Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1444-1457

 ตอนที่ 1444 ปริศนาแห่งจิตสำนึก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดูเหมือนคำบอกเล่าที่พวกเซลีนเล่าว่าเอเลนอร์นั้น ‘เข้ากับคนได้ง่าย’ จะเป็นเรื่องจริงสินะ…


หากเปลี่ยนเป็นอควาเรียส โรแลนด์นึกภาพผู้นำสุดยอดอมนุษย์ที่แผ่รังสีเยือกเย็นออกมาจากร่างกายคนนั้นพูดคำพูดแบบนี้ไม่ออก


“ไม่ๆ…ข้าเชื่อเจ้าแล้ว” เขารีบโบกมือ ตอนนี้เทือกเขาทิศเหนือยังเชื่อมต่อกับเขตโรงงานขนาดใหญ่เอาไว้อยู่ หากจู่ๆ ทำให้มันบินขึ้นไป นั่นจะต้องเป็นหายนะขนาดใหญ่แน่


‘เจ้าน่าจะรอให้ข้ากระตุ้นแกนพลังเวทมนตร์ให้ได้ก่อนค่อยเชื่อก็ได้นี่นา’ เอเลนอร์พูดอย่างเสียดายเล็กน้อย เมื่อฟังจากน้ำเสียงของเธอ เหมือนว่าการที่เธอไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก


โรแลนด์เหมือนจะเข้าใจนิสัยของสามผู้นำคนนี้แล้ว


การที่เธอคิดว่าตัวเองไม่ใช่ผู้นำที่ดีนั้นไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นคนธรรมดา เธอเองก็มีด้านที่ตัวเองภาคภูมิใจอยู่เหมือนกัน การที่สามารถเปลี่ยนเป็นสุดยอดอมนุษย์ได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน


“เออใช่ แล้วเจ้าตื่นมาตั้งแต่เมื่อไร?”


‘น่าจะประมาณ 15 นาทีก่อนหน้านี้’


อย่างนั้นเจ้าก็แอบฟังมาตั้งแต่ต้นงั้นเหรอ! โรแลนด์พูดบ่น “แล้วทำไมเจ้าไม่บอกพวกข้าล่ะ?”


‘ไม่มีใครกำหนดเอาไว้นี่นาว่าต้องบอกให้โลกรู้ด้วยว่าเราตื่นนอนแล้ว’ เอเลนอร์พูดอย่างมั่นใจ


“แล้วทำไมหลังจากนั้นถึงพูดออกมา?”


‘ไม่อย่างนั้นจะให้ทำยังไงล่ะ เจ้าคิดอยากจะให้รุ่นน้องของข้าต้องขายหน้าไปถึงขนาดไหน’ ดวงตาที่อยู่บนหัวของเธอกรอกขึ้นไปด้านบน การกรอกตาขนาดใหญ่แบบนี้ให้ความรู้สึกงดงามไปอีกแบบ


การที่เจ้าจู่ๆ ก็ ‘ตื่นขึ้นมา’ ต่างหากที่ทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ!


เมื่อเห็นโรแลนด์พูดไม่ออก เอเลนอร์จึงเปลี่ยนประเด็นทันที ‘บอกตามตรง ตอนนี้ข้ายังถือว่าเชื่อใจเจ้าอยู่’


“ทำไม?” เขาพบว่าตัวเองเหมือนจะตามจังหวะของอีกฝ่ายไม่ทัน


‘เพราะว่าที่นี่ไม่มีร่องรอยถูกขุดอะไร’ เอเลนอร์ตอบ ‘ตอนนี้ตัวข้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่แห่งนี้ ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าหินอาญาสิทธิ์ที่นี่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แล้วก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าเจ้าไม่มีความคิดที่จะเอามันออกมาใช้’


เธอหมายความว่าตัวเองไม่ได้ขุดเอาหินอาญาสิทธิ์ออกมา ดังนั้นจึงหมายความว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาจะควบคุมแม่มดอย่างนั้นเหรอ? โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยกว่าจะเข้าใจความหมายในคำพูดของอีกฝ่าย “เซลีนน่าจะเคยบอกเจ้าเรื่องสโมสรแม่มดแล้วใช่ไหม หรือว่าเจ้าไม่เชื่อนาง?”


‘แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าคนเรามักจะถูกภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาหลอกลวงได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับราชาที่มีอำนาจที่ไม่จำกัดแล้ว การเสแสร้งแกล้งทำนั้นไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร’ เอเลนอร์พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ‘ต่อให้ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปเจ้าจะเป็นเช่นนี้ด้วย การเตรียมพร้อมล่วงหน้าคือสิ่งที่ผู้นำทุกคนต้องครุ่นคิด ถ้าในใจเจ้าคิดระมัดระวังตัวเอาไว้ล่ะก็ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่คิดที่จะทำอะไรกับเขตแร่หินอาญาสิทธิ์นี้ แอบมาขุดเอาแร่เงียบๆ ไปเก็บเอาไว้ เพื่อป้องกันในกรณีที่ว่าต่อไปแม่มดอาจจะแข็งแกร่งขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ นี่มันก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่เหรอ?’


โรแลนด์ถอนใจออกมาเบาๆ “นั่นมันเป็นเพราะว่าหลายๆ คนมองแม่มดเป็นตัวประหลาด แต่ในสายตาของเขา พวกนางเป็นแค่มนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษในบางเรื่องเท่านั้น”


‘ต่อให้แม่มดยึดครองตำแหน่งสำคัญในอาณาจักรทั้งหมดไปก็ไม่เป็นไรเหรอ?’


“สิ่งที่เจ้าอยากจะถามจริงๆ คือความคิดของอควาเรียสใช่ไหมล่ะ?” โรแลนด์พูดตรงๆ “ขอเพียงมนุษย์สามารถอยู่รอดต่อไปได้ แม่มดจะต้องกลับมายืนอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้งอย่างแน่นอน”


‘แม้แต่เรื่องนี้พวกนางก็บอกเจ้าด้วยงั้นเหรอ?’ เป็นครั้งแรกที่เอเลนอร์เผยสีหน้าตกใจ


“เปล่า นี่เป็นสิ่งที่ข้าเห็นมาจากรูนเวลาน่ะ” โรแลนด์พูดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ความจริงอควาเรียสเองก็เข้าใจผิดเหมือนกับคนอื่นๆ ขอเพียงเรามองแม่มดเป็นมนุษย์ คำพูดนี้มันก็คือการพูดเรื่องที่มันแน่นอนอยู่แล้วเรื่องหนึ่งไม่ใช่เหรอ ถ้าหากคนที่มีความสามารถไม่สามารถนำเผ่าพันธุ์ได้ อย่างนั้นเผ่าพันธุ์นี้ก็จะต้องไร้อนาคตอย่างแน่นอน แบบเดียวกัน ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่ทำเพื่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ ช้าเร็วเผ่าพันธุ์ก็ไม่มีทางที่จะอยู่รอดต่อไปได้”


ตื่นรู้แบบไม่แน่ไม่นอน ไม่สามารถสืบทอดได้ ในอีกแง่หนึ่งพลังเวทมนตร์ก็คือความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง มันไม่ได้แยกเอาผู้ที่มีพรสวรรค์ออกจากคนธรรมดาด้วย สิ่งที่ควรจะระวังจริงๆ คือการคัดเลือกที่ปลอมขึ้นมา การสืบทอดที่มีการกำหนดตายตัวเอาไว้แล้ว เพราะหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายยากที่จะใช้กาลเวลามาลบเลือนได้


‘เจ้า…’ เอเลนอร์มองดูเขา เหมือนพยายามที่จะมองหาความคิดที่แท้จริงของเขาผ่านทางสีหน้า แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอจึงล้มเลิกความคิดนี้ ‘ข้าจะรอดูแล้วกัน แล้วหลังจากนี้แผนการของเจ้าคืออะไร?’


“ทำการปรับโฉมเนินเขาทิศเหนือก่อน ทำให้มันกลายเป็นป้อมปราการลอยฟ้าที่เหมาะสม” นี่เป็นสาเหตุที่โรแลนด์ไม่อยากให้อีกฝ่ายรีบยกเกาะลอยฟ้าขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดฉากโจมตีเข้าใส่พระผู้สร้างอันใหม่ หรือว่าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็ล้วนแต่ต้องเตรียมทรัพยากรต่างๆ เอาไว้ให้เพียบพร้อม — เพราะมันทันที่ออกเดินทางไปจากเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ป้อมปราการลอยฟ้าก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้านทรัพยากรต่างๆ อีก “เจ้าสามารถคำนวณขนาดของเกาะลอยฟ้าได้ใช่ไหม?”


‘น่าจะไม่มีปัญหา’ เอเลนอร์กะพริบตาเพื่อแสดงออกถึงการพยักหน้า ‘นอกจากปัจจัยเรื่องปริมาณสายแร่หินอาญาสิทธิ์แล้ว หอหมอกเองก็ช่วยขยายขอบเขตในการแสดงผลได้อย่างมาก ดังนั้นต่อให้เจ้าอยากจะทำให้มันใหญ่เหมือนพระผู้สร้างก็ไม่มีทางทำได้’


“หอคอยหมอกแดงนั้นงอกขึ้นมาได้ยังไง?”


‘สำหรับจุดนี้ข้าเองก็รู้สึกสงสัยเหมือนอย่างเจ้า ดังนั้นข้านิดหน่อยตรวจสอบร่างกายนี้ดู จากนั้นข้าถึงได้พบว่ามันสามารถเปลี่ยนหินอาญาสิทธิ์ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายได้ — พูดง่ายๆ ก็คือในสภาวะปกติ หินอาญาสิทธิ์จะไม่แสดงออกถึงร่องรอยของการมีชีวิต แต่หลังจากมันรวมเข้ากับร่างแม่แล้ว มันจะเริ่มเติบโตด้วยตัวเอง แน่นอนว่ากระบวนการนี้จะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของหินอาญาสิทธิ์ ทำให้ระดับความเข้มข้นของมันลดลง แล้วก็ทำให้มันไม่สามารถป้องกันพลังเวทมนตร์ได้อีก’


“อย่างนั้น…” โรแลนด์ลังเลเล็กน้อย “เจ้าเองก็สามารถสร้างหมอกแดงได้อย่างนั้นเหรอ?”


คำถามนี้ทำเอาเอเลนอร์ถึงกับถอนหายใจออกมา “ได้ ความจริงแล้วข้าไม่เพียงแต่จะเข้าใจถึงลักษณะพิเศษต่างๆ ของมาเธอร์ออฟโซล แต่ข้ายังเข้าใจถึงรายละเอียดต่างๆ ด้วย อย่างเช่นละอองหมอกแดง ในอีกแง่หนึ่งแล้วมันก็คือปีศาจชนิดหนึ่ง ซึ่งปีศาจชนิดอื่นเองก็เกิดขึ้นมาด้วยวิธีคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน’


“เจ้าหมายความว่า—“ เขาพูดอย่างตกใจ


‘ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นปีศาจคุ้มคลั่ง ปีศาจสยองขวัญ ผู้นำนรกก็ล้วนแต่เกิดขึ้นมาด้วยวิธีนี้…ข้าเจอข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันอยู่ในร่างกายของมาเธอร์ออฟโซล แต่ว่าถ้าอยากจะฟักเอาปีศาจพวกนี้ออกมา ตอนนี้ข้ายังทำไม่ได้ เพราะว่ายังขาดส่วนสำคัญบางส่วนอยู่ —- ซึ่งร่างแม่ที่มีส่วนสำคัญส่วนนี้ครบสมบูรณ์จะถูกเรียกว่าจักรพรรดิ’


โรแลนด์เป็นใบ้ไปทันที ถึงแม้เขาจะรู้ว่าปีศาจไม่จำเป็นต้องผสมพันธุ์ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะสืบทอดเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีนี้


‘พูดอีกอย่างก็ข้าเองก็สามารถกลายเป็นจักรพรรดิของราชาได้เหมือนกัน — น่าขันใช่ไหมล่ะ คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่สามผู้นำของแม่มดสามารถให้กำเนิดปีศาจได้ด้วย’ เอเลนอร์พูดถึงตรงนี้ก็ถลึงตามองเขา ‘ดังนั้นจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ อย่าทำให้ข้าต้องอยู่ในนี้ไปตลอดล่ะ’


นี่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านเวทมนตร์ ไม่ใช่ข้า โรแลนด์คิดอยู่ในใจอย่างจนปัญญา แต่เขากลับคิดไปไกลกว่านั้น — ด้วยการถ่ายโอนจิตสำนึก เอเลนอร์สามารถรับเอาข้อมูลทั้งหมดของมาเธอร์ออฟโซลมาโดยแทบจะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ซึ่งนี่มันก็เหมือนกับการเรียนรู้ความรู้ต่างๆ อย่างไรอย่างนั้น มันสามารถมองเป็นการสืบทอดในความหมายแคบๆ ได้ และหากทำแบบนี้ต่อไป การสืบทอด การแทรกซึม การกระตุ้นการวิวัฒนาการนั้นเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วทำไมพระเจ้าถึงต้องทำอะไรวุ่นวายด้วยการใช้วิธีไม่เจ้ามอดก็เป็นข้าม้วยอย่างสงครามแห่งโชคชะตากับชิ้นส่วนสืบทอดมาฝืนผลักดันให้เกิดกระบวนแบบนี้ขึ้นด้วย?


อันดับต่อไปก็คือตัวของจิตสำนึก


มันดูแล้วช่างขัดแย้งกับระดับเทคโนโลยีอันต่ำต้อยของโลกนี้อย่างมาก การสัมผัสและการถ่ายโอนของจิตสำนึกทำไมมันถึงดูง่ายดายขนาดนี้ ราวกับว่ามันไม่มีอุปสรรคใดๆ ทางด้านเทคโนโลยีอย่างไรอย่างนั้น ถ้าบอกว่าพระเจ้ามีความสามารถแบบนี้มันก็ยังแปลกอะไร แต่ทำไมอารยธรรมใต้ดิน ปีศาจและมนุษย์เองถึงทำแบบนี้ได้เหมือนกันล่ะ?


เพราะว่าในโลกนี้เขาอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดอย่างการรับรู้แล้วเลียนแบบขึ้นมาแบบนี้นั้นเป็นเพียงแค่แนวคิดอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในภาพยนตร์เท่านั้น


เขาแอบรู้สึกว่าทั้งสองนี้เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่


ตอนที่ 1445 เกาะที่ไม่มีวันตก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังกลับจากเหมือนเนินทิศเหนือมาถึงปราสาท โรแลนด์ก็เรียกบารอฟและคาร์ลที่เป็นหัวหน้ากองโยธาธิการเข้ามาในห้องทำงาน


“ข้าอยากจะให้ทางสำนักบริหารรีบทำแผนการจัดหาวัตถุดิบโลหะขึ้นมาใหม่โดยเร็วที่สุด แล้วย้ายศูนย์กลางจัดหาวัตถุดิบจากเนินเขาทิศเหนือกระจายไปยังที่อื่น — จะเป็นป้อมปราการลองซองหรือเมืองเรดวอเทอร์ก็ได้ทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ต้องระวังปริมาณห้ามลดน้อยลง อีกไม่นานเนินเขาทิศเหนือจะไม่สามารถทำการขุดหาวัตถุดิบได้อีกแล้ว”


ทั้งสองคนหน้าเปลี่ยนสีทันที จากนั้นสบตากันครู่หนึ่ง คาร์ลก้มหน้าลงไป ส่วนบารอฟก็ถามขึ้นมาอย่างยากลำบากว่า “ฝ่าบาท…สถานการณ์ทางทิศเหนือมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอพ่ะย่ะค่ะ?”


“ทิศเหนือ?” โรแลนด์งุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคิดขึ้นมาได้ อีกฝ่ายน่าจะคิดว่าบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์มีศัตรูที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาใหม่ แม้แต่กองทัพที่หนึ่งก็ไม่สามารถต้านทานได้ ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะรักษาเมืองแล้ว เขาจำต้องทิ้งเหมืองเนินทิศเหนือไป เขานึกขันอยู่ในใจพร้อมส่ายหัวขึ้นมา “กองทัพไม่ได้ตกต่ำจนถึงขนาดต้องอาศัยข่าวลวงเรื่องชัยชนะมารักษากำลังใจของผู้คนหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ดูแลเรื่องการขนส่ง เจ้าก็น่าจะมองเห็นถึงสถานการณ์คร่าวๆ จากวัสดุทางการแพทย์ที่ถูกใช้ไปนี่นา ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ออกมาล่ะ”


บารอฟรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “เอ่อ ฮ่าๆๆ…กระหม่อมเพียงแค่เตรียมพร้อมเพื่อฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ความจริงตอนแรกกระหม่อมเองก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน กระหม่อมนึกว่ามีแม่มดคนไหนเจอข้อมูลใหม่เกี่ยวกับอาณาจักรซีสกายแล้วยังไม่ได้มาแจ้งทางสำนักบริหารหรือเปล่า”


“เช่นนั้นแล้ว ทำไมฝ่าบาททรงต้องทิ้งเหมืองเนินเขาทิศเหนือด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” คาร์ลอดถามขึ้นมาไม่ได้


“เพราะว่าอีกไม่นานเหมืองเนินเขาทิศเหนือจะบินขึ้นไปบนฟ้าน่ะสิ” โรแลนด์พูดพร้อมยักไหล่


“….”


ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปอีกครั้ง แต่ว่าสีหน้าของพวกเขาครั้งนี้ดูแปลกๆ ไปเสียหน่อย เหมือนกับว่าพวกเขารู้สึกสงสัยในหูของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น


“พวกเจ้าฟังไม่ผิดหรอก มันจะบินขึ้นไป กลายเป็นเกาะลอยฟ้า” โรแลนด์กวาดตามองทั้งสองคนอย่างขำขัน ก่อนจะเล่าเรื่องแม่มดโบราณเอเลนอร์และแกนเวทมนตร์ที่ยึดมาได้ให้ทั้งสองคนฟังอย่างคร่าวๆ “ยังจำลังเหล็กที่ทางสำนักบริหารทำการขนส่งก่อนหน้านี้ได้ไหม สิ่งที่อยู่ในนั้นคือแกนกลางของพระผู้สร้าง เพียงแต่การปลูกถ่ายมันมีความเสี่ยงอยู่ ข้าไม่รู้ว่าสุดท้ายผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ข้าก็เลยไม่ได้เอารายละเอียดเรื่องนี้บอกพวกเจ้า แต่ว่าตอนนี้พวกเจ้ารู้ได้แล้ว แผนการประสบความสำเร็จอย่างมาก อีกไม่นานเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะมีดินแดนที่ลอยอยู่บนฟ้าเหมือนกัน”


บารอฟลืมตาโตพูดอะไรไม่ออก ส่วนคาร์ลนั้นตัวสั่นขึ้นมาอย่างตื่นเต้น เขาถามออกไปด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการนั้นไม่ใช่แค่ก้อนหินขนาดใหญ่ธรรมดาๆ ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”


“เจ้าพูดถูก” โรแลนด์ไม่อ้อมค้อมอีก “มันจะกลายเป็นเรือรบลอยฟ้า เป็นป้อมปราการที่ไม่มีวันตก มันจะต้องมีสิ่งที่ทหารจำนวนมากจำเป็นต้องใช้ในการออกไปโจมตีเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี อีกทั้งยังสามารถโจมตีใส่ศัตรู และมีความสามารถในการป้องกันตัวเองระดับหนึ่ง เขาคิดว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรในการปรับปรุงเหมืองเนินเขาทิศเหนือให้เป็นแบบนี้?”


ในฐานะที่เติบโตมาจากสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เขาย่อมต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ทำให้คาร์ลรู้สึกตื่นเต้นนั้นคืออะไร นักออกแบบที่ีมีความทะเยอทะยานทุกคนล้วนแต่อยากจะให้ผลงานของตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อทั้งหมด การที่สามารถสร้างเมืองลอยฟ้าขึ้นมาได้ด้วยมือตัวเองนั้นคือโอกาสที่ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ


“หากว่ากันตามแผนงานก่อสร้างตามปกติแล้ว มันต้องใช้เวลา 4 – 5 ปีพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงรอนานขนาดนั้นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองลอยฟ้าก็ไม่อาจถือเป็นการก่อสร้างธรรมดาได้” คาร์ลรีบตอบออกมาทันที “เมื่อคำนึงถึงความพิเศษของมันแล้ว ทางกองโยธาธิการสามารถส่งทีมก่อสร้างขึ้นไปอยู่บนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้ากระหม่อมเข้าใจไม่ผิดแล้วล่ะก็ ฝ่าบาททรงต้องการให้อัศวินอากาศอยู่บนนั้นใช่ไหมล่ะพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงมีจุดให้พวกเขาได้เติมเชื้อเพลิงและกระสุนปืน ขอบเขตการโจมตีและการป้องกันของพวกเขานั้นจะเหนือกว่าปืนใหญ่ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”


ดูเหมือนหลังจากสร้างสนามบินมาสิบกว่าแห่ง หัวหน้ากองโยธาธิการคนนี้ก็ยิ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับกองทัพอากาศลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นแล้ว โรแลนด์พยักหน้ายิ้มๆ “ว่าต่อไป”


“สนามบินที่อัศวินอากาศต้องใช้นั้นประกอบไปด้วยรันเวย์ โกดังและคลังเก็บเชื้อเพลิงกับกระสุน สิ่งเหล่านี้สามารถใช้แผนและแบบแปลนที่มีอยู่ได้ อย่างมากใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแล้ว—” คาร์ลยกมือขึ้นมาทาบอก “อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ หลังจากหนึ่งสัปดาห์ มันจะสามารถใช้งานได้ตามความต้องการเบื้องต้นของพระองค์ งานก่อสร้างที่เหลือก็มีปรับปรุงให้เสร็จสมบูรณ์และก่อสร้างเพิ่มเติมเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”


“แล้วพวกวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างล่ะ?” บารอฟถาม “ทันทีเนินเขาทิศเหนือขึ้นบิน การจะส่งของขึ้นไปนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก”


“ในจุดนี้ข้าย่อมต้องคิดเอาไว้แล้ว” เมื่อพูดถึงความเป็นมืออาชีพแล้ว คาร์ลเรียกได้ว่ามีความมั่นใจอย่างมาก “ตรงเชิงเขาเนินทิศเหนือนั้นมีสระน้ำที่ไม่ใหญ่อยู่แห่งหนึ่งที่เกิดจากน้ำแร่บนยอดเขาไหลมารวมกัน ในช่วงสัปดาห์แรก ทีมก่อสร้างจะทำการล้อมรั้วมัน ทำให้มันกลายเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ แล้วก็ใช้ในการก่อสร้างได้”


“อันดับต่อมา หินปูนที่ใช้ในการทำซีเมนต์นั้นสามารถขุดเอามาจากตัวภูเขาได้ ข้าคิดว่าเลดี้เอเลนอร์คงจะไม่ว่าอะไรถ้าหากเมืองลอยฟ้าเบาขึ้นนิดหน่อย ทั้งอิฐและไม้ก็เอามาจากบนนั้นได้ ส่วนเหล็กกล้านั้นเตรียมเอาไว้ก่อนล่วงหน้าจะดีที่สุด — ถ้าคุณหนูฮัมมิงเบิร์ดกับคุณหนูมอลลี่ยอมช่วยล่ะก็ ปริมาณของที่ขนเข้าไปได้ในหนึ่งสัปดาห์จะต้องมากพออย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


“นอกจากนี้เมืองชายแดนที่สามของแม่มดทาคิลาเองก็สามารถช่วยเราได้อย่างมาก ถ้ำที่เชื่อมต่อกันไม่ขาดสายนั้นขอเพียงทำการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย มันก็จะเป็นโกดังที่ดีที่สุด เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้จะไม่มีการสนับสนุนเป็นเวลานาน ทีมก่อสร้างก็สามารถทำงานอยู่บนนั้นได้ 1 – 2 ปีพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หันไปมองบารอฟ “แน่นอนว่าถ้าหากเขตเตาเผาและโรงงานถลุงเหล็กไปอยู่บนนั้นด้วย ช่วงเวลาที่จะอาศัยอยู่บนนั้นก็จะยิ่งนานขึ้นไปอีก”


โรแลนด์ถึงกับปรบมือขึ้นมา แผนการนี้เป็นแผนการที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่มีเวลาอยู่จำกัดแบบนี้ — ทำให้เกาะลอยฟ้ามีความสามารถในการต่อสู้ขั้นพื้นฐานในเวลาที่น้อยที่สุดก่อน ส่วนเรื่องอื่น อย่างเช่นเงื่อนไขการอยู่อาศัยของคนงานล้วนแต่สามารถทำการปรับเปลี่ยนในภายหลังได้


“บารอฟ เจ้าคิดว่ายังไง?”


“แบบนั้นบนเกาะนอกจากกองทัพที่หนึ่งแล้ว ก็ยังจะมีชาวเมืองอาศัยอยู่บนนั้นไม่น้อยด้วย” หัวหน้าสำนักบริหารลูบหนวดตัวเอง “ดูเหมือนหม่อมฉันต้องคิดแผนรับสมัครงานที่มีความดึงดูดออกมาแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์ยิ้มอย่างพอใจขึ้นมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับจุดสำคัญของแผนการนี้ได้แล้ว


การขึ้นไปอยู่บนเกาะลอยฟ้านั้นหมายถึงการจากแผ่นดินและบ้านเกิดไปเป็นเวลานาน เงื่อนไขการใช้ชีวิตที่ยากลำบากในช่วงแรกนั้นก็ไม่สามารถเทียบกับเขตที่อยู่อาศัยของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นการประกาศหรือการให้รางวัล ทางสำนักบริหารก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม มีแต่คนงานที่เต็มใจจะขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างมีประสิทธิภาพ


หากเป็นเมื่อก่อนนี้โรแลนด์ต้องเป็นคนวางแผนเองทั้งหมด แต่ตอนนี้บารอฟสามารถรับหน้าที่นี้แทนตัวเองได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเข้าใจในแนวคิดการบริหารของเขาเป็นอย่างดี


“อย่างนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” โรแลนด์กล่าวสรุป


…..


“นายท่าน กลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ”


วิคเตอร์เดินเข้าในห้องทำงานของตึกปาฏิหาริย์ ทิงเกิลรีบเข้ามาต้อนรับเหมือนตอนอยู่ที่โรงแรม


ตอนนี้การค้าของเรนโบว์สโตนนั้นโตวันโตคืน คู่แข่งทางการค้ารายอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นมา เพื่อรักษาเสถียรภาพของแหล่งสินค้าแล้ว เขาจำเป็นต้องเดินทางไปกลับระหว่างเนเวอร์วินเทอร์กับท่าเรือเคลียร์วอเทอร์อยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้มันจะค่อนข้างเหนื่อย แต่เขาก็มีความสุข เมื่อเทียบกับการขายอัญมณีที่ไม่มีความแน่นอนแล้ว ตอนนี้นับวันเขาก็ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายในตอนแรกมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการกลายเป็นพ่อค้าใหญ่ที่มีความสามารถมากพอจะสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไปได้


ในขณะที่วิคเตอร์ยื่นมือออกมา อีกฝ่ายก็เอา ‘เกรย์คาสเซิล’ รายสัปดาห์ส่งมาให้เขา


ความรู้ใจเช่นนี้ทำเอาเขายิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์จะมีหนังสือพิมพ์ส่งไปเหมือนกัน แต่เวลามักจะช้ากว่าที่นี่ 2 – 3 สัปดาห์ ซึ่งสำหรับเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา 2 – 3 สัปดาห์นั้นนับว่าน่าตกใจอย่างมาก


แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ พาดหัวข่าวในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดนั้นดึงดูดสายตาเขาเอาไว้ทันที


‘มุ่งหน้าไปบนฟ้า แผนการสรวงสวรรค์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ’


ตอนที่ 1446 ยานแม่ลอยฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หัวใจสำคัญของการปิดฉากสงครามแห่งโชคชะตาถูกค้นพบแล้ว…” วิคเตอร์อ่านออกเสียงเบาๆ “ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยที่จะเปิดฉากบุกโจมตีศัตรู และดับไฟสงครามลงที่นอกที่ราบลุ่มบริบูรณ์?”


ถึงแม้จะเคยผ่านเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้มาแล้ว แต่รายงานข่าวฉบับนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความน่าตกตะลึงอยู่ ตัวหนังสือในทุกๆ บรรทัดสมควรที่จะถูกจารึกเก็บเอาไว้ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ คนที่อยู่นอกราชวงศ์ไม่มีทางที่จะรู้ข่าวแบบนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าที่ไม่มีตำแหน่งเหมือนอย่างเขาเลย


บนหนังสือพิมพ์มีการวาดภาพที่ดูยิ่งใหญ่เอาไว้ภาพหนึ่ง : การที่แผ่นดินลอยฟ้าที่สร้างความแตกตื่นก่อนหน้านี้ตกลงไปในทะเลไม่ได้หมายความว่าการโจมตีของปีศาจได้สิ้นสุดลงแล้ว ห่างออกไปอีกหลายพันกิโลเมตร ป้อมปราการหินสีดำอันใหม่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างไม่หยุดพัก และที่ด้านล่างของมันก็มีปีศาจนับสิบล้านตัวกำลังดาหน้าเข้ามาเหมือนสายน้ำหลาก — ตัวเลขอันนี้เพียงพอที่จะกลืนกินอาณาจักรของมนุษย์ทั้งอาณาจักรได้! เพื่อที่จะหลักเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยที่จะบุกออกไป เพื่อที่จะทำให้ไฟสงครามไม่กระเด็นมาถูกคนธรรมดา


เมื่อกำจัดศัตรูที่บุกโจมตีเข้ามาได้แล้ว กองทัพก็จะมุ่งหน้าไปยังจุดเชื่อมต่อของทั้งสองแผ่นดินที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก เพื่อที่จะกำจัดภัยคุกคามของสงครามแห่งโชคชะตา ถ้าหากประสบความสำเร็จล่ะก็ ความสงบที่ยืนยาวก็จะมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือว่าสัตว์อสูรก็จะทำอะไรมนุษย์ไม่ได้อีก


วิคเตอร์นั้นคุ้นเคยกับเรื่องการกรีฑาทัพออกไปแบบนี้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาได้เห็นการถือกำเนิดขึ้นของปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเอง กองทัพที่หนึ่งกรีฑาทัพออกไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่รกร้างผู้คนซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 กว่ากิโลเมตรด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่เรียกว่ารถไฟและเอาชนะปีศาจที่มาตั้งฐานที่มั่นอยู่ในซากโบราณสถานทางทิศเหนือ ตอนนั้นเกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการรบเอาไว้อย่างละเอียดด้วยภาพเหมือนที่ถูกเรียกว่ารูปภาพ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองได้เห็นภาพขบวนรถไฟสีดำเล่นไปบนที่ราบลุ่มจากบนท้องฟ้าได้


แต่ว่าครั้งนี้ฝ่าบาทโรแลนด์เหมือนจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่า


พระองค์ทรงคิดที่จะยกภูเขาทั้งลูกขึ้น ทำให้มันกลายเป็นฐานที่มั่นในการออกรบครั้งนี้!


นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้จริงๆ งั้นเหรอ?


วิคเตอร์รีบพลิกไปหน้าที่สองอย่างรวดเร็ว — เขาเห็นว่าแผนการนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือช่วงลอยขึ้นฟ้า เนินเขาทิศเหนือและพื้นดินด้านล่างที่ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรจะแยกตัวเป็นอิสระจากเทือกเขาสิ้นวิถี


ส่วนที่สองคือช่วงลองล่องไปบนอากาศ เนินเขาทิศเหนือจะถูกจัดให้อยู่ในกองทัพ และถูกตั้งชื่อว่า ‘ยานแม่ลอยฟ้าเอเลนอร์’ ในช่วงเวลานี้มันจะล่องไปรอบๆ เมืองเนเวอร์วินเทอร์หลายครั้งเพื่อที่จะฝึกซ้อมทำการรบส่วนที่สำคัญ แล้วก็รอคอยเวลาที่เหมาะสมที่จะออกเดินทางไปโจมตี


ส่วนสุดท้ายก็คือการออกเดินทางอย่างเป็นทางการ เพื่อไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ห่างออกไปนับพันกิโลเมตร


สำนักบริหารเรียกมันว่าเป็นสงครามที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ นอกจากกองทัพแล้ว การสนับสนุนของคนงานจากส่วนต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้เงินค่าจ้างจึงค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่แล้วได้มากกว่าเงินเดือนเฉลี่ยในสายอาชีพเดียวกันประมาณ 2 – 3 เท่า ไม่ใช่เท่านี้ ชื่อของผู้ที่มีส่วนร่วมทุกคนจะถูกจารึกลงบนอนุสาวรีย์และตั้งอยู่ในเมืองหลวงไปตลอดกาล


นอกจากนี้บารอฟที่เป็นหัตถ์พระราชายังเผยออกมาในตอนท้ายอีกว่า คนที่ขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าอาจจะมีโอกาสได้เห็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์


เมื่ออ่านถึงตรงนี้ วิคเตอร์ก็รู้ว่าจะต้องมีคนจำนวนมากแห่ไปที่สำนักบริหารอย่างแน่นอน สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างชาวเมืองที่อาศัยอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์กับชาวบ้านที่อพยพมาจากเมืองอื่นก็คือชาวเมืองที่อาศัยอยู่เดิมจะมองที่แห่งนี้เป็นเหมือนดินแดนของตน ในตอนที่เขาได้พูดคุยกับคนในพื้นที่ เขามักจะเกิดรู้สึกว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นของฝ่าบาทโรแลนด์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นของพวกเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่มีบ้านและได้รับบัตรประชาชนแล้ว ความรู้สึกเหมือนเป็นที่ยอมรับก็จะแผ่ขยายออกมาอย่างรวดเร็ว ที่เขารู้นั้นเป็นเพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน


เห็นๆ อยู่ว่ามาจากอาณาจักรดอว์น แต่เขากลับเกิดความรู้สึกภูมิใจเวลาที่ได้ยินผู้คนพูดถึงความมหัศจรรย์ต่างๆ ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต


ถ้าไม่เป็นเพราะมีธุรกิจที่ต้องดูแล วิคเตอร์ก็อยากจะขึ้นไปดูบนท้องฟ้าเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร


“ช่วยข้าติดต่อสำนักบริหารหน่อยได้ไหม บอกว่าทางเรนโบว์สโตนยินดีที่จะบริจาคเสื้อผ้า 1,000 ชุด”


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ทิงเกิลพยักหน้า


“เออใช่ เจ้าได้ถามว่าหรือเปล่าว่าเนินเขาทิศเหนือจะลอยขึ้นฟ้าวันไหน?”


“น่าจะใน 2 – 3 วันนี้เจ้าค่ะ บนยอดเขาตอนนี้เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้วเจ้าค่ะ”


“2 – 3 วันงั้นเหรอ…ที่นั่งดีๆ คงถูกแย่งไปหมดแล้ว” วิคเตอร์ปิดหนังสือพิมพ์ ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ถึงแม้ตึกปาฏิหาริย์จะสูง แต่มันก็อยู่ไกลจากเทือกเขาสิ้นวิถี ภาพอันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ มันควรจะดูระยะใกล้ๆ จะดีกว่า เขาหมุนตัวแล้วยื่นกุญแจดอกนึงออกไป “ทิลเกิล เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง?”


โชคดีที่ขอเพียงเป็นปัญหาที่แก้ด้วยเงิน สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


“เดี๋ยวข้าเป็นจัดการเองเจ้าค่ะ นายท่าน” ทิงเกิลรับเอากุญแจพร้อมพูดยิ้มๆ


….


หลังจากนั้นสามวัน กองทัพที่หนึ่งก็ตั้งสายกั้นพื้นที่เป็นแนวยาวตรงตีนเขา นี่ทำให้คนทั้งเมืองเนเวอร์วินเทอร์รู้ว่าเวลาที่รอคอยกำลังใกล้มาถึงแล้ว


ในเวลานี้เนินเขาทิศเหนือเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเดิม เมื่อมองจากไกลๆ รอบตัวมันมีนั่งร้านวางอยู่เต็มไปหมด หน้าผาที่เดิมขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบเหมือนผ่านการตกแต่งมาอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแต่จะดูราบเรียบขึ้น แต่ในหลายๆ ตำแหน่งยังมีแผ่นอะไรบางอย่างมาแปะเอาไว้ด้วย —- แผ่นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันที่อาจจะเป็นแผ่นเหล็กหรือผ้าน้ำมันดูแล้วไม่เข้ากับตัวภูเขาแม้แต่นิดเดียว แต่มันกลับทำให้ภูเขาแห่งนี้ดูเป็นเหมือนอาวุธมากยิ่งขึ้น


แต่สิ่งที่ทำให้วิคเตอร์รู้สึกตกตะลึงมากที่สุดก็คือธงยาวที่ห้อยตกลงมาจากบนที่สูงนับหลายร้อยแถบ


พวกมันเหมือนเป็นชายกะโปรงที่สะบัดขึ้นลงไปตามลมเหมือนคลื่น


หอคอยและหอก นั่นคือสัญลักษณ์ของอาณาจักรเกรย์คาสเซิล


การผสมผสานของสีแดงดำขาวนั้นทำให้ดูมีความสง่างามอย่างมาก


ความรู้สึกที่พุ่งปะทะเข้ามาทางสายตาแบบนี้ทำให้คนที่เห็นยากจะลืมเลือนได้


คนที่มารวมตัวกันบนถนนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในตอนกลางวัน ถนนหลักหลายสายนั้นมีผู้คนเบียดเสียดกันจนแทบจะเดินไม่ได้ ถ้าไม่เป็นเพราะตำรวจชัดดำกับทหารพาคนออกไปทางป่าเร้นลับ เกรงว่าเขตเมืองกว่าครึ่งคงต้องกลายเป็นอัมพาตแน่


เมื่อเสียงเตือนทุ้มต่ำดังไปทั่วทั้งเมือง วิคเตอร์ที่อยู่บนดาดฟ้าของตึกตรงถนนตะวันตกก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนที่ส่งขึ้นมาจากใต้เท้า


ไม่นาน แรงสั่นสะเทือนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่ดังกัมปนาท!


พริบตานั้นเอง ทั่วทั้งเมืองเนเวอร์วินเทอร์เหมือนเดือดพล่านขึ้นมา —


นั่นคือเสียงของขุนเขาที่แตกออก


ถึงแม้จะตั้งตัวไว้แล้ว แต่ในตอนที่ได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง เขาก็ยังอดอ้าปากค้างไม่ได้


ทิงเกิลกุมแขนของเขาเอาไว้แน่น


เนินเขาทิศเหนือค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไป เทือกเขาที่เชื่อมต่อกับมันพ่นฝุ่นควันออกมา นั่งร้านที่ตั้งอยู่บนพื้นทยอยพังครืนลงมาเหมือนกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะพันธนาการเจ้าอสูรยักษ์นี้ไว้ได้


ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกับการดึงเอาหัวไชเท้าออกมาจากในดินอย่างไรอย่างนั้น แต่ครั้งดินในครั้งนี้กลับเป็นพื้นดินที่กว้างถึงหนึ่งกิโลเมตร มันกลายเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวอย่างชัดเจน ตำแหน่งที่ต่ำที่สุดนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางของเกาะลอยฟ้า เมื่อเนินเขาทิศเหนือลอยขึ้นไป พื้นดินก็เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา เมื่อจู่ๆ ก็พื้นดินที่ปกคลุมอยู่ด้านบนก็หายไป สัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็พากันวิ่งหนีออกมา


เดิมนี่นาจะเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้


แต่ธงที่โบกสะบัดอยู่บนภูเขานั้นกลับกำลังประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่ามันเป็นของอาณาจักรเกรย์คาสเซิล มันเป็นของมนุษย์


หลังความตกตะลึงผ่านไปแล้ว มนุษย์ก็ระเบิดเสียงเฮออกมาดังสนั่น ในตอนที่เสียงทรงพระเจริญดังขึ้นมา มันก็ไม่มีทางที่จะเงียบลงไปในเวลาสั้นๆ ได้


ผ่านไปครู่ใหญ่บรรยากาศอันร้อนแรงจึงค่อยๆ สงบลง วิคเตอร์เลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเอง ในขณะเดียวกำลังเตรียมจะพาทิงเกิลกลับโรงแรมนั้น แสงสว่างพลันสาดไปที่ตัวชายแก่คนหนึ่งที่อยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้าม ภาพของชายคนนั้นดูคุ้นตาอย่างมาก จนทำให้เท้าของเขาก้าวช้าลงไป


วิคเตอร์อยากจะมองอย่างละเอียด แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายได้หายตัวไปแล้ว


“นายท่าน มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” ทิลเกิลเหมือนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขา


“เปล่า ไม่มีอะไร…น่าจะมองผิดไปน่ะ” วิคเตอร์พูดอย่างลังเล เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ชายแก่คนนั้นก็ดูคล้ายกับพ่อเขาอย่างมาก


แต่ว่าทำไมพ่อเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ในที่แบบนี้ได้ เขาส่ายหัวพร้อมกับรีบโยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ทิ้งไป


ตอนที่ 1447 คำสัญญาที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องรับรองในปราสาท โรแลนด์มองดูชายแก่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ


เขานั่งอยู่บนรถเข็น ผมบนหัวเป็นสีเทาขาว แก้มสองข้างซูบผอม รอยย่นบนหน้าผากนูนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว แต่เมื่อเทียบกับอายุแล้ว ดวงตาเขากลับยังเป็นประกายและมีชีวิตชีวา แว่นตาข้างเดียวที่ตั้งอยู่บนปลายจมูกและหูกระต่ายสีดำที่ผูกอยู่ตรงคอยิ่งทำให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกับที่โรแลนด์มองดูเขา เขาก็มองดูโรแลนด์เหมือนกัน


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โรแลนด์จึงพูดทำลายความเงียบและฉีกยิ้มเล็กน้อย “การเชิญเจ้ามาจากอาณาจักรดอว์นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวงของเกรย์คาสเซิล คุณแบร์ริช โลธา เดินทางเหนื่อยหน่อยนะ”


“การได้รับคำเชิญจากราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนับเป็นเกียรติของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ….” อีกฝ่ายก้มศีรษะลงเล็กน้อย “เพียงแต่ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเรียกกระหม่อมมา มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“เจ้าทำเพื่อเกรย์คาสเซิลมามากแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ”


“กระหม่อม?” เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างชัดเจน “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเข้าพระทัยอะไรผิดหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”


คนปกติทั่วไปเมื่ออายุปูนนี้ ความเร็วในการคิดอ่านจะถดถอยลงอย่างมาก ทำให้คำพูดคำจาดูติดๆ ขัดๆ แต่แบร์ริชไม่เพียงแต่จะพูดตอบโต้ออกมาได้ในทันที แต่เขายังควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าเพื่อแสร้งทำสีหน้าออกมาได้ด้วย นี่เพียงพอจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหัวสมองของเขานั้นไม่เคยหยุดคิดเลย เมื่อเทียบกับร่างกายที่แก่ลงทุกวันแล้ว สติสัมปชัญญะของเขาเหมือนจะสะท้อนสภาพของร่างกายของเขาออกมาได้ดีกว่า


“ข้ารู้ว่าเจ้ามีความกังวล แต่ว่าขอเจ้าโปรดวางใจ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อแบล็คมันนี่” โรแลนด์พูดพร้อมผายมือ “ ‘ท่านเทพ’ ที่เอาข่าวไปแจ้งให้เจ้าก็เป็นคนของเนเวอร์วินเทอร์ ความจริงแล้วเป็นข้าเองที่ให้พวกนางส่งข่าวออกไป”


จากที่พาซาร์บอกมา ให้ใช้ข้ออ้างว่าถึงเวลาทำพิธีเปลี่ยนร่างในการเรียกแบร์ริชมายังเกรย์คาสเซิล หลังระบุตัวเป้าหมายได้แล้วก็ให้ส่งคนไปพาตัวเขามาที่ปราสาท ถึงแม้การทำแบบนี้จะค่อนข้างหยาบคายไปหน่อย แต่มันก็ตรงไปตรงมา


“ฝ่าบาท…กระหม่อมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของพระองค์…”


“ไม่เป็นไร ข้าจะพูดจนกว่าเจ้าจะเข้าใจ — นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนอย่างมาก แต่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง” โรแลนด์เล่าเรื่องในอดีตของแม่มดโบราณออกมาคร่าวๆ แล้วก็เล่าว่าแท้ที่จริงแล้วพิธีเปลี่ยนร่างทหารอาญาสิทธิ์มันคืออะไร ภาชนะที่บรรจุวิญญาณจะรับเพียงจิตสำนึกของคนที่มีพลังเวทมนตร์เท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือคนที่ไม่มีพลังเวทมนตร์จะเป็นได้แค่ร่างเปลือก


ในอีกแง่หนึ่งการกลายเป็นร่างเปลือกที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองนั้นก็สอดคล้องกับคำพูดของแม่มดโบราณที่บอกว่าจะยืดอายุขัยให้ ถ้าหากแบล็คมันนี่เป็นแค่สมาคมใต้ดินธรรมดาทั่วไป เขาคงไม่สนใจอะไรมากนัก แต่ในศึกป้องกันกองทัพตะวันตกของปีศาจ แบล็คมันนี่ได้ทำความดีความชอบเอาไว้อย่างมาก พวกเขาไม่เพียงแต่จะช่วยกองทัพที่หนึ่งในการตั้งเครือข่ายข่าวสารขึ้นมาในเขตพื้นที่สู้รบของวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ แต่พวกเขายังส่งข่าวสารสำคัญๆ ออกมาหลายครั้ง ซึ่งช่วยเติมเต็มช่องว่างการสอดแนมภายในเขตพื้นที่หมอกแดงแทนแม่มด


บางทีการที่แบร์ริชทำเช่นนี้อาจจะไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ด้วยกันเอง แต่ความดีความชอบของเขานั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ โรแลนด์ไม่คิดว่าการเปลี่ยนคนที่มีความดีความชอบให้กลายเป็นหุ่นเชิดที่ไร้จิตใจจะเป็นรางวัลที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจนัดพบกับอีกฝ่าย


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แบร์ริชจึงค่อยๆ ถอดแว่นตาออก ลำคอของเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อย “พระองค์ทรงหมายความว่าการมีชีวิตยืนยาวนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


โรแลนด์ถอนใจออกมาเบาๆ “เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว คนที่จะรักษาจิตสำนึกเอาไว้ไม่ให้แก่ได้จะต้องเป็นคนที่มีพลังเวทมนตร์ ซึ่งสำหรับมนุษย์แล้วนั่นก็คือแม่มด”


ต่อให้เป็นเขาซึ่งเป็นผู้บุกเบิกโลกแห่งความฝันก็ไม่มีทางที่จะสนใจภาชนะบรรจุวิญญาณพวกนั้นแน่นอน


“แต่ว่าหลังจากที่ดื่มยาพวกนั้นแล้ว ร่างกายของกระหม่อมดีขึ้นจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ—-”


“ยาพวกนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ มันสามารถดึงเอาความกระชุ่มกระชวยของร่างกายออกมาเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในพิธีเปลี่ยนร่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้มันต่อเนื่องไปตลอดได้” โรแลนด์ส่ายหัวพร้อมพูดตัดบท “ไม่นานผลข้างเคียงของมันก็จะปรากฏออกมา ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ข้ารีบเรียกเจ้ามาที่นี่”


แบร์ริชงุนงงไปครู่ “พระองค์ทรงหมายความว่า เวลาของหม่อมฉันเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้วงั้นเหรอพ่ะย่ะค่ะ…”


“ขอโทษด้วยนะ” โรแลนด์พูดอย่างเสียใจ “ข้าไม่สามารถทำให้คำสัญญานี้เป็นจริงได้ ข้าทำได้เพียงใช้วิธีอื่นมาชดเชยเท่านั้น แบล็คมันนี่เคยปกป้องแม่มด แล้วก็ทำความดีความชอบในสงครามแห่งโชคชะตา ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็พูดออกมาได้เลย นี่ถือเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าควรจะได้รับ”


ไนติงเกลเคยถามเขาว่าทำไมถึงไม่ให้พวกพาซาร์เป็นคนจัดการเรื่องนี้ ถ้าหากใช้สถานะของราชาออกหน้า อย่างนั้นมันก็เท่ากับเป็นการเอาผลของการหลอกลวงนี้โยนมาให้เกรย์คาสเซิล


ความคิดของเธอก็ไม่ใช่ว่าผิด เพียงแต่โรแลนด์รู้ดีว่าในเมื่อเกรย์คาสเซิลได้รับเอาแม่มดทาคิลามาแล้ว อย่างนั้นเกรย์คาสเซิลก็ไม่สามารถรับเอาแต่ประโยชน์ที่พวกนางนำมาให้ได้ ความผิดพลาดของพวกนาง ทางเกรย์คาสเซิลก็ควรจะเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน


“…..” แบร์ริชนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ถึงแม้จะเป็นเรื่องของอาณาจักรดอว์น พระองค์ก็ทรงจัดการได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“เจ้าน่าจะรู้ถึงอิทธิพลของข้าในอาณาจักรดอว์นนี่นา”


“อย่างนั้นกระหม่อมก็สบายใจแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” นี่เหนือไปจากที่โรแลนด์คิดเอาไว้ อีกฝ่ายไม่ได้แสดงสีท่าทีผิดหวังหรือแสดงอารมณ์เสียใจออกมา ในทางกลับกัน เขากลับยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “ที่กระหม่อมอยากจะมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ก็เพราะต้องการปกป้องแบล็คมันนี่เอาไว้ให้ลูกๆ ของกระหม่อม ถ้ากระหม่อมตายไป ขุนนางพ่อค้าคนอื่นๆ จะต้องฉวยโอกาสนี้มารุมทึ้งมันแน่ เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ชีวิตคนสองสามชีวิตก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย ถ้าหากฝ่าบาททรงยินดีเข้ามาช่วยเหลือ กระหม่อมคิดว่าคงไม่มีใครหน้าไหนที่จะกล้าทำอะไรแน่นอน เผลอๆ นี่อาจจะดีกว่าการที่กระหม่อมมีชีวิตยืนยาวด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้ว กระหม่อมยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”


โรแลนด์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจนะว่านี่เป็นรางวัลที่เจ้าต้องการ?”


“ฝ่าบาท หรือว่า…ไม่ได้งั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“มันก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินคือเรนโบว์สโตนบ้างไหม?”


“เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ” แบร์ริชคิดเล็กน้อย “เหมือนจะเป็นธุรกิจขายเสื้อผ้าที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาไม่นานในอาณาจักรของพระองค์ ขนาดของธุรกิจใหญ่มาก สินค้าบางอย่างก็ส่งไปขายยังอาณาจักรดอว์น แต่ขออภัยที่กระหม่อมทูลตามตรง ในเรื่องรูปแบบและการออกแบบมันยังสู้ของพวกกระหม่อมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”


เพราะว่าคนงานที่วิคเตอร์หามาล้วนแต่เป็นคนของตระกูลโลธาน่ะสิ…ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่ได้บอกพวกเจ้าด้วยว่าเสื้อผ้าในเมืองเนเวอร์วินเทอร์แบบนี้มีราคาต่ำกว่าเสื้อผ้าทอมือเจ้าอื่นๆ ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย “เท่าที่ข้ารู้มา ผู้ก่อตั้งธุรกิจเสื้อผ้าอันนี้ชื่อว่าวิคเตอร์ โลธา แล้วก็เป็นลูกคนที่สี่ของเจ้า นอกจากนี้ตอนนี้รายได้ของธุรกิจเสื้อผ้าของเขานั้นมากกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองแล้ว เมื่อมีคนที่มีความสามารถแบบนี้อยู่ ข้าคิดว่าถือให้เกรย์คาสเซิลไม่เข้าไปยุ่งอะไร เขาก็คงไม่มีทางแพ้ให้กับตระกูลพ่อค้าเหล่านั้นง่ายๆ แน่”


เงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองนั้นไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยๆ เลย ในอดีตเมืองเนเวอร์วินเทอร์มีแต่เครื่องดื่มยุ่งเหยิงเท่านั้นที่จะทำรายได้ขนาดนี้ได้ — เหตุผลนั้นง่ายมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ต้องการเครื่องดื่ม แต่ทุกคนล้วนแต่ต้องใส่เสื้อผ้า เมื่อจำนวนประชากรในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เพิ่มขึ้น ขนาดของความต้องการพื้นฐานก็จะขยายตามขึ้นไปด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าผลกำไรจำนวนมหาศาลที่เกิดจากอุตสาหกรรมที่สามารถคาดการณ์ได้ เงินที่หมุนเวียนอยู่ในธุรกิจใต้ดินนั้นไม่มีทางที่จะเทียบได้เลย


ครั้งนี้แบร์ริชแสดงสีหน้าตกใจออกมาจริงๆ “ฝ่าบาท ที่พระองค์ตรัสมา…เป็นเรื่องจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? หลังจากที่เขาออกมาจากเมืองกลอรี กระหม่อมก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย…กระหม่อมนึกว่าเขายังขายอัญมณีเหมือนอย่างก่อนหน้านี้…”


“ตอนนี้วิคเตอร์ก็อยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ถ้าเจ้าอยากจะเจอเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก จะจริงหรือไม่จริงก็ให้ตัวเจ้าเป็นคนพิสูจน์เองดีกว่า แต่ว่า…ต้องรีบหน่อยนะ”


“พ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แบร์ริชคว้าจับล้อรถเอาไว้ การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นว่าเขาคิดตัดสินใจออกมาแล้ว “อย่างนั้นกระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


โรแลนด์พยักหน้า ในขณะที่เตรียมจะเรียกองครักษ์ให้มาพาตัวเขาออกไปนั้น จู่ๆ แบร์ริชพลันพูดออกมาว่า “พระองค์ตรัสว่าเวลาของกระหม่อมเหลือไม่เท่าไรแล้ว อย่างนั้นทรงอนุญาตให้กระหม่อมได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายอยู่บนเกาะลอยฟ้าได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


“….” โรแลนด์หลับตาลง “ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นล่ะก็”


หลังประตูปิด ไนติงเกลจึงเผยกายออกมา ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า”น่าแปลก…”


“ทำไมเหรอ?”


“ปฏิกิริยาของเขาในตอนแรกแปลกนิดหน่อย แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าพูดโกหก เพียงแต่ความรู้สึกที่หม่อมฉันสัมผัสได้จากพลังเวทมนตร์นั้นเลือนลางมาก มันไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมาเลย” ไนติงเกลยักไหล่


“อย่างนี้นี่เอง” โรแลนด์เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่


“พระองค์ทรงรู้เหตุผลหรือเพคะ?”


“อาจจะ” เขาผ่อนน้ำเสียงลง ก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่าง “การมีชีวิตยืนยาวนั้นเต็มไปด้วยความเย้ายวน ถ้าหากสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ไม่เป็นอย่างที่หวัง ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางทำใจยอมรับมันได้ง่ายๆ หรอก”


“แต่ว่านั่นไม่ใช่คำพูดโกหก” ไนติงเกลพูดซ้ำอีกครั้ง


“เพราะเขารู้ว่าไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์นี้ได้” โรแลนด์เหมือนทอดถอนใจ “ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างนั้นก็จำเป็นต้องยอมรับมัน แทนที่จะโกรธแค้นและเป็นศัตรูกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิล สู้แสร้งทำเป็นเปิดกว้างเพื่อสร้างความประทับใจดีกว่า พวกอารมณ์ที่ไม่จำเป็นนั้นมันจะกลายเป็นต้นทุนจม ข้าว่านี่น่าจะเป็นความคิดของเขาแหละ คนที่เข้าใจในจุดนี้นั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่คนที่สามารถทำได้จริงๆ นั้นกลับมีอยู่แค่ไม่กี่คน…นี่ต่างหากนี่เป็นความยอดเยี่ยมของเขา”


เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อค้าเหล่านี้ถึงได้ถูกมองเป็นขุนนางเวลาที่อยู่ในอาณาจักรดอว์น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตรงนี้ของเขาเรียกได้ว่าเหนือว่าขุนนางทั่วไปมาก


“ว่าแต่เจ้านั่นแหละ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็อดมองไม่ทางไนติงเกลไม่ได้ “ตอนนี้ไม่ใช่แค่การแยกแยะคำพูดว่าจริงหรือโกหกเท่านั้น แต่กระทั่งอารมณ์ที่อยู่ข้างในยังรับรู้ได้ด้วย เจ้าใกล้จะวิวัฒนาการแล้วใช่หรือเปล่า?”


“พระองค์คิดว่าหากหม่อมฉันวิวัฒนาการแล้ว หม่อมฉันจะจงใจไม่พูดหรือว่าถ่อมตัวอยู่แบบนี้หรือเปล่าเพคะ?” ไนติงเกลเหลือบตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์


เอ่อ จะว่าไปมันก็ถูก


โรแลน์ปิดปากลงอย่างรู้งาน


ตอนที่ 1448 นกยักษ์สีดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“กริ๊งงงง…”


เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นมา


โรแลนด์ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะหาโทรศัพท์ที่กำลังดังเจอ จากนั้นจึงโน้มตัวไปยกหูขึ้นมา


สัญลักษณ์บนโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่ามันโทรมาจากโรงเรียนอัศวินอากาศ


เมื่อสายโทรศัพท์ที่ลากเข้ามาในห้องทำงานมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงต้องหาโต๊ะเล็กๆ มาตัวหนึ่งเพื่อวางโทรศัพท์พวกนี้โดยเฉพาะ


“งั้นเหรอ? ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”


หลังวางโทรศัพท์ โรแลนด์ก็ยืนขึ้นมาด้วยสีหน้าดีใจ ก่อนจะหยิบเอาเสื้อคลุมที่แขวนอยู่บนเก้าอี้มาคลุมไว้บนตัว


“องค์หญิงทิลลีเสด็จกลับมาแล้วเหรอเพคะ?” ไนติงเกลเลิกคิ้วถาม


“อื้อ เครื่องบินลำใหญ่เตรียมพร้อมแล้ว อีกไม่นานก็พร้อมที่จะทดสอบบินแล้ว”


เครื่องบินลำใหญ่ที่เขาว่าก็คือโปรเจคสำคัญของทางศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิล — เครื่องบินทิ้งระเบิดเครื่องยนต์สี่ตัว หลังรู้ว่ามีโอกาสที่จะมีสนามบินเคลื่อนที่ เขาก็รีบถามทางช่างเทคนิคทันทีว่าสามารถทำการเปลี่ยนเคลื่องยนต์ได้ไหม และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือขอเพียงลดความถ่วงจำเพาะลง มันก็จะไม่ส่งผลใดๆ ต่ออากาศพลศาสตร์ของเครื่องบิน แต่การเปลี่ยนเอาเครื่องยนตร์ของฟินิกส์มาใช้จะทำให้ศักยภาพของเครื่องบินลดลงอย่างมาก อย่างเช่นทำเป็นต้องใช้รันเวย์ที่ยาวขึ้นในตอนที่ขึ้นบิน น้ำมันเติมได้อย่างมากสุดแค่ครึ่งเดียว ระยะในการบินลดลงเหลือแค่หนึ่งในสามจากของเดิม …สรุปแล้วก็คือดัชนีในด้านต่างๆ ของเครื่องบินใหม่ไม่เพียงพอที่จะใช้บินทางไกลอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรกได้


ข้อดีเพียงอย่างเดียวของมันคือมันสามารถใช้งานได้ตอนนี้เลย


เครื่องยนต์ของฟินิกส์สั้นเป็นเครื่องยนต์สูบดาวที่ผ่านการปรับปรุงมาแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่านี้อันนาได้ศึกษามันอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่จะใช้ในเครื่องบินทิ้งระเบิดแล้ว มันถือว่ามีความสมบูรณ์กว่ามาก —- ถึงแม้ศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลจะให้แปลนอย่างละเอียดมาแล้ว แต่เครื่องยนต์ต้นแบบก็ยังต้องทำการทดสอบก่อน ซึ่งนี่ย่อมต้องไปถ่วงแผนการโดยรวมให้ล่าช้าลงอย่างแน่นอน


ความจริงในตอนแรกที่กำหนดแผนการนี้ขึ้นมา เครื่องบินทิ้งระเบิดถูกจัดให้อยู่ใน ‘แผนการหนึ่งปี’ สำหรับเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว นี่คือเป็นแผนการที่บ้าบิ่นอย่างมาก ต่อให้ในระหว่างที่ทำการศึกษาจะไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่มันก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีกว่าออกมาเป็นรูปเป็นร่างตามที่วางแผนเอาไว้


ถ้าไม่เป็นเพราะเดอะแมสก์ทำให้โรแลนด์รู้ว่าพระผู้สร้างมีความสามารถใช้ถล่มพื้นที่อยู่ด้านล่างลงไปพร้อมกับมันด้วยได้แล้วล่ะก็ เวลาหนึ่งปีนี้ก็ไม่ถือว่ายาวนานอะไร แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว — ทันทีที่พระผู้สร้างลอยขึ้นไปแล้ว ต่อให้ทำลายแกนเวทมนตร์จนพังพินาศแล้ว มันก็ยากจะที่กู้คืนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตกลงมาได้


บวกกับตอนนี้มนุษย์มีเกาะลอยฟ้าที่เป็นเหมือนยานแม่ ศักยภาพของเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สูญเสียไปก็จะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรอีก


โรแลนด์สวมเสื้อคลุมพร้อมเดินข้ามสายพะรุงพะรังไปทางประตู “พวกเราเองก็ไปดูกันเถอะ นี่เป็นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์เลยนะ!”


“แคร้ง—“


ในตอนที่เขาเดินผ่านโต๊ะไม้แดง มุมเสื้อของเขาพลันสะบัดไปโดนกาน้ำชาที่วางอยู่ริมโต๊ะ กว่าโรแลนด์จะรู้ตัว กาน้ำชาก็ร่วงตกลงมาจากบนโต๊ะแล้ว


“อ๊าา…” ไนติงเกลเหมือนขยับตัว ร่างกายเธอหายไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายมันก็ยังช้าไป


กาน้ำชาเหมือนถูกอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกระทบเข้า มันหมุนควงอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงตกลงไปบนพื้น เสียงแตกดังขึ้นพร้อมกับตัวกาน้ำชาที่แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำชาร้อนๆ ที่เพิ่งชงเสร็จหกเลอะไปบนพื้น


“การตอบสนองของเจ้าเหมือนจะช้าลงนะ” โรแลนด์พูดหยอก “เมื่อก่อนรับของด้วยมือเปล่าแบบนี้เจ้าไม่เคยพลาดนี่นา เป็นเพราะกินเยอะเลยไปเลยอ้วนหรือเปล่า?”


“….” ไนติงเกลไม่ได้ต่อปากต่อคำ หากแต่มองดูมือของตัวเองอย่างสับสน


“เดี๋ยวให้คนใช้มาเก็บกวาดแล้วกัน พวกเราไปที่โรงเรียนอัศวินอากาศกันก่อนเถอะ ทิลลีรออยู่ที่นั่นแล้ว”


…..


บนลานบินในโรงเรียนอัศวินอากาศ เครื่องบินสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าซีกัลลำหนึ่งค่อยๆ ถูกลากออกมา


นอกจากขนาดที่ใหญ่โตของมันแล้ว ลำตัวที่กว้างและเครื่องยนต์สี่เครื่องที่ติดอยู่ใต้ปีกของมันก็ดูแตกต่างจากเครื่องบินรบลำอื่นๆ อย่างชัดเจน


ถึงแม้เครื่องยนต์สูบดาวที่มีขนาดเล็กจะดูไม่ค่อยเข้ากับตัวเครื่องบินที่เรียวยาว แต่คงไม่มีใครที่จะสังเกตเห็นจุดที่ไม่เข้ากันอันนี้แน่ — เพียงแค่ขนาดที่ใหญ่โตของมันก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของทุกคนเอาไว้แล้ว


เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ภายนอกที่มีความกะทัดรัดของเฮฟเว่นเฟลมแล้ว ลำตัวของมันที่ทาสีดำทั้งหมดทำให้มันดูเหมือนอสูรยักษ์ที่กำลังฟุบหมอบอยู่


กู๊ดเองก็ไม่ต่างจากคนอื่น


นับตั้งแต่เครื่องบินลำนี้ปรากฏตัวขึ้นมา สายตาของเขาก็ไม่สามารถละไปจากมันได้เลย ถ้าไม่เป็นเพราะเขาได้ขับเฮฟเว่นเฟลมด้วยตัวเอง เขาคงยากที่จะเชื่อได้ว่าเครื่องจักรที่หนักอึ้งแบบนี้จะสามารถบินขึ้นไปบนฟ้าได้ แต่ถึงแม้จะรู้เช่นนี้แล้ว ภายในใจกู๊ดก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจและตกตะลึง — แต่ว่าในช่วงเวลาหนึ่งปีที่จากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไป ที่นี่กลับสร้างของที่สุดยอดแบบนี้ขึ้นมา ความสามารถของราชินีนี่จะสุดยอดเกินไปแล้ว


ฟินกิ้นนั้นพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า ‘ใหญ่จัง’ ซ้ำไปซ้ำมา


“หลังจากนั้นนี้ไปคงมีแต่อัศวินอากาศที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะขับเจ้ายักษ์นี่ได้?” ไฮน์อุทานออกมา “ในชั้นของพวกเราก็น่าจะมีแต่กู๊ดเท่านั้นแหละที่มีหวัง”


“มันก็ไม่แน่” คนที่ตอบพวกเขาคือครูฝึกอีเกิลเฟสที่มักจะมีสีหน้าเยือกเย็น “เท่าที่ข้ารู้ว่า คนขับเครื่องบินทิ้งระเบิดจะไม่ได้ถูกคัดเลือกมาจากนักบินแถวหน้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นไม่ยอดเยี่ยม หากแต่เป็นเพราะองค์หญิงทิลลีทรงคิดว่าการรักษาความได้เปรียบบนอากาศเอาไว้ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของอัศวินอากาศ ปกป้องเครื่องบินทิ้งระเบิดให้ดี จัดการศัตรูทุกตัวที่คิดจะมาเข้าใกล้ ถ้าสามารถทำได้ล่ะก็ ต่อให้คนที่ขับเครื่องบินยักษ์นี้จะเป็นมือใหม่ก็ไม่มีปัญหาอะไร”


“ครูฝึก…” ทั้งสามคนยืนตัวตรงขึ้นมาทันที


“ตามสบาย ข้าไม่ได้มาฝึกสอนพวกเจ้า” อีเกิลเฟสกวาดตามองพวกเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ “พวกเจ้าเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอัศวินอากาศ มั่นใจตัวเองหน่อย”


“ขอรับ!” ทั้งสามคนทำวันทยาหัตถ์


“หลังจากนี้ทุกคนก็ต้องเจอกับกองทัพหลักของพวกปีศาจแล้ว พยายามเข้าล่ะ” อีเกิลเฟสเดินเอามือไพล่หลังไปอีกทางหนึ่ง


ฟินกิ้นถอนหายใจออกมา “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าวันนี้ครูฝึก…”


“อ่อนโยนเป็นพิเศษ?” ไฮน์พูดต่อ


“นั่นสิ” กู๊ดยักไหล่ “แต่ว่าถ้าคำนินทาลับหลังพวกนี้ไปเข้าหูเขาล่ะก็ ข้าว่าเขาก็น่าจะสั่งให้พวกเจ้าไปล้างห้องน้ำอาทิตย์นึงอย่างไม่ลังเลนะ”


ทั้งสองคนรีบเปลี่ยนประเด็นทันที


ในเวลานี้เอง ใบพัดของเครื่องบินสีดำก็หมุนขึ้นมาด้วยความเร็วสูง เสียงที่ดังขึ้นมากลบเสียงพูดคุยของคนที่มารอชมอยู่รอบๆ ไปทันที


ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่ในตอนที่กู๊ดได้ยินจังหวะที่คุ้นเคยนี้ เขายังคงรู้สึกหัวใจเต้นแรงอยู่


เขาชอบบินจริงๆ ด้วย…


ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ดังอย่างต่อเนื่อง เครื่องบินทิ้งระเบิดค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ — ในขั้นตอนนี้มันช้ากว่าเฮฟเว่นเฟลมมาก แต่ในตอนที่ใกล้จะถึงสุดทางรันเวย์ มันก็ยังค่อยๆ เชิดหน้าขึ้นไปทีละน้อย


แรงดึงดูดไม่สามารถพันธนาการมันเอาไว้ได้อีกแล้ว


อสูรยักษ์สีดำดูคล้ายว่ากำลังกางปีกอันยืดยาวของมันออก ก่อนจะถลาร่อนลมทะเลที่ชื้นเล็กน้อยขึ้นไปบนท้องฟ้า


หลังบินวนอยู่รอบหนึ่ง เครื่องบินทิ้งระเบิดก็เปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะมุ่งหน้าทางไปเหนือของเนเวอร์วินเทอร์ ส่วนตรงทิศทางนั้น ภูเขาเนินทิศเหนือที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ดูสะดุดตาอย่างมาก


กู๊ดรู้ดีว่าเงื่อนไขสำคัญทั้งหมดที่พวกเขาต้องใช้ในการบุกออกไปโจมตีนั้นถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว


ศึกตัดสินกับปีศาจใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว


ตอนที่ 1449 ไปด้วยกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตกกลางคืน โรแลนด์กลับมายังห้องนอนหลังจัดการงานต่างๆ เสร็จ เขาเห็นอันนากำลังจัดการพับเสื้อผ้า ส่วนข้างๆ เธอก็มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่


“เอ่อ….เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?”


“ดูก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอเพคะ” เธอตบกองเสื้อผ้าที่พับเอาไว้อย่างเรียบร้อยในตู้เสื้อผ้า “เตรียมเดินทางไกลไงเพคะ”


“อย่างนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์คงต้องหยุดงานทุกอย่างแล้ว” โรแลนด์พูดกึ่งล้อเล่น “หัวหน้ากองอุตสาหกรรมจากไปโดยไม่ลาแบบนี้มันจะดีเหรอ?”


“วางพระทัยได้เพคะ นอกจากพวกกังหันไอน้ำหรือการเครื่องยนต์ลูกสูบที่ถูกเพิ่มขีดความสามารถแล้ว ตอนนี้โรงงานสามารถทำการผลิตได้ด้วยตัวเอง อย่างมากก็แค่มีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์เพิ่มขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น แล้วก็ยังมีสมาชิกจากสมาคมของแปลกที่พระองค์ทรงพากลับมาพวกนั้นอีก พรสวรรค์ของพวกเขาล้วนแต่ไม่เลวทีเดียว ให้พวกเขาคอยดูแลการทำงานบางส่วนคงไม่มีปัญหาอะไรเพคะ”


“เดี๋ยว…” โรแลนด์พลันสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ ชุดที่อันนาเลือกออกมาล้วนแต่เป็นชุดที่เรียบง่ายและทนต่อการใช้งาน พวกชุดผ้าไหมหรือกระโปรงที่ใส่ในงานเลี้ยงนั้นไม่มีเลยแม้แต่ชุดเดียว ดูแล้วเหมือนเธอจะไม่ได้ล้อเล่นอย่างไรอย่างนั้น “เจ้าจะไปไหน?”


“เกาะลอยฟ้า กับพระองค์ไงเพคะ” เธอทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่ายังต้องถามอีกเหรอ


“ไม่ได้—“ โรแลนด์รีบปฏิเสธออกมาทันที “การสู้กับกองทัพหลักของปีศาจจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย แถมในบอทธ่อมเลสแลนด์มันมีอะไรอยู่ก็ไม่มีใครรู้ ยิ่งไปกว่านั้นเฮคซอดยังบอกอีกว่าที่นั่นถูกอาณาจักรซีสกายยึดเอาไว้แล้ว ความเสี่ยงครั้งนี้มากแค่ไหน เจ้าก็น่าจะรู้ดีนี่นา—“


“แปะ”


อันนายื่นสองมือออกมา ก่อนจะแปะไปบนหน้าเขาเพื่อบังคับให้ศีรษะที่กำลังส่ายไปมาหยุดส่าย จากนั้นจึงนวดแก้มเขาเบาๆ “หม่อมฉันย่อมต้องรู้สิเพคะ แล้วก็เป็นเพราะรู้ หม่อมฉันถึงได้ทำแบบนี้”


เสียงของเธอไม่ดัง อีกทั้งยังมีความรู้สึกอ่อนโยน แต่แค่มองดูดวงตาเธอก็จะรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะปฏิเสธได้


มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่ภาพในอดีตของอีกฝ่ายตอนที่เจอกันเป็นครั้งแรกลอยขึ้นมา


อันนาในตอนนั้นยังมีความเป็นเด็ก นอกจากพลังแล้วก็ไม่มีอะไรเลย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เรื่องที่เธอตัดสินใจไปแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้


โรแลนด์ทำได้เพียงลองพยายามดูเป็นครั้งสุดท้าย “ตัวเจ้าตอนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เจ้าเป็นราชินี การทิ้งทุกอย่างที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปเสี่ยงภัยที่ไม่จำเป็นมันไม่ใช่วิธีที่มีเหตุผลเลย—“


“ถ้ามีเหตุผลจริงๆ หม่อมฉันก็คงไม่เห็นด้วยที่จะให้พระองค์เสด็จไปที่บอทธ่อมเลสแลนด์ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยหรอกเพคะ” อันนี้กดมือลงไปบนหน้าเขา “สุดท้ายพระองค์จะกลายเป็นอย่างไร จะพ่ายแพ้หรือว่าหายไปก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ พูดอีกอย่างก็คือการบุกโจมตีครั้งนี้อาจจะเป็นการเจอหน้ากันครั้งสุดท้ายแล้ว พระองค์คิดว่าหม่อมฉันยังจะอยู่ในเมืองอีกเหรอเพคะ? ในเมื่อต้องออกไปเสี่ยง เพิ่มหม่อมฉันอีกซักคนจะเป็นไรไปเพคะ?”


“….” โรแลนด์รู้ว่าความพยายามครั้งสุดท้ายของตนนั้นไร้ผลแล้ว เพราะถ้าคิดกลับกัน เขาเองก็คงไม่ยอมอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้แน่ “ถ้าพวกเราไม่ได้กลับมาล่ะก็…”


“อย่างนั้นสถานการณ์มันคงจะแย่จนไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านั้นแล้วล่ะเพคะ” อันนาพูดยิ้มๆ พร้อมคลายมือออก “แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ไม่เสียใจเพคะ”


…..


ไนติงเกลเดินผ่านเส้นบิดเบี้ยวสีขาวดำเหล่านั้นเข้ามาในห้องทำงานที่ไม่มีคนอยู่


ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก คนส่วนใหญ่ต่างเข้านอนกันหมดแล้ว มีแค่ในสวนที่ยังมองเห็นแสงไฟเป็นดวงๆ อยู่


เธอดึงผ้าม่าน จากนั้นเปิดลิ้นชักแล้วหยิบเอาหินเรืองแสงออกมาวางไว้บนแท่นวาง


ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกแสงอันอ่อนโยนส่องสว่าง


เศษกาน้ำชาถูกคนใช้เก็บกวาดไปแล้ว พรมเองก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งเอาไว้ ราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน


ไนติงเกลเดินผ่านโต๊ะโทรศัพท์ ก่อนจะหาเป้าหมายของตัวเองเจออย่างรวดเร็ว — กล่องไม้ใบหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะโดยมีกองเอกสารรกรุงรังปิดเอาไว้


ภายในหมอกมายา เธอไม่จำเป็นต้องใช้แสงไฟมาจำแนกสิ่งของ ในดินแดนที่คาดเดาไม่ได้นั้นเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่มีสีอยู่สามสี ภายในเส้นโครงร่างที่ประกอบด้วยสีดำขาวเทาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนถึงแม้จะไม่มีแสงสว่าง


ยกเว้นก็แต่เพียง


เธอเปิดกล่องออก ด้านในมีกระดาษที่มีลายมือเขียนเอาไว้จนเต็มปึกหนึ่งและก้อนหินเล็กๆ ที่ส่องประกาย


ไนติงเกลหยิบหินก้อนหนึ่งมาไว้ในมือ จากนั้นจึงพยายามหายตัวเข้าไปในหมอกมายา — พลังเวทมนตร์ที่ไหลทะลักออกมาพลันหายไปก่อนที่จะก่อตัวเองรูปร่างเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างมากขวางเอาไว้


“ใช่จริงๆ ด้วย…” เธอถอนใจออกมา ก่อนจะเก็บหินกลับเข้าไปในกล่องอย่างกลุ้มใจ


นี่เป็นรายงานจาก ‘หอนักเวทย์’ มันไม่ใช่ลายมือของอกาธากับเซลีน หากแต่เป็นลายมือของอิสซาเบลลา แต่แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นรายงานที่พวกเธอร่วมกันเขียนขึ้นมา — ภัยคุกคามจากพระผู้สร้างเพิ่งจะถูกกำจัดไปได้ไม่นาน ในเวลานี้หมอกแดงที่อยู่บนที่ราบสูงเฮอร์มีสยังสลายไปไม่หมด แม่มดทาคิลาเองก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจการค้นพบและการทดลองของอิสซาเบลลา ด้วยเหตุนี้ในช่วงนี้อิสซาเบลลาจึงต้องอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก่อน บวกกับเทคโนโลยีที่ได้มาจากพวกปีศาจ ในช่วงนี้พวกเธอจึงค้นพบอะไรใหม่ๆ มากมาย ผ่านไปไม่กี่วันก็จะมีรายงานส่งมาที่ห้องทำงานของโรแลนด์


ปกติโรแลนด์จะอ่านรายงานจนจบภายในวันนั้นเลย แต่วันนี้แตกต่างออกไป เพราะทั้งการแยกตัวออกไปของเนินเขาทิศเหนือและการทดสอบบินของเครื่องบินลำใหญ่ล้วนแต่จัดขึ้นในวันเดียวกัน จนทำให้เขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะเปิดกล่องดู


ตอนแรกไนติงเกลสังเกตเห็นถึงเจ้าสิ่งๆ นี้แล้ว — เพราะภายในโลกแห่งหมอกมายาจะมีเพียงสองสิ่งที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากพลัง หนึ่งคือพลังเวทมนตร์ที่เป็นสีสัน สองคือหลุมดำที่เกิดจากหินอาญาสิทธิ์ จากการค้นพบของพวกอิสซาเบลลาพบว่าเจ้าสองสิ่งนี้มีความไปได้ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน


ด้วยเหตุนี้เธอจึงมองเห็นแสงสีดำนี้ตั้งแต่ตอนนี้โรแลนด์พบกับแบร์ริช โลธา เพียงแต่เมื่อเทียบกับหินอาญาสิทธิ์ตามปกติแล้ว ขอบเขตการแสดงผลของมันถือว่าเล็กกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าผ่านการปรับจากอิสซาเบลลามาแล้ว เนื่องจากเป็นตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับรายงาน เธอจึงไม่ได้สนใจมันนัก


นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่กาน้ำชาตกลงมา เธอถึงไม่ได้ใช้การก้าวพริบตาออกไป — แสงสีดำบดบังกาน้ำชาที่ตกลงมา ในเสี้ยววินาทีที่เข้าไปในหมอกมายา ร่างกายของเธอก็ทำการวิเคราะห์ออกมาแล้วว่าเธอเข้าไปรับไม่ทัน


ถ้าหลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์นี้ก็จะเป็นแค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แต่ไนติงเกลกลับพบว่าในตอนที่ตัวเองไปสัมผัสถูกเส้นโครงสร้างเส้นหนึ่งของโต๊ะ เส้นโครงสร้างเส้นนั้นพลันกระเด็นออกไปข้างหน้า ก่อนจะทะลุแสงสีดำแล้วไปชนถูกกาน้ำชาจนทำให้วิถีการร่วงตกลงมาของมันเปลี่ยนไป


เส้นบิดเบี้ยวต่างๆ ภายในหมอกมายานั้นไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่ตัวเธอเองก็ต้องคอยระวังเส้นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปมาเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นคนที่โดนตัดขาดจะเป็นตัวเธอเสียเอง


เรื่องแบบนี้เธอเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก


เพียงแต่ไนติงเกลไม่แน่ใจว่านั่นมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือว่าตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างจริงๆ


เธอใช้พลังออกมาอีกครั้ง แล้วพยายามไปสัมผัสกับมุมโต๊ะเพื่อจำลองเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ดูเหมือนตัวเองจะคิดมากไปจริงๆ ไนติงเกลเก็บมือกลับมาอย่างเขินๆ อกาธาพูดเอาไว้ไม่มีผิด ไม่ใช่เห็นว่าในสโมสรแม่มดมีคนที่ทำเรื่องนี้ได้อยู่หลายคนแล้วจะคิดว่าการวิวัฒนาการมันเป็นเรื่องง่าย ยังดีที่ตอนนั้นตัวเองไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่อย่างนั้นคงถูกโรแลนด์หัวเราะเยาะแน่


เธอเอาหินเรื่องแสงกลับไปเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วเดินออกจากห้องทำงานด้วยทางเดิม


“แครก…”


ห้องที่เงียบเชียบพลันมีเสียงดังเบาๆ ขึ้นมา


ตรงมุมข้างโต๊ะที่ไม่มีใครมองเห็น รอยแตกรอยหนึ่งปริแตกออกตามลายไม้


ตอนที่ 1450 ศึกในตรอกของทาคิลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลายวันต่อมา


ทางใต้ของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ณ สถานีหมายเลขสิบ


โบแชงหมอบอยู่นอกป้อมปืน สายตามองออกไปยังเมืองโบราณที่อยู่ห่างออกไป เธอเคยอ่านในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์และรู้ว่านั้นคืออดีตเมืองทาคิลาของแม่มดในประวัติศาสตร์ ปีศาจข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อยึดมัน แต่สุดท้ายก็ถูกกองทัพที่หนึ่งโจมตีจนล่าถอยไป


และตอนนี้ พวกเขาก็กำลังชิงทาคิลากลับมาอีกครั้งจากศัตรูหน้าใหม่


หนึ่งนาที….สามสิบวินาที….สิบวินาที


เธอนับเลขอยู่ในใจ อีกด้านหนึ่งก็เอามือปิดหูเอาไว้


“ปังๆๆๆ” ด้านหลังเธอมีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นมา แรงสั่นสะเทือนส่งผ่านจากพื้นผ่านขึ้นมาถึงตัวรถอย่างต่อเนื่อง เธอรู้สึกแขนทั้งสองข้างชาเล็กน้อย นั่นคือปืนใหญ่ป้อม 152 มม. ของกองพลปืนใหญ่ที่กระหน่ำยิงใส่ศัตรู เมื่อเทียบกับปืนใหญ่สนามสั้นๆ ที่อยู่บนรถถังกระบอกนี้แล้ว อานุภาพของมันเรียกได้ว่าอยู่กันคนละชั้น


“หัวหน้า หัวหน้ายังไม่ชินกับปืนใหญ่อีกเหรอ?” เบย์ที่เป็นพลขับรถถังถามหยอกล้อขึ้นมา เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงด้านหน้ารถถัง ในมือถืออาหารกระป๋องอยู่กระป๋องหนึ่ง และนี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่เธอค่อนข้างนับถืออีกฝ่าย ถึงแม้จะอยู่บนสนามรบที่กองไปด้วยซากศพและกลิ่นเหม็นตลบอบอวล แต่เขาก็ยังกินอาหารได้ตามปกติ “แบบนี้ไม่ได้นะ ท่านต้องเรียนรู้ที่จะทำให้หูตัวเองกรองเอาเสียงที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนั้นออกไป ถึงจะสามารถรักษาสมาธิเอาไว้ได้”


“ข้าว่าเจ้าแค่หูไม่ดีมากกว่ามั้ง” โบแชงมองไปทางอื่นด้วยสีหน้าด้วยราบเรียบ ถึงแม้คนขับรถถังและคนยิงปืนใหญ่จะเป็นทหารที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ แต่ตามกฎแล้ว กัปตันบนรถต่างหากที่เป็นหัวหน้าหน่วย ยิ่งไปกว่านั้นถ้านับตามอายุจริงๆ แล้ว ไม่แน่เธออาจจะอายุมากกว่าสองคนนี้อยู่หน่อยด้วย “เสียงเดียวที่ข้าต้องตั้งใจฟังคือเสียงของรูนกรีดร้อง — ไม่ใช่ทั้งเสียงปืนใหญ่ แล้วก็เสียงพูดไร้สาระของเจ้าด้วย เข้าใจไหม?”


“หัวหน้า…ท่านพูดจาใจร้ายจัง” เบย์จุ๊ปาก “ข้านึกว่าแม่มดจะอ่อนโยนน่ารักเสียอีก เหมือนกับคุณหนูนางฟ้านาน่าอย่างนั้นอะ…”


“เมื่อห้าปีก่อนแม่มดยังเป็นเขี้ยวเล็บของปีศาจ เป็นร่างจำแลงของความชั่วร้ายอยู่เลย”


“เอ่อ ท่านทำแบบนี้จะไม่มีคนชอบนะ”


“ใครว่าล่ะ ข้าว่าหัวหน้าเป็นแบบนี้ดีออก” ชูว์ที่เป็นพลยิงปืนใหญ่พูดแทรกขึ้นมา “ตรงไปตรงหน้า ความสามารถก็แข็งแกร่ง ไม่เคยเข้าร่วมกองทัพมาก่อน แต่กลับปรับตัวเข้ากับสนามรบได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นคนที่เหมาะจะเป็นหัวหน้าทีมที่สุดแล้ว”


ทั้งสองคนหันไปมองชูว์


อีกฝ่ายงุนงง “ทำไม ข้าพูดอะไรผิดงั้นเหรอ?”


“เปล่า” โบแชงยักไหล่ “ถึงแม้ตอนที่ฝึกซ้อมจะยิ่งเข้าเป้าเก้านัดจากทั้งหมดสิบนัด แต่เจ้าก็ไม่ถือว่าไร้ประโยชน์เนอะ”


พลยิงปืนใหญ่ทำสีหน้ามีความสุขขึ้นมา


“เอาล่ะๆ เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” เบย์รีบเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ หัวหน้า ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่สถานีหมายเลขเก้า คนที่รอท่านอยู่นอกค่ายเป็นใครเหรอ? เขาเหมือนจะสวมเครื่องแบบของกองทัพด้วย หรือว่าเขาเป็นเพื่อนของท่าน?”


“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”


เบย์พูดอย่างเขินๆ ว่า “ข้าเห็นตรงหน้าอกเขามีตราติดเอาไว้อยู่ ก็เลยอย่างรู้จักหน่อยน่ะ คนที่ได้รับตราล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากแน่”


“จริงอยู่ที่ข้ารู้จัก แต่เขาไม่ได้สุดยอดอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่มีข้าล่ะก็ ป่านนี้เขาคงกลายเป็นอาหารของพวกสัตว์อสูรไปแล้ว” โบแชงแสร้งสีหน้าเหมือนไม่ใส่ใจ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงไม่น้อย


“ว้าว มาตรฐานท่านสูงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย..”


อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ เธอก็เอามือขึ้นมาอุดหูไว้


เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นแก้วหูขึ้นมาอีกครั้ง


เบย์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำหน้าเหยเกขึ้นมาทันที


หลังเสียงปืนใหญ่ครั้งนี้ดังผ่านไป ไฟสัญญาณสีเขียวสามดวงก็ถูกยิงขึ้นมา นั่นคือสัญญาณการบุก


“ดูเหมือนเจ้าก็ไม่ได้มีสมาธิเท่าไรนะ” โบแชงตบแผ่นเหล็กที่อยู่ด้านข้างป้อมปืน “หน่วยรถถังที่ 12 ออกเดินทางได้!”


เบย์ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา หากแต่โยนอาหารกระป๋องในมือทิ้งไปพร้อมกับไถลตัวผ่านหน้าต่างห้องคนขับเข้าไปในตัวรถ ชูวเองก็หดตัวกลับเข้าไปในป้อมปืนใหญ่แคบๆ เหมือนเตรียมพร้อมสู้รบ ไม่ว่าในเวลาปกติจะเป็นอย่างไร แต่พอถึงเวลาสำคัญ ทั้งสองคนก็ไม่ได้เชื่องช้างุ่มง่ามเลยแม้แต่น้อย


โบแชงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา ก่อนจะเป็นเห็นสัตว์อสูรจำนวนมากแห่ออกมาจากซากเมืองทาคิลาแล้ววิ่งหนีไปทางเหนือท่ามกลางการกระหน่ำยิงของปืนใหญ่ และเมื่อหันไปมองด้านหลัง ทหารของกองทัพที่หนึ่งได้แบ่งออกเป็นหน่วยเล็กๆ หลายสิบหน่วยพร้อมกับเดินตามรอยล้อรถถัง


กระบวนทัพนี้เห็นได้ชัดว่าเอาไว้จัดการกับสัตว์อสูรพันธุ์ผสม


ยิ่งลึกเข้าไปในที่ราบลุ่ม จำนวนอสูรมีดที่พวกเขาเจอก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่เจอ 2 – 3 วันตัว ตอนนี้เจอวันละหลายตัว เนื่องจากยากที่จะสังเกตพวกมันได้ด้วยตาเปล่า ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงรับมือได้ยากกว่าสัตว์อสูรทั่วไป กลยุทธ์ของเบื้องบนนั้นใช้ได้ผลทีเดียว ‘รูนกรีดร้องและรูนเสียงสะท้อน’ สามารถค้นหาเป้าหมายนอกระยะยิงของปืนใหญ่ลำกล้องสั้นได้ จากนั้นจึงกำจัดพวกมันทิ้ง แต่ว่าศัตรูเหมือนจะไม่ได้เป็นสัตว์ป่าธรรมดาๆ


พวกมันสามารถหลบอยู่ด้านหลังวัตถุต่างๆ จากนั้นก็พุ่งโจมตีเข้าใส่กองทัพที่หนึ่งอย่างฉับพลัน การโจมตีของปืนใหญ่สามารถทำให้พวกสัตว์อสูรตกใจกลัวจนหนีไปได้ แต่กลับทำให้พวกมันกลัวไม่ได้ ด้วยเหตุนี้้กองทัพที่หนึ่งจึงสูญเสียกำลังไปไม่น้อยกว่าจะยึดเอาป้อมปราการที่ตั้งอยู่ตามรางรถไฟกลับมาได้ หลังจากสูญเสียกำลังไปส่วนหนึ่งแล้ว กองทัพที่หนึ่งก็รีบวางกลยุทธ์โดยให้รถหุ้มเกราะเป็นหัวใจสำคัญขึ้นมาทันที เดิมทีกองพันปืนให้รถถังทำหน้าที่เป็นผู้สอดแนมเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้รถถังในการกวาดล้าง


ซากเมืองทาคิลาที่อยู่ตรงหน้าคือสนามรบนอกป่าที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในตอนนี้


หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หน่วยรถถังที่ 12 ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวหน้าได้ขับเข้าไปในเมืองทาคิลา ทางด้านข้างของโบแชงคือหน่วยรถถังที่ 9 และหน่วยรถถังที่ 17 ตามแผนที่วางเอาไว้ พวกเธอจะรับหน้าที่เก็บกวาดลานที่อยู่ทางตะวันตกของถนนหลัก เพื่อชิงเอาบังเกอร์สองแห่งที่ตั้งอยู่ตรงนี้กลับมา


เมื่อมองดูรอบๆ โบแชงพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา สิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นจากอิฐจำนวนมากทำให้ภายในเมืองดูซับซ้อนอย่างยิ่ง แล้วก็ทำให้ขอบเขตการสอดแนมของรูนกรีดร้องลดลงอย่างมากด้วย ตอนนี้เธอสังเกตเห็นแหล่งพลังเวทมนตร์อยู่หลายที่ แต่กลับยังไม่สามารถระบุตำแหน่งเป้าหมายได้


“ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายึดที่นี่ได้ยังไง?”


“ง่ายมาก แค่ทำลายหอหมอกแดงกับปีศาจโครงกระดูกพวกนั้น ปีศาจก็จะถอยไปเอง” ชูว์ตอบ “ท่านเจอศัตรูแล้วเหรอ?”


“ยังไม่เจอ แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือในเมืองนี้มีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย” โบแชงพูดจบก็หันไปส่งสัญญาณมือให้ทหารที่อยู่ด้านหลัง เพื่อให้พวกเขาขยับเข้ามาใกล้รถถัง ขณะเดียวกันก็ทิ้งระยะห่างออกมาจากหน่วยรถถังอีกสองหน่วย


หลังจากนั้นไม่นาน บังเกอร์ซีเมนท์สีเทาหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงปลายสุดของถนน ถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะถูกบีบให้ทิ้งที่นี่ไป แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกศัตรูทำลาย


ในขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน


โบแชงขมวดคิ้วขึ้นมา นั่นไม่ได้เสียงของอสูรมีด


เธอมองเอมี่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยรถถังที่เก้า อีกฝ่ายส่ายหัวเพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


และในตอนที่ขับผ่านบังเกอร์ เสียงร้องของรูนก็ดังขึ้นมาจนกระทั่งเบย์ก็ยังได้ยิน


เพื่อความปลอดภัย เธอจึงให้หน่วยรถถังอีกสองหน่วยหยุดลงก่อน ส่วนตัวเองตัดสินใจจะเข้าไปสำรวจดูในจัตุรัสก่อน พร้อมทั้งกระตุ้นรูนเสียงสะท้อนที่อยู่ข้างๆ ด้วย ต่อให้เป้าหมายไม่ใช่อสูรมีด เธอก็อยากจะดูหน่อยว่าปฏิกิริยาเวทมนตร์นี้มันมีจากไหน


ไม่นาน แสงสีเขียวสะท้อนแสงก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะชี้ตรงไปยังกลางจัตุรัสที่อยู่ไม่ไกล แต่ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า


หรือเธอจะเจอกับศัตรูชนิดใหม่ที่พรางตัวได้?


ไม่สิ โบแชงสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าก้อนอิฐที่อยู่บนผิวของจัตุรัสเหมือนดูอะไรบางอย่างงัดขึ้นมา บริเวณรอบๆ มีร่องรอยเน่าเปื่อยสีดำ


เจ้านี่มันซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน!


ในขณะที่ความคิดผุดขึ้นมา ดินที่อยู่ด้านล่างก้อนอิฐก็นูนขึ้นมา สัตว์ประหลาดที่บนร่างมีก้อนเนื้อและโครงกระดูกประกอบเข้าด้วยกันปีนออกมาจากใต้ดิน ขณะเดียวกันมันก็คายเอา ‘ร่างโปร่งแสง’ กองหนึ่งออกมา! ถ้าไม่เป็นเพราะบนตัวสิ่งเหล่านั้นมีของเหลวเหนียวๆ ติดอยู่ โบแชงคงไม่มีทางแยกพวกมันออกจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวได้!”


แทบจะในเวลาเดียวกัน รูนกรีดร้องก็ส่งเสียงเตือนดังลั่นขึ้นมา เธอรู้ทันทีว่าเจ้าพวกนี้คืออสูรมีด!


ตอนที่ 1451 ความลับของความแม่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“รีบถอยเร็ว!” โบแชงโน้มตัวตะโกนลงมา “ชูว์ ยิงไปข้างหน้า!”


“รับทราบ กำลังทำการเล็ง”


“ไม่ต้องเล็งแล้ว ยิงไปตรงไหนก็ได้!” เธอรีบหันปืนกลแล้วกราดยิงไปทางสัตว์ประหลาด แม้แต่รูนเสียงสะท้อนก็ไม่ได้ทำการปรับใหม่


ในขณะที่ตัวรถกำลังถอย ปืนใหญ่ 75 มม.ก็พ่นเปลวไฟออกมา


ระยะไม่ถึง 300 เมตรแทบจะถึงในพริบตา ในเวลาเดียวกับที่ชูว์ยิงปืนออกมา ด้านหน้าสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อก็มีเสาควันพุ่งขึ้นมา


นี่ดูแล้วเหมือนเป็นการยิงใส่ความว่างเปล่า แต่ท่ามกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายขึ้นมา ทั้งสามคนต่างมองเห็นเศษแขนขาที่ขาดกระเด็นตกลงมาจากบนท้องฟ้า ถึงแม้ปืนใหญ่สนามบนรถถังกระบอกนี้จะมีลำกล้องที่เล็กแค่ไหน แต่มันก็ยังเป็นปืนใหญ่อยู่ดี มันไม่สามารถเอาไปเทียบกับปืนกลได้ เศษฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาทำให้โครงร่างของอสูรมีดปรากฏขึ้นมาให้เห็นชั่วขณะหนึ่ง โบแชงลองนับดูคร่าวๆ อย่างนั้นมันก็มีอยู่สิบกว่าตัว


“เจ้าสัตว์ประหลาดนี่…มันพาอสูรมีดมาด้วยเหรอ?” เบย์รู้ตัวทันที


“ใช่ มันน่าจะเป็น ‘รังแม่’ ของอาณาจักรซีสกายที่อยู่ในคู่มือนั่นแหละ” โบแชงพูดเสียงเบาๆ แต่เมื่อเทียบกับรูปภาพในคู่มือแล้ว ร่างกายของเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ดูเหมือนจะแตกต่างออกไปหน่อย


….


เมื่อถอยมาถึงหัวมุมถนน หน่วยรถถังอีกสองหน่วยก็สังเกตเห็นพวกเขาที่ถอยออกมาอย่างทุลักทุเล โบแชงยังไม่ทันพูดอะไรออกมา เอมี่ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “หน่วยรถถังอีกหน่วยอยู่ห่างจากพวกเราไปทางตะวันตกไม่ถึงสองช่วงถนน แค่ 5 นาทีก็ไปรวมกับพวกเขาได้แล้ว!”


“ไม่ อย่าไป ไม่ทันแล้ว!” โบแชงพูดเสียงแหบแห้ง “ให้ทหารเข้าไปในบังเกอร์!”


“สู้ตรงนี้เหรอ? แต่ศัตรูไม่ได้มีแค่ตัวเดียวนะ!” ฮีโร่ที่เป็นกัปตันของหน่วยรถถังที่ 17 พูดด้วยสีหน้าตกใจ


“ก็เพราะว่าไม่ใช่แค่ตัวเดียวนี่แหละ พวกเราถึงถอยไม่ได้!” ถึงแม้สถานการณ์จะคับขันอย่างมาก แต่ภายในหัวโบแชงกลับยังคงชัดเจน อาศัยรถถังเพียงสามคันนั้นไม่สามารถหยุดอสูรมีดสิบกว่าตัวได้แน่ ทันทีที่ให้พวกมันโจมตีเข้าใส่กลุ่มทหารที่อยู่ด้านหลัง นั่นจะต้องเป็นความเสียหายที่ไม่มีทางแก้ไขได้ แต่พวกเธอนั้นไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับที่อิสซาเบลล่าว่าเอาไว้ อาวุธที่หุ้มเกราะพวกนี้มีความสามารถทั้งโจมตีและป้องกัน ต่อให้ถูกศัตรูล้อมเอาไว้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้


“ฮีโร่ วานเจ้าไปปิดตายปากทางหน่อยได้ไหม แบบนี้พวกเราจะได้สู้ได้ง่ายขึ้น!”


อีกฝ่านหันหน้ากลับไปมองประตูเหล็กของบังเกอร์ที่ขึ้นสนิมและบิดเบี้ยว ก่อนจะเข้าใจแผนการของเธอทันที


“ข้าเข้าใจแล้ว”


“เอมี่ หลังจากนี้เจ้าตามข้ามา!”


“เอ่อ…ดะ ได้” ถึงแม้โบแชงจะไม่ใช่ผู้บัญชาการ แต่เอมี่กลับพยักหน้าตอบรับทันที


“หัวหน้า ท่านนี่…เท่จริงๆ เลย!” ชูว์พูดชื่นชม


“เอาไว้ให้ทุกคนรอดกลับไปก่อนค่อยมาเลียแข้งเลียขาแล้วกัน” โบแชงแสยะยิ้มมุมปาก


เธอรู้ว่าการคิดแบบนี้ไม่ดี แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ เธอไม่ได้เกลียดดัสก์ แต่ช่วงเวลาตอนที่ทำงานอยู่กับดัสก์มันช่างน่าเบื่อสำหรับเธอเสียจริงๆ เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้ ตอนที่ถูกศาสนจักรไล่ล่า เดิมเธอคิดว่าชีวิตที่สงบสุขนั้นคือเป้าหมายที่เธอไล่ตามมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะเหมาะกับสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนมากกว่า


บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ตัวเธอตื่นรู้ขึ้นมาเป็นแม่มดสายต่อสู้ล่ะมั้ง?


หลังจากที่ทหารทั้งหมดเข้าไปในบังเกอร์แล้ว หน่วยรถถังที่ 17 ก็เร่งความเร็วพุ่งชนประตูด้วยความเร็วสูงสุด—


เสียงชนดังสนั่นขึ้นมา ตัวรถถังเข้าไปฝังอยู่ในกำแพงกลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง


แบบนี้นักฆ่าล่องหนของอาณาจักรซีสกายก็ไม่สามารถข้ามแนวป้องกันเหล็กกล้าเข้ามาโจมตีทหารที่อ่อนแอได้


ส่วนอสูรมีดในเวลานี้ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหัวมุมถนนแล้ว — ถึงแม้โบแชงจะไม่สามารถมองเห็นพวกมันตรงๆ ได้ แต่เส้นพลังเวทมนตร์จากรูนเสียงสะท้อนก็แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของพวกมันอย่างชัดเจน


“เร่งความเร็วเต็มที่ ไม่ต้องหยุด!”


เธอตะโกนเสียงดัง จากนั้นจึงมุดเข้าในในป้อมปืนใหญ่แล้วปิดฝาด้านบน


เครื่องจักรสงครามนี้ไม่ได้มีแค่ปืนใหญ่กับปืนกลที่สามารถใช้สังหารศัตรูได้เท่านั้น ขอเพียงมันวิ่งด้วยความเร็วระดับหนึ่ง ตัวมันก็สามารถสังหารศัตรูได้เช่นกัน!


ในขณะเดียวกับที่เบย์เหยียบคันเร่งเต็มที่ โบแชงมองผ่านกระจกรถออกไปด้านนอก เธอมองเห็นเส้นพลังเวทมนตร์เส้นหนึ่งจู่ๆ ก็ลอยขึ้นไป!


เดี๋ยวๆ เจ้าสัตว์ประหลาดนี่มันบินได้ด้วยเหรอ?


ไม่สิ เธอรู้ตัวอย่างรวดเร็ว มันกระโดดโจมตีมาจากระยะไกลต่างหาก! เธอกำที่จับเอาไว้แน่น ร่างหายหดเกร็ง หลังจากนี้จะเป็นหรือตายก็ต้องมาดูฝีมือการสร้างของช่างจากเนเวอร์วินเทอร์แล้วว่าดีแค่ไหน


“ปัง!”


ศัตรูกระแทกลงบนหลังคารถอย่างแรง แรงปะทะอย่างรุนแรงทำให้เพดานด้านบนเป็นรอยบุบเล็กๆ เสียงที่ดังสะท้อนไปมาทำเอาหูของทั้งสามคนชา — แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ตัวรถก็เพียงแค่สั่นขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่นิดเดียว


ภายในใจโบแชงมีแผนขึ้นมาทันที


“เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเล็งเอง” เธอขยับปืนใหญ่พร้อมกับออกคำสั่ง “เจ้าแค่คอยเหนี่ยวไกก็พอ”


“แล้วข้าล่ะ?” เบย์ถาม


“เป้าหมายคือเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น ขอเพียงไม่ชนกำแพง เจ้าจะขับยังไงก็ได้!”


โบแชงไม่ได้สนใจศัตรูที่บินเข้ามาเลย เธอรู้ว่าพวกเพื่อนของตัวเองจะกำจัดพวกมันให้ ถ้าเจ้าสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อนั่นคือรังแม่จริงๆ เช่นนั้นเธอก็ต้องรีบกำจัดมันก่อน ไม่อย่างนั้นอสูรมีดที่อยู่บนที่ราบลุ่มจะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ


ท่ามกลางเสียงร้องของลูกบาศก์เวทมนตร์ รถถังพุ่งฝ่าควันสีขาวเข้าไปหาฝูงอสูรมีด — ปืนกลร่วมแกนพ่นกระสุนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนอสูรมีดก็ไม่ได้มีพลังบาเรียเหมือนอย่างปีศาจระดับสูง กระสุนทุกนัดล้วนแต่สร้างความเสียหายให้พวกมันอย่างหนัก ถ้าหากยิงถูกจุดสำคัญ พวกมันก็จะล้มลงไปนอนกับพื้นทันที ถึงแม้จะยังไม่ตาย แต่สิ่งที่รอคอยพวกมันอยู่ก็คือล้อตีนตะขาบของรถถัง


มีแต่ตอนนี้กรงเล็บที่เหมือนเคียวของพวกมันเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา อสูรมีดถึงจะสามารถเจาะทะลุแผ่นเหล็กของรถถังได้ แค่นี่ก็จะทำให้มันเปิดเผยตัวออกมาในระยะยิงของปืนกล — กระสุนส่วนใหญ่ของหน่วยรถถังที่ 9 นั้นจะต้องอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาตรงหน้ารถ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะยิ่งไปถูกพวกเดียวกันเอง เอมี่จึงให้โบแชงที่นำอยู่ข้างหน้าเป็นเป้าในการยิงเทียบ


ไม่นาน รถถังทั้งสองคนก็วิ่งฝ่าฝูงศัตรูออกมา ด้านหลังรอยล้อตีนตะขาบทั้งสี่คือซากศพเละๆ ที่กองอยู่เต็มพื้น ในตอนที่ร่างกายหยุดทำงาน ความสามารถในการพรางตัวที่ทำให้สับสนก็ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป จุดอ่อนที่การป้องกันที่ต่ำต้อยของอสูรมีดได้เปิดเผยออกมาจนหมดในเวลานี้


รถถังของโบแชงเองก็เสียหายอย่างหนักเหมือนกัน ปืนกลที่อยู่ด้านบนของป้อมปืนหายไปแล้ว ตัวรถที่ใหญ่โตก็ถูกโจมตีจนเป็นรูโหว่หลายแห่ง เลือดสีดำไหลเข้ามาในตัวรถ การโจมตีของศัตรูครั้งหนึ่งเฉียดเธอไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร เธอแทบจะรู้สึกได้ถึงพลังเวทมนตร์ที่ร้อนแรงจากปลายเคียวของมัน


แต่จุดที่แต่งต่างกันมากที่สุดระหว่างอาวุธและร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ที่ถึงแม้จะเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหาย แต่ความสามารถของรถถังยังคงไม่ลดลง มันยังคงพุ่งเข้าไปยังจัตุรัสได้ด้วยความเร็วเต็มกำลัง เครื่องในของศัตรูที่ถูกเหยียบจนเละกลายเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นที่เข้าไปตามฟันเฟือง


รังแม่เหมือนจะรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล มันเริ่มหมุนตัวหนีกลับไปทางด้านหลัง เพียงแต่ร่างกายที่ใหญ่โตของมันทำให้มันเคลื่อนไหวได้งุ่มง่ามอย่างมาก


ที่นี่ไม่ใช่ทะเลน้ำวน


“ปัจจัยสำคัญของการยิงให้แม่นยำคืออะไร?” โบแชงถาม


“อยู่ใกล้มากพอ” ชูว์ตอบอย่างจริงจัง


“อย่างนั้นครั้งนี้เจ้าก็อย่ายิงพลาดล่ะ” เบย์ตะโกนพร้อมกับควบคุมรถถังให้พุ่งเข้าไปหาเป้าหมายหมาย กันชนหน้ารถเสียบเข้าไปในโครงกระดูกของศัตรู


เจ้าสัตว์ประหลาดร้องโหยหวนขึ้นมาทันที


เมื่อมองจากตำแหน่งของมือยิงปืนใหญ่แล้ว ตอนนี้ภาพเบื้องหน้าทั้งหมดคือเป้าหมาย


ชูว์เหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล


กระสุนปืนใหญ่ 75 มม.พุ่งออกจากปากกระบอกปืนแล้วทะลวงเข้าไปในส่วนเอวของมัน ก่อนจะทะลุทะลวงทั้งร่างกายของมันแล้วไประเบิดออกตรงส่วนหัว!


ตอนที่ 1452 อาณาจักรซีสกายที่เปลี่ยนไปจากเดิม

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้น 15 นาที หน่วยรถถังอีกหน่วยก็มาถึงพื้นที่สู้รบของหน่วยรถถังที่ 12 และหน่วยรถถังที่ 9


“เอมี่ โบแชง พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” อีฟฟี่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยตะโกนมาแต่ไกล


โบแชงโบกมือเพื่อบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร ส่วนเอมี่ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้ามานี่ได้ยังไงเนี่ย? พวกข้าจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ไปได้ตัวนึง!”


“ก็เพราะได้ยินเสียงปืนใหญ่จากทางนี้น่ะสิ” เมื่อเห็นพวกเธอไม่เป็นไร อีฟฟี่จึงรู้สึกโล่งใจ เธอกระโดดลงมาจากรถถังแล้วรีบเดินมาที่หน้าซากสัตว์ประหลาดที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ทลวงร่าง ก่อนจะถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจว่า “นี่มันตัวอะไรเนี่ย?”


“น่าจะเป็นรังแม่ แต่บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โบแชงพูดงึมงำ


การยิงนัดก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าปลิดชีพศัตรูได้อย่างเด็ดขาด ไม่เพียงแต่จะทำลายเครื่องในของมันจนแหลกละเอียดเท่านั้น แต่ยังฉีกหัวของมันจนกระเด็นหลุดออกไปด้วย แต่แน่นอนว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี่มีหัวหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ — อันที่จริงตามหลักแล้ว ปกติคงไม่มีสิ่งมีชีวิตที่จะวิ่งหนีถอยหลังแน่


ตอนที่มันตาย พลังเวทมนตร์ก็หายไปด้วย ร่างกายของมันผุพังลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายสภาพเป็นเศษเนื้ออย่างในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังตั้งอยู่ก็คือกระดูกซี่โครงสองแถวที่โดยยิงจนแตกหัก


“เจ้าแน่ใจนะว่านี่คือรังแม่?” อีฟฟี่หยิบเอาคู่มือออกมา ก่อนจะเอาไปเทียบกับซากศพพร้อมขมวดคิ้วขึ้นมา “โครงกระดูกดูคล้ายอยู่ แต่ขนาดเล็กกว่า หนวดก็น้อยกว่า…เออใช่ แล้วพวกเจ้าเป็นตาที่อยู่ในร่างกายของมันหรือเปล่า?”


ดวงตาประกอบขนาดใหญ่คือหนึ่งในลักษณะพิเศษที่เด่นชัดของรังแม่ ตามที่คู่มือระบุไว้ มันมีขนาดใหญ่เท่าๆ กับเครื่องในของรังแม่และตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของร่างดาย แทบจะไม่มีทางมองข้ามมันไปได้


โบแชงส่ายหัว “ที่ข้าเดาว่ามันเป็นรังแม่ก็เพราะว่ามันพาอสูรมีดจำนวนมากมาด้วย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ข้าเองก็งงเหมือนกับเจ้านี่แหละ แต่ว่า…” เธอชะงักไปเล็กน้อย “อย่าว่าแต่รังแม่เลย สัตว์ประหลาดที่นี่ไม่มีตัวไหนที่เหมือนกับในคู่มือเลย ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูอสูรมีดที่นอนตายพวกนั้นสิ..”


ในเวลานี้อีฟฟี่ถึงได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอสูรมีดที่นอนตายอยู่หน้ารังแม่ “นี่มัน….ปีกเหรอ?”


“ถูกต้อง” โบแชงตอบ “ดูเบาบางเหมือนกับปีกจักจั่น แต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่ามาก ด้วยปีกพวกนี้ พวกมันสามารถกระโดดพุ่งโจมตีมาจากระยะไกลได้ นี่ไม่เหมือนกับอสูรมีดที่เคยเจอก่อนหน้านี้เลย”


“ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเบื้องบนถึงต้องให้พวกเราเก็บร่างตัวอย่างของอาณาจักรซีสกายกลับไปแบบสมบูรณ์ด้วย” อีฟฟี่พูดเสียงเบาๆ ก่อนจะพูดถอนใจออกมาว่า “ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของพวกมันน่าตกใจอย่างมาก”


“นั่นเป็นปัญหาที่เบื้องบนต้องครุ่นคิด” โบแชงกระโดดขึ้นรถถัง ก่อนจะส่งสัญญาณมือไปทางอีฟฟี่เพื่อบอกให้ออกเดินทาง “ส่วนพวกเราแค่จัดการพวกมันไปทีละๆ ตัวก็พอ


…..


ไม่นานรายงานที่กองทัพที่หนึ่งสามารถยึดทาคิลาคืนมาได้ก็ถูกส่งมายังห้องทำงานของโรแลนด์


ใน ‘สงครามกลางเมือง’ ครั้งนี้ สัตว์อสูรไม่ใช่คู่ต่อสู้หลักอีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่อาณาจักรซีสกายปรากฏตัวออกมาเป็นฝูง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นอสูรมีดที่มีความน่ากลัวอย่างมากด้วย


แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่อสูรมีดแค่ 1 – 2 ตัวก็สามารถเล่นงานแนวป้องกันของกองทัพจนย่อยยับได้แล้ว ผลลัพธ์จากการต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


หน่วยรบหุ้มเกราะที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ได้แสดงศักยภาพออกมาในศึกครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถระบุตำแหน่งของศัตรูได้ แต่ยังสังหารศัตรูได้เป็นจำนวนากด้วย สุดท้ายกองทัพที่หนึ่งก็สามารถกำจัดศัตรูได้จนหมดโดยเสียหายไปเพียงเล็กน้อยและกลับมาตั้งฐานที่มั่นบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้อีกครั้ง นอกจากนี้ผลงานที่หน่วยที่ 12 และ 9 สามารถกับกำจัดรังแม่ได้ตัวหนึ่งและอสูรมีดอีกสิบกว่านั้นโดยที่ไม่มีทหารในหน่วยบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยก็ได้เปลี่ยนมุมของของกองทัพไปอย่างสิ้นเชิง ภายในรายงานนอกจากจะบรรยายเรื่องการรบเอาไว้แล้ว ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นการขอให้ทำการผลิตรถถังให้มากขึ้น หากจำนวนแม่มดมีไม่พอ ก็ให้นายทหารธรรมดาเป็นหัวหน้าหน่วยก็ได้


พวกเขาได้ลิ้มรสความหอมหวานของอาวุธหนักที่สามารถโจมตีและป้องกันชนิดนี้เข้าแล้ว


โรแลนด์ไม่รู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา — ฉายาราชาแห่งการรบภาคพื้นดินได้มาจากสงครามในระดับสงครามโลกถึงสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน รถถังก็ล้วนแต่ผ่านการทดสอบมาแล้วเป็นระยะเวลานาน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่คัดเลือกทหารจากในกองทัพมาส่วนหนึ่งให้มาทำฝึกเทคนิคการขับขี่ตั้งแต่ตอนที่รถแทรกเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรกหรอก


เมื่อเทียบกับอาวุธที่มีความสมบูรณ์นี้แล้ว สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือซากศพสัตว์ประหลาดที่ถูกรถไฟขนกลับมา


เมื่อถึงตอนบ่าย อกาธาก็โทรมาจากหอนักเวทมนตร์บอกว่าได้ข้อสรุปเบื้องต้นจากการผ่าศพแล้ว


….


เมื่อเดินเข้าใกล้ชั้นล่างสุดของหอนักเวทมนตร์ โรแลนด์ก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นๆ ปะทะเข้ามาที่หน้าทันที


ภายใต้ห้องใต้ดินขนาดใหญ่มีน้ำแข็งวางอยู่กองหนึ่ง คนที่ไม่รู้อาจจะนึกว่าที่นี่คือโรงเก็บน้ำแข็ง แต่เขารู้ดีว่าในน้ำแข็งเหล่านี้มีร่างตัวอย่างของอาณาจักรซีสกายที่ถูกส่งกลับมาจากแนวหน้าแช่เอาไว้อยู่ เพื่อที่จะให้สโมสรแม่มดได้ใช้ในการทำวิจัย


ตรงกลางห้องคือพื้นที่ในการผ่าศพ อกาธาถอดถึงมือออก ก่อนจะหันมาทำความเคารพเขาตามแบบฉบับทาคิลา


“เจ้าดูเหมือนจะมีความสุขนะ” โรแลนด์พูดพร้อมกระชับคอเสื้อ


“เพราะว่าได้กลับไปทำงานเดิมน่ะสิเพคะ” อกาธายิ้มๆ “ทูลตามตรงเพคะ การอยู่ในห้องทดลองเย็นๆ แบบนี้เหมาะกับหม่อมฉันมากกว่า พวกเรื่องที่เป็นตัวแทนทาคิลาออกเดินทางหรือเข้าร่วมประชุมอะไรพวกนั้นไม่ใช่เรื่องที่หม่อมฉันถนัดเลย”


เมื่อพูดถึงตัวแทนของแม่มดโบราณแล้ว พาซาร์มีความเหมาะสมที่สุด แต่เสียดายที่ร่างเปลือกนั้นไม่สะดวกในการเคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้อกาธาจึงกลายเป็นตัวเลือกที่สองไปโดยปริยาย


เมื่อเห็นสีหน้าของโรแลนด์ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา แม่มดน้ำแข็งจึงโบกมือแล้วพูดว่า “วางพระทัยได้เพคะ ฝ่าบาท สงครามแห่งโชคชะตานั้นสำคัญเป็นอันดับแรก เรื่องนี้หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ”


เขาพยักหน้า ก่อนจะพูดเข้าประเด็น “อย่างนั้นเจ้าค้นพบอะไรบ้าง?”


“ฝ่าบาท เชิญทอดพระเนตรทางนี้เพคะ” มีดน้ำแข็งเล่มหนึ่งงอกออกมาจากปลายนิ้วของอกธา ก่อนจะแทงเข้าในไปอวัยวะขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่บนแท่นผ่าพิสูจน์ “หม่อมฉันเอาเจ้าสิ่งนี้ออกมาจากตัวของรังแม่ตัวใหม่เพคะ ข้างในของมัน หม่อมฉันพบร่องรอยการเสื่อมถอยที่ชัดเจน แต่หม่อมฉันกลับไม่พบปัญหาเดียวกันนี้ในตัวอสูรมีดเลยเพคะ”


“การเสื่อมถอย?” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาสังเกตเห็นว่าตรงตำแหน่งที่มีดน้ำแข็งชี้มีรอยดำและรอยเหี่ยวย่นขนาดใหญ่


“ใช่เพคะ พลังเวทมนตร์นั้นสามารถทำให้ร่างกายของผู้ที่มีเวทมนตร์แข็งแกร่งขึ้นได้ ในจุดนี้จะเห็นได้จากตัวแม่มดและปีศาจ ซึ่งพวกอาณาจักรซีสกายก็น่าจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน และลักษณะเด่นที่ชัดเจนที่สุดของการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งก็คืออายุขัยที่ยืดยาวขึ้น” อกาธาอธิบายอย่างละเอียดว่า “หม่อมฉันเคยอ่านข้อมูลที่ปีศาจให้มา ในนั้นไม่ได้ระบุเอาไว้เลยว่ารังแม่จะมีอายุได้ยาวเท่าไร แต่มันกลับบอกว่าอสูรมีดกับอสูรขานั้นมีอายุที่ไม่ยืนยาว ถึงแม้จะตายไป รังแม่ก็สามารถฟักอสูรตัวใหม่ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว”


“เจ้าหมายความว่า…สถานการณ์ในตอนนี้มันกลับกันอย่างนั้นเหรอ?” ไนติงเกลถามขึ้นมา “เป็นไปได้ไหมว่าเดิมทีรังแม่ตัวนี้มันก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว?”


“ถ้ามีแค่ตัวเดียวมันก็อาจจะวิเคราะห์ได้ลำบากอยู่ แต่ในร่างตัวอย่างสี่ตัวที่แนวหน้าส่งกลับมา ข้าล้วนแต่เจอสภาพแบบเดียวกันนี้ นี่มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือเปล่า” อกาธาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็เคยสู้กับรังแม่มาก่อน เจ้าน่าจะรู้นี่นาว่าพวกมันตัวใหญ่ขนาดไหน เมื่อเทียบขนาดกันแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดที่สูงไม่ถึงสิบเมตรพวกนี้ดูไม่เหมือนพวกที่มีอายุขัยยืนยาวเลย”


“เหมือนจะมีเหตุผล”


“ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นปีกที่ใช้โผบินเข้ามา หรือว่ากรงเล็บที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ล้วนแต่แตกต่างไปจากสภาพของพวกมันในอดีต” เธอหันหน้ามามองโรแลนด์ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่คิดว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้มันจะสามารถว่ายอยู่ในทะเลได้เหมือนอย่างในอดีตเพคะ”


“ดังนั้นข้อสรุปของเจ้าคือ?” โรแลนด์ถามด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง


“หม่อมฉันเกรงว่ารังแม่คงกำลังถ่ายพลังเวทมนตร์ของตัวเองเข้าไปในร่างกายของทาส เพื่อที่จะได้สร้างกำลังพลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมขึ้นมา” อกาธาพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า “เพียงแต่ทิศทางการวิวัฒนาการของพวกมันนั้นออกห่างจากทะเล เรียกได้ว่าพวกมันยอมเสียสละอนาคตของเผ่าพันธุ์เพคะ”


โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “แต่พวกเรากลับมีปัญหาเข้าแล้ว”


ตอนที่ 1453 เงาของเมืองหิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนที่รามลุ่มบริบูรณ์


นับตั้งแต่ที่ออกเดินทางมาจากเนเวอร์วินเทอร์ ไลต์นิ่งกับเมซี่ก็บินต่อเนื่องมาเกือบสิบวันแล้ว


พวกเธอบินลาดตระเวนอยู่บนที่ราบลุ่มด้วยความด้วย 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนี่เป็นอัตราความเร็วที่ประหยัดพลังเวทมนตร์มากที่สุด พลังเวทมนตร์ที่ฟื้นฟูขึ้นมาในเวลากลางคืนสามารถใช้ได้ทั้งวัน มีแต่ตอนที่ต้องตั้งเต็นท์หรือว่าล่าเหยื่อเท่านั้น ทั้งสองคนถึงจะลงมาบนพื้นดิน


ตอนนี้ทีมนักสำรวจได้เข้าไปในพื้นที่ที่ในอดีตไม่เคยย่างเท้าเข้ามาก่อน ถึงแม้ในมือจะมีแผนที่ในยุคสมัยสมาพันธ์อยู่ แต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาหลายร้อยปีก็ทำให้ถนนหนทางรกร้าง แม่น้ำเหือดแห้ง เมืองจำนวนมากต่างถูกต้นหญ้าและพุ่มไม้กลืนกินจนไม่สามารถใช้เป็นตัวบอกทางได้อีก สิ่งที่สามารถใช้เป็นตัวบอกทางให้พวกเธอได้มีเพียงดวงดาวบนท้องฟ้าและสันหลังของทวีปขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลๆ


ในระยะนี้ รูนสดับนั้นไม่สามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับทางเนเวอร์วินเทอร์ได้อีก พื้นดินอันกว้างใหญ่เหมือนเหลือเพียงแค่หนึ่งคนกับหนึ่งนก ความรู้สึกเล็กน้อยและอ้างว้างโดดเดียวเป็นอุปสรรคสำคัญของการผจญภัย ถ้าหากไม่มีเพื่อนอยู่ข้างกาย ไลต์นิ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถบินไปแบบนี้ด้วยตัวคนเดียวได้หรือเปล่า


เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเธอมีความแน่ชัดอย่างมาก นั่นคือระบุตำแหน่งของพระผู้สร้างแห่งใหม่ของปีศาจ ขณะเดียวกันก็ทำการ ‘เปิดพื้นที่’ ดินแดนรกร้างที่อยู่นอกทาคิลา


ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่การจะหาแผ่นดินลอยฟ้าบนดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพื่อที่จะประหยัดแหล่งแร่อาญาสิทธิ์ เมืองจักรพรรดิของศัตรูจะต้องบินไม่สูงแน่นอน เผลอๆ อาจจะบินต่ำจนเลียดพื้นด้วยซ้ำ เมื่อมองจากไกลๆ พระผู้สร้างก็ไม่ได้ต่างอะไรจากภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ต้องบินเข้าไปอยู่ในระยะ 100 กิโลเมตรถึงจะสามารถระบุเป้าหมายได้จากหมอกแดงได้ แถมนี่ยังต้องอยู่ในสถานการณ์ที่อากาศค่อนข้างดีอีกด้วย


ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้บินเฉียดเข้าไปใกล้พระผู้สร้าง ไลต์นิ่งจึงเลือกเส้นทางบินซิกแซก และขอบของเส้นทางซิกแซกก็คือสันหลังของทวีป


“โครกกก…”


ทันใดนั้นเอง ในท้องของนกเหยี่ยวที่อยู่บนหัวก็ส่งเสียงร้องออกมา


“เจ้าหิวอีกแล้วเหรอ?” ไลต์นิ่งเงยหน้าขึ้นถาม


“จิ๊บ” เมซี่พยักหน้า


“เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าไม่ได้ขยับไปไหนเลย ทำไมถึงหิวเร็วกว่าข้าได้?”


“เพราะว่าข้าจ้องไปที่พื้นที่ตลอดนะสิ!” เมซี่โน้มตัวลงมาเอาหน้าถูๆ ไปกับแก้มของเมซี่ “ดวงตากับสมองมันเชื่อมต่อกันอยู่ แล้วในหนังสือก็บอกว่าคนที่ใช้สมองนั้นคือคนที่เหนื่อยที่สุดจิ๊บ!”


เดี๋ยวๆ ในหนังสือเรียน ‘วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ’ ไม่ได้เขียนเอาไว้แบบนี้นะ….ในนั้นบอกว่าต่อให้เป็นตอนที่ไม่ได้ขยับ แต่สมองก็ยังเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานเยอะที่สุด นี่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ขยับจะไม่ต้องใช้สมองนะ


เพียงแต่ความรู้สึกจักจี้ตรงแก้มทำเอาเมซี่ไม่สามารถบินต่อไปได้ เธอได้แต่ต้องลดความเร็วลงแล้วร่อนลงไปที่พื้น เมื่อดูจากท้องฟ้าแล้ว พวกเธอบินต่อได้อีกอย่างมากก็ครึ่งชั่วโมง ถ้าพักก่อนตอนนี้เลยก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อแห้งที่อยู่ในกระเป๋าก็เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ใช้เวลาตรงนี้มาหาอาหารเพิ่มก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน


แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่สามารถปฏิเสธเมซี่ที่ใช้สารพัดวิธีในการออดอ้อนได้


“อย่างนั้นก็เหมือนเดิม เจ้าไปล่ามา ข้าจะก่อไฟ ถ้าเจออะไรให้ติดต่อผ่านรูนสดับทันที เข้าใจไหม?”


“รับทราบจิ๊บ!”


พอพูดจบเมซี่ก็แปลงกายกลายเป็นอสูรสยองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า


ไลต์นิ่งมองหาจุดตั้งที่พักอย่างเหนื่อยใจพร้อมกับเริ่มเตรียมตัวสำหรับอาหารเย็น ด้วยการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยีของโรแลนด์ พวกของใช้ที่จำเป็นสำหรับการออกมาสำรวจ อย่างเช่น หินจุดไฟ เชื้อเพลิงและคบเพลิงล้วนแต่ถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด อย่างเช่นไม้ขีดกันน้ำกันลมที่มีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ ไฟฉายที่ใช้แบตเตอรี่แห้งแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และมีดพับเอนกประสงค์ที่มีเครื่องมือหลายอย่างจนทำให้นักสำรวจทุกคนต่างชื่นชอบมันอย่างมาก…


ของเหล่านี้ล้วนแต่สามารถพกพาไว้ในกระเป๋าเสื้อได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงเอาพื้นที่ว่างที่เหลือกว่าครึ่งในกระเป๋าสะพายมาใส่เครื่องเทศชนิดต่างๆ แทน ขอเพียงมีเวลามากพอ เธอก็สามารทำอาหารชนิดต่างๆ ออกมาได้ไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว บางครั้งไลต์นิ่งยังนึกสงสัยตัวเองว่าเธอเก่งในเรื่องการออกไปสำรวจหรือว่ามีพรสวรรค์ในการทำอาหารกันแน่


ที่ไลต์นิ่งหิวเร็วขนาดนี้ เกรงว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย


ทุกอย่างหลังจากนั้นเป็นไปตามปกติ ไม่นานสาวน้อยก็จับวัวป่ากลับมาได้ตัวหนึ่ง ก่อนจะใช้กรงเล็บตัดมันออกเป็นหลายๆ ส่วน ไลต์นิ่งเลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดออกมาทำรมควันหรือไม่ก็เอาไปฝังในดินแล้วเผา ทุกสองคนทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การประสานงานเรียกได้ว่าไหลลื่นเหมือนสายน้ำ ในตอนที่กองไฟมอดลง พวกเธอไม่เพียงแต่จะกินอิ่มท้อง แต่กระเป๋าเสบียงที่เหี่ยวแห้งยังกลับมาเต็มใหม่อีกครั้งด้วย ทุกอย่างเหมือนกลับไปยังตอนแรกที่ออกเดินทาง สิ่งเดียวที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็คือเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้


แต่ไม่นานความกลัวเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็ถูกความง่วงและความเหนื่อยล้าหลังกินอาหารเสร็จเข้ามาแทนที่


หลังติดตั้งรูนกรีดร้องเรียบร้อย ไลต์นิ่งก็กอดเมซี่เข้าไปในถุงนอน ก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว


วันถัดมา ในตอนที่เธอหรี่ตาลืมขึ้นมา ตรงเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปเหมือนจะมาเงาอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา


ไลต์นิ่งขยี้ตาอย่างงัวเงีย — ตรงนั้นมันควรจะเป็นที่ราบลุ่มธรรมดาๆ เมื่อวานเธอทำการสำรวจสภาพภูมิประเทศรอบๆ ซ้ำหลายครั้งแล้ว ไม่มีทางที่จะพลาดเนินเขาแบบนี้ไปได้นี่นา


ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าเธอจะชินกับดวงตาที่เพิ่งตื่นนอน เธอเพ่งมองออกไปอีกครั้ง ก่อนจะต้องตกตะลึงไปทันที — เมื่อมองผ่านหมอกบางๆ ออกไป เค้าโครงของยอดเขาลูกนั้นเป็นเส้นตรงราบเรียบ ดูแล้วไม่คล้ายว่าถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งตกใจก็คือ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที มันกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นั่นหมายความว่าเจ้าสิ่งนั้นมันกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาเธอ


และ ‘ยอดเขา’ ที่สามารถเคลื่อนที่อยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ ไลต์นิ่งก็รู้จักอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


เธอรีบปลุกเมซี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจิกข้าหน่อยสิ”


“จิ๊บ” อีกฝ่ายงอนิ้วชี้ขึ้นมา ก่อนจะดีดไปที่หน้าผากเธอแรงๆ ทีหนึ่ง —


ความเจ็บปวดชัดเจน


นี่ไม่ใช่ความฝัน


ทันใดนั้นเอง ลมยามเช้าสายหนึ่งพลันพัดผ่านร่างกายของทั้งสองคนจนผมสีขาวของเมซี่ปลิวขึ้นมา


ขณะเดียวกันสิ่งที่ถูกพัดจนกระจายออกยังมีหมอกที่เบาบาง


พริบตานั้นเอง เงาๆ นั้นก็ได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมันออกมา — บนภูเขาสีดำที่เป็นเหมือนสามเหลี่ยมกลับหัวมีพิระมิดขนาดใหญ่มหึมาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ตัวพิระมิดทั้งตัวประกอบขึ้นมาจากหินสีดำ ขนาดของมันยากที่จะประเมินได้ ถ้าบอกว่ากึ่งกลางของพระผู้สร้างอันก่อนหน้านี้คือเมืองปีศาจ อย่างนั้นพิระมิดอันนี้ก็ใหญ่พอที่จะใส่เมืองปีศาจทั้งเมืองเข้าไปได้


นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ด้านบนของภูเขาไม่มีหมอกแดงกระจายตัวอยู่


พิระมิดอันใหญ่และอันเล็กสองอันประกบเข้าด้วยกัน ทำให้แผ่นดินลอยฟ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม พระผู้สร้างอันก่อนหน้านี้ยังพอดูเหมือนเทือกเขาอยู่บ้าง แต่เมืองจักรพรรดิแห่งใหญ่นี้ดูไม่เหมือนวัตถุตามธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวภายนอกทั้งหมดหรือว่าตัววัตถุที่มีความสมมาตรกันก็ล้วนแต่เหมือนกำลังแสดงพลังของปีศาจออกมาให้เห็นอยู่


คิดไม่ถึงเลยว่าพระผู้สร้างแห่งที่สองที่พวกเธอค้นหามาตลอดจะปรากฏขึ้นตรงหน้าแบบนี้


ไลต์นิ่งรับพาเมซีบินขึ้นไปโดยไม่สนใจที่จะเก็บกระทั่งถุงนอน


เมื่อความสูงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่อยู่ด้านหลังเมืองจักรพรรดิก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา


จุดสีดำจำนวนมหาศาลกำลังไหลทะลักอยู่บนที่ราบลุ่มเหมือนกับสายน้ำหลาก ท่ามกลางกระแสน้ำนี้มีท่อหมอกแดงจำนวนนับไม่ถ้วนวางพาดผ่านไปมา พวกมันกับจุดสีดำรวมกันกลายเป็นเหมือนผ้าผืนหนึ่งที่กลืนกินทุกอย่าง ไลต์นิ่งกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ถ้าพวกนั้นคือปีศาจ อย่างนั้นจำนวนของมันก็อาจจะมากกว่าประชากรของสี่อาณาจักรใหญ่รวมกันเสียอีก!


นี่คือกองทัพหลักของศัตรูที่กำลังทำการอพยพอย่างไม่ต้องสงสัย!


ตอนที่ 1454 ออกเดินทาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทีมนักสำรวจรีบเอาข่าวนี้กลับมาแจ้งยังเนเวอร์วินเทอร์ทันที


“บุกมาเต็มกำลังจริงๆ ด้วย…” หลังฟังไลต์นิ่งรายงานจบ โรแลนด์ก็ถอนหายใจออกมา นี่เป็นการประจันหน้ากันเต็มกำลังครั้งแรกของทั้งสองเผ่าพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรมันก็จะเป็นการกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์และปีศาจหลังจากนี้


“พวกเรา…เอาชนะได้ไหมเพคะ?”


ไลต์นิ่งถามอย่างลังเล เนื้อตัวเธอสกปรกมอมแมม ผมบนหน้าผากจับตัวเป็นก้อนแข็ง ถ้าเข้าไปใกล้ก็จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวของเหงื่อ เห็นได้ชัดว่าเพื่อที่จะรีบนำข่าวนี้กลับมาแจ้งเขาแล้ว เธอคงแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย


“ได้สิ” โรแลนด์แสร้งทำเป็นตบไหล่เธออย่างสบายๆ “พวกเราไม่เพียงแต่จะเอาชนะได้ แต่ยังเอาชนะได้แบบเด็ดขาดด้วย”


จำนวนปีศาจที่บุกมานั้นมีจำนวนมากกว่ามนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย นี่แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรซีสกายนั้นสร้างความกดดันให้กับพวกมันมากแค่ไหน กองทัพที่หนึ่งมีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถกำจัดศัตรูได้โดยไม่เกิดความสูญเสีย ดันที่ปล่อยให้พวกมันเข้ามาในสี่อาณาจักรใหญ่ ต่อให้เอาชนะได้ก็คงเสียหายอย่างหนัก


ในทางเดียวกัน ต่อให้ปีศาจเอาชนะได้ พวกมันก็ต้องเสียหายหนักมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าไม่สามารถหยุดพวกมันเอาไว้นอกเทือกเขาสิ้นวิถีได้ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่จะออกมาก็คือพ่ายแพ้และเสียหายกันทั้งสองฝ่าย


ไลต์นิ่งถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่จู่ๆ หลังจากนั้นเธอก็ถามขึ้นมาอย่างอายๆ ว่า “เอ่อ ตัวหม่อมฉันดมแล้วมีกลิ่นแปลกๆ…ใช่ไหมเพคะ?”


โรแลนด์หลุดยิ้มออกมา “ก็นิดหน่อย…แต่ว่ามันเป็นกลิ่นของนักสำรวจน่ะ ดังนั้นไม่ได้เหม็นอะไร” เขาจงใจทำท่าดมกลิ่น “ความจริงแล้ว ข้าคิดว่ามันหอมทีเดียวนะ”


หน้าอีกฝ่ายแดงขึ้นมาทันที เธอรีบคว้าเมซี่ที่พยายามจะดมคอเสื้อของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าเดินออกจากห้องทำงานไป “หม่อม…หม่อมฉันไปอาบน้ำก่อนนะเพคะ!”


“จิ๊บ?” เมซี่ยังคงมีสีหน้างุนงง


“ไลต์นิ่ง เมซี่” ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะออกจากห้องทำงานไป โรแลนด์พลันเรียกพวกเธอเอาไว้ แล้วค่อยๆ พูดว่า “ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”


“อื้อ…”


“หลังประตูปิดลง เขาก็รีบยกโทรศัพท์ต่อสายไปหาหัวหน้าสำนักบริหารทันที “เรียกหัวหน้ากองทั้งหมดมาประชุม ถึงเวลาเคลื่อนทัพแล้ว”


…..


ภายในห้องประชุม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเนเวอร์วินเทอร์มาประชุมกันพร้อมหน้า


โรแลนด์เอาภาพที่ไลต์นิ่งวาดขึ้นมาแปะไปบนแผนที่ที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะบรรยายสิ่งที่ทีมนักสำรวจไปเจอมาซ้ำอีกรอบหนึ่ง


“ตอนนี้ข้อมูลที่สามารถทำการยืนยันได้มีอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือพระผู้สร้างแห่งใหม่มีอยู่จริง มันอยู่ห่างจากสันหลังของทวีปออกไปไม่ถึง 300 กิโลเมตร แถมยังเคลื่อนที่มาทางตะวันออกอย่างต่อเนื่องด้วย สองคือมันพาปีศาจจำนวนมากมาด้วย จำนวนของพวกมันมากจนแผ่นดินลอยฟ้าไม่อาจรองรับได้ ทำให้พวกมันต้องใช้วิธีแบบนี้ในการเคลื่อนทัพ”


“เรื่องแรกข้าคิดว่าคงเข้าใจได้ไม่มาก เพื่อที่จะบุกอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว กองทัพตะวันตกของปีศาจไม่เพียงแต่จะสร้างเสาหินโอเบลิสเอาไว้ในเทือกเขาสันหลังของทวีป แต่พวกมันยังวางเส้นทางจนส่งหมอกแดงพาดผ่านดินแดนแห่งรุ่งอรุณเอาไว้ด้วย เมื่อบินเลียบเทือกเขามา ไม่เพียงแต่จะทำให้ไม่หลุดออกนอกเส้นทาง แต่มันยังช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องหมอกแดงด้วย ถือได้ว่าเป็นเส้นทางการเคลื่อนที่ที่ดีทีเดียว”


“ส่วนเรื่องจำนวนของปีศาจนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ในเมื่อเป็นการบุกอย่างเต็มที่ จำนวนของปีศาจที่สามารถสู้รบได้น่าจะมีมากถึง 10 ล้านตัว เมื่อดูจากความเร็วในการเคลื่อนที่เข้ามาแล้ว อย่างช้าที่สุดอีกประมาณเดือนนึงพวกมันก็น่าจะมาถึงชายแดนของสี่อาณาจักรใหญ่”


ในตอนที่พูดถึงจำนวนของศัตรู โรแลนด์สังเกตเห็นสีหน้าของหลายๆ คนมีความหวาดกลัว แต่นี่จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ หลังผ่านสงครามแห่งโชคชะตามาสองครั้ง มนุษย์เสียหายอย่างมาก ผู้รอดชีวิตมีถึง 10 ล้านหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักรบที่สามารถใช้ในการทำศึกเลย สำหรับคนอื่นๆ อย่างบารอฟแล้ว จำนวน 10 ล้านนั้นถือว่ามากมายมหาศาล


“นี่เป็นการโจมตีแบบทุ่มสุดตัวของศัตรู แล้วก็จะเป็นศึกที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ด้วย เกาะลอยฟ้าเอเลนอร์จะต้องออกเดินทางทันที เพื่อจะหยุดศัตรูเอาไว้ก่อนที่มันจะข้ามเทือกเขาสิ้นวิธีมา”


“แต่ว่า…ฝ่าบาท” บารอฟถามขึ้นมาอย่างลำบากใจ “ศัตรูมีจำนวนมากขนาดนี้ แต่กำลังพลที่เกาะลอยพาไปได้กลับมีจำนวนจำกัดอย่างมาก การบุกออกไปโจมตีมันจะมีความเสี่ยงมากเกินไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”


“การเฝ้าอยู่ในเกรย์คาสเซิลต่างๆ ที่เป็นแผนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด” เอดิธส์ยืนขึ้นมาพร้อมเหลือบมองดูหัวหน้าสำนักบริหาร “ทุกคนอย่าได้หวาดกลัวจำนวน 10 ล้านของปีศาจคุ้มคลั่ง ถ้าพวกมันแตะเกรย์คาสเซิลไม่ได้ ต่อให้มีจำนวนมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าใช้สมองคิดดีๆ ก็น่าจะเข้าใจได้ เมืองแบล็คสโตนไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมีปีศาจจำนวนมากขนาดนี้ตอนสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามเริ่มต้นขึ้น ที่ก่อนหน้านี้พวกมันไม่สามารถข้ามมาได้ ก็เป็นเพราะว่าตัดข้อจำกัดในเรื่องของเส้นทางขนส่งหมอกแดง ดังนั้นเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราจึงมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเมืองลอยฟ้าของศัตรู”


พอคำพูดนี้ออกไป บรรยากาศภายในห้องประชุมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองได้เกิดความหวาดกลัวต่อปีศาจขึ้นมา


“ถูกต้อง” โรแลน์พยายามฝืนยิ้มเอาไว้พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย “ทันทีที่ไม่มีหมอกแดงจากเสาโอเบลิสเคลื่อนปี ปีศาจก็จะเคลื่อนไหวบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นการที่พวกเราออกเดินทางตอนนี้มันไม่ได้หมายความว่าเราจะปะทะกับพวกมันทันที ช่วงเวลาในระหว่างที่เดินทางน่าจะเพียงพอให้กองทัพได้ใช้เตรียมตัว”


เขายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้พูดออกไป


นั่นคือสกายลอร์ดและไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่กลับไปรวบรวมกำลังพลที่เมืองสกาย


ในเมื่อพวกปีศาจใช้เส้นทางขนส่งหมอกแดงของกองทัพตะวันตกในการเคลื่อนพล อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่เฮคซอดจะไม่รู้ถึงตำแหน่งของเมืองจักรพรรดิ สำหรับจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ตอนนี้มันได้กลายเป็นผู้ทรยศโดยสมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้การควบคุมกำลังพลเอาไว้ให้มากจึงเป็นวิธีการปกป้องตัวเองที่ดีที่สุด การร่วงตกของเมืองจักรพรรดินั้นคือโอกาสที่ดีที่สุดของมันอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อถึงเวลานั้น เฮคซอดไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ แน่


เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็มองไปทางทิลลี “เออใช่ การฝึกซ้อมขึ้นบินกับลงจอดของอัศวินเป็นยังไงบ้าง?”


“ง่ายข้าที่ข้าคิดเอาไว้มาก” ทิลลีพูดอย่างใจเย็น “การขึ้นบินและลงจอดบนเกาะลอยฟ้าไม่ค่อยต่างจากการขึ้นบินลงจอดบนพื้นดินเท่าไร ขอเพียงอากาศเป็นใจ นักเรียนก็สามารถทำการขึ้นบินกับลงจอดได้สบายๆ ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือที่ผ่านมาแค่มองเห็นเทือกเขาสิ้นวิถีหรือเส้นชายฝั่ง นักบินก็จะสามารถวิเคราะห์ตำแหน่งของตัวเองอย่างคร่าวๆ ได้ จากนั้นก็จะหาสนามบินที่อยู่บนพื้นเจอ แต่หลังจากนี้ทั้งเราแล้วก็ปีศาจจะเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา บวกกับบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไม่มีสถานที่ที่ใช้บอกทิศทาง การระบุตำแหน่งในตอนที่บินกลับคงจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ท่านจัดหาน้ำมันเอาไว้ให้พอก็พอ”


นี่เป็นอีกปัญหาสำคัญในการทำศึกของยานแม่ —- บนสนามรบที่กว้างหลายร้อยกิโลเมตร การบินออกนอกเส้นทางเพียงนิดเดียวมันจะทำให้สุดท้ายแล้วหลุดออกนอกตำแหน่งไปไกลมาก ที่โชคดีก็คือเมื่อเทียบกับทะเลที่หน้าตาเหมือนกันหมดแล้ว บนแผ่นดินต่อให้รกร้างแค่ไหนมันก็ยังมี ‘จุดบอกพิกัด’ ให้ใช้ระบุตำแหน่งอยู่ อย่างเช่น ป่า แม่น้ำหรือยอดเขา โรแลนด์พอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายออก ถ้าไม่คุ้นเคยก็ฝึกให้มาก เมื่อบินเยอะแล้วก็จะย่อมต้องรู้ตำแหน่งที่ตัวเองอยู่อย่างแน่นอน


“วางใจได้ เจ้าอยากจะให้พวกเขาบินนานเท่าไรก็ได้” เขารับปาก


ในศึกตัดสินนี้ อัศวินอากาศนั้นจะเป็นกำลังหลักของกองทัพอย่างไม่ต้องสงสัย และก็เป็นเพราะมีกองกำลังทางอากาศอยู่ มนุษย์ถึงได้มีโอกาสที่จะหยุดการโจมตีของเมืองจักรพรรดิปีศาจที่อยู่ห่างออกไปนับพันกิโลเมตร


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร โรแลนด์จึงมองไปรอบๆ พร้อมกับสั่งการออกมาว่า “อย่างนั้น ข้าข้อประกาศให้แผนการสรวงสวรรค์เข้าสู่ช่วงที่สามได้ เกาะลอยฟ้าออกเดินทาง เป้าหมายคือพื้นที่ด้านเหนือของที่ราบลุ่มบริบูรณ์!”


ตอนที่ 1455 ผู้บุกเบิก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นสองวัน เกาะลอยฟ้าเอเลนาร์ก็เติมเสบียงต่างๆ เป็นครั้งท่าเรือสตีปคลิฟฟ์ ก่อนจะบินขึ้นท้องฟ้าแล้วมุ่งหน้าไปยังใจกลางดินแดนรุ่งอรุณ


คนที่มาส่งมันคือชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์เกือบแสนคน ผู้คนแห่กันออกมาที่ถนน ปีนขึ้นไปบนหลังคา บางคนถึงขนาดปีนขึ้นไปบนเทือกเขาสิ้นวิถี เพียงเพื่อจะได้ชมวินาทีประวัติศาสตร์นี้ ด้านตะวันตกของเมืองทั้งหมดถูกกระแสผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดจนเต็ม ทำลายสถิติจำนวนคนที่เข้าร่วมกิจกรรมอีกครั้ง


แต่นี่เป็นประชากรเพียงส่วนหนึ่งของเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น


ยังมีคนอีกจำนวนมากที่กำลังทำงานอย่างขันแข็งอยู่ในโรงงาน ท่าเรือและที่นา นี่ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการมีส่วนร่วมกับสงครามครั้งนี้


และที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือ ในวันนี้ประชากรรวมของเขตชายแดนและลองซองได้ทะลุ 1 ล้านคนแล้ว ประชากร 50 เปอร์เซ็นต์ในนี้มาจากวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ผูกพันกับเนเวอร์วินเทอร์เหมือนอย่างผู้อพยพกลุ่มแรกๆ แต่พวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความตื่นตะลึงและความยิ่งใหญ่ได้จากฝูงชนที่หลั่งไหลออกมา และความสำคัญของวันที่ไม่ธรรมดาวันนี้


เมื่อเสียงปืนใหญ่ดังพร้อมเพียงกันขึ้นมา เกาะลอยเอเลนอร์ก็ลอยเลียบเทือกเขามุ่งหน้าไปยังป้อมปราการลองซอง จากนั้นจึงเลี้ยวไปทางตะวันตก ก่อนจะค่อยๆ หายลับไปจากสายตา


แต่บรรยากาศที่คึกคักของชาวเมืองยังไม่หมดลงแต่เพียงเท่านี้


การตามรายงานข่าวของ ‘เกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์’ ได้สร้างสถิติยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอยซอยหรือที่ท่าเรือ ประเด็นที่ทุกคนพูดคุยล้วนแต่เป็นเรื่องการออกไปโจมตีครั้งนี้ ไม่นานผู้คนก็พากันเรียกวันออกเดินทางนี่ว่าวันสร้างปาฏิหาริย์ มันเป็นการแสดงถึงจุดเริ่มต้นในการเดินทางขึ้นไปรบบนท้องฟ้าของมนุษย์ และนี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่ถูกตั้งชื่อว่าปาฏิหาริย์ต่อจากตึกปาฏิหาริย์


ส่วนบนเกาะลอยฟ้านั้นดูจะสงบกว่ามาก


หลังความแปลกใหม่ในตอนแรกผ่านไป ทีมก่อสร้างก็เข้าสู่การทำงานที่เคร่งเครียดและเป็นระเบียบ


เหล่าอัศวินอากาศเองก็เช่นเดียวกัน นอกจากทีมสอดแนมที่ต้องออกไปบินตรวจตราเป็นประจำแล้ว นักเรียนทุกคนอย่างน้อยๆ ก็ต้องขึ้นบินวันละครั้งเพื่อทำความคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศรอบๆ ตัวเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ เขตลานบินที่คึกคักและเขตเตาหลอมที่มีควันลอยโขมงได้รวมกันกลายเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ


“เป็นยังไงบ้าง ปรับตัวกับร่างใหม่ได้ยัง?”


ภายในพื้นที่ใจกลางของเกาะลอยฟ้า โรแลนด์ยืนอยู่ด้านล่างของหลุมแร่พร้อมกับมองไปยังเอเลนอร์ที่เกาะแน่นอยู่กับแท่งหินอาญาสิทธิ์


ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนมานี้ เสาหินไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ร่างแม่เองก็มีหนวดเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยด้วย หนวดเหล่านั้นแทงลงไปในดินเหมือนกับต้นไม้ที่งอกรากใหม่ออกมาอย่างไรอย่างนั้น — จากที่เธอบอกมา หนวดเหล่านี้ทำให้เธอสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แล้วก็ทำให้บังคับเกาะลอยฟ้าได้ดีขึ้นด้วย ในอีกแง่หนึ่งเกาะลอยฟ้าก็เหมือนร่างเปลือก ส่วนหนวดก็เป็นเส้นประสาทของเธอ


‘เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วถือว่าดีขึ้นเยอะ’ เสียงของเอเลนอร์ฟังดูสบายใจอย่างมาก ‘มองเห็น ได้ยิน คิดได้ มีสามอย่างนี้แล้วข้ายังมีอะไรให้บ่นอีกล่ะ? เมื่อเทียบกับพวกเอเลนาร์แล้ว ข้าถือว่าโชคดีกว่ามากแล้ว’


‘ท่านเอเลนอร์ ท่านกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ’ พาซาร์พูดพร้อมลู่หนวดหลักลง ‘ทุกคนต่างรู้ดีว่าถ้าไม่เป็นเพราะท่านรวมร่างเข้าไป พวกเราก็ไม่มีทางอยู่รอดมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นท่านเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีวันนี้ แค่ความกล้าตรงนี้ก็เพียงพอที่จะ—‘


‘ข้าหมายถึงผลลัพธ์ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น’ เอเลนอร์พูดตัดบทเธอ ‘ข้าเชื่อว่าตอนนั้นพี่น้องที่ยินดีที่จะสละตัวเองเพื่อสมาพันธ์นั้นไม่ได้มีข้าแค่คนเดียว ข้าก็แค่เป็นคนเริ่มก่อนเท่านั้น’


ดูเหมือนสภาพจิตใจเธอจะสบายดีนะเนี่ย โรแลนด์ครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างกังวลใจมาโดยตลอด แม่มดคนหนึ่งที่ต่อสู้กับปีศาจมาเป็นเวลาหลายสิบปีแต่สุดท้ายกลับต้องกลายมาเป็นปีศาจเสียเอง มันจะเกิดปัญหาขึ้นในจิตใจเธอหรือเปล่า แต่ตอนนี้ดูแล้วสภาพจิตใจของเอเลนอร์จะสมบูรณ์ดีอย่างมาก ไม่ได้มีทีท่าไม่สบายใจเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองเลย


‘ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่’ จู่ๆ เอเลนอร์พลันเปลี่ยนประเด็นมาที่เขา ‘กลัวว่าข้าจะคิดไม่ตกจนปิดกั้นตัวเองงั้นเหรอ? ข้าบนโลกเหลือข้าแค่เพียงคนเดียว บางทีมันอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้พี่น้องส่วนต่างยังอยู่กันพร้อมหน้า สถานการณ์การรบก็ดีกว่าเมื่อ 400 ปีก่อนมาก แล้วก็ยังมีความรู้ใหม่ๆ อีกมากให้เรียนรู้ ข้าจะมีเวลาไปปิดกั้นตัวเองที่ไหนกันล่ะ?’


“เอ่อ…เรียนรู้?”


‘การที่พวกข้าสามารถกลายเป็นผู้ปกครองของมนุษย์ในยุคสมัยสมาพันธ์ พวกข้าไม่ได้พึ่งพาแต่พลังเท่านั้น แต่ในตอนนั้นคนที่มีเทคโนโลยีและความคิดที่ล้ำหน้าที่สุดก็คือพวกข้าเหมือนกัน จะบอกว่าพวกข้าเป็นตัวแทนของสามสิ่งนี้ก็คงไม่มากเกินไป ถึงแม้ตอนนี้เกียรติยศของสมาพันธ์จะไม่มีอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากจะตามยุคสมัยให้ทัน มันก็ยังต้องอาศัยการเรียนรู้มาทำให้มันกลายเป็นจริง’


โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที คำพูดที่รู้สึกคุ้นเคยเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเธอเรียรรู้มาจากพวกแม่มดอาญาสิทธิ์ ไม่รู้ว่าพวกเธอสอนอะไรเอเลนอร์บ้าง “แล้วตอนนี้เจ้าเรียนไปถึงไหนแล้วล่ะ?”


‘มหาวิทยาลัย’ เอเลนอร์ตอบ ‘ใกล้จะจบแล้ว’


‘ก่อนหน้านี้พวกเซลีนกับหลิงเป็นคนสอนท่านเอเลนอร์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นท่านเอเลนอร์ที่สอนพวกนางเพคะ’ พาซาร์ยิ้มพร้อมพูดเสริมขึ้นมา


เฮ้ๆ เธอพึ่งจะตื่นขึ้นมาได้สองเดือนเอง แต่เรียนรู้จนใกล้จะจบมหาวิทยาลัยแล้วงั้นเหรอ? โรแลนด์แอบตกใจ ก่อหน้านี้ตอนที่เอเลนอร์ไล่เดอะแมสก์ออกไปเขายังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองอาจจะประมาทความสามารถของการเรียนรู้ด้วยสมองของสิบกว่าคนแล้ว


‘เออใช่ ข้าได้สร้างแกนเวทมนตร์ขนาดเล็กขึ้นมาอันนึงด้วย บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ต่อการต่อสู้หลังจากนี้’


เมื่อเอเลนอร์ส่งสัญญาณ พาซาร์ก็ม้วนเอาแกนเวทมนตร์ขนาดประมาณฝ่ามือขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ จากนั้นมันจึงค่อยๆ ลอยขึ้นมา ตรงกลางของมันเปล่งแสงสีน้ำเงินที่เจิดจ้า ดูแล้วคล้ายกับแกนเวทมนตร์ขนาดใหญ่พวกนั้นอย่างมาก


“นี่มันใช้ยังไง?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย


‘มันสามารจำลองความสามารถในการครุ่นคิด แล้วก็ส่งผลกระทบต่อวัตถุภายนอกได้…อย่างเช่นหมุนคันบังคับ เหนี่ยวไกปืนอะไรพวกนั้น ถ้าเอามันกับกลไลที่ทำขึ้นมาเฉพาะและอาวุธรวมเข้าด้วยกัน ข้าก็จะสามารถใช้พลังเวทมนตร์ในการควบคุมพวกมันได้’ เอเลนอร์อธิบาย ‘ถึงแม้เดอะแมสก์จะกำจัดความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างนี้ไป แต่มันกลับไม่ได้ปิดกันการใช้พลังเวทมนตร์ — นี่หมายความว่าในตอนที่ศัตรูโจมตีเข้ามา ข้าสามารถควบคุมอาวุธและเข้าร่วมการรบได้ หลักการของมันก็เหมือนกับสถานีอาวุธอัตโนมัติในโลกแห่งความฝันนั่นแหละ’


โรแลนด์อ้าปากค้างอย่างตกใจ


ยังไม่หมดเท่านี้ อีกฝ่ายพูดต่อว่า ‘ความจริงการยิงมันก็เป็นการคำนวณอย่างหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ข้าถนัด เมื่อเทียบกับทหารธรรมดาแล้ว ข้าสามารถทำให้อัตราความแม่นยำของอาวุธปืนเพิ่มขึ้นไปได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่จุดอ่อนของมันก็คือการที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว มันจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับป้อมปืนที่ถูกยึดอยู่กับที่ แถมยังต้องจัดวางหนวดและแกนเวทมนตร์ที่ถูกย่อส่วนเอาไว้ล่วงหน้าด้วย แต่อย่างน้อยในศึกป้องกันเกาะลอยฟ้า สถานีอาวุธเหล่านี้ก็จะสามารถแสดงประสิทธิภาพสูงสุดของมันออกมาได้’


“เจ้าสามารถควบคุมพวกมันพร้อมกันได้เท่าไร?”


‘นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนวดของข้า’ เธอชะงักไปเล็กน้อย ‘แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ 3 – 4 ร้อยล่ะมั้ง?’


พอคิดถึงภาพป้อมปืนอัตโนมัติหรือปืนใหญ่จำนวนหลายร้อยกระบอกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเอเลนอร์กราดยิงเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ โรแลนด์พลันรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขารู้สึกตกใจมากที่สุด สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากกว่าก็คือการที่เอเลนอร์เอาพลังเวทมนตร์มารวมเข้ากับกลไก ความรู้ของทั้งสองด้านนี้ ความรู้อันหนึ่งมาจากนาซเพล อีกอันหนึ่งมาจากโลกแห่งความฝัน เธอไม่เพียงแต่จะดูดซับพวกมันมา แต่ยังรวมพวกมันเข้าด้วยกันด้วย! ถ้ามีเวลาอีกหน่อย เธอจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้มากแค่ไหนกันเนี่ย?


“ถ้าไม่เป็นเพราะการเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องให้เจ้ามาด้วย ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเข้าไปในสนามรบเลยจริงๆ” โรแลนด์พูดความคิดของตัวเองออกมา “ตอนนี้สิ่งที่มนุษย์ขาดอยู่ก็คือผู้นำในด้านนี้”


“โอ้? เจ้าไม่กลัวว่าสิ่งที่ข้าเรียนรู้มันจะเหนือกว่าเจ้าเหรอ?’ เอเลนอร์เหมือนกำลังยิ้มเล็กน้อย


‘ท่านเอเลนอร์….’ พาซาร์เหมือนพยายามจะห้ามเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง


“ทำไมต้องกลัวด้วย?” โรแลนด์ถามกลับ “คนรุ่นใหม่ก้าวข้ามคนรุ่นเก่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว อย่างน้อยมันก็หมายความว่าอารยธรรมจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่หยุด ถ้าความรู้ของมนุษย์จุดอยู่ที่ข้า นั่นต่างหากถึงจะเป็นอนาคตที่มืดมน”


‘….’ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ว่า ‘สำหรับคนที่เป็นราชาแล้ว เจ้าไม่ค่อยเหมาะจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า…’


‘เจ้ากลับเป็นผู้นำที่คู่ควรแก่การเชื่อใจ’


ตอนที่ 1456 อนาคตของเจ้ากับข้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไนติงเกลปูผ้าห่มเสร็จ จากนั้นจึงหมุนตัวไปดับเทียน


ภายในห้องมืดลงทันที


หลังจากใช้หลอดไฟและหินเรืองแสงจนชิน การกลับมาใช้ชีวิตที่ใช้เทียนในการให้แสงสว่างนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร ทั้งๆ ที่ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกนี่ก็ใช้เทียนอยู่เป็นประจำแท้ๆ นี่ทำให้เธอรู้สึกขำตัวเองอยู่นิดหน่อย


แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เวลาที่เร่งรีบทำให้บนเกาะลอยฟ้าไม่สามารถติดตั้งระบบไฟฟ้าได้ แม้แต่สถานที่ที่ให้พวกเธอใช้พักผ่อนก็เป็นถ้ำที่ฟรานขุดขึ้นมาให้ หลังจากนั้นก็ให้โซโรย่าทาสีนุ่มๆ ลงไปชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันความชื้นจากใต้พื้น ส่วนพวกเครื่องใช้ก็มีแค่โต๊ะไม้กับตู้เสื้อผ้าธรรมดาๆ ฟูกที่นอนก็ปูลงไปบนพื้นเลย


ถึงแม้อิสซาเบลลาจะอยู่บนเกาะลอยฟ้าด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่จำเป็นต้องใช้หินเรืองแสงในการให้ความสว่างมากที่สุดในตอนนี้คือโรงงานที่กำลังเร่งทำงานพวกนั้น กว่าที่หินอาญาสิทธิ์ที่ถูกเธอเปลี่ยนสภาพพวกนั้นจะเอามาใช้ในเขตที่อยู่อาศัยได้คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง


โชคดีที่ถึงแม้ในห้องจะเรียบง่าย แต่เวลาที่อยู่กลับค่อนข้างสบายดีเดียว ไม่เพียงแต่จะได้อยู่ห้องส่วนตัวคนละห้อง แต่ภายในห้องยังมีห้องน้ำส่วนตัวด้วย บวกกับท่อระบายอากาศที่ต่อออกไปยังผนังด้านนอกเกาะลอยฟ้า ทำให้ภายในห้องไม่อบอ้าวแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้ปลายสุดของถ้ำยังมีห้องอ่านหนังสือและบ่อน้ำร้อนให้เหล่าแม่มดได้ใช้ด้วย


ห้องอ่านหนังสือนั้นเธอไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่บ่อน้ำร้อนมันสุดยอดมากๆ


เธอไม่รู้ว่าพวกพาซาร์ไปหาที่แบบนี้เจอได้ยังไง — สายน้ำเล็กๆ ไหลลงมาจากยอดเขาแล้วมารวมเป็นบ่อน้ำแร่ ยิ่งไปกว่านั้นตัวบ่อน้ำแร่ยังมีส่วนหนึ่งที่ยื่นออกไปนอกผนังถ้ำ หากไปนั่งอยู่ริมบ่อฝั่งนั้นก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เกาะบินขึ้นมาแล้ว ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ทำให้มองดูภาพทิวทัศน์บนพื้นดินได้


ทุกวันหลังอาบน้ำเสร็จเธอจะมาแช่น้ำร้อนนี่ครู่หนึ่งเพื่อดื่มด่ำกับช่วงเวลาพักผ่อนที่หาได้ยากนี้


เมื่อเทียบกันแล้ว การที่ภายในห้องไม่มีหลอดไฟกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย


ในขณะที่ไนติงเกลเตรียมจะนอนลงไปนั้น ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา


เธองุนงงเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก ทุกคนน่าจะหลับกันไปหมดแล้ว ยังจะมีใครมาหาเธออีก?


“มาแล้ว”


ไนติงเกลตอบกลับไป ก่อนจะจุดเทียนขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกันภายในหัวก็มีภาพคน 3 – 4 คนลอยขึ้นมา


คนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดย่อมต้องเป็นเวนดี้


เพราะว่าผู้ที่รับผิดชอบดูแลสโมสรแม่มดคนนี้มักจะมาคุยเล่นกับเธอหลังจากที่ดื่มเหล้าจนเมา


แต่เธอก็ต้องตกตะลคงเมื่อเปิดประตูออกไป


เพราะคนที่ืยืนอยู่ด้านนอกประตูกลับเป็นอันนา


เธออุ้มถังไม้เอาไว้ใบหนึ่ง ในนั้นใส่ผ้าขนหนูและอุปกรณ์อาบน้ำเอาไว้ “ไปแช่น้ำเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหม?”


ก่อนนอนไนติงเกลไปอาบมาแล้วรอบหนึ่ง แต่เธอรู้ว่าการไปแช่น้ำในเวลานี้นั้นย่อมไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่อีกฝ่ายมาหาตนแน่ “ได้สิ รอแปบนะ”


ไนติงเกลเตรียมของเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินตามอันนาไปที่บ่อน้ำร้อน ภายในถ้ำเหลือพวกเธอเพียงแค่สองคน เสียงหยดน้ำที่หยดลงมาจากหินงอกหินย้อยดังขึ้นไประยะๆ ดูแล้วเงียบสงบอย่างมาก


เมื่อถอดเสื้อผ้าแล้วก้าวลงไปในบ่อ ไนติงเกลพลันรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่เข้ามาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ — ที่นี่ไม่เหมือนกับเมืองเนอวอร์วินเทอร์ ปริมาณเชื้อเพลิงบนเกาะนั้นมีอยู่อย่างจำกัดอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ส่วนใหญ่จึงใช้เตาต้มน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยลูกบาศก์เวทมนตร์และเครื่องจักรไอน้ำในการทำให้มีน้ำร้อนใช้ตลอดทั้งวัน


ทั้งสองคนแหวกหมอกสีขาว ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังปากถ้ำ พริบตานั้นเอง สายลมยามค่ำคืนที่เย็นสบายก็พัดเอาไอความร้อนจากภายในถ้ำออกไปจนหมด โลกเบื้องหน้าพลันเปิดกว้างขึ้น สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของทั้งสองคนนั้นไม่ใช่ภูเขาหินที่เป็นเหลี่ยมเป็นมุมอีก หากแต่เป็นกลุ่มดวงดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับและท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา


ไนติงเกลถอนหายใจออกมาเบาๆ


ความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่าลุ่มหลงเสียจริงๆ


อันนาเองก็เหมือนรู้สึกพึงพอใจเหมือนกัน เธอถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะยืดแขนบิดขี้เกียจ


“โรแลนด์ล่ะ?”


“น่าจะอยู่ในโลกแห่งความฝันล่ะมั้ง”


“งั้นเหรอ? เขายุ่งจริงๆ เลยเนอะ…”


“ใช่ ทุกคนต่างบอกว่าข้าทำงานไม่ได้หยุดเลย ความจริงแล้วถ้าเทียบกับเขา ข้าไม่ได้ถือว่าทำงานหนักอะไรเลย” อันนาพูดยิ้มๆ “กระทั่งเวลากลางคืนเขาก็ยังทำงานอยู่”


“แต่เจ้าเองก็เก่งมากนะ” ไนติงเกลเลื่อนตัวลงไปให้ไหล่ของตัวเองแช่อยู่ในบ่อ “ก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่สาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ตอนนี้กลับรับผิดชอบงานได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว”


“ความจริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” อันนาทำสีหน้าเขินๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นออกมา “สิ่งที่ข้าถนัดก็มีแค่พวกเทคโนโลยีเท่านั้น ถ้าไม่เป็นเพราะบารอฟกับอาจารย์คาร์ลช่วยข้าเอาไว้เยอะ กองวิศวกรรมคงจะเละไม่เป็นท่าแล้ว”


เฮ้ๆ พูดจุดอ่อนของตัวเองออกมาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ


เมื่อมองดูอันนา ภายในใจไนติงเกลก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา — จะบอกว่าไม่เจ็บใจก็เป็นไปไม่ได้ ตอนแรกเธอใกล้ชิดกับโรแลนด์ก่อนชัดๆ โอกาสที่จะทำอะไรแบบนั้นก็มีมากกว่า สุดท้ายกลับช้าไปนิดเดียว แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็เกลียดอันนาไม่ลง ทั้งซื่อสัตย์ จริงจัง ต่อหน้ายังไงลับหลังก็อย่างนั้น…ยิ่งได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายนานเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความบริสุทธ์ของเธอ ไนติงเกลเคยเจอผู้คนมามากมาย ตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงขุนนาง แต่เธอยังไม่เคยเจอใครที่เปล่งประกายเหมือนอย่างอันนาเลย


ภายในใจเธอรู้สึกนับถืออีกฝ่าย


หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อันนาจึงเปลี่ยนประเด็นขึ้นมา “เจ้าว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้จะจบลงยังไง?”


ไนติงเกลรู้ได้ทันทีว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เธอเรียกตัวเองออกมาล่ะมั้ง


“น่าจะ…ราบรื่นดีล่ะมั้ง?” เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงดาว ความจริงแล้วพวกการวิเคราะห์ผลการสู้รบหรือคาดเดาอนาคตนั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอถนัดเลย คำตอบที่แท้จริงเธอควรจะบอกว่าไม่รู้มากกว่า…แต่การพูดแบบนี้ก่อนออกไปรบมันเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร โชคดีที่อีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการแยกแยะคำโกหก


“งั้นเหรอ?” แต่อันนากลับไม่เห็นด้วย “แต่ข้ากลับไม่ได้คิดแบบนี้ โดยเฉพาะบอทธ่อมเลสแลนด์ที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย ว่ากันว่าที่นั่นเป็นดินแดนของพระเจ้า อันตรายในการเดินทางครั้งนี้เกรงว่าจะเหนือกว่าที่เราจะคาดการณ์ได้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้ามักจะรู้สึกเหมือนโรแลนด์อาจจะหายตัวไปได้ทุกเมื่อเลย ยิ่งเข้าใกล้ด้านเหนือของทวีป ความรู้สึกไม่สบายใจมันก็ยิ่งรุนแรง”


ไนติงเกลใจเต้นขึ้นมา หรือเธอก็จะรู้เรื่องที่อายุขัยของโรแลนด์เหลืออยู่ไม่เท่าไร? แต่ว่านั่นมันน่าจะเกี่ยวกับโลกแห่งจิตสำนึกนี่นา ที่เดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็เพื่อจะแก้ไขเรื่องนี้ มันไม่น่าจะถึงขั้นที่แก้ไขอะไรไม่ได้นี่นา


“บางทีเจ้าอาจจะกังวลมากไป”


“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” อันนากะพริบตา “เออใช่…ยังจำที่พวกเรานัดกันเอาไว้ได้ไหม?”


“อืม…” ไนติงเกลงงไปเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “…เอ๋?”


“ข้าตัดสินใจจะเลื่อนมันให้เร็วขึ้น หลังเอาชนะปีศาจได้แล้ว ข้าจะพูดกับเขาเอง”


“ทำไมล่ะ? เพราะลางสังหรณ์ของเจ้าอย่างนั้นเหรอ?”


“มันก็มีส่วนครึ่งนึง” อันนาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องการเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข้า…ก็ไม่เคยเกลียดเจ้ามาก่อน ในสงครามหลังจากนี้ ข้าก็ฝากเขาไว้กับเจ้าด้วยนะ”


“…..” ไนติงเกลไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงถามงึมงำขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่ห้ามเข้าไม่ให้ไปที่บอทธ่อมเลสแลนด์ล่ะ?”


อันนาส่ายหัว สีหน้าดูผ่อนคลายอย่างมาก “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดหลังจากที่ไตร่ตรองดูจากหลายๆ ด้านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็เตรียมตัวเอาไว้พร้อมแล้ว แล้วข้าจะไปห้ามเขาได้ยังไงล่ะ? ความหวาดกลัวกับการหลบหนีไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ก็คือพยายามช่วยสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ แล้วก็มองดูอนาคตนั้นด้วยตาตัวเอง”


ตอนที่ 1457 ศึกแรกของเกาะลอยฟ้า!

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังเข้าส่วนพื้นที่ด้านในของที่ราบลุ่ม ช่วงเวลาในทุกๆ วันบนเกาะลอยฟ้าเอเลนอร์เริ่มจะเหมือนๆ กัน คนส่วนใหญ่รู้เพียงแค่ว่าตัวเองกำลังเคลื่อนที่ แต่ไม่รู้ว่ากำลังเคลื่อนที่ไปทางไหน


มีเพียงเจ้าหน้าที่ในฐานบัญชาการเท่านั้นที่รู้ดีว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับเป้าหมายกำลังหดสั้นลงเรื่อยๆ — เส้นทางการเคลื่อนที่ที่ทำสัญลักษณ์เอาไว้บนแผนที่แสดงให้เห็นถึงระยะห่างที่หดสั้นลงนี้ได้อย่างชัดเจน ทุกๆ สิบสองชั่วโมง เกาะลอยฟ้าจะปรับเส้นทางไปทางตะวันออกครั้งหนึ่ง จากข้อมูลที่ทางทีมนักสำรวจแจ้งมา อย่างมากอีกสิบแปดวัน เส้นทางการเคลื่อนที่ของพวกเขาก็จะบรรจบกับเส้นทางของพระผู้สร้างแห่งใหม่


แต่ความเงียบสงบมันไม่ได้อยู่จนถึงวันนั้น


ในวันที่สิบสี่หลังออกเดินทางอย่างเป็นทางการ วันเวลาที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ถูกทำลายลง


ผู้ที่พบศัตรูก่อนคือเฮฟเว่นเฟลมรุ่นเก่าลำหนึ่ง —- มันอยู่ในหน่วยสอดแนมของอัศวินอากาศ เป็นเครื่องบินส่วนน้อยที่ยังมีสองที่นั่งอยู่ ที่นั่งด้านหลังไม่ได้ติดตั้งปืนกลเอาไว้แล้ว หากแต่เปลี่ยนเป็นเครื่องโทรเลขและสถานีวิทยุไร้สายแทน ถือได้ว่าเป็นการปรับปรุงเพื่อใช้ในการสอดแนมโดยเฉพาะ


“นอกระยะ 150 กิโลเมตร อสูรสยองฝูงหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเรา!”


หน่วยสอดแนมนี้ใช้โทรเลขส่งข่าวออกไปก่อน จากนั้นค่อยให้วิทยุแจ้งซ้ำอีกทีตามกฏ


เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดีเยี่ยม ไม่นานเจ้าหน้าที่รับส่งโทรเลขก็ได้รับโทรเลขและทำการแปลมันออกมา


ในตอนที่เขาเอาแถบกระดาษโทรเลขนี้เข้ามาแจ้งข่าว บรรยากาศภายในห้องทีมที่ปรึกษาพลันจับตัวแข็งขึ้นมา ก่อนจะวุ่นวายขึ้นมาทันที


“รีบยืนยันสถานะและตำแหน่งของหน่วยสอดแนม!”


“รีบดึงสัญญาณเตือน ให้คนงานรีบถอยกลับเข้าที่หลบภัย!”


“โปรดทราบ นี่คือทีมที่ปรึกษา ขอให้ทุกคนรีบเตรียมพร้อมสู้รบ!”


“เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินรายงาน เครื่องหมายเลข 5 และหมายเลข 11 เจอปัญหาระหว่างขึ้นบิน ขณะนี้กำลังรีบทำการแก้ไข”


“ตอนนี้เนี่ยนะ? บอกให้พวกเขารีบๆ เข้า!”


โรแลนด์ที่ได้รับแจ้งข่าวรีบมายังฐานบัญชาการทันที “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”


ศัตรูอยู่ห่างจากพวกเราออกไปมากกว่า 2 ชั่วโมง” เอดิธส์ถือกองเอกสารปึกหนึ่งยืนรายงาน “มาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวนมากกว่า 30 ตัว เครื่องบินสอดแนมสลัดการไล่ตามของอีกฝ่ายได้แล้ว แต่พวกมันเหมือนจะไม่เปลี่ยนเส้นทางที่ตั้งเอาไว้ในตอนแรก”


“เจ้าหมายความว่าปีศาจมันเห็นเกาะลอยฟ้าแล้วงั้นเหรอ?” ขวานเหล็กถาม


“น่าจะยัง ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่ส่งปีศาจมาแค่นี้แน่ แต่ว่าปีศาจจะต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแน่ เส้นทางถึงได้แน่ชัดขนาดนี้”


“มันก็ไม่แปลก” โรแลนด์พูดอย่างสุขุม ถึงเกาะลอยฟ้าจะเล็กแค่ไหน แต่มันก็ยังเป็นภูเขาที่ลอยฟ้าได้ การที่จะทำให้เป้าหมายขนาดนี้หลบซ่อนตัวเองเอาไว้ได้อย่างมิดชิดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ก็เหมือนกับที่พวกไลต์นิ่งเจอพระผู้สร้างอย่างนั้น ขอเพียงเกาะลอยฟ้าทั้งสองยังเคลื่อนที่เข้าหากันเรื่อยๆ ช้าเร็วศัตรูก็ต้องสังเกตเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญนี้อย่างแน่นอน “ดวงตาเวทมนตร์ของซิลเวียส่วนใหญ่จะคอยจับตามองบนท้องฟ้า ถ้าบนพื้นมีปีศาจสังเกตเห็นพวกเรามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพยักหน้า “เป้าหมายหลักของพวกมันน่าจะเป็นการยืนยันข่าวกรอง ซึ่งอสูรสยองจำนวนเท่านี้ อัศวินอากาศน่าจะกำจัดได้หมด”


“ไม่ว่าจะกำจัดได้หมดหรือปล่อยให้รอดกลับไปได้สองสามตัวก็ล้วนแต่ไม่กระทบต่อผลลัพธ์สุดท้าย” โรแลนด์รู้ได้ถึงจุดนี้ — ด้วยความเร็วของเกาะลอยเอเลนอร์ การจะหลบอสูรสยองไม่ให้พบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าช้าเร็วยังไงพวกมันก็ต้องเห็นเกาะลอยนี่แน่นอน “สิ่งสำคัญอยู่ที่ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นน้อยที่สุด”


ขนาดของกองทัพอัศวินอากาศนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังศึกบนเทือกเขาสิ้นวิถี เฮฟเว่นเฟลมที่เป็นเครื่องบินรุ่นที่หนึ่งและฟิวรีออฟเฮฟเว่นที่เป็นรุ่นที่สองก็มีจำนวนมากกว่า 200 ลำ แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ศัตรูบุกมาอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหารหรือการสนับสนุนของพวกมันก็ล้วนแต่ไม่มีการจำกัดเอาไว้อีก ต่อให้การต่อสู้จะได้เปรียบแค่ไหน แต่เครื่องบินก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายได้


โรแลนด์ไม่ได้คาดหวังว่าฝ่ายตัวเองจะสามารถกุมความได้เปรียบบนท้องฟ้าได้อย่างเด็ดขาด เขาหวังเพียงแค่ว่าจะสามารถปกป้องเครื่องบินทิ้งระเบิดให้ทำภารกิจทิ้งระเบิดได้สำเร็จ — ซึ่งเป็นการนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องบินที่มีทั้งหมด ถ้าหากอัศวินเกิดความเสียหายอย่างมากในช่วงแรกของการสู้รบ เช่นนี้แผนการช่วงหลังจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน


“ความหมายของท่านคือ ให้ใช้ ‘แผนบี’ ในการโจมตีเหรอ?” ทิลลีเลิกคิ้วถาม


“ถูกต้อง จะได้ถือโอกาสทดสอบผลงานของแม่มดด้วย” โรแลนด์ไม่ลังเลอีกต่อไป “ให้คนของเจ้าเข้าไปในโกดังใต้ดินเถอะ”


…..


หลังจากนั้นสองชั่วโมง ศัตรูก็พบร่องรอยลองเกาะลอยฟ้า


เหมือนกับที่เอดิธส์ว่าเอาไว้ พวกมันมาเพื่อสอดแนมจริงๆ ด้วย แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คืออสูรสยองกลับหยุดอยู่ที่นอกระยะ 4 – 5 กิโลเมตร ปีศาจที่เป็นหัวหน้ายกอุปกรณ์ที่เป็นเหมือนกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังกลับไป ไม่ได้มีความคิดที่จะหยั่งเชิงเลยแม้แต่นิดเดียว


“ดูเหมือนพวกปีศาจจะเรียนรู้มาจากเดอะแมสก์ไม่น้อยเลยนะเนี่ย” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มมุมปากขึ้นมา “ตอนนี้ในที่สุดพวกมันก็รู้จักยำเกรงคู่ต่อสู้แล้ว”


“ศัตรูไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด” ขวานเหล็กจ้องมองดูท้องฟาด้วยสายตาเคร่งเครียด “หลังจากนี้คงจะไม่ได้วงยเหมือนอย่างวันก่อนหน้านี้แล้ว”


“แน่นอน” เสียงของเอดิธส์เยือกเย็นเหมือนกับน้ำแข็งในดินแดนทางเหนือ “และนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ตัดกำลังของพวกมัน!”


….


ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน คลื่นโจมตีแรงของปีศาจก็ปรากฏขึ้นมาบนขอบฟ้า


พวกมันดูเหมือนไม่อยากจะรอแม้แต่วันเดียว


แน่นอนว่าทางกองทัพที่หนึ่งเองก็ได้เตรียมตัวพร้อมรับตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว ประตูที่เชื่อมต่อกับภายนอกทุกบานถูกปิดลง เครื่องบินสองปีกที่ไม่ใช่เครื่องบินสอดแนมลงไปอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินใต้ดิน บนเกาะลอยฟ้าทั้งเกาะไม่เหลือใครอยู่เลย แม้แต่ตัวยอดเขาเนินทิศเหนือที่ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นสะพานเรือก็ยังทำการปิดตายหน้าต่างทุกบาน ในเวลานี้เกาะลอยฟ้าเอเลนอร์เป็นเหมือนภูเขาหินขนาดใหญ่ที่ปิดมิดชิด


เจ้าหน้าที่ระดับสูงมารวมตัวกันอยู่ที่ฐานบัญชาการ โดยใช้แกนพลังเวทมนตร์ในการสร้างภาพลำแสงขึ้นมาเพื่อสังเกตดูเหตุการณ์ภายนอก


อสูรสยองกลุ่มนี้มีประมาณ 200 กว่าตัว ในตอนที่พวกมันเรียงเป็นแถวยาวแล้วมุ่งหน้าเข้ามาหาเกาะลอยฟ้านั้น กระทั่งท้องฟ้าก็ดูมืดหม่นลงไปไม่น้อย


“จุ๊ๆ มากันเยอะเลยนะเนี่ย..” ทิลลีขมวดคิ้วขึ้นมา


โรแลนด์พยักหน้า “นี่หน้าจะเป็นกองทัพแนวหน้าที่เข้ามาหยั่งเชิงเท่านั้น” ไม่ว่ายังไง กองทัพปีศาจที่เดินตามอยู่ด้านหลังเมืองจักรพรรดิก็เป็นกองกำลังปีศาจทั้งหมดของแบล็คสโตน ในเมื่อปีศาจคุ้มคลั่งมีจำนวนประมาณ 10 ล้านตัว อย่างนั้นอสูรสยองก็น่าจะมีไม่น้อยเหมือนกัน


เกรงว่านี้คงเป็นความสงบสุขครั้งสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาแล้ว


‘จำนวนมันก็เยอะอยู่หรอก แต่พวกมันจะทำอะไรภูเขาได้?’ ทันใดนั้นพลันมีเสียงๆ หนึ่งดังแทรกเข้ามาในหัวของทุกคน น้ำเสียงที่ฟังดูขี้เกียจเล็กน้อยทำให้คนที่ได้ยินไม่มีทางลืมแน่นอน


คนที่พูดคือเอเลนอร์


โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา


และนี่ก็เป็นจุดแข็งที่สุดของแผนการรบนี้ — จริงอยู่ที่มนุษย์ไม่อาจทำอะไรพระผู้สร้างได้มากนัก แต่ในทางกลับกัน พวกปีศาจมันก็ทำอะไรเกาะลอยฟ้าไม่ได้มากเหมือนกัน


“หลังจากนี้ฝากเจ้าด้วยนะ”


‘วางใจได้ นี่เป็นการแก้แค้นที่รอคอยมา 400 กว่าปีเลยนะ’ เอเลนอร์ตอบ


ในสายตาของเธอ ตาข่ายที่มองไม่เห็นผืนหนึ่งค่อยๆ กางออก อสูรสยองที่เคลื่อนไหวอยู่บนตาข่ายผืนนี้กลายเป็นตัวเลขเป็นแถวๆ


คณิตศาสตร์นี่มันสนุกจริงๆ เลย….


เธอถ่ายพลังเวทมนตร์เข้าไปในหนวด จากนั้นจึงส่งผ่านไปทั่วทั้งเกาะ แกนเวทมนตร์ขนาดเล็กจำนวนเกือบร้อยอันที่ถูกกระตุ้นค่อยๆ เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา กลไกที่เชื่อมต่ออยู่กับมันก็ค่อยๆ ทำงานขึ้นมา


ป้อมปืนที่ติดตั้งอยู่ริมเกาะพากันหมุนไปยังทิศทางที่ศัตรูบุกเข้ามา ลำกล้องปืนยึดออกมาจากรูยิง ก่อนจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า


วินาทีที่ที่อสูรสยองเข้ามาในระยะยิง ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพ่นออกมาจากปลายกระบอกปืนจนทำให้ตะข่ายที่มองไม่เห็นนั้นกลายเป็นม่านลำแสงอันเจิดจ้าที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)