Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1438-1443
ตอนที่ 1438 ไม่ใช่แค่คนเดียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
สแคทเทอร์สตาร์กำลังคำนวณแปลนออกแบบที่ทางกองอุตสาหกรรมส่งมาให้เหมือนอย่างทุกที
นี่เหมือนเป็นงานที่ไม่มีวันทำเสร็จ แต่มันกลับเติมเต็มเขาได้อย่างน่าประหลาด — มันไม่เหมือนกับการสำรวจดวงดาว ทุกๆ ผลลัพธ์ที่พวกเขาคำนวณออกมาได้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของการออกแบบ ก่อนที่สุดท้ายจะกลายเป็นผลงานที่จับต้องได้ออกมา ถึงแม้ในเวลาว่างเขามักจะใช้กล้องดูดาวอันใหม่ส่องมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่บ่อยๆ แต่ในช่วงสองปีมานี้เขายังทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปที่สถาบันคณิตศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งคำนวณมากขึ้น เขาก็ยิ่งเข้าใจคำพูดของฝ่าบาทที่ตรัสว่า ‘ใช้ตัวเลขในการอธิบายทุกสิ่ง’ ได้มากขึ้น นักโหราศาสตร์ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการสร้าง แต่ถ้าหากเส้นโค้งหรือส่วนของเส้นตรงที่วาดออกมาจากตัวเลขเหล่านั้นมีความสอดคล้องกัน มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ผลการออกแบบนั้นจะใช้งานได้ ทั้งสองอย่างเหมือนมีความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างกันอยู่ บางครั้งเขาแยกไม่ออกว่าการสร้างสรรค์เหล่านั้นเป็นตัวกำหนดตัวเลข หรือว่าตัวเลขเป็นตัวกำหนดการสร้างสรรค์เหล่านั้น
ถ้าหากเขาเข้าใจไปถึงระดับหนึ่งแล้ว มันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะระบุคุณลักษณะพิเศษของวัตถุอย่างหนึ่งได้ด้วยตัวเลขและสมการโดยไม่จำเป็นต้องสร้างมันออกมาจริงๆ
และเป็นเพราะความคิดเชื่อมโยงอันน่ามหัศจรรย์นี้ที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเฝ้ารอคอยที่จะได้เจอสิ่งใหม่ๆ อยู่ทุกวัน
‘ผลการคำนวณสมการที่ 26 คือ 3475…เกินขีดจำกัดแล้วขอรับ” ผู้ช่วยกดปุ่มปุ่มหนึ่งบนเครื่องจักรคำนวณอย่างระมัดระวังพร้อมกับกล่าวรายงาน
เจ้าเครื่องคำนวณนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ฝ่าบาทอันนาทรงสร้างมันขึ้นมากับมือ ในเมื่อเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ไม่เกิน 10 เครื่อง ส่วนใหญ่จะให้ทางสำนักบริหารและสถาบันคณิตศาสตร์เอาไว้ใช้
สแคทเทอร์สตาร์พยักหน้า ในตอนที่เขากำลังจะหยิบปากกาขึ้นเตรียมจดข้อมูลลงไปในสมุด บนหัวเขาพลันมีแสงสว่างสว่างวาบขึ้นมา หลอดไฟส่งเสียงแปลบๆ เหมือนกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง
ทุกคนต่างหยุดงานที่อยู่ในมือเพื่อรอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
“เพล้ง!”
อีกด้านหนึ่งของกำแพงมีเสียงดังขึ้นมา เหมือนมีของบางอย่างตกลงไปบนพื้น
นักปราชญ์ขมวดคิ้วขึ้นมา เขารู้ว่าภายในห้องนั้นมีเครื่องมือที่สำคัญของแม่มดโบราณวางเอาไว้อยู่ แล้วเขาก็ได้กำชับลูกศิษย์เอาไว้หลายครั้งแล้วว่าให้ระวังตอนที่เก็บกวาด ทำไมถึงยังไม่ระวังอีก?
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลูกศิษย์ที่อยู่ภายในห้องจะวิ่งออกมานอกห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ทะ ทะ ท่านอาจารย์! โครงกระดูกอันนั้นมันลอยขึ้นมาขอรับ!”
“อะไรนะ?” สแคทเทอร์สตาร์เลิกคิ้วขึ้นมาแล้วรีบวิ่งไปที่ประตูห้อง จากนั้นเขาก็ต้องลืมตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจ
โครงกระดูกที่เดิมหุบสนิทพลันเปิดกางออกมาเหมือนว่ามันกำลังเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น ส่วนตรงกึ่งกลางของมันก็มีลำแสงที่เจิดจ้าสว่างขึ้นมา ราวกับว่ามันตื่นขึ้นมาจากความฝัน!
เป็นไปได้ยังไง!?
ในสถาบันคณิตศาสตร์มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงการมีอยู่ของร่างเปลือก — นอกจากแม่มดโบราณที่อยู่ในรูปร่างของก้อนเนื้อแล้วก็ไม่มีใครที่จะใช้วัตถุเวทมนตร์นี้ได้อีก พวกเธอขุดทางลับเอาไว้เส้นหนึ่งทางด้านล้างสถาบันคณิตศาสตร์เพื่อเอาไว้เก็บร่างเปลือกศูนย์กลาง และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ภายในสถาบันคณิตศาสตร์ถึงมีเจ้าสิ่งนี้วางเอาไว้อยู่
ลำแสงคงอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ โครงกระดูก็หุบกลับไปเหมือนเดิม ก่อนจะค่อยๆ ลอยบตกลงมาบนพื้น
“ท่านอาจารย์ ข้าแค่ใช้ผ้าเช็ดฝุ่นที่อยู่บนนั้นเอง ข้าไม่ได้ทำอะไรมันเลยนะขอรับ!” ลูกศิษย์คนนั้นรีบอธิบายอย่างลนลาน
“ที่นี่หมดธุระของเจ้าแล้ว ออกไปเถอะ” สแคทเทอร์สตาร์แสร้งทำสีหน้าสุขุม
เมื่อประตูห้องปิดลง เขาจึงหยิบเอากุญแจที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา
นี่คือวิธีเดียวที่จะลงไปยังใต้ดินได้
แม่มดโบราณที่อยู่ในรูปลักษณ์ก้อนเนื้อนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่สิ่งที่อยู่ใต้ดินนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ — ได้ยินว่าเธอไม่มีจิตใจ มีเพียงแค่ความสามารถในการตอบคำถามเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้โซ่ล่ามเอาไว้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหล่านักปราชญ์นั้นคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างนี้ ที่ผ่านมาเธอให้การช่วยเหลือในด้านการตรวจคำตอบเอาไว้เยอะมาก แต่เขาก็ไม่ได้ลืมที่พาซาร์เคยเตือนเอาไว้ว่าถ้าอีกฝ่ายหลุดออกมาจากการคุมขังได้ เรี่ยวแรงอันมหาศาลของร่างเปลือกนั้นสามารถบดขยี้คนที่อยู่ใกล้ๆ ได้สบายๆ
เขาจำเป็นต้องลงไปตรวจสอบให้แน่ใจว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่าย
แต่สิ่งที่ทำให้สแคทเทอร์สตาร์ต้องตกใจก็คือร่างเปลือกศูนย์กลางนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนออกจากตำแหน่งเดิมของมัน หากแต่ทั้งร่างกายของมันหยุดนิ่ง หนวดบิดม้วนเข้าด้วยกัน ไม่มีร่องรอยของการขยับเขยื้อนอีก
เวรแล้ว…ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้…
สแคทเทอร์สตาร์รู้ว่าปัญหานี้มันอยู่เหนือความสามารถของเขาที่จะแก้ไขได้แล้ว
เขารีบหมุนตัววิ่งขึ้นไปข้างบน ขณะเดียวกันก็ตะโกนเสียงดังว่า “ใครก็ได้ รีบไปตามท่านบุ๊คที่ปราสาทมาเร็ว!”
…..
ลำแสงส่องสว่างขึ้นมาก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว จุดสีเทาสว่างขึ้นมาแค่ไม่กี่วินาทีก็ดับลงไปเหมือนกับดาวตก
ล้มเหลว…งั้นเหรอ?
เซลีนมองไปทางตาข่ายเครือข่ายผืนนั้นโดยไม่พูดอะไร มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่เห็นๆ อยู่เธอเชื่อมต่อเข้ากับแกนพลังเวทมนตร์ แต่แสงสว่างกลับไม่ยอมส่องสว่างต่อ?
