Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1480-1485

 ตอนที่ 1480 สัญญาณศึกสุดท้าย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ใช่แค่ลูกเรือบนเรือแกลลอปเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ที่อยู่บนท่าเรือก็มองเห็นกองทัพเรือที่น่าเหลือเชื่อนี้ด้วย


บริเวณท่าเรือเงียบจนน่ากลัวขึ้นมาทันที


ถ้าไม่เป็นเพราะธงที่อยู่บนยอดเสากระโดงเป็นธงของเกรย์คาสเซิล แล้วบนเรือก็มีคนกำลังโบกมือมาทางพวกเขาอยู่ เกรงว่าทุกคนคงจะรีบทิ้งของในมือแล้ววิ่งหนีไปแน่นอน!


ต่อให้เป็นเรือผีในตำนานก็ยังปรากฏตัวแค่ในทะเลหมอกที่ห่างไกล มีอย่างที่ไหนที่จะปรากฏตัวออกมาต่อหน้าทุกคนตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้?


หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ประตูที่น่าเหลือเชื่อนั้นถึงจะหายไป บนทะเลเรือเพียงภาพกองทัพเรือที่ค่อยๆ ลอยห่างออกไป


ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าจู่ๆ พวกมันจะปรากฏขึ้นมาบนทะเลที่ว่างเปล่า


“เอาล่ะๆ ไปทำงานได้แล้ว!”


“หัวหน้า นั่นมัน…”


“กองทัพเรือลับของฝ่าบาท พวกเรารู้ให้หน่อยจะดีกว่า!”


หลังไล่พวกลูกเรือให้กลับไปทำงานแล้ว ไวท์จึงแอบเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก


เขาตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะคุยโวให้น้อยลง เพื่อจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นมา — ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยแอบรู้สึกแบบนี้มาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้เขามั่นใจในความคิดของตัวเอง นั่นคือราชาแห่งเกรย์คาสเซิลได้เปลี่ยนโลกนี้จนแตกต่างไปจากโลกเดิมที่เขาเคยรู้จักแล้ว


….


ภายใต้ความช่วยเหลือของสกายลอร์ด เกรย์คาสเซิลได้ทำการเคลื่อนย้ายกำลังพลขึ้นไปทางเหนือของสันหลังแห่งทวีปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ ภายในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งสัปดาห์ก็มีกำลังพลกว่าแสนคนเคลื่อนย้ายขึ้นไปยังอีกฝั่งของทวีปแล้ว ในนั้นมีกำลังทหารธรรมดาอยู่ประมาณสองหมื่นคน อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงเพียงพอให้ใช้ไปอีกประมาณหนึ่งเดือน


ในไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เลย เพื่อที่จะทำให้การใช้งานประตูมิติมีประสิทธิภาพมากที่สุด ขวานเหล็กจึงได้เดินทางมาเตรียมงานต่างๆ ล่วงหน้าที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ด้วยตัวเอง เครื่องบินทิ้งระเบิดคุนเผิงได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นเครื่องบินขนส่งเพื่อให้อกาธาใช้ทำการขนเอาหมอกแดงมาเก็บไว้ในหอเก็บหมอกแดงที่พวกปีศาจสร้างเอาไว้ในอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์ลและวูล์ฟฮาร์ท


ขณะเดียวกันคนอื่นๆ อย่างสเปียร์และลีฟต่างก็เดินทางมาด้วยเพื่อช่วยเพิ่มพลังเวทมนตร์ให้กับเฮคซอดในการเปิดประตูมิติจนมันแทบไม่มีเวลาได้พักหายใจ ประตูมิติที่เปิดอย่างต่อเนื่อง บวกกับความสามารถในการบริหารงานอันแข็งแกร่งของสำนักบริหาร จึงทำให้เคลื่อนกำลังพลข้ามทวีปครั้งนี้สำเร็จอย่างรวดเร็ว


ถึงแม้ทหารจำนวนมากจะรู้สึกตกใจกับสกายลอร์ดและปีศาจที่อยู่ในอุโมงค์สันหลังของทวีป แต่การนำทัพของขวานเหล็กก็ทำให้คำถามเหล่านี้ไม่กลายเป็นปัญหา ภายในกองทัพค่อยๆ มีคำพูดที่ว่า ‘ปีศาจได้ยอมแพ้และประกาศสวามิภักดิ์ต่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิล’ ดังขึ้นมา แน่นอน…เฮคซอดที่ได้รับแจ้งเรื่องนี้จึงได้แต่ต้องทำเป็นไม่เห็นและเก็บความอึดอัดนั้นเอาไว้ในใจ


วันที่สิบเก้าหลังโรแลนด์สลบไป


แนวหน้าได้เตรียมพร้อมที่จะบุกโจมตีเกาะแห่งหมอกแล้ว


ภายในทีมที่ปรึกษา เจ้าหน้าที่ระดับสูงกำลังทำการจำลองกาารรบอยู่


“อันดับแรก ไลต์นิ่งจะยิงกระสุนสัญญาณขึ้นบนท้องฟ้าของพื้นทีเป้าหมายเพื่อระบุทิศทางให้กับเลดี้เอเลนอร์ จากนั้นก็ให้เกาะลอยฟ้าเปิดทางบุกเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายจากทางตะวันตก


เอดิสธ์เอาโมเดลเกาะลอยฟ้าวางลงไปทางตะวันตกของแผนที่ “ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ด้วยขนาดของเกาะลอยฟ้าแล้ว พวกอาณาจักรซีสกายจะต้องเห็นมันแน่”


“แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกมันก็ไม่มีวิธีอะไรที่จะมาหยุดเราได้” เฮคซอดพูดอย่างมั่นใจ “ในตอนแรกพระผู้สร้างถูกออกแบบมาเพื่อใช้รับมือกับรังแม่ของอาณาจักรซีสกายโดยเฉพาะ ถึงแม้เกาะนี้จะเล็กไม่หน่อย แต่ถึงยังไงมันก็ยังเป็นพระผู้สร้างอยู่ ขอเพียงไม่บินข้ามไปบนทะเล ศัตรูก็ทำได้เพียงมองดูเราจากในน้ำ กระสุนกรดที่รังแม่พวกนั้นยิงออกมา อย่างมากก็แค่ทิ้งรอยไหม้ดำๆ เอาไว้บนก้อนหิน”


“ในช่วงนี้ศัตรูจะสร้างปัญหาให้เราไม่ได้มากนัก หน้าที่หลักของอัศวินอากาศคือกำราบศัตรู และเคลียร์พื้นที่ขึ้นมาโดยใช้บอทธ่อมเลสแลนด์เป็นจุดศูนย์กลาง” เฟร์ราน ชิลต์เอาไว้ไม้บรรทัดอันหนึ่งวางพาดไปตรงกึ่งกลางเกาะ “องค์หญิงทิลลี ตรงนี้ต้องฝากพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


ทิลลีพยักหน้า


“หลังจากที่ความสนใจของศัตรู์ถูกดึงมาอยู่ที่เกาะลอยฟ้าแล้ว กองทัพที่หนึ่งก็จะขึ้นฝั่งมาจากทางด้านเหนือแล้วค่อยๆ รุกคืบลงมาทางใต้ — เป้าหมายของกองทัพที่หนึ่งคือกำจัดศัตรูที่เหลือทั้งหมด แล้วยึดครองพื้นที่รอบๆ บอทธ่อมเลสแลนด์เพื่อยื้อเวลาให้ฝ่าบาทอันนาได้หาทางเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ “จากที่โจนบอกเล่ามา บนเกาะมีคนนำทางที่เรียกตัวเองว่าผู้เฝ้ามองอยู่ บางทีนางอาจจะเปิดทางเข้าไปสู่โลกแห่งจิตสำนึกให้พวกเราได้”


“ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกพวกเจ้าไปแล้ว ผู้เฝ้ามองคนนั้นมันถูกข้าฆ่าไปแล้ว” เฮคซอดพูดเตือน


“ถูกต้อง แต่พวกเราลองเอาข้อมูลมาเทียบดูแล้ว พวกเราคิดว่านางไม่น่าจะตายง่ายๆ แบบนั้น” เอดิธส์พูดพร้อมผายมืออย่างไม่สนใจ “คนที่เจ้าเห็นคือผู้ยกระดับของเผ่าพันธุ์เจ้า ส่วนคนที่โจนเห็นคือมนุษย์ผู้หญิง ความจริงแล้วนางอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตา หรือไม่ก็มีอยู่หลายคนก็ได้ เมื่อคิดถึงว่าบนเกาะนั้นไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่เลย การที่นางอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาหลายพันปีได้มันจะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ แน่”


“แต่ว่า…คนๆ นี้จะพาพวกเราเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าจริงๆ เหรอ?” เวนดี้ถามอย่างกังวล


ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที


ความจริงแล้วครึ่งหลังของแผนการนี้ไม่มีข้อมูลอะไรที่น่าเชื่อถือเลย เพราะปากทางเข้าที่ว่านี้จะมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ ไนติงเกลเคยเล่าเรื่องที่โรแลนด์ไปเจอมาในโลกแห่งความฝันให้ทุกคนฟัง และนั่นก็เป็นเบาะแสที่พวกเขามีอยู่ในมืออยู่ในตอนนี้ แต่เนื้อหาเหล่านั้นมันเข้าใจยากเกินไป แม้แต่อันนาเองก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าข้อมูลตรงไหนที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้


สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ในตอนนี้ก็คือผู้เฝ้ามองจะนำพาแค่เผ่าพันธุ์ที่มีชิ้นส่วนที่สืบทอดที่สมบูรณ์ไปเปิด ‘เส้นทางสู่สวรรค์’ ส่วนโรแลนด์อยู่ในข่ายที่เธอจะนำทางให้หรือเปล่านั้นก็ยังไม่อาจรู้ได้


“ถ้าไม่ลองดู คำถามนี้ก็ไม่มีวันจะได้รับคำตอบ” อันนาพูดอย่างหนักแน่น


คำตอบที่หนักแน่นนี่ทำให้ทุกคนผ่อนคลายขึ้น ราวกับภายในใจมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาทันที


“ข้าจำเป็นต้องเตือนพวกเจ้าหน่อยนะ มนุษย์” จู่ๆ ไซเลนท์ก็พูดขึ้นมา “สงครามครั้งนี้ไม่เหมือนกับสงครามที่พวกเจ้าเคยเจอมา มันไม่ใช่การก้าวไปข้างหน้าแบบทีละก้าวๆ ทันทีที่เปิดฉากปะทะกับอาณาจักรซีสกาย แผนการหลังจากนั้นจำเป็นต้องปฏิบัติตามในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไร ก็ต้องทำให้เร็วที่สุด”


“หรือก็คือพวกเราไม่มีเวลาที่จะตั้งค่ายแล้วค่อยๆ สำรวจเส้นทางบนเกาะใช่ไหม?” เอดิธส์เลิกคิ้ว


“เชื่อที่มันบอกเถอะ” เฮคซอดยักไหล่ “ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีมานี้ เซโรเชสส่วนใหญ่สู้อยู่กับพวกอาณาจักรซีสกาย มันน่าจะเป็นคนที่รู้จักศัตรูดีที่สุดในนี้แล้ว”


“เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้น…มันเยอะขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?” เฟร์รานอดถามขึ้นมาไม่ได้


“เยอะจนพวกเจ้าจินตนาการไม่ถึงเลยล่ะ” น้ำเสียงของสกายลอร์ดจริงจังขึ้นมาไม่น้อย “ในตอนที่พวกมันแห่เข้ามา ทะเลกลายเป็นเหมือนน้ำหมึกข้นๆ ตอนนี้แบล็คสโตนตกอยู่ในมือของอาณาจักรซีสกายแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีอุปสรรคที่จะมาขวางพวกมันกับบอทธ่อมเลสแลนด์อีก การจะอาศัยคนเพียงเท่านี้ในการคุ้มกันเกาะเอาไว้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าไม่มีกองหนุนคอยช่วยเหลือล่ะก็ ช้าเร็วก็ต้องเสียเกาะไปให้พวกมันแน่”


“พวกเราก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่บนนั้นนานหรอก” สุดท้ายอันนาจึงพูดหยุดการถกเถียงขึ้นมา “เกาะลอยฟ้าจะดึงดูดความสนใจจากศัตรูและคอยให้การโจมตีสนับสนุน กองทัพที่หนึ่งจะเข้ายึดเขตบอทธ่อมเลสแลนด์อย่างรวดเร็วโดยใช้ประตูมิติ ขณะเดียวกันก็ค้นหาร่องรอยของผู้เฝ้ามองด้วย ส่วนหลังจากนี้จะจัดการอย่างไรก็ต้องดูการตอบโต้ของศัตรู ข้าเข้าใจถูกไหม?”


“ใช่เพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเอามือขึ้นมาทาบอก


“อย่างนั้นอีกสองวันหลังจากนี้ออกเดินทางได้!” อันนาสั่งการ “ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องพาโรแลนด์ไปที่บอทธ่อมเลสแลนด์ — นี่เป็นวิธีเดียวที่อาจจะหยุดสงครามแห่งโชคชะตาได้!”


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทุกคนตอบรับพร้อมกัน


ตอนที่ 1481 ขึ้นพลขึ้นเกาะ เปิดศึกได้!

Ink Stone_Fantasy

วันที่ห้าหลังสงครามเริ่มต้นขึ้น เวลา 9.20 น.


จู่ๆ รอบๆ เกาะลอยฟ้าก็มีหมอกหนาปรากฏขึ้นมา ท้องฟ้าที่เดิมสว่างสดใสพลันมืดครึ้มลง ระยะที่มองเห็นลดลงเหลือเพียงประมาณไม่กี่สิบเมตร


มาแล้ว!


ทุกคนที่อยู่ในฐานบัญชาการต่างรู้ว่าพวกเขากำลังจะข้าม ‘ชายขอบภาพลวงตา’ ที่เฮคซอดบอกแล้ว ถึงแม้นี่จะเป็นวันที่สามหลังปฏิบัติการเริ่มต้นขึ้น แต่การต่อสู้ที่แท้จริงนั้นเพิ่งจะมาถึงในตอนนี้!


ภายในห้องขนาดใหญ่ไร้ซึ่งซุ่มเสียง สายตาทุกคนต่างจับจ้องไปบน ‘ภาพลำแสง’ ด้วยร่างกายที่หดเกร็ง — แม้แต่ดวงตาแห่งเวทมนตร์ของซิลเวียก็ยังไม่สามารถมองทะลุผ่านพลังนี้ได้ นี่หมายความว่าข้างหน้านั้นเป็นสถานที่ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าผลสุดท้ายของชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ต้องรอจนถึงวินาทีสุดท้ายถึงจะรู้ได้


สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่งที่เคยชินกับการเตรียมพร้อมล่วงหน้าด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว ความรู้สึกที่ไม่สบายใจแบบนี้พวกเขาไม่ได้เจอมาเป็นเวลานานแล้ว


ทันใดนั้นเอง เสียงร้องของนกกาเสียงหนึ่งพลันดังมาเข้าหูของทุกคน


เฟร์รานและคนอื่นๆ ต่างสบตากัน


ที่นี่คือทะเล ทำไมถึงมีอีกาได้?


回声,还是他们遇上了一支庞大的鸦群。


แต่พวกเขาไม่ได้หูฝาด ไม่นานก็มีเสียงร้องที่มากขึ้นดังขึ้นมา — พวกมันดังทับซ้อนกันจนแยกไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงสะท้อนหรือว่าพวกเขาเจอกับฝูงกาขนาดใหญ่กันแน่


หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงร้องเหล่านี้ก็ดังต่อเนื่องจนแยกแยะไม่ออก ขณะเดียวกันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ


จู่ๆ เจ้าหน้าที่จองทีมที่ปรึกษาคนนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี “นี่มัน…เสียงร้องของปีศาจทะเล!”


“ปีศาจทะเล?” มีคนถาม “เจ้าสิ่งมีชีวิตในตำนานนั้นน่ะเหรอ?”


“ไม่ มันไม่ใช่ตำนาน! ข้าเคยทำงานอยู่ที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ เวลาที่พวกลูกเรือที่นั่นพูดถึงปีศาจทะเล พวกเขาจะเรียกมันว่าอีกา!”


“เหอะ มีอะไรน่าตกใจ” เฮคซอดเอามือขึ้นมากอดอก “นี่เป็นแค่สมุนชั้นต่ำของอาณาจักรซีสกายเท่านั้น ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของพวกมันก็คือมีจำนวนเยอะ เหมาะที่จะเอามาใช้เพิ่มกำลังบนสนามรบอย่างมาก อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้เห็นเองว่าที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์ของข้าสู้กับศัตรูแบบไหนอยู่—”


ในขณะที่เฮคซอดกำลังพูด ความหนาของหมอกก็ลดลงล ลานบินที่อยู่บนเกาะลอยฟ้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาสู่สายตา จากนั้นก็เป็นท้องฟ้าและทะเลที่อยู่ไกลออกไป — บนท้องฟ้ายังคงมืดครื้ม แต่อย่างนั้นก็กลับสู่สภาพปกติแล้ว ทว่าภาพบนท้องทะเลพลันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม


ทุกคนที่มองดู ‘จอภาพลำแสง’ พลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาพร้อมๆ กัน


นั่นคือภาพที่ทุกคนไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน


ปีศาจทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่หัวขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วอ้าปากคำรามใส่เกาะลอยฟ้า เหมือนกับว่าบนทะเลมีรูเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา เพียงแค่กวาดตามองก็ทำเอาขนหัวลุกได้แล้ว ส่วนร่างกายที่ลอยอยู่ใต้น้ำของพวกมันก็ทำให้น้ำทะเลลายเป็นสีดำแปลกๆ ถ้าจะนิยามให้ได้ มันก็เหมือนกับแอ่งน้ำที่มีลูกอ๊อดฟักออกมาเป็นจำนวนมาก เพียงแต่การที่มีลูกอ๊อดอยู่เต็มแอ่งน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ย่อมทะเลจนกลายเป็นสีดำได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างมาก


ส่วนบอทธ่อมเลสแลนด์ในตำนานเองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเกาะลอยฟ้า ขนาดของมันพอๆ กับเกาะสลีปปิ้ง ด้านบนไม่มีร่องรอยของแหล่งน้ำจืด แต่กลับมีต้นไม้ขึ้นจนเขียวชอุ่ม ไม่เหมือนกับเกาะที่ถูกทิ้งร้างอยู่บนทะเลเลย


ไม่นานในฝูงปีศาจทะเลที่ดำทะมึนก็มีรังแม่ปรากฏขึ้นมา พวกมันเปิดกระดูกที่อยู่ด้านหลังออก ก่อนจะพากันพ่นของเหลวสีเขียวขึ้นมาบนฟ้า! ทันใดนั้นเอง ด้านล่างของเกาะลอยฟ้าเหมือนมีฝนพิษตกลงมา — หากทัพหน้าของมนุษย์ที่เข้ามาเปิดทางไม่ใช่ ‘ภูเขาเหมืองทิศเหนือ’ แต่เป็นกองทัพเรือธรรมดาล่ะก็ ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร


‘ทั้งหมด 1,524 ตัว’ เสียงของเอเลนอร์ดังขึ้นมาในหัวของทุกคน


“ท่านหมายถึง…” ขวานเหล็กถามอย่างตกใจ


‘จำนวนของรังแม่ที่พ่นกรดขึ้นมา’ เธอใช้น้ำเสียงที่ฟังดูขี้เกียจเหมือนอย่างทุกทีตอบออกมา ‘มันก็ไม่ได้เยอะกว่าจำนวนกระสุนปืนใหญ่ไม่ใช่เหรอ’


พอพูดตบ ด้านล่างของเกาะลอยฟ้าพลันมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา!


คนที่เปิดฉากโจมตีก่อนก็คือเอเลนอร์


กระสุนปืนใหญ่ป้อม 152 มม.ถูกยิงออกไป มันลอยออกไปเกือบพันเมตร ก่อนจะพุ่งทะลุเข้าไปในตัวรังแม่ตัวหนึ่งอย่างแม่นยำ — กระสุนปืนใหญ่ระเบิดออกหลังทะลุทะลวงเครื่องในแล้วฉีกร่างของมันออกเป็นสองส่วน! พวกนั้นถูกระเบิดไปพร้อมๆ กันยังมีปีศาจทะเลที่อยู่ข้างกายมัน เศษกระสุนปืนใหญ่ที่กระเด็นลอยออกไปทำให้สะเก็ดน้ำแตกกระจายขึ้นมา เพียงแค่ครั้งนี้น้ำทะเลไม่ใช่สีดำอีก หากแต่เป็นเลือดสีน้ำเงินเข้ม


ในช่วงเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ กองวิศวกรรมได้ทำการติดตั้งปืนใหญ่เพิ่มที่ด้านล่างของเกาะลอยฟ้า ตั้งแต่ปืนใหญ่อัตโนมัติ 20 มม.ไปจนถึงปืนใหญ่ป้อมที่มีลำกล้องขนาดใหญ่ อะไรที่ควรมีก็มีหมด — เพราะว่าการโจมตีหลักๆ ของอาณาจักรซีสกายมาจากบนทะเล เมื่อไม่มีการโจมตีจากบนฟ้า กองทัพที่หนึ่งย่อมต้องเลือกที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับการโจมตีด้านล่าง


ในเวลานี้เกาะลอยฟ้าได้กลายเป็นยานพิฆาตทางอากาศ แถมยังเป็นยานพิฆาตที่มีระบบควบคุมการยิงด้วย


ภายใต้การควบคุมของเอเลนอร์ ปืนใหญ่อัตโนมัติจำนวนมากได้กระหน่ำยิงออกไป ด้านล่างเกาะลอยฟ้ากลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่ถักทอขึ้นจากเหล็กกล้าและก้อนเนื้อ


เสียงปืนใหญ่และเสียงปืนกลดังสลับกันจนกลบเสียงร้องของปีศาจทะเล


ถึงแม้ท่าทางของเฮคซอดจะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่สีหน้าของมันกลับมีความซับซ้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว — มันเองก็รู้แล้วว่าในตอนที่การสืบทอดของแต่ละเผ่าพันธุ์มารวมเข้าด้วยกันมันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงแค่ไหน


“ให้อัศวินอากาศเตรียมตัวออกรบได้” ทิลลีหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด


ตามแผนการที่วางไว้ ปฏิบัติการครั้งนี้อัศวินอากาศจะไม่ใช่หน่วยโจมตีหลัก พวกเขาจะแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มหลายสิบกลุ่ม แล้วก็บินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือบอทธ่อมเลสแลนด์เพื่อตัดการสนับสนุน โจมตีกองกำลังหลักของศัตรู แล้ช่วยลดภาระของกองกำลังภาคพื้นดิน ในเมื่อจุดอ่อนที่สำคัญอาณาจักรซีสกายคือการต่อสู้บนอากาศ อย่างนั้นพวกเขาก็จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้ได้มากที่สุด


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เครื่องบินปีกสองสั้นที่เติมน้ำมันจนเต็มก็เคลื่อนตัวออกไปจากโรงเก็บเครื่องบิน ก่อนจะบินขึ้นไปบนน่านฟ้า


เมื่อถึงตอน 10.40 น. ยานรบเอเลนอร์ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เกาะบนทะเล ในเวลานี้สัตว์ประหลาดที่ถูกเกาะขนาดมหึมาดึงดูดความสนใจเอาไว้มีจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเหยียบย้ำซากศพของพวกตัวเองแห่กันเข้ามาหาเกาะลอยฟ้าโดยไม่ได้สนใจเลยว่าพวกมันไม่สามารถทำอะไรเกาะลอยฟ้าได้เลย


แน่นอน นี่เป็นเพราะเอเลนอร์จงใจลดระดับความสูงของเกาะลอยฟ้าลงเพื่อล่อให้ศัตรูพยายามปีนขึ้นมาบนเกาะด้วย เพียงแต่การจะฝ่าตาข่ายกระสุนปืนกลเข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ


เมื่อเทียบกับด้านตะวันตกที่กำลังเดือดพล่ายแล้ว พื้นที่อื่นๆ บนเกาะพลันดูเงียบสงบลงอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าป้อมปราการลอยฟ้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาได้ดึงดูดความสนใจของศัตรูส่วนใหญ่เอาไว้


“เริ่มได้” อันนาหันไปพูดกับเฮคซอด


อีกฝ่ายดีดน้ำ ก่อนจะหายตัวไปจากห้องบัญชาการ


ขณะเดียวกัน เคออสลอร์ดที่ถูกไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เกลี้ยกล่อมจนต้องไปอยู่ด้านบนสะพานเรือก็ปล่อยพลังของตัวเองออกมา หลังถูกเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยรูนอนันต์แล้ว คลื่นพลังเวทมนตร์ที่มีความสามารถในการมองเห็นนี้ก็กวาดไปทั่วทั้งเกาะทันที


เมื่อมองผ่านจอภาพลำแสง เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่อยู่ในศูนย์บัญชาการต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน บนที่ๆ ดูแล้วว่างเปล่าไม่มีอะไร จู่ๆ พลันมีร่างของอสูรมีดปรากฏขึ้นมา โครงร่างของพวกมันค่อยๆ กลายเป็นรูปเป็นร่าง ราวกับว่าถูกลากออกมาจากที่ซ่อนอย่างไรอย่างนั้น


ทันใดนั้นเอง สกายลอร์ดก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงขอบบอทธ่อมเลสแลนด์


มันเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ถึงแม้จะไม่ได้หยิบหินเวทมนตร์หลากสีออกมา แต่มันก็ยังถึงภาพอันน่าตกตะลึงตอนที่มาถึงที่มีเป็นครั้งแรกได้


“โชคชะตาที่พระเจ้ากำหนดอย่างนั้นเหรอ?”


บางทีนับตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นลำแสงเวทมนตร์ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และได้รู้ว่าจุดจบของสงครามแห่งโชคชะตาไม่ใช่การก้าวไปสู่ความเป็นนิรันด์ ช้าเร็วยังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง แต่ในตอนที่วันนั้นมาถึงจริงๆ มันกลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่ได้ร่วมมือกับมนุษย์มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร


เฮคซอดยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเปิดประตูมิติบานใหญ่มหึมาออกมาบานหนึ่ง!


ตอนที่ 1482 โจมตีกระหนาบจากบนฟ้าและพื้นดิน

Ink Stone_Fantasy

“รายงานศูนย์บัญชาการ หน่วยที่ 6 กำลังเคลื่อนพลไปทาง 11 นาฬิกา!”


“หน่วยที่ 3 เข้ายึดตำแหน่ง 1 นาฬิกาได้แล้ว!”


“ตรวจพบแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ที่รุนแรงกำลังเข้าไปใกล้ จำเป็นต้องแจ้งให้อัศวินอากาศทำการระบุตำแหน่งและโจมตีสกัด!”


“นี่คือไลต์นิ่ง รับทราบ”


“หน่วยรถถังที่ 19 และ 20 เข้าปะทะกับศัตรู เป้าหมายคืออสูรมีด!”


เมื่อหน่วยภาคพื้นดินบุกเข้าไป ภายในฐานบัญชาการก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาทันที เจ้าหน้าที่สื่อสารจัดการคัดแยกข่าวสารแล้วส่งไปให้เจ้าหน้าที่ทีมที่ปรึกษา ส่วนอีกฝ่ายก็เอาข้อมูลเหล่านั้นไปแสดงพลแผนที่โต๊ะทรายเพื่อให้ผู้บัญชาการทำการวิเคราะห์


ในเวลานี้บนแผนที่โต๊ะทรายมีธงเล็กๆ สีแดงจำนวนหลายสิบผืนและก้อนสี่เหลี่ยมวางอยู่เต็มไปหมด พวกมันแสดงถึงทหาร ปืนใหญ่และหน่วยรถหุ้มเกราะของกองทัพที่หนึ่ง เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว แผนการเบื้องต้นดำเนินไปได้อย่างราบรื่น สัญลักษณ์ธงเหล่านี้ขยายตัวออกไปรอบๆ โดยใช้หลุมลึกของบอทธ่อมเลสแลนด์เป็นศูนย์กลาง


เห็นได้ชัดว่าอาณาจักรซีสกายตรวจพบกองกำลังที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา สัตว์ประหลาดบางส่วนเริ่มพุ่งเข้ามาหากองทัพที่หนึ่ง และเมื่ออยู่ต่อหน้าแนวรบที่ถูกตั้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การโจมตีอย่างกระจัดกระจายนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการเข้ามาหาที่ตายเลย


ด้านประตูมิติ กองทัพที่มาจากอีกด้านหนึ่งของทะเลก็แห่ขึ้นมาบนเกาะอย่างไม่ขาดสาย จากแผนที่วางเอาไว้ล่วงหน้า อีกไม่นานปฏิบัติการก็จะเข้าสู่ช่วงค้นหา


และนี่ก็เป็นส่วนที่ไม่มีความแน่นอนมากที่สุดในแผนการทั้งหมด — ไม่มีใครรู้ว่าผู้เฝ้ามองอยู่ที่ไหน แล้วก็จะปรากฏตัวด้วยรูปแบบไหน แล้วจะเปิดประตูไปสู่โลกแห่งจิตสำนึกให้หรือเปล่า


“การสั่งการหลังจากนี้ต้องฝากพวกเจ้าด้วยนะ” อันนาหันไปพูดกับขวานเหล็ก เอดิธส์และคนอื่นๆ


“พระองค์ต้องเสด็จไปด้วยตัวเองจริงๆ หรือเพคะ?” สีหน้าของเวนดี้เต็มไปด้วยความกังวล


“นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันเอาไว้แต่แรกแล้ว” เสียงของเธอไม่ดัง แต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าไม่ถนัดในการบัญชาการการรบ อยู่ที่นี่ไปก็ช่วยอะไรทุกคนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้เฝ้ามองอาจจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นร่างต่างๆ ได้ ถ้าเอาแต่อยู่บนฟ้า เราอาจจะพลาดโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้เจออีกฝ่ายได้”


“ให้พระองค์เสด็จไปเถอะ ข้าจะปกป้องพระองค์เอง” ในเวลานี้ไนติงเกลได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับต่อสู้ ตรงเอวไม่เพียงแต่จะเหน็บปืนสั้นที่โรแลนด์ให้เธอเอาไว้ แต่ด้านหลังของเธอยังมีปืนยาวกึ่งอัตโนมัติและดาบยาวเล่มหนึ่งด้วย


เวนดี้จึงได้แต่กอดอันนาแล้วพูดว่า “ต้องเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยนะเพคะ ฝ่าบาท”


“อื้อ ข้าจะกลับมาแน่นอน” อีกฝ่ายตอบอย่างจริงจัง จากนั้นจึงหันไปมองฟิลลิส “แม่มดอาญาสิทธิ์เตรียมพร้อมหรือยัง?”


ฟิลลิสพยักหน้า “ทุกคนพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อเพคะ”


“ดีมาก อย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ!” อันนาเดินออกไปด้านนอกฐานบัญชาการ


….


“นี่คือของขวัญที่มอลต์มอบให้ท่าน”


“ขอบคุณนะ” แดนนี่รับเอากระสุนไป ก่อนจะเอามันใส่เข้าไปในรังเพลิง จากนั้นจึงยิงเข้าไปที่หัวของปีศาจทะเลตัวหนึ่งที่คิดจะเข้ามาใกล้


เนื่องจากเป็นหน่วยพเนจรบนสนามรบ พลแม่นปืนส่วนใหญ่จึงสามารถเลือกสถานที่รบได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเขาก็เลือกพื้นที่ด้านนอกซึ่งเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดเหมือนอย่างที่ผ่านมาด้วยการเดินตามเหล่ารถศึกหุ้มเกราะเหล็กไปข้างหน้า


พื้นที่นี้จะไม่มีปืนกลหรือว่าปืนใหญ่คอยคุ้มครองอีก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นพื้นที่ที่มีความกดดันจากศัตรูมากที่สุด เขามองออกแต่แรกแล้วว่าถึงแม้รถถังของกองทัพที่หนึ่งจะทรงพลัง แต่มันกลับขาดการป้องกันด้านข้างและด้านหลัง โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ หลุมลึกนั้นมีแผ่นหินตั้งเรียงรายอยู่ทั่วทุกที่ จนทำให้ทหารที่อยู่ในรถถังไม่ทันสังเกตเห็นศัตรูที่ลอบเข้ามาใกล้


และสนามรบนี้ก็เรียกได้ว่าออกแบบมาเพื่อเขาก็ว่าได้


“ระวัง ทางด้านขวา 150 เมตรมีพวกมันอยู่ตัวหนึ่ง”


“เข้าใจแล้ว”


แดนนี่ยื่นหน้าออกมาจากแผ่นหินแผ่นหนึ่ง ก่อนจะเห็นอสูรมีดขนาดกลางตัวหนึ่งกำลังค่อยๆ เดินอ้อมไปด้านหลังรถถังเพื่อแอบโจมตี


ถึงแม้เจ้าสัตว์ประหลาดเหล่านี้จะไม่ได้สร้างขึ้นมาจากเหล็ก แต่พลังทำลายและความคล่องแคล่วของพวกมันเรียกได้ว่าไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะกรงเล็บที่เป็นเหมือนเคียวคู่นั่น เวลาที่มีพลังเวทมนตร์สะสมอยู่จนเต็มที่มันสามารถแทงทะลุเกราะของรถถังได้เลยทีเดียว


เขาค่อยๆ เอากระสุนนัดใหม่ใส่เข้าไปในรังเพลิง ก่อนจะค่อยๆ ยกปืนยาวขึ้นมาช้าๆ — แต่แดนนี่ไม่ได้เล็งเป้าไปที่เป้าหมาย หากแต่ยกปืนขึ้นมาค้างเอาไว้กลางอากาศ จากที่คู่มือการรบอธิบายเอาไว้ บนหัวของอสูรมีดมีเกราะหนาๆ หุ้มเอาไว้อยู่ กระสุนธรรมดายากที่จะปลิดชีพมันได้ด้วยการยิงเพียงนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่มันจะทำการโจมตี มันจะทำการตรวจสอบดูภัยคุกคามที่อาจจะมีอยู่รอบๆ จึงไม่แนะนำให้ทหารปะทะกับมันตามลำพัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรอโอกาสเหมาะๆ


และนั่นก็คือเสี้ยววินาทีที่ศัตรูเปิดฉากโจมตี


อสูรมีดไม่สังเกตเห็นแดนนี่ที่หยุดนิ่งเหมือนรูปปั้น มันคลานไปจนถึงขอบเขตโจมตีแล้วจึงกางปีกอันเบาบางของมันออก ก่อนจะพุ่งเข้าไปใส่รถถัง!


ในขณะเดียวกัน แดนนี่ก็เหนี่ยวไก


เสียงปืนดังขึ้น กระสุนปืนทะลุหน้าผากด้านล่างของมันทะลุเข้าไปในศีรษะอย่างแม่นนำ อสูรมีดตัวแข็งทันที ก่อนจะกระเด็นไปด้านหลังหลายเมตรจากแรงเฉื่อย จากนั้นจึงกระแทกลงไปที่พื้นอย่างแรง — แต่ในตอนนี้มันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนานตัวกระตุกอยู่ที่พื้น


“ท่านยังสุดยอดเหมือนเดิมเลย”


“เพราะว่ามีเจ้าคอยดูข้าอยู่น่ะสิ” แดนนี่ยิ้มแล้วตบหัวมอลต์เบาๆ ในขณะที่เขากำลังมองหาเป้าหมายต่อไป จู่ๆ พลันมีปีศาจทะเลสิบกว่าตัวแห่เข้ามาหาเขาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว


พวกมันฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังทุ่มสมาธิอยู่กับอสูรมีดตัวนั้นงั้นเหรอ…


แดนนี่กันมอลต์เอาไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงยกปืนยาวขึ้นมาโดยหันหลังพิงกับแผ่นหิน


ตอนนี้ถ้าจะหนีออกไปนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาอยากรู้แค่ว่าตัวเองก่อนตายจะกำจัดปีศาจทะเลได้กี่ตัวกันแน่


แต่ทันใดนั้นภาพที่่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ปีศาจทะเลเหล่านั้นไม่ได้แห่เข้ามาฉีกเขาเป็นชิ้นๆ หากแต่กัดกันเอง! บนพื้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันแสบจมูกทันที กระทั่งปีศาจทะเลตัวสุดท้ายล้มลงไปกับพื้น รอบๆ ก็ไม่มีซากศพไหนที่สมบูรณ์เลย


จากนั้นก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินมาจากทางด้านหลัง — ถึงแม้พวกเขาจะสวมชุดของกองทัพที่หนึ่งเหมือนกัน แต่ใบหน้าของพวกเขากลับแตกต่างอย่างชัดเจน


นั่นมันกองทัพชาวโมเกนจากดินแดนทางใต้สุด


“พลแม่นปืน?” คนที่เป็นหัวหน้ามองดูอาวุธกับเหรียญตราของเขา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ? แล้วผู้คุ้มกันของเจ้าล่ะ?”


“ฟาร์รี…” ทหารอีกคนหนึ่งดึงแขนเสื้อคนที่เป็นหัวหน้าเอาไว้ ก่อนจะพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ เจ้าไปกับพวกเราก่อนก็ได้นะ”


“ข้าไม่ได้ออกมาปฏิบัติภารกิจคนเดียว แต่ก็ขอบคุณพวกเจ้ามาก” แดนนี่รู้ว่านักรบที่ชื่อฟาร์รีที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน “ส่วนหลังจากนี้ ข้าก็ยังหวังที่จะปฏิบัติภารกิจ…”


“ตู้ม!”


จู่ๆ หน่วยรถถังที่อยู่ด้านหน้าพลันกระหน่ำยิงปืนใหญ่ขึ้นมา


ทุกคนหันหน้าไป ก่อนจะเห็นรังแม่หน้าตาหน้าเกลียดสิบกว่าตัวค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกมันคลานฝ่ากระสุนปืนใหญ่เข้ามาโดยมีอสูรมีดห้อมล้อมเอาไว้ ขณะเดียวกันกระดูกซี่โครงด้านหลังของมันก็เปิดออก เผยให้เห็นอวัยวะภายในที่เป็นเหมือนกับลำไส้ที่อยู่ด้านล่าง


“นั่นมันรังแม่!” ฟาร์รีขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะพูดพร้อมโบกมือ “เร็ว รีบหาที่กำบัง! เอาระเบิดต่อต้านปีศาจออกมา!”


นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่อาวุธปืนจะรับมือได้


รถถังพากันเลี้ยวกลับและสลายขบวนรบ


ทันใดนั้นเอง บนหัวพลันมีเสียงคำรามของเครื่องบินดังขึ้นมา


เครื่องบินปีกสองชั้นจำนวนหลายลำพุ่งลงมาพร้อมกับกราดยิงใส่รังแม่ บนพื้นมีเสาไฟลุกโชนขึ้นมาทันที! ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังสนั่นและควันไฟที่ฟุ้งขโมง เปลวไฟอันร้อนแรงลุกติดบนตัวของศัตรู พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา แล้วก็พยายามที่จะหนีไปจากทะเลเพลิง แต่การเคลื่อนไหวบนพื้นดินของพวกมันไม่ได้ต่างไปจากไส้เดือนเท่าไร ไม่นานนัก รังแม่ทั้งหมดก็ถูกทำลายจนหมด


ในกลุ่มทหารมีเสียงเฮและเสียงผิวปากดังขึ้นมา


แดนนี่มองเห็นนักบินที่อยู่ในห้องคนขับบนเครื่องบินยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เขาอย่างภูมิใจ


จากนั้น ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่โจมตีเสร็จก็พากันเลี้ยวออกไป ก่อนจะเปิดฉากโจมตีกระหนาบพร้อมกับหน่วยรบหุ้มเกราะ


ตอนที่ 1483 เจอกันโดยบังเอิญ

Ink Stone_Fantasy

“ทางด้านตะวันออกมีศัตรูกลุ่มใหญ่กำลังมาจิ๊บ! ฝ่าบาทอันนา สถานการณ์ของพระองค์เป็นยังไงบ้างจิ๊บ?”


ภายในรูนสดับมีเสียงเมซี่ดังขึ้นมาอีกครั้ง — ถึงแม้เธอจะไม่ได้ใช้คำพูดที่ฟังดูเร่งเร้า แต่อันนายังคงรู้สึกได้ถึงความวิกฤตของสถานการณ์


เมื่อเวลาเดินไปเรื่อยๆ กองทัพของอาณาจักรซีสกายที่เข้ามาในสนามรบก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกมันแห่มาจากทุกทิศทุกทาง จากนั้นจึงปีนขึ้นมาบนเกาะหมอก แล้วแห่กันเข้ามาหาทหารกองทัพที่หนึ่งโดยไม่ได้สนใจซากศพของเผ่าพันธุ์ตัวเองที่กองอยู่เต็มพื้นเลย ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่แล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือกลิ่นดินไหม้ที่แสบจมูก ส่วนบนพื้นดินที่อยู่ต่ำลงไป เลือดที่น้ำเงินคล้ำไหลไปกองกันจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ


สถานการณ์เปลี่ยนจากตอนแรกที่รับมือได้สบายๆ กลายเป็นเริ่มตึงมือในตอนนี้


เมื่อต้องเจอกับการบุกโจมตีโดยไม่สนใจความเป็นความตายของศัตรู กองทัพที่หนึ่งเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้ ต่อให้ด้านบนยังมีเอเลนอร์กับอัศวินอากาศคอยให้การสนับสนุนอยู่ แต่ก็ยังมีศัตรูบางตัวที่หลุดเข้ามาได้


อสูรมีดที่สูญเสียความสามารถในการพรางตัวไปยังคงเป็นศัตรูที่ทหารธรรมดายากจะรับมือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรังแม่กลายพันธุ์ที่พ่นน้ำกรดที่สามารถหลอมละลายเหล็กกล้าได้กับอสูรกลืนภูเขาที่เป็นเหมือนกับภูเขาขนาดย่อมๆ เลย


ตอนนี้กองทัพยังคงรักษาแนวรบและกันพวกอาณาจักรซีสกายเอาไว้ด้านนอกหลุมลึกได้ แต่ความอันตรายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครรู้ว่าในทะเลยังมีกองทัพของอาณาจักรซีสกายแอบซ่อนอยู่เท่าไร แต่ทันทีที่มีช่องโหว่ปรากฏขึ้น มันอาจจะทำให้สถานการณ์พังทลายได้ เมซี่กำลังเตือนเธอให้รีบแข่งกับเวลา


แต่พวกอันนายังคงหาผู้เฝ้ามองไม่เจอ


“ด้านในไม่เจอ” เธอผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เพื่อให้เสียงของตัวเองฟังดูสุขุมมากที่สุด “พวกเรากำลังเข้าไปตรวจดูในพื้นที่ที่ลึกเข้าไป”


“ทราบแล้ว สู้ๆ นะจิ๊บ”


“ข้าคิดว่าได้เวลาถอยแล้ว” จู่ๆ เฮคซอดพลันพูดขึ้นมา “สาวน้อย สิ่งที่เจ้ากับเผ่าพันธุ์ของเจ้าทำนั้นทำให้ข้ารู้สึกตกใจจริงๆ บุกเข้ามาในถิ่นของศัตรูแล้วยังยืนหยัดสู้จนมาถึงตอนนี้ได้ แค่นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว แต่การดึงดันต่อไปมันไม่แน่ว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมา ตอนนี้ผู้เฝ้ามองยังไม่ปรากฏตัว ก็หมายความว่าตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”


“หรือไม่มันแค่ไม่อยากจะโดนปืนใหญ่ยิง ก็เลยไปหาที่ซ่อนตัว” ไนติงเกลพูดแย้ง “ถ้าตอนนี้ล้มเลิก ทุกอย่างก็จะไม่สามารถแก้ไขได้อีก”


“บอกไว้ก่อนนะ ถึงแม้ข้าจะรับปากร่วมมือกับพวกเจ้า แต่มันไม่ได้หมายความว่าข้าจะสู้ตายอยู่ที่นี่” สกายลอร์ดพูดตรงๆ “ถ้าสถานการณ์มันแย่จนไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าจะออกไปจากที่นี่ก่อน เมื่อถึงตอนนั้นทหารเหล่านี้จะไม่มีที่ให้ถอยไปไหนอีก เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?” เมื่อเป็นสายตาของอันนาที่มองมา มันจึงอดพูดเสริมอีกประโยคไม่ได้ “แต่แน่นอน….ข้าจะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้ว”


“ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าอยู่ แล้วก็ไม่มีความสามารถจะไปบังคับด้วย” อันนาพูดตรงๆ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ ถ้าแผนการล้มเหลวก็หมายถึงจะไม่มีอนาคตอีก กว่าอาณาจักรซีสกายจะกลืนกินโลกทั้งใบอาจจะต้องใช้เวลานาน ส่วนมนุษย์ที่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีวันที่จะได้เห็นวันนั้น แต่สำหรับพวกเจ้าที่มีอายุยืนยาวแล้ว นั่นกลับเป็นชะตาชีวิตที่พวกเจ้าต้องเผชิญ — เจ้าอยากจะอยู่ในโลกแบบนี้จริงๆ เหรอ?”


“….” เฮคซอดเป็นใบ้ไปทันที


“ยังไม่ถึงขีดจำกัด” ในเวลานี้ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พลันพูดขึ้นมา


“อะไรนะ?”


“ข้าเคยสู้กับมนุษย์ นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของพวกเขา ถ้าเป็นกองทัพนั่นล่ะก็ น่าจะรับมือได้นานกว่านี้” มันยื่นมือออกไปชักดาบสีดำที่อยู่ด้านหลัง “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังไม่ได้ลงมือเลย”


“ระวัง ฝ่าบาทอันนา! ด้านหน้าพระองค์มีสัตว์ประหลาดของอาณาจักรซีสกายกำลังเข้าไปหาเพคะ” แทบจะในเวลาเดียวกัน ในรูนสดับพลันมีเสียงเตือนของซิลเวียดังขึ้นมา “หม่อมฉันแจ้งไปทางหน่วยหุ้มเกราะสองหน่วยที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว แต่ว่าพวกเขากำลังรับมือกับศัตรูอยู่ น่าจะมาช่วยช้าหน่อยเพคะ!”


“ให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดีก็พอ” ไนติงเกลก้าวออกไปข้างหน้า “ที่นี่เดี๋ยวพวกข้าจัดการเอง”


“ถูกต้อง เรื่องแบบนี้ ข้าไม่มีทางยอมแพ้ปีศาจหรอก” เหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์พากันยกปืนลูกซองในมือขึ้นมา


ไม่นาน กองทัพสัตว์ประหลาดที่ประกอบไปด้วยอสูรมีดและรังแม่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน นอกจากนี้ยังมีอสูรกลืนภูเขาตัวยักษ์อยู่อีกสองตัวด้านหลัง


ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พุ่งเข้าไปหาศัตรูก่อน


ด้วยการเรียกพลังของมัน บนท้องฟ้าพลันมีก้อนเมฆจับกลุ่มเป็นก่อน แสงสีทองแลบแปลบปลาบอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงรวมตัวกันแล้วผ่าลงมาจากฟ้าแล้วสาดลงรอบๆ ตัวมัน!


การโจมตีครั้งนี้ทำให้สัตว์ประหลาดหลายสิบตัวกลายเป็นฝุ่น


หลังจากนั้นไนติงเกลก็ตามมันออกไป เธอใช้ประโยชน์จากเส้นที่เปลี่ยนแปลงก้าวกระโดดออกไปร้อยกว่าเมตร แล้วไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังอสูรมีดที่อยู่แถวหน้า ในตอนที่อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วหันกลับมา สิ่งที่รอพวกมันอยู่ก็คือกระสุนปืนที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืน


จากนั้นเธอก็หมุนตัวแล้วก้าวออกไปต่อโดยไม่เหลียวมองดูผลงานของตัวเอง — ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกเหมือนโลกแห่งหมอกมายาจะเป็นมิตรกับเธอมากขึ้น มันมักจะส่งเส้นโครงร่างมาให้เธอได้อย่างพอเหมาะพอเจาะในเวลาที่เธอต้องการ ในเวลาแค่ชั่วพริบตา เธอก็พาถึงตรงหน้ารังแม่


นี่คือเป้าหมายที่ไนติงเกลเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรก


มันไม่เหมือนกับพวกสัตว์ประหลาดชั้นต่ำอย่างอสูรมีด รังแม่สามารถฟักเอามีดและขาออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นกำลังหลักของอาณาจักรซีสกาย การฆ่ามันหมายถึงการทอนกำลังของศัตรูให้อ่อนแอลง


ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่รังแม่ตัวแรกที่เธอเจอด้วย


คนปกติเวลาที่เจอกับสัตว์ประหลาดตัวยักษ์แบบนี้มักจะรู้สึกมือเท้าอ่อนแรง แต่เธอไม่เป็น


ไนติงเกล ‘ทะลุ’ เข้าไปในผิวนอกที่ประกอบขึ้นจากเนื้อเยื่อและกระดูกอย่างช่ำช่อง จากนั้นจึงเป็นลำไส้ ปอดและหัวใจ สุดท้ายจึงมาถึงยัง ‘ดวงตา’ ซึ่งเป็นพื้นที่ใจกลางของศัตรู ถึงแม้มันจะแตกต่างไปจากรังแม่ที่กลืนกินปีศาจดวงตาของปีศาจเข้าไป แต่ในด้านโครงสร้างพวกมันยังคงเหมือนกันอยู่ สำหรับสัตว์ประหลาดเหล่านี้แล้ว ดวงตาขนาดยักษ์ที่แอบซ่อนอยู่ในร่างกายนั้นเหมือนกับเป็นสมองของพวกมัน


เธอเอาปืนยัดเข้าในดวงตาของอีกฝ่าย จากนั้นจึงเหนี่ยวไก!


สัตว์ประหลาดยังไม่ทันได้ใช้หนวดปัดตัวเธอออกไป ก็ถูกระเบิดจนสมองกระจุย รังแม่ที่สูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกายจึงไม่สามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้อีก ส่วนร่างกายขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยพลังเวทมนตร์ในการพยุงเอาไว้ก็ล้มครืนลง


….


อันนายืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับค่อยๆ กำหมัดขึ้นมา


เธอไม่ได้หนักแน่นเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ เมื่อห้าปีก่อนเธอเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาที่เกิดอยู่ในเมืองชายแดนเล็กๆ แล้วจะให้เธอไปเผชิญหน้ากับทุกๆ เรื่องโดยไม่รู้สึกอะไรได้ยังไง? เธอเองก็เคยคิดถอยนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอคิดถึงว่าโรแลนด์อาจจะต้องหลับไปตลอดกาล เธอก็เลยสะกดความกลัวและกัดฟันยืนหยัดเอาไว้


แต่ตอนนี้ อันนาพบว่าความกลัวภายในใจของเธอลดน้อยลงไปกว่าเดิมไม่น้อย


ภาพทุกคนที่กำลังต่อสู้ทำให้สายตาของเธอเริ่มพร่ามัว เธอไม่ได้สู้อยู่คนเดียวตามลำพัง — ยังมีอีกหลายคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ แล้วก็มุ่งไปข้างหน้าด้วยเป้าหมายเดียวกันกับเธอ


เธอเข้าใจความหมายของสงครามแห่งโชคชะตาอีกครั้ง


เส้นทางที่ถูกกำหนดเอาไว้คือโชคชะตาแบบหนึ่ง


แต่การต่อสู้ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการก็เป็นโชคชะตาอีกแบบหนึ่ง


สิ่งที่แตกต่างกันก็คือชะตาชีวิตอย่างหลังคือสิ่งที่ตัวเองกำหนดขึ้นมา


ในเวลานี้ บนพื้นทะเลที่หากออกไปหลายสิบกิโลเมตรทางเหนือพลันมีแสลงสว่างที่เจิดจ้าสว่างขึ้นมา — มันขยายตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำให้เส้นขอบฟ้าที่ขมุกขมัวกลายเป็นสีน้ำเงินระยิบระยับ


นั่นคือภารกิจการโจมตีสกัดของคุนเผิง


ตามแผนการแล้ว แสงแห่งอาทิตย์ที่เร่งสร้างขึ้นมาในเวลาครึ่งเดือนลูกนี้จะใช้ในการสกัดกองหนุนของอาณาจักรซีสกาย การที่มันระเบิดขึ้นมาก็หมายความว่ามีกองกำลังจำนวนมหาศาลของศัตรูกำลังแห่มา สถานการณ์อยู่ในช่วงเวลาวิกฤติอย่างไม่ต้องสงสัย


ในเวลานี้อันนาไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจอย่างในตอนแรกแล้ว


เธอยืนรับเสียงระเบิดที่ดังสนั่นโดยไม่ถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว


ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของอันนา — เธอสวมชุดสีขาว ผมที่ยาสลวยของเธอถูกคลื่นอากาศพัดจนฟุ้งกระจายขึ้นมา บดบังแสงอันเจิดจ้าของระเบิดเอาไว้ด้านหลัง


“กลับไปซะเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ พวกเจ้าควรจะมา” หญิงสาวพูดเสียงเบาๆ


ตอนที่ 1484 จุดประกาย

Ink Stone_Fantasy

พริบตาที่อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา ทั้งโลกพลันเงียบลง


อันนาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น


เธออ้าปาก แต่เสียงกลับเหมือนไม่ได้เปล่งออกมาจากลำคออย่างไรอย่างนั้น


“อย่างนั้นพวกข้ายังจะไปไหนได้?”


“….” ผู้เฝ้ามองนิ่งเงียบไป


“ดูเหมือนเจ้าเองก็รู้คำตอบเหมือนกัน นอกจากที่นี่แล้ว พวกข้าไม่มีที่ให้ถอยไปได้อีก” อันนารวบรวมสมาธิ แล้วมองดูอีกฝ่ายอย่างละเอียด — เธอดูแล้วเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาตามมาตราฐานของมนุษย์ บวกกับการที่จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา ความเป็นมาของเธอจึงน่าจะเดาได้ไม่ยาก “ข้าเคยได้ยินโจนบอกว่าเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าไม่คิดอยากจะออกไปจากที่นี่งั้นเหรอ?”


“โจนงั้นเหรอ…” ผู้เฝ้ามองยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมา “ดูเหมือนนางจะเอาคำตอบที่กลับไปด้วยสินะ แต่ที่น่าเสียดายก็คือมันไม่มีคำตอบที่แท้จริงอยู่”


“แต่มีคนที่กำลังพยายามหาคำตอบอยู่ แถมนางยังเป็นพวกเดียวกับเจ้าด้วย”


“พวกเดียวกัน?”


“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึก —- และที่นั่นก็มีเทวทูตที่ชื่อมิสต์คนหนึ่งกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง” อันนาอธิบายถึงเจตนาที่มาที่นี่อย่างรวดเร็ว “และการจะบรรลุเป้าหมายนั้นก็จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่งในนั้นเป็นจริงแล้ว และข้าก็ได้พาคนที่สามารถแก้ไขปัญหาที่สองมาแล้วด้วย หลังจากนี้ขอแค่เปิด ‘สะพาน’ อันนั้นและส่งเขาเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก—”


“ขอโทษด้วยนะ ข้าไม่รู้จักเทวทูตที่เจ้าว่ามา” ผู้เฝ้ามองส่ายหัวตัดบทเธอ “นอกจากนี้การเปิดสะพานก็จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนสืบทอดที่สมบูรณ์เสียบเข้าไปในแท่นบอทธ่อมเลส ถึงจะสามารถกระตุ้นแหล่งกำเนิดเวทมนตร์แล้วทำให้สะพานปรากฏขึ้นมาได้ จริงอยู่ที่เจ้ารู้เรื่องไม่น้อย แต่ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้จริงๆ”


“เดี๋ยวๆ” ในที่สุดสีหน้าอันนาก็เปลี่ยนไป เธอรีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ใช่ผู้นำทางเหรอ!”


“ข้าคือผู้นำทาง แต่ถ้าไม่มีชิ้นส่วนสืบทอด ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้” อีกฝ่ายเดินมาข้างอันนา ก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ “รีบไปจากนี่เถอะ เด็กน้อย ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีเวลา”


ร่างกายของผู้เฝ้ามองเริ่มจางลง เหมือนกับว่ากำลังจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น


อันนายื่นมือออกไปคว้าจับเธอเอาไว้ แต่สิ่งที่เธอสัมผัสได้กลับมีเพียงแค่อากาศ


“สุดท้าย ลืมทุกสิ่งที่เจ้าเคยได้ยินมาซะ — อย่างเช่นถ้าเทวทูตผู้ทรยศมีอยู่จริง” ในตอนที่เธอหายไป หูของอันนามีเสียงกระซิบกระซาบของอีกฝ่ายดังขึ้นมา “สงครามแห่งโชคชะตาคือความพยายามในการหาคำตอบอย่างหนึ่ง ขนาดการแก้ไขปัญหาที่ยาวนานและกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา แล้วมันจะถูกคนเพียงคนสองคนแก้ปัญหาได้ยังไง? ถ้าหากเขามีความสามารถอย่างนั้นจริงๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ‘สะพาน’ กับ ‘กุญแจ’ เลย”


นี่…คือผลของการต่อสู้จนถึงท้ายที่สุดงั้นเหรอ…


อันนาก้มหน้ามองดูฝ่ามือที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างเหม่อลอย


หลังจากนี้เธอควรจะทำยังไงดี?


……


ไนติงเกลรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองลื่นไหลขึ้น


เหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน


เธอบอกไม่ได้ว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไป แต่เธอรู้สึกได้ถึงความสอดประสานที่อยู่ในหมอกมายา — ถึงแม้ปกติเส้นเค้าโครงที่บิดเบี้ยวจะมอบความสะดวกสบายให้กับเธอ แต่มันก็เป็นเหมือนคมมีดที่มีความอันตรายอย่างมากเช่นเดียวกัน เธอจำเป็นต้องรักษาสมาธิเอาไว้ในระดับสูงสุดถึงจะทำให้ตัวเองไม่บาดเจ็บเพราะความสามารถของตัวเอง


แต่ในเวลานี้โลกขาวดำแห่งนี้กลับอ่อนโยนจนเหมือนกับแกะ มันแทบจะปล่อยให้เธอทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการได้ ในขณะที่เคลื่อนที่ไปในนั้น เธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุข


ในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที เธอกำจัดรังแม่ไปสามตัว ส่วนศัตรูกลับแตะเธอไม่ได้แม้กระทั่งชายเสื้อ


ถ้าพูดถึงเรื่องผลงานในการกำจัดศัตรูแล้ว ขนาดไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่อยู่ในระดับเดียวกับสุดยอดอมนุษย์ก็ยังไม่โดดเด่นเท่าเธอเลย


นี่ทำให้ไนติงเกลรู้สึกภูมิใจ


สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจก็คือของเหลวเหนียวๆ ที่อยู่บนตัวเธอ — เธอสามารถหลบกรงเล็บและหนวดของพวกศัตรูได้ แต่กลับไม่สามารถหลบหลีกเครื่องในที่เหม็นคาวเหล่านั้นได้ นี่ถือเป็นค่าคอบแทนของการที่เข้าไปในตัวของรังแม่


ถ้าเป็นอันนาล่ะก็ เธอน่าจะเผาเจ้าของเหลวที่น่ารังเกียจพวกนี้ไปจนหมดล่ะมั้ง?


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดเหลือบมองไปทางอันนาไม่ได้


แต่ทันทีที่มองไป เธอก็ต้องขนลุกขึ้นมาทันที


เธอเห็นอันนายืนเหม่อลอยมองไปทางทิศเหนือไม่ขยับ เหมือนกับถูกอะไรบางอย่างล็อกเอาไว้ มีอสูรมีดสองสามตัวกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาเธอ ส่วนฟิลลิสก็กำลังรับมือกับอสูรมีดตัวหนึ่งอยู่พร้อมกับตะโกนเรียกอันนาอย่างร้อนใจ แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเธอเลย


นางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?


จากมุมนั้น เธอน่าจะมองเห็นฟิลลิสกับศัตรูที่กำลังเข้ามาใกล้ได้อย่างชัดเจนนี่นา!


ไนติงเกลหมุนตัวทันที เธอรีบวิ่งเข้าไปหาอันนาโดยไม่สนใจพวกสัตว์ประหลาดของอาณาจักรซีสกายเลย


แต่อสูรมีดก็กางปีกที่อยู่ด้านหลังของมันออกมาแล้ว!


บ้าเอ้ย จะไม่ทันแล้ว—


ในพริบตานั้นเอง เธอมองเห็นเส้นสีขาวเส้นหนึ่งขยายยืดยาวจากปลายเท้าด้านหนึ่งของตัวเองไปจนถึงตรงหน้าอันนา นั่นน่าตะเป็นรอยแตกบนพื้นดิน ถึงแม้ในธรรมชาติจะมีเค้าโครงของมันอยู่ แต่เป็นเพราะว่าพวกมันเล็กและซับซ้อนมากเกินไป มันก็เลยไม่ถูกพลังแสดงออกมา


ถ้าเค้าโครงของดินแต่ละผืนหินแต่ละก้อนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างนั้นก็หมายความว่าเธอจะไม่มีที่ให้ได้ยินเลย ต่อให้รวบรวมสมาธิเอาไว้มากแค่ไหนก็ไม่มีทางทำได้


ส่วนการนี่รอยแตกเล็กๆ แบบนี้รวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเส้นสีขาว ไนติงเกลก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก


มันเหมือนกับเส้นนำทางที่ชัดเจนเส้นหนึ่ง เธอรีบยื่นมือไปคว้ามันเอาไว้แล้วออกแรงดึงมันขึ้นมา!


พลังเวทมนตร์ในร่างกายไหลทะลักออกมา โลกแห่งหมอกมายาตอบสนองเจตจำนงของเธอ — เส้นขาวเส้นนั้นยกขึ้นมา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน!


ด้านหนึ่งคือตำแหน่งที่อันนายืนอยู่ซึ่งแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ส่วนพื้นอีกด้านหนึ่งกลับยกตัวสูงขึ้นไปจนกลายเป็นพื้นต่างระดับที่ต่างกันเกือบหนึ่งเมตร


แต่นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิประเทศธรรมดาๆ พริบตานั้นเอง อสูรมีดที่กำลังบินอยู่พลันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหน้าของมันยังคงไถลไปในอากาศ ส่วนร่างกายครึ่งหลังกลับลอยสูงขึ้นไป เหมือนกับว่าร่างกายทั้งสองส่วนไม่ได้อยู่บนระนาบเดียวกัน!


ร่างกายของศัตรูที่ถูกตัดขาดตกลงสู่พื้นห่างจากอันนาไม่ไกล รอยตัดบนร่างกายมันเรียบเหมือนกับกระจก


ขณะเดียวกันไนติงเกลก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง กระทั่งจะยืนทรงตัวก็ยังทำได้ยาก — นี่คือผลข้างเคียงจากการใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไป เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ใช่การใช้พลังตามปกติธรรมดาซะแล้ว


แต่เธอไม่สนใจที่จะคิดเรื่องเหล่านี้


อันนายังคงยืนอยู่กับที่ เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่เกี่ยวข้องกับเธอ


ไนติงเกลฝืนกัดฟันเดินเข้าไปหาเธอ ก่อนจะคว้าแขนของเธอแล้วดึงเธอหันกลับมา


เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่! ทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อทำให้เป้าหมายของเจ้าเป็นจริง แต่เจ้ากลับพาตัวเองมาอยู่ในอันตราย เจ้าอยากให้ความพยายามของทุกคนต้องสูญเปล่าอย่างนั้นเหรอ?


เดิมไนติงเกลอยากจะตะโกนออกไปแบบนี้ แต่พอคำพูดมาถึงมุมปาก มันกลับไม่ยอมออกมา เธอรู้จักอันนา เผลอๆ อาจจะรูู้จักดีกว่าโรแลนด์เสียอีก ถ้าไม่ถึงวินาทีสุดท้าย อันนาจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด การที่ทำให้เธอเหม่อลอยขนาดนี้ เกรงว่าคงมีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้น


เธอเจอผู้เฝ้ามองแล้ว และคำตอบที่ได้ก็คือปฏิเสธ


คำพูดต่อว่าสลายหายไปทันที การที่เจอกับความผิดหวังขนาดนี้แล้วยังยืนอยู่ได้แบบนี้ก็นับว่าเธอมีความกล้าหาญอย่างมากแล้ว


“เจอผู้เฝ้ามองแล้วเหรอ?” ไนติงเกลถามเบาๆ


“อื้อ” อันนาค่อยๆ พยักหน้า


ใช่จริงๆ ด้วย


เมื่อมองดูท่าทางเหม่อลอยของอีกฝ่าย ภายในใจเธอพลันมีความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอย่างมากขึ้นมา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามอย่างหนักขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้


เธอโอบอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมอกเบาๆ


“ไม่เป็นไร ต่อให้ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนถึงวินาทีสุดท้าย”


“ล้มเหลว ทำไมถึงพูดแบบนี้?” การตอบสนองของอันนาทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ


“เอ่อ…” ไนติงเกลชะงักไปทันที “หรือว่าผู้เฝ้ามองตอบรับคำขอของเจ้า?”


“เปล่า นางปฏิเสธ ถ้าไม่มีชิ้นส่วนสืบทอด บอทธ่อมเลสแลนด์ก็จะไม่เปิด ต่อให้เป็นนางก็ทำอะไรไม่ได้” อันนาส่ายหัว


“อย่างนั้นทำไมเจ้าถึง…”


“แต่นางจุดประกายข้า” อันนาเงยหน้าขึ้น สายตาที่เมื่อครู่เหม่อลอย ในตอนนี้กลับเปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา “เทวทูตก็ดี ผู้เฝ้ามองก็ดี พวกนางส่วนแต่ไม่สามารถฝืนกฎที่พระเจ้าตั้งขึ้นมาได้ แต่ถ้าเป็นคนที่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอยู่จริงๆ ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือของพวกนาง เขาก็สามารถไปถึงอีกด้านหนึ่งของสะพานได้!”


ตอนที่ 1485 กระโดดลงไป

Ink Stone_Fantasy

“….” ดังนั้นที่นางเหม่อลอยเมื่อครู่นี้ก็เพราะกำลังครุ่นคิดปัญหานี้อยู่งั้นเหรอ? ไนติเกลลูบหน้าอกที่กำลังเต้นตุบๆ ตามจังหวะหัวใจ เธอดึงมือกลับแล้วดีดหน้าผากอันนาไปแรงๆ “ครั้งหน้าช่วยหาที่หลบที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยคิดได้ไหม? อย่างนั้นข้อสรุปเจ้าคืออะไร? รบกวนช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดด้วย”


ในตอนนี้ฟิลลิสและคนอื่นๆ ก็วิ่งตามเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เป็นไร ทุกคนก็โล่งใจ


ในตอนนี้อันนารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอกุมหน้าผากแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “กระโดดลงไป”


ไนติงเกลตกตะลึง หลังแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป เธอจึงถอนใจออกมา “ไม่ เจ้าอธิบายอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นดีกว่า”


“อื้อ…” เธอหันหน้าไปทางบอทธ่อมเลสแลนด์ “ความจริงมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก ในเมื่อเทวทูตกับผู้เฝ้ามองล้วนแต่มาจากโลกแห่งจิตสำนึก อย่างนั้นมิสต์ก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องที่จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนสืบทอดในการเปิดสะพานแน่ ไม่ว่าสิ่งที่นางพูดจะมีความจริงอยู่แค่ไหน แต่นางก็ไม่มีทางที่จะลืมเรื่องง่ายๆ แบบนี้ทั้งๆ วางแผนมาเป็นเวลายาวนานได้”


“จะว่าไปมันก็ใช่” ไนติงเกลครุ่นคิด “เจ้าก็เลยคิดว่าตัวโรแลนด์สามารถเปิดอุโมงค์ลำแสงนี้ได้ด้วยตัวเองงั้นเหรอ?”


“ไม่ ข้าคิดว่าอุโมงค์ลำแสงนั้นไม่ใช่ที่ๆ พวกเราต้องไป” อันนาส่ายหัว “มีแต่ผู้ชนะในสงครามแห่งโชคชะตาเท่านั้นถึงจะขึ้นสะพานไปยังอีกฝั่งได้ แต่พวกเราไม่ใช่ทั้งผู้ชนะ แล้วก็ไม่มีชิ้นส่วนสืบทอดอันอื่นด้วย ขณะเดียวกันมิสต์ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นการยึดเอาชิ้นส่วนสืบทอดของเผ่าพันธุ์อื่นมามันก็ขัดแย้งกับการหยุดสงครามแห่งโชคชะตา — ถ้ามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แผนการเป็นจริง อย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรเลย”


“อย่างนั้น…พวกเราควรจะไปที่ไหน?” ไนติงเกลพบว่าตัวเองตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทัน


“ ‘มีแต่สิ่งที่เข้าใจได้ด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง’” อันนาพูดทวนคำพูดของมิสต์ออกมา “ถ้านางสังหรณ์ใจว่าพระเจ้าจะยื่นมือเข้ามาอยู่นางไม่ให้แพร่งพรายข้อมูลสำคัญออกไป อย่างนั้นภาพความทรงจำที่ส่งมาจากวงแหวนดวงดาวมันน่าครุ่นคิดอย่างมาก ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว เจ้าคิดว่าในภาพความทรงจำเหล่านั้น ส่วนไหนที่เจ้าจำมันได้ดีมากที่สุด?”


“เอ่อ…แรงดึงดูดอะไรนั่น?”


“ถูกต้อง ในภาพที่สองที่โรแลนด์เห็น แกนกลางที่ประกอบขึ้นมาจนกลายเป็นโลกนี้น่าจะตั้งอยู่กึ่งกลางของดวงดาว ดังนั้นพวกเราจึงควรจะลงไปข้างล่าง ไม่ใช่ขึ้นไปข้างบน บอทธ่อมเลสแลนด์ดูแล้วเหมือนจะไม่สามารถไปได้ แต่อย่าลืมล่ะ….” อันนาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ “แรงดึงดูดไม่ใช่แรงที่น่าเคารพบูชาที่สุดบนโลกนี้อีกต่อไป”


“เดี๋ยว” ฟิลลิสใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กระโดดลงไป’ ที่อีกฝ่ายบอกมา “พระองค์แน่ใจนะเพคะ? ทำแบบนัั้นมันเสี่ยงมากนะเพคะ! ถ้ากระโดดลงไปแล้วไม่เป็นไรล่ะก็ มันน่าจะมีคนที่ไปถึงด้านล่างก่อนหน้าเรานานแล้วถึงจะถูก — แต่พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นภาพวาดบนผนังที่เผ่ากัมมันตรังสีวาดเอาไว้แล้ว พวกมันถึงขนาดสร้างหอคอยและบันไดเอาไว้รอบๆ หลุมลึก แต่เมื่อดูจากภาพความทรงจำแล้ว พวกมันล้มเลิกความพยายามแบบนี้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าวิธีนี้มันใช้ไม่ได้ผลไม่ใช่เหรอเพคะ!”


“ลงไปข้างล่างได้กับขึ้นไปข้างบนได้มันเป็นคนละเรื่องกัน” อันนาส่ายหัว “นี่เกรงว่าจะเป็นความหมายที่แท้จริงของ ‘คนที่มีพลัง’ ที่ผู้เฝ้ามองพูดถึง —- การลงไปข้างล่างไม่จำเป็นต้องมีกุญแจอะไร แต่ถ้าไม่สามารถเปิดสะพานลำแสงได้ ก็อาจจะไม่ได้กลับขึ้นมาตลอดกาล”


“ข้างล่างลงไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่ขึ้นไปข้างบนจำเป็นต้องใช้สะพานงั้นเหรอ…”


“ถูกต้อง ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ได้ยังไงนั้น จนถึงตอนนี้ข้ามีคิดถึงความเป็นไปได้อยู่หลายวิธี” เธอพูดต่อว่า “แต่พอได้คุยกับผู้เฝ้ามองแล้ว ข้าถึงได้มั่นใจวิธีนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือมีแต่วิธีนี้ถึงจะอธิบายได้ว่าทำไมมิสต์ถึงไม่พูดถึงผู้เฝ้ามองเลย — เพราะว่าเรื่องที่โรแลนด์ต้องทำมันไม่เกี่ยวข้องกับพวกมันตั้งแต่แรกแล้ว!”


“เจ้าก็เลยคิดจะโยนโรแลนด์ลงไปในหลุม?” สกายลอร์ดมีสีหน้าตกใจ


“ไม่ ข้าจะลงไปกับเขา” อันนาพูดอย่างเด็ดขาด “การถอยหลังจากนี้ข้าฝากพวกเจ้าด้วยนะ ไม่มีความจำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว รีบกลับขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าเถอะ”


ทุกคนตกอยู่ในความเงียบทันที ถึงแม้ไม่มีใครที่จะอยากทิ้งอันนาไว้ แต่ทุกคนต่างรู้ถึงนิสัยของราชินีองค์นี้เป็นอย่างดี ทันทีที่นางตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้ว ต่อให้เป็นโรแลนด์ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร เฮคซอดจึงรู้ดีว่าควรทำอะไร มันพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูมิติบานหนึ่งขึ้นมาเหนือหลุมลึก “สาวน้อย การกระทำของเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเผ่าพันธุ์ของเจ้าไม่ธรรมดา ต่อให้ล้มเหลว มันก็เป็นความล้มเหลวที่มีเกียรติ”


อันนาควบคุมไฟสีดำยกตัวโรแลนด์ที่กำลังนอนสลบขึ้นมา จากนั้นก้าวเข้าไปในประตูมิติ


หลังจากนั้น ไนติงเกลก็หายไปตัว


กว่าคนอื่นจะตั้งตัวได้ พวกเขาก็ห้ามไม่ทันแล้ว


คนสุดท้ายที่เดินเข้าไปในประตูมิติคือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์


“เดี๋ยวๆ เจ้าจะตามเข้าไปด้วยเหรอ?” เฮคซอดขมวดคิ้ว


“ข้าเคยบอกแล้ว ตอนที่นางเข้าไปในบอทธ่อมเลสแลนด์ ข้าจะตามไปด้วย” เซโรเชสเดินข้ามประตูเข้าไปโดยไม่แม้กระทั่งหันมามอง “ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหนก็ตาม”


……


ในตอนที่ลำแสงกลับคืนสู้ความอ้างว้าง ความมืดก็เข้าครอบงำทุกสิ่ง หูของโรแลนด์ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา


‘มนุษย์มาจากไหน แล้วจะไปที่ไหน นี่เป็นปัญหาน่าสนใจและลี้ลับมาโดยตลอด’


เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นเงาตะคุ่มๆ นั้นอีกครั้ง — ข้างในของมันมีแสงอ่อนๆ ที่ดูวูบวาบสว่างขึ้นมา แล้วก็เป็น สัญญาณเพียงหนึ่งเดียวบนพื้นที่ว่างเปล่านี้ด้วย


‘มันถูกพูดถึงมาเป็นหมื่นปี แต่ละยุคสมัยล้วนแต่มีคำตอบที่ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบไหนก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยสติปัญญา มันนำพาพวกเราให้เดินไปข้างหน้าเพื่อค้นหาคำตอบที่เรายังไม่รู้’


‘แต่หลังจากหมื่นปีไปแล้ว จู่ๆ คำถามนี้ก็เปลี่ยนกลายเป็นไร้ความหมาย หลังจากนั้นอีกหมื่นปีก็ไม่มีใครมาสนใจอีกว่าพวกเรามาจากไหนแล้วจะไปที่ไหน…เพราะว่าคำตอบมันได้ถูกยืนยันแล้ว การหายไปต่างหากถึงจะเป็นที่พักพิงอันเป็นนิรันด์’


มันถอนหายใจออกมา


‘โลกนี้ไม่ได้ถูกเตรียมขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิต’


‘นับตั้งแต่ตอนที่มันปรากฏขึ้นมาจนกระทั่งผ่านไปหกพันล้านล้านปี ดาวฤกษ์เข้าสู่ช่วงเสื่อมสลาย พวกมันที่เผาไหม้จนหมดถ้าไม่กลายเป็นดาวแคระก็กลายเป็นหลุมดำ จักรวาลตกอยู่ในความมืด’


‘ภายใต้การชักนำของแรงดึงดูด ดาวแคระอาจจะจุดให้สว่างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในขณะพุ่งชน แล้วกลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ แต่ว่านั่นเป็นแสงสุดท้ายของพวกมัน เหมือนกับโอเอซิสที่หาได้ยากในทะเลทราย’


‘อารยธรรมที่แข็งแกร่งยึดครองโอเอซิสแห่งแสง อารยธรรมอื่นๆ ได้แต่อาศัยดาวแคระที่แก่ไปเรื่อยๆ ในการเอาชีวิตรอด จนกระทั่งพลังงานสุดท้ายถูกเผาไหม้ไปจนหมด ซึ่งนี่ก็เป็นภาพที่เกิดขึ้นเมื่อสองแสนล้านล้านปี’


‘แรงดึงดูดจะกลายเป็นนายเพียงหนึ่งเดียวของโลก ดวงดาวที่ตายไปแล้วถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ รังสีปริมาณมหาศาลทำให้มันเปล่งแสงที่สว่างเจิดจ้าออกมา จนอาจจะสว่างกว่าดาวฤกษ์เสียอีก และนั่นก็อาจจะเป็นแหล่งพลังงานเดียวในตอนนั้น’


เสียงของเงาค่อยๆ เบาลง


‘เวลาเดินต่อไปอีกหมื่นล้านล้านล้านปี ดาวแคระเองก็เกิดการเหือดแห้ง ในจักรวาลจะไม่มีดวงดาวและวัตถุอยู่อีก ผลจากการที่พลังงานกระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมคือทุกๆ ที่จะมีแต่ความตาย ความมืดมัด ความหนาวเหน็บ ความว่างเปล่าจะกลายเป็นทุกสิ่งของมัน — แต่สำหรับอายุขัยของจักรวาลแล้ว มันเหมือนกับเพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่กี่วันเท่านั้น’


‘หลังจากนั้นจักรวาลจะผ่านช่วงเวลาวัยแรกรุ่น วัยผู้ใหญ่และวัยชราอันยาวนาน แต่ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ในนั้น การมีอยู่ของพวกเราก็เป็นแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลของเอนโทปี เป็นผลลัพธ์ที่จักรวาลจำเป็นต้องทำการแก้ไข’


แสงสว่างให้ร่างกายของมันอ่อนแรงจนแทบจะมืดดับลง


‘….พวกเรา ไม่ไปไหนทั้งนั้น’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)