Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1470-1479
ตอนที่ 1470 แตกหัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เป็น ไปไม่ได้”
บลัดดี้คองเคอเรอร์มองดูท้องฟ้าที่เป็นสีแดง ในมือกำขวานศึกพร้อมคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ถึงแม้มันจะมองไม่เห็นสถานการณ์บนพระผู้สร้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพลิงสีแดงที่พุ่งขึ้นไปบนเมฆ หรือว่าเสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ทางนั้นไม่สู้ดีนัก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในราชาที่ยกระดับขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ของเผ่าพันธุ์ นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็น ‘ฝนเพลิง’ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เท่าที่มันจำได้ มีแต่ภัยพิบัติบนแบล็คสโตนเท่านั้นถึงจะทำให้เกิดเปลวเพลิงและเสียงที่ดังสนั่นต่อเนื่องแบบนี้ได้
แต่ในตอนที่คลื่นพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงจนผู้ยกระดับระดับสูงสัมผัสได้ถาโถมเข้ามา การคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยัน นั่นมันไม่ถึงกับเป็นความหวั่นไหว หากแต่เป็นความหดหู่ที่กระแทกเข้ามาในใจ มีเพียงการจากไปของจักรพรรดิเท่านั้นถึงทำให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ชัดเจนขนาดนี้ได้
ถ้าจะสังหารจักรพรรดิ ก็จำเป็นต้องบุกเข้ามาในพระผู้สร้าง นั่นหมายความว่าต้องสู้กับร่างยกระดับระดับต้นจำนวนหลายพัน ร่างระดับต้นหลายแสนตัวและร่างซิมไบออนท์พร้อมๆ กัน บลัดดี้คองเคอเรอร์นึกภาพไม่ออกเลยว่าพวกมนุษย์ทำแบบนี้ได้ยังไง
“ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อันดีเซิร์ฟกับเดอะแมสก์มันทำอะไรอยู่?” ในเวลานี้ความโกรธของมันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เจ้าสองตัวนี้รับปากซะดิบดีว่าจะปกป้องพระผู้สร้างเอาไว้ให้ได้ แต่หลังผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง พระผู้สร้างกลับถูกศัตรูยึดไป ถ้าตอนนี้พวกมันอยู่ในค่าย บลัดดี้คองเคอเรอร์คงจะฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ลังเลแน่!
“เดี๋ยวๆ เจ้าจะไปไหน?”
ในขณะที่บลัดดี้คองเคอเรอร์เดินออกไปนอกค่ายด้วยความโกรธ เดธสการ์พลันรั้งมันเอาไว้
“ยังต้องถามอีกเหรอ? ก็ไปฆ่าพวกแมลงน่ะสิ! ถอยไป!”
“แล้วเจ้าจะจัดการพวกนกเหล็กที่บินอยู่บนฟ้าได้ยังไง?” อีกฝ่ายไม่ยอมถอย “ยิ่งไปกว่านั้นหากพระผู้สร้างถูกยึดไป หอคอยแห่งการให้กำเนิดที่นี่ก็จะเป็นแหล่งละอองชีวิตเพียงแหล่งเดียวที่เหลืออยู่ในแถบนี้ พวกพ้องที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องถอยมาที่อาร์เรียตาอย่างแน่นอน เจ้าคิดจะเดินฝ่าออกไปอย่างนั้นเหรอ?”
“แล้วมันยังไงล่ะ? ใครขวางข้า ข้าจะบดขยี้มัน!” บลัดดี้คองเคอเรอร์ถ่มน้ำลายออกมา
“จากนั้นก็ทำลายขวัญและกำลังใจของปีศาจที่อพยพมา?” เดธสการ์พูดเสียงคร่ำเคร่ง “แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ก็ทำให้ภายในค่ายตื่นตระหนกอย่างมากแล้ว แล้วถ้าตอนนี้เจ้าออกไปคนเดียวอีก พวกมันจะต้องคิดว่าเจ้าขี้ขลาดแอบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวแน่! แบบนั้นระเบียบทั่วทั้งกองทัพก็จะพังทลายลง”
“เหลวไหล!” บลัดดี้คองเคอเรอร์คำรามออกมา “ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของอาณาจักรซีสกายข้าก็ยังไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว แต่นี่เจ้ากลับบอกว่าข้าขี้ขลาดอย่างนั้นเหรอ?”
“เจ้าไม่หวาดกลัวแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? สิ่งสำคัญคือความคิดของผู้ยกระดับตนอื่นๆ ต่างหาก ถึงแม้การคาดเดากับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมันจะไม่สอดคล้องกัน แต่ในช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวายและวิกฤตมันก็สามารถทำให้คนรู้สึกสงสัยได้เหมือนกัน ที่จู่ๆ พลันมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
บลัดดี้คองเคอเรอร์ลืมตาโตขึ้นมาทันที มันไม่มีทางลืมแน่นอนว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร
นี่คือสกายลอร์ดที่หายตัวไปเป็นเวลานาน!
มันยกขวานขึ้นแล้วหมุนตัวกลับไปฟันอย่างไม่ลังเล พลังเวทมนตร์อันรุนแรงระเบิดออก ทำให้บนพื้นมีหลุมกว้างหลายฟุตปรากฎขึ้นมา
ฝุ่นควันยังไม่ทันจางหายไป เฮคซอดพลันเดินออกมาจากประตูมิติอีกบานหนึ่ง
“เจ้า — คนทรยศ!” บลัดดี้คองเคอเรอร์เหลียวหน้าไปมองพร้อมส่งเสียงคำราม
“ข้าถึงได้บอกไงว่าต่อให้การคาดเดามันจะไร้สาระแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจหรอกว่าความจริงมันเป็นยังไง” มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ข้าก็ไม่เคยทรยศต่อเผ่าพันธุ์”
“หลายเดือนมานี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?” สีหน้าของเดธสการ์ตกตะลึงอย่างมาก ถึงแม้มันจะไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเหมือนกับบลัดดี้คองเคอเรอร์ แต่มันก็มีท่าทีระมัดระวัง
“ข้าไปบอทธ่อมเลสแลนด์มา…หรือก็คือโลกแห่งจิตสำนึก แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ที่เผ่าพันธุ์เราพูดถึง” เฮคซอดพูดช้าๆ ชัดๆ
“เจ้าว่า…อะไรนะ?” เดธสการ์ตกตะลึง
“มันอยู่ระหว่างดินแดนรุ่งอรุณกับแบล็คสโตน บนทะเลที่ปกคลุมไปด้วยหมอก” สกายลอร์ดเล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอออกมาคร่าวๆ “และคนที่บอกข้าเรื่องนี้ก็คือวัลคีรีย์”
ข่าวคราวที่น่าตกตะลึงนี้ทำเอาราชาทั้งสองตัวลืมตาโตพูดไม่ออกไปทันที แล้วก็ทำให้ปีศาจตัวอื่นๆ ที่ล้อมเข้ามาเนื่องจากเห็นความวุ่นวายพากันพูดคุยกระซิบกระซาบกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บลัดดี้จึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าก็เลยร่วมมือกับมันทรยศจักรพรรดิ? การโจมตีครั้งนี้ก็เป็นแผนที่พวกเจ้าร่วมมือกับมนุษย์ใช่ไหม?”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางเข้าใจ ก็เหมือนกับที่เจ้าหุนหันพลันแลนจะออกไปล้างแค้นพวกมนุษย์หลังจากถูกทำให้โกรธโดยโยนผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ทิ้งไป” เฮคซอดหันหน้าไปมองเดธสการ์ “แต่เจ้าไม่เหมือนกับบลัดดี้ เจ้าน่าจะเข้าใจว่าเบื้องหลังของเบาะแสอันนี้มันหมายความว่าอย่างไร นอกจากนี้ ถึงแม้ข้าจะเคยติดต่อกับพวกมนุษย์ แต่ข้ากลับไม่เคยเข้าไปมีส่วนรวมในแผนการโจมตีของพวกมัน ที่บอกว่าข้าจับมือกับพวกมันนั้นเป็นคำพูดที่เหลวไหลทั้งเพ”
เดธสการ์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา “ถูกต้อง ข้าไม่ใช่บลัดดี้ ดังนั้นคำพูดเล่นลิ้นจึงใช้กับข้าไม่ได้ — แต่มันก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกันว่าการที่เจ้าหายตัวไปมันทำให้ความสามารถในการป้องกันของเมืองจักรพรรดิอ่อนแอลง ต่อให้ไม่ได้มีส่วนร่วม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการโจมตีครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับเจ้า การนั่งมองดูเฉยๆ ไม่ทำอะไรมันก็คือการช่วยเหลือมนุษย์อย่างหนึ่ง”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว!” บลัดดี้คำราม “เจ้าในพลังควบคุมมันซะ ข้าจะสับมันเป็นชิ้นๆ!”
แต่เดธสการ์กลับไม่เคลื่อนไหว “สิ่งที่ข้าอยากจะถามก็คือต่อให้ทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็ยังคิดว่าตัวเองทำเพื่อเผ่าพันธุ์อย่างนั้นเหรอ?”
“สิ่งที่ข้าคิดมันไร้ความหมาย” เฮคซอดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความจริงก็คือการสืบทอดที่อยู่ในมือมนุษย์มันล้ำหน้าไปไกลกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก การจะทำลายพวกเขาให้สิ้นซากนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ผลสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้กันทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมีชีวิตสืบทอดต่อไปในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นนี้ได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ถ้าหากสงครามแห่งโชคชะตาไม่ใช่สิ่งจำเป็น อย่างนั้นบางทีทั้งสองเผ่าพันธุ์อาจจะมีชีวิตรอดต่อไปได้”
“ทำไมฝ่ายที่ถอยถึงต้องเป็นพวกเรา?”
“….” ครั้งนี้น้ำเสียงของสกายลอร์ดฟังดูเศร้านิดหน่อย “เพราะคนที่ส่งผลกระทบต่อพระเจ้าได้…คือมนุษย์คนหนึ่ง”
“เจ้า…แน่ใจ?”
“ถ้าเจ้าได้เห็นโลกที่เขาสร้างขึ้นมา เจ้าจะไม่พูดเช่นนี้” สกายลอร์ดถอนใจออกมา “ได้ยินไนท์แมร์บอกว่าเผ่าพันธุ์ของเราก็เคยไปถึงขั้นนั้นเหมือนกัน ทรานฟอร์มเมอร์ที่สร้างสำนักซีคลาวด์ขึ้นมาก็เคยได้ยินเสียงกระซิบของเทวทูต และตอนนั้นมนุษย์ก็ยังเป็นแค่ฝุ่นทรายเท่านั้น”
เดธสการ์จ้องมองมันอยู่นาน เหมือนกำลังพยายามแยกแยกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สุดท้ายมันจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ไนท์แมร์คิดจะมาเผ่าพันธุ์เดินไปทางไหนกันแน่? ไปสวามิภักดิ์มนุษย์คนนั้นเหรอ?”
“ไม่ พวกเราไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่พาเขาไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์เท่านั้น”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
“เหลวไหล!” บลัดดี้กระทืบเท้าไปบนพื้น การพูดคุยของราชาทั้งสองถูกขัดจังหวะ “นี่มันก็จะต่างอะไรกับการยกมือยอมแพ้แล้วฝากโชคชะตาเอาไว้กับคนอื่น? เชื่อคำสัญญาของแมลงงั้นเหรอ? ข้าว่าพวกเจ้าบ้าไปแล้ว! ไนท์แมรท์เองก็เหมือนกัน!”
“นี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ…เจ้ามองความเมตตาเป็นโอกาสงั้นเหรอ?” มันยกขวานขึ้นมา “หรือว่าการต่อสู้กับอาณาจักรซีสกายในช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่ได้ทำให้เจ้ากล้าหาญขึ้นเลย? อ้อ ข้าลืมไป เจ้าไม่มีความกล้าต่างหาก เพราะว่าพวกที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังมันจะไปเคยเจอศัตรูที่แข็งแกร่งที่แท้จริงได้ยังไง?”
สีหน้าเฮคซอดคร่ำเคร่งขึ้นทันที
“ข้าเกิดมาเพื่อเลือดและการฆ่าฟัน! โชคชะตาที่ว่านั้นมีแต่ข้าที่ควบคุมมันได้!” บลัดดี้ส่งเสียงคำราม “วางอาวุธต่อหน้าศัตรู จากนั้นร้องขอความเมตตาจากมันงั้นเหรอ? ไม่…ข้าบลัดดี้คองเคอเรอร์ ยอมตาย แต่ไม่มันยอมแพ้ต่อศัตรูหน้าไหน!”
“ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ แค่ข้าก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นเลย” เฮคซอดยกมือขึ้นมาดีดนิ้ว ประตูมิติบานใหม่ค่อยๆ เปิดขึ้นมาด้านหลังมัน
คนที่เดินออกมาจากประตูคือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่สีหน้าราบเรียบ
ก้อนเมฆบนท้องฟ้าพลันจับตัวกัน
ตอนที่ 1471 รุ่งอรุณสีเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่ลำแสงของพลังโชคชะตาหายไป ท้องฟ้าที่ถูกก้อนเมฆปกคลุมกลับมาสว่างอีกครั้ง
ปีศาจนับหลายหมื่นมองดูการต่อสู้ของราชาทั้งสองอย่างเงียบๆ
พื้นที่เป็นทุ่งหญ้าแต่เดิมหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือดินที่ถูกเผาไหม้เป็นแถบ พลังแห่งโชคชะตาแต่ละสายราวกับแฝงเอาไว้ด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ก้อนหินถูกบดขยี้เป็นผุยผง ต้นไม้ถูกเผาจนเกรียม เรียกได้ว่าราบเป็นหน้ากลอง
แต่ร่างกายของบลัดดี้คองเคอเรอร์กลับพุ่งเข้าใส่สายฟ้าสีทองเหมือนกับไม่สามารถอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง มันเองก็สร้างความเสียหายเอาไว้บนพื้นหลายแห่ง หลุมขนาดใหญ่ที่กว้างเท่ากับคนสองสามคนนั้นเกิดจากพละกำลังอันมหาศาลที่มันภาคภูมิใจ
แต่สุดท้ายคนที่ล้มลงไปก่อนก็ยังเป็นมัน
การโจมตีของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่เพียงแต่ะรุนแรงอย่างมาก แต่มันยังมีความรวดเร็วไม่แพ้อันดีเซิร์ฟด้วย การโจมตีแต่ละครั้งจะทิ้งบาดแผลเอาไว้บนตัวบลัดดี้คองเคอเรอร์ สุดท้ายพลังเวทมนตร์ก็ถูกใช้ไปจนถึงขีดจำกัด ต่อให้เป็นผู้นำนรกระดับสูงที่มีความสามารถในการฟื้นฟูอันยอดเยี่ยมก็ยังมีวันที่ถูกผลาญพลังเวทมนตร์ไปจนหมด ในตอนที่ไซเลนท์เคลื่อนตัวเฉียดอีกฝ่ายแล้วใช้ดาบฟันขาหลังขนาดใหญ่จนขาด ผลแพ้ชนะก็ได้ถูกตัดสินออกมาแล้ว
“นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่เท่าเทียมกันเลย” เดธสการ์พูดออกมาเบาๆ
พลังของบลัดดี้นั้นคล้ายๆ กับอมนุษย์ของพวกมนุษย์ หินเวทมนตร์ของมันส่วนใหญ่ส่งผลต่อร่างกาย ทำให้มันแทบจะไร้ผู้ต่อกรบนสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเหล็กกล้าหรือการโจมตีจากพลังเวทมนตร์ มันก็ล้วนแต่มีความสามารถในการป้องกันอันแข็งแกร่ง ทันทีที่เข้าปะทะกันก็แทบไม่มีอะไรที่จะมาหยุดมันได้
ทว่าไซเลนท์ดิสแอสเตอร์นั้นเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับต้นๆ พรสวรรค์ของผู้พิฆาตเวทมนตร์ช่วยทำให้พลังของมันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น การรับรู้อันเฉียบคมและรูปร่างร่างกายทำให้มันสามารถหลบการโจมตีอันรุนแรงเหล่านั้นได้
ผลการต่อสู้ของทั้งสองย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเท่าเทียมกัน
“มันก็ไม่แน่” แต่เฮคซอดกลับพูดว่า “เจ้าดูนั่น”
“แค่กๆ…แค่ก…” ร่างกายของบลัดดี้เต็มไปด้วยบาดแผล เลือกสีน้ำเงินไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำพุ เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของมันไม่อาจฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเหล่านี้ได้ทัน มันยันขวานไปกับพื้นเพื่อพยุงร่างกายตัวเองเอาไว้ สีหน้าดูมีความสุขอย่างน่าประหลาด “ไม่เลวนี่ สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะที่ได้ชื่อว่าชารีตา! ข้าอยากจะสู้กับเจ้ามานานแล้ว อยากจะรู้นักว่าใครกันแน่…แค่ก…ที่เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์”
“….” ไซเลนท์เองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ บนเกราะของมันมีรอยยุบอยู่หลายแห่ง แขนข้างหนึ่งถูกฟันขาดจนห้อยตกอยู่ข้างกาย “ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้ข้าเพิ่งผ่านศึกที่เฉียดตายมา การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงยากที่จะตัดสินได้”
“นี่สิ…ถึงจะเป็นความสุขจากการฆ่าฟัน ใช่ไหม?” บลัดดี้กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง “เทียบกับการยอมแพ้แล้ว แบบนี้มันเหมาะกับข้ามากกว่า”
ไซเลนท์ถอนใจออกมา ก่อนจะถือดาบเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“แค่ก…คำถามสุดท้าย เจ้าเองก็เอาชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์มาเป็นเหตุผลในการคุกเข่ายอมแพ้ต่อมนุษย์เหมือนกับสวะพวกนั้นเหรอ?”
“ไม่ ข้าแค่ทำเพื่อวัลคีรีย์” พูดจบ ไซเลนท์ก็ยกดาบแทงเข้าไปในหน้าอกบลัดดี้
การกระเพื่อมของพลังเวทมนตร์เกิดขึ้นในโลกแห่งจิตสำนึกอีกครั้ง
ไม่มีใครกล้าขวาง แล้วก็ไม่มีใครคิดขวางด้วย เหมือนกับว่าทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้
“….หลังจากนี้จะเอายังไง?” หลังขมวดคิ้วไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเดธสการ์ก็พูดขึ้นมาว่า “มาเธอร์ออฟโซลที่จำเป็นต้องปลูกถ่ายทั้งหมดอยู่บนพระผู้สร้าง ตอนนี้หอคอยแห่งการให้กำเนิดที่สามารถผลิตละอองชีวิตได้เหลือเพียงแค่สามแห่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นฐานที่มั่นที่อยู่ทางเหนือซึ่งอยู่ใกล้พวกเราที่สุดก็ถูกอาณาจักรซีสกายยึดไปนานแล้ว หากอาร์เรียตากับเมืองสกายของเจ้าพังทลายลง พวกเราจะไม่มีที่ให้ถอยอีก”
“เรื่องที่ต้องทำมีมากมาย” เฮคซอดถอนใจออกมา “เจ้าจัดการหาที่พักให้กับพวกที่กำลังถอยมาจากด้านหลัง จากนั้นก็สร้างเส้นทางจ่ายหมอกแดงขึ้นมาระหว่างเมืองทั้งสอง ชิ้นส่วนสืบทอดต้องอยู่มือของเผ่าพันธุ์เรา เก็บไว้ให้ห่างจากพวกมนุษย์และอาณาจักรซีสกายยิ่งไกลยิ่งดี นอกจากนี้เผ่าพันธุ์เราต้องการจักรพรรดิองค์ใหม่เพื่อให้เผ่าพันธุ์สืบทอดต่อไปได้…” มันชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอน เรื่องแรกสุดที่เราต้องทำก็คือต่อรองกับพวกมนุษย์”
“หวังว่าวัลคีรีย์คงไม่ได้เลือกทางผิดนะ” เดธสการ์หมุนตัวเดินเข้าไปในค่าย ปีศาจตัวอื่นๆ ที่แห่มาแหวกทางให้มัน
สกายลอร์ดมองไปยังท้องฟ้ายามเช้าที่เป็นสีเลือดโดยไม่ได้ตอบอะไร
……
ตอนที่รู้ว่าฝูงบินกำลังจะลงจอด โรแลนด์ก็รีบเดินเข้ามาในลานบิน
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ทั้งกองทัพที่หนึ่ง ทีมก่อสร้าง เจ้าหน้าที่ขนส่ง…ทุกคนต่างวิ่งเข้ามารอรับเหล่าอัศวินอากาศที่กำลังกลับมา
ในตอนที่เครื่องบินปีกสองชั้นลำแรกวิ่งลงมาบนรันเวย์ของเกาะลอยฟ้า ทุกคนต่างระเบิดเสียงเฮดังสนั่นขึ้นมา!
หลังรออยู่นาน ในที่สุดโรแลนด์ก็มองเห็นซีกัลป์กับฟินิกส์ เมื่อเทียบกับตอนที่ออกเดินทางไปแล้ว ซีกัลไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ส่วนฟินิกส์นั้นเป็นรอยเต็มไปหมด แต่สภาพโดยรวมมันยังคงเป็นปกติ ไม่นาน เครื่องบินทั้งสองลำก็ค่อยๆ มาจอดอยู่หน้าเขา
ยังไม่ทันที่บันไดจะตั้งขึ้น เขาก็ก้าวอาดๆ ไปบนรันเวย์แล้ว
“เดี๋ยว เดี๋ยวๆ—” ทิลลีลงมาที่พื้นพร้อมกับห้ามเขาเอาไว้ “อย่าเข้ามา!”
“ทำไมล่ะ?”
“ท่านเคยบอกไม่ช่เหรอว่าหลังระเบิดมันจะมีการปนเปื้อนที่อันตราย? ถึงแม้ฟินิกส์จะอยู่ค่อนข้างไกลจากเป้าหมาย แต่มันก็อาจจะมีการปกเปื้อนได้ แล้วตอนนี้ข้ายังมาจับมันอีก ถ้าท่านเข้ามาล่ะก็—”
ทิลลียังไม่ทันพูดจบก็ถูกโรแลนด์กอดเอาไว้
“ช่างปะไรล่ะ”
เขาพูดยิ้มๆ
คนอื่นๆ สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีอีกหลายคนแห่กันเข้ามาที่ลานจอดเครื่องบิน พร้อมกับกางมือวิ่งเข้าไปกอดเหล่าอัศวินที่กลับมา ก่อนที่สุดท้ายจะจับพวกเขาโยนขึ้นไปในอากาศ!
บรรยากาศบนลานบินเต็มไปด้วยความสุขทันที
“เอ่อ ไหนพระองค์ตรัวว่าหลังพวกเขากลับมาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือกำจัดการปนเปื้อนและทำการตรวจสอบไม่ใช่เหรอ?” ไนติงเกลมุ่ยปาก
อันนาส่ายหัวยิ้มๆ “คนอื่นเลยเอาอย่างพระองค์เลย”
“ดูเหมือนจะจริง..” โรแลนด์กุมขมับ
“ยะฮู้ววว” ในเวลานี้ไนติงเกลร่อนลงมาจากฟ้า ก่อนจะโถมเข้าใส่ตัวเขา “พวกเราทำสำเร็จแล้ว!”
“จิีบ! ชนะแล้วจิ๊บ!” จากนั้นก็เป็นเมซี่
ส่วนแม่มดคนอื่นเองก็ตามเข้ามา
“พระองค์ไม่ห้ามพวกนางหน่อยเหรอเพคะ?” ไนตองเกลพูดพร้อมยักไหล่
ทิลลีครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มขึ้นมา “ช่างปะไรล่ะ!”
หลังเฮฮากันครู่ใหญ่ ในที่สุดบรรยากาศบนลานบินก็กลับมาเป็นปกติ หน่วยสนับสนุนได้แบ่งเครื่องบินที่บินกลับมาออกเป็นกลุ่มๆ ตามที่อัศวินอากาศรายงานมา เพื่อทำการตรวจสอบระดับการปนเปื้อนจากระยะห่างจากจุดระเบิด ส่วนฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่กู๊ดและคนอื่นๆ ขับนั้นถูกเอาไปทิ้งเนื่องจากเข้าใกล้พระผู้สร้างมากเกินไป
ไม่นานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่งก็ได้รับตัวเลขที่สรุปออกมา เครื่องบินที่กลับมาได้อย่างปลอดภัยมีทั้งหมด 146 ลำ นี่หมายความว่ากองกำลังทางอากาศของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เสียหายไปเกือบหนึ่งในสาม และส่วนใหญ่ก็เป็นเฮฟเว่นเฟลมรุ่นแรก เห็นได้ชัดว่าจำนวนปีศาจระดับสูงที่ปกป้องเมืองจักรพรรดินั้นมีมากกว่าแนวรบทางตะวันตก ถ้าหากใช้วิธีรบตามปกติ ศึกครั้งนี้คงยากที่จะจบลงในเวลาสั้นๆ ได้
นอกจากนี้เครื่องบินทิ้งระเบิดอีกสองลำก็มีแค่คุนเผิงที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย ในตอนที่ซิวเวียแจ้งคำสั่งเสียของอีเกิลเฟซ ทั้งห้องประชุมพลันตกอยู่ในความเงียบทันที
“เกรย์คาสเซิลจะไม่มีทางลืมพวกเขา” โรแลนด์พูดเสียงเบา “เอาไว้กลับไปถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เมื่อไร ข้าจะให้ทุกคนจดจำชื่อของพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เสียสละชีวิตหรือว่าผู้กล้าที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม แต่ก่อนที่จะเฉลิมฉลองกัน เรื่องแรกที่ต้องทำคือตรวจสอบสภาพร่างกายของอัศวินอากาศก่อน”
“ขอฝ่าบาทได้โปรดวางพระทัย ทางหน่วยสนับสนุนได้เตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขวานเหล็กตอบ
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่แผนการที่ได้เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งรวมไปถึงการตรวจสอบติดตาม และการแยกรักษา สำหรับฮีโร่ที่มีความสามารถในการย้ายอาการป่วยและนาน่าที่มีความสามารถในการรักษาที่สมบูรณ์แบบแล้ว การเจ็บปวดจากรังสีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรักษา ถึงแม้จะใช้เวลาค่อยจากนั้น อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่โรแลนด์ก็ไม่คิดที่จะทิ้งใครแม้แต่คนเดียว
“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอนุญาตให้คืนนี้ทุกคนจัดงานฉลองเล็กๆ ได้” เขาผ่อนน้ำเสียงลง ก่อนจะพูดยิ้มๆ ออกมาว่า “แด่ชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้”
ตอนที่ 1472 การเฉลิมฉลองและเรื่องที่คาดไม่ถึง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ชนแก้ว!”
อกาธายกแก้วขึ้นมา
“หมดแก้ว!” เหล่าแม่มดตะโกนขึ้นมาเสียงดัง แก้วสิบกว่าใบถูกยกขึ้นมา ก่อนจะชนเข้าด้วยกัน ในนี้มีทั้งแม่มดทาคิลาที่สูญเสียการรับรสไป แล้วก็มีแม่มดระดับสูงของสมาพันธ์ที่กลายเป็นร่างต้นแบบ โดยเฉพาะเหล่าแม่มดของทาคิลา สำหรับคนที่ผ่านสงครามแห่งโชคชะตาครั้งก่อนมาและต้องแบกรับความสิ้นหวังอย่างมากเอาไว้ ในที่สุดตอนนี้พวกเธอก็ได้ปลดเปลื้องก้อนหินที่กดทับอยู่ภายในใจออกไปเสียที พวกเธอสามารถหัวเราะมีความสุขกับทุกคนได้อย่างเต็มที่ เรียกได้ว่ารอยยิ้มของเธอเปล่งประกายมากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก
แต่ใช้ทุกการเสียสละจะได้รับสิ่งตอบแทน แล้วก็ไม่ใช่ทุกการยืนหยัดที่จะมองเห็นแสงสว่างในวันรุ่งขึ้น และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ในตอนที่การเสียสละและการยืนหยัดอดทนมาเป็นเวลาหลายร้อยปีไม่สูญเปล่า มันจึงยิ่งทำให้พวกเธอรู้สึกตื้นตันใจ
“เอ่อ…” นาน่ามองดูพวกพาซ่าอย่างสงสัย “พวกท่านดื่มแบบนี้มันรับรู้รสชาติได้จริงๆ เหรอ?”
แม่มดอาญาสิทธิ์นั้นแค่สูญเสียการรับรสไปเท่านั้น แต่วิธีการดื่มของพาซาร์ อาลิเธียและเซลีนนั้นไม่เหมือนกับที่ทุกคนคิดเอาไว้ — พวกเธอม้วนหนวดขึ้นมา แล้วเอาเหล้าเทไปบนหัวตัวเองเหมือนกับอาบน้ำอย่างไรอย่างนั้น
‘ถึงพวกเราจะไม่มีปาก แต่พวกมันก็สามารถใช้หนวดและผิวมาแยกแยะรสชาติและดูดซับน้ำได้ ยิ่งไปกว่านั้นการรับรู้ของพวกเรายังดีกว่าคนธรรมดาด้วย’ พาซาร์ตอบยิ้มๆ ‘นอกจากนี้ ขอบเขตการรับรสชาติของร่างต้นแบบก็ไม่เหมือนกับมนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงสามารถรับรสชาติที่ไม่เคยชิมมาก่อนได้’
“ว้าว..มันเป็นรสยังไงเหรอ? ข้าอยากรู้จัง!” สายตาไลต์นิ่งเป็นประกาย
“จากการวิจัยของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสได้ ดังนั้นถึงแม้นางจะพูดออกมา เจ้าก็ยากที่จะจินตนาการออก” แม่มดน้ำแข็งเทเหล้าให้ตัวเองใหม่อีกครั้ง “ถ้าอยากจะก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไป วิธีเดียวก็คือเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นร่างต้นแบบ”
‘อกาธา หรือว่าเจ้าคิดจะ…’ เซลีน
“อื้อ เอาไว้ทุกอย่างจบลงแล้ว ข้าอยากจะทำการถ่ายโอนวิญญาณ จากนั้นก็สร้างสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับขึ้นมาใหม่” อกาธาพยักหน้าอย่างสบายๆ “อายุขัยของแม่มดมีไม่ถึงร้อยปี ถ้าหากกลายเป็นร่างต้นแบบ ข้าก็จะสามารถทำงานวิจัยของตัวเองต่อไปได้” พอพูดจบเธอก็หันหน้าไปยิ้มให้ไลต์นิ่ง “คนที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนอย่างเจ้านั้นเหมาะที่จะเข้ามาอยู่ในสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับอย่างมาก ว่าไง สนใจจะเข้ามาไหม?”
“แต่ถ้ากลายเป็นร่างต้นแบบก็บินไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” ไลต์นิ่งครุ่นคิดไปเล็กน้อย “ข้ายังสำรวจโลกนี้ไม่หมดเลย เอาไว้วันไหนที่ข้าบินไม่ไหวแล้ว ข้าอาจจะลองคิดๆ ดู”
“เฮ้อ…คิดอะไรกันเนี่ย พูดอย่างกับว่าสงครามแห่งโชคชะตาจบลงแล้วอย่างนั้นแหละ” โลก้าดื่มเหล้าแก้วใหญ่จนหมด ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ตอนนี้แค่เอาชนะปีศาจได้เท่านั้น อีกด้านหนึ่งของทวีปยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่นะ! ใครจะไปรับประกันได้ว่าพอไปถึงบอทธ่อมเลสแลนด์แล้วจะจบสงครามลงได้ ดังนั้นวันนี้ก็แค่ดื่มให้เต็มที่ก็พอแล้ว!” เธอพูดพร้อมกับคลำถังเหล้าที่อยู่ข้างๆ “เอ๋? เหล้าหมดแล้ว…เหล้าถังใหม่ล่ะ?”
“ทุกคนเพลาๆ หน่อยดีกว่า วันนี้อีฟลินทำเหล้าเยอะมากแล้ว” มอลลี่สั่งการให้ผู้ช่วยวิเศษเหล้าถังเหล้าเปล่าออกไป “เพราะคืนนี้คนทั้งเกาะต่างก็กำลังฉลองอยู่ ต่อให้นางพยายามทำเต็มที่ก็ยังทำไม่ทัน”
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มยุ่งเหยิงหรือว่าเหล้าก็ล้วนแต่เป็นของที่เอาไว้ให้ทำให้มีความสุข มันย่อมไม่สามารถอาแรงงานคนที่ล้ำค่ามาใช้ในการขนส่งมันก่อนออกเดินทางได้ ด้วยเหตุนี้วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือพาอีฟลินขึ้นมาด้วย — ขอเพียงมีน้ำ เธอก็จะสามารถผลิตเหล้าออกมาได้ตลอดเวลา แต่ในตอนที่ทุกคนต่างเฉลิมฉลองในชัยชนะ เห็นได้ชัดว่าปริมาณที่มีมันไม่พอ
“พรืด” จู่ๆ อันนาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพลันหัวเราะออกมา
“ทำไมเหรอ?” ทุกคนพลันมองไปที่เธอ
“เปล่า…ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่คิดถึงเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งเท่านั้น” อันนาส่ายหัว “ฝ่าบาททรงแลนด์เคยตรัสอยู่บ่อยๆ ว่าพระองค์ทรงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงในการจำลองการวิวัฒนาการของอารยธรรมถึงมองเหล้าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ต่อให้อาหารและเสื้อผ้ามีไม่พอ แต่ขอเพียงมีเหล้า ความสุขและความพึงพอใจก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ถ้ามีแค่ของกินกับเสื้อผ้าล่ะก็ ผู้คนกลับจะก่อปัญหาขึ้นมา ฟังดูแล้วไม่มีเหตุผลเลย แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลไปซะทีเดียว”
“อ๊ากก…มาอีกแล้ว คำพูดประหลาดของท่านพี่” ทิลลีกรอกตา
ทุกคนพากันส่งเสียงหัวเราะออกมา
“เออใช่ ฝ่าบาทยังทรงทำงานอยู่อีกเหรอ? ตอนนี้วางงานลงก่อนน่าจะไม่เป็นไรหรือเปล่า?” เวนดี้พูด
งานเลี้ยงตอนกลางคืนโรแลนด์เพียงแค่ปรากฏตัวตอนเริ่มงานเท่านั้น หลังจากประกาศเปิดงานเล็กๆ น้อยๆ เขาก็กลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง — จากที่เขาบอกมา อีกไม่นานปีศาจน่าจะติดต่อมา เขาขำเป็นต้องจัดการงานในมือให้เรียบร้อย ถึงจะมั่นใจได้ว่าแผนการหลังจากนี้จะประสบความสำเร็จ เอาไว้ทำงานพวกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาน่าจะมาฉลองกับทุกคน
“เดี๋ยวข้าจะไปเร่งพระองค์แล้วกัน” อันนาลุกขึ้นยืน
“อย่างนั้นฝากเจ้าด้วยนะ” เวนดี้พูดยิ้มๆ
ถ้ำที่แม่มดฉลองกันนั้นอยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานของโรแลนด์เท่าไร หลังเดินผ่านทางเดินแคบๆ เส้นหนึ่งไป เธอก็เจอพื้นที่ทำงานที่อยู่ด้านหลังฐานบัญชาการ — ความจริงไม่ใช่แค่โรแลนด์เท่านั้นที่กำลังยุ่งอยู่ แต่ในห้องทำงานของฐานบัญชาการและทีมที่ปรึกษาก็มีเสียงฝีเท้าดังอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าการเดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์หลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนการนี้
แน่นอน ที่เธอมาหาโรแลนด์ไม่ใช่แค่เพื่อจะให้เขาพักผ่อนเพียงอย่างเดียว ในเวลานี้ไนติงเกลเองก็เฝ้าอยู่ข้างกายเขา และตัวเองก็เคยรับปากไปแล้วว่าหลังจบศึกนี้จะเป็นเวลาที่พวกเธอนัดหมายกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อันนาก็เคาะประตู
“เข้ามาสิ ประตูไม่ได้ล็อค” คนที่ตอบเธอคือไนติงเกล
เมื่อเห็นอันนา เธอก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แม้แต่สีหน้าก็ดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา “เอ่อ ทำไมเจ้าถึงมาได้…”
“ก็เรื่องที่เรานัดกันไว้น่ะสิ”
“ตะ ตอนนี้เหรอ? เดี๋ยวสิ…ข้ายังไม่ได้เตรียมตัวเลย…”
อันนายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ซะที่ไหนล่ะ ข้าแค่มาตามเขาไปดื่มเหล่าแทนคนอื่นเท่านั้น”
“อย่างนี้นี่เอง…” ไนติงเกลถอนใจเล็กน้อย แต่เธอกลับยังมีความรู้สึกเหมือนผิดหวังเล็กน้อยอยู่
“แต่การนัดหมายมันก็เป็นส่วนหนึ่ง จะพูดตอนนี้เลยก็ไม่มีปัญหา” อันนามองไปทางโรแลนด์ที่กำลังนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะ “เขายังอยู่ในโลกแห่งความฝันเหรอ?”
ไนติงเกลใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าอันนาตั้งใจที่จะพูดจริงๆ เธอจึงได้แค่ตอบกลับไปอย่างจนปัญญาว่า “อื้อ เข้าบอกว่าต้องตรวจสอบความคืบหน้าของโปรเจคใหม่ของสถาบันออกแบบเกรย์คาสเซิลหน่อย แล้วก็ยังต้องคุยเรื่องหลังจากนี้กับราชาปีศาจตัวนั้นด้วย ใช้เวลาไม่นานก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะ ถ้าเจ้าอยากจะเรียกเขาล่ะก็ แค่สะกิดเขาก็ได้แล้ว — เขาเคยบอกว่าตัดการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันได้ตลอดเวลา เพราะยังไงเวลามันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว”
อันนาพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือไปเขย่าตัวโรแลนด์เบาๆ
แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ
“แปลก เมื่อก่อนเรียกแค่นี้เขาก็น่าจะตื่นแล้วนี่นา หรือว่าหลายวันมานี้เขาเหนื่อยมากเกินไป?” ไนติงเกลเขย่าแขนโณแลนด์ แค่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตื่น
เธอพยายามออกแรงเพิ่มด้วยการดันตัวเขาขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับหงายตัวไปด้านหลังจนพิงกับพนักเก้าอี้ แขนทั้งสองข้างห้อยตกลงมาข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง เหมือนกับหมดสติไปอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองคนหน้าเปลี่ยนสีทันที!
ตอนที่ 1473 ถูกตัดขาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“งั้นเหรอ เมืองจักรพรรดิพังทลายแล้วสินะ…”
ภายในร้านกาแฟโรสคาเฟ่ วัลคีรีย์ค่อยๆ วางแก้วที่อยู่ในมือลง ก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ในเวลานี้โลกแห่งความฝันกำลังมีฝนตกปรอยๆ หยดน้ำที่อยู่บนหน้าต่างค่อยๆ ไหลมารวมกัน ก่อนจะหลอมรวมเข้ากับภาพสะท้อนของมันที่อยู่บนหน้าต่าง
ในดวงตาของมันดูสับสนอย่างมาก
ความจริงแล้ว ในตอนที่โรแลนด์โทรศัพท์มาหาวัลคีรีย์ เขาก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่หวั่นไหวของมัน หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็มาหาเขาเร็วอย่างมาก จนทำให้กางเกงของมันเปื้อนน้ำโคลนนิดหน่อย แค่เมื่อได้มาเจอหน้ากันแล้ว มันกลับไม่ถามอะไรเขา ส่วนใหญ่มันจะฟังเขาพูดมากกว่า ท่าทีที่ดูขัดแย้งกันนี้เห็นจากตัววัลคีรีย์ได้ไม่บ่อยนัก
“เนื่องจากเงื่อนไขมีจำกัด พวกเราจึงยังไม่ทันได้ตรวจสอบผลการสู้รบ แต่เมื่อดูจากรายงานที่ได้รับหลังจากการรบแล้ว ตอนนั้นเดอะแมสก์น่าจะอยู่บนพระผู้สร้างด้วย นี่หมายความว่าอุปสรรค์ที่ขัดขวางการเดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ได้ถูกกำจัดแล้ว พวกเราห่างจากคำตอบอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
โรแลนด์ไม่ได้พูดปลอบใดๆ
นี่คือค่าตอบแทนของความพยายามที่จะหยุดพระเจ้า และค่าตอบแทนที่อีกฝ่ายต้องจ่ายนั้นมากกว่าตัวเอง การปลอบใจกลับจะเป็นการแสดงความสมเพชอย่างหนึ่งมากกว่า
ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของวัลคีรีย์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่มันอยากได้ยินอย่างแน่นอน
“แน่นอน ข้าไม่รู้ว่าหลังไปถึงที่นั่นแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ขอเพียงเราหลุดออกจากสงครามที่ไม่มีวันจบนี้ได้ ข้าจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องเบาะแสของเกาะในสายหมอกนั้น เมื่อคิดถึงว่าที่นั่นเคยมีอาณาจักรซีสกายปรากฏตัว…”
“เผ่าพันธุ์ข้าไม่มีทางช่วยเจ้ารบกับอาณาจักรซีสกายแน่นอน” เป็นครั้งแรกที่วัลคีรีย์พูดตัดบทเขา “ถึงแม้จะไม่มีจักรพรรดิแล้ว แต่หัวหน้าแต่ละหน่วยก็ไม่มีทางที่จะยอมรับสถานการณ์ได้เร็วขนาดนั้นแน่ บางทีเฮคซอดอาจจะใช้ชื่อข้าในการรักษาระเบียบภายในกองทัพเอาไว้ได้อยู่ แต่นั่นก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เจ้าต้องอาศัยกำลังของตัวเองในการกำจัดพวกประหลาดที่คลานขึ้นมาจากทะเลพวกนั้นเอง”
เมื่อคิดถึงระยะห่างจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปจนถึงหน้าผาทางเหนือของดินแดนรุ่งอรุณ โรแลนด์พลันขมวดคิ้วขึ้นมา กองกำลังหลักบนเกาะลอยฟ้านั้นคือกองทัพอัศวินอากาศ แต่อาศัยเพียงกองกำลังทางอากาศนั้นไม่มีทางยึดพื้นที่ได้
“แต่ถ้าได้รับการสนับสนุนจากราชาซักตัวสองตัวมันก็ไม่แน่” อีกฝ่ายพูดต่อ “อย่างเช่นสกายลอร์ดกับไซเลนท์ดิสแอสเตอร์”
“เจ้าหมายความว่า…”
“กองทัพตะวันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเฮคซอด นี่หมายความว่าเจ้าสามารถใช้สันหลังของทวีปเชื่อมต่อพื้นที่ทางเหนือและใต้ได้ เมื่อมีประตูมิติ มันก็ไม่ถือเป็นเส้นทางที่ยาวอะไร” ในตอนที่พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของไนท์แมร์ได้กลับมาเป็นปกติแล้ว “ดังนั้นขอเพียงเจ้ารีบเคลื่อนกองกำลังไปยังทางเหนือของอีเทอร์นอลวินเทอร์ก็น่าจะตามเกาะลอยฟ้าได้ทัน”
“งั้นเหรอ…วิธีเหมือนจะเป็นไปได้นะเนี่ย” ในเมื่อวัลคีรีย์เอ่ยปากมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันคงคิดจะคุยกับเฮคซอดเองอย่างไม่ต้องสงสัย แบบนี้แผนการนี้ก็มีความเป็นไปได้สูง ถึงแม้จะไม่ถึงกับร่วมมือสู้อาณาจักรซีสกายด้วยกัน แต่การที่สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ มันก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากแล้ว “ขอบคุณมากนะ” โรแลนด์พยักหน้า
“ข้าเคยบอกแล้ว ทั้งหมดนี้ข้าทำเพื่อเผ่าพันธุ์ เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”
“ข้ารู้ แต่สุดท้ายมนุษย์ก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะต้องการหรือไม่ ข้าก็จะพูดออกไป”
“แล้วแต่เจ้าเถอะ”
ทั้งสองคนจ้องมองกันอยู่ครู่ ภายในร้านกาแฟเงียบลงไป
“….เจ้าอยากจะพูดแค่นี้เหรอ?” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง วัลคีรีย์จึงถามขึ้นมา
“ความจริงก็คิดจะพูดหลายอย่าง แต่ข้าคิดว่าเจ้าไม่น่าจะอยากฟัง” โรแลนด์ตอบอย่างสบายๆ
“เหอะ” มันทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘ก็ดีที่รู้’ ออกมา “อย่างนั้นเจ้าไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกเยอะใช่ไหมล่ะ?”
“ก็จริง” การพูดกับคนฉลาดมักจะไม่มีอะไรยุ่งยาก โรแลนด์มองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพง นับตั้งแต่ที่เข้ามาในโลกแห่งความฝันก็เป็นเวลา 3 ชั่วโมง 20 นาทีแล้ว เมื่อคำนวณตามเวลาที่ต่างกันของทั้งสองโลกแล้ว งานเลี้ยงน่าจะยังไม่เลิก “อย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ…หืม?”
ทันใดนั้นเขาพลันสังเกตเห็นว่าในซอยเหมือนจะมีความผิดปกติอะไรบางอย่าง
เห็นๆ อยู่ว่าฝนกำลังตกลงมาปรอยๆ แต่ผู้คนกลับเดินออกมาจากในร้านไปรวมตัวกันอยู่บนถนน คนที่ถือร่มอยู่ก็วางร่มลงพร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า สายตาของพวกเขาต่างจ้องมองไปบนฟ้า เหมือนกับบนนั้นมีอะไรน่าเหลือเชื่ออยู่
“พวกเขากำลังทำอะไร?” วัลคีรีย์เองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวข้าออกไปดูหน่อย” โรแลนด์พูดจบก็เดินออกไปนอกร้านกาแฟ แต่ไม่นานเขาก็ต้องยืนตกตะลึงอยู่ตรงหน้าประตู เขามองเห็นอีกฟากหนึ่งมีลำแสงสีแดงเส้นเล็กๆ พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก็เชื่อมโยงเข้ากับรูปทรงหกเหลี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนจนกลายเป็นเหมือน ‘ร่มขนาดใหญ่’ ที่ปกคลุมอยู่ด้านบน
“นั่นมันอะไร? การแสดงไฟแบบใหม่เหรอ?”
“แต่มันใหญ่เกินไปหน่อยมั้ง!”
“ไม่รู้ว่าไฟนั้นพุ่งขึ้นมาจากตรงไหน ใจกลางเมืองก็ไม่ได้อยู่ทางนั้นนี่นา”
“ลองไปดูบนถนนใหญ่ไหม?”
ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้คน คำแนะนำว่าให้ไปดูใกล้ๆ ได้รับการเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ฝูงคนเริ่มเคลื่อนตัวออกไปนอกชุมชน จากนั้นก็มีผู้สงสัยคนอื่นๆ เข้าร่วมกลุ่มด้วย ทำให้ในซอยเล็กๆ พลันเหมือนสายน้ำหลาดทันที
“นั่นไม่ใช่แสงไฟ” วัลคีรีย์ที่ตามออกมาพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ข้าก็คิดอย่างนั้น” โรแลนด์ขมวดคิ้ว ถึงแม้บนหัวจะยังมีเมฆฝนปกคลุมอยู่ แต่ตอนนี้มันก็ยังเป็นเวลากลางวัน ไม่มีแสงไฟไหนที่จะสว่างถึงขนาดนี้ได้ นิ่งไปกว่านั้นเส้นสีแดงเหล่านั้นยังสว่างแบบวูบวาบ เหมือนกับว่าด้านในมีอะไรกำลังไหลอยู่ ดูแล้วคล้ายกับเส้นเลือด
และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีมากที่สุดก็คือแผ่นหกเหลี่ยมที่เป็นเหมือนรังผึ้งเหล่านั้น ตอนที่เทวทูตโจมตีซีโร่เขาเองก็เคยเห็นภาพคล้ายๆ กันแบบนี้มาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นมันเป็นเหมือนกระจก แต่ตอนนี้มันกลับเหมือนแผ่นโปร่งแสง
โรแลนด์โทรศัพท์ไปหาการ์เซีย คำตอบที่ได้รับคือศูนย์พักพื้นยังไม่ถูกโจมตี ซีโร่เองก็ปลอดภัยดี นี่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนที่สายเพิ่งตัดไป โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
คนที่โทรมาคือเฟยอวี่หาน
“ฮัลโหล ตอนนี้นายอยู่ไหน? สมาคมมีประกาศฉุกเฉินให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนกลับไปรวมตัวกันที่ฐานบัญชาการตอนนี้เลย”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“จู่ๆ เมืองสกายซิตี้ก็ขาดการติดต่อกับโลกภายนอกไป รายละเอียดตอนนี้กำลังทำการตรวจสอบอยู่ แต่ว่า…นายเห็นแสงสีแดงบนฟ้าหรือยัง? มันถูกยิงออกมาจากเมืองสกายซิตี้”
โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที เมืองสกายซิตี้อยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกซีกโลกหนึ่ง จะเป็นไปได้ยังไงก็จะมองเห็นแสงนั้นได้ด้วยตาเปล่า? นี่มันเลยความโค้งของโลกแล้ว!
เขาอดนึกถึงพระจันทร์สีแดงที่มองเห็นได้ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกขึ้นมาไม่ได้
“….ฉันรู้แล้ว”
“เออใช่ วัลคีรีย์ก็อยู่ตรงนั้นด้วยใช่ไหม? เรียกเธอมาด้วย”
เดี๋ยวๆ…เธอรู้ได้ยังไงว่าไนท์แมร์อยู่ที่นี่? แต่โรแลนด์ยังไม่ทันจะเอ่ยปากพูดอะไร อีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้งไปเสียแล้ว
“สมาคมโทรมาเหรอ?” วัลคีรีย์ถาม
“อื้อ ปรากฏการณ์แปลกๆ นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเทวทูต” โรแลนด์แสดงสีหน้าสงสัยออกมา เขาคิดจะออกจากโลกแห่งความฝันไปก่อน เรื่องนี้เหมือนจะไม่ใช่ปัญหาที่จะจัดการได้ในระยะเวลาสั้นๆ เอาไว้จบงานเลี้ยงแล้วค่อยมาจัดการก็ยังไม่สาย ยิ่งไปกว่านั้นข้างนอกยังมีแม่มดอาญาสิทธิ์ที่พร้อมให้การสนับสนุนทุกเมื่อ ไม่เหมือนตอนนี้ที่มีแค่หลิงกับดาเนนที่เฝ้าอยู่ในร้านกาแฟ
แต่ความรู้สึกมึนงงอย่างที่คุ้นเคยก็ไม่ปรากฏขึ้นมา
เขากะพริบตาอย่างแปลกใจ ก่อนจะลองดูอีกครั้ง แต่ภาพรอบตัวก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับว่าไม่มีโลกอีกโลกหนึ่งอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่ 1474 ตัวแทน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“นาน่าว่ายังไงบ้าง?”
ไนติงเกลเดินเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะถามอันนาที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง
“ตรวจดูแล้วไม่พบความผิดปกติอะไร…ทั้งการหายใจ การเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกายล้วนแต่เป็นปกติ เหมือนกับหลับไปอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่…”
เพียงแต่ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น
ไนติงเกลรู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เมื่อคืนไม่มีใครที่จะคิดถึงว่างานเลี้ยงที่เฉลิมเฉลิงชัยชนะจะกลายเป็นแบบนี้ ตอนนั้นสิ่งที่อันนาทำคือให้องครักษ์และแม่มดอาญาสิทธิ์ปิดล็อคพื้นที่นี้ จากนั้นจึงเรียกคนอื่นๆ อย่างทิลลี เวนดี้และขวานเหล็กเข้ามา ถึงจะเจอกับเหตุการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้ แต่ก็ยังทำการตัดสินใจออกมาโดยไม่ลนลาน คงจะมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
เสียดายที่วิธีการเหล่านี้ไม่สามารถปลุกโรแลนด์ขึ้นมาได้
“ซีกัลเพิ่งจะขึ้นอีก จุดหมายปลายทางคือเมืองกลอรีของอาณาจักรดอว์น” ไนติงเกลเปลี่ยนประเด็น “ถ้าหากไลต์นิ่งส่งข่าวได้ทันเวลา ประมาณสามวันก็น่าจะพาไนท์ฟอลมาที่เกาะลอยฟ้าได้
“อื้อ น่าจะทันอยู่” อันนาพยักหน้า
โรแลนด์ไม่ได้มีร่างกายเหมือนนักรบอาญาสิทธิ์ เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถกินอาหารได้ เขาก็จำเป็นต้องใช้เมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันของไนท์ฟอลในการดำรงชีวิต การที่เลือกจุดรับส่งอยู่ที่เมืองกลอรีก็เพื่อที่จะประหยัดเวลา — ถ้าไลต์นิ่งกับเมซี่ออกเดินทางไปด้วยกันก็จะเร็วกว่าซีกัล นี่ทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีเวลาพอที่จะเรียกไนท์ฟอลมาแล้วพาเธอไปส่งยังอาณาจักรดอว์น
และเจ้าของความคิดนี้ก็คืออันนา
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ นั่นคือพวกเธอไม่ใช่เพิ่งจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้หลังจากที่สู้กับซีโร่ โรแลนด์ก็เคยสลบไปแบบนี้เป็นเวลานานเหมือนกัน สภาพของเขาในตอนนั้นเหมือนกับตอนนี้ไม่มีผิด
การสลบไปครั้งนั้นทำให้เขาสามารถเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึกและสร้างโลกแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ และครั้งนี้เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับแห่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ที่เล่าสืบต่อกันมาเหมือนกัน
“หลังจากนี้พวกเราจะทำยังไง?” ไนติงเกลอดถามขึ้นมาไม่ได้
ตอนนี้คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของแต่ละหน่วยบนเกาะลอยฟ้าเท่านั้น ถ้ากลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้ เกรงว่าคงจะปิดเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แน่ ทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป ก็คงต้องใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้แผนการที่วางเอาไว้ต้องล่าช้าออกไป แต่มันยังจะเป็นการเพิ่มตัวแปรใหม่ให้กับทางปีศาจและอาณาจักรซีสกายด้วย
แต่การมุ่งหน้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ตามแผนนั้นก็มีความเสี่ยงอย่างมาก เพราะคนที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้มีแค่โรแลนด์เพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดความไม่ตื่นขึ้นมา สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็จะยิ่งเลวร้ายขึ้น
นอกจากอันนาแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่ายังมีใครที่สามารถตัดสินใจแบบนี้ได้
อันนาจ้องมองโรแลนด์ที่นอนอยู่บนเตียง เหมือนกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวไป หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เธอจึงค่อยๆ พูดขึ้นมา
“เดินหน้าตามแผนที่วางเอาไว้”
ถึงแม้เสียงจะเบา แต่มันกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
“ถ้าเป็นโรแลนด์ล่ะก็…เขาก็ต้องพูดแบบนี้เหมือนกัน ผู้คนจำนวนมากต้องสละชีวิตตัวเองกว่าจะทำให้เร็วมีโอกาสอันนี้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นอย่างไรมันก็ต้องลองดู ถ้าหากถอยหลังกลับตอนนี้ โรแลนด์ก็ไม่แน่ว่าจะตื่นขึ้นมา แต่อาณาจักรซีสกายที่บุกเข้าไปโจมตีแบล็คสโตนแล้วคงจะไม่รอพวกเราอยู่กับที่แน่นอน — ในสถานการณ์ที่เขาสลบอยู่แบบนี้ พวกเราคงไม่สามารถเปิดศึกใหม่ได้”
สมแล้วที่เป็นอันนา…ไนติงเกลแอบคิดในใจ ความจริงแล้วเธอเองก็เห็นด้วยที่จะเดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ ในเมื่อการสลบของโรแลนด์มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับโลกแห่งจิตสำนึก อย่างนั้นเมื่อเปรียบเทียบระหว่างแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว เห็นได้ชัดว่าแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์นั้นมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาได้มากกว่า แต่เหตุผลมันก็ส่วนเหตุผล การตัดสินใจคือการเอาความรับผิดชอบมาแบกไว้บนบ่า ถึงแม้คนอื่นๆ จะรู้ถึงจุดนี้ แต่พวกเขาก็อาจจะเลือกวิธีที่มันปลอดภัยมากกว่า แทนที่จะเดินหน้าต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายไม่มีแม้กระทั่งความสับสนและความลังเล
ในตอนที่เธอเตรียมจะพูดอะไร ทิลลีพลันผลักประตูเดินเข้ามาในห้อง
สีหน้าอีกฝ่ายดูคร่ำเคร่งอย่างมาก “เฮคซอดมาแล้ว”
….
ชั้นล่างของเกาะลอยฟ้า ภายในพื้นที่ใจกลางของเสาหินอาญาสิทธิ์
“คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ข้าต้องมาเติมละอองชีวิตในดินแดนของมนุษย์” สกายลอร์ดเอาถังเก็บหมอกแดงที่บรรจุหมอกแดงจนเต็มใส่เข้าไปในร่างกาย ก่อนจะสูดหายใจลึก “รสชาติไม่เลวทีเดียว”
‘ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะปล่อยให้ปีศาจสองตัวมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเองได้’ เอเลนอร์จ้องมองดูทั้งสองด้วยสายตาเยือกเย็น ‘พอคิดถึงว่ามีโอกาสที่แก้แค้นให้กับสมาพันธ์หลังผ่านมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ข้าก็แทบอยากจะพุ่งเข้าไปตอนนี้เลย’
“อันดับแรก ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะอยู่ในแบล็คสโตน ไม่ได้เข้าร่วมศึกบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์เลย อันดับต่อมา การทำแบบนี้ไม่ส่งผลดีต่อทั้งเจ้า สมาพันธ์และมนุษย์เลย ดังนั้นเจ้าไม่ควรจะเอาความโกรธมาลงที่เรา” เฮคซอดผายมือ
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กวาดตามองมัน “ถ้าเจ้าหุบปากล่ะก็ นางก็คงไม่รู้สึกอยากจะพุ่งเข้ามาหรอก”
‘บรรจุเสร็จแล้วก็ออกไปซะ คนที่พวกเจ้ามาหามาถึงแล้ว’
หลังเดินออกมาจากบ่อละอองชีวิตแล้วเดินเข้ามาในถ้ำที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง เฮคซอดพลันขมวดคิ้วขึ้นมา
มันมองเห็นคนหลายคน มีทั้งแม่มด ร่างต้นแบบ แล้วก็ทหารมนุษย์ที่สวมชุดเครื่องแบบ แต่กลับไม่มีโรแลนด์ที่เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล
“นี่มันหมายความว่ายังไง?” มันถามเสียงต่ำ
ในขณะที่พระผู้สร้างเพิ่งจะพังทลายและมนุษย์ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ คำพูดที่เต็มไปด้วยความสงสัยนี้ทำให้บรรยากาศในที่ตรงนี้ตรึงเครียดขึ้นมาทันที
“ข้าคืออันนา เป็นภรรยาของโรแลนด์ ราชินีของเกรย์คาสเซิล” อันนาก้าวออกมาจากกลุ่มคนแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเฮคซอด — ส่วนสูงของทั้งสองต่างกันเกือบเท่าหนึ่ง ในตอนที่ยืนประจันหน้ากันนั้นยิ่งเห็นได้ชัด “ตอนนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดกับฝ่าบาทโรแลนด์ พระองค์จึงไม่สามารถออกมาพบเจ้าได้”
จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องที่โรแลนด์สลบไปและเรื่องความสัมพันธ์กับโลกแห่งความฝันออกมา
ตอนแรกเฮคซอดทำหน้าตกใจออกมาก่อน หลังจากนั้นสีหน้าก็ยิ่งดูแย่ขึ้นมา
“อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่ตกลงกับเผ่าพันธุ์ข้าไม่อยู่แล้ว?”
“อันดับแรกข้าต้องขอแก้ไขคำพูดของเจ้าก่อน” อันนี้พูดเสียงดังขึ้น “ฝ่าบาทโรแลนด์เพียงแค่สลบไปเท่านั้น พระองค์ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้พวกเราต่างก็รู้ดีว่าข้อตกลงที่ว่ามันคืออะไร ต่อให้พระองค์ไม่ตื่นขึ้นมา ข้าก็จะทำตามที่ตกลงเอาไว้แทนพระองค์เอง!”
“เจ้ามนุษย์ เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?” สกายลอร์ดโมโหจนหัวเราะออกมา “นั่นมันเป็นเรื่องที่มีแต่ผู้ที่ถูกเทวทูตเลือกเท่านั้นถึงจะทำได้ เจ้าแม้แต่โลกแห่งจิตสำนึกก็ยังเข้าไปไม่ได้ แต่กลับจะมาแทนที่เขาอย่างนั้นเหรอ? บ้าเอ้ย…วัลคีรีย์มันคิดผิดสินะ ถ้ามีเป็นการโจมตีกลับจากพระเจ้าล่ะก็ อย่างนั้นทุกอย่างก็คงจบสิ้นแล้ว”
“ไม่ เจ้าผิดแล้ว” อันนาพูดตัดบท “ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก เพราะว่าตอนนี้ฝ่าบาทโรแลนด์อยู่ในโลกแห่งความฝันแล้ว ไม่ว่ายังไงเข้าก็จะมุ่งหน้าไปยังที่หมาย ส่วนเรื่องที่ข้าจะทำแทนเขานั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ข้าจะให้เกาะลอยฟ้ามุ่งหน้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ต่อ ขณะเดียวกันก็จะเกณฑ์กองหนุนมาจากทางเกรย์คาสเซิลด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าแผนการนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น แน่นอนว่าเรื่องนี้มันต้องอาศัยการช่วยเหลือจากเจ้าด้วย”
“ล้อข้าเล่นหรือเปล่าเนี่ย”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น และนี่็ก็เป็นวิธีเดียวที่จะรับมือก่อนวิกฤตจะมาถึง” เธอพูดอย่างหนักแน่น “ความร่วมมือจะไม่หยุด แล้วก็จะไม่สูญเปล่าด้วย เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้โณแลนด์ได้เดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือไล่ตามไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากสงครามแห่งโชคชะตา แล้วทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปได้!”
“หึ พูดซะฟังดูดี” เฮคซอดยิ้มเยือกเย็นออกมา “การปกครองอาณาจักรๆ หนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าเข้าใจดีกว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลมีความหมายต่อมนุษย์อย่างพวกเจ้าอย่างไร แล้วก็รู้ดีถึงความเย้ายวนของอำนาจที่มีต่อมนุษย์ ตอนนี้เขาไม่อยู่ เจ้าคิดว่าอาศัยเจ้าเพียงคนเดียวจะสามารถควบคุมทั้งหมดนี้ได้เหรอ?” มันมองไปทางคนที่อยู่ด้านหลังอันนา “ให้เด็กหญิงอายุ 20 กว่าปีมาเป็นตัวแทนผู้ปกครองของเกรย์คาสเซิล…หรือว่าพวกเจ้าไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว? หรือว่าพวกเจ้าไร้เดียงสาจนถึงขนาดที่คิดว่าเธอเพียงคนเดียวจะสามารถ…”
ตอนที่พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เสียงของสกายลอร์ดก็ค่อยๆ เบาลง
มันมองเห็นสายตาของทุกคนจ้องมาที่ตัวเอง ถึงแม้จะไม่มีใครตอบคำถามของมัน แต่บางครั้งการเงียบมันก็เป็นคำตอบอย่างหนึ่ง
เด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าสามารถเป็นตัวแทนมนุษย์ได้
ตอนที่ 1475 การเปลี่ยนแปลงของเมืองสกายซิตี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
สุดท้ายเฮคซอดก็เลือกที่จะร่วมมือ
ถึงแม้ขอเพียงคิดดีๆ ก็จะรู้ว่านี่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด แต่ในตอนที่เห็นราชาปีศาจถูกแม่มดสาวคนหนึ่งพูดกล่อมจนต้องล้มเลิกความคิดของตัวเองไป ทุกคนก็ยังรู้สึกเหมือนหน้าอกร้อนระอุ พวกเขาต่างเชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ข้อเรียกร้องเพียงหนึ่งเดียวของสกายลอร์ดคือทำการยืนยันสิ่งที่อันนาได้บอกมา ซึ่งในจุดนี้ก็ได้รับการอนุญาตจากเธอ
เฮคซอดและเซโรเชสได้เห็นโรแลนด์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงภายใต้การคุ้มครองของแม่มดอาญาสิทธิ์เป็นชั้นๆ — ลำแสงบนตัวเขายังคงใหญ่โตจนแทบจะปกคลุมเกาะลอยฟ้าไปครึ่งเกาะ
“หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน ข้าคงจะดีใจที่ได้เห็นภาพนี้” เฮคซอดเก็บหินเวทมนตร์หลากสีเข้าไปในหน้าอก ก่อยจะสูดหายใจเล็กน้อย “พวกเข้าได้ลองเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันหรือยัง?”
“เคยแล้ว แต่ไม่สำเร็จ” คนที่ตอบมันคือฟิลลิส “โลกนั้นไม่ยอมรับวิญญาณของพวกเราอีกแล้ว ส่วนเพื่อนของเราที่เข้าไปในนั้นก่อนหน้าก็สลบไปเหมือนกัน พวกเราจึงไม่สามารถส่งข่าวให้ฝ่าบาทโรแลนด์ได้ — ตอนนี้การเชื่อมต่อของทั้งสองโลกถูกตัดขาดแล้ว”
“หากคิดในทางที่ดี อย่างน้อยเขาก็มีแม่มดอยู่เป็นเพื่อนด้วยสองคน” เฮคซอดยักไหล่ จากนั้นจึงหันไปพูดกับอันนาว่า “แผนการตะวันตกเป็นแผนที่ดำเนินมาเป็นเวลาเกือบร้อยปีเพื่อที่จะขนเอาละอองชีวิตหรือที่พวกเจ้าเรียกว่าหมอกแดงจากแบล็คสโตนเข้ามายังดินแดนของมนุษย์ มันไม่ได้มีแค่หอคอยแห่งการให้กำเนิดเท่านั้น แต่ยังมีช่องทางที่แอบซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาด้วย และปากทางของช่องทางนี้ก็อยู่ห่างจากดินแดนทางเหนือของอีเทอร์นอลวินเทอร์ไปแค่ช่วงเขาเท่านั้น ดังนั้นหากเจ้าจะส่งกองหนุนไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าวิ่งไปๆ กลับๆ ถ้าเจ้าชอบเสี่ยงล่ะก็ ข้าสามารถช่วยเจ้าเปิดประตูมิติได้”
“อย่างนั้นก็ดี” อันนาพยักหน้า “ข้าเชื่อว่าจะมีไซเลนท์ดิสแอสเตอร์คอยให้ความคุ้ม พวกของพวกเจ้าน่าจะไม่ว่าอะไรหากพวกข้าจะยืมเส้นทางนี้”
ให้ราชาปีศาจมากำลังพวกปีศาจที่คิดจะลงมือ นี่เป็นความคิดที่บ้าคลั่งอย่างมาก คนอื่นๆ พากันเหงื่อตก แต่กลับเป็นเฮคซอดที่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“เป็นเด็กสาวที่น่าสนใจจริงๆ ถ้ามันตกลงล่ะก็ ข้าเองก็ไม่มีปัญหาอะไร”
เซโรเชสถอดหมวกเหล็กสีดำที่ดูดุร้ายออก พร้อมกับเผยให้เห็นผมที่ยาวสลวยซึ่งดูไม่เข้ากับภาพลักษณ์ภายนอก ใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ของผู้หญิงทำให้คนที่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันพากันตกตะลึง มันมองดูอันนาอยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ข้ามีเงื่อนไหว ตอนที่เจ้าพาโรแลนด์เข้าไปในบอทธ่อมเลสแลนด์ ข้าจะเข้าไปด้วย”
“เพราะไนท์แมรท์ลอร์ดงั้นเหรอ?” อันนาถามตรงๆ
แต่เซโรเชสกลับไม่ได้ตอบอะไร
“ข้ารับปากเจ้า” สุดท้ายเธอจึงตอบออกมาอย่างหนักแน่น
หลังได้รับคำตอบแล้ว ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ก็ใส่หมวกกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกนอกห้องนอนไป
เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดที่จะเข้ามาพัวพันกับการพูดคุยแผนการหลังจากนี้
เฮคซอดเหมือนจะเคยชินกับนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว “เดี๋ยวพวกเราเปลี่ยนที่คุยกันเถอะ — เกี่ยวกับแผนการหลังจากนี้ว่าจะเดินทางไปยังเกาะแห่งหมอกที่ถูกอาณาจักรซีสกายยึดครองอย่างอย่างไร”
….
หลังมาถึงฐานที่มั่นไม่นาน โรแลนด์กับวัลคีรีย์ก็ถูกเจ้าหน้าที่้ต้อนรับพาเข้าไปในห้องประชุมใหญ่แห่งหนึ่ง
ภายในห้องมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่น้อยมาถึงอยู่ก่อนแล้ว แต่พวกเขาส่วนใหญ่จับกลุ่มอยู่พื้นที่ด้านหลัง ส่วนเขาถูกพาไปนั่งแถวหน้าสุด คนที่นั่งอยู่ข้างเขานั่นคุ้นหน้าเป็นอย่างมาก คนๆ นั้นก็คืออัจฉริยะในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ — เฟยอวี่หาน
หลังจากที่รู้ว่าไม่สามารถออกไปจากโลกแห่งความฝันได้ โรแลนด์ใจเย็นมากกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้ พูดอีกอย่างคือเขาเตรียมตัวเรื่องที่เทวทูตจะไม่ยอมรามือเอาไว้แต่แรกแล้ว
ถ้ายังอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรงว่าเขาคงจะเกิดความกังวลเป็นแน่ แต่ตอนนี้เมืองจักรพรรดิของปีศาจซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดได้ถูกทำลายลงแล้ว เกาะลอยฟ้าที่เอเลนอร์ความคุมอยู่ก็เป็นพื้นที่ที่ตัดขาดการส่งข้อมูลออกมาสู้ภายนอก ต่อให้ตัวเองไม่ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสถานการณ์การรบมากนัก ขอเพียงรีบจัดการเทวทูตที่เข้ามาก่อความวุ่นวายนี้ก็พอ
ทั้งสามคนทักทายกันอย่างง่ายๆ ถึงแม้จะพูดคุยกันแค่ไม่กี่คำ แต่โรแลนด์ก็ยังรู้สึกได้ว่าท่าทีของวัลคีรีย์นั้นดูเป็นมิตรกับเฟยอวี่หานมากกว่าตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
ราชาปีศาจไปสนิทกับผู้ฝึกยุทธ์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?
ทั้งๆ ที่เขาเลี้ยงกาแฟเกาะคาร์การ์ดอีกฝ่ายอยู่ตลอดแท้ๆ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ผู้คุมร็อคก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องประชุม
“ทุกท่าน พวกเรามีปัญหาแล้ว” การเปิดประเด็นตรงๆ ของเขาทำให้ทุกคนภายในห้องประชุมพากันเงียบลงทันที
จากนั้นร็อกกดรีโมทที่อยู่ในมือ ภาพจำนวนหลายภาพปรากฏขึ้นบนฉากที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ทุกคนพากันสูดปากออกมาด้วยความตกใจ
รูสีแดงสดจำนวนหลายรูปรากฏขึ้นตามถนนภายในเมือง ขนาดของพวกมันมีทั้งใหญ่และเล็ก รูขนาดใหญ่นั้นแทบจะกว้างเท่ากับตึกๆ หนึ่ง ส่วนอันเล็กสามารถคลุมรถได้หนึ่งคัน ผู้ฝึกยุทธ์นั้นรู้จักเจ้าสิ่งนี้เป็นอย่างดี นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การกัดกิน’ ซึ่งเคยทำลายเมืองปริซึมเมื่อก่อนหน้านี้
เห็นได้ชัดคนที่อยู่ในขอบเขตของรูเหล่านั้นต่างตายหมดแล้ว แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด
ในรูปมีภาพของฟอลเลนอีวิลจำนวนมาก พวกมันมารวมตัวอยู่รอบๆ รูเหมือนว่าอยากจะกระโดดลงไปบนรูสีแดงเหล่านั้น
“บูชายัญ” เฟยอวี่หานพูดขึ้นมาเบาๆ
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น” โรแลนด์พยักหน้า เหตุการณ์แบบนี้เขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว — ในตอนที่ทำภารกิจกวาดล้างฟอลเลนอีวิล ศัตรูเคยใช้แกนพลังธรรมชาติจำนวนมากทำให้เกิดการกัดกินขึ้นเพื่อเรียกเอาสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ขึ้นมา
ตอนนี้เมืองที่พวกเขาอยู่ยังคงปกติดี อย่างนั้นก็คงเดาได้ไม่ยากแล้วว่าปัญหาที่ว่านี้มันเกิดขึ้นที่ไหน
“นี่เป็นรูปที่ส่งกลับมาจากเมืองสกายซิตี้ ตอนนี้ที่นั่นตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างมาก” ร็อคพูดเสียงเบาๆ “ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันโผล่ออกมาจากไหน แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ในสำนักงานใหญ่เป็นยังไงบ้าง ทุกที่ต่างเต็มไปด้วยรถและผู้คนที่พากันหนีตายออกมา แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ส่งรูปเหล่านี้กลับมาก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน” เขาชะงักไปเล็กน้อย “นี่คือศึกที่เกิดจากฟอลเลนอีวิล พวกเราจำเป็นต้องรีบเข้าช่วยเหลือเมืองสกายซิตี้ทันที!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้คุมก็จงใจหันมาสบตาโรแลนด์ทีหนึ่ง
“เนื่องจากมีเวลาไม่มาก หลังไปถึงที่หมายจะมีคนมาแจ้งเรื่องรายละเอียดภารกิจให้ทุกคนทราบอีกทีหนึ่ง อีกสามสิบนาทีหลังจากนี้เครื่องบินขนส่งมาถึงที่นี่ ถึงตอนนั้นให้ทุกคนรีบออกเดินทางทันที — ภารกิจครั้งนี้ไม่มีการแบ่งฝ่าย แล้วก็เป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้แสดงความสามารถของตัวเอง”
หลังการประชุมจบลง อีกฝ่ายก็เรียกโรแลนด์ให้อยู่ก่อน “คุณโรแลนด์….พวกเราช้าไปก้าวหนึ่ง”
หลังจากที่เขาเคยแสดงการดูดซับพลังแห่งธรรมชาติไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงของเมืองปริซึมก็เคยคิดเรื่องที่จะเอาแกนพลังธรรมชาติที่เหลือออกมาให้เขากำจัดทิ้ง ความจริงแล้วก็มีแกนพลังแห่งธรรมชาติจำนวนไม่น้อยที่เอาออกมาให้เขากำจัดแล้ว แต่เมืองสกายซิตี้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสมาคมนั้นยังไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดออกมา คิดไม่เลยว่าข่าวที่จู่ๆ ก็ได้รับตอนนี้กลับกลายเป็นฝันร้ายสำหรับสมาคม
โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ส่ายหัวออกมา “บางทีเราอาจจะช้ามาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้ครับ”
ร็อคงุนงงไปครู่ก่อนจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปทันที “เป็นไปได้ยังไง? ในเมืองสกายซิตี้ไม่เพียงแต่จะมีผู้คุมเฝ้าอยู่หลายคน แถมก่อนหน้านี้ไม่นานฉันยังคุยโทรศัพท์กับท่านประธานด้วย”
“นอกจากแบบนี้แล้วผมก็คิดหาสาเหตุอื่นที่ทำให้จู่ๆ ก็มีฟอลเลนอีวิลจำนวนมากขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นมาไม่ได้ แกนพลังแห่งธรรมชาติจำนวนมากขนาดนี้ก็มีแต่เมืองสกายซิตี้เท่านั้นถึงจะมีได้” โรแลนด์ตอบ “จู่ๆ แสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นเหนือเมืองสกายซิตี้ ศัตรูแห่ออกมาบนถนน บวกกับการกัดกินเหล่านั้นที่จู่ๆ ก็เปิดขึ้นมา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่นาน ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้วมันก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าการที่พวกมันไม่มีความเคลื่อนไหวใหม่หลังจากที่บุกโจมตีเมืองปริซึมนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ”
“….” ร็อคนิ่งเงียบไป
“ดังนั้นท่านประธานที่คุยโทรศัพท์กับคุณ ถ้าไม่ใช่คนตาย…” โรแลนด์พูดช้าๆ ชัดๆ “ก็เป็นเทวทูตนั้นแหละครับ”
ตอนที่ 1476 ไปยังใจกลาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่แน่นอน ‘เขา’ ที่ว่าอาจจะเป็นอะไรอย่างอื่นอย่างเช่นภาพลวงตาหรือหุ่นเชิดอะไรพวกนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็เหมือนกัน เมืองสกายซิตี้คงจะถูกเทวทูตบุกรุกเข้าไปก่อนหน้านี้นานแล้ว
“นั่นมันป้อมปราการบนยอดเขาที่มีคนอยู่หลายหมื่นเลยนะ…” ร็อคพูดงึมงำขึ้นมา ด้วยความสามารถของเทวทูตแล้ว การจะทำลายอะไรซักอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะว่าพวกมันสามารถฉีกรอยแตกและสร้างการกัดกินได้ แต่การจะบุกเข้ามาโดยไม่ให้คนนับหมื่นรู้ตัวนั้น ความสามารถแบบนี้มันออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย
“ผมเองก็อยากจะให้ตัวเองเดาผิดเหมือนกัน เพียงแต่นี่เป็นข้อสรุปที่ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว” โรแลนด์ถอยใจออกมา
โลกแห่งความฝันมีกฏเกณฑ์ที่เป็นของตัวเองอยู่ ทำให้เทวทูนไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่ ถ้าพวกมันอยากจะทำอะไร ก็จำเป็นต้องมีพลังเวทมนตร์คอยสนับสนุน
ส่วนสถานที่ที่เก็บแกนพลังแห่งธรรมชาติเอาไว้ค่อนข้างเยอะก็มีแค่เมืองปริซึมกับเมืองสกายซิตี้เท่านั้น
ตอนนี้ดูแล้วการที่เทวทูตเลือกไปปรากฏตัวอยู่ที่ชั้นใต้ดินของเมืองปริซึมในตอนแรกนั้นเหมือนจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในฐานะที่เป็นผู้ที่มาจากข้างนอก พวกมันเหมือนจะรู้เรื่องของโลกนี้อยู่บ้าง
บางทีหลังจากที่เมืองปริซึมถูกทำลาย อีกฝ่ายก็ได้จับตาดูสำนักงานใหญ่ของสมาคมเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องที่ทิ้งเทวทูตเอาไว้ในเมือง นอกจากเพื่อหาจังหวะฆ่าซีโร่แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คงจะเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสมาคม
“มัวมานั่งกังวลอยู่ที่นี่มันก็ไม่มีความหมาย ไปถึงที่นั่นเดี๋ยวก็รู้เองครับ” โรแลนด์วางมือลงบนบ่าของร็อค “ยังจำที่ผมเคยบอกได้ไหมครับ? ตอนนี้ทั้งสองโลกกำลังต่อสู้กับพระเจ้าอยู่ และสมาคมก็ได้ให้ความช่วยเหลือผมในการทำสงครามแห่งโชคชะตามามากแล้ว ตอนนี้ถึงตาที่ต้องตอบแทนพวกคุณแล้วล่ะ”
“คุณโรแลนด์….”
“หลังจากนี้เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”
ร็อคจ้องมองดูโรแลนด์เดินออกไปจากห้องประชุม
เฟยอวี่หานกับวัลคีรีย์กำลังรอเขาอยู่นอกห้อง
การที่เฟยอวี่หานจะไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหญ่ที่มีความสามารถแข็งแกร่ง ที่ไหนที่มีอันตรายก็ต้องมีเธออยู่ด้วยอย่างแน่นอน แต่การที่วัลคีรีย์จะไปด้วยนั้นค่อนข้างแปลกไปเสียหน่อย — โรแลนด์ไม่คิดว่าวัลคีรีย์จะเกิดความรู้สึกผูกพันอะไรกับโลกแห่งความฝัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันจะต่อสู้เพื่อปกป้องโลกแห่งนี้เลย ตามวิธีปกติที่คนทั่วไปทำ เธอน่าจะหาที่ๆ ไม่ค่อยเป็นที่สังเกตเข้าไปปะปนอยู่ด้วย
การพ่ายแพ้ของเทวทูตไม่ได้หมายความว่าพวกมันไม่มีอันตราย ถึงแม้จะอยู่ในโลกแห่งความฝัน พวกมันก็สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างสบายๆ ตอนนี้วัลคีรีย์ไม่ใช่ไนท์แมร์ลอร์ดเหมือนอย่างอดีตอีกต่อไป มันซึ่งสูญเสียความสามารถของหินเวทมนตร์ไปไม่ได้ต่างอะไรกับผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ เลย การมุ่งหน้าไปยังเมืองสกายซิตี้นั้นจึงนับว่าเป็นอันตรายอย่างมาก
“อย่ามองข้าด้วยสีหน้าแปลกๆ ขนาดนี้ได้ไหม” วัลคีรีย์พูดอย่างหงุดหงิด “ข้าเพียงแค่อยากจะไปดูซักหน่อยว่าพระเจ้ากับเทวทูตที่เจ้าพูดถึงบ่อยๆ มันหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ หากเป็นเจ้า เจ้าก็คงไม่ปล่อยโอกาสแบบนี้ไปเฉยๆ ใช่ไหมล่ะ?”
โรแลนด์ยักไหล่ “…จะว่าไปมันก็ใช่”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกัน เสียงของเฮลิคอปเตอร์ก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของฐานที่มัน — ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
หลังจากนี้ก็เป็นการเดินทางเป็นเวลาวันกว่า
นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงที่สนามบิน จากนั้นค่อยนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปยังจุดหมายปลายทาง สุดท้ายหลังจากแบ่งกลุ่มอย่างง่ายๆ และรับมอบหมายหน้าที่แล้วก็ให้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพไปส่งในเขตต่อสู้
ตอนนี้มาตรการรับมือกับวิกฤตฉุกเฉินของรัฐบาลได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ ในตอนที่เข้าไปใกล้เมืองสกายซิตี้ประมาณ 100 กิโลเมตรถึงจะมองเห็นรถที่ติดขนัด ส่วนกลุ่มชาวเมืองที่พากันหนีตายก็ถูกกองทัพเข้ามาควบคุมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นระเบียบคงพังทลายอย่างแน่นอน
นับตั้งแต่ขึ้นบิน วัลคีรีย์ก็เอาแต่จ้องมองไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา หลังขึ้นเครื่องบินส่วนตัวก็ขอเปลี่ยนที่นั่งไปนั่งข้างหน้าต่าง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกสนใจประสบการณ์อันแปลกใหม่นี้อย่างมาก
“เสียงดังไปหน่อย แต่ความเร็วถือว่าไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยก็บินเร็วกว่าข้า” หลังจากนั้นครู่ใหญ่มันจึงถอนใจขึ้นมา “ในเรื่องการศึกษากฎเกณฑ์ของโลกนี้ มนุษย์ถือว่ามีความสามารถทีเดียว”
“เธอบินได้ด้วยเหรอ?” เฟยอวี่หานถามอย่างสนใจ
“ถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านพลังเวทมนตร์กับขนาดร่างกายล่ะก็ ผู้ยกระดับส่วนใหญ่จะเลือกหลอมหินเวทมนตร์ที่มีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเข้ากับร่างกาย ซึ่งในนั้นย่อมต้องรวมไปถึงการบินด้วย”
“เป็นยังไง ตอนนี้รู้ถึงศักยภาพของมนุษย์แล้วใช่ไหมล่ะ?” โรแลนด์ไม่ลืมที่จะคุยโว
“เสียดาย…ที่ไม่มีการใช้พลังเวทมนตร์” วัลคีรีย์ยักไหล่
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” เฟยอวี่หานถามอย่างไม่เข้าใจ ถ้าเครื่องบินต้องใช้เวทมนตร์ถึงจะบินได้ อย่างนั้นก็มีแต่พวกเรามีเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถึงจะขับได้น่ะสิ”
“ไม่ ข้าหมายความว่าขนาดไม่มีการใช้พลังเวทมนตร์ พวกเจ้ายังสามารถเครื่องจักรที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ขึ้นมาได้ แล้วถ้าเพิ่มพลังเวทมนตร์เข้าไปด้วยล่ะ?” วัลคีรีย์ค่อยๆ พูด “ข้าคิดมาตลอดว่าพวกเรากับพระเจ้าต่างกันตรงไหน จะต่างกันที่เรื่องนี้หรือเปล่า? เพราะว่าพลังเวทมนตร์ก็ถือเป็นหนึ่งในกฎของโลกนี้เหมือนกัน”
โรแลนด์เลิดคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ ควรจะชมว่าสมแล้วที่เป็นไนท์แมร์หรือเปล่า เพิ่งมายังโลกแห่งความฝันได้ไม่ถึงครึ่งปีก็สามารถใช้แนวคิดของวิทยาศาสตร์มาทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ แล้ว
ดูเหมือนที่บอกกันว่าอายุขัยที่ยืนยาวจะเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของอารยธรรมนั้นจะไม่ถูกต้องซะทีเดียวนะเนี่ย
สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนที่อายุยืนยาวคือใคร
พอถึงกลางวันวันถัดไป โรแลนด์ก็มองเป็นเมืองสกายซิตี้ที่ยังอยู่บนยอดเขา
ส่วนเมืองที่อยู่ด้านล่างก็มีควันฟุ้งกระจายขึ้นมาทุกหนทุกแห่ง แล้วก็ยังมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องด้วย — เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์จากที่ต่างๆ บนโลกกำลังต่อสู้กับฟอลเลนอีวิลอยู่ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่กำลังอพยพอย่างมีระเบียบแล้ว ด้านนี้ต่างหากที่เป็นสนามรบที่แท้จริง
แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีวันที่ศัตรูรวมกลุ่มบุกขึ้นมาบนท้องถนน
ส่วนหน้าที่ที่มอบหมายให้กับโรแลนด์ก็คือให้เขาบุกเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของสมาคมซึ่งเป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้
เฮลิคอปเตอร์ส่งคนขึ้นไปถึงจุดรวมพลตรงเชิงเขา และที่ตรงนี้ก็มีผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ประมาณยี่สิบกว่าคนกำลังรอเขาอยู่
น่าจะเป็นเพราะได้รับคำสั่งมาก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนจึงไม่ได้พูดคุยทักทายอะไรกัน แล้วก็ไม่ได้มีการแสดงท่าทีสงสัยในสถานะของโรแลนด์ด้วย หลังพูดคุยกันนิดหน่อยก็ยืนยันเส้นทางและแบ่งงานกัน เมื่อเทียบกับภารกิจกวาดล้างฟอลเลนอีวิลในครั้งแรกแล้ว คนที่มาปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดนักรบจริงๆ ไม่เพียงแต่จะรู้ใจกัน แต่ยังมีระเบียบวินัยที่สูงมากด้วย
โครงสร้างของเมืองสกายซิตี้กับเมืองปริซึมนั้นแตกต่างกัน เนื่องจากการกัดกินของที่นี่เกิดขึ้นกลางอากาศ ดังนั้นสมาคมจึงสร้างตึกขึ้นมาตึกหนึ่งเพิ่มคลุมมันเอาไว้ เพียงแต่เมื่อคิดถึงปัญหาเรื่องการอพยพและการช่วยเหลือแล้ว ด้านล่างตึกจึงมีอุโมงค์ลับที่เชื่อมต่อกับยอดตึกเอาไว้ ขอเพียงรู้เส้นทาง ก็จะสามารถหลบฟอลเลนอีวิลที่เดินไปเดินมาอยู่บนยอดเขาได้
ภายใต้การนำทางของสำนักงานใหญ่ หน่วยจู่โจมแทบจะไม่เจอกับอุปสรรคใดๆ เลย บางครั้งเจอฟอลเลนอีวิลแค่ไม่กี่ตัวก่อนจะถูกกำจัดทิ้งลงไปอย่างรวดเร็ว แถมจะไม่ต้องให้โรแลนด์ลงมือเลย
ไม่นาน หน่วยจู่โจมก็มาถึงห้องเก็บแกนพลังธรรมชาติที่แยกออกมาต่างหากบนยอดตึก
นั่นเป็นห้องขนาดใหญ่ทรงกระบอก ผนังโลหะรอบด้านมีแกนพลังแห่งธรรมชาติที่เก็บมาได้จนถึงตอนนี้วางเอาไว้อยู่ ในตรงกลางห้องก็นี้แท่นที่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้และแขนกลที่สามารถใช้หยิบจับแกนพลังแห่งธรรมชาติ ถ้าพูดถึงความยิ่งใหญ่แล้ว เมืองสกายซิตี้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองปริซึมเลย
ส่วนคนที่ยืนอยู่บนแท่นตรงกลางก็คือท่านประธานของสมาคม
แต่ว่าในตอนที่ ‘เขา’ หมุนตัวกลับมา เขากลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพริบตา หน้าตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป ส่วนสูงเองก็ลดลงไปกว่าเดิมไม่น้อย ก่อนที่สุดท้ายจะกลายเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง
“ข้าคือเทวทูตยิปซีลอน” เธอพูดเสียงน้ำเสียงราบเรียบ “โรแลนด์ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว”
การที่ศัตรูกำลังรอคอยอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน นี่หมายความว่าทุกคนอาจจะตกอยู่ในกับดักแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจก็คือโรแลนด์ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ เลย
ถ้าเป็นเฟยอวี่หาน ในเวลานี้เธอคงจะชักดายออกไปฟันใส่ศัตรูแล้ว
เขาค่อยๆ กวาดตามองดูข้างกาย หัวใจความตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
รอบกายเขาว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ตอนที่ 1477 เส้นตายสุดท้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่ต้องกังวลเรื่องเพื่อนของเจ้า พวกเขาเพียงแค่เดินไปที่อื่นเท่านั้น”
เทวทูตเหมือนจะมองความสงสัยของเขาออก มันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ที่…อื่นเหรอ?”
“ถูกต้อง และนี่ก็เป็นหนึ่งในความสามารถของข้า สร้างภาพลวงตา ล่อลวงให้เกิดการเข้าใจผิด ทำให้ร่างจิตสำนึกเดินเข้าไปสู่ความตายโดยไม่รู้ตัว” ยิปซีลอนพูดอธิบาย “แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้ทำแบบนั้น ข้าเพียงแค่ทำให้พวกเขาเดินผิดไปอีกทางเท่านั้น ตอนนี้ในสายตาของพวกเขาน่าจะกำลังต่อสู้กับฟอลเลนอีวิลที่แข็งแกร่งร่วมกับเจ้าอยู่”
“เจ้าจะบอกข้าว่าความจริงแล้วพวกเขาปลอดภัยอย่างมากเหรอ?”
เธอพยักหน้าออกมาตรงๆ “ไม่ใช่เท่านี้ ข้าได้เตรียมบทสรุปที่มีความสุขเอาไว้ให้เพื่อนของเจ้า สุดท้ายฟอลเลนอีวิลและเทวทูตถูกทำลาย ปรากฏการณ์แปลกๆ และการกัดกินหายไป พวกเขาต่อสู้จนหมดแรง แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถยิ้มและมีความสุขกับชัยชนะสุดท้ายได้”
เหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาอยู่ในห้องเปล่าที่ไม่มีคนจนกระทั่งหมดแรง ก่อนจะนอนหัวเราะด้วยความสุข — ตอนที่ภาพนี้ลอยขึ้นมาในหัวของโรแลนด์ เขาพลันรู้สึกขนบนหลังของเขาลุกเกรียวขึ้นมา
คนอื่นๆ เขาไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่เขารู้จักเฟยอวี่หานกับวัลคีรีย์เป็นอย่างดี พวกเธอไม่เพียงแต่จะมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่น แต่ยังมีการรับรู้ที่เฉียบคมอย่างมากด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอจะทำอะไรไม่ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าความสามารถของยิปซีลอน
ไม่…อย่าว่าแต่สองคนนั้นเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน นี่มันแปลกจริงๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความสามารถของเทวทูตน่าจะไม่มีผลกับเขาไม่ใช่เหรอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาอย่างมากทันที
“จากนั้นล่ะ?”
“ไม่มีหลังจากนั้นแล้ว ทั้งโลกจะจบสิ้น โลกแห่งจิตสำนึกก็ดี สถานที่ที่โลกแห่งจิตสำนึกตั้งอยู่ก็ดี ทั้งหมดจะกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น แต่เมื่อเทียบกับความจริงแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ยังหายไปทั้งๆ ที่มีความสุข โดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ นี่คือความเมตตาจากข้า—”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ โรแลนด์ชิงลงมือเสียก่อน
เขากระโดดออกไป ก้าวข้ามช่องว่างระหว่างทางเดินกับแท่นที่อยู่ตรงกลางที่กว้างเกือบ 20 เมตร พร้อมกับกำหมัดต่อยออกไป! อาศัยจังหวะที่ศัตรูกำลังพูดไม่หยุด ชิงโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัว วิธีนี้เขาใช้มาแล้วหลายครั้ง!
พละกำลังในร่างกายขยายตัวตอบรับกับเจตจำนงของเขา มีเสียงดังสนั่นขึ้นมาทีหนึ่ง คลื่นกระแทกสายหนึ่งได้วาดผ่านแท่นตรงกลางไป รั้วกั้น เครื่องควบคุมและแขนกลที่ตั้งอยู่บนนั้นแตกกระจายออกทันที พวกมันลอยตกลงมายังชั้นล่างของห้องเก็บแกนพลังแห่งธรรมชาติ เสียงกระแทกทึบๆ ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่โรแลนด์เองก็ยังรู้สึกตกใจกับพลังของการโจมตีนี้
เขารู้แค่ว่าการดูดซับแกนพลังธรรมชาติจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
แต่ปลายกำปั้นของเขากลับสัมผัสถูกความว่างเปล่า
ยิปซีลอนหายตัวไปเหมือนกับฟองอากาศ ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ตรงด้านหลังของเขา
“ความรู้สึกที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นยังไงบ้า? ของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้าน่าจะถือว่ามีประโยชน์ใช่ไหมล่ะ?”
โรแลนด์ตกตะลึง แต่หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในคำพูดของเธอ
“เดี๋ยวๆ วงแหวนดวงดาวอันนั้น เจ้าเป็นคนส่งมางั้นเหรอ?”
เขาเคยวานให้สมาคมตามสืบคนที่ส่งวงแหวนดวงดาวให้หน่อย แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ไม่ว่าจะเป็นระบบยืนยันตัวตนหรือว่ากล้องวงจรปิดก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าคนที่ส่งนั้นมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลานั้น แต่ไม่ว่าจะสืบค้นไปข้างหน้าคือสืบค้นย้อนหลังก็เหมือนอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เมื่อมาคิดถึงความสามารถของยิปซีลอนดูแล้ว ทุกอย่างมันก็ลงตัว
“มันชื่อแกมมา เป็นเทวทูตเหมือนกัน”
ยิปซีลอนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าสิ่งที่มันพูดถึงไม่ใช่เพื่อนของตัวเอง หากแต่เป็น ‘สิ่งของ’ ที่ไร้ค่าอย่างหนึ่ง
โรแลนด์ตกตะลึง หลังมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป เขาจึงถามขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “….ทำไม?”
“เพราะข้าอยากจะรู้คำตอบ คำตอบที่มีแค่พระเจ้าเท่านั้นถึงจะรู้” เสียงของเธอฟังดูเหม่อลอยเล็กน้อย “ตอนนี้้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม? ข้าไม่ได้คิดร้ายกับเจ้า หากอยากจะเดินทางไปยังดินแดนของพระเจ้า ก็จำเป็นต้องยืมพลังของโลกแห่งความฝันถึงจะทำได้ อย่างน้อยพวกเราต้องมีเป้าหมายที่เหมือนกัน”
เหตุการณ์กลับตาลปัตรจนโรแลนด์ไม่รู้จะทำยังไงดี
“เจ้าไม่เชื่อเหรอ? โลกไม่มีทางหลอกเจ้า” ยิปซีลอนผายมือทั้งสองข้าง “ข้าไม่เรียกรอยแตกขึ้นมาตัดการติดต่อของเจ้ากับโลกเหมือนอย่างเดลตา แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถมองภาพลวงตาของข้าออกได้ นี่คือหลักฐานยืนยันว่าข้าไม่ได้คิดร้ายต่อเจ้า โลกแห่งความฝันจึงไม่ได้ปฏิเสธพลังของข้า”
“…ความจริงแล้ว เจ้าคือพวกของมิสต์เหรอ?”
นี่คือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่โรแลนด์พอจะคิดออกได้ เพราะมิสต์เคยบอกว่าเทวทูตที่ทรยศต่อพระเจ้าไม่ได้มีเธอแค่คนเดียว
“ข้าไม่รู้ว่านางพูดกับเจ้าอย่างไร ดังนั้นคำถามนี้ข้าจึงไม่สามารถตอบได้” ยิปซีลอนยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว “ถ้าสิ่งที่เจ้าถามคือข้าอยู่ฝั่งเดียวกับนางหรือเปล่า อย่างนั้นคำตอบคือ ‘ไม่’ ก่อนมาที่นี่ ข้าไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับมิสต์เลย ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังเป็นคนฆ่านางกับมือตอนที่อยู่ในเมืองปริซึมด้วย”
โรแลนด์คิ้วกระตุกขึ้นมา
“หรือถ้าสิ่งที่เจ้าถามคือข้ากับนางมีเป้าหมายเดียวกันหรือไม่” เธอวางนิ้วมืออีกนิ้วลง “คำตอบก็คือ ‘ไม่’ เหมือนกัน ที่ข้าทำเช่นนี้ล้วนแต่มาจากความคิดของตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง เจ้าจะเข้าใจว่าข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่ก็ได้”
“วิธีช่วยข้าก็คือทำลายโลกนี้อย่างนั้นเหรอ?” โรแลนด์ยิ้มเยาะออกมา
“เจ้าผิดแล้ว คนที่ทำลายโลกนี้ไม่ใช่หา หากแต่เป็นพระเจ้า” ยิปซีลอนส่ายหัว “เพื่อไม่ทำให้เจ้าเข้าใจผิด ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรงแล้วกัน เจ้าน่าจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงข้างนอกแล้ว ผ่านพลังที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้านั้นสามารถหยุดการขยายตัวของโลกแห่งความฝันได้ชั่วคราว เมื่อที่มันจะได้ไม่สัมผัสกับดินแดนของพระเจ้าเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้นต่อให้เทวทูตยังอยู่ในนี้ พระเจ้าก็จะทำลายทุกสิ่งที่สร้างมาจนถึงตอนนี้อย่างไม่ลังเล ช่วงนี้เจ้าดูดซับแกนพลังธรรมชาติมากเกินไป จนระยะห่างระหว่างโลกแห่งความฝันกับดินแดนของพระเจ้าเหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เดิมทีน่าจะเป็นมิสต์ที่แหละที่มาคอยจับตาดูระดับการขยายตัวของโลกแห่งความฝันของเจ้า ทว่านางกลับตายด้วยน้ำมือของข้า ดังนั้นจึงไม่มีใครบอกเจ้าว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถไปถึงแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ได้พร้อมๆ กัน”
กระทั่งเรื่องนี้เธอก็รู้ด้วยเหรอ!
“แต่ม่านพลังนี้ก็ทำให้ข้าไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ หรือว่าเจ้ายังสามารถควบคุมโลกแห่งความเป็นจริงได้?”
“ไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าพวกเจ้ารู้เจอทางที่จะไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์แล้ว หลังจากนี้ก็อยู่ที่ว่าจะไปถึงช้าหรือเร็วเท่านั้น” ยิปซีลอนค่อยๆ พูดต่อว่า “เจ้าน่าจะเดาได้แล้วว่าข้าได้ข้อมูลมาได้ยังไง — ถูกต้อง เรื่องที่เจ้าคุยกับทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ สถาบันออกแบบเกรย์คาสเซิลทั้งหมดล้วนแต่ถูกส่งเป็นรายงานมายังสำนักงานใหญ่ของสมาคม หรือก็คือส่งมาให้ข้า”
แต่ในเนื้อหาเหล่านั้นก็มีเรื่องแผนการแสงแห่งอาทิตย์และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้งานอาวุธชนิดต่างๆ…โรแลนด์เข้าใจทันที อีกฝ่ายปะติดปะต่อข้อมูลเหล่านี้จนเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของโลกภายนอก
“หรือเจ้าไม่เคยคิดว่าการสลบไปของข้ามันจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น?”
“นี่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ยังไม่อาจรู้ได้ แต่ข้าไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ มีแต่ตอนที่เจ้าเข้ามาในโลกแห่งความฝัน โลกนี้ถึงจะมีชีวิตขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องขังเจ้าเอาไว้ในนี้” ยิปซีลอนตอบอย่างอดทน “ที่โชคดีก็คือเจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องรออยู่ที่นี่อย่างยากลำบากไปตลอด หลังจากตัดการเชื่อมต่อไปแล้ว โลกแห่งความฝันจะสามารถปรับการเดินของเวลาได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงเจ้ายินยอม แค่พริบตาก็สามารถทำให้เวลาผ่านไปวันนึงได้”
โรแลนด์ลืมตาโตทันที เขาไม่กล้าหลับตาไปชั่วขณะหนึ่ง ด้วยกลัวว่าตอนที่ืลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เวลาด้านนอกจะผ่านไปหลายร้อยปี
“วางใจได้ เรื่องที่เจ้ากังวลมันไม่มีทางเกิดขึ้น” มุมปากเธอยกขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มออกมา “ม่านพลังจำเป็นต้องอาศัยพลังเวทมนตร์ในการทำให้มันคงอยู่ ต่อให้ใช้แกนพลังที่เก็บอยู่ที่นี่ทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนเวลาโลกข้างนอก ก็ได้แค่เดือนครึ่งเท่านั้น….และนั่นก็เป็นเส้นตายสุดท้าย”
ตอนที่ 1478 แสงไฟกำลังจะดับลง
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งเดือนครึ่ง…หมายความว่าทันทีที่แผนการหยุดลงชั่วคราวหรือว่ายกเลิก มันก็อาจจะพลาดเส้นตายนี้ไปตลอดกาล
คนบนเกาะลอยฟ้าจะสามารถเดินหน้าต่อไปในสถานการณ์ที่ไม่มีเขาได้หรือเปล่า?
แล้วก็ยังมีพวกปีศาจอีก เมื่อสูญเสียการชี้นำของวัลคีรีย์ไป สัญญาอันเปราะบางที่ตกลงเอาไว้กับสกายลอร์ดจะถูกทำลายลงหรือเปล่า?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีที่จะจัดการกับอาณาจักรซีสกายที่อยู่บนเกาะแห่งหมอกเลย
บ้าเอ้ย ถ้าส่งข่าวพวกนี้ออกไปได้ก็คงจะดี! โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว เขาพยายามที่จะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ แต่หลังครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบที่ใช้การได้ ครั้งนี้ไม่เหมือนกับวิกฤติที่ผ่านๆ มา ครั้งนี้ต่อให้เขากำจัดเทวทูตที่อยู่ตรงหน้าไป สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
โรแลนด์เหมือนจะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะแก้ไขได้ด้วยตัวคนเดียว
“ข้า…ไม่เข้าใจ”
เขาพูดขึ้นมาหลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ตอนแรกพวกเจ้ามองข้าเป็นผู้ทำลายที่จำเป็นต้องทำการกำจัดทิ้ง เพียงเพราะว่าโลกแห่งความฝันส่งผลต่อกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา ถึงขนาดบอกว่าจะทำลายสิ่งที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบล้านปี แต่ตอนนี้กลับบอกว่าจะมาช่วยข้าให้เข้าไปในดินแดนของพระเจ้า — หรือว่าจู่ๆ สิ่งที่สั่งสมมาพวกนั้นมันกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย?”
“ที่น่าขำกว่านั้นก็คือในเมื่อพระเจ้าสามารถทำลายโลกแห่งความฝันได้ทุกเมื่อ ทำไมถึงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก? อย่าบอกนะว่ามันเกิดเห็นใจขึ้นมา!” โรแลนด์ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ “เผ่าพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องมาฆ่าฟันกันในนามของสงครามแห่งโชคชะตาจนกระทั่งดับสูญไป นอกจากเศษซากกระดูกและซากเมืองแล้วก็ไม่เหลืออะไรอยู่อีก นี่น่ะเหรอการสั่งสมที่พวกเจ้าว่า!”
“แล้วก็ยังมีเจ้า — ยิปซีลอน ในเมื่อคิดจะทรยศต่อพระเจ้า ทำไมถึงไม่ทำให้มันเด็ดขาดมากกว่านั้นล่ะ? มิสต์ทำเพื่อปลดปล่อยตัวเอง แล้วเจ้าล่ะ? ถ้าแค่อยากจะได้คำตอบๆ หนึ่งล่ะก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะพาเจ้าไปในดินแดนของพระเจ้าด้วยหรอก — เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะถามพระเจ้ากี่คำถามก็ได้!”
“พูดซะดูดี แต่กลับทำอะไรไม่มีเหตุผล นี่คือตัวตนของสิ่งที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้ากับเทวทูตงั้นเหรอ? สู้คนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ! อย่างน้อยคนธรรมดาก็ยังรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร!”
แต่ยิปซีลอนไม่ได้มีอาการโกรธแม้แต่น้อย
เธอไม่เหมือนกับเทวทูตที่่ผ่านมาเหล่านั้นที่มักจะอ่อนไหวและร้อนใจเป็นพิเศษเวลาที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เธอถึงขนาดทำสีหน้าเข้าใจออกมาในตอนที่ฟังโรแลนด์พูดจบ
เทวทูตค่อยๆ เดินเข้ามาหาโรแลนด์ ทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่หนึ่งช่วงตัวเท่านั้น”
“เจ้าถามคำถามเหล่านี้ออกมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าอยู่ห่างจากคำตอบอีกแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น”
ไม่ว่าจะสำหรับยิปซีลอนหรือว่าโรแลนด์ ระยะห่างนี้ไม่อาจถือเป็นระยะห่างที่ปลอดภัย แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลย
“แต่ถ้าไม่ก้าวๆ นั้นออกมา ต่อให้อยู่ใกล้แค่ไหนมันก็เหมือนอยู่ห่างไกล” เธอเงยหน้ามองโรแลนด์ “ที่พระเจ้ายิ่งใหญ่ นั้นเป็นเพราะว่ามันทำอะไร ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีคนรู้เยอะแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นความแตกต่างระหว่างอารยธรรมจะทำให้เกิดแนวคิดและความรู้ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการที่เจ้าจะไม่เข้าใจมันจึงเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ข้าไม่เหมือนกับมิสต์ ข้าไม่เคยทรยศท่านพระเจ้ามาก่อน ขอให้เจ้าจำในจุดนี้เอาไว้ด้วย”
“สุดท้าย ถ้าเจ้าเตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้ก็ก้าวๆ นั้นออกมาได้แล้ว— ” ในขณะที่พูด ยิปซีลอยก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาคว้าแขนของโรแลนด์เอาไว้ ก่อนจะเอามันมาวางบนหน้าออกของตัวเอง
“เจ้ากำลังทำอะไร?” โรแลนด์ชักมือกลับตามสัญชาตญาณ
“มันก็เห็นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ — เอาวงแหวนดวงดาวออกไป ทำให้สุดท้ายโลกแห่งความฝันสัมผัสกับเมืองของพระเจ้า เจ้าน่าจะเคยชินกับเรื่องนี้ดีไม่ใช่เหรอ” ยิปซีลอนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมันอย่างไรอย่างนั้น “ฟอลเลนอีวิลและการกัดกินที่อยู่ด้านนอกล้วนแต่ออกมาจากฝีมือของข้า ยิ่งไปกว่านั้นแกนพลังของพวกมันยังถูกเชื่อมต่อเข้ากับตัวข้า เมื่อไรที่เจ้าดูดซับวงแหวนดวงดาวจนหมด พลังเวทมนตร์ของพวกมันก็จะถูกดูดซับเข้ามาอยู่ในโลกนี้ด้วย และพลังที่มากมายขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกแห่งความฝันขยายตัวอีกครั้ง และทำให้ก้าวๆ สุดท้ายออกได้สำเร็จ โลกแห่งจิตสำนึกที่ทับซ้อนกันจะทำให้เกิดการกัดกินขึ้นมาใหม่ แต่ครั้งนี้เป็นโลกแห่งความฝันที่รุกล้ำเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า และเจ้า — ก็จะได้เจอกับพระเจ้า”
“เดี๋ยวๆ” โรแลนด์ลืมตาโตมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ “เทวทูตต้องใช้พลังเวทมนตร์นี้ในการคงอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่มีวงแหวนดวงดาว —“
“ก็จะตาย” ยิปซีลอนยิ้มขึ้นมา “แต่นั่นเป็นความตายในความคิดของพวกเจ้า ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ขอเพียงพระเจ้ายังไม่ตาย พวกเราก็จะคงอยู่ไปตลอดกาล สิ่งที่หายไปนั้นมีแต่ร่างที่ชื่อว่ายิปซีลอนเท่านั้น”
“ต่อให้เป็นแบบนั้นเจ้าก็ยังได้ยินคำตอบเหรอ?”
“ไม่…แค่ถามออกไปก็พอแล้ว”
ในขณะที่พูด มันก็เอานิ้วมือทั้งห้าแทงเข้าไปในหน้าอกของตัวเอง จากนั้นก็กระชากเอากลุ่มดวงดาวที่น้ำเงินที่กำลังส่องแสงระยิบระยับออกมา!”
หยดเลือดที่กระเด็นออกมาเปื้อนใบหน้าของโรแลนด์
“แค่กๆ…รับมันเอาไว้ จากนั้นเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า — ทุกสิ่งที่เจ้าอยากรู้…แค่ก…อยู่ที่นั่น”
“เจ้า…” โรแลนด์ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรกลายเป็นแบบนี้ แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ลังเลไปมันก็ไม่มีประโยชน์อีก ถ้าอีกฝ่ายพูดไม่ผิดล่ะก็ นับตั้งแต่ตอนที่ม่ายพลังลอยขึ้นไปบนฟ้า ความเร็วในการไหลของเวลาในโลกแห่งความเป็นจริงจะเร็วกว่าโลกแห่งความฝันอย่างมาก กว่าเทวทูตจะตาย ม่านพลังจะสลายไปก็เป็นเวลาอีกเดือนครึ่งหลังจากนั้น
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือเชื่อมั่นในตัวทุกคนที่อยู่บนเกาะลอยฟ้า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็สูดหายใจพร้อมคว้าจับดวงแหวนดวงดาวนั้นเอาไว้
แสงสีน้ำเงินสว่างเจิดจ้าขึ้นมาราวกับกำลังเผาผลาญพลังงานก้อนสุดท้ายอยู่ ร่างกายของเขาเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมา กระแสความร้อนภายในร่างกายไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางลำแสงอันเจิดจ้านี้ เขามองไปทางเทวทูตที่มีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก
“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากจะถามเจ้า เจ้าคิดว่าการดับสูญของโลกนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เหรอ?”
“ถูกต้อง…นอกเสียจากว่าเจ้า…จะเอาชนะพระเจ้าได้” น้ำของยิปซีลอนขาดๆ หายๆ “แต่พระเจ้าไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับเจ้า…นี่คือบทสรุปที่ถูกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้ว”
“แต่เจ้าก็ยังเปลี่ยนแปลงความตั้งใจที่มีในตอนแรก!”
“พวกเจ้า…พยายามกันมานานขนาดนี้ ไม่ควรที่จะหายไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร…การที่สามารถเดินทางมาขนาดนี้ได้…นับว่าคู่ควรแก่การยกย่อง” ยิปซีลอนกระอักเลือดออกมาอีกคำ ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ในเมื่อจุดจบที่ต้องดับสูญ…ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ทำไมข้ายังต้อง…ทำเรื่องที่ไร้ความหมายอีกล่ะ?”
“นี่ไม่ใช่ความตั้งใจที่แท้จริงของเจ้า” โรแลนด์จ้องไปในดวงตาของเธอ ก่อนจะพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า”มิสต์อยากจะปลดเปลื้องพันธนการ ส่วนเจ้าอยากจะรู้คำตอบ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่พันธนาการนางเอาไว้คืออะไร แล้วก็ไม่ณู้ว่าคำถามที่เจ้าอยากจะถามพระเจ้าคืออะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจได้ นั่นคือพวกเจ้าต่างหวังที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เหรอ! เพราะว่าพวกเรามีสายตาที่เหมือนกัน”
“ขอโทษด้วยนะ…นี่เป็นคำถามที่สองแล้ว…” ยิปซีลอนยิ้มพร้อมปิดตาลง ในตอนที่ลำแสงสีน้ำเงินลอยขึ้นไปถึงจุดสูงสุด เธอก็ขยับริมฝีปากขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันที่โรแลนด์จะได้มองอย่างละเอียด ลำแสงอันเจิดจ้าก็กลืนกินเธอไปจนหมด
ตอนที่ 1479 ภาพอันน่ามหัศจรรย์
Ink Stone_Fantasy
วันที่หกหลังจากโรแลนด์สลบไป
ในตอนที่อันนาเดินเข้ามาในห้อง เวนดี้กำลังดูแลเขาอยู่
“เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง”
เธอเดินถือน้ำเปล่าชามหนึ่งมาข้างเตียง จากนั้นใช้คอตตอนบัตจุ่มน้ำแล้วค่อยๆ ถูไปบนริมฝีปากของโรแลนด์ ถึงแม้จะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันไปแล้ว แต่ร่ายกายของเขาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ อย่างเช่นริมฝีปากแห้งและแตกจากการที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน
หลายวันมานี้ อันนาได้ใช้เวลาอยู่กับโรแลนด์น้อยกว่าคนอื่นๆ อย่างเวนดี้และไนติงเกลเสียอีก ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากอยู่ หากแต่เป็นเพราะเธอตั้งกฏให้กับตัวเองเอาไว้ นั่นคือทุกวันจะใช้เวลาอยู่กับเขาได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเธอกลัวว่าตัวเองจะหักใจเดินออกจากห้องไปไม่ได้
ในตอนนี้เวนดี้วางสิ่งที่ทำอยู่ลง ก่อนจะให้อันนาอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่าย
เวลาสามสิบนาทีนี้มักจะอ่อนโยนและเงียบสงบ ราวกับว่าเวลาหยุดค้างอยู่ในตอนนี้
จนกระทั่งเสียงรายงานของอาครักษ์ดังออกมาจากนอกประตู ความเงียบจึงถูกทำลายลง
“ฝ่าบาทอันนา หน่วยสอดแนมกลับมาแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ กำลังรอพระองค์อยู่ในห้องทีมที่ปรึกษาพ่ะย่ะค่ะ!”
อันนาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ วางชามกระเบื้องในมือลง
“อันนา…” เวนดี้พูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ
“สบายใจได้” อันนาเงยหน้าขึ้นมา “ข้าไม่เป็นอะไร”
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เวนดี้สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอันนา ในเวลานี้ดวงตาที่เหมือนกับสายน้ำที่ใช้มองดูโรแลนด์ก่อนหน้านี้พลันหนักแน่นขึ้นมา ราวกับว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนเดียวกัน
เด็กผู้หญิงคนนี้กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เวนดี้คิดอยู่ในใจ แต่เมื่อย้อนคิดถึงตอนที่อยู่ในเมืองชายแดนก่อนหน้านี้ เธอก็มักจะเป็นคนแรกที่เรียนรู้สิ่งที่โรแลนด์สอนอยู่เสมอ การพัฒนาแบบนี้มันก็สมเหตุสมผลอยู่ เป็นเพราะอันนา เมืองชายแดนจึงกลายเป็นภูเขาศักดิ์ิสิทธิ์ของแม่มด และตอนนี้ เธอก็กำลังนำทุกคนไปยังยอดเขาแห่งใหม่อยู่
“ไปทำเรื่องที่มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้เถอะ” เวนดี้พูดอย่างอ่อนโยน
“ข้าฝากดูโรแลนด์ด้วยนะ” อันนาโค้งตัวให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป
เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวและบันได ก่อนจะมาถึงหน้าประตูห้องทีมที่ปรึกษา เธอหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ จากนั้นจึงยื่นมือออกไปผลักประตู
“องค์ราชินี!” ทุกคนในห้องต่างยืนขึ้นมาทำความเคารพเธอ
อันนาไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา เธอทำความเคารพกลับไปให้ทุกคนเหมือนกัน เธอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถนัดนั้นมีอยู่จำกัด การที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดแจงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างในตอนนี้ล้วนแต่เป็นผลจากความพยายามของทุกคน
“เปิดประชุมกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เฟร์รานตอบกลับด้วยความเคารพ
คนที่รับผิดชอบสอดแนมเกาะแห่งหมอกคือไลต์นิ่ง เมซี่และซิลเวีย ซิลเวียได้ทำการยืนยันตำแหน่งที่ตั้งอย่างละเอียดของเกาะแห่งนี้ตามทิศทางที่เฮคซอดบอกมา ถึงแม้ดวงตาเวทมนตร์ของเธอจะไม่สามารถมองทะลุม่านพลังลวงตาได้ แต่เมื่ออยู่บนท้องทะเลที่ราบเรียบ มันกลับเป็นเหมือนดวงดาวที่เจิดจ้าบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
นอกจากนี้ซิลเวียยังพบปฏิกิริยาเวทมนตร์จำนวนมาก พวกมันกระจายตัวอยู่ในน่านน้ำรอบๆ เกาะ นั่นคือเหตุผลที่สุดท้ายทีมนักสำรวจล้มเลิกความคิดที่จะลงไปสำรวจบนเกาะ
ปฏิกิริยาเวทมนตร์เหล่านั้นเป็นของอาณาจักรซีสกายอย่างไม่ต้องสงสัย — นอกจากปีศาจทะเล รังแม่และอสูรมีดที่เห็นได้บ่อยๆ แล้ว ยังมี ‘เจ้ายักษ์ใหญ่’ ที่น่าตกใจอยู่อีกสองสามตัวด้วย ปีศาจเรียกมันว่าอสูรกลืนภูเขา พวกมันมักจะวิวัฒนาการมาจากรังแม่ และไม่มีความสามารถในการสร้างอสูรขาและอสูรมีดขึ้นมาอีก หากแต่ใช้เกราะหนาๆ ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทั้งหมด แล้วใช้ปากขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนเครื่องกว้านกัดกินแผ่นดินเพื่อสร้างสนามรบที่เหมาะกับกองทัพของอาณาจักรซีสกายขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าอาณาจักรซีสกายไม่คิดที่จะยกบอทธ่อมเลสแลนด์ให้ศัตรู
ในตอนที่ทีมที่ปรึกษากำลังวางแผนตามข้อมูลที่ได้มาใหม่ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กับอิสซาเบลล่าก็เดินเข้ามา — การร่วมมือกันของทั้งสองเรียกได้ว่าน่าแปลกประหลาดทีเดียว คนหนึ่งคือราชาปีศาจ อีกคนคืออดีตผู้บริสุทธ์ของศาสจักร ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องตกใจ
แต่อันนากลับรู้ว่าหน้าที่ที่ทั้งสองคนรับผิดชอบนั้นสำคัญอยากมาก
และอีกฝ่ายก็เอาข่าวดีมาแจ้งจริงๆ
อิสซาเบลล่ายิ้มกับเธอแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท การทดลองประสบความสำเร็จเพคะ”
อันนารู้สึกโล่งใจ ตอนนี้ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดในการรับมือกับอาณาจักรซีสกายก็คืออสูรมีดที่ไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย การโยกย้ายแม่มดที่ปกป้องดินแดนตะวันตกมาจะทำให้แนวป้องกันของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ว่างเปล่าลง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้คนธรรมดาสามารถมองเห็นร่องรอยของอสูรมีดได้ด้วย และมีเพียงเคออสลอร์ดที่ยกระดับขึ้นมาจากปีศาจดวงตาเท่านั้นที่มีความสามารถในการมองทะลุเกราะกำบังต่างๆ เพียงแต่ขอบเขตของมันค่อนข้างเล็ก ไม่อาจเทียบกับการตอบสนองตอนที่ถูกศัตรูมองมาได้
ถ้าสามารถทำให้ขอบเขตความสามารถของเคอออสลอร์ดขยายกว้างขึ้นได้หลายเท่า มันก็อาจจะได้ผลที่น่าเหลือเชื่ออย่างมากก็ได้
คนที่เสนอความคิดนี้ออกมาเป็นคนแรกไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเฮคซอด อันนานึกถึงรูนอนันต์ที่ซีโร่เคยใช้ขึ้นมาทันที — สุดท้ายแผนการนี้ก็ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน — ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พูดกล่อมเคออสลอร์ด อาร์เรียตาให้หินเวทมนตร์ระดับสูงมา อิสซาเบลลาทำการศึกษา นี่จึงเป็นเหตุผลให้กลุ่มนี้จึงดูแปลกประหลาดขนาดนี้
และท่าทีที่มั่นใจของอิสซาเบลลาก็แสดงให้เห็นว่าส่วนที่ยากลำบากมากที่สุดของแผนการนี้ได้ทำการแก้ไขแล้ว
นี่จึงทำให้ขวัญและกำลังใจของทีมที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นมาทันที
ดูเหมือนอย่างน้อยก็ยังพอมีทางที่จะโจมตีเมืองบอทธ่อมเลสแลนด์อยู่
หลังเงื่อนไขตามทฤษฎีถูกเตรียมพร้อมแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือเรื่องจัดส่งกำลังพล
“หวังว่าทางเกรย์คาสเซิลจะมาทันเวลานะ” อกาธาพูดพร้อมมองไปทางแผนที่ของสี่อาณาจักรใหญ่
“ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกขวานเหล็ก” อันนาค่อยๆ พูด
…..
อ่าวคอรอล อาณาจักรดอว์น
ไวท์ถือไม้เท้าค่อยๆ เดินกะเผลกขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ‘แกลลอป’ อย่างช้าๆ — นี่คือเรือใบสองเสากระโดง ถึงแม้จะถือเป็นเรือเดินทะเล แต่ความสามารถในการโต้คลื่นลมกลับไม่ดีเท่าไร ส่วนใหญ่จึงได้แต่ต้องล่องเรียบชายฝั่งไป แต่จุดเด่นที่สุดของมันคือถูก หากเป็นเมื่อก่อนอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีหลายร้อยเหรียญทอง แต่ตอนนี้แค่เก้าสิบเก้าเหรียญทองก็สามารถซื้อได้แล้ว ถ้าจ่ายด้วยเงินกระดาษของเกรย์คาสเซิลก็จะได้ลดอีกสิบเปอร์เซ็นต์
“สวัสดีขอรับหัวหน้า!” ลูกเรือที่กำลังขนของอยู่ต่างหันมาทำความเคารพเขา
ไวท์พยักหน้าอย่างพอใจ
ในดีต ถ้าจะจ้างลูกเรือแบบนี้มาจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่หลังจากที่พวกพ่อค้ารายใหญ่ๆ เหล่านั้นต่างหันไปสนใจเรือกลไฟ ราคาของเรือใบธรรมดาก็เรียกได้ว่าลดลงอย่างมาก แม้แต่พวกลูกเรือที่ถนัดในเรื่องการปีกเสากระโดงขึ้นไปผูกใบเรือพวกนี้ก็มีราคาถูกลงอย่างมากด้วย — เพราะว่าเรือไอน้ำเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีใบเรือ แล้วก็ไม่ต้องการคนเยอะขนาดนี้ด้วย
อารมณ์ของไวท์ดีอย่างมากเมื่อมองไปบนทะเลสีน้ำเงินและเมฆสีขาว ส่วนหูก็ฟังเสียงนกทะเลร้อง การเปลี่ยนจากคนขับรถม้ามาเป็นเจ้าของเรือใบทำให้สินทรัพย์คงที่ของเขาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ถึงแม้จะยังทำงานขนส่งอยู่ ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเมืองเกรย์คาสเซิล แต่เมื่อเทียบกับปีสองปีก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
แน่นอนว่าเขายังไม่ลืมเรื่องที่ตัวเองอยากจะซื้อรถบรรทุกไอน้ำซักคันสองคัน เพียงแต่ตอนนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาต้องซื้อเพิ่ม อย่างเช่นซื้อรถกับเรือเพิ่ม…แน่นอน ถ้าสามารถตั้งธุรกิจขนส่งโดยเฉพาะขึ้นมาได้ก็คงจะดีไม่น้อย
“หัวหน้า รำลึกความหลังอันยากลำบากอีกแล้วเหรอ?” มีคนถามหยอกขึ้นมา
เหล่าลูกเรือต่างรู้ดีว่าหัวหน้าของตัวเองเวลาที่มีความสุข เรื่องที่ชอบทำมากที่สุดก็คือคุยโวเรื่องในอดีตที่ผ่านมา ขอเพียงไม่มีคนขัดเขา ต่อให้พูดชั่วโมงสองชั่วโมงก็ไม่เป็นปัญหา แต่ในฐานะที่เป็นผู้ฟัง พวกเขาเองก็จะได้พักจากการทำงานสักครู่ ด้วยเหตุนี้จึงมักจะมีคนเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นประจำ
“ความหลังอันยากลำบากอะไรล่ะ นั่นมันเรียกว่าประสบการณ์ชีวิต พวกเจ้าเนี่ย…ยังผ่านโลกมาน้อยเกินไป” ไวท์ถลึงตาใส่ “เมื่อก่อนข้าเป็นคนลากรถให้ท่านเคาท์ หลังจากนั้นก็ทำงานให้กับศาสนจักร ก่อนจะมารับจ้างเกรย์คาสเซิล ข้าถึงได้มีธุรกิจนี้ได้ ดังนั้นนั่นมันไม่ใช่ความยากลำบาก หากแต่เป็นพื้นฐานที่เดินไปสู่ความสำเร็จ เข้าใจไหม!”
“ใช่ๆๆ หัวหน้าพูดถูก!” ทุกคนต่างพยักหน้าขึ้นมา
“เจ้าพวกเด็กน้อย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากจะอู้อีกแล้ว” ไวท์หาที่สะอาดๆ นั่งลง ก่อนจะตบลงไปบนพื้นข้างตัว “มาสิ ฉวยโอกาสที่วันนี้ข้าอารมณ์ดี เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องให้พวกเจ้าฟังหน่อยแล้วกัน”
บนดาดฟ้าเรือมีเสียงผิวปากดังขึ้นมาทันที
ไวท์เองก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาไม่ใช่ขุนนาง ถ้าไม่เป็นเพราะตัดสินใจอพยพไปเนเวอร์วินเทอร์พร้อมกับคนส่วนใหญ่ สถานการณ์ของเขาตอนนี้ก็คงไม่ดีไปกว่าพวกลูกเรือเหล่านี้เท่าไร
“วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเข้าไปยึดอ่าวดีพพูลของวูล์ฟฮาร์ทแล้วกัน” เขาพูดเกริ่นเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องราวออกมา ทั้งเรื่องทหารที่ยืนอยู่กลางสายฝน เรื่องที่คณะตัวแทนขุนนางทิ้งชุดเกราะทันทีที่เจอหน้า แต่เรื่องที่เขาเล่าส่วนใหญ่คือเรื่องที่กองกำลังเรือที่มืดฟ้ามัวดิน
“พวกเจ้าไม่รู้ว่านั่นเป็นกองทัพที่ใหญ่แค่ไหน ใบเรือสีขาวที่ยาวต่อเนื่องแทบจะยาวกว่าเส้นขอบฟ้าบนทะเล เพียงแค่มองไกลๆ ก็ยังทำให้ตกตะลึงอย่างมาก มันก็เลยไม่แปลกที่บารอนของอ่าวดีพพูลจะสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทโรแลนด์ทันที”
“ขนาดนั้นเลยเหรอหัวหน้า?”
“เฮ้ ตอนนั้นมันน่าตกตะลึงกว่าที่ข้าพูดเสียอีก พ่อหนุ่ม ข้ากล้าพนันเลยว่านั้นเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิตเลย ต่อให้เจ้าคิดจนหัวแตกก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก นอกจากจะได้เห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง ไม่อย่างนั้นชาตินี้เจ้าก็อย่าได้ว่าจะเป็นแบบนี้อย่างนี้เลย แน่นอนว่าโอกาสแบบนี้ต่อให้รออีกซักสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะได้เจอ” ไวท์พูดอย่างภูมิใจ
“เอ่อ…หัวหน้า แล้วท่านเคยเห็นเรือที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาไหม?” มีคนถามขึ้นมา
“เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า ที่ข้าเล่ามามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่พวกชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมา!”
“แต่มันอยู่…ตรงข้ามกับท่าเรือ แถม…ไม่ใช่แค่ลำเดียวด้วย…” เสียงของคนๆ นั้นเริ่มติดอ่างขึ้นมา
“เมื่อคืนเจ้ากินเหล้าเยอะเกินไปเหรอไง?” ไวท์พยุงตัวขึ้นมา เขาแหวกพวกลูกเรือที่ห้อมล้อมเขาอยู่แล้วมองออกไปนอกทะเล ก่อนจะยืนตกตะลึงไปกับที่
เขามองเห็นบนทะเลมี ‘ประตู’ ขนาดใหญ่มหึมาบานหนึ่ง
จากนั้นเรือเดินทะเลที่แขวนธงของอาณาจักรเกรย์คาสเซิลก็แล่นออกมาจากประตูลำแล้วลำเล่าเหมือนกับวิญญาณ ก่อนจะแล่นผ่านท้ายเรือ ‘แกลลอป’ ไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น