เดิมเธอคิดจะใช้รูปแบบสมดุลในการเชื่อมต่อกับทั้งสองฝ่ายเอาไว้ จากนั้นค่อยให้ท่านเอเลนอร์เป็นคนวิเคราะห์แกนเวทมนตร์ทั้งสี่นี้ แต่ตอนนี้ความหวังเธอเหมือนจะแตกสลายไปเสียแล้ว
ถึงแม้คิดอยากจะลองอีกครั้ง แต่เธอก็ยากที่จะรวบรวมสมาธิขึ้นมาได้อีก — การรุกล้ำของเดอะแมสก์ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอ
‘ถ้าไม่มีสายแร่หินอาญาสิทธิ์คอยค้ำจุน เครือข่ายก็ไม่สามารถคงอยู่ได้…ยังไงมันก็ต้องการพลังเวทมนตร์ในการทำงาน ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าทำไมถึงต้องปล่อยให้แกนพลังเวทมนตร์เหล่านั้นออกไปอยู่ด้านนอกด้วยล่ะ?’ นาซเพลยักไหล่ ‘ถึงแม้เจ้าจะไม่เข้าใจ แต่ความใจสู้ของเจ้านั้นคู่ควรแก่การยกย่องทีเดียว วิญญาณและความรู้ของเจ้า ข้ารับเอาไว้แล้ว’
‘อย่างนั้นข้าไม่มีทางอนุญาตหรอกนะ’
ทันใดนั้น เสียงๆ หนึ่งที่ไม่ใช่เสียงของทั้งสองคนพลันดังขึ้นมา
เซลีนตกตะลึง เสียงๆ นี้เหมือนเคยได้ยินที่ได้มาก่อน ความรู้สึกคุ้นเคยที่อยู่ในความรู้สึกแปลกหน้ามันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เธอหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังนาซเพล ผมของเธอยาวลงมาจนถึงข้อเข้า ใบหน้าของเธองดงามราวกับภาพวาด ดวงตาสีเทาที่ลืมตาอยู่ครึ่งหนึ่งให้ความรู้สึกเฉื่อยชาที่สลัดออกไปไม่ได้ แล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากสามผู้นำอีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด
“ท่าน…เอเลนอร์!’
เซลีนอุทานออกมา
เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง! หลังผ่านไป 400 กว่าปี เธอจะได้เจอกับผู้นำของสมาพันธ์อีกครั้ง
‘เจ้าคือเซลีนใช่ไหม? ข้าจำเสียงของเจ้าได้ ส่วนเจ้านี่ก็น่าจะเป็นปีศาจระดับสูงสินะ…’ เอเลนอร์กวาดตามองดูรอบๆ ‘ที่นี่คือที่ไหน? ในภาชนะบรรจุวิญญาณอันใหม่เหรอ?’
‘เอาไว้หลังจากนี้ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังเองเจ้าค่ะ แค่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาอธิบายแล้ว!’ เซลีนรีบพูดอย่างร้อนใจ ‘ขอท่านได้โปรดทำให้แกนพลังเวทมนตร์เหล่านี้ทำงานขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็ขับไล่เจ้าปีศาจตัวนี้ออกไปด้วยเจ้าค่ะ! ขืนช้ากว่านี้มันจะไม่ทันการแล้วเจ้าค่ะ!’
‘ฮ่าๆๆ….ฮ่าๆๆๆ…’ เดอะแมสก์หัวเราะขึ้นมา ‘ข้านึกว่าเจ้าจะทำอะไร ที่แท้ก็ส่งของขวัญมาเพิ่มให้ข้านี่เอง! เจ้าตัวเมียนี้มันแข็งแกร่งมากอย่างนั้นเหรอ? เสียดายที่ข้าไม่ได้มีตัวตนจริงๆ อยู่ที่นี่ ความสามารถในการต่อสู้จึงไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรได้ที่นี่ ส่วนเรื่องการวิเคราะห์แกนเวทมนตร์ทั้งสี่นั้นยิ่งน่าหัวเราะเข้าไปใหญ่ ในด้านความสามารถในการคำนวณแล้ว—‘
เมื่อพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มที่อยู่บนหน้านาซเพลพลันหยุดนิ่งไปทันที
มันมองเห็นดาราจักรที่อยู่บนหัวกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนแรกก็มีกลุ่มลำแสงสองสามจุดที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายน้ำที่กำลังไหลย้อนกลับไปทางน้ำตก แล้วทำให้ดาราจักรที่กำลังหมุนอยู่หยุดหมุนลงและบีบให้มันหมุนย้อนกลับ — ภายใต้การสอดประสานกันของทั้งสองแรง แกนพลังเวทมนตร์ทั้งสี่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!
พระผู้สร้างที่เริ่มลอยขึ้นมาใหม่เข้าสู่สภาพลดความเร็วอย่างฉับพลัน หมอกแดงที่กระจายตัวเริ่มหดกลับเข้าไปด้านใน ผิวทะเลสาบหมอกแดงที่มีท่าทีเหมือนจะเดือดพล่านขึ้นมากลับไปเป็นเหมือนผลึกอีกครั้ง ส่วนทหารของกองทัพที่หนึ่งที่อยู่บนลานยกระดับนั้นถูกกดเอาไว้กับพื้นจนยากจะขยับไปไหนมาไหนได้
‘เจ้าเป็นใครกันแน่!?’ นาซเพลถามออกมาอย่างตกใจ ‘แค่คนๆ เดียว ทำไมถึงเข้าใจโครงสร้างของพายุเวทมนตร์ได้เร็วขนาดนี้?’
‘จริงอยู่ที่คนเดียวไม่มีทางทำได้’ เอเลนอร์ยื่นมือขึ้นไปข้างบน เหมือนอยากจะสัมผัสกับภาพเวทมนตร์ที่งดงามอันนั้น ‘แต่ข้าไม่ได้ตัวคนเดียว…’
เสียงๆ หนึ่งดังสนั่นขึ้นมา แสงสว่างที่อยู่รอบๆ ดับลง ตาข่ายและจุดแสงอื่นๆ หายไป ท่ามกลางความมืดเหลือเพียงแค่กลุ่มแสงของพระผู้สร้างเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
เซลีนรู้ว่าศูนย์กลางการควบคุมที่พวกเธออยู่นี้ได้ตัดการเชื่อมต่อกับ ‘เครือข่าย’ แล้ว
ตอนที่ 1439 สามผู้นำคนสุดท้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงคำรามที่ดังไปทั่วทั้งท้องฟ้าพลันเงียบลง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเหมือนเคลื่อนห่างออกจากพวกเธอทั้งสองคนไป
เมื่อเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เซลีนเหมือนจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ — ถึงแม้ร่างกายนี้จะสูญเสียความสามารถในการหลั่งน้ำตาไปแล้ว เธออยากจะเข้าไปกอดอีกฝ่าย แต่พอยื่นหนวดไปได้ครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นหนวดที่น่าเกลียดของตัวเอง
กลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่เดินเข้ามา ก่อนจะประคองหนวดของเธอเอาไว้อย่างไม่ลังเล
‘ข้าไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเคยเห็นร่างเปลือกเสียหน่อย เจ้าจะอายอะไร?’
ยังคงเป็นน้ำเสียงที่เป็นกันเองเหมือนเช่นเคย
น้ำเสียงและใบหน้าที่คุ้นเคยทำเอาเซลีนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ เธอกางหนวดทั้งหมดออกก่อนจะกอดเอเลนอร์เอาไว้ในอ้อมอก
‘ตอนนี้เจ้าค่อยๆ เล่ามาให้ข้าฟังได้แล้วล่ะว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง’ อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ
‘ท่านเอเลนอร์ ท่านพอจะบอกข้าก่อนได้ไหมว่าสถานการณ์ข้างนอกมันเป็นยังไงบ้าง?’ หลังสงบสติอารมณ์ได้ เซลีนก็คิดถึงคำสั่งที่ตัวเองได้รับมอบหมายขึ้นมา — พื้นที่จิตสำนึกนี้ยังอยู่ก็แสดงว่าพระผู้สร้างยังไม่ได้กระแทกลงไปที่พื้นเหมือนที่ศัตรูคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่เธอยังคงอยากได้ยินว่าข้างนอกปลอดภัยดี
‘ถึงแม้จะยังตกลงไป แต่ความเร็วของมันก็น่าจะลดลงถึงระดับที่ไม่เป็นอันตรายก่อนที่จะตกลงไปกระแทกพื้น’ เมื่อพูดถึงตรงนี้ เอเลนอร์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ‘จะว่าไปแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันคือสิ่งที่ปีศาจสร้างขึ้นมาเหรอ?’ แล้วข้ายังเห็นแม่มดอาญาสิทธิ์อยู่ไม่น้อยด้วย — พวกเราสามารถบุกเข้ามาโจมตีเมืองของศัตรูได้แล้วเหรอ? อควาเรียสนาง…ทำสำเร็จแล้วเหรอ…’
ในที่สุดเซลีนก็รู้สึกสบายใจ ‘ข้าเกรงว่า…เรื่องนี้มันจะไม่เหมือนกับที่ท่านคิดเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าจะเล่าคงต้องใช้เวลานานเลยเจ้าค่ะ’
‘การสื่อสารทางจิตสำนึกเหมาะที่จะใช้คุยเรื่องยาวๆ’ เอเลนอร์ถอนหายใจ ‘มาสิ ข้าพร้อมแล้ว’
‘เจ้าค่ะ’ เซลีนพยักหนวดหลัก ‘อย่างนั้นข้าจะเริ่มตั้งแต่ที่ท่านรวมร่างเข้ากับร่างศูนย์กลางแล้วกันนะเจ้าคะ….’
