Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1462-1463

 ตอนที่ 1462 ค่ำคืนที่แสนยาวนาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลา 24.00


ไฟในโรงเก็บเครื่องบินส่องสว่าง


หินเรืองแสงทั้งหมดถูกเอามารวมไว้ที่นี่ นอกจากเพื่อให้ความสว่างแล้ว พวกมันบางส่วนยังถูกเอาไปติดตั้งไว้บนเครื่องบินเพื่อชดเชยแสงสว่างที่มีไม่พอด้วย


ครั้งนี้อัศวินอากาศจะออกปฏิบัติการทั้งหมด เครื่องบิน 200 กว่าลำไม่เพียงแต่จะเป็นกองกำลังทางอากาศที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ แต่พวกมันยังเป็นความหวังของมนุษย์ทั้งหมดด้วย


เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินจำนวนหลายร้อยคนต่างเข็นรถคันเล็กๆ ไปในโรงเก็บเคื่องบินเพื่อตรวจสอบเครื่องบินแต่ละลำ ส่วนหัวหน้าของพวกเขาก็คืออันนา เธอมัดผมสวมรองเท้าบู๊ท ท่าทางที่จริงจังกับการทำงานทำให้หลายๆ คนประทับใจอย่างมาก แล้วก็ทำให้บรรยากาศดูตรึงเครียดขึ้นด้วย


โรแลนด์เองก็เหมือนกัน แก้มที่เปื้อนน้ำมันนิดหน่อยและดวงตาสีฟ้าเหมือนอัญมณีตรึงตราอยู่ในสมองของเขา


เวลา 1.30


เครื่องบินที่ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วเริ่มทำการเติมน้ำมันเครื่อง


พัดลมระบายอากาศทุกตัวทำงานเต็มกำลังเพื่อระบายกลิ่นน้ำมันที่อยู่ในอากาศ


เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่างอะไรมากนัก ขณะเดียวกันก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ขั้นตอนนี้จึงทำขึ้นพร้อมกันในโรงเก็บเครื่องบินและลานบิน


เครื่องบินที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาฝูงบินก็คือเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำ


ถึงแม้ขนาดของมันจะเล็กลงกว่าที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรก แต่ขนาดของมันก็ยังคงใหญ่อย่างมากอยู่ดี ปีกที่ยาวมากกว่า 30 เมตรและตัวเครื่องสีดำทำให้มันดูโดดเด่นอย่างมาก


การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ของฟินิกส์ทำให้มันต้องบินด้วยปริมาณน้ำมันที่น้อย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือตัวเครื่องที่มีความสมบูรณ์ และก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้กองวิศวกรรมสามารถสร้างเครื่องบินขึ้นมาได้สองลำก่อนที่จะเริ่มแผนการ


แต่แน่นอน สิ่งที่ดูสะดุดตาของมันไม่ได้มีแค่ ‘ความใหญ่’ ของมันเท่านั้น


ตรงช่วงท้องเครื่องบินที่มีกองทัพที่หนึ่งและแม่มดอาญาสิทธิ์ปกป้องอยู่อย่างแน่นหนาเองก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมัน — ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นหน้าตาของอาวุธที่ฝากความหวังเอาไว้ว่าเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังรู้ว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำนี้น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการรบ


เวลา 3.00


อัศวินอากาศมารวมตัวกันเพื่อทบทวนเส้นทางเป็นครั้งสุดท้าย


“จำเอาไว้ ตอนกลางคืนไม่มีอะไรจะที่จะเป็นตัวบอกทิศทางให้กับพวกเจ้าได้ ดวงดาวบนท้องฟ้าจะทำให้พวกเจ้าสับสน แสงสว่างบนพื้นคือกองไฟของศัตรู!” ทิลลียืนตะโกนอยู่บนแท่น “สิ่งเดียวที่พวกเจ้าเชื่อถือได้ มีแค่แสงไฟจากปลายหางของเครื่องบินลำหน้าเท่านั้น! ลืมตาและมองดูตำแหน่งของเพื่อนเอาไว้ ทันทีที่ออกไปจากเกาะลอยฟ้า พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับอีก!”


“ถ้าทุกอย่างราบรื่น พวกเราจะไปถึงพื้นที่เป้าหมายในเวลาเช้ามืด หลังจากนั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดทั้งสองลำจะทำการทิ้งระเบิด — ในระหว่างที่ทำการทิ้งระเบิดนี้ หน้าที่ของพวกเจ้าคือพยายามปกป้องเครื่องบินทิ้งระเบิดเอาไว้อย่างเต็มที่ กำจัดศัตรูที่พยายามจะเข้ามาใกล้ ไม่ว่ามันจะเป็นอสูรสยองหรือว่าปีศาจระดับสูง!”


“ฟังให้ดี เนื่องจากการทิ้งระเบิดทั้งสองลูกมีการเว้นช่วงห่างกัน อีกทั้งพลังทำลายล้างอันมหาศาลของระเบิด ดังนั้นห้ามไม่ให้เข้าใกล้เป้าหมายมากเกินไป ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ฝูงบินต้องรีบถอยทันทีที่ทิ้งระเบิดเสร็จ — ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงอนุญาตให้ล้มเหลวได้ แต่ทรงไม่อนุญาตให้เอากองกำลังของมนุษย์ไปฝังบนสนามรบ ขอเพียงท้องฟ้ายังเป็นของพวกเรา พวกเราก็ยังมีความหวังอยู่!”


“ไปเขียนประวัติศาตร์หน้าใหม่ของมนุษย์กันเถอะ —- ปฏิบัติการครั้งนี้ ข้าจะออกไปกับพวกเจ้าด้วย!”


“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ทุกคนตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน


เวลา 3.50


“บอกตามตรง ข้ารู้สึกกังงวลนิดหน่อย”


ตรงข้างบันไดของฟินิกส์ โรแลนด์มองเห็นมือของทิลลีกำลังสั่นเบาๆ


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้ากังวลแบบนี้ออกมา


ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาขึ้นบินตามที่กำหนดเอาไว้ เครื่องบินจำนวน 200 ลำหากเป็นอีกโลกหนึ่งก็เพียงพอที่จะออกไปปฏิบัติการโจมตีได้ 4 – 5 รอบ นี่จึงจำเป็นต้องทำการจัดแถวก่อนขึ้นบินเพื่อที่จะได้ไม่หลุดออกจากแถวไปในระหว่างที่บินอยู่บนฟ้า


“กลัวงั้นเหรอ?”


“ก็อาจจะ…” เธอพยักหน้าก่อน แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าขึ้นมา “แต่ข้าคิดว่ามันเป็นการเฝ้ารอคอยมากกว่า ท่านพี่ ท่านยังจำที่เราตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม? ข้าคิดว่าวันนั้นมันใกล้จะมาถึงแล้ว ข้าเลยสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ค่อยอยู่”


เมื่อสงครามแห่งโชคชะตาสิ้นสุดลง แอชเชสจะกลับมาอีกครั้ง นี่คือความเชื่อที่ทำให้เธอยืดหยัดต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ได้


“อื้อ ข้าจำได้” โรแลนด์พูดเสียงอ่อนโยน “แต่สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัยก่อน เจ้าถึงจะพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า”


ทิลลีเงยหน้าขึ้นมา “ท่านพี่ ท่านกอดข้าหน่อยได้ไหม?”


เขาค่อยๆ กางแขนออกแล้วโอบเอาร่างกายเล็กๆ นั้นเข้ามาในอ้อมอก ส่วนอีกฝ่ายก็โน้มตัวลงไป ก่อนจะเอาหน้าผากแนบอิงไปบนหน้าอกเขา — เวลาเหมือนย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน เธอก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของเขาแบบนี้เหมือนกัน


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การหายใจของทิลลีก็สงบลง


“ข้าไปล่ะ” เธอถอยหลังไปสองก้าว


“ไปเถอะ”


เธอขึ้นไปบนเครื่องแล้วดึงเอากระจกครอบลงมา ก่อนจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างกับโรแลนด์


เมื่อดูจากรูปปากแล้ว เธอกำลังพูดว่า ‘ขอบคุณ’


บันไดขึ้นเครื่องถูกถอดออก ใบพัดค่อยๆ หมุนขึ้นมา


เวลา 4.20


ประตูหมายเลขหนึ่งถึงหมายเลขสิบถูกเปิดออก เครื่องบินทยอยบินออกไปจากยานแม่


ซิลเวียใช้ดวงตาเวทมนตร์คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยเตือนเครื่องบินที่อาจจะหลุดออกนอกแถวให้บินกลับมาในเส้นทางที่ถูกต้อง — ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด เครื่องบินจำนวน 200 กว่าลำบินวนอยู่รอบเกาะลอยฟ้าเหมือนฝูงหิ่งห้อย


และนี่ก็เป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุด นักบินที่ขาดเรดาร์ในการนำทางและอุปกรณ์สำหรับมองในเวลากลางคืนนั้นไม่สามารถแยกแยะท้องฟ้ากับพื้นดินได้ และเมื่อเครื่องบินที่บินขึ้นมามีจำนวนมากขึ้น แสงไฟบอกตำแหน่งบนตัวเครื่องบินที่ลอยไปลอยมาไม่นิ่งก็อาจจะทำให้อัศวินอากาศสับสน ถ้าไม่เป็นเพราะซิลเวียคอยสั่งให้ไลต์นิ่งกับเมซี่ไปเคาะกระจกเครื่องบินที่อาจจะเกิดปัญหา เกรงว่าคงจะต้องสูญเสียเครื่องบินไปหลายลำในระหว่างนี้


เวลา 4.55


โรแลนด์ออกคำสั่งออกรบผ่านทางสถานีวิทยุไร้สาย


ซีกัลป์และฟินิกส์บินขึ้นไปก่อนในฐานะจ่าฝูง จากนั้นก็เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำ — พวกมันถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘คุนเผิง’ และ ‘พีซอาร์ค’ แล้วก็เป็นหัวหน้าสำคัญของทั้งสองขบวนรบ


หลังจากนั้นก็เป็นฝูงบินเฮฟเว่นเฟลมและฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่ทำหน้าที่คุ้มครอง ถึงแม้พวกมันจะถูกแบ่งออกเป็นสองขบวน แต่นั่นก็แค่เพื่อความสะดวกในการบินเวลากลางคืนเท่านั้น — สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดลำไหนก็ล้วนแต่สำคัญอย่างยิ่ง ห้ามไม่ให้เสียไปแม้แต่ลำเดียว


สุดท้ายคนที่ตามออกมาก็คือไลต์นิ่งกับเมซี่


ทั้งสองคนโบกมือลาโรแลนด์ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด บนซีกัลยังมีซาวี เวนดี้ แอนเดรีย ซิลเวีย ศึกครั้งนี้มนุษย์เรียกได้ว่าทุ่มกองกำลังทางอากาศไปทั้งหมด


ไม่นาน ฝูงบินขนาดใหญ่ก็ถูกความมืดกลืนกินไป ก่อนจะหายลับไปในขอบฟ้า


โรแลนด์จ้องมองไปทางที่ทุกคนจากไป


“ต่อให้ไม่เคยเชื่อพระเจ้า แต่สิ่งที่ทำได้ในเวลาแบบนี้คงมีแค่สวดภาวนาเท่านั้นแหละเพคะ..” ไนติงเกลถอนใจออกมาเบาๆ


เขาพยักหน้าเล็กน้อย


เกรงว่านี่คงเป็นความคิดของทุกคนที่อยู่ที่นี่เหมือนกัน


พวกเขาได้ทำทุกสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้หมดแล้ว


หลังจากนี้ก็เป็นการรอคอยที่ยากลำบากและทุกข์ทรมาน รอคอยให้ถึงเวลาที่กำหนดโชคชะตา


“แต่ที่โชคดีก็คือ พวกเราไม่ต้องรอนานขนาดนั้นแล้วเพคะ” อันนามองไปยังขอบฟ้าที่มืดมิด “ฟ้า…ใกล้สางแล้ว”


ตอนที่ 1463 ทิ้งระเบิดจากบนฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

กู๊ดกำคันบังคับแน่น สายตาจ้องมองไปทางข้างหน้า


มืด…จริงๆ เลย


ท้องฟ้า ก้อนเมฆ พื้นดิน นอกจากแสงไฟที่ไม่เปลี่ยนแล้ว เขาก็มองอะไรไม่เห็นเลย แล้วก็เป็นเพราะว่าจ้องมองนานเกินไป แม้แต่แสงไฟที่หางก็ยังดูเลือนรางขึ้นมา


ตัวเองกำลังเคลื่อนที่อยู่อย่างนั้นเหรอ?


หรือว่าพวกเขายังอยู่ที่เดิมอยู่?


กู๊ดถอดแว่นกันลมออก ก่อนจะเอามือนวดดวงตาที่อ่อนล้า ในเวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าภายในถุงมือของเขาเหนียวไปหมดแล้ว


เหงื่อออกเหรอเนี่ย…


ครึ่งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้มันคือเมื่อไร? เกรงว่าคงจะต้องย้อนไปถึงตอนที่ดูหนังเวทมนตร์ล่ะมั้ง…


เขาสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับนึกถึงคำพูดของฝ่าบาทขึ้นมา


ก่อนฟ้าสาง คือช่วงที่มืดที่สุด


ก่อนฟ้าสาง…


“มาคุยกันเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องอึดอัดตายแน่”


ทันใดนั้นเอง กู๊ดเหมือนได้ยินเสียงภายในใจของตัวเองดังขึ้นมา แต่ไม่นานเขาก็รู้ตัวว่านั้นเป็นเสียงของฟินกิ้นที่ดังมาจากช่องวิทยุภายในทีม!


“เฮ้ยๆ ใช้วิทยุมาคุยเล่นกันมันผิดกฎนะ!” เสียงที่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา นั่นคือเสียงของไฮด์


“กฎขององค์หญิงคือห้ามใช้วิทยุคุยกันตอนที่ทำการรบอยู่ เพราะมันอาจจะไปรบกวนการส่งข่าวสารสำคัญได้ ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้เข้าสู่สนามรบ อสูรสยองก็ไม่สามารถบินในเวลากลางคืนได้” ฟินกิ้นตอบ “อีกฝ่ายช่องที่ข้าใช้ก็เป็นช่องภายในทีม มันไม่ดังไปถึงหูองค์หญิงซักหน่อย”


“….” ภายในหูฟังเงียบไปชั่วขณะ


“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าได้ยินเสียงคนพูดมันรู้สึกดีจริงๆ” เสียงอีกคนหนึ่งดังขึ้นมา “ว่าไงเพื่อน เจ้าอยากจะคุยอะไร?”


“อะไรก็ได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนลองมานับดูไหมว่าตัวเองมองเห็นไฟท้ายของเครื่องบินกี่ลำ? บอกตามตรง ข้าใกล้จะแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนเป็นไฟ อันไหนเป็นดาว”


“ใช่ พูดอะไรมาก็ได้”


“ข้ามองเห็นหกลำ”


“ของข้าสี่”


“อย่างนั้นเจ้าน่าจะอยู่ตรงปีกของขบวน ระวังหลุดออกจากกลุ่มล่ะ”


ไม่นานภายในช่องสื่อสารก็คึกคักขึ้นม เห็นได้ชัดว่าการที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนนั้นได้สร้างความเครียดให้กับทุกคนอย่างมาก — อย่างน้อยตอนที่บินทะลุชั้นเมฆเมื่อครั้งที่แล้วก็ยังเป็นก้อนเมฆที่ลอยเข้ามา ถึงแม้จะหลุดออกจากกลุ่มไปก็ยังกลับไปเองได้ แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะยากที่จะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของตัวเอง แต่ทันทีที่หลุดออกมาจากกลุ่มไป ถ้าอาศัยเพียงแค่ตาเปล่านั้นไม่มีทางที่จะหาเกาะลอยฟ้าเอเลนอร์เจอในความมืดแน่นอน


เมื่อฟังเสียงเพื่อนพูดคุยกัน กู๊ดก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นโดยไม่รู้ตัว


“ว่าไง คุยกันแบบนี้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นหน่อยไหม?”


ทันใดนั้นเอง เสียงขององค์หญิงพลันดังแทรกเข้ามา ภายในช่องสื่อสารเงียบลงแทบจะในทันที


เห็นได้ชัดว่าต้องมีคนเอาเรื่องที่พวกเขาคุยเล่นกันภายในช่องไปบอกเจ้าหญิงทิลลี


“เอ่อ องค์หญิง นี่เป็นความผิดของกระหม่อม…” กู๊ดออกรับผิด


“ไม่ ข้าหมายความว่าถ้ามันได้ผลล่ะก็ ข้าก็จะได้คุยเป็นเพื่อนพวกเจ้าด้วย” ทว่าทิลลีกลับไม่ได้มีท่าทีต่อว่าแม้แต่น้อย “แต่อย่าลืมมองดูเพื่อนของตัวเองล่ะ จะได้ไม่ต้องลำบากไลต์นิ่งกับเมซี่”


ทุกคนงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงส่งเสียงเฮขึ้นมา


“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่คลาดสายตาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”


“องค์หญิง ได้โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้สึกภาพตรงหน้าของกระหม่อม!”


“พอได้แล้ว จะเลียแข้งเลียขาก็ดูตัวเองบ้าง เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นนกฮูกหรือไง?”


ท่ามกลางเสียงหัวเราะ แม้แต่หน่วยบนเครื่องบินทิ้งระเบิดก็เข้ามาพูดคุยในช่องด้วย


“องค์หญิง นี่คือคุนเผิง กระหม่อมขอถามพระองค์คำถามนึงได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”


“อื้อ”


“ระเบิดที่อยู่ในห้องเก็บระเบิดของพวกกระหม่อมคือแสงแห่งอาทิตย์ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? แต่ทำไมมันถึงไม่เหมือนกับระเบิดที่อยู่บนพีซอาร์คเลยพ่ะย่ะค่ะ? ของพวกเขาทั้งใหญ่ทั้งหลม แต่ของพวกกระหม่อมกลับเหมือนถัง”


กู๊ดรู้ทันที นี่เป็นคำถามที่จะถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน


“เพราะว่าของพวกเจ้ามันเป็นระเบิดที่กองวิศวกรรมรีบสร้างขึ้นมา โครงสร้างที่ใช้สร้างก็เป็นโครงสร้างง่ายๆ ในแง่อานุภาพทำลายล้าง ถึงแม้จะไม่เหมือนกับระเบิดอีกลูกหนึ่ง แต่มันก็รุนแรงพอที่จะใช้ทำลายแนวป้องกันชั้นแรกของศัตรูได้” ทิลลีอธิบาย “แต่จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทโรแลนด์ก็เหมือนจะพอใจกับผลลัพธ์อันนี้มาก แถมยังบอกอีกว่าเป็นความบังเอิญทางประวัติศาสตร์อะไรซักอย่างนี่แหละ…”


“องค์หญิง กระหม่อมไม่เข้าใจ..”


“ไม่เข้าใจมันก็ถูกแล้ว” จู่ๆ เสียงขององค์หญิงพลันอ่อนโยนขึ้นมา “เขาเป็นคนแปลกๆ แบบนี้แหละ”


เวลาเหมือนเดินไปอย่างรวดเร็ว


แม้แต่ความมืดสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ตรงหน้าก็ดูไม่ได้อึดอัดเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงที่ฟังดูประหลาดใจเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมากลบเสียงพูดคุยของทุกคนเอาไว้ “รีบดูทางขวามือของพวกเจ้าเร็ว!”


กู๊ดมองออกไปทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถึงได้สังเกตเห็นว่าท่ามกลางความวุ่นวายมีแสงสีเทาแถบหนึ่งสว่างขึ้นมา —- มันแทรกอยู่ระหว่างท้องฟ้าอันมืดมิด คนปกติยากที่จะสังเกตเห็นความแตกต่างมันได้ แต่การปรากฏขึ้นมาของมันกลับดูแล้วเหมือนสีย้อมที่สาดกระจายออกมา ทำให้ท้องฟ้าที่มีแต่ความมืดก่อนหน้านี้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชายขอบของขอบฟ้าที่ได้รับอิทธิพลจากสีเทานี้พลันมีสีน้ำเงินม่วงปรากฏขึ้นมา


นั่นมันสัญญาณก่อนฟ้าจะสาง


“ตั้งสมาธิไว้!” ทิลลีตะโกน “พวกเราใกล้ถึงแล้ว”


…..


ขณะเดียวกัน บนซีกัล


ซิลเวียมองเห็นพระผู้สร้างอย่างคร่าวๆ ผ่านทางท้องฟ้าที่มืดมิด


เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจดวงตาพบพวกเธอก่อน ตลอดทางเธอจึงจำกัดขอบเขตของพลังเอาไว้แค่บนท้องฟ้าด้วยการจับตาดูไม่ให้ฝูงบินออกนอกเส้นทางเท่านั้น จนกระทั่งใกล้เวลารุ่งสาง เธอถึงจะค่อยๆ มองไปบนพื้นดิน


และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ไม่ว่าเป็นการคำนวณเส้นทางการบินก่อนหน้าหรือว่าการปฏิบัติตามแผนในช่วงหลัง ทุกคนก็ล้วนแต่ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม ในเวลาไม่กี่นาที พวกเธอก็รับรู้ได้ถึงพลังเวทมนตร์อันน่าตกตะลึงที่แผ่ออกมาจากพระผู้สร้างที่อยู่ไกลออกไปนอกทัศนวิสัย


เมื่อระยะทางหดสั้นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดป้อมปราการขนาดยักษ์ที่ห่อหุ้มหินสีดำแห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นขอบเขตการสังเกตการณ์ของเธอ


ในเวลานี้เอง วัตถุทรงปริซึมขนาดใหญ่กำลังลอยอยู่นิ่งๆ บนท้องฟ้า — น่าจะเพื่อประหยัดพลังเวทมนตร์ มันจึงลอยห่างจากภาคพื้นดินเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ส่วนทางด้านหลังของมันคือกองทัพปีศาจจำนวนมหาศาลที่กำลังตั้งค่ายอยู่ เพียงแค่ความยาวของมันก็ยาวถึงหลายกิโลเมตร


นี่เป็นโอกาสที่ดี


เธอรู้ว่าน่าจะเป็นเพราะมีกองทัพภาคพื้นดินที่ตามอยู่ข้างหลัง พระผู้สร้างจึงต้องหยุดเคลื่อนไหวในเวลากลางคืนด้วย เช่นนี้แล้วเป้าหมายขนาดใหญ่ก็จะอยู่ในสภาพหยุดนิ่ง การทิ้งระเบิดแทบจะไม่มีทางพลาดเลย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือในเวลานี้ฟ้ายังไม่สาง บริเวณรอบนอกแทบจะไม่มีอสูรสยองคอยลาดตระเวนอยู่เลย นี่จึงเป็นโอกาสดีที่พวกเธอจะโจมตีครั้งแรก


ซิลเวียหยิบเอาไมโครโฟนขึ้นมาแจ้งตัวเลขข้อมูลต่างๆ ของเป้าหมายให้กับหน่วยทิ้งระเบิด อีกด้านหนึ่งก็สังเกตดูทางฝั่งศัตรู ภายใต้ทัศนวิสัยที่เป็นรูปทรงกลมของเธอ สถาการณ์ในสนามรบทั้งหมดค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา สิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปด้านบนประมาณ 7,000 เมตรคือเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำ นั้นเป็นน่านฟ้าที่อสูรสยองต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะบินขึ้นไปถึง และที่ระดับความสูง 2,500 – 3,000 เมตรก็มีฝูงบินปีกสองชั้นกระจายตัวอยู่ พวกเขาตั้งขบวนกลายเป็นตาข่ายป้องกันอันแน่นหนา และในเวลานี้ฝูงบินก็อยู่ห่างจากพระผู้สร้างไม่ถึง 10 กิโลเมตร คุนเผิงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถทิ้งระเบิดลูกแรกได้แล้ว


แต่ทันใดนั้นเอง ปีศาจระดับสูงแปลกๆ ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลขนาดนี้ แค่สายตาทั้งสองกลับประสานกัน ปีศาจหยุดเคลื่อนไหวทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า


“นั่นมันปีศาจดวงตา มันมองเห็นพวกเราแล้ว!” ซิลเวียตกใจขึ้นมา ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าปีศาจจะต้องวางกองกำลังปีศาจดวงตาเอาไว้เป็นจำนวนมากเพื่อทำการตรวจตรา การถูกพวกมันพบเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น แต่ในตอนที่เวลานั้นมาถึงจริงๆ เธอก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี


“ถึงจะเห็นตอนนี้มันก็สายไปแล้ว” แอนเดรียกระตุ้นรูนสดับพร้อมกับแจ้งไปทางทิลลีว่า “เครื่องบินทิ้งระเบิดกำลังเข้าสู่ตำแหน่งทิ้งระเบิด คอยหลบด้วย”


“รับทราบ”


“แล้วก็ ฝ่าบาทสังเกตเห็นฝูงบินแล้วเหมือนกัน” เธอจงใจทำเป็นแจ้งอย่างสบายใจ


“งั้นเหรอ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว” ทิลลีพูดจบก็หมุนวิทยุไปยังช่องรวมทั้งหน่วย “ทุกคนโปรดทราบ ตอนนี้ให้เลี้ยวไปทางปีกขวาสิบองศา เตรียมตัวเข้าปะทะ”


ฝูงบินขนาดใหญ่เริ่มทำการเลี้ยวทันที ในเวลานี้สีเทาตรงขอบฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว สีบนท้องฟ้ายังคงเป็นมืดอยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ดำจนกระทั่งมองอะไรไม่เห็น มันเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำ หมู่ดาวบนท้องฟ้าเริ่มจางหายไป บนปีกเริ่มสีสะท้อนขึ้นมา


มีเพียงคุนเผิงเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนทิศทาง มันจำเป็นต้องรักษาระดับการบินเอาไว้ก่อนทิ้งระเบิด


คุนเผิงและพีซอาร์คล้วนแต่เป็นเครื่องบินชนิดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อทำการทิ้งระเบิด ซึ่งแตกต่างจากฟิวรี่ออฟเฮฟเวนที่สามารถทำการรบได้ด้วย บนตัวเครื่องมีอุปกรณที่ใช้สำหรับการเล็งทิ้งระเบิด อีกทั้งยังมีความสามารถในการเพิ่มแรงดันเพื่อทำให้ระดับความสูงในการบินของมันสูงกว่าเครื่องบินปีกสองชั้นทั่วๆ ไป


ถึงแม้ทัศนวิสัยในเวลากลางคืนจะแย่ อีกทั้งด้านล่างยังมีชั้นเมฆบางๆ อยู่ แต่เมื่อมีซิลเวียคอยบอกพิกัดต่างๆ การสังเกตการณ์จึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป คนทิ้งระเบิดแค่คำนวณวิถีการตกของระเบิดอย่างง่ายๆ ก่อนจะส่งสัญญาณมือบอกกัปตันเพื่อให้ทำการทิ้งระเบิดได้


“เปิดประตู ทิ้งระเบิดได้!”


เมื่อคันบังคับถูกดึงขึ้น ด้านล่างตัวเครื่องก็มีเสียงทึบๆ ดังขึ้น นั่นคือเสียงระเบิดอันหนักอึ้งแยกตัวออกจากโครงยึดระเบิด ในตอนที่วัตถุขนาดใหญ่ที่หนักกว่า 4 ตันร่วงตกลงไป ตัวเครื่องบินพลันโคลงเคลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ


ในเวลานี้ระเบิดได้กลายเป็นจุดสีดำที่ดูไม่สะดุดตา ภายใต้การดึงของแรงดึงดูด มันกำลังร่วงลงไปหาพระผู้สร้างอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)