Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1458-1459
ตอนที่ 1458 แนวป้องกันของคนๆ เดียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางกระสุนส่องวิถีจำนวนมากที่พุ่งออกไปกลายเป็นเหมือน ‘แส้ยาว’ หน่วยปืนใหญ่อัตโนมัติ 20 มม.คือหน่วยที่สะดุดตาที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากแรงดันในลำกล้องที่สูงกว่า ชิ้นส่วนมนุษย์ไม้ขีดที่ถูกบีบอัดจึงส่องสว่างออกมามากกว่า พวกกับการเรียงตัวของกระสุนส่องวิธีนั้นมีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่ากระสุนธรรมดา ด้วยเหตุนี้เส้นทางการบินของมันจึงแทบจะมองไม่เห็นช่องว่างเลย
อสูรสยองที่ถูกปืนใหญ่อัตโนมัติยิงเข้าใส่แทบจะไม่มีโอกาสให้ได้ดิ้นรนเลย เมื่อถูกกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งพุ่งทะลุร่างกาย นั่นหมายถึงกระสุนจำนวนหลายเม็ดที่ตกลงบนร่างกาย ถึงแม้จะยิงถูกแค่ปีก แต่กระสุนก็สามารถฉีกเนื้อบนปีกให้เป็นรูขนาดใหญ่ได้
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับปีกสองปีกแล้ว ตำแหน่งที่โดนยิงถูกได้ง่ายมากกว่าก็คือร่างกายของอสูรสยองที่พุ่งลงมา เมื่อเลือดสดๆ พุ่งกระจายออก อสูรสยองจำนวนหลายตัวก็หมุนควงตกลงไปด้านล่าง ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่บนตัวพวกมันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงกรีดร้องและรอคอยช่วงเวลาที่ร่างกายจะกระแทกลงกับพื้น
แต่ศัตรูก็ไม่ได้หวาดกลัวกับการโจมตีนี้เลย พวกมันใช้การบินโฉบลงมาจากด้านบนเพื่อเพิ่มความเร็ว แล้วก็กระจายตัวออกไปสองด้านเพื่อสลัดการไล่ยิงของมือปืน
หากเป็นเวลาปกติ นี่คือวิธีการหลบการโจมตีที่มีประสิทธิภาพที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเผชิญหน้ากับเป้าหมายที่บินเป็นแนวนอน ทหารของกองทัพที่หนึ่งมักจะเคยชินกับการไล่ยิงตาม ต่อให้เป็นหน่วยที่ช่ำชองในการยิงแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะปรับเป้ายิงไปดักพวกอสูรสยองได้
แต่ครั้งนี้คนที่พวกมันสู้ด้วยคือเอเลนอร์
แทบจะในทันที วิถีการบินของอสูรสยองได้ไปปรากฏอยู่บนตาข่ายพิกัดและกลายเป็นวิถีการเคลื่อนที่ใหม่ขึ้นมา นั่นคือคำตอบของสมการพหุนามจำนวนนับไม่ถ้วน และคำตอบที่รวมเข้าด้วยกันเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของศัตรู
ม่านลำแสงบิดเบี้ยวขึ้นมา!
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้เห็นภาพการต่อสู้ในภาพรวมทั้งหมด
กระสุนส่องวิธีไม่ได้พุ่งเป็นเส้นตรงอีกต่อไป หากแต่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วของปากกระบอกปืนจนกลายเป็นเส้นโค้ง และเส้นโค้งเหล่านี้ก็ถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเหมือนเชือก
ถึงแม้จะดูสับสนวุ่นวาย แต่กระสุนแต่ละกลุ่มล้วนแต่มีเป้าหมายที่แน่ชัดของตัวเองอยู่ พวกมันพุ่งไปอยู่ตรงหน้าอสูรสยองได้อย่างพอดิบพอดี
ถ้าไม่รู้มาก่อนก็คงไม่คิดว่ากระสุนเป็นฝ่ายไล่ล่าอสูรสยอง หากแต่คิดว่าตัวอสูรสยองวิ่งเข้าไปหากระสุนเอง!
“หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ท่านเอเลนอร์คงกำลังมีความสุขอย่างแน่เลยเพคะ” จู่ๆ ฟิลลิสพลันพูดขึ้นมา
“ทำไมล่ะ?” โรแลนด์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ในศึกที่ทาคิลาล่มสลาย พวกที่ฉีกแนวป้องกันเข้ามาเป็นพวกแรกก็คืออสูรสยองของศัตรูเพคะ พวกมันปรากฏตัวขึ้นมาบนน่านฟ้าซึ่งเป็นที่ที่พวกเราอยากจะเอื้อมขึ้นไปถึง ก่อนจะกระจายกำลังโจมตีจุดอ่อนของแนวป้องกัน ถึงแม้ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์จะพยายามวิ่งป้องกันไปมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันทั้งกำแพงเมืองได้ เครื่องยิงหน้าไม้และเครื่องโยนหินที่สมบูรณ์ค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถูกอสูรสงครามของศัตรูทำลายกำแพงเมืองเข้ามา” เธอพูดอย่างทอดถอนใจ “ตอนนั้นท่านเอเลนอร์ยืนอยู่บนกำแพงโดยเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด บริเวณรอบๆ ไม่มีปีศาจที่กล้าเข้าไปใกล้เลย แต่เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังนางได้ลุกเป็นไฟขึ้นมาแล้ว”
อย่างนี้นี่เอง…
เมื่อกี้เธอถึงได้พูดว่านี่เป็นการล้างแค้นที่รอคอยมา 400 กว่าปี
ถึงแม้ความสามารถของคนๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือเมืองศักดิ์สิทธิ์จากศัตรูที่แห่กันเข้ามาเหมือนสายน้ำได้ ในเวลานี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ในน้ำเสียงที่ฟังดูเกียจคร้านของเธอเหมือนจะแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ตอนนี้เอเลนอร์ยืนอยู่ในแนวหน้าสุดของสงครามแห่งโชคชะตาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ด้านหลังของเธอคือพลังของมนุษย์ทั้งหมด
“พวกมันกระจายตัวโจมตีแล้ว!” จู่ๆ เฟร์รานพลันพูดเตือนขึ้นมา
เมื่อดูผ่านฉากลำแสงเวทมนตร์ก็จะเห็นว่าจู่ๆ ฝูงอสูรสยองที่ถูกกระหน่ำโจมตีพลันกระจายตัวขึ้นบนและล่าง กลุ่มหนึ่งพุ่งโจมตีบนพื้นของเกาะลอยฟ้า อีกกลุ่มบินลงไปด้านล่าง เหมือนกำลังคิดที่จะหลบมุมยิงของปืนกล น่าจะเป็นเพราะว่าพวกปีศาจกำลังพบว่าวิธีหลบแบบปกติใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว พวกมันจึงไม่คิดที่จะสู้บนอากาศอีก หากแต่พยายามที่จะขึ้นมาบนเกาะเพื่อหาที่กำบังโดยเร็วที่สุด
แต่เห็นได้ชัดว่าการป้องกันของเอเลนอร์ไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว
หน่วยที่เข้าร่วมการต่อสู้หลังจากนั้นก็คือหน่วยปืนกลแม็กซิมที่เป็นแนวป้องกันชั้นใน
ป้อมปืนของพวกมันมีขนาดเล็กกว่า มีขนาดแค่ประมาณครึ่งเมตรเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องการเคลื่อนไหวเอาไว้ ลำกล้องปืนขึ้นทำการเปลี่ยนท่อหล่อเย็นที่มีขนาดยาวขึ้น —- แท่นยิงที่สามารถหมุนได้เหล่านี้กระจายตัวอยู่บนตำแหน่งต่างๆ เช่น รันเวย์ สะพานเรือ หอควบคุมเพื่อใช้รับมือกับพวกศัตรูที่พยายามจะกระโดดขึ้นมาบนเกาะ
ในที่สุดปีศาจคุ้มคลั่งที่ลงมาบนพื้นได้ก็ทำการโจมตีกลับ
พวกมันทิ้งอสูรสยองที่กำลังถูกห่ากระสุนโจมตี ก่อนจะขว้างหอกสั้นหรือไม่ก็ยิงลำแสงไฟฟ้ามายังป้อมปืน บนเกาะลอยฟ้ามีเสียงระเบิดดังขึ้นมาทันที!
โรแลนด์รู้สึกตกใจเมื่อพบว่าหอกสั้นของพวกมันไม่ได้เป็นกระดูกสัตว์ธรรมดาๆ เหมือนเมื่อก่อนอีก หากแต่เหมือนผสมอะไรบางอย่างเข้าไปด้วย ปลายหอกเป็นสีดำ เวลาที่กระทบถูกสิ่งของก็จะเกิดการระเบิดขึ้นมา อีกทั้งยังมีประกายไฟและควันลอยออกมาอย่างชัดเจนด้วย
ส่วนปีศาจที่สามารถปล่อยไฟฟ้าได้ก็ไม่เหมือนกับที่เคยเจอมา พวกมันไม่เพียงแต่จะปล่อยพลังได้เร็วขึ้น แต่ระยะทางยังไกลขึ้นไม่น้อยด้วย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหน่วยรบที่มีการเตรียมพร้อมมา
ถ้าคู่ต่อสู้ของพวกมันเป็นทหารของกองทัพที่หนึ่ง บางทีอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นก็ได้
แต่เสียดายที่ภายในป้อมปืนนั้นมีแค่กลไกเท่านั้น
พวกมันไม่หวาดกลัว ไม่ลังเล ขอเพียงยังมีพลังงาน พวกมันก็จะยิงออกไปไม่หยุด ถึงแม้จะมีปืนกระบอกสองกระบอกที่ยิงไม่ออก แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อป้อมปืนอื่นๆ
แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การป้องกันสุดท้ายของเอเลนอร์ — ปืนใหญ่สนามขนาด 75 มม.สองกระบอกที่ตั้งอยู่แทยงอยู่บนเกาะลอยฟ้าเองก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา มันค่อยๆ หันไปทางตำแหน่งของศัตรู ถึงแม้จะเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็ก แต่ก็สามารถยิงครอบคลุมลานบินที่มีรัศมีกิโลกว่าได้
นี่คือสงครามอาวุธปืนที่พวกพาซาร์บอกสินะ…เอเลนอร์คิด
นี่ไม่ใช่วิธีการรบที่เธอคุ้นเคย ทว่านับตั้งแต่ที่ยิงปืนขึ้นมา เธอก็ชื่นชอบความรู้สึกแบบนี้เข้าแล้ว
สู้กันมาถึงตอนนี้ คนที่สู้อยู่กับปีศาจจริงๆ มีแค่เธอเพียงคนเดียว
แต่ถึงแม้จะมีเธอแค่คนเดียว พวกปีศาจก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของเธอเข้าไปลอยโจมตีในจุดที่อ่อนแอได้ — แม้แต่ด้านล่างของเกาะ เธอก็ยังติดตั้งปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 20 มม.และปืนใหญ่ป้อมอีกสองกระบอกเอาไว้ต้อนรับศัตรู
นี่คือป้อมปราการที่ไม่มีจุดบอด
ลูกไม้ของพวกเจ้าคงต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้แล้วล่ะ…เอเลนอร์ค่อยๆ ปรับฐานปืนใหญ่ ก่อนจะเล็งปืนใหญ่สนามไปยังปีศาจตัวหนึ่งตรงกลางลานที่โดนกระสุนยิงเข้าจนขยับไม่ได้ เมื่อดูจากชุดเกราะและเครื่องแต่งกายที่ดูสะดุดตาแล้ว เป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นปีศาจระดับสูง
จากนั้นเธอก็ควบคุมให้แกนเวทมนตร์ดึงเชือกยิงปืนใหญ่—
….
“ตู้ม!”
“ซ่าๆๆ…”
หลังเสียงระเบิดดังขึ้น ด้านบนของถ้ำก็มีเศษหินเศษทรายร่วงตกลงไป
“กองทัพที่หนึ่งกำลังยิงปืนขึ้นไปด้านบนของเกาะเหรอ? จะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?” ฟินกิ้นปัดเศษฝุ่นที่ตกลงมาบนหัว ก่อนจะมองขึ้นไปด้านบนอย่างกังวล
“ปืนใหญ่อย่างมากก็ระเบิดได้แค่รันเวย์ แต่ทำอะไรโรงเก็บเครื่องบินไม่ได้ นิ่งไปกว่านั้นมีคุณหนูโลตัสอยู่ เรื่องซ่อมแซมหลุมพวกนั้นง่ายนิดเดียว”
เสียงที่ดัวขึ้นมาฟังดูไม่คุ้น เหมือนจะไม่ใช่เสียงของนักบินที่อยู่กลุ่มเดียวกัน กู๊ด ฟินกิ้นและไฮด์ต่างหันหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าคนที่พูดคือแมนเฟลที่เป็นไพ่ตายในหมู่นักบินหน้าใหม่
“สวัสดีรุ่นพี่ทุกคน” เขาทำวันทยาหัตถ์
“เฮ้ ผู้ท้าชิงมาแล้ว” ฟินกิ้นใช้ข้อศอกกระทุ้งกู๊ด ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ
กู๊ดกรอกตาใส่เพื่อนของเขา ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่าย “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เพียงแค่ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ออกไปโจมตี”
“ไม่นานหรอก” แมนเฟลหลับตาเอียงหูฟังอยู่ครู่ “เสียงปืนค่อยๆ ถี่น้อยลงแล้ว แสดงให้เห็นว่าการโจมตีของปีศาจเริ่มเบาบางลง ข้าคิดว่าอีกไม่นานด้านบนคงจะมีคำสั่งให้ออกโจมตี”
“เจ้าได้ยินเสียงปืนที่อยู่นอกชั้นหินด้วยเหรอ?” กู๊ดทำสีหน้าคิดไม่ถึง
“ถ้าเพ่งสมาธิทั้งหมดล่ะก็” แมนเฟลพยักหน้า
ฟินกิ้นหันไปทำปาก ‘ทำเป็นอวด’ กับไฮด์
แต่ทันใดนั้นเอง ลำโพงที่อยู่ภายในโรงเก็บเครื่องบินพลันมีเสียงทิลลีดังขึ้นมา “อัศวินอากาศทุกคนรีบเข้าประจำเครื่องบิน เตรียมตัวออกรบ!”
ตอนที่ 1459 หน้าตาที่แท้จริงของยานแม่ลอยฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างได้เห็นความพ่ายแพ้ของศัตรูอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการฝืนขึ้นมาบนเกาะหรือว่าพยายามจะอ้อมลงไปหาจุดอ่อนด้านล่าง ปีศาจก็ล้วนแต่ไม่อาจทำอะไรได้ ภายใต้การกระหน่ำยิงอย่างแม่นยำของเอเลนอร์ ทุกๆ นาทีที่พวกมันหยุดนิ่งล้วนแต่หมายถึงความเสี่ยงที่ร้ายแรง สำหรับหน่วยอสูรสยองแล้ว อัตราการตายที่สุดขนาดนี้เป็นเรื่องที่พวกมันยากที่จะยอมรับได้
การบินหมายถึงความเร็ว ความคล่องแคล่ว ไม่ถูกขัดขวางจากสภาพภูมิประเทศ อสูรสยองเคยปกครองท้องฟ้ามาเป็นเวลาหลายร้อยปี อีกทั้งยังมีความได้เปรียบในศึกบนท้องฟ้าอย่างเด็ดขาดด้วย แต่ตอนนี้เกรงว่าพวกมันคงจะคิดไม่ถึงว่ากองกำลังของตัวเองจะต้องมาเสียหายไปกว่าครึ่งโดยที่มองไม่เห็นศัตรู
เริ่มมีปีศาจทำการถอยแล้ว…หรือพูดอีกอย่างก็คือหนี
และนี่คือโอกาสของมนุษย์
เป้าหมายสำคัญของแผนบีคือสร้างความเสียหายแก่ศัตรูให้ได้มากที่สุดโดยทำให้ตัวเองเกิดความเสียหายน้อยที่สุด และการไล่สังหารศัตรูที่หลบหนีก็เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูเพิ่มขึ้นมาแต่ไหนแต่ไร — นี่ไม่ได้ถือเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่อะไร แต่มีเพียงเกาะเอเลนอร์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนสลับจากรับเป็นรุกหรือรุกเป็นรับได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่ึืคือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างยานแม่ลอยฟ้าและยานบรรทุกเครื่องบินอื่น
เมื่อทิลลีออกคำสั่ง ฐานบัญชาการก็รีบดำเนินการตามขั้นตอนทันที
“เพิ่มแรงดันในท่อเรียบร้อย ตัวเลขแรงดันเครื่องจักรไอน้ำแต่ละตัวปกติ!”
“ประตูหมายเลข 01 และ 06 กำลังจะเปิด ตอนนี้กำลังทำการเคลียร์รันเวย์!”
“เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินบอกว่าขอเวลาเตรียมตัว 5 นาที”
“หน่วยโจมตีหน่วยแรกเข้าประจำที่แล้ว!”
เนื่องจากเกาะลอยฟ้ามีขนาดใหญ่ ภายในโรงเก็บเครื่องบินจึงมีการติดตั้งรันเวย์สำหรับขึ้นบินเอาไว้ โดยรันเวย์จะกระจายตัวขึ้นไปยังพื้นด้านบนโดยมีโรงเก็บเครื่องบินเป็นศูนย์กลาง ตอนที่รันเวย์เหล่านี้ยังไม่มีการใช้งาน มันจะถูกประตูขนาดใหญ่ปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงเครื่องจักรไอน้ำเท่านั้นถึงจะเปิดพวกมันได้
ถึงแม้ความยาวของรันเวย์แต่ละเส้นจะลดลงจากเดิม โดยมีขนาดเพียงหนึ่งในสามของสนามบินที่อยู่บนพื้นดิน แต่มันก็เพียงพอที่จะให้เครื่องบินปีกสองชั้นที่มีน้ำหนักเบาได้ใช้ขึ้นบินได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีความเร็วเริ่มต้นที่มากพอ แต่ด้วยรันเวย์ที่พุ่งขึ้นไปยังพื้นด้านบนก็สามารถทำให้หัวเครื่องบินเชิดขึ้นไปใหม่อีกครั้งได้
“เจ้าไปออกไปเองเหรอ?” โรแลนด์มองไปทางทิลลี
“โอกาสในการรบจริงที่หาได้ยากแบบนี้ ให้นักบินใหม่ได้ใช้ซ้อมดีกว่า” อีกฝ่ายยิ้มขึ้นมา ก่อนจะคว้าไมโครโฟนแล้วพูดว่า “หลังประตูโรงเก็บเครื่องบินเปิดแล้วให้ออกโจมตีได้เลย อย่าให้เป้าหมาย—เหลือรอดแม้แต่ตัวเดียว!”
…..
ถึงแม้กู๊ดจะเคยขึ้นบินจากรันเวย์ในโรงเก็บเครื่องบินมาแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็ล้วนแต่เป็นการฝึกซ้อมเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมองค์หญิงถึงสั่งกำชับว่าให้ใส่ที่ครอบหูเอาไว้
เครื่องบินปีกสองชั้นจำนวนกว่า 50 ลำที่อยู่ในพื้นที่ปิดสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นมาพร้อมกัน เสียงของมันดังกระหึ่งจนน่าตกใจ ถึงแม้จะอยู่ห่างกัน 2 – 3 เมตร แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นสิ้นส่งเสียงตะโกน เขากลับมองเห็นแต่ปากที่ขยับ โดยไม่ได้ยินเสียงตะโกนเลยแม้แต่นิดเดียว
นับตั้งแต่ที่มีคำสั่งให้เตรียมตัว เหล่าอัศวินอากาศก็ต้องทำการสื่อสารกันผ่านธงและสัญญาณมือเท่านั้น
เขาเป็นคนแรกที่เคลื่อนตัวไปบนรันเวย์เพื่อเข้าสู่ตำแหน่งขึ้นบิน
ท่ามกลางไอน้ำที่พ่นออกมา ประตูเหล็กที่มีความหนาเท่ากับผู้ใหญ่คนหนึ่งค่อยๆ เปิดออก รันเวย์ค่อยๆ ยืดยาวออกไปข้างหน้า บนประตูเหล็กที่อยู่ตรงปลายทางมีตัวเลข 01 เขียนเอาไว้บนประตูอย่างชัดเจน
ในตอนที่ทิลลีไม่อยู่ เขาย่อมต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ออกเป็นลำแรกตรงประตูหมายเลขหกน่าจะเป็นแมนเฟล
ผู้ท้าชิงงั้นเหรอ…
เขายิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย
เรเชล เจ้าเห็นหรือยัง?
ก่อนหน้านี้ข้าได้แต่แหงนมองพวกขุนนางอยู่ไกลๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นพวกเขาต้องไล่ตามข้าแล้ว
ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงเจตนาเช่นนั้นออกมาอย่างชัดเจน แต่ว่า…จะพูดแบบนี้มันก็ไม่ผิด
เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินผลักป้ายไม้อันหนึ่งมาข้างหน้าเขา บนป้ายสัญลักษณ์ที่บอกถึงความเร็วลมด้านนอก อุณหภูมิและความเร็วในการเคลื่อนที่ของเกาะลอยฟ้า ปกติแล้วประตูโรงเก็บเครื่องบินจะเปิดในทิศทางทวนลม เพื่อให้เครื่องบินได้รับแรงยกที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อคำนึงถึงว่าประตูโรงเก็บเครื่องบินอาจจะถูกศัตรูโจมตีในตอนที่ต่อสู้อยู่ ด้วยเหตุนี้ถึงมีโอกาที่จะไม่ได้ใช้รันเวย์ที่เหมาะสมที่สุดในการขึ้นบิน ในเวลานี้พารามิเตอร์ต่างๆ จะมีความสำคัญอย่างมาก ตัวนักบินจำเป็นต้องเตรียมตัวเร่งความเร็วและร่อนลงล่วงหน้า
กู๊ดยกนิ้วหัวแม่มือให้กับเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดประตูบานสุดท้ายก็ยกขึ้น
ลำแสงที่แสบตาทำลายความมือที่ปลายทาง จากแสงสว่างเล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนในที่สุดทั้งรันเวย์ก็สว่างขึ้นมา
กระแสลมไหลทะลักเข้ามาในโรงเก็บเครื่องบินทันที ก่อนจะพัดเอากลิ่นน้ำมันเครื่องที่แสบจมูกออกไป
ลมปะทะหน้าระดับห้า เป็นโอกาสที่ดีในการออกโจมตี
เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินยกธงสัญญาณสีเขียวขึ้นมาโบกสะบัดแรงๆ!
“รันเวย์เคลียร์ กู๊ดออกตัว!” กู๊ดด้านหนึ่งส่งเสียงตะโกน อีกด้านหนึ่งก็กดคันบังคับลง
ฟิวรี่ออฟเฮฟเวนส่งเสียงคำรามพร้อมออกตัวพุ่งไปหาแสงสว่าง ในระหว่างที่เร่งความเร็ว หางตาเขาเหลือบไปเห็นเหล่าคนงานที่มายืนต่อแถวอยู่สองข้างของรันเวย์พร้อมโบกมือให้เขา
วินาทีที่บินผ่านลำแสงนั้นไป ดวงตาของกู๊ดพลันพร่ามัวไปชั่วขณะ แต่ไม่นานภาพสรรพสิ่งก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา — เสียงรบกวนในหูไม่มีอยู่อีก เหมือนจู่ๆ ทุกอย่างก็เงียบลงไป อากาศที่มีกลิ่นหอมของต้นไม้ทำเอาเขาต้องสูดหายใจลึกๆ
กู๊ดถอดหูฟังออก ก่อนจะบินขึ้นไปด้านบนของเกาะ
กระสุนส่องวิถีที่ยิงออกมาอย่างต่อเนื่องช่วยชี้ทิศทางให้เขา
เมื่อมองเห็นอสูรสยองที่กำลังบินหนีด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาก็ไล่ตามไปอย่างไม่ลังเล
…..
โรแลนด์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าภาพลำแสงเวทมนตร์กำหมัดขึ้นมา
นี่ต่างหากที่เป็นหน้าตาที่ยานแม่ลอยฟ้าควรจะมี!
มีขนาดใหญ่ มีอาวุธเพียบพร้อม สามารถปล่อยเครื่องบินออกไปสู้รบได้ทุกเมื่อ เพียงดูก็ทำให้หัวใจพองโตแล้ว!
เครื่องบินสองปีกบินออกไปจากในภูเขาลำแล้วลำเล่า ก่อนจะหันหน้าไปไล่ล่าเหล่าอสูรสยองที่กำลังหลบหนีกันอย่างทุลักทุเล เมื่อเจอกับอัศวินอากาศที่มีความเร็วเหนือกว่าอสูรสยองหลายเท่า สถานการณ์ก็กลายเป็นการถล่มโจมตีด้านเดียว
ตอนที่พยายามหยุดพระผู้สร้างในศึกเหนือเทือกเขาสิ้นวิถี พวกเขาต้องสูญเสียเครื่องบินไปหลายสิบลำกว่าจะกำราบฝูงอสูรสยองได้ แต่ครั้งนี้นอกจากป้อมปืนที่ไม่มีคนสองสามป้องที่เสียหายแล้ว อสูรสยอง 200 กว่าตัวแทบจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์ได้เลย
“ครั้งนี้เป็นศัตรูเราที่เป็นฝ่ายปวดหัวแล้ว” เอดิธส์ยิ้มๆ ดูออกเลยว่าเธอรู้สึกเจ็บใจที่ไม่มีแผนรับมือกับการที่ศัตรูจะใช้พระผู้สร้างมาทำลายมนุษย์เมื่อครั้งที่แล้ว ตอนนี้สามารถใช้ของสิ่งเดียวกันในการโจมตีกลับได้ นี่ทำให้น้ำเสียงเธอฟังดูมีความสุขไม่น้อย
“หลังจากนี้พวกมันน่าจะใช้ทหารจำนวนมากขึ้นโจมตีกลับใส่พวกเรา” ขวานเหล็กพูดเสียงเบาๆ “บางทีอาจจะส่งปีศาจระดับสูงที่เป็นระดับราชาตัวใหม่ออกมา”
โรแลนด์คิดครุ่นเงียบๆ เกี่ยวกับข้อมูลของราชาปีศาจ — จากที่วัลคีรีย์บอกมา ในบรรดาพวกมัน ราชาปีศาจที่ถนัดในการต่อสู้นอกจากไซเลน์ดิสแดสเตอร์แล้ว ก็มีแค่ปีศาจที่ถูกเรียกว่าบลัดดี้คองเคอเรอร์เท่านั้น เพียงแต่อีกฝ่ายยกระดับขึ้นมาจากผู้นำนรก มันจึงเหมาะกับการต่อสู้บนพื้นดินมากกว่า เพราะไม่มีอสูรสยองตัวไหนที่แบกร่างกายอันใหญ่โตของมันได้
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว การที่จักรพรรดิของปีศาจมอบหมายให้เฮคซอดเป็นคนรับผิดชอบเรื่องสงครามตะวันตกนั้นเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ
“ไม่ว่าพวกมันจะใช้วิธีอะไร พวกเราก็จะสู้กับพวกมันจนถึงที่สุด…แต่เวลาของพวกมันเหลือไม่มากแล้ว” โรแลนด์มองดูแผนที่
ระยะทาง 250 กิโลเมตรสุดท้ายได้ถูกเส้นสีแดงขีดเอาไว้ เหลืออีกเพียงแค่ 3 วัน เกาะลอยฟ้าเอเลนอร์ก็ไปถึงจุดที่จะต้องทำศึกตัดสิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น