….
ผ่านไปครู่ใหญ่เธอถึงจะหยุดการบรรยาย
‘…อย่างนี้นี่เอง’ ในตอนที่เอเลนอร์เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง ในน้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ ‘สุดท้ายก็ไม่ใช่อควเรียสที่ชนะ แล้วก็ไม่ใช่นาตาย่าที่ชนะ หากแต่เป็นมนุษย์ที่ร่วมใจกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง แต่ข้าสงสัยจริงๆ ว่าในหมู่คนธรรมดาจะมีคนแบบนี้จริงๆ เหรอ?’
‘พวกข้าก็ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะยอมรับในจุดนี้ได้เหมือนกันเจ้าค่ะ กลับกลายเป็นอกาธาที่ก่อนหน้านี้เคยรับสมัครคนธรรมดามาทำงานด้วยที่ปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว ถ้าไม่เป็นเพราะเธอ เกรงว่าคงอีกนานกว่าที่พวกข้าจะยอมรับในเรื่องนี้ได้’
‘ข้าจำชื่อนี้ได้’ เอเลนอร์กะพริบตา ‘ผู้ตื่นรู้อัจฉริยะที่อายุน้อยคนนั้น’
‘ท่านยังจำนางได้ด้วยเหรอเจ้าคะ’ เซลีนพูดอย่างแปลกใจ ‘แม่มดที่สามารถอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้ก็มีแค่นางเท่านั้นที่ยังอยู่ในรูปร่างเดิม’ เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงถามขึ้นมาว่า ‘ท่านเอเลนอร์ ท่านพอจะจำเรื่องราวตอนที่ท่านอยู่ในร่างศูนย์กลางได้หรือเปล่าเจ้าคะ?’
อีกฝ่ายค่อยๆ ส่ายหน้า ‘ความจริงแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ เอเลนอร์ชื่อนี้มันก็ไม่ถูกไปเสียทีเดียว เพราะว่าข้ายังมีเชรีล จัสมิน ซาลีส…แม่มดทุกคนที่รวมร่างเข้ากับร่างศูนย์กลางกลายมาเป็นตัวข้าในตอนนี้ ข้ายังจำเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่จะรวมร่างได้ แต่ในตอนที่อยู่ในร่างศูนย์กลางกลับจำไม่ได้ ข้าไม่สามารถอธิบายความรู้ออกมาได้ มันทั้งสับสนแล้วก็วุ่นวาย มันไม่ใช่แค่การมองไม่เห็นหรือว่าไม่ได้ยิน เหมือนกับจิตสำนึกถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติอยู่’ เธอนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ‘เอ่อ…ถ้าจะให้นึกจริงๆ เรื่องเดียวที่ข้าจำได้น่าจะเป็นเรื่องการคำนวณปัญหากับการวิเคราะห์แกนพลังเวทมนตร์นั่นแหละ’
‘อย่างนั้นท่านมาที่นี่ได้ยังไงเจ้าคะ?’ เซลีนถามอย่างแปลกใจ
‘ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเหมือนมองเห็นแสงสว่างที่พุ่งเข้าไปทำลายความวุ่นวาย ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องวิ่งเข้าไปหามันล่ะมั้ง?’
อย่างนี้นี่เอง สำหรับตัวข้าในตอนนั้นแล้ว ท่านเองก็คือลำแสงที่อยู่ในความมืดอันนั้น….
เซลีนนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะสามารถสะกดอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ในใจได้
เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว การที่ตัวเองสามารถเข้ามาที่นี่ได้อย่างราบรื่นจนผิดปกตินั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับร่างของมาเธอร์ออฟโซลที่นาซเพลได้ทำการปรับปรุงมาแล้ว เมื่อเทียบกับร่างศูนย์กลางของอารยธรรมใต้ดิน ร่างเปลือกอันนี้น่าจะเหมาะกับจิตสำนึกของพวกเธอมากกว่า นี่กลับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเมื่อดูจากศีรษะจำนวนมากที่เดอะแมสก์แสดงออกมา วิธีการ แสดงให้เห็นว่าวิธีการคิดของมันน่าจะมีความซับซ้อนหลากหลายเป็นอย่างมาก ถ้าไม่สามารถประสานจิตสำนึกเหล่านี้ได้ คนที่จะถูกกลืนกินเป็นคนแรกจะต้องเป็นตัวมันอย่างแน่นอน
และก็เป็นเพราะว่าร่างเปลือกทางนี้นั้นเหมาะกับท่านเอเลนอร์มากกว่า ในพริบตาที่ถูกพลังเวทมนตร์เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เธอจึงถูก ‘ดึงดูด’ มาทางนี้
ในเมื่อเธอยังอยู่ ถึงแม้เครือข่ายจะหายไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าร่างเปลือกที่อยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้กลายเป็นร่างเปล่าใหม่อีกครั้ง ส่วนท่านเอเลนอร์ตอนนี้ก็มาอยู่ในร่างมาเธอร์ออฟโซลของปีศาจแทน
หลังจากเซลีนอธิบายการวิเคราะห์ของตัวเองออกมาคร่าวๆ อีกฝ่ายก็พยักหน้าชื่นชมเธอ ‘ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้ พอลืมตาขึ้นก็กลายเป็นปีศาจซะแล้ว นี่มันค่อนข้างเหนือความคาดคิดไปหน่อย แต่เจ้าราชาปีศาจที่ชื่อเดอะแมสก์นั้นเปลี่ยนร่างนี่จนไม่เหลือเค้าเดิมเลยนะ กระทั่งความสามารถในการเคลื่อนไหวก็ไม่มีเหลือเลย เหมือนกับจงใจทำให้มันเป็นแบบนี้อย่างนั้นแหละ’
ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ก็หมายความว่าไม่สามารถเอาข้อมูลออกไปนอกทะเลสาบหมอกแดงได้ แล้วก็ย่อมไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านล่างของหินโอเบลิส ขอเพียงเสาหินยังคงผลิตหมอกแดงออกมาเรื่อยๆ มาเธอร์ออฟโซลก็จะปลอดภัย — การกระทำของเดอะแมสก์เรียกได้ว่าทำอยู่ในจุดอับสายตาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง
‘ขอเพียงพวกเรารู้ว่าท่านเป็นใครก็พอเจ้าค่ะ ภาชนะมันจะเป็นอะไรนั้นไม่สำคัญ’ เซลีนโบกหนวดหลัก ในเสียงของเธอแฝงเอาไว้ด้วยความคาดหวังที่ไม่อาจสะกดเอาไว้ได้ ‘แม่มดคนอื่นๆ ก็ต้องคิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ พวกนางถึงได้ทำให้ท่านปรากฏตัวออกมาอีกครั้งในร่างของสามผู้นำ เอาไว้กลับไปถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว พวกพาซาร์จะต้องดีใจอย่างมากแน่เจ้าค่ะ!’
‘ข้าเองก็อยากเจอพวกนางเหมือนกัน’ เอเลนอร์มองไปยังอีกฟากหนึ่ง ‘แต่ว่าข้าไปไกลขนาดนั้นไม่ได้’
เซลีนตกตะลึงไปเล็กน้อย ‘ทำไมล่ะเจ้าคะ?’
‘หินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างเสาหินโอเบลิสใกล้จะเหี่ยวแห้งลงแล้ว อีกไม่นานมันก็ใช้งานไม่ได้อีก ส่วนมาเธอร์ออฟโซลเองก็จะตายตามไป — ถึงจะพูดยังไงมัน สุดท้ายมันก็คือปีศาจ มันไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนอย่างร่างเปลือก’ เธอพูดอย่างสบายๆ ‘เรื่องสุดท้ายที่ข้าสามารถทำให้พวกเจ้าได้ก็คือการทำให้เมืองแห่งนี้ตกลงไปบนพื้นอย่างช้าๆ’
เซลีนตัวแข็งไปทันที
เธอพบว่าตัวเองลืมเรื่องที่สำคัญอย่างมากเรื่องหนึ่งไป การลอยขึ้นไปเหนือขีดจำกัดของพระผู้สร้างและการลดความเร็วลงนั้นล้วนแต่ต้องใช้พลังงานจากสายแร่หินอาญาสิทธิ์เป็นจำนวนมาก เมื่อครู่นี้ตอนที่เธอเร่งประสิทธิภาพการทำงานของเสาหินโอเบลิส แล้วใช้ ‘เครือข่าย’ เชื่อมต่อเข้ากับดินแดนตะวันตก มันก็ได้เผาผลาญพลังเวทมนตร์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปจนหมดแล้ว ไม่ว่าแผนการที่สองของเดอะแมสก์จะสำเร็จหรือไม่ นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
‘ไม่มีอะไรต้องเสียใจ’ เอเลนอร์ก้มหน้ามอง ‘ความพยายามของเจ้าทำให้ข้าได้เห็นโลกใบนี้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังแตกต่างไปจากเมื่อ 400 ปีก่อนด้วย ครั้งนี้มนุษย์เต็มไปด้วยความหวัง…นี่เป็นผลตอบแทนที่ดีมากแล้ว’
‘แต่ว่า…’
เอเลนอร์ยื่นมือออกมาหยุดคำพูดของเธอเอาไว้ ‘ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ถ้าข้าไม่ปรากฏตัวขึ้นมา ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าข้ากลับมา ไม่แน่มันอาจจะนำพาปัญหาหลายๆ อย่างตามมาก็ได้ เผลอๆ อาจจะกลายเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี’
‘จะเป็นไปได้ยังไงเจ้าคะ?’ เซลีนโบกหนวดหลักพร้อมพูดแย้ง ‘ทุกคนมีแต่จะต้องตื่นเต้นดีใจที่ท่านกลับมาสิเจ้าคะ!’
‘เมื่อกี้เจ้าก็พูดใช่ไหมว่าตอนนี้แม่มดให้กษัตริย์ของมนุษย์คนหนึ่งมาเป็นผู้นำ? ถ้าเขารู้ว่าจู่ๆ ในกองทัพพันธมิตรมีสามผู้นำในยุคสมัยสมาพันธ์ปรากฏตัวขึ้นมา ภายในใจเขาจะรู้สึกอย่างไร? ทาคิลาจะฟังคำสั่งใคร ความเห็นตัวเองยังจะถือเป็นที่สุดอีกไหม…ต่อให้พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีทางที่จะกำจัดความสงสัยนี้ไปได้ พอนานวันเข้ามันก็จะกลายเป็นรอยร้าวฉาน ปกติเจ้าซึ่งเป็นสมาชิกของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับมักจะง่วนอยู่แต่กับการศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ การที่เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร — ดังนั้นวิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือรักษาสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้’
เซลีนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
‘นับตั้งแต่ที่อควาเรียสกับนาตาย่าตายไป ข้าก็เข้าใจในเรื่องนี้’ เอเลนอร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ข้าเป็นสุดยอดอมนุษย์ แต่กลับไม่ได้ผู้นำที่ดี สำหรับคนธรรมดาแล้ว การไม่มีปากมีเสียงบางทีอาจจะเป็นเรื่องนี้ แต่มันไม่เหมาะสำหรับคนที่จะเป็นผู้นำคน ในตอนที่สมาพันธ์กำลังเผชิญหน้ากับการแตกแยก ข้ากลับไม่ยอมทำการตัดสินใจออกมา แท้ที่จริงแล้วนี่ก็ถือเป็นการหลบหนีอย่างหนึ่ง’
‘ท่านเอเลนอร์…’
‘เจ้าไม่ต้องปลอบข้าหรอก ตอนนั้นไม่ว่าข้าจะสนับสนุนอควาเรียสหรือว่านาตาย่าก็จะทำให้สถานการณ์กลายเป็นสองต่อหนึ่ง แบบนั้นสมาพันธ์ก็อาจจะไม่ต้องเกิดความแตกแยก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่จะส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ สุดท้ายข้ากลับเลือกที่จะหนีมันจนทำให้สถานการณ์เลวร้ายจนไม่อาจกลับไปแก้ไขได้’ สายตาเธอดูสับสน เหมือนกับว่าเธอได้กลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดตอนนั้นอีกครั้ง ‘การรวมร่างกับร่างศูนย์กลางหลังจากนั้นเป็นการชดเชยเพียงอย่างเดียวที่ข้าจะทำได้ ตอนนี้หลังจากที่หลอมรวมความปรารถนาของทุกคนเข้าไว้ด้วยกันแล้วกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ข้าก็ยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง ข้าไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นสามผู้นำ ต่อให้กลับไปได้ ข้าก็ไม่มีทางที่จะนำพวกเจ้าได้ดีกว่าเขา ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาแบบนี้นั้นถือว่าดีมากแล้ว…ก่อนที่เสาโอเบลิสจะพังทลายลง เจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าอีกหน่อยแล้วกัน’
‘ท่านอยากจะคุยนานเท่าไรก็ได้เจ้าค่ะ’ เซลีนสูดหายใจ ‘แต่ถ้าข้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร หลังจากนี้ข้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ไม่ว่ายังไง ข้าก็อยากให้ท่านได้ลองคุยกับฝ่าบาทโรแลนด์ด้วยตัวท่านเอง’
‘เซลีน’
‘บางทีท่านอาจจะพูดถูก แต่นั้นมันเป็นมุมมองของคนที่เป็นราชา’ เธอลู่หนวดหลักลงอย่างหนักแน่น ‘อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่เขาคล้ายกับท่านมาก ถ้าท่านบอกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นสามผู้นำ อย่างนั้นเขาก็เป็นราชาที่ดูไม่เหมือนราชามากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาแล้วเจ้าค่ะ’
ตอนที่ 1440 หน้าที่ของแต่ละคน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่พระผู้สร้างตกลงมา ด้านล่างก็เกิดความโกลาหลขึ้น
จู่ๆ เฮคซอดพลันเปิดประตูมิติขึ้น แล้วพาตัวเองกับเซโรเชสมาอยู่ตรงหน้าโรแลนด์เพื่อจะพาตัวโรแลนด์ไป
ส่วนแม่มดอาญาสิทธิ์ก็ห้อมล้อมโรแลนด์เอาไว้อย่างแน่นหนา อีกทั้งยังใช้สร้างอาณาเขตปิดกั้นพลังเวทมนตร์ขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร สถานการณ์ตกอยู่ในความตึงเครียดอย่างมาก ถ้าไม่เป็นเพราะไลต์นิ่งเอาข่าวเรื่องที่แผ่นดินลอยฟ้าเริ่มลดความเร็วมาบอกได้ทันเวลา เซโรเชสคงจะชักดาบออกมาจากฝักแล้วเข้าไปสู้กับแม่มดอาญาสิทธิ์แล้ว
นี่ทำให้โรแลนด์รู้แล้วว่าถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน แต่เป้าหมายในเรื่องผลประโยชน์กลับแตกต่างกัน พูดอีกอย่างก็คือนอกจากวัลคีรีย์แล้ว พวกมันเหมือนจะยังไม่เข้าใจถึงอันตรายของพระเจ้าอย่างแท้จริง ตอนนี้ทุกสิ่งที่พวกมันทำก็ล้วนแต่เป็นเพราะตัวไนท์แมร์ที่ยังถูกขังอยู่ในโลกแห่งความฝันเท่านั้น
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร การที่พระผู้สร้างได้ลดความเร็วในการตกลงไปก็หมายความว่าเซลีนยึดเอาอำนาจการควบคุมแกนเวทมนตร์มาได้สำเร็จ ในที่สุดหายนะก็ผ่านพ้นไปได้
รายงานที่ถูกส่งมาหลังจากนั้นล้วนแต่เป็นข่าวดี กองทัพที่หนึ่งไม่มีใครเสียชีวิต มีทหารเพียงสามนายที่ล้มลงไปจนได้รับบาดเจ็บตอนที่พระผู้สร้างตกลงไปข้างล่างด้วยความเร็วสูง ปีศาจแมงมุมไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอย่างที่คิดเอาไว้ ปีศาจคุ้มคลั่งที่ถูกควบคุมเอาไว้ก็ไม่ได้ก่อความวุ่นวายอะไร ทั้งปฏิบัติการเรียกได้ว่าสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
กระทั่งในตอนที่เซลีนมาอยู่ตรงหน้าโรแลนด์แล้วไม่ยอมพูดอะไร เขาถึงได้รู้ว่าบางทีเรื่องนี้มันคงมีอะไรมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียแล้ว
หากเป็นเวลาปกติ เซลีนคงจะโบกไม้โบกมือแล้วเล่าสิ่งที่ตัวเองเจอในตอนที่ควบคุมพระผู้สร้างออกมาให้เขาฟังแล้ว
และเรื่องจริงมันก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ เผลอๆ อาจจะน่าเหลือเชื่อมากกว่าด้วยซ้ำ
เดอะแมสก์ใช้ร่างแม่ของเผ่าพันธุ์และแกนเวทมนตร์เป็นจุดเชื่อมต่อเพื่อสร้าง ‘เครือข่ายปีศาจ’ ที่ข้ามไปบนแผ่นดินทั้งสอง อีกทั้งยังใช้มันควบคุมการตกของพระผู้สร้างจากทางไกล ส่วนบุคคลสำคัญที่เข้ามาแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดนี้กลับเป็นแม่มดโบราณที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันกิโลเมตร พูดให้ถูกคือเหล่าแม่มดโบราณ
หัวหน้าของพวกเธอคือหนึ่งในสามผู้นำของสมาพันธ์ในอดีต…เอเลนอร์
“นางอยากจะเจอข้างั้นเหรอ?” โรแลนด์ถาม
‘พูดให้ถูกคือหม่อมฉันอยากให้พระองค์ได้เจอนางเพคะ’ เซลีนเล่าความกังวลใจของตัวเองออกมา ‘ถึงแม้นางจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่สามผู้นำที่ดี แต่ความเสียสละและการอุทิศตนที่นางทำเพื่อสมาพันธ์ เหล่าพี่น้องทุกคนล้วนแต่ประจักษ์ดี…ตอนนี้นางได้กลับมาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง หม่อมฉันไม่อยากให้นางหายไปแบบนี้เพคะ’
“พระผู้สร้างลอยต่อไปไม่ได้แล้วงั้นเหรอ…” โรแลนด์เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าไม่มีหินอาญาสิทธิ์ เสาโอเบลิสก็จะผุพังลงไปอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ทางสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับได้เคยทำการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนมาเธอร์ออฟโซลที่เป็นรากฐานของเสาทั้งหมดก็ต้องตายตามมันไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างนั้นสิ่งสำคัญก็อยู่ที่การหาแหล่งกำเนิดเวทมนตร์แห่งใหม่ให้มันก่อนที่มันจะตาย
เรื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่เคยทำมาก่อน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับร่างแม่ของปีศาจเองก็แทบจะเป็นศูนย์ ถ้าหากเป็นเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน เขาคงจะทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้เขามีความช่วยเหลือจากวัลคีรีย์และเฮคซอด บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ก็ได้
‘ฝ่าบาท….’
“วางใจได้” โรแลนด์พูดปลอบ “อีกฝ่ายเป็นผู้กล้าที่ช่วยเหลือเกรย์คาสเซิลและอาณาจักรดอว์นเอาไว้ ต่อให้เจ้าไม่พูด ข้าก็ต้องพยายามที่จะช่วยเหลือนางเอาไว้อย่างแน่นอน”
ในเมื่อทางด้านเทคโนโลยีนั้นน่าจะเป็นไปได้ อย่างนั้นปัญหาที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือเปลี่ยนแปลงความคิดของอีกฝ่าย นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับการรักษาพยาบาล คนที่ในใจมีความศรัทธาก็มักจะมีโอกาสรอดมากกว่าคนที่ยอมแพ้
ซึ่งในเรื่องฝีปากนั้น โรแลนด์มั่นใจว่าเขาไม่เป็นรองใคร
….
เมื่อขึ้นไปบนพระผู้สร้าง เขาก็ไปยืนอยู่หน้าแกนพลังเวทมนตร์ที่กำลังหมุนอยู่ จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้เซลีน
นี่ไม่เหมือนกับโลกแห่งจิตสำนึก โรแลนด์ไม่สามารถเชื่อมต่อกับมันได้ตรงๆ เหมือนอย่างร่างเปลือก ด้วยเหตุนี้เขาจำเป็นต้องให้เซลีนเป็นตัวเชื่อมต่อถึงจะสามารถพูดคุยกับเอเลนอร์ได้
อีกฝ่ายยื่นหนวดหลักออกมา ก่อนจะค่อยๆ แทงเข้าไปในแกนเวทมนตร์ ไม่นาน เสียงๆ หนึ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา
‘ข้าขอเดาว่าเจ้าก็คือราชาของมนุษย์คนนั้น’
‘โรแลนด์ วิมเบิลดัน’ เขาหลับตาลง ก่อนจะใช้น้ำเสียงสบายๆ พูดกลับไปในหัว ‘ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ารู้สึกดีใจอย่างมากที่เจ้าสามารถหลุดออกมาจากร่างศูนย์กลางได้ เอเลนอร์แห่งสามผู้นำ’
‘เสียดายที่เจ้าไม่มีโอกาสได้เห็นตัวจริงของข้า ตอนนี้ร่างกายของข้าเป็นแค่ปีศาจที่น่ารังเกียจเท่านั้น’
‘นั่นมันก็แค่ตอนนี้เท่านั้น ในเมื่อจิตสำนึกของเจ้าสามารถเข้ามาที่นี่ได้ อย่างนั้นก็ต้องมีซักวันที่จะสามารถเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกได้ ที่นั่นเจ้าไม่เพียงแต่จะกลับไปเป็นรูปร่างเดิม แต่เจ้ายังจะได้เจอพี่น้องของเจ้าในอดีตด้วย’
‘โลกแห่งความฝันเหรอ…ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินเซลีนเล่าให้ฟัง นั่นมันเป็นสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ’ เอเลนอร์ชะงักไปเล็กน้อย ‘แต่นางน่าจะบอกเจ้าแล้ว อีกไม่นานสายแร่ที่เห็นหัวใจสำคัญของเมืองแห่งนี้ก็จะถูกใช้ไปจนหมด ข้ารอถึงตอนนั้นไม่ไหวหรอก’
‘แค่เปลี่ยนสถานที่ก็พอ’ โรแลนด์พูดตรงๆ
‘อะไรนะ?’
‘เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็มีสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่ ข้าสามารถย้ายเจ้าไปที่นั่นได้ จริงอยู่ที่มันมีความยากในด้านเทคโนโลยีอยู่ อย่างเช่นจะเอาเจ้าขึ้นมาจากทะเลสาบหมอกแดงได้อย่างไร แล้วจะขนเจ้ากลับมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์โดยไม่มีหมอกแดงได้อย่างไร แต่ข้าเชื่อว่าถ้าหากมีการเตรียมตัวพร้อม มันจะต้องกลายเป็นจริงได้แน่’
‘เพียงแค่ค่าตอบแทนมันก็ไม่ใช่น้อยๆ’ เอเลนอร์เหมือนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ‘การทำแบบนี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับเจ้าเลย เซลีนไปให้สัญญาอะไรกับเจ้าไว้อย่างนั้นเหรอ?’
‘ท่านเอเลนอร์ ข้าไม่ได้ทำแบบนั้น…’ เซลีนพูดแย้ง
‘ทำไมถึงจะไม่มีประโยชน์ล่ะ!’ โรแลนด์พูดตัดบทเธอ ‘การมีอยู่ของเจ้านั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับมนุษย์ เพียงแต่เจ้าไม่รู้ตัวเท่านั้น’
เอเลนอร์ตกตะลึงไปเล็กน้อย ‘สำคัญ…อย่างมาก?’
‘เดอะแมสก์สามารถเข้ามาควบคุมแกนพลังเวทมนต์ผ่านทาง ‘เครือข่าย’ ได้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีก หลังจากนี้แกนเวทมนตร์จะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษาพลังเวทมนตร์ และตอนนี้ก็มีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถไล่มันออกไปได้ เพียงแค่เรื่องนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากแล้ว’ โรแลนด์พูดตรงๆ ‘แต่แน่นอนว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด —‘
จู่ๆ เขาพลันลดความเร็วในการพูดลง แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า ‘ถ้ามนุษย์มีแผ่นดินลอยฟ้าแบบนี้บ้าง ความได้เปรียบบนสนามรบจะต้องมาอยู่ทางฝ่ายเราอย่างแน่นอน!’
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เอเลนอร์เท่านั้น กระทั่งเซลีนก็พลอยตกตะลึงไปด้วย
‘พระองค์ทรงต้องการสร้างพระผู้สร้างขึ้นมาอย่างนั้นเหรอเพคะ?’
‘แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ? พวกเราไม่จำเป็นต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ ที่นี่เองก็มีแกนเวทมนตร์ที่เดอะแมสก์ปรับเอาไว้เรียบร้อย แล้วก็มีผู้ควบคุมที่เหมาะสมด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่เราขาดอยู่ก็มีแค่เพียงเสาหินโอเบลิสเท่านั้น’ โรแลนด์ผายมือออก ‘แต่ข้าไม่ได้ต้องการยกแผ่นดินขนาดใหญ่เท่านี้ขึ้นมา แผ่นดินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 1 – 2 กิโลเมตรก็เพียงพอที่จะยกเครื่องบินทิ้งระเบิดขึ้นมาได้แล้ว เผลอๆ ยังสามารถพาทหารกองทัพนึงไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ได้ด้วย สิ่งสำคัญคือเจ้าสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างของแกนเวทมนตร์พวกนี้ได้ แล้วก็เอามันไปใช้บนสายแร่หินอาญาสิทธิ์แห่งใหม่ — ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าสุดท้ายแล้วไม่สำเร็จ ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าด้อยกว่าเดอะแมสก์หรอกนะ อย่างน้อยเจ้าก็พยายามเต็มที่แล้วใช่ไหมล่ะ?’
คิดว่าตัวเองเป็นสามผู้นำที่ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ? ไม่เป็นไร แค่เปลี่ยนเป้าหมายให้เจ้าใหม่ก็พอ กระทั่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็เตรียมเอาไว้ แถมยังว่ากันแบบไม่ปิดบังด้วย พูดขนาดนี้แล้ว เจ้าคงจะไม่ปฏิเสธอีกหรอกนะ?
ภายในหัวเขาพลันเงียบลง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เอเลนอร์จึงถอนใจออกมา ‘ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่า ‘ราชาที่ไม่เหมือนราชา’ มันหมายความว่าอย่างไร’
‘เอ่อ? มันคืออะไร?’
‘เปล่า ข้าไม่ได้พูดอะไร’ ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายเหมือนพยายามจะกลบเกลื่อนอะไรอยู่ ‘เพียงแต่คุณโรแลนด์ เจ้าเหมือนจะลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไป ทั้งหมดที่เจ้าคิดเอาไว้นี้ล้วนแต่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสามารถเคลื่อนย้ายร่างมาร์เธอออฟโซลร่างนี้ไปได้สำเร็จ ข้ารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าสุดท้ายไม่ประสบความสำเร็จ ข้าก็ไม่มีทางโทษเจ้าเหมือนกัน’
‘ท่านเอเลนอร์!’ เซลีนพูดอย่างดีใจ
‘แน่นอน’ โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา ‘พวกเราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองอยู่นี่นา’
‘อย่างนั้นก็รีบเลือกจุดตกเถอะ เจ้านี้ใกล้จะลอยไม่ไหวแล้ว’
‘ข้าคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว’ เขาลืมตามองไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าพระผู้สร้างจะตกลงไปบนตำแหน่งไหนในเกรย์คาสเซิลก็ล้วนแต่จะกลายเป็นอุปสรรคขนาดใหญ่ มีแค่มหาสมุทรเท่านั้นถึงจะรับยอดเขากลับหัวนี้เอาไว้ได้ ถ้าเลือกจุดตกได้เหมาะสม มันกลับจะกลายเป็นการเพิ่มเกาะให้กับเกรย์คาสเซิลอีกแห่งหนึ่ง ‘ให้มันตกแถวซีวินด์เชียร์แล้วกัน’
ตอนที่ 1441 เห็นพ้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่เอเลนอร์บอกว่าทนได้อีกไม่นานนั้น ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้สั้นขนาดนั้น
กว่าพระผู้สร้างจะเคลื่อนที่และตกลงในที่หมายนั้นก็ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกประมาณสองวัน โรแลนด์เองก็ได้ส่งกองทัพที่หนึ่งออกไปทำการตรวจตราบริเวณชายฝั่งของซีวินด์เชียร์อย่างละเอียดรอบหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในตอนที่พระผู้สร้างตกลงไปในทะเล
ในเวลาตอนเย็นในอีกสองวันหลังจากนั้น ด้านล่างของแผ่นดินลอยฟ้าได้สัมผัสกับผิวน้ำทะเลเป็นครั้งแรก เมื่อมองจากที่ไกลๆ ภูเขากลับหัวเหมือนตั้งตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้า แล้วก็เป็นครั้งสุดท้ายที่มันจะได้เผยโฉมหน้าทั้งหมดของมัน เมื่อภูเขากลับหัวค่อยๆ จมลงไปในทะเลน้ำวน ระดับน้ำทะเลก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หาดทรายที่อยู่นอกท่าเรือจมหายไปในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว เกลียวคลื่นข้ามทำนบกั้นน้ำเข้ามาปะทะกับสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อย่างเช่นโกดังตรงท่าเรือ
พวกเศษซากเรือที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงท่าเรือถูกคลื่นทะเลที่มนุษย์สร้างขึ้นมานี้ลากไปลากมา สุดท้ายก็แตกกระจายออกเป็นเช่นเล็กชิ้นน้อย เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
โรแลนด์ยืนมองดูภาพพระผู้สร้างจมหายลงไปในทะเลอยู่บนที่สูงที่ปลอดภัย
เพราะภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงามแบบนี้คงจะไม่ได้เห็นเป็นครั้งที่สองแล้ว
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเสียใจก็คือไม่มีบทกลอนที่คลอเคลียไปกับภาพเหตุการณ์นี้
ตามธรรมเนียมในประวัติศาสตร์ ในเวลานี้แบบนี้ถ้ามีการท่องกลอนคลอไปด้วย ไม่ว่าระดับการแต่งกลอนจะเป็นอย่างไร มันก็จะต้องถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์พร้อมกับภาพที่อยู่ด้านหลังเขาอย่างแน่นอน
สุดท้าย แสงสุดท้ายยามเย็นก็ปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลังของพระผู้สร้างเป็นครั้งแรก แสงสะท้อนระยิบระยับของมันเป็นเหมือนแถบแสงที่พาดผ่านแผ่นดินแห่งใหม่นี้แล้วทอดยาวไปถึงพื้นด้านล่างของซีวินด์เชียร์ ราวกับจะเชื่อมทั้งสองที่เข้าด้วยกัน
ถึงแม้พระผู้สร้างจะมีขนาดใหญ่โตมหึมา แต่เมื่อเทียบกับทะเลน้ำวนแล้วมันก็ยังดูเล็กอยู่ กระทั่งมันฝังตัวลงไปในก้นทะเลและกลายเป็นเกาะๆ หนึ่งแล้ว ช้าเร็วน้ำทะเลที่ไม่ได้ข้ามท่าเรือเข้ามาก็จะถอยกลับไป ช่องว่างระหว่างเกาะกับแผ่นดินจะกลายเป็นเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ ขณะเดียวกันมันยังทำให้ระยะห่างระหว่างเกรย์คาสเซิลกับฟยอร์ดหดสั้นลงด้วย โรแลนด์มองเห็นภาพมันกลายเป็นเกาะการค้าที่เจริญรุ่งเรือง
“คิดไม่ถึงเลยว่าอาวุธสุดยอดของปีศาจจะกลายเป็นดินแดนแห่งใหม่ของอาณาจักร” ไนติงเกลที่มาชมเหตุการณ์เป็นเพื่อนเขาอุทานออกมา “หลังจากนี้แผนที่เกรย์คาสเซิลคงต้องทำการแก้ไขอีกแล้ว”
“เทียบกับเรื่องนี้แล้ว ข้าเป็นห่วงเรื่องปีศาจที่อยู่บนนั้นมากกว่าว่าเราควรจะจัดการอย่างไร” ฟิลลิสนั้นสนใจปัญหาที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า “ถ้าไม่มีสถานีแจกจ่ายหมอกแดงระหว่างทาง พวกมันก็ไม่มีทางกลับไปถึงสันหลังของทวีปแน่”
“เรื่องพวกนี้เอาไว้ค่อยตกลงกันตอนหารือกันก็แล้วกัน พวกเราเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างน้อยผลที่ออกมาก็ไม่ถือว่าแย่อะไร” ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ โรแลนด์นึกถึงถึงโลกแห่งความฝันขึ้นมา ที่นั่น เผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนแต่มาจากเกาะที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ซึ่งภาพที่อยู่ตรงหน้ามันให้ความรู้สึกที่คล้ายกันเลย “ส่วนดินแดนแห่งใหม่นี้ก็เรียกมันว่าเกาะคาร์การ์ดก็แล้วกัน”
….
หลังจากนั้นการประชุมทั้งสามฝ่ายก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นมากนัก
หลังจากที่ได้รู้เรื่องแผนการอันน่าตกใจของเดอะแมสก์และรู้ว่าจักรพรรดิทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เฮคซอดก็ดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด คำถามบางคำถามมันถึงขนาดให้เซโรเชสเป็นคนตอบแทน
โรแลนด์เหมือนจะเดาความรู้สึกของมันออก ไม่ว่ายังไงสกายลอน์ดก็ไม่อยากจะเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิก่อนที่จะได้หลักฐานที่แน่ชัดมา แต่ตอนนี้จักรพรรดิรู้เรื่องทั้งหมดที่พวกมันทำแล้ว นี่ก็เท่ากับว่าตัวเองไม่มีทางให้ถอยอีก สำหรับเฮคซอดที่ระมัดระวังในทุกๆ เรื่องแล้ว ภายในใจมันจะต้องเกิดความรู้สึกกังวลใจอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกันแล้ว ไซเลนท์กลับมีความสุขุมกว่าเยอะ ราวกับว่าขอเพียงวัลคีรีย์ไม่เป็นไร เรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมัน
แผนการจัดการกับปีศาจที่หลงเหลืออยู่บนพระผู้สร้างถูกกำหนดออกมาอย่างรวดเร็ว
โรแลนด์ไม่มีทางเห็นด้วยที่พวกมันจะตั้งเส้นทางขนส่งหมอกแดงไปตามชายแดนของสี่อาณาจักรใหญ่ ราชาทั้งสองเองก็ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของพวกร่างชั้นต่ำ ด้วยเหตุนี้พวกร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์จึงจะอยู่บนเกาะต่อไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนการก่อสร้างหลังจากนี้ ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่พันกว่าตัวก็จะเข้าสู่สภาวะจำศีลเพื่อประหยัดหมอกแดง เอาไว้เมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมค่อยทำการเคลื่อนย้ายต่อไป
ในเวลานี้เสาหินโอเบลิสอยู่ในสภาพที่ตายไปแล้ว มีเพียงแค่ทะเลสาบหมอกแดงเท่านั้นที่พอจะมีละอองชีวิตให้พวกปีศาจได้ใช้ อีกทั้งมันยังจะค่อยๆ หมดไปด้วย สำหรับปีศาจที่ต้องพึ่งพาหมอกแดงแล้ว ที่นี่ได้กลายเป็นเกาะร้างแห่งหนึ่ง ดังนั้นหลังจากที่ช่วยทำการเคลื่อนย้ายร่างมาเธอร์ออฟโซลแล้ว เฮคซอดก็จะพาไซเลนท์กลับไปยังเมืองสกายเพื่อชิงเอาอำนาจในการควบคุมกองกำลังที่เหลือเอาไว้
ในเมื่อความเคลื่อนไหวของตัวเองทั้งหมดถูกจักรพรรดิรับรู้แล้ว อย่างนั้นในมือมีกองกำลังเอาไว้หน่อยมันก็ไม่เสียหายอะไร
เมื่อดูจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว มันเหมือนจะไม่อยากเป็นศัตรูกับจักรพรรดิตรงๆ โรแลนด์เองก็ไม่คิดที่บีบบังคับมัน เพราะถ้าไปกลับคำพูดก่อนที่สงครามจะเริ่มมันอาจจะก่อให้เกิดหายนะได้
ส่วนเรื่องสุดท้ายก็คือนาซเพล
การหารือครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงเซลีนกับเซโรเชสเท่านั้น กระทั่งราชาทั้งสองก็มีความเห็นตรงกันว่าอีกฝ่ายต้องตาย
จากคำพูดที่เฮคซอดว่ามา ต่อให้มันวิวัฒนาการไปจนกระทั่งสมบูรณ์แบบจริงๆ มันก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าพันธุ์ เส้นทางที่มันเลือกก็เพื่อการมีอยู่ของตัวเองเท่านั้น ทันทีที่มันทำสำเร็จ เผ่าพันธุ์ก็จะเหลือเพียงแค่ชื่อ พูดอีกอย่างก็คือ….เผ่าพันธุ์จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตคนละชนิดกับมัน
“ปัญหาอยู่ที่ว่าตอนนี้มันสามารถใช้ ‘เครือข่าย’ ในการเปลี่ยนร่างกายได้ แล้วข้าควรจะกำจัดมันอย่างไรดี?” โรแลนด์ถามปัญหาสำคัญออกมา
‘ถ้ารอจนกระทั่งแผนการของมันสำเร็จ การจะกำจัดมันก็คงเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้แผนการของมันยังดำเนินไปไม่ถึงขั้นนั้น’ เซลีนถ่ายทอดคำพูดของเอเลนอร์ออกมา ‘ก่อนที่จะตัดขาดการเชื่อมต่อกับมัน ข้าสามารถรับรู้ได้ว่าจุดเชื่อมแต่ละจุดนั้นมีระดับความแข็งแกร่งที่ต่างกันอยู่มาก และจุดเชื่อมต่อที่สามารถเทียบกับพระผู้สร้างได้ก็มีอยู่แค่แห่งหรือสองแห่งเท่านั้น’
‘เจ้าตัวเมีย — แม่มดโบราณคนนี้พูดถูก” หลังถูกแม่มดอาญาสิทธิ์จำนวนมากถลึงตาใส่ เฮคซอดก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “นาซเพลแอบทำเรื่องทั้งหมดนี้โดยไม่ให้จักรพรรดิรู้ มันถึงไม่น่าจะมีโอกาสไปทำการปรับเปลี่ยนมาเธอร์ออฟโซลของแต่ละเมืองให้อยู่ในระดับเดียวกันได้ ซึ่งจุดเชื่อมต่อที่ยังไม่ได้ทำการปรับเปลี่ยนเหล้านั้นก็น่าจะไม่สามารถส่งจิตสำนึกออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้นหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ก็จะถูกอาณาจักรซีสกายทำลายลงทีละอัน ดังนั้นสถานที่ที่มันจะไปได้ถึงมีอยู่ไม่มาก ตอนนี้ข้าเดาว่าเดอะแมสก์น่าจะอยู่ที่เมืองจักรพรรดิ”
ช่างเป็นสไตล์ของเฮคซอดจริงๆ
โรแลนด์คิดในใจ ถ้าอยากจะทำลายนาซเพล ก็จำเป็นต้องทำลายเมืองจักรพรรดิ และในเมืองจักรพรรดินอกจากเดอะแมสก์แล้ว จักรพรรดิเองก็อยู่ในนั้นด้วย — ถึงแม้มันจะแสดงออกให้เห็นว่าไม่อยากจะเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิ แต่ในคำแนะนำนี้มันกลับผลักให้จักรพรรดิกลายเป็นเป้าด้วย
แต่ว่าแผนการนี้ก็ถูกใจโรแลนด์อย่างมากเหมือนกัน
เขาไม่อยากให้ในดินแดนของตัวเองมีเหตุการณ์พระผู้สร้างตกลงมาอีกครั้งหนึ่ง
การฉวยโอกาสโจทตีเมืองจักรพรรดิที่กำลังลอยตามมาให้ร่วงตกลงในที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก่อนที่ศัตรูจะเปิดจากโจมตีกลับอย่างเต็มที่นั้นเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงให้ต่ำที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการปรากฏตัวของเอเลนอร์นั้นได้เพิ่มความเป็นไปได้ให้กับแผนการนี้อย่างมาก
ทันทีที่เขาได้เกาะลอยฟ้ามา เขาก็จะสามารถร่นระยะทางการบินของกองทัพอัศวินอากาศได้ ในจุดนี้ถือเป็นประโยชน์สำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่อย่างมาก — จุดที่ยากที่สุดของโปรเจคนี้อยู่ที่การสร้างเครื่องยนต์พลังงานสูงรุ่นใหม่ขึ้นมา จากแผนการที่ทางศูนย์ออกแบบเกรย์คาสเซิลให้พา ตั้งแต่การสร้าง การประกอบ ไปจนถึงการทดลองบิน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี แต่เมื่อลานบินเคลื่อนที่ที่อยู่กลางอากาศ เครื่องยนต์ของมันก็พอจะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์สิบสี่สูบของฟินิกส์ได้ เช่นนี้แล้ว อีกไม่นานโปรเจคเครื่องบินทิ้งระเบิดก็จะเป็นรูปเป็นร่างออกมาให้ได้เห็นกัน
ตอนที่ 1442 สายน้ำหลาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขตเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่า เฮอร์มีส
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่านี้ อารมณ์ความรู้สึกของมาร์เวนเรียกได้ว่าเหวี่ยงขึ้นลงอย่างมาก
นับตั้งแต่ที่สกายลอร์ดพาเข้าขึ้นไปบนพระผู้สร้าง เขาก็ตัดสินใจแล้วเขาจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้แน่นๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีทางปล่อยมือเด็ดขาด
ทั้งอาวุธปืน นกเหล็กอะไรนั้นล้วนแต่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าเมืองบินได้แห่งนี้
นี่ต่างหากถึงจะเป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้คนต้องก้มหน้าบูชา!
หลังจากนั้นเขาเองก็พยายามลืมเรื่องในอดีตและพิสูจน์คุณค่าของตัวเองออกมา เขารวบรวมชาวบ้านมาทำงาน พยายามก่อสร้างจุดจ่ายหมอกแดงอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังได้รับคำชมเชยจากสกายลอร์ดมาหลายครั้ง นี่ทำให้สถานะของเขาในหมู่ขุนนางยิ่งมีความมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนเป็นหัวหน้าของทุกคน
ทว่านับตั้งแต่จดหมายที่ส่งมาจากทางเหนือฉบับนั้นส่งมา ชีวิตอันสุขสงบของมาร์เวนก็ถูกทำลาย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสกายลอร์ดจะให้ความสำคัญกับกระดาษที่ดูน่าขันแผ่นนี้อย่างมาก หลังจากหายตัวไปหลายสัปดาห์ เรื่องแรกที่สั่งให้เขาทำก็คือให้พวกเขารีบเดินทางไปที่ตีนเขาเฮอร์มีสและอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่อสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจดหมายฉบับใหม่ — ส่วนคนส่งเป็นใคร อีกนานแค่ไหนถึงจะส่งมาถึง หรือกระทั่งสถานที่ในการรับจดหมายอยู่ที่ไหนก็ล้วนแต่ไม่รู้
ความจริงแล้วมาร์เวนไม่อยากจะออกไปจากพระผู้สร้างเลย ต่อให้ที่นี่จะเต็มไปด้วยปีศาจ แต่มันก็เป็นปีศาจที่ไม่แย่งชิงตำแหน่งและอำนาจของเขาไป เพียงแต่คำสั่งของราชาปีศาจนั้นยากจะขัดได้ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะไปยังตีนเขาเฮอร์มีส ส่วนเหตุผลที่เลือกที่นี่ก็แค่เพราะเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่าแห่งนี้อยู่ใกล้พระผู้สร้างมากกว่า
ในเวลานี้ทางด้านเหนือของสี่อาณาจักรใหญ่ได้ถูกหมอกแดงปกคลุมเอาไว้หมดแล้ว คนเกรย์คาสเซิลเหมือนจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสู้กับปีศาจ ตอนที่อยู่ด้านล่างเขาก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากตอนเป็นดยุคเท่าไร ในมือมีชาวบ้านอยู่ในปกครองเป็นจำนวนมาก แล้วก็ยังมีขุนนางบางส่วนที่ติดตามมาด้วย แต่การรอคอยจดหมายฉบับหนึ่งโดนไม่รู้ว่ามันจะส่งมาถึงเมื่อไรนั้นทำให้เขาค่อนข้างร้อนใจ เพื่อที่จะทำภารกิจให้เสร็จในเร็ววันแล้ว มาร์เวนถึงขนาดยอมเสี่ยงขยายขอบเขตการทำงานของเขาออกไปโดยไม่กลัวว่าชาวบ้านจะแอบหลบหนีไป ในช่วงเวลานี้มีเหตุการณ์ที่ชาวบ้านแอบหนีไปหลายต่อหลายครั้ง เขาเองก็จับคนเหล่านั้นมาแขวนคอเพื่อเป็นตัวอย่าง ขณะเดียวกันก็ตบรางวัลให้กับเบาะแสที่มีความเป็นไปได้ แต่สุดท้ายจดหมายฉบับนั้นก็ไม่มาถึง
ถ้าบอกว่าเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นปัญหาในเรื่องของโชค อย่างนั้นเรื่องราวหลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของมาร์เวนไปไกลมาก
จู่ๆ พระผู้สร้างก็ลอยขึ้นสูงแล้วเดินหน้าไปทางตะวันออก ก่อนที่สุดท้ายจะหายลับไปจากสายตาของเขา — นี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เมืองแห่งปาฏิหาริย์ที่เดิมลอยอยู่ด้านหลังนั้นเป็นที่พึ่งพิงที่สำคัญที่สุดของเขา เมื่อไม่มีมัน การกินการอยู่ของเขาก็เรียกได้ว่าลำบาก ที่แย่กว่านั้นก็คือสกายลอร์ดไม่เคยโผล่หน้ามาอีกเลย เหมือนกับว่ามันลืมเรื่องจดหมายฉบับไปแล้ว
ไม่นานนัก เขาก็ได้ยินข่าวว่าแผ่นดินลอยฟ้าถูกคนเกรย์คาสเซิลโจมตีจนตกลงมา
ความจริงแล้วภายในใจมาร์เวนไม่เชื่อข่าวลือพวกนี้ — นั่นมันเป็นภูเขาลอยฟ้าที่กว้างหลายสิบกิโลเมตรเลยนะ ถ้าคนเกรย์คาสเซิลมีความสามารถในการทำลายภูเขาจนราบเป็นหน้ากลองจริงๆ ทำไมถึงต้องรอจนถึงตอนนี้ค่อยใช้ออกมาด้วย!
เสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนจะฉลาดเหมือนอย่างเขา
ไม่นานผู้คนก็เริ่มหวั่นไหวกับข่าวนี้ เขาพบว่าตัวเองเริ่มควบคุมขุนนางคนอื่นไม่อยู่แล้ว
เรื่องที่ทางสกายลอร์ดยังไม่มีการส่งข่าวอะไรกลับมาก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้น
ภายในใจเขารู้สึกย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ นอกจากใช้เหล้ากับผู้หญิงมาคลายทุกข์แล้ว เขาก็แทบจะไม่อยากทำอะไรเลย วันเวลาเหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่เขาอยู่ในเมืองหลวงของอีเทอร์นอลวินเทอร์ในอดีต
“แซค แซค!” ในตอนที่เหล้าองุ่นถูกเทจนหมดแล้ว มาร์เวนก็ตะโกนเรียกชื่อของพ่อบ้าน
“นานท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?” พ่อบ้านรีบเปิดประตูห้องเข้ามา
“คืนนี้หาสาวๆ มาให้ข้าซัก 2 – 3 คน เอาสาวๆ สวยๆ นะ” เขาพูดจาอ้อแอ้
“แต่ว่า เมื่อคืนท่านเพิ่งจะสั่งพวกเขา…”
“นั่นมันเรื่องเมื่อวาน! ข้าเป็นดยุค นี่คืออำนาจของข้า เข้าใจไหม? พวกเขาควรจะมอบทุกอย่างให้ข้า!”
“ขอรับ…ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” พ่อบ้านตอบพร้อมก้มหน้า
“เออใช่ คนที่ส่งออกไป…มีข่าวใหม่บ้างไหม?” การที่มาร์เวนไม่เชื่อข่าวซุบซิบตามตรอกซอกซอย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปพิสูจน์มันด้วยตัวเอง — ความจริงแล้ว ในตอนที่พระผู้สร้างออกไปจากที่ราบสูงเฮอร์มีส เขาก็ส่งคนตามออกไปหลายกลุ่ม เพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่ามันไปที่ไหนกันแน่ เพียงแต่ประสิทธิภาพการทำงานของคนเหล่านี้ค่อนข้างแน่ จนกระทั่งเมื่อวานนี้เพิ่งจะมีคนกลับมาแค่ไม่กี่คน
พ่อบ้านส่ายหน้า “จนถึงตอนนี้เรารู้เพียงแค่ว่าระหว่างทางที่ไปยังเกรย์คาสเซิลไม่มีการต่อสู้กับพระผู้สร้างเกิดขึ้น อีกประมาณสองวันน่าจะมีข่าวที่ชัดเจนแจ้งกลับมาขอรับ”
“ไอพวกหน้าโง่….” มาร์เวนสบถขึ้นมาพร้อมกับเปิดเหล้าขวดใหม่ “เอาล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว”
อย่างนั้นก็รออีกสองวันแล้วกัน
หมอกแดงกำลังสลายตัวไป คนเกรย์คาสเซิลจะกลับมาเมื่อไรก็ไม่รู้ เขาจำเป็นต้องคิดหาทางถอยให้ตัวเอง ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาขัดคำสั่งสกายลอร์ด ใครเก็บจดหมายได้มันก็เหมือนกัน อย่างมากเขาก็แค่ได้ความดีความชอบน้อยหน่อยเท่านั้น
แน่นอนว่าอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นไม่ใช่สถานที่ที่เขาอยากจะไป ที่นั่นได้ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าไม่สามารถป้องกันการบุกโจมตีของคนเกรