Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1464-1469
ตอนที่ 1464 แสงแรกของวัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหนือเมืองจักรพรรดิบนพระผู้สร้าง
เดอะแมสก์ที่มีหลายศีรษะไม่จำเป็นต้องใช้เวลานอนนานๆ พูดอีกอย่างก็มันสามารถตื่นอยู่ตลอดเวลาได้ด้วยการให้ศีรษะต่างๆ ของมันสลับกันพักผ่อน
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่อายการ์ดพบเห็นความผิดปกติ มันจึงได้รับการแจ้งเตือนทันที
‘ศัตรูมาแล้ว’ จิตสำนึกของจักรพรรดิที่ดูไม่ได้ตื่นตระหนกเองก็ส่งตามมา ‘จากในความมืด’
แมลงพวกนั้นคิดจะใช้ประโยชน์จากความมืดในการหลบการลาดตระเวนของอสูรสยอง ในจุดนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัย เพียงแต่แบบนี้แล้วพวกนกเหล็กจะทำอะไรได้? หรือพวกมันยังคิดว่าตัวเองไม่ได้เตรียมตัวอะไรเอาไว้เลย?
‘เดี๋ยวข้าจะไปปลุกอสูรโบเกิลที่โง่เง่าพวกนั้นขึ้น แต่ข้าต้องใช้เวลาหน่อยนะ!’ การตอบสนองของอันดีเซิร์ฟช้าไปจังหวะหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเทียบกับราชาที่น่าสงสารที่มีแค่หัวเดียวตัวอื่นๆ แล้ว มันก็ยังถือว่ามีความระมัดระวังอย่างมาก
‘ช้าหน่อยก้ไม่เป็นไร’ นาซเพลหยิบเอาแกนเวทมนตร์ที่ย่อส่วนขึ้นมา ‘ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าได้ศึกษาวิธีการรบของนกเหล็กพวกนั้นจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ท่านจักรพรรดิที่เคารพ ข้าจะเป็นคนจัดการพวกแมลงที่น่ารำคาญพวกนี้เองขอรับ’
ภายใต้การควบคุมพลังเวทมนตร์ของมัน บนกำแพงหินสีดำที่ก่อตัวเป็นเหมือนหลังคาของเมืองจักรพรรดิได้มีผลึกหินที่เหมือน ‘กิ่งไม้’ งอกออกมาเป็นจำนวนมาก เดิมทีเจ้าพวกนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างซิมไบออนท์รุ่นแรก แต่หลังผ่านการปรับแต่งด้วยวิธีพิเศษของมัน เจ้าผลึกหินพวกนี้ก็ไม่ได้ยิงเข็มผลึกหินออกไปอีกต่อไป หากแต่ยิงเป็นร่างซิมไบออนท์ขนาดเล็กชนิดพิเศษอย่างหนึ่งออกไปแทน
หลังสู้กันมาหลายครั้ง มันก็มองออกว่านกเหล็กหรือเครื่องจักรที่มนุษย์เรียกว่าเฮฟเว่นเฟลมกับฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นนั้นมีจุดอ่อนที่ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง ถึงแม้ความเร็วของพวกมันจะเหนือกว่าอสูรโบเกิล แต่มันกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนอสูรโบเกิล ยิ่งตอนที่บินด้วยความเร็วสูงก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน วิถีการเคลื่อนที่ของมันจะเป็นเส้นโค้งที่ราบเรียบ เวลาที่พุ่งลงมามันจะไม่สามารถม้วนตัวได้ นี่หมายความว่า ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง มันจะต้องบินผ่านตำแหน่งหนึ่งๆ ที่กำหนดเอาไว้อย่างแน่นอน
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงกำหนดความสูงในการแตกตัวของเข็มเอาไว้ล่วงหน้า โอกาสที่ร่างซิมไบออนท์จะยิงถูกนกเหล็กก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แน่นอนว่าตัวเข็มหินนั้นทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ถ้าลองเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการเปลี่ยนวัตถุที่ใช้ยิงขึ้นไปเป็นร่างซิมไบออนท์ที่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น
‘สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนเข็ม’ พวกนี้จะระเบิดตัวเองในตอนที่เข้าใกล้นกเหล็ก แล้วกลายเป็นร่างซิมไบออนท์ที่สามารถลอยไปมาในอากาศได้ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทันทีที่มันตกลงไปบนตัวนกเหล็ก พวกมันก็จะฉีกและกัดกินผิวนอกอันบอบบางของเป้าหมายเหมือนกับปรสิต
เดอะแมสก์เชื่อว่าระบบการป้องกันอันนี้จะต้องทำให้ผู้บุกรุกจดจำไปจนตายแน่นอน
แต่เมื่อมองผ่านอายการ์ดออกไป การเคลื่อนไหวของมนุษย์หลังจากนั้นกลับทำให้มันรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
นกเหล็กไม่ได้ฉวยโอกาสตอนที่อสูรสยองยังไม่ได้บินขึ้นฟ้าเปิดฉากโจมตีพระผู้สร้าง หากแต่พากันเลี้ยวไปทางใต้ เหมือนกำลังจงใจหลบเมืองจักรพรรดิอย่างไรอย่างนั้น
นี่มันอะไรกัน?
พวกแมลงตัดสินใจล้มเลิกการโจมตีเหรอ?
‘เหอะ พวกมันหนีไปแล้ว ดูเหมือนของเล่นของเจ้าพวกนั้นจะไม่ได้ใช้งานซะแล้วล่ะ’ อันดีเซิร์ฟสงเสียงเหอะออกมา ‘สุดท้ายก็ต้องเป็นไปที่ไล่ตามไปฆ่าพวกมนุษย์’
ไม่…มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นี่นา
นาซเพลขมวดคิ้วขึ้นมา ถึงแม้มันจะเรียกอีกฝ่ายว่าแมลง แต่การปะทะกันมาหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกที่ไม่มีพลังเวทมนตร์เหล่านี้ไม่ได้ขี้ขลาดเลย ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเสี่ยงที่จะใช้แผนลอบโจมตีในเวลากลางคืนแบบนี้ แล้วพวกมันจะมาเกิดความหวาดกลัวในเวลาสำคัญแบบนี้ แล้วก็ถอยทัพกลับไปได้ยังไง?
ตอนนี้อายการ์ดรับรู้ถึงการจ้องมองได้เพียงจุดเดียว แสดงให้เห็นว่าแมลงส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นพระผู้สร้าง — เวลากลางคืนได้จำกัดการมองเห็นของอีกฝ่าย แต่มันก็ทำให้ความสามารถในการรับรู้ของอายการ์ดลดลงด้วย
หรือว่า….เจ้านกเหล็กพวกนี้จะไม่ใช่หน่วยโจมตีหลักของมนุษย์?
ทันใดนั้นภายในหัวมันพลันมีสายฟ้าฟาดลงมา ก่อนจะควบคุมให้อายการ์ดทั้งหมดมองขึ้นไปบนท้องฟ้ารอบๆ พระผู้สร้าง — ครั้งนี้อายการ์ดไม่ได้ใช้พลังเวทมนตร์ หากแต่เป็นความสามารถในการมองเห็นของมัน
‘เจ้ากำลังทำอะไร?’ อันดีเซิร์ฟส่งเสียงไม่พอใจออกมาทันที
เดอะแมสก์ไม่มีเวลามานั่งอธิบาย ในเวลานี้หัวทั้งหมดของมันล้วนแต่เชื่อมต่ออยู่กับอายการ์ด ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดมันก็มองเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนท้องฟ้า
มันเห็นโลหะสีดำขนาดเล็กอันหนึ่งกำลังบินเข้ามาหาพระผู้สร้าง ขนาดของมันเล็กกว่านกเหล็ก แทบจะแยกมันกับพื้นหลังที่เป็นสีน้ำเงินเข้มไม่ออกเลย
วัตถุทรงกรวยอันนี้ทำให้เดอะแมสก์นึกถึงระเบิดที่ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นทิ้งลงมาก่อนหน้านี้…แต่ว่า มนุษย์บุกมากันขนาดนี้เพียงเพื่อเจ้าสิ่งนี้น่ะเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้น นาซเพลก็ยังสั่งการให้ลูกน้องเปิดบาเรียเวทมนตร์ขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าพลันมีเปลวเพลิงที่สว่างเจิดจ้าระเบิดออกมา
และนี่ก็เป็นภาพสุดท้ายที่มันมองเห็นผ่านทางอายการ์ด
แสงสว่างอันนั้นสว่างวาบขึ้นมาแค่เพียงชั่วพริบตา จากนั้นอายการ์ดทั้งหมดพลันตัดขาดการเชื่อมต่อกับมันไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในสมองของมันมีเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและแสงที่สว่างจ้า
มันส่งเสียงคำรามขึ้นมาเบา!
แต่มันยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้
พระผู้สร้างเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระแทกใส่อย่างรุนแรง เมืองที่อยู่ภายในสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรงท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น บนหลังคามีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมา พื้นดินเองก็ยุบตัวลงไป — นาซเพลรู้สึกใต้เท้าของตัวเองยุบตัวลงไป ส่วนร่างหายของมันก็เหมือนลอยขึ้นมา
…..
ทิลลีมองไม่เห็นเสี้ยววินาทีที่ระเบิดระเบิดขึ้นมา
ถึงแม้เธอจะเตรียมแว่นตาดำเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่การใช้ตาเปล่ามองหาระเบิดที่ร่วงลงมาจากฟ้าที่สูงขึ้นไป 7,000 เมตรนั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นแว่นตาดำจะทำให้ทัศนวิสัยที่เดิมแย่อยู่แล้วยิ่งมืดเข้าไปอีก เธอพยายามลองอยู่หลายครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะล้มเลิกความตั้งใจไป
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่โลกสว่างขึ้นมา ทิลลีถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นเธอกำลังหันหลังให้กับพระผู้สร้าง พริบตานั้นเอง ปีกเครื่องบินถูกส่องสว่างขึ้นมาจนเห็นเงาแวววาว แม้แต่หมุดยึดที่อยู่บนปีกเองก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชิ้นส่วนที่ยืดออกมาจากตัวเครื่องทอดเงาเป็นทางยาวดูสะดุดตา!
ปกติมีแต่ตอนที่แสงแรกของวันปรากฏขึ้นมาถึงจะทำให้เค้าโครงของสรรพสิ่งสว่างขึ้นมา และทำให้ความมืดถดถอยไปได้
ทิลลีสูดหายใจ ก่อนจะเหลียวหน้ามองดู
ลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาดวงหนึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือพระผู้สร้างขึ้นไปหลายร้อยเมตร ถึงแม้ความสว่างของมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังส่องสว่างจนมองเห็นพระผู้สร้างทั้งหมด
กำแพงหินสีดำขนาดมหึมาที่อยู่ด้านนอกมีฝุ่นควันลอยฟุ้งขึ้นมา เหมือนถูกกระแสอากาศพัดผ่านไป แต่ทิลลีรู้ว่านั่นไม่ใช่กระแสอากาศ หากแต่เป็นลำแสงที่เข้มข้นถึงระดับหนึ่ง มันสามารถก่อให้เกิดแรงกระแทกเหมือนอย่างวัตถุที่มีรูปร่างได้ แล้วก็สามารถทำให้วัตถุที่ไวไฟติดไฟขึ้นมาได้
ในเวลาเดียวกันนี้ ด้านนอกลูกบอลเพลิงได้เกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา คลื่นกระเพื่อมคลื่นหนึ่งได้กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เป็นเพราะมีพระผู้สร้างเป็นภาพพื้นหลังอยู่ เธอก็ไม่มีทางที่จะมองเห็นภาพอันน่าตกตะลึงนี้ได้เลย
คลื่นกระเพื่อมได้กระแทกกับป้อมปรากการลอยฟ้าที่อยู่ด้านล่างเหมือนกับฝ่าบาทยักษ์ที่ตบลงไปบนโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ฝุ่นปริมาณมหาศาลฟุ้งกระจายขึ้นมาจนแทบจะปกคลุมพื้นผิวทั้งหมดของแกนกลางเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นจึงเป็นส่วนอื่นๆ ของพระผู้สร้างและสุดท้ายก็เป็นพื้นดิน เมื่อดูจากภาพที่ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาจะสามารถเห็นได้ว่าคลื่นกระเพื่อมนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา หากแต่เป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้จริงๆ
หลังกระแทกลงไปบนพื้นมันก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาฝูงบิน!
“เตรียมรับแรงกระแทก!” ทิลลีหยิบไมโครโฟนขึ้นมาตะโกนเสียงดัง
“ตู้ม!!!”
เสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าดินได้ลอยมาถึงหูของเธอในเวลานี้
ในที่สุดค่ำคืนที่เงียบสงบก็ถูกทำลายลง เมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นมา เครื่องบินก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายใต้ผลกระทบของคลื่นอากาศ ตัวเครื่องบินได้หล่นวูบลงไปข้างล่างเหมือนสูญเสียการควบคุม ก่อนจะกลับมาเป็นปกติหลังผ่านไปหลายวินาที
เสียงที่ดังสนั่นนี้เหมือนเป็นสัญญาณเตือนที่บอกว่ารุ่งอรุณได้มาถึงแล้ว แสงแรกของวันได้สาดผ่านสันหลังของทวีปลงมาบนพื้นดิน
ส่วนในเวลานี้ลูกบอลเพลิงก็ได้กลายเป็นเสาควันสีเหลืองส้ม ส่วนล่างของมันแทงลงไปในตัวพระผู้สร้าง ส่วนด้านบนก็ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และเชื่อมต่อเข้ากับชั้นเมฆ
ทิลลีออกคำสั่งอีกครั้ง
กระทั่งตอนที่ฝูงบินไปถึงด้านตะวันออก ในที่สุดเธอก็มองเห็นพระผู้สร้างที่จมอยู่ใต้ฝุ่นควันอย่างชัดเจน
เมื่อดูจากภาพรวมแล้ว มันแทบจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากเลย เมื่อเทียบกับต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดแล้ว มันยังคงลอยอยู่นิ่งๆ กลางอากาศ
แต่การระเบิดก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สร้างความเสียหายเลย ด้านบนหอคอยหินสีดำทรงพิระมิดที่มองเห็นลางๆ อยู่ภายใต้ฝุ่นควันมีรอยแตกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง!
ตอนที่ 1465 ต่อสู้เพื่อชีวิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แค่กๆ…แค่ก…”
นาซเพลใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปีนขึ้นมาจากซากปรักหักพังได้ ถ้าไม่เป็นเพราะมันเตรียมร่างที่เตรียมร่างที่เสริมความแข็งแกร่งเอาไว้ให้ตัวเอง เกรงว่าการถล่มครั้งนี้คงจะคร่าชีวิตมันไปแล้ว
บ้าเอ้ย เจ้าแมลงพวกนั้นมันทำอะไรกันเนี่ย!
ถึงแม้การสูญเสียไปชีวิตหนึ่งจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่มันก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำการถ่ายโอนวิญญาณได้โดยไม่ถูกจักรพรรดิพบเห็น ก่อนที่มันจะได้สิทธิ์ในการควบคุมแกนพลังเวทมนตร์มาอย่างเด็ดขาด มันก็ควรจะรักษารูปลักษณ์ที่มีอยู่ในตอนนี้เอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้คนอื่นสงสัย
‘องค์จักรพรรดิ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ….’
‘ด้านบนเมืองจักรพรรดิเกิดรอยแตก บาเรียพลังเวทมนตร์ถูกทำลาย กว่าจะกลับมาเป็นปกติคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่’ จักรพรรดิสั่งกำชับเสียงแข็ง ‘จำเป็นต้องรีบหาวิธีรับมือโดยเร็ว!’
‘แสงสว่างกับเสียงที่ดังสนั่นเมื่อกี้นี้มันอะไรกัร?’ เสียงของบลัดดี้คองเคอเรอร์ดังแทรกขึ้นมา ‘ทำไมข้าที่อยู่อาร์เรียตาก็ยังมองเห็นได้?’
‘อายการ์ดล่ะ? ทำไมข้าติดต่ออายการ์ดไม่ได้!’ อันดีเซิร์ฟลนลาน ‘เดอะแมสก์ เมื่อกี้เจ้าทำอะไร!?’
มันทำอะไรงั้นเหรอ? ภายในใจนาซเพลพลันรู้สึกโมโหขึ้นมา เจ้าพวกโง่ที่ใช้แต่กำลังพวกนี้มันไม่รู้เหรอไงว่ามนุษย์กำลังโจมตีเผ่าพันธุ์ของมันอยู่!
ระดับความสว่างของแสงสีขาวเมื่อครู่นี้สว่างจนน่าเหลือเชื่อ มันสว่างจนถึงขนาดที่ว่าจ้องมองตรงๆ อาจจะได้รับบาดเจ็บได้ ตอนนี้หัวสิบกว่าสิบของมันส่วนใหญ่ได้สูญเสียความสามารถในการมองเห็นไปแล้ว ต่อให้เป็นพระอาทิตย์ก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย
ส่วนจุดจบของอายการ์ดพวกนั้น ต่อให้ไม่ต้องพูดก็คงจะรู้
เป็นครั้งแรกที่เดอะแมสก์ไม่ได้สะกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
‘พวกอายการ์ดตายหมดแล้ว มีตาก็ไปดูซะ’
หลังพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจบ มันก็ก้าวขึ้นไปบนแท่นลอยที่อยู่ใกล้ที่สุด — ในระหว่างที่ขึ้นไปด้านบน บนยอกหอคอยยังคงมีเศษหินร่วงตกลงไปในทะเลสาบละอองชีวิตที่กว้างใหญ่อยู่ ถึงแม้ความเสียหายนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อหอคอยแห่งการให้กำเนิด ทว่านับตั้งแต่ที่เมืองจักรพรรดิถือกำเนิดขึ้นมา ที่แห่งนี้ก็ไม่เคยถูกศัตรูย่างกรายเข้ามาก่อน นี่ต้องทำให้เผ่าพันธุ์เสียขวัญไม่น้อยอย่างแน่นอน
เมื่อลอยขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเมืองจักรพรรดิ คลื่นความร้อนอันรุนแรงได้โถมเข้ามาใส่มัน ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นเหม็นไหม้ลอยอยู่ในอากาศ เหมือนกับว่าด้านในเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
มันจำได้แม่นว่าตำแหน่งที่แสงสีขาวปรากฏขึ้นมาในตอนแรกนั้นไม่ได้อยู่ติดกับยอดหอ หากแต่อยู่กลางอากาศที่อยู่เหนือที่นี่ขึ้นไปอีกหลายร้อยเมตร ด้วยระยะที่ห่างขนาดนี้ แต่จนถึงตอนนี้ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนอยู่ นี่มันอยู่เหนือไปจากขอบเขตความรู้ความเข้าใจของมันไปแล้ว
เมื่อมองไปรอบๆ นาซเพลถึงได้พอเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดอย่างคร่าวๆ
โลหะสีดำอันนั้นคือต้นตอที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
มันไม่เพียงแต่จะสร้างรอยแตกขนาดใหญ่บนยอดหอคอย แต่มันยังทำลายแนวป้องกันที่เป็นร่างซิมไบออนท์จำนวนมากด้วย เมื่อดูจากขอบของรอยแตกที่ยุบเข้าไปข้างใน ผิวนอกจากเมืองน่าจะถูกแรงกระแทกอันมหาศาลบางอย่างกระแทกลงไป ถึงแม้ผลึกที่อยู่บนผิวนอกของสิ่งก่อสร้างจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างหอคอยแห่งการให้กำเนิด แต่อย่างน้อยมันก็ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของบาเรียเวทมนตร์ การที่โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เกิดรอยแตกแบบนี้ได้มันก็พอจะทำให้รู้แล้วว่าอานุภาพของเจ้าสิ่งๆ นั้นมันจะน่ากลัวขนาดไหน
ผงหิมะไม่มีทางทำให้เกิดผลแบบนี้ได้อย่างแน่นอน ต่อให้เพิ่มปริมาณขึ้นอีกสิบเท่าก็ไม่มีทางทำได้ เห็นได้ชัดว่าอาวุธที่พวกมนุษย์ใช้นั้นเป็นสิ่งที่ได้รับสืบทอดมาใหม่ แต่เผ่าพันธุ์ของมันกลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย!
สิ่งที่ทำให้สีหน้าของเดอะแมสก์ดูแย่มากกว่าเดิมก็คือพวกนกเหล็กไม่ได้ฉวยโอกาสที่กองกำลังบนพื้นกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายบุกโจมตีลงมา หากแต่บินวนอยู่ด้านบนอีกครั้ง ดูแล้วไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาใกล้เลย!
หรือว่า…เจ้าสิ่งนี้มันไม่ได้มีแค่อันเดียว?
มันหันกลับไปมองดูหอคอยที่มีรอยแตกด้านล่างและทะเลสาบละอองชีวิต ทันใดนั้นหัวใจของมันพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
‘ให้อสูรโบเกิลขึ้นบินทั้งหมด อย่าไปสนใจนกเหล็กที่อยู่ตรงหน้า ให้พวกมันพยายามขึ้นไปสำรวจให้สูงที่สุด ถ้าเจออะไรผิดปกติให้รีบมารายงานข้า!’ เดอะแมสก์ใช้จิตสำนึกตะโกนออกไป
‘รายงานเจ้า? นาซเพล เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? กองทัพอสูรโบเกิลในเมืองจักรพรรดิคือกองกำลังของข้า!’ อันดีเซิร์ฟพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ถ้าไม่เป็นเพราะว่ามันยังไม่สามารถสร้างร่างซิมไบออนท์ที่บินได้ออกมา มันจะพูดอะไรไร้สาระแบบนี้ทำไม! เดอะแมสก์สะกดอารมณ์โกรธภายในใจ ‘ฟังให้ดีนะ การโจมตีที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ใช่นกเหล็กพวกนั้น หากแต่เป็นสิ่งอื่น’ มันย้อนคิดถึงภาพก่อนหน้านี้ ‘เจ้าสิ่งนั้นน่าจะบินได้สูงมาก อาวุธที่นำมาด้วยจะตกลงมาจากที่สูง แล้วก็ระเบิดออกในความสูงที่กำหนดเอาไว้ เพราะอานุภาพของมันรุนแรงอย่างมาก พวกนกเหล็กถึงได้เอาแต่บินวนอยู่รอบๆ เป้าหมายของมันไม่ใช่การโจมตีพระผู้สร้าง หากแค่เป็นการคุ้มครองผู้โจมตีหลัก! เจ้าต้องรีบหามันแล้วทำลายมันซะ ไม่อย่างนั้นพวกเราได้จบเห่แน่!’
‘จบเห่? เจ้าจะบอกว่า…ถูกพวกมนุษย์?’ อันดีเซิร์ฟตกตะลึง
‘รีบไป กำจัดพวกนั้นซะ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะทำได้!’ จากนั้นเดอะแมสก์ได้ย้ายจิตสำนึกไปยังแกนพลังของเผ่าพันธุ์ ‘องค์จักรพรรดิ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าเคลื่อนย้ายพระผู้สร้างด้วยขอรับ พวกเราจะอยู่นิ่งๆ แบบนี้ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นพวกเรามีแต่จะกลายเป็นเป้าของมนุษย์ขอรับ!’
เดิมมันคิดว่าต้องใช้เวลากล่อมจักรพรรดิให้หลบพวกมนุษย์อยู่ครู่ใหญ่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดิจะออกคำสั่งมาอย่างรวดเร็ว ‘ตอนนี้ข้าให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมเมืองจักรพรรดิชั่วคราว เจ้าต้องกำจัดผู้บุกรุกให้ได้!’
นี่คือการหลุดพ้นจากอารมณ์ของตัวเอง แล้ววิเคราะห์โดยอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลอย่างนั้นเหรอ…เดอะแมสก์ก้มหน้าไปทางหอคอยแห่งการให้กำเนิด ‘น้อมรับบัญชา องค์จักรพรรดิ’
นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิรวมร่างเข้ากับแกนพลังเวทมนตร์ มันก็ยิ่งรู้สึกว่าจักรพรรดิน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่หลังผ่านไปอีกร้อยปี อีกฝ่ายอาจจะเข้าใจความคิดของมันจริงๆ ก็ได้ แต่น่าเสียดาย ถ้าไม่เป็นเพราะหอเจ้าชีวิตน่ากลัวเกินไป บางทีมันก็อาจจะไม่ต้องทำถึงขนาดนี้
เดอะแมสก์ยกแกนเวทมนตร์ย่อส่วนขึ้นมาแล้วใส่พลังเวทมนตร์ทั้งหมดเข้าไป
พระผู้สร้างส่งเสียงดังครืนขึ้นมา ก่อนจะลอยขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วบินไปทางด้านล่างเสาควันที่ลอยฟุ้งกระจายอยู่บนท้องฟ้า—
เมื่อมีอำนาจในการควบคุมทั้งหมด มันไม่จำเป็นต้องแจ้งลูกน้องอีกต่อไป อาศัยเพียงแค่แกนพลังเวทมนตร์ในมือก็สามารถทำให้พระผู้สร้างเคลื่อนไหวได้อย่างใจ การที่จู่ๆ แผ่นดินลอยฟ้าก็ลอยขึ้นมาย่อมต้องสร้างอันตรายให้กับเผ่าพันธุ์ส่วนหนึ่งที่อยู่ในเมือง อย่างเช่นปีศาจผู้โชคร้ายที่เดินอยู่ริมหน้าผาตกลงไปยังหลุมลึกจนร่างแหลกละเอียด แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่นาซเพลจำเป็นต้องคิดในเวลานี้
“เจออสูรสยองจำนวนมากบินขึ้นฟ้า! ย้ำ เจออสูรสยองจำนวนมากบินขึ้นมาบนฟ้า!”
“พวกมันเข้ามาหาพวกเราแล้ว!”
“นี่คือฝูงบินที่หก พวกเรา กระจายตัวเตรียมโจมตีศัตรู!”
หลังแสงแรกยามเช้าส่องสว่างขึ้นมาบนท้องฟ้า ในที่สุดอัศวินอากาศก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยไฟท้ายเครื่องบินในการนำทางอีกแล้ว แต่ภายในแสงสีทองยามเช้านั้นไม่ใช่ภาพที่งดงามไปเสียทั้งหมด นอกจากกลุ่มควันที่เบ่งบานออกเหมือนดอกไม้แล้ว ตรงหน้าทุกคนยังมีจุดสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นมาด้วย พวกมันแห่กันออกมาจากพระผู้สร้างเหมือนกับฝูงผึ้งป่า
“พีซอาร์ค สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ทิลลีถามเสียงดัง
“คำนวณเสร็จเรียบร้อย กำลังเข้าสู่ตำแหน่งทิ้งระเบิด”
ก่อนหน้านี้หน่วยทิ้งระเบิดเสียเวลาไปไม่น้อยเพื่อจะยืนยันการระเบิด เนื่องจากเมืองจักรพรรดิของปีศาจมีเปลือกนอกห่อหุ้มเอาไว้อยู่ การจะทำให้ระเบิดลูกที่สองแสดงอานุภาพออกมาอย่างเต็มที่ก็จำเป็นต้องทำให้มันเข้าใกล้แหล่งกำเนิดหมอกแดงมากที่สุด ถึงแม้ซิลเวียจะคำนวณตัวเลขในการทิ้งระเบิดออกมาใหม่แล้ว แต่ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากการทิ้งระเบิดลงมาจากความสูง 7,000 เมตรย่อมต้องเกินไปจากขอบเขตของรอยแตกแน่นอน ด้วยเหตุนี้หน่วยพีซอาร์คจึงลดระดับความสูงลงมาอีก 1,500 เมตรเพื่อให้มั่นใจว่าระเบิดจะตกลงไปในเมือง
“พีซอาร์คเตรียมทิ้งระเบิด แต่ละหน่วยเตรียมตัวรับแรงกระแทก” หลังจากนั้นไม่กี่สิบวินาที ในวิทยุก็มีเสียงรายงานดังขึ้นมา
“เดี๋ยวๆ!” จู่ๆ ซิลเวียพลันพูดขึ้นมา “พระผู้สร้างเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว!”
ตอนที่ 1466 สถานการณ์วุ่นวาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนพีซอาร์ค อีเกิลเฟซที่กำคันบังคับเตรียมจะเปิดประตูพลันปล่อยมือออก
“ทิศทางล่ะ?”
“ทางตะวันออก 9 องศา พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปทางเสาควัน!”
“ครูฝึก พวกเราทำยังไงต่อดีขอรับ?” คนขับเครื่องบินหันกลับมาถาม
ด้วยขนาดของพระผู้สร้าง ถึงแม้จะเคลื่อนไหวขึ้นมาก็ไม่สามารถที่จะหลบระเบิดที่ร่วงลงมาบนฟ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นบาเรียเวทมนตร์ก็ใช้งานไม่ได้แล้ว ขอเพียงแสงแห่งอาทิตย์ลูกที่สองตกลงใกล้ๆ หอคอยทรงพิระมิด มันก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะทำลายเสาโอเบลิสลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับหน่วยทิ้งระเบิดแล้ว นี่ยังเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดด้วย
แต่เขาไม่ได้ขึ้นเครื่องบินลำนี้มาเพื่อความปลอดภัย
นักบินของเครื่องบินทิ้งระเบิดทั้งสองลำล้วนแต่ถูกคัดเลือกออกมาจากนักเรียนหัวกะทิ มีเพียงกัปตันที่เป็นหัวหน้าเท่านั้นที่จะให้ครูฝึกมาเป็นผู้รับผิดชอบ จุดประสงค์นั้นเห็นได้ชัดอย่างมาก นักเรียนที่เป็นคนขับคือหัวใจสำคัญของการขับเครื่องบินให้ดี ส่วนพวกเขาขึ้นมาบนเครื่องบินก็เพื่อให้มั่นใจว่าภารกิจจะสำเร็จลุล่วง
ในโอกาสสำเร็จที่มีอยู่ไม่น้อยนั้นหมายความว่ามีโอกาสที่จะล้มเหลวอยู่
และสิ่งที่เขาต้องทำก็คือเลิกพึ่งพาดวงชะตา แล้วพยายามทำสิ่งที่ตัวเองสามารถควบคุมได้ให้ดีที่สุด
เรื่องที่ว่าพระผู้สร้างอาจจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นมาในระหว่างที่ทำการทิ้งระเบิดทั้งสองรอบหรือว่ามันอาจจะเคลื่อนที่อยู่ตั้งแต่แรกนั้น ทางทีมที่ปรึกษาได้ทำการพูดคุยกันมาหลายครั้งแล้ว วิธีการแก้ไขนั้นมีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือใช้ความสูงมาแลกกับอัตราความแม่นยำ จนกว่าศัตรูจะไม่สามารถหนีรอดไปไหนได้อีก
“ลดระดับความสูงลงไป 2,000 เมตร ทำการคำนวณวิถีการทิ้งระเบิดใหม่” อีเกิลเฟซออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล “พวกมันไปไหน พวกนั้นก็จะตามมันไปที่นั่น!”
….
ในเวลานี้เอง อสูรสยองได้พุ่ง ‘เข้าชน’ กับฝูงบินที่พุ่งลงมา
กู๊ดรู้สึกท้องฟ้าพลันมืดลงกว่าเดิม ราวกับว่าแสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะโผล่ขึ้นมาได้ถูกความมืดกลืนกินไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบนล่างซ้ายขวาก็ล้วนแต่มีศัตรูอยู่
ลำแสงอันเจิดจ้าที่พ่นออกมาจากปืนใหญ่อัตโนมัติของฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ เล็งเป้า — หรือก็คือแค่เลื่อนปากกระบอกปืนผ่าน จากนั้นยิงออกมา อสูรสยองตัวใดก็ตามที่เข้ามาขวางทางล้วนแต่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศึกใหญ่ขนาดนี้ ทักษะส่วนตัวแทบจะไร้ความหมาย ต่อให้มีดวงตาอยู่รอบตัว เขาก็ไม่มีทางมองเห็นศัตรูทุกตัวที่พุ่งเข้ามาหาเขาได้
ถ้าไม่เป็นเพราะด้านข้างมีเพื่อนคอยปกป้องอยู่ เกรงว่าเขาคงจะถูกหอกกระดูกที่บินมาจากรอบทิศแทงเข้าแล้ว
。
หลังกราดยิงยาวๆ ไปสามรอบ ภาพเบื้องหน้าของกู๊ดพลันสว่างขึ้นมา ในเวลานี้เขาถึงได้พบว่าตัวเองได้บินหลุดออกมาจากฝูงอสูรสยองแล้ว — เมื่อหันหน้ากลับไป ด้านหลังกลับไม่มีศัตรูไล่ตามมาเลยแม้แต่ตัวเดียว
“พวกปีศาจมันกำลังทำอะไร? เหมือนความสนใจของพวกมันจะไม่ได้อยู่ที่พวกเรา” ฟินกิ้นที่บินตามอยู่ด้านข้างเขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติตรงนี้
กู๊ดขับเครื่องบินทิ้งระยะห่างออกมา ภายในใจรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที เมื่อดูจากภาพรวมแล้ว ในบรรดาอสูรสยองจำนวนมากที่บินขึ้นมาบนท้องฟ้าจนมืดฟ้ามัวดิน มีอสูรสยองเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่เข้ามาปะทะกับอัศวินอากาศ อสูรสยองตัวอื่นๆ ล้วนแต่พยายามจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นมา
ตามหลักแล้ว ปีศาจน่าจะมองไม่เห็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่บินอยู่เหนือชั้นเมฆนี่นา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกมันยังไม่เจอเป้าหมาย
ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามบินขึ้นไป แต่เส้นทางการบินกลับสะเปะสะปะ ดูแล้วเหมือนพยายามบินวนหาไปมั่วๆ
“บ้าเอ้ย ปีศาจมันกำลังหาพีซอาร์คอยู่!” กู๊ดคำรามใส่วิทยุ
“อย่างนั้นก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ?” ฟินกิ้นผิวปาก “พวกมันบินช้าขนาดนี้ ถ้าอยากจะหาเครื่องบินทิ้งระเบิดให้เจอก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย พวกเราก็ฉวยโอกาสนี้กำจัดพวกมันซะ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับองค์หญิง”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่กู๊ดกลับรู้สึกไม่สบายใจเลย
“มีศัตรูอีกกลุ่มพุ่งเข้ามาแล้ว!” เพื่อนอีกคนตะโกนเตือน “พวกเราเข้าไปในเมฆก่อน ที่นั่นเหมาะที่จะใช้ตัดกำลังพวกปีศาจ พอบินเลยความสูง 4,000 เมตรขึ้นไปแล้ว แม้แต่จะกระพือปีกพวกมันก็ยังทำได้ยาก จากนั้นพวกเราก็ค่อยๆ กำจัดพวกที่บินอยู่หน้าสุดไปทีละชั้นๆ”
“แผนนี้ฟังดูไม่เลว!”
“อย่างนั้นข้าขึ้นไปก่อน!”
เครื่องบินสิบกว่าลำทยอยบินพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
แต่กู๊ดกลับไม่ได้ตามไป
เขาหมุนปรับวิทยุไปยังช่องทีมเล็ก แล้วพูดกับฟินกิ้นตามลำพังว่า “พวกเราอยู่ตรงนี้นี่แหละ”
“อะไรนะ อยู่ตรงนี้เหรอ? ถ้าเกิดศัตรูมันล้มเลิกการค้นหาขึ้นมา คนที่จะโดนเล่นงานก่อนคือพวกเรานะ!” อีกด้านมีเสียงสงสัยของเพื่อนซี้ดังขึ้นมา “อีกอย่าง ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้กำจัดศัตรูให้ได้เยอะๆ อย่างนั้นความดีความชอบก็โดนคนอื่นแย่งไปหมดสิ”
“เรื่องนั่นมันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการเคลื่อนไหวของพวกปีศาจ!” กู๊ดจ้องมองไปยังอีกด้านหนึ่งของสนามรบพร้อมพูดอธิบายว่า “เจ้าลองคิดดูนะ ในเมื่อพวกมันเดาออกแล้วว่าด้านบนมีเครื่องบินทิ้งระเบิดอยู่ อย่างนั้นพวกมันจะรู้ตัวแล้วหรือเปล่าว่าความจริงแล้วการโจมตีเมื่อครู่นี้มาจากระเบิดลูกที่เล็กกว่า?”
“ไม่มั้ง..ปีศาจมันไม่รู้เรื่องแผนการแสงแห่งอาทิตย์ แล้วก็ไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้าด้วยว่าพวกเราบุกโจมตีเข้ามา จากตอนที่ทิ้งระเบิดจนถึงตอนที่ระเบิดขึ้นมาใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แล้วพวกมันจะมองแผนการของพวกเราออกได้ยังไง?”
“ข้าไม่มั่นใจ แต่ข้าแค่รู้สึกว่าบางทีการที่เมืองลอยฟ้าเคลื่อนที่เข้าไปหากลุ่มควันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” กู๊ดพูดพึมพำขึ้นมา ตามความคิดของคนปกติ นั่นคือกลุ่มควันที่เกิดขึ้นมาจากการระเบิด กระทั่งจะหลบก็ยังหลบไม่ทัน แล้วจะพุ่งเข้าไปหามันได้ยังไง แต่ถ้าหากปีศาจเคลื่อนที่เข้าไปหามันด้วยจุดประสงค์บางอย่าง อย่างนั้นช่วงเวลาที่ระเบิดร่วงตกลงมาก็จะเป็นโอกาสในการโจมตีกลับครั้งสุดท้ายของพวกมัน
“ก็ได้” หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายฟินกิ้นก็ตอบตกลงอย่างจนปัญญา “ในเมื่อเจ้าว่าแบบนี้ ข้าก็จะเชื่อเจ้าซักครั้งแล้วกัน แต่ถ้าเราถูกคนอื่นแย่งผลงานไป เจ้าจะต้องชดใช้ให้ข้าเข้าใจไหม”
“เครื่องดื่มยุ่งเหยิงเดิมหนึ่งเป็นยังไง?”
“ไม่ต้อง แค่แนะนำน้องสาวของเจ้าให้ข้าก็พอ”
“แคร่ก” ภายในหูฟังเสียงเสียงตัดสัญญาณดังขึ้นมา
ฟินกิ้นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบินไปทางกู๊ด
….
บ้าเอ้ย เจ้าพวกนี้ — มันรับมือยากจริงๆ!
อันดีเซิร์ฟบังคับหินโบยบินหลบกระสุนที่ยิงรัวเข้ามาอย่างยากลำบาก จากที่เดอะแมสก์บอกมา การถูกเจ้าสิ่งเล็กๆ นี่ยิงถูกเข้านั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการถูกค้อนทุบเข้าจังๆ เลย บาเรียพลังเวทมนตร์ไม่สามารถป้องกันได้นาน ในเมื่อแม้แต่ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ยังเคยถูกอาวุธของมนุษย์เล่นงานจนแย่มาแล้ว มันย่อมไม่คิดที่จะลองโดนอาวุธของมนุษย์ยิงถูกอย่างแน่นอน
เดิมด้วยพลังของมันแล้ว การจะรบกวนสัมผัสการรับรู้ของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ถึงแม้อีกฝ่ายจะสวมใส่หินอาญาสิทธิ์ มันก็ยังสามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้ไม่มากก็น้อย แต่คนที่กำลังตามเล่นงานมันอยู่ในตอนนี้กลับเป็นแม่มดคนหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้อันดีเซิร์ฟยิ่งรู้สึกแย่ก็คือแม่มดคนนั้นเหมือนจะไม่ได้คิดที่จะใช้พลังเวทมนตร์ในการตัดสินแพ้ชนะกับมัน เธอขับนกเหล็กสีแดงเข้ม แทบจะไม่ได้เข้ามาในรัศมี 900 ฟุตรอบตัวมันเลย ถึงแม้จะใช้วิธีโจมตีเสร็จแล้วหนี แต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นคล่องแคล่วอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังยิงค่อนข้างแม่นด้วย นี่ทำให้มันตกอยู่ในสภาพที่จะไล่ตามก็ไม่ได้ จะสลัดก็ไม่หลุด
ผู้มีพลังเวทมนตร์ต่อสู้โดยพึ่งพาวัตถุภายนอกแทนที่จะใช้พลังเวทมนตร์ของตัวเอง สำหรับมันแล้วนี่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรง!
ยิ่งไปกว่านั้นแม่มดแบบนี้เหมือนจะไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วย
อย่างเช่นกระสุนหินอาญาสิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากบนชั้นเมฆอยู่ตลอดเวลาก็น่าจะมาจากฝีมือของแม่มดเหมือนกัน — ถ้าไม่เป็นเพราะหลังจากที่ยกระดับมันสามารถรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว มันคงจะถูกการโจมตีของศัตรูเล่นงานไปนานแล้ว
ตอนแรกบอกจะมาไล่ล่ามนุษย์ แต่ตอนนี้กลับถูกมนุษย์ไล่ล่าจนอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อันดีเซิร์ฟไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อน พอคิดๆ ดูแล้ว คนที่สามารถเคลื่อนไหวในอากาศได้คล่องแคล่วเหมือนตอนอยู่บนพื้นดินนั้นมีแค่เฮคซอดที่ถูกขนานนามว่า ‘สกายลอร์ด’ เพียงคนเดียวเท่านั้น ตัวมันมีความสามารถขนาดนี้ แต่กลับต้องอาศัยหินโบยบินคอยหลบการโจมตีซ้ายทีขวาที นี่เป็นความผิดของนาซเพลนั่นแหละ ถ้าให้กองทัพอสูรสยองเข้าไปสู้กับศัตรูตรงๆ ซะ มันก้ต้องไม่ต้องถูกยกเหล็กสีแดงเล่นงานจนแย่แบบนี้
การโจมตีหลักที่แอบซ่อนอยู่บนท้องฟ้า พูดอย่างกับตัวเองมองเห็นอย่างนั้นแหละ
อันดีเซิร์ฟหลบการกราดยิงของแม่มดอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบมองขึ้นไปด้านบน จากนั้นมันก็ต้องตกตะลึงไปทันที
มันเห็นนกเหล็กยักษ์สีดำสนิทลำหนึ่งเคลื่อนตัวออกมาจากเสาควัน ร่างกายของมันใหญ่กว่าอสูรโบเกิลที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้านล่างของปีกทั้งสองข้างมีอุปกรณ์ขับเคลื่อนห้อยอยู่สี่ตัว นกเหล็กที่มีปีกสองชั้นลำอื่นๆ เทียบกับมันไม่ได้เลย!
นี่คือ ‘สิ่งผิดปกติ’ ที่เดอะแมสก์บอกอย่างไม่ต้องสงสัย
มันพูดถูกจริงๆ ด้วย
อสูรสยองกลุ่มอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นเจ้านกเหล็กยักษ์นี่เหมือนกัน พวกมันพากันไล่ล่าเป้าหมายใหม่ตามที่ได้รับคำสั่งมาในตอนแรก ถึงแม้มนุษย์จะพยายามหยุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความแตกต่างในด้านจำนวน การพยายามหยุดก็เป็นแค่การถ่วงเวลาเท่านั้น ช้าเร็วนกเหล็กยักษ์ตัวนี้ก็ต้องถูกโจมตีจนตกลงไป
‘เอาล่ะ ถือว่าเจ้าพูดถูก’ อันดีเซิร์ฟใช้รูนติดต่อกลับไป ‘หน่วยของข้าเจอการโจมตีหลักที่เจ้าว่าแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะจัดการได้’
แต่เสียงของเดอะแมสก์เหมือนไม่ได้เบาใจเลยแม้แต่น้อย ‘มันหน้าตาเป็นยังไง? รีบบอกข้าเร็ว!’
อันดีเซิร์ฟขมวดคิ้ว แต่มันก็ยังบอกออกไปตรงๆ ‘ดูแล้วเหมือนนกเหล็กที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม’
‘ด้านล่างท้องของมันล่ะ? มีอะไรห้อยอยู่หรือเปล่า?’
ในเวลานี้แม้มดโจมตีมาอีกครั้ง
ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ! เอาไว้จัดการเจ้านกยักษ์นั่นได้แล้ว ข้าจะกลับมาจัดการพวกเจ้า! อันดีเซิร์ฟหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสังเกตดูนกเหล็กยักษ์อย่างละเอียด
‘ด้านล่างมันไม่มีอะไรเลย เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย?’
‘ไม่มีอะไรเลยงั้นเหรอ?’ เดอะแมสก์ถามซ้ำขึ้นมา
‘ใช่’ อันดีเซิร์ฟพูดอย่างหงุดหงิด ‘นอกจากรูใหญ่ๆ รูหนึ่งแล้ว ข้าไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย’
ตอนที่ 1467 ชะตาชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
นาซเพลรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ขึ้นมาจากแผ่นหลัง
มันเคยเห็นตอนที่นกเหล็กพุ่งลงมาทิ้งระเบิด ในเมื่อการโจมตีรอบแรกมาจากก้อนโลหะขนาดใหญ่ อย่างนั้นนกเหล็กยักษ์ที่อันดีเซิร์ฟเจอก็น่าจะใช่เป้าหมายที่มันกำลังค้นหา ไม่รู้ว่ามนุษย์สามารถสร้างนกเหล็กให้ใหญ่ขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไร แต่อย่างน้อยหลักการทำงานและโครงสร้างของพวกมันก็น่าจะเหมือนกัน
และการที่ตรงท้องเหลือแค่รูขนาดใหญ่ก็หมายความว่าศัตรูได้ทิ้งก้อนโลหะก้อนที่สองลงมาแล้ว!
อย่างนั้นตอนนี้เจ้าสิ่งนั้นมันอยู่ที่ไหน?
นาซเพลเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของพระผู้สร้าง อีกด้านหนึ่งก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังเมฆด้านบน แต่ไม่นานมันก็ล้มเลิกความพยายามที่ไร้ความหมาย เมื่อไม่มีอายการ์ดคอยช่วยเหลือ อาศัยเพียงแค่ดวงตาของมันไม่กี่คู่ ไม่มีทางที่จะมองหาเจ้าสิ่งนั้นเจอท่ามกลางท้องฟ้าที่อยู่ในสภาพวุ่นวายเลย ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยอสูรสยองที่กำลังสู้กับนกเหล็กอยู่ ส่วนจุดดำๆ ที่ตกลงมานั้นอาจจะเป็นเศษชิ้นส่วนของนกเหล็ก แล้วก็อาจจะเป็นเศษชิ้นส่วนของอสูรโบเกิล หรืออาจจะเป็นร่างระดับต้นที่ร่วงตกลงมาก็ได้
ความจริงแล้วมันมองไม่เห็นนกเหล็กสีดำที่อันดีเซิร์ฟบอกด้วยซ้ำ ในเวลานี้ฝุ่นควันที่คละคลุ้งได้ขยายตัวออกไปหลายสิบกิโลเมตรและกลายเป็นเหมือนร่มขนาดใหญ่ที่ปกคลุมอยู่บนหัว การจะกวาดตามองดูสถานการณ์ทั้งหมดจากทางด้านล่างนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
‘มันโยนอะไรลงมาไหม?’ หรือไม่ก็มีอะไรสีดำๆ ที่ร่วงตกลงมาด้วยความเร็วสูงไหม?’ เดอะแมสก์แทบจะตะโกนออกมา
‘มีสิ เต็มไปหมดเลย’ คำตอบของอีกฝ่ายไม่ได้เหนือไปจากที่มันคาดคิดเอาไว้ ‘ถ้าเจ้าอยากจะให้ข้าหาอะไรก็ช่วยอธิบายให้มันละเอียดหน่อย’
ไม่ทันแล้ว นาซเพลรู้ตัว
มันยังพอทำอะไรได้บ้างไหม?
ทำยังไงถึงจะหลบการโจมตีครั้งนี้ไปได้?
ในหัวจำนวนมากที่ความคิดผุดขึ้นมาอันแล้วอันเล่า แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้…ไม่ได้…ใช้ไม่ได้!
สุดท้ายเดอะแมสก์พบว่ามันทำอะไรไม่ได้เลย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาวุธที่น่าเหลือเชื่อของมนุษย์ที่ได้รับการสืบทอดมา สิ่งที่มันสามารถทำได้นั้นมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง — พระผู้สร้างมีขนาดใหญ่มาก การจะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของมันในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถึงแม้มันจะสั่งการให้แกนพลังเวทมนตร์ทำการถอยเต็มกำลังแล้ว แต่แรงเฉื่อยอันมหาศาลก็ยังทำให้ตัวพระผู้สร้างค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอยู่
สกัดก้อนเหล็กที่โจมตีเข้ามางั้นเหรอ? ตอนนี้มันยังไม่รู้ถึงตำแหน่งและความเร็วของเจ้าสิ่งๆ นั้นเลย แต่ถึงต่อให้รู้ คำสั่งอันนี้มันก็ยากที่จะเป็นจริงได้ หน่วยอสูรสยองได้กระจายตัวไปรุมโจมตีเจ้านกเหล็กยักษ์นั่นหมดแล้ว จิตสำนึกที่ถูกส่งออกไปจากหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็มีเพียงแค่ปีศาจระดับสูงที่สามารถสัมผัสกับโลกแห่งจิตสำนึกได้เท่านั้นถึงจะรับรู้ได้ มันไม่สามารถแจ้งเรื่องภัยอันตรายที่กำลังคืบใกล้เข้ามาให้พวกร่างระดับต้นจำนวนนับพันที่กำลังต่อสู้รับรู้ได้
สิ่งเดียวที่เดอะแมสก์ทำได้นั้นมีแค่ภาวนาขอให้เจ้าพวกที่มีหัวเดียวพวกนั้นฉลาดพอที่จะมองอาวุธของพวกมนุษย์ว่าเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ แล้วก็ไม่ปล่อยให้เจ้าก้อนเหล็กสีดำนี้ตกลงมาในเมืองจักรพรรดิ
ชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์หลังจากนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของมันตัวเดียวอีกต่อไปแล้ว
……
ซิลเวียกัดริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว
พีซอาร์คที่ถูกปีศาจล้อมโจมตีมีควันฟุ้งขโมงขึ้นมา ส่วนหัวของมันถูกรอยยุบลงไปจากการพุ่งชนของศัตรู ถึงแม้ยังมีเครื่องยนต์อีกสองเครื่องที่ทำงานอยู่ แต่ช้าเร็วยังไงมันก็ต้องถูกทำลายลงแน่
รอบๆ พีซอาร์คนั้นเต็มไปด้วยอสูรสยอง — พวกมันโอบล้อมเข้ามาจากทุกด้านแล้วปาหอกที่สามารถระเบิดได้เข้าใส่เครื่องบินที่สูญเสียการควบคุม ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เธอนึกถึงพวกนกแร้งที่กำลังรุมกินเหยื่อของมันอยู่
นี่คือการตัดสินใจของหน่วยทิ้งระเบิด
เพื่อที่จะลดความคลาดเคลื่อนจากการทิ้งระเบิด พีซอาร์คได้ลดระดับจาก 7,000 เมตรลงมาอยู่ที่ 4,000 เมตร ซึ่งระยะนี้ได้อยู่นอกขอบเขตที่ปลอดภัยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางการบินที่ทำการคำนวณออกมาก็แทบจะพุ่งตรงเข้าไปในพื้นที่ค้นหาของศัตรู ขณะเดียวกันมันยังบินอยู่ในระดับความสูงเดียวกับเสาฝุ่นกัมมันตภาพรังสีที่รุนแรงถึงชีวิตด้วย เรียกได้ว่าทันทีที่ตัดสินใจใช้แผนการนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีก
หลังได้รับตัวเลขพารามิเตอร์ที่คำนวณออกมาใหม่แล้ว อีเกิลเฟซที่เป็นกัปตันบนเครื่องบินก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก เขาพูดเพียงแค่สองประโยคว่า
‘พีซอาร์ครับทราบ’
‘ขอบคุณมากนะ ภารกิจหลังจากนี้ต้องฝากพวกเจ้าด้วยล่ะ’
เหมือนว่านี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมากสำหรับเขา
ถ้าเธอไม่เอาตัวเลขพารามิเตอร์ที่เธอสังเกตการณ์ได้บอกอีกฝ่ายหรือว่าเลือกเส้นทางที่มันปลอดภัยมากกว่า…
ทันใดนั้นเวนดี้พลันกุมมือของเธอเอาไว้ เหมือนอีกฝ่ายจะมองออกถึงความเสียใจของเธอ “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อีเกิลเฟซรู้ดีว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่เป็นเพราะพีซอาร์คดึงดูดความสนใจของศัตรูจำนวนมากเอาไว้ ความเสียหายของอัศวินอากาศคงจะยากที่จะประเมินได้ แจ้งให้พวกเขาถอยออกมาจากพื้นที่ระเบิดแล้วเตรียมพร้อมรับแรงปะทะเถอะ”
ซิลเวียรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถูก การทำศึกบนสนามรบที่ศัตรูเป็นฝ่ายได้เปรียบในเรื่องจำนวน การที่อัศวินอากาศสามารถอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เธอไม่อาจทำให้การตัดสินใจของอีเกิลเฟซต้องสูญเปล่าได้
“รับทราบ…”
เธอสูดหายใจแล้วกระตุ้นสติตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะส่งข้อความออกไปผ่านทางรูนและวิทยุไร้สาย ฝูงบินที่ได้รับคำสั่งพากันเลี้ยวออกมา แล้วใช้ประโยชน์จากความเร็วที่ได้เปรียบบินหนีออกมาจากสนามรบ ในเวลาเดียวกันนี่เอง ซิลเวียก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ ไม่ใช่อัศวินอากาศทั้งหมดที่จะถอยหนีไป เธอเห็นฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นสามลำบินเข้าไปหาเมืองจักรพรรดิของปีศาจ แทนที่จะหนีออกไปเหมือนกับคนอื่นๆ!
….
“เฮ้ เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไร!” เสียงตะโกนของฟินกิ้นดังขึ้นมาในหูฟังไม่หยุด “นี่ไม่ใช่การฝึกซ้อมนะ!”
“ข้าย่อมต้องรู้ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่!” กู๊ดเองก็ตะโกนขึ้นมา ในขณะที่พูด เขาก็ยิงอสูรสยองตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาทิ้งไป “ถ้าทุกคนบินออกไปล่ะก็ ศัตรูจะต้องสังเกตเห็นระเบิดที่ถูกโยนลงมาจากพีซอาร์คแน่ ถึงแม้การเปลี่ยนวิถีของมันจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าสุดท้ายมันจะเกิดอะไรขึ้น! ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูเจ้านั่นสิ เห็นได้ชัดว่าเขาก็คิดเหมือนข้า!”
ที่กู๊ดดึงดันที่จะอยู่ในพื้นที่โจมตีตอนแรกก็เป็นเพราะเขากังวลว่าปีศาจอาจจะสังเกตเห็นระเบิดที่ถูกโยนลงมาจากข้างบน แล้วก็พยายามหยุดมันไม่ให้ตกลงไปบนพระผู้สร้าง
ระเบิดลูกที่สองหนักถึงสี่ตัน ด้านในติดตั้งหินอาญาสิทธิ์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขว้างหอกหรือว่าความสามารถของหินเวทมนตร์ก็ยากที่จะทำอะไรมันได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามันต้องระเบิดภายในพื้นที่ใจกลางของเมืองลอยฟ้าเท่านั้นถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และนี่ก็เป็นจุดที่ถูกเน้นย้ำอยู่หลายรอบในตอนที่วางแผนการรบ ถึงอสูรสยองคิดอยากจะไล่ตามมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ใดๆ ในโลกมันก็ไม่แน่ ถ้าเกิดมีปีศาจบังเอิญไปขวางอยู่บนเส้นทางที่มันร่วงตกลงมาพอดี ผลลัพธ์ที่ออกมามันคงจะเปลี่ยนไปจากเดิม
และเขาก็คือผู้ปกป้องในชั้นสุดท้ายนี้
ที่น่าเสียดายก็คือเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่คิดได้ถึงจุดนี้ ยังมีคนที่ลงมือเร็วกว่าเขาอยู่ เกรงว่าอีกฝ่ายคงบินตามมาตั้งแต่ตอนนี้ระเบิดลอยออกมาจากตัวเครื่องบินแล้ว
และคนๆ นั้นก็คือแมนเฟล แคสตีน
ความจริงเขาเองก็สังเกตเห็นเครื่องบินของแมนเฟลก่อน ถึงจะมองเห็นระเบิดที่กำลังลอยละลิ่วลงมาท่ามกลางความวุ่นวาย
ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นสามลำตั้งขบวนเป็นรูปสามเหลี่ยมบินไล่ตามลูกระเบิด เสียงเครื่องยนต์แทบจะดังทะลุที่ครอบหูเข้ามา ในเวลานี้กู๊ดมองเห็นแม้กระทั่งปีกช่วยทรงตัวที่ติดอยู่ด้านหลังลูกระเบิด
หากเป็นเฮฟเว่นเฟลมรุ่นก่อนหน้านี้ เกรงว่าเครื่องบินคงจะหลุดออกเป็นชิ้นๆ จากการบินด้วยความเร็วสูงแบบนี้แล้ว
โชคดีที่การบินไล่ตามนี้ใช้เวลาไม่นานนัก หลังกำจัดอสูรสยองสองตัวที่พยายามจะเข้ามาใกล้ทิ้งไป รอยแตกขนาดใหญ่บนยอดหอคอยทรงพีระมิดที่อยู่บนพระผู้สร้างก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า
ตอนที่ 1468 ลุกไหม้
โดย
Ink Stone_Fantasy
กู๊ดกำคันบังคับแน่น สายตาจ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่กะพริบ
เวลาเหมือนเดินช้าลง
ตอนแรกเขายังได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์อยู่ แต่ไม่นานเสียงนั้นก็ถูกเสียงหัวใจที่เต้นรัวเข้ามาแทนที่ ทว่าผ่านไปอีกไม่นาน กระทั่งเสียงใจเต้นก็ไม่มีอยู่อีก โลกที่อยู่รอบข้างสงบเงียบขึ้นมา
ระเบิดค่อยๆ ลอยห่างฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นไปเรื่อยๆ ส่วนรอยแตกที่อยู่บนยอดหอคอยเองก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเต็มเบื้องหน้าของเขา ในเวลานี้มีปีศาจจำนวนมากที่สังเกตเห็นพวกเขาแล้ว แต่เมื่ออยู่ในเวลาที่เหมือนหยุดนิ่ง กระทั่งตอนที่อีกฝ่ายเหลียวหน้ามาก็ยังช้าเหมือนกับหอยทาก
ภายในหัวเขาพลันมีภาพภายในห้องประชุมตอนที่ทำการยืนยันภารกิจก่อนออกเดินทางผุดขึ้นมา
‘องค์หญิง ระเบิดที่เครื่องบินทิ้งระเบิดโยนลงมามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?’
‘ถ้ากระหม่อมบินเร็วพอก็น่าจะสลัดคลื่นกระแทกนั้นได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?’
คนที่ถามคือฟินกิ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ความเห็นที่ฟังดูสิ้นคิดของเขามักจะเรียกเสียงหัวเราะของทุกคนได้เสมอ บอกตามตรง บางครั้งเขาก็รู้สึกอิจฉาเพื่อนของเขามาก
‘นอกเสียจากเจ้าจะบินเร็วกว่าแสงน่ะนะ’ องค์หญิงปฏิเสธความคิดเขาไปอย่างไม่ใยดี ‘ลำแสงที่เกิดขึ้นตอนที่มันระเบิดรุนแรงพอที่จะเผาเจ้าให้มอดไหม้ได้ ในตอนที่เจ้ามองเห็นมัน หากจะคิดหนีมันก็สายไปเสียแล้ว ถึงแม้จะโชคดีหลบลำแสงได้ แต่คลื่นกระแทกหลังจากนั้นก็จะพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ วิธีเดียวที่จะหลบมันได้อย่างปลอดภัยก็คือหนีห่างออกมาจากมันได้มากพอ’ เธอพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย ‘อย่างน้อยระเบิดลูกหนีหนึ่งก็เป็นเช่นนี้’
‘แล้วลูกที่สองล่ะพ่ะย่ะค่ะ?’
‘ถ้าเทพแห่งความโชคดียังรักเจ้าอยู่ล่ะก็ บางทีมันก็อาจจะมีโอกาสรอดอยู่ แต่แทนที่จะสวดภาวนาขอร้องฟ้าดิน ทำไมเจ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะ องค์หญิงทิลลีไม่ได้อธิบายอะไรละเอียด แต่กู๊ดกลับจำได้แม่น
ความจริงขอเพียงได้เห็นตอนระเบิดลูกที่หนึ่งระเบิดขึ้นมาก็พอจะเดาได้ว่าวิธีการหลบที่องค์หญิงบอกนั้นคืออะไร —- อาศัยเพียงแค่ตัวแสงแห่งอาทิตย์นั้นไม่สามารถที่จะทำลายพระผู้สร้างได้อย่างเด็ดขาด นี่จึงเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องพยายามเล็งให้ระบิดไปตกลงในพื้นที่ใจกลางทะเลสาบหมอกแดง และในตอนที่มันระเบิดขึ้นตรงด้านใน ขนาดอันใหญ่โตของพระผู้สร้างก็จะกลายเป็นเกราะกำบังตามธรรมชาติให้กับเขาได้
แต่องค์หญิงก็มีอยู่จุดหนึ่งที่พูดไม่ถูก นั่นคือทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชค หากแต่ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมมากกว่า
หากเป็นคนอื่น กู๊ดคงไม่กล้ามั่นใจแบบนี้แน่
แต่กัปตันของพีซอาร์คที่รับผิดชอบในการทิ้งระเบิดลูกที่สองคืออีเกิลเฟซ
ซึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตามากที่สุด
ถ้าเป็นครูฝึกล่ะก็ เขาจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่กู๊ดตัดสินใจที่จะส่งระเบิดในช่วงสุดท้าย
เขาไม่อยากให้โชคของศัตรูมาทำลายทุกอย่างที่ครูฝึกทำ
“เฮ้ กู๊ด ตอบข้า! เจ้าเหม่อไปแล้วเหรอ!” ทันใดนั้นเอง เสียงของเพื่อนพลันทำลายความเงียบขึ้นมา เสียงลมและเสียงเครื่องยนต์กลับมาดังอีกครั้ง —- “เจ้าโง่ ถ้ายังไม่ไปพวกเราจะตามระเบิดเข้าไปแล้วนะ! เจ้าคิดจะทิ้งเรเชลงั้นเหรอ—”
“ยังจำวิธีการบินตอนที่พวกเราฝึกได้ไหม?” กู๊ดพูดแทรกเขา “3 2 1!”
พอพูดจบ แมนเฟลที่บินอยู่ข้างหน้าสุดก็ดึงเครื่องบินของตัวเองขึ้น
กู๊ดเองก็ดึงคันบังคับขึ้นมาจนถึงหน้าอก
เครื่องบินทั้งสามลำกระจายตัวออก ดูแล้วเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน — ส่วนดอกที่ยังตูมซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางก็คือระเบิดที่กำลังหมุนควงลงไป
แรงอันมหาศาลได้กดเข้าเอาไว้บนที่นั่งนักบิน แม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้ลำบาก ทัศนวิสัยตรงหน้าค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ จากปากรอยแตกที่อยู่ตรงกลางค่อยๆ เลื่อนไปยังผนังภายนอกของหอคอยพีระมิดสีดำ ถึงแม้ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นจะมีความคล่องแคล่ว แต่ในเวลานี้มันก็ยังเชิดหน้าขึ้นได้อย่างยากลำบาก
ในช่วงที่พุ่งลงมาจากข้างบนด้วยความเร็วสูง การจะเปลี่ยนทิศทางไปบินในแนวราบในทันทีเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่ระเบิดระเบิดขึ้นมา ทั่วทั้งสองฟ้าก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่อันตรายอย่างมาก สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็การพยายามปรับมุม ทำให้ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นบินเลียดไปกับพื้นผิวของพระผู้สร้างเพื่อใช้ผนังหินของหอคอยทรงพีระมิดในการหนีจากคลื่นระเบิด ขณะเดียวกันก็ใช้ระยะห่างในการยื้อเวลาในการเปลี่ยนทิศทาง
ในเวลานี้เอง กู๊ดพลันเห็นปีศาจที่ดูแปลกประหลาดอย่างมากตัวหนึ่ง
ไม่น่าจะเป็นหน้าตาหรือว่าการแต่งกายก็ล้วนแต่แตกต่างไปจากปีศาจตัวอื่น ระยะห่างตอนที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันที่สุดนั้นห่างกันไม่ถึง 50 เมตร เรียกได้ว่าเฉียดกันนิดเดียว มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่าตัวเองจะถูกอีกฝ่ายใช้พลังฉีกตัวเขาออกเป็นชิ้นๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหินอะไรอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มันยืนอยู่ตรงนั้นมองดูตัวเองบินผ่านไปโดยไม่ทำอะไร
ในขณะเดียวกัน ระเบิดก็เฉียดขอบรอยแตกตกลงไปในยอดหอคอยทรงพีระมิด
….
เดอะแมสก์วางมือที่ถือแกนพลังเวทมนตร์ลง
โชคไม่เข้าข้างเผ่าพันธุ์ของมัน
พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่มันเห็นนกเหล็กสามลำพุ่งตามก้อนเหล็กสีดำลงมา มันก็ไม่เหลือเวลาให้วัดดวงกับโชคชะตาอีกแล้ว
คนที่เตรียมตัวเจอกับคนที่ไม่ได้เตรียมตัว มนุษย์ทำได้ถึงขนาดนี้ หากมันยังฝืนภาวนาขอให้ความบังเอิญมาช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้มันก็ดูจะเป็นการดูถูกโชคชะตาไปหน่อย
นาซเพลหลับตาลง ก่อนจะเชื่อมต่อเข้ากับหอคอยแห่งการให้กำเนิด
จักรพรรดิยังคงสั่งการออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเคลื่อนย้ายกองกำลังที่ประจำการอยู่ที่อาร์เรียตาด้วย น้ำเสียงฟงดูเยือกเย็นเหมือนกับเครื่องจักรของมนุษย์ มันเข้าควบคุมแกนพลังเวทมนตร์และตัดการเชื่อมต่อกับจักรพรรดิ — ในอีกแง่หนึ่งการทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการเปิดเผยแล้วว่ามันแอบไปทำการแก้ไขตัวแกนพลังเวทมนตร์ เพียงแต่มันไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าจักรพรรดิจะรู้หรือไม่
จักรพรรดิเองก็ตอบสนองออกมาอย่างรวดเร็ว ทะเลสาบหมอกแดงที่อยู่ใต้เท้าเดือดพล่านขึ้นมาทันที การสั่นสะเทือนของพลังเวทมนตร์รุนแรงจนเหมือนจะจับต้องได้ เกรงว่าตอนนี้จักรพรรดิคงกำลังสร้างคลื่นกระเพื่อมขึ้นมาเป็นจำนวนมากในทะเลสาบแห่งจิตสำนึก ขอเพียงมันเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกเพียงนิดเดียว มันคงจะถูกจักรพรรดิดึงเข้าไปในหอเจ้าชีวิตโดยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะดิ้นรนแน่
เสียดายที่ ‘เครือข่าย’ ที่มันสร้างขึ้นมานั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับโลกแห่งจิตสำนึก
นี่คือดินแดนของมันแต่เพียงผู้เดียว
เดอะแมสก์ทำการปิดการใช้งานศีรษะที่สามารถรับรู้ถึงพลังเวทมนตร์ได้ โลกทั้งใบพลันเงียบสงบขึ้นมา
ในเวลานี้ ตัวมันก็คือหอคอยแห่งการให้กำเนิด — แล้วก็เป็นตำแหน่งที่เหมาะที่สุดที่ในการรับรู้ถึงการสืบทอดใหม่ของมนุษย์
พริบตาที่มองเห็นก้อนโลหะนั้น นาซเพลก็กางแขนทั้งหมดขึ้นไปบนฟ้า
“ไหน ขอข้าดูหน่อย—”
— พลังแห่งความรู้
ยังไม่ทันที่มันจะพูดคำพูดครึ่งหลังออกมา แสงสว่างอันเจิดจ้าก็กลินกืนมันเข้าไป
…..
เสียงกัมปนาทดังขึ้นมา กู๊ดรู้สึกตกใจเมื่อเห็นหอคอยพีระมิดสีดำที่อยู่ด้านหลังขยายตัวขึ้นมา เหมือนกับว่าผิวนอกไม่ใช่ก้อนหิน หากแต่เป็นของเหลวที่มีความยืดหยุ่นอย่างไรอย่างนั้น!
แรงปะทะอันรุนแรงทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมกระจายออกมาจากผนังหินอย่างชัดเจน ในตอนที่มันขยายตัวไปจนถึงยอดหอคอย เปลวเพลิงอันร้อนแรงและฝุ่นควันจำนวนมากก็พุ่งทะลักออกมาจากรอยแตก แค่พริบตาก็พุ่งเลยเสาควันที่เกิดขึ้นจากการระเบิดในครั้งแรกขึ้นมา
ด้านบนของหอคอยพีระมิดพังถล่มลงมา ก้อนหินเกือบหนึ่งในสามปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฟ้าช้ากว่านี่อีกนิดเดียว เขาคงจะถูกการระเบิดครั้งนี้กลืนกินไปด้วย
แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ไม่นาน เปลวไฟที่พ่นออกมาก็กลายเป็นอีกสีหนึ่ง
สีของมันเป็นเหมือนเลือดสดๆ
ขนาดของมันขยายตัวจนใหญ่กว่ากลุ่มควันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะย้อมท้องฟ้ากว่าครึ่งจนกลายเป็นสีแดง
กู๊ดสังเกตเห็นว่านั่นไม่ใช่หมอกแดง หากแต่เป็นเปลวไฟเหนียวๆ ในเวลานี้พระผู้สร้างกลายเป็นเหมือนภูเขาไฟที่กำลังพ่นลาวาที่สะสมอยู่ข้างในขึ้นไปบนเมฆ
และในตอนที่ลาวาที่ไหลทะลักออกมาสายนี้กระจายตัวไปจนถึงขีดจำกัดของมัน เสียงระเบิดที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมก็ดังกัมปนาทขึ้นมา!
ทะเลสาบหมอกแดงลุกไหม้ขึ้นมาแล้ว!
ตอนที่ 1469 เมืองที่พังทลาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
กู๊ดกล้าสาบานว่านี่เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อที่สุดที่เขาได้เคยเห็นมาในชีวิต
ถ้าจะนิยามมันให้ได้ล่ะก็ มันก็คือภูเขาไฟที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า และเจ้าภูเขาไฟนี้ก็ไม่ได้มีปากปล่อยภูเขาไฟแค่แห่งเดียว หากแต่มีปากปล่องอยู่เต็มไปหมด!
หลังเสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นมา ไม่ใช่แค่ด้านบนของหอคอยเท่านั้นที่ถูกระเบิดออก แต่พื้นที่ของเมืองที่อยู่รอบๆ เองก็มีเปลวไฟสีแดงเข้มนับร้อยๆ เส้นพ่นออกมาด้วย เขาจินตนาการออกเลยว่าภายในพระผู้สร้างจะเป็นอย่างไร ภายใต้อุณหภูมิที่สูงจนน่ากลัว หมอกแดงได้กลายเป็นเปลวไฟเหนียวๆ เหมือนกับน้ำมันที่ถูกจุดติดไฟ และนี่ก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิในอากาศยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ทำให้มันเปลวไฟขยายตัวอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็ไหลทะลักออกมาจากรูหรือรอยแตกที่อยู่ใกล้พื้นดิน
นี่หมายความว่าปีศาจไม่มีที่ให้ได้ใช้หลบซ่อนอีก ถึงแม้พวกมันจะหลบอยู่ในห้องลับที่สามารถรองรับแรงปะทะและความดันสูงได้ แต่มันก็ต้องถูกอุณหภูมิที่สูงเป็นพันองศาเผาจนตายอยู่ดี
นั่นไม่ได้ต่างอะไรจากนรกเลย
ถึงแม้จะเป็นศัตรู แต่ในเวลานี้กู๊ดเองก็เกิดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมานิดหน่อย
แต่ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
ระยะทางสั้นๆ แค่ไม่กี่สิบกิโลเมตรจากกึ่งกลางจนถึงขอบของพระผู้สร้างนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอันตราย — ปฏิกิริยาลูกโซ่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เปลวไฟที่สูงหลายสิบเมตรที่พุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาเป็นเหมือนมีดคมๆ ขอเพียงชนเข้าจะต้องตายไปพร้อมกับเครื่องบินอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องที่เขายังอาศัยทักษะในการขับเคลื่อนบินแก้ไขปัญหาได้ ทว่า ‘ฝนเพลิง’ ที่ตกลงมาจากบนฟ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้เลย
ตอนนี้พวกเศษชิ้นส่วนที่ปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงระเบิดในตอนแรกเริ่มตกลงมาแล้ว พวกมันเป็นเศษก้อนหินที่กำลังหลอมละลายหรือไม่ก็เป็นพวกยางเหนียวๆ ที่กำลังลุกติดไฟ ขอเพียงกู๊ดเงยหน้าขึ้นไป เขาก็จะเห็นดวงไฟจำนวนมากปกคลุมอยู่บนหัว กระทั่งแสงแดดในยามเช้าก็ถูกพวกมันบดบังไป
“บ้าเอ้ย เจ้ามองเห็นไอที่ตกลงมาจากบนฟ้าไหม!” ฟินกิ้นตะโกนขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง
“เหลวไหล ข้าไม่ได้ตาบอดซักหน่อย!”
“ขอบเขตของมันใหญ่เกินไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย เวลาแค่นี้ไม่พอให้บินออกไปหรอก! ถ้ามันตกลงมา ข้าว่าพวกเราหนีออกไปไม่ได้แน่!”
“ไม่….ซ่า….ยังมีอีกที่หนึ่ง…ซ่า…ที่ใช้หลบได้” ในเวลานี้พลันมีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
นั่นคือแมนเฟลที่ออกตัวเร็วกว่าเขา น่าจะเป็นเพราะบินหนีออกไปคนละทาง ทำให้สัญญาณวิทยุจึงติดๆ ขัดๆ เสียงของเขาฟังดูไม่ชัดเจน
“เห็นด้วย แต่สิ่งสำคัญคือพวกเราจะไปถึงที่นั่นทันเวลาหรือเปล่า!” กู๊ดตอบ
“เดี๋ยวๆ…พวกเจ้าเอาจริงเหรอเนี่ย?” ฟินกิ้นรู้ตัวอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวมันก็จะตกลงไปแล้วนะ พวกเจ้ายังคิดจะเอามันมาใช้หลบอีกเหรอ?”
เขารู้ว่าเพื่อนตัวเองพูดถูก ความจริงในตอนที่ระเบิดครั้งที่สองระเบิดขึ้นมา กู๊ดก็รู้แล้วว่าแผนการของฝ่าบาทนั้นได้ผล
พระผู้สร้างค่อยๆ เอียงลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้มันจะยังลอยอยู่เหนือพื้นประมาณร้อยกว่าเมตร แต่การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่าแกนพลังเวทมนตร์ที่ควบคุมเมืองลอยฟ้าได้ถูกทำลายลลงแล้ว ช้าเร็วยังไงมันก็ต้องตกลงไปข้างล่างอย่างแน่นอน
ถ้าพวกเขารีบไปหลบอยู่ใต้พระผู้สร้างได้ก่อนที่ฝนเพลิงจะตกลงมา พวกเขาก็จะสามารถหลบฝนเพลิงพวกนี้ได้ แต่เมื่อคิดถึงว่าเกาะลอยฟ้านั้นกำลังร่วงตกลงไปข้างล่างเรื่อยๆ การทำแบบนี้มันก็มีความเสี่ยงอย่างมากเหมือนกัน ถ้าหากไม่ควบคุมทิศทางและความเร็วให้ดี ถ้าไม่พุ่งลงไปในดินก็ต้องชนเข้ากับกำแพงหิน จุดจบก็ไม่ได้ดีไปกว่าถูกฝนเพลิงเผาเท่าไรเลย
แต่อย่างน้อยวิธีแรกมันก็ไม่ต้องหวังพึ่งดวงชะตา!
ในเวลานี้เครื่องบินสามารถบินเป็นแนวระนาบได้แล้ว กู๊ดเหยียบคันเร่งจนสุดแล้วพุ่งไปยังขอบของพระผู้สร้าง!
….
บนซีกัล ซิลเวียมองเห็นการพังทลายของเมืองปีศาจ
หมอกแดงที่ขยายตัวอย่างรุนแรงไม่เพียงแต่จะพ่นออกมาจากด้านบนของหอคอยหิน แต่มันยังพุ่งออกมาจากประตูที่อยู่ด้านล่างหอคอยด้วย — หมอกแดงที่ลุกไหม้โดนบีบอัดอย่างรุนแรงจนกลายเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ มันกลืนกินปีศาจที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่างในพริบตา จากนั้นถึงแผดเผาไปบนพื้นดินด้านล่างเหมือนกับปืนพ่นไฟ ขอบเขตวามเสียหายกระจายไปไกลหลายกิโลเมตร
จากนั้นก็เป็นเศษหินลอยตกลงมาเหมือนกับสายฝน พวกมันส่วนใหญ่ลุกติดไฟหรือไม่ก็ถูกเผาจนกลายเป็นสีแดง อสูรสยองที่ปกป้องเมืองจักรพรรดิแทบจะโดนทำลายจนหมด ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็ยากจะที่หลบหลีกการโจมตีที่เหมือนทัณฑ์สวรรค์นี้ได้
ค่ายของปีศาจที่อยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิออกไปก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน แต่ว่าพวกมันตั้งอยู่ริมสุดของพื้นที่ที่พวกเศษหินที่พ่นออกไปจะลอยไปถึง ถึงแม้พวกกองกำลังปีศาจจะได้ถอยออกไปในตอนแรกจะได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ถึงกับถูกทำลายจนหมดสิ้น เกรงว่าสำหรับพวกมันแล้ว การที่ในเวลานี้สิ่งก่อสร้างที่เคยถูกมองว่าเป็นปาฏิหาริย์กำลังกลายเป็นภูเขาไฟต่างหากถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่มันยากจะยอมรับได้
อย่างน้อยซิลเวียก็มองเห็นปีศาจจำนวนไม่น้อยยืนนิ่งไปกับที่มองดูหอคอยหินสีดำทับใส่พวกมันตาปริบๆ
หลังโดนระเบิดไปสองครั้ง พระผู้สร้างก็สิ้นสภาพลงอย่างสิ้นเชิง
มันค่อยๆ ร่วงตกลงมาตามเส้นทางเดิมที่มันมาโดยมีเปลวไฟพ่นออกมาจากด้านบนและด้านหลัง หลังจากนั้นสิบห้านาที ยอดของหอคอยทรงพีระมิดขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างก็สัมผัสกับพื้นก่อน — การชนกันของมันทำให้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สาม คลื่นอากาศที่ร้อนระอุถูกบีบอัดจนกลายเป็นคลื่นกระแทกเล็กๆ กระจายออกมา
เมื่ออยู่ภายใต้แรงเฉื่อย แผ่นดินลอยฟ้ายังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ค่ายและหอสังเกตการณ์ที่อยู่ด้านล่างถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง ในตอนที่มันค่อยๆ หยุด พื้นดินด้านหลังมันถูกขุดเป็นร่องที่กว้างหลายพันเมตร
เปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาเริ่มอ่อนแรง ฝุ่นควันที่คละคลุ้งก็เริ่มหยุดกระจายตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้ภายในพระผู้สร้างเป็นเหมือนเตาไฟที่ร้อนระอุ ในจุดนี้จะเห็นได้จากรอยแตกบนพื้นที่เป็นสีแดงพวกนั้น บางทีไฟอันนี้อาจจะยังลุกไหม้ต่อไปอีกหลายเดือนกว่าจะดับลงอย่างแท้จริง แต่ก่อนหน้านั้น พวกปีศาจที่อาศัยอยู่ในเมืองคงต้องกลายเป็นเชื่อเพลิงให้มันทั้งหมด
ตอนนี้สิ่งที่ซิลเวียกังวลมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นก็คือทั้งสามคนที่พุ่งเข้าไปข้างใต้พระผู้สร้าง
“….เป็นยังไงบ้าง มองเห็นอะไรไหม?” ทิลลีเองก็ถามถึงพวกเขา
“ไม่ ตอนนี้ยังไม่พบอะไร…” เธอตอบพร้อมกัดริมฝีปาก พระผู้สร้างกลับหัว ร่วงตกและลื่นไถล ความเสี่ยงในการบินตามมันลงไปนั้นแค่คิดๆ ก็คงจะรู้มากแค่ไหน ถ้าหากพวกเขายังไม่ปรากฏตัวออกมาอีกล่ะก็ เกรงว่าผลลัพธ์คงจะร้ายมากกว่าดีแน่
“เดี๋ยวๆ” ทันใดนั้นเอง ดวงตาเวทมนตร์ของเธอมองเห็นจุดดำเล็กๆ สองสามจุด พวกมันดูแล้วเหมือนกับเศษหินที่ถูกคลื่นอากาศพัดลอยขึ้นมา แต่พวกมันกลับไม่ยอมตกลงพื้นซักที
ซิลเวียรวบรวมพลังเวทมนตร์เฮือกสุดท้ายขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น เธอมองเห็นเครื่องบินปีกสองชั้นสีเทาขาวสามลำบินขึ้นมาจากฝุ่นควันที่ึคละคลุ้ง สัญลักษณ์รูปหอคอยและหอกยาวที่อยู่ตรงหางดูสะดุดตาอย่างมาก! ถึงแม่เครื่องบินแต่ละลำจะดูทรุดโทรม บนปีกไม่เพียงแต่จะมีเศษดินเปรอะเปื้อน ผิวของมันก็ไม่ได้เงาเป็นมันวาวเหมือนอย่างตอนแรกด้วย แต่อย่างน้อยตัวเครื่องบินก็ยังสมบูรณ์อยู่
เธอพูดอะไรไม่ออกไปทันที เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ตรงหน้าอก
หลังสูดน้ำมูกกลับไป ซิลเวียจึงหยิบรูนขึ้นมาพูดตอบกลับไปว่า “องค์หญิง…ทั้งสามคนปลอดภัยดีเพคะ”
“งั้นเหรอ?” น้ำเสียงของทิลลีฟังดูผ่อนคลายขึ้นมา “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว
“ถ้ารู้จริงๆ ก็คงไม่เอาแต่ถามตลอดเวลาแบบนี้หรอก” แอนเดรียที่อยู่อีกด้านแอบมุ่ยปากพูดขึ้นมา
เวนดี้ส่ายหัวยิ้มๆ “อย่างนั้นก็แจ้งให้ทุกคนถอยกลับเถอะ เอาข่าวชัยชนะของพวกเราไปแจ้งฝ่าบาทโรแลนด์กัน!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น