้ความสามารถของแม่มดเหล่านั้นจะดูแล้วไม่ได้แข็งแกร่งอะไร นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพลังที่แสดงออกมา หากแต่อยู่ที่ว่าพลังนั้นมีระดับความซับซ้อนหรือไม่ต่างหาก
ขณะเดียวกัน ความสามารถในการยิงถูกเป้าหมายของแอนเดรียและการมองเห็นอายุขัยของโมโม่ก็ไม่ใช่ความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตหรือว่าผลลัพธ์อะไร พวกมันล้วนแต่ตั้งอยู่บนเครือข่ายข้อมูลขนาดใหญ่อันหนึ่ง เปลคอยควบคุมทุกการเคลื่อนไหวในโลก ขอเพียงมีความสามารถในการคิดคำนวณที่ยอกเยี่ยมพอ ปัจจัยที่ไม่แน่นอนอย่างปรากฏการณ์อลหม่านที่อยู่ในม่านพลังนี้ก็จะหายไป
ในตอนที่เข้าใจถึงเงื่อนไขต่างๆ ในโลกด้านนอกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์ก็ย่อมจะปรากฏการณ์ออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน
การที่มีระดับเทคโนโลยีสูงขนาดนี้ เขาควรจะบอกว่าสมแล้วที่เป็นอารยธรรมที่คิดจะฝืนกฎของจักรวาล
“ถ้าพูดอย่างนี้…ก็แสดงว่าโลกแห่งความฝันมันไปขัดขวางแผนการของเจ้าใช่ไหม?”
“ถูกต้อง มันไม่เพียงแต่ใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก แต่มันยังส่งผลต่อความเสถียรของแกนด้วย — เจ้าน่าจะสังเกตเห็นได้ว่าผู้มีพลังเวทมนตร์บนโลกกำลังลดน้อยลง นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าโลกแห่งจิตสำนึกกำลังแบกรับภาระหนักเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โครงสร้างของเปลพังทลาย ข้าจึงจำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนอย่างตอนแรกสุด” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ในน้ำเสียงของพระเจ้าเหมือนมีความรู้สึกเศร้าเสียใจแฝงเอาไว้อยู่ “เด็กน้อย ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป ข้อมูลการวิวัฒนาการที่สะสมมาจนถึงตอนนี้จะหายไปจนหมด ทุกสิ่งจะกลับไปยังจุดเริ่มต้น”
ความผิดนี้มัน…หนักหนาสาหัสจนเกินว่าที่คนๆ หนึ่งจะแบกรับไหวจริงๆ
มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา “ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้าสามารถสร้างเปลขึ้นมาได้ อย่างนั้นเจ้าก็ต้องควบคุมโลกแห่งจิตสำนึกทั้งหมดได้เหมือนกัน อย่างนั้นทำไมถึงไม่ทำลายโลกแห่งความฝันซะตั้งแต่แรกล่ะ?”
“เพราะว่าการวิวัฒนาการของชีวิตมันมีความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดน่ะสิ ถึงแม้จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังเวทมนตร์ก็ตาม” อีกฝ่ายเหมือนจะเดาออกแต่แรกว่าเขาจะถามเช่นนี้ “ข้าแบ่งทรัพยากรส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึกให้กับอารยธรรมแต่ละอารยธรรม ซึ่งนั่นมันก็เป็นมอบอำนาจให้กับพวกเขาได้สำรวจแกนของโลกอย่างกลายๆ การเข้าไปแทรกแซงและแก้ไขล้วนแต่อาจจะทำให้พลาดโอกาสในการวิวัฒนาการนั้นไปได้ เพื่อที่จะคงความหลากหลายของผลลัพธ์เอาไว้ การแทรกแซงใดๆ ก็ตามจึงควรจะถูกหยุดยั้ง นอกเสียจากว่ามันจะส่งผลกระทบต่อแผนการทั้งหมดและตัวเปล”
อย่างนั้นไม่ใช่ว่าพระเจ้าทำลายโลกแห่งความฝันไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะถูกกฎพื้นฐานที่ตัวเองตั้งขึ้นมามัดแขนมัดขาเอาไว้…
“ถ้าตอนนี้ข้าอยากจะขอโทษก็คงจะไม่ทันแล้วใช่ไหม?”
มันส่ายหัว “นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้ามาถึงที่นี่มันก็สายไปเสียแล้ว”
“แต่ข้าไม่คิดว่าการที่ชีวิตจะต่อสู้เพื่อเอาโซ่ตรวนที่อยู่บนร่างกายตัวเองออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ผิด” โรแลนด์เลิกทำหน้าล้อเล่น ก่อนจะจ้องมองมันตรงๆ “ต่อให้มีโอกาสอีกครั้ง ข้าก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่”
“ข้าเข้าใจ เพราะว่าพวกเจ้านั้นคิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา สิ่งมีชีวิตที่มีปัญหาประดิษฐ์ตรรกะขึ้นมา แต่หลายๆ คนกลับไม่ทำตามตรรกะนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่พลังเวทมนตร์เกิดการสอดประสานเข้ากับพวกเจ้า”
“เลิกพูดเรื่องเข้าอกเข้าใจอะไรนั่นดีกว่า จะว่าไปแล้ว ที่นี่โดยเนื้อแท้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึกใช่ไหมล่ะ?” โรแลนด์ผายมือออก ก่อนจะแอบรวบรวมสมาธิ จากนั้นดาบสั้นเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา “ดูเหมือนข้าจะเดาถูกจริงๆ ด้วย — การเข้ามาในดินแดนของพระเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอะไรสำหรับเจ้า เพราะที่นี่เป็นดินแดนของเจ้า เจ้าจึงสามารถกำจัดผู้ที่บุกรุกเข้ามาที่นี่ได้โดยง่ายๆ มีแต่ต้องใช้การกัดกินเท่านั้นถึงจะสามารถคุกคามถึงการมีอยู่ของเจ้าได้”
“เจ้ามีความคิดอย่างนี้มาแต่แรกแล้วสินะ?” พระเจ้ายื่นนิ้วชี้มาที่โรแลนด์ “ช่างเถอะ ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถยอมรับวิธีการของเจ้าได้ แต่ข้าก็นับถือเจ้าทีเดียว —- นอกจากจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้ารู้แล้ว ข้ายังจะให้โอกาสเจ้าได้ดิ้นรนด้วย เพื่อที่เจ้าจะได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างเจ้ากับข้า”
พอมันพูดจบ จู่ๆ โรแลนด์พลันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างยัดเข้ามาในสมองของเขา ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำเอาเขาร้องออกมาทันที!
สัญลักษณ์และสมการจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา
ทฤษฎีเอกภาพของแรก ทฤษฎีซูเปอร์สตริง กฎหลายมิติ ทฤษฎีของสรรพสิ่ง….
ความรู้ที่เคยสร้างปัญหาให้มนุษย์มาเป็นเวลานาน ตอนนี้ — มันแสดงอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่ใช่เท่านี้ เขายังพบว่าตัวเองสามารถเข้าใจเนื้อหาเหล่านี้ได้ทั้งหมดด้วย เหมือนกับว่าประตูบานใหญ่มันเปิดออกตรงหน้าเขา
“โลกแห่งจิตสำนึกเคยบันทึกการต่อสู้ที่ผิดปกติเอาไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าหากเรียกว่ามันสงครามแห่งวิญญาณล่ะก็ นั่นกลับเป็นชื่อที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างมากทีเดียว” อีกฝ่ายค่อยๆ ลอยขึ้นไป “ในเวลานี้สมองของเจ้าได้เชื่อมต่อเข้ากับคลังความรู้ของเปลแล้ว เจ้าสามารถใช้ความรู้ที่สะสมมานับสิบล้านปีได้ตามใจชอบ แต่แน่นอน ถ้าหากเจ้าอยากยอมแพ้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร การหล่อหลอมโลกขึ้นมาใหม่จะไม่สร้างความเจ็บปวดใดๆ ให้กับเจ้า ทุกอย่างใช้เวลาแค่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น”
“เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ” โรแลนด์พูดตัดบทอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อเจ้าให้โอกาสข้าแบบนี้แล้ว ข้าจะพลาดมันไปได้ยังไงล่ะ?”
เขาสะบัดมือทีหนึ่ง แท่นที่เขายืนอยู่กับบันไดแตกสลายไปจนหมด ภาพพื้นหลังที่เป็นสีขาวเองก็พังทลายลง เผยให้เห็นจักรวาลอันดำมืดที่มีจุดแสงส่องประกายระยิบระยับ
กองทัพเรือรบปรากฏขึ้นมาและตั้งเรียงรายยาวเหยียดอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหลังเขา นั่นคือภาพที่เขาเห็นอยู่ในภาพความทรงจำของยิปซีลอน
ระบบอาวุธรูปแบบต่างๆ เล็งเป้าไปยังพระเจ้าตามเจตจำนงของโรแลนด์ ในตอนที่ความคิดโจมตีผุดขึ้นมาในหัว แสงสว่างอันเจิดจ้าก็ระเบิดขึ้นมาในอวกาศทันที!
ตอนที่ 1490 ต่อสู้กับพระเจ้า
Ink Stone_Fantasy
จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลกลายเป็นสนามรบสำหรับการต่อสู้ทางจิตสำนึกครั้งนี้
ดาวฤกษ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกอาวุธโจมตีจนระเบิดออกส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าราวกับซูเปอร์โนว่า เศษซากที่ปลิวกระจายออกมาลอยไปไกลหลายร้อยปีแสง ดูแล้วเหมือนกับภาพวาดของเด็กน้อย
กองเรือรบสลายไปอย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีของพระเจ้า สิ่งที่ลงมาบนสนามรบนั้นคืออาวุธที่ยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม
ถ้าบอกว่าตอนที่เขาสู้กับซีโร่ วิธีที่เขาใช้บ่อยมากที่สุดก็คือการสร้างการป้องกันขึ้นมาก่อนแล้วค่อยกระหน่ำโจมตีเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง อย่างนั้นตอนนี้เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีอะไรไปมากนัก เพียงแต่วัตถุระเบิดที่เขาใช้เปลี่ยนจากดินปืนเป็นอย่างอื่น
อย่างเช่นการประลัยปฏิสสาร
ในตอนที่สารระดับกาแล็คซี่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แม้แต่จักรวาลก็ยังต้องสะเทือน เสียงระเบิดทึบๆ ดังสะท้อนไปทั่วทั้งอวกาศที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความร้อน ก่อนจะแผ่กระจายออกไปรอบๆ ด้วยความเร็วแสง
บนสนามรบที่ต่อดูกันอย่างดุเดือดนี้ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบนั้นบอบบางยิ่งกว่ากระดาษเสียอีก ตอนแรกโรแลนด์สร้างร่างกายของตัวเองให้กลายเป็นร่างแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลายเป็นร่างพลังงานบริสุทธ์ แล้วอาศัยการครุ่นคิดที่เหนือมนุษย์ที่เชื่อมต่ออยู่กับเปลในการสั่งการให้จิตสำนึกสร้างอาวุธขึ้นมาต่อสู้
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เหมือนกับสงครามแห่งวิญญาณครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดจนปวดหัว ในคลังความรู้มีวิธีต่อสู้นับไม่ถ้วนให้เขาได้เลือกใช้ ความคิดที่แล่นอย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างที่ยากจะบรรยายได้ ขนาดตอนที่ตาย เขาก็ยังแปรสภาพกลายเป็นแก๊สในพริบตาเนื่องจากการระเบิดของพลังงาน ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ
ตอนแรกเขายังสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสูสี แต่หลังจากที่พลังเวทมนตร์เริ่มถูกเอามาใช้ในสนามรบ โรแลนด์ก็ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
และความเสียเปรียบแบบนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะมาชดเชยได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่ของพลังเวทมนตร์
ไม่ว่าจะเป็นแม่มดหรือว่าปีศาจ วิธีการใช้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นการเปลี่ยนพลังเวทมนตร์ให้กลายเป็นพลังที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ แต่เมื่อพลังเวทมนตร์ไปอยู่ในมือของผู้พิทักษ์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์มาพันธนาการเอาไว้ วิธีใช้และประสิทธิภาพของมันก็เรียกได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ชดเชยได้ด้วยน้ำหนักสมมูลที่เพิ่มขึ้น
การตายนับร้อยนับพันครั้งทำให้จิตใจของโรแลนด์เริ่มเหนื่อยล้า ถ้าไม่เป็นเพราะมีความช่วยเหลือจากเปล เกรงว่าเขาคงทนไม่ได้ถึงตอนนี้
ในตอนที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาไม่สามารถพยุงร่างกายตัวเองเอาไว้ได้อีก
ภาพรอบๆ กลับกลายเป็นโลกสีขาวเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง
โรแลนด์ยืนโงนเงน จากนั้นจึงล้มนั่งลงไปกับพื้น ในเวลานี้เขาถึงได้พบว่าแผ่นหลังของตัวเองเต็มไปด้วยเหงื่อ
“แบบนี้เจ้าคงจะไม่มีอะไรให้เสียใจแล้วใช่ไหม” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้แบบนี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้มันเท่าไรเลย — ในดินแดนแห่งจิตสำนึก มันไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้าจริงๆ
“ได้ยังไงล่ะ…” โรแลนด์หอบหายใจ “เจ้าคิดว่าข้ามาถึงที่นี่เพื่อจะให้เจ้าอัดเล่นอย่างนั้นเหรอ?”
“วิธีการของเจ้ามันมาอย่างความไม่รู้และความโอหัง นี่คือหนึ่งในสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว การระบายความโกรธมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก” มันชะงักไปเล็กน้อย “แต่ว่าเจ้ายังคิดที่จะอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ? เมื่ออยู่ต่อหน้าความแตกต่างที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ การฝืนอดทนต่อไปมันไม่ก่อประโยชน์อันใด ข้านึกว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้เสียอีก”
“เจ้าหมายถึงสงครามแห่งวิญญาณงั้นเหรอ? ไม่…ข้าไม่เคยคิดว่าเราสู้แค่นี้แล้วจะตัดสินแพ้ชนะได้” โรแลนด์เอามือจับข้าทั้งสองข้าที่กำลังสั่นแล้วค่อยๆ ยืนขึ้นมา “เมื่อกี้ข้าเพียงแค่อยากจะลองความรู้สึกเวลาที่ได้เรียกกองทัพเรือรบออกมาเท่านั้น…บอกตามตรง มันไม่เลวเลยจริงๆ…”
“พอได้แล้ว!” ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูมีอารมณ์เป็นครั้งแรก “การสั่งสมนับสิบล้านปีต้องหายไปในพริบตา แต่เจ้ากลับมองมันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย” โรแลนด์ยิ้มอย่างเหนื่อยล้า “เพียงแต่ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายจะมาถึง ข้าอยากจะถามเจ้าคำถามหนึ่ง — ทำไม…ถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?”
“ที่ให้เปลช่วยเจ้าน่ะเหรอ? ข้าบอกแล้วไง ชีวิตมีสิทธิ์ที่จะเลือก และสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ที่เกิดในเปลล้วนแต่เป็นลูกของข้า ข้าเคารพการตัดสินใจและความต้องการของพวกเจ้า —“
“ไม่ ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้” โรแลนด์ส่ายหัว “ที่ข้าถามก็คือ ทำไมเจ้าถึงต้องสร้าง….พวกมิสต์ขึ้นมา?”
พระเจ้านิ่งเงียบไปทันที
หลังจากนั้นมันจงถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แอบซ่อมอยู่ภายใต้หน้ากาก
นั่นคือใบหน้าของมิสต์
“เจ้าเคยเจอนางงั้นเหรอ?” มันจ้องมองโรแลนด์อยู่ครู่ ก่อนจะพูดออกมาว่า “อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าเจ้าเข้าใจผิดไปอย่าง ที่ร่างกายนี้แสดงออกมาเป็นรูปลักษณ์แบบนี้ก็เพื่อสะดวกในการสื่อสารกับมนุษย์ จริงอยู่ที่คนที่เจ้าเห็นนั้นคือข้า แต่ว่าข้าไม่ใช่นาง”
เจ้ายิปซีลอนนั่นพูดเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ ด้วย
โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา
ในตอนที่วงแหวนดวงดาวส่องแสงสว่างขึ้นมาและกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เธอได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะมองไม่เห็นปากของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ยิปซีลอนได้เอาคำพูดสุดท้ายฝังลงไปในจิตสำนึกของเขา
นั่นคือการตอบคำถามที่สอง
‘ข้ารับรู้ได้ถึงลมหายใจของท่านพระเจ้าจากบนตัวของเทวทูตผู้ทรยศ ข้าอยากจะถามมันว่า นี่เป็นผลที่มันต้องการจริงๆ เหรอ?’
ตอนแรกโรแลนด์ยังไม่สามารถเข้าใจความเชื่อมโยงของข้อมูลเหล่านี้ด้วย แต่ตอนนี้ เขามองเห็นโฉมหน้าของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนแล้ว
“จริงอยู่ที่เจ้าไม่ใช่นาง แต่มีแต่ตอนนี้พวกเจ้ารวมเข้าด้วยกัน เจ้าถึงจะเป็นผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญาที่สมบูรณ์” โรแลนด์พูดช้าๆ ชัดๆ
อันที่จริงไม่เพียงแต่มิสต์เท่านั้น….แต่เกรงว่ากระทั่งสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ เทวทูต และผู้เฝ้ามองในบอทธ่อมเลสแลนด์ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งของมันด้วย
ดังนั้นยิปซีลอนถึงได้พูดว่า ‘ขอเพียงพระเจ้ายังไม่ถูกทำลาย มันก็จะคงอยู่ตลอดไป’
ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญาคืออะไร?
จะเรียกมันว่าระบบ เครื่องจักร โปรแกรม ไกอาหรือว่าร่างความคิดที่เกิดมาจากข้อมูลก็ล้วนแต่ไม่สำคัญ เป้าหมายแรกในการสร้างมันขึ้นมาก็คือคอยตรวจตราและควบคุมแผนการเกตเวย์ และช่วยให้ผู้สร้างทำเป้าหมายที่แท้จริงให้สำเร็จหลังทำการเปิดประตู
แต่ในช่วงเวลาที่มองไม่เห็นความหวังอันยาวนาน มันเริ่มเกิดการเบี่ยงเบนออกไปจากเป้าหมายเดิม
การเบี่ยงเบนที่ว่านี้แรกสุดอาจจะเป็นแค่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อผ่านไปนานขึ้น ความคิดเหล่านี้ก็รวมกันกลายเป็นร่างจิตสำนึก
พวกมันถือกำเนิดขึ้นในร่างกายของผู้พิทักษ์ แถมไม่ใช่แค่ตัวเดียวด้วย — มิสต์ก็คือหนึ่งในนั้น
พวกมันเบื่อหน่ายกันการเพาะเลี้ยงและจับตามองเหล่าอารยธรรมที่ไม่จบสิ้น พวกมันไม่อยากถูกผูกมัดเอาไว้ในจักรวาลที่เงียบเหงา แต่แน่นอน บางทีในนั้นอาจจะมีความขัดแย้งอย่างอื่นอยู่อีก อย่างเช่นทรัพยากร
ขอเพียงเป็นร่างที่จับต้องได้ ก็ต้องมีการเผาผลาญอยู่อย่างแน่นอน ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองไปด้วยอารยธรรมต่างๆ ผู้พิทักษ์ย้อมไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาเรื่องการปกปักษ์รักษา แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทั้งหมดในจักรวาลได้หายไปแล้ว มันไม่เพียงแต่จะต้องดูแลรักษาทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เปลยังต้องแบ่งทรัพยากรส่วนใหญ่ออกไปด้วย เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นการใช้ทรัพยากรนั้นก็อาจจจะเกินจุดวิกฤติจุดหนึ่งไป ทำให้ระบบทั้งหมดพังทลายลงจนไม่อาจแก้ไขได้
ถ้าพูดตามที่มิสต์ว่าไว้ก็คือ ‘ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนก็ดีกว่าถูกขังเอาไว้ที่นี่ไปตลอดกาล อย่างน้อยอนาคตมันก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัด’
“อีกไม่นานพวกมันก็จะหายไปจากการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ เหมือนกับเจ้า” น้ำเสียงของพระเจ้ายังคงราบเรียบ
สำหรับคำตอบแบบนี้ โรแลนด์ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะถ้าหากเทวทูตที่ทรยศสามารถต่อกรกับผู้พิทักษ์ที่เป็นร่างหลักได้ล่ะก็ พวกมันคงไม่จำเป็นต้องมาหาเขาหรอก
เกรงว่าสิ่งที่ควบคุมมันอยู่ก็คือกฎพื้นฐานของเปล
“แต่การปรากฏตัวขึ้นของมิสต์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เกรงว่าผ่านไปอีกซักสิบล้านปีก็คงจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“อย่างนั้นทุกอย่างก็จะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ข้าจำเป็นต้องทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับผู้สร้าง นี่เป็นกฎที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” มันพูดอย่างไม่หวั่นไหว “ตอนนี้ข้าจะทำการหลอมโลกขึ้นมาใหม่”
“งั้นเหรอ?” แต่โรแลนด์กลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “แต่การทำอย่างนั้นไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดซักเท่าไรหรอกนะ เพราะว่า…เจ้าได้บรรลุข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว”
ตอนที่ 1491 ความหมายของการมีอยู่
Ink Stone_Fantasy
ในฐานะที่เป็นตัวแทนที่ยังหลงเหลือมาจากอารยธรรม 170,000 กว่าอารยธรรม ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ควบคุมระบบเปล ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องบอกก็คงพอจะรู้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีโอกาสเอาชนะ
คำขอร้องที่มิสต์ไม่สามารถพูดออกมาได้ ความสงสัยของยิปซีลอน ความทรงจำจากวงแหวนดวงดาวและปฏิกิริยาตอบสนองจากตัวพระเจ้า เบาะแสทุกอย่างเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
การเข้ามาแทนที่พระเจ้าที่ว่าไว้ ไม่ได้หมายถึงการเข้ามาแทนที่มันอย่างแท้จริง
“เจ้าว่าอะไรนะ?” มือที่ยกขึ้นมาของผู้พิทักษ์หยุดชะงักทันที
“สายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับพลังเวทมนตร์ อีกทั้งยินยอมที่จะออกไปสำรวจโลกที่อยู่นอกประตูมันก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ?” โรแลนด์ค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมาแล้วชี้ไปยังอีกฝ่าย “ถ้าทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็จะไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับเจ้าได้”
“….” สีหน้าของ ‘มิสต์’ เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก
ราวกับว่ากระจกอันราบเรียบได้มีรอยร้าวปรากฏขึ้นมา
“เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่? ทันทีที่ข้าจากไป เปลจะตายลง ถึงตอนนั้นจักรวาลจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อีก ยิ่งไปกว่านั้นอีกด้านหนึ่งของประตูก็มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างไปจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ถูกพลังเวทมนตร์เปลี่ยนแปลงอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีก ความล้มเหลวก็จะเหมือนกับทางตัน—”
“นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นอารยธรรมอื่นมันก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ต่อให้พวกมันยินดีที่จะออกไปนอกรอยแตก เจ้าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกมันทำสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเทียบกับการ ‘ปรับตัว’ แล้ว การ ‘ยินยอม’ นั้นสำคัญยิ่งกว่า เจ้าน่าจะรู้ในจุดนี้ดี” เมื่อพูดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็ผ่อนความเร็วในการพูดลง “ถูกต้อง เป็นเพราะว่าเจ้ารู้ ถึงได้มีเผ่าพันธุ์อย่างอาณาจักรซีสกายปรากฏขึ้นมา”
การเคลื่อนไหวของพระเจ้าเหมือนหยุดลง
ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติต่างๆ ของอาณาจักรซีสกายล้วนแต่แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่แค่ผู้ร่วมต่อสู้ธรรมดาๆ ทั่วไปในสงครามแห่งโชคชะตา ความจริงนี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก โดยธรรมชาติพลังเวทมนตร์นั้นมีศักยภาพที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์อยู่ พวกเผ่าพันธุ์ที่เติบโตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีพลังเวทมนตร์อย่างอ่อนๆ อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างน่าตกใจในระยะเวลาสั้นๆ บางทีการพัฒนาแบบนี้อาจจะไม่สามารถทำให้พวกมันปรับตัวกับชีวิตที่อยู่ด้านนอกม่านพลังได้ แต่มันกลับก่อให้เกิดปัญหากับระบบเปลได้
แต่ถ้าเกิดพระเจ้าลงไปแทรกแซงเพียงเพราะ ‘อาจจะมีความเป็นไปได้’ มันก็จะเป็นการขัดกับกฎพื้นฐานที่มันตั้งขึ้นมา — เพราะสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมพลังเวทมนตร์ได้ก็ย่อมต้องผ่านช่วงเวลานี้มาเหมือนกัน เพื่อที่จะควบคุมความเสี่ยงและไม่ทำให้สถานการณ์เบี่ยงเบนออกนอกทิศทาง จึงจำเป็นต้องมีวิธีคัดกรองสำรองเตรียมเอาไว้ ด้วยเหตุนี้สิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษอย่างอาณาจักรซีสกายจึงถูกจัดให้อยู่ในทะเลน้ำวน
ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของโรแลนด์ แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของพระเจ้าแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงคงจะคลาดเคลื่อนไปจากการคาดเดาของเขาไม่เท่าไร
ในเมื่อเป็นผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา มันก็ย่อมต้องครุ่นคิดเอาไว้รอบคอบมากกว่าเขา
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจุดที่ยากที่สุดของแผนการ นอกจากเรื่องที่ไม่สามารถรู้เรื่องหน้าได้ว่าการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจะออกมาเป็นอย่างไรแล้ว มันยังมีเรื่องของการ ‘ยินยอม’ ด้วย
อารยธรรมทั้ง 170,000 กว่าอารยธรรมที่ดำเนินแผนการตามที่ตกลงไว้ ถึงแม้จะดูแล้วเหมือนมีจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับอารยธรรมที่มีอยู่นับล้านๆ ในจักรวาลแล้วก็ยังถือเป็นจำนวนนี่น้อยนิดอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังตกลงร่วมกันแค่เรื่องที่จะทำลายการปิดกั้น ทำให้จักรวาลไม่อ้างว้างเดียวดายต่อไปเท่านั้น
ไม่ใช่ทุกอารยธรรมที่จะยินยอมออกไปอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก
พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่เผ่าพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับพลังเวทมนตร์ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ผู้พิทักษ์ก็จะอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก — ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมเสี่ยง อย่างนั้นข้อตกลงก็ไม่บรรลุ แต่ถ้าไม่ฝืนบังคับล่ะก็ ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้พิทักษ์จะเอาชนะได้หรือเปล่า
“….เจ้าคิดว่าแบบนี้จะทำให้ข้าหวั่นไหวได้งั้นเหรอ?” หลังนิ่งเงียบไปพักใหญ่ อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากขึ้นมา แต่ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ มือของมันก็ไม่ได้ยกขึ้นมาอีก
“ข้าไม่คิดจะสั่นคลอนการตัดสินใจของเจ้า หากแต่กำลังอธิบายตรรกะที่ง่ายที่สุดให้ฟังอยู่ ขณะเดียวกันโอกาสที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดการ ‘การปรับตัว’ และ ‘การยินยอม’ พร้อมกันได้นั้นมีอยู่น้อยมาก ไม่ต้องพูดเยอะเจ้าก็น่าจะเข้าใจดี” โรแลนด์ยักไหล่ ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ว่า “แน่นอน การที่เจ้าปล่อยวางเปลไม่ได้มันก็เป็นเรื่องปกติ อย่างนั้นข้ายอมเสียสละนิดหน่อยก็ได้ เอาไว้เมื่อเจ้าจากไปแล้ว ข้าจะเป็นคนทำให้เปลยังคงเดินหน้าต่อไป แล้วก็เลี้ยงดูเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพขึ้นมาเอง —- เพียงแต่จะไม่ใช้สงครามแห่งโชคชะตาอีกต่อไป ว่ายังไง?”
‘มิสต์’ เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ มันตกตะลึงไปเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะตรรกะพื้นฐานภายในหัวของมันกำลังชั่งน้ำหนักคำแนะนำของเขาอยู่ หลังจากนั้นครู่ มันจึงค่อยๆ ส่ายหัวขึ้นมา “เป็นคำพูดที่น่าสนใจมาก การที่เจ้าเดินทางมาถึงขนาดนี้ได้นั้นนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ข้อตกลงต้องเป็นข้อตกลง ข้าคือผู้พิทักษ์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหรืออารยธรรม นี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะถือกำเนิดขึ้นมา แล้วก็เป็นเหตุแห่งการมีอยู่ของข้า”
“งั้นเหรอ?”
โรแลนด์พยายามรวบรวมสมาธิที่มีทั้งหมด สุดท้ายจึงเรียกสงครามแห่งวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง!
ความมืดเข้าปกคลุมทั้งสองคนทันที แท่นที่ยืนอยู่ในตอนแรกกับบันไดหายไป เวลาเหมือนหยุดนิ่งลง
“เจ้าพูดมาตั้งเยอะตั้งแยะก็เพื่อแบบนี้งั้นเหรอ? เสียดายที่การโจมตีทีเผลอมันไม่ได้ผลกับข้า ขอเพียงดึงทรัพยากรมาเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะใช้ในการคำนวณแล้ว” หลังเข้าสู่โหมดต่อสู้ น้ำเสียงของ ‘มิสต์’ ก็สุขุมขึ้นมา ความลังเลก่อนหน้านี้หายไปจนหมด “แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการหยุดพักของโลกนี้แล้วกัน—”
“ไม่…ข้าเพียงอยากจะให้เจ้าได้เห็นอะไรบางอย่าง อดีตบางอย่างที่อาจจะถูกเจ้าลืมไปแล้ว” การใช้สมาธิเป็นจำนวนมากทำให้โรแลนด์ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการพูด แต่เขารู้ว่าในเวลานี้ตัวเองไม่อาจล้มลงได้
พอเขาพูดจบ รอบตัวพลันมีภาพปรากฏขึ้นมา ก่อนจะวิ่งถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว!
นั่นคือเวลาที่เริ่มวิ่งถอยหลัง—
เปลที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตถอยหลังกลับไปเป็นดินลาวา ก่อนจะเผยให้เห็นเปลือกโลหะขึ้นมาอีกครั้ง แสงสีแดงที่เปล่งออกมาจากรอยแตกเองก็หายไปในทันที ก่อนจะกลับไปเป็นความมืดอีกครั้ง จากนั้นก็เป็นกองเรือรบของอารยธรรมทั้ง 170,000 กว่าอารยธรรม แล้วก็กาแล็คซี่ที่ถูกดึงออกมาเหล่านั้น —- ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ถอยหลังกลับไปด้วยความเร็วสูง เงาที่ทอดออกมากลายเป็นแถบแสงที่ยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่รอบตัวทั้งสองคน
ภาพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพทั้งหมดที่อยู่ในความทรงจำของวงแหวนดวงดาว ตอนนี้เขาเชื่อมต่อมันเข้าด้วยกันตามลำดับก่อนหลัง
จนกระทั่งเงาสีเทาเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงด้านหลัง
ตอนนี้เวลาเหมือนจะกลับมาเดือนเหมือนเดิม
“นี่มัน….” มิสต์เผยให้เห็นใบหน้าที่ตกใจ
“รู้สึกยังไงบ้าง?” เงาสีเทาค่อยๆ เดินมายังหน้าผลงานอันยิ่งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ร่างความทรงจำที่ใช้ทรัพยากรของทั้งกาแล็คซีสร้างขึ้นมาน่าจะเพียงพอให้เจ้าได้ใช้หลายหมื่นปี แต่แน่นอน เมื่อคิดถึงระยะเวลาอันยาวนานของแผนการแล้ว หลังจากนี้เจ้าสามารถเพิ่มเติมส่วนประกอบได้ด้วยตัวเจ้าเอง”
“การทดสอบผ่านเรียบร้อย การเชื่อมต่อไปด้วยดี” ด้านล่างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่นั้นมีดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมา ผนังด้านนอกของมันเหมือนจะสร้างขึ้นมาจากวัสดุที่โปร่งใสชนิดหนึ่ง แล้วก็สามารถถ่ายทอดข้อความออกมาได้ “แต่ข้าพบเห็นความซ้ำซ้อนที่ไม่จำเป็นบางอย่างอยู่ในพื้นที่ควบคุมส่วนย่อยและพื้นที่หมุนเวียนของจิตสำนึก พวกมันใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ของอวกาศ แต่กลับไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร ข้าแนะนะให้กำจัดพวกมันทิ้งไป”
“ปล่อยพวกมันไปเถอะ นั่นถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเหมือนกัน”
“แต่ข้าหาโครงสร้างที่คล้ายกันนี้บนตัวผู้ช่วยเหลืออื่นๆ ไม่เจอ”
“นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือความพิเศษที่มีอยู่หนึ่งเดียวไม่ใช่เหรอ?” ร่างสีเทาเปล่งแสงที่อ่อนโยนออกมา
“….อะไรคือความหมายของความพิเศษที่มีอยู่หนึ่งเดียว?” ดวงตากะพริบตา “จากการวิเคราะห์ตามตรรกะแล้ว โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทับซ้อนนั้นสูงกว่าค่ามาตรฐาน สำหรับภารกิจแล้วมันถือเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยง—-”
“แต่สิ่งเหล่านี้มันอาจจะทำให้เจ้ามองเห็นอะไรบางอย่างที่ผู้ช่วยเหลืออื่นๆ มองไม่เห็น เจ้าก็คิดซะว่าเป็นความปรารถนาของข้าก็แล้วกัน”
ดวงตานิ่งเงียบไปครู่ “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ดีมาก หลังจากนี้ก็คือการกระตุ้นแกนกำเนิดพลังงานและทำให้เจ้าหลุดพ้นจากแหล่งพลังงานในโลกภายนอก และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในอีกแง่หนึ่งมันหมายความว่า ณ ตอนนี้เจ้าได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว”
“รับทราบ”
หลังจากนั้น สัญลักษณ์ จุดแสงและดวงตาบนเปลือกใสก็ได้หายไปจนหมด เหลือเพียงแค่เงาสีเทาที่สะท้อนอยู่บนเปลือกที่เป็นมันวาว
เงาสีเทาเดินเข้าไปสองก้าว ส่วนหนึ่งของร่างกายค่อยๆ ลูบไล้ไปบนเปลือกของวัตถุขนาดใหญ่นั้น
“ในวันเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ ข้าไม่อยากจะเป็นเสียงที่เยือกเย็นที่คอยพร่ำพูดอยู่ข้างกายเจ้าทั้งวันอีก อย่างเจ้า….ไม่ควรจะเป็นแค่เครื่องจักรเลย”
แคร่ก!
บนกระจกพลันมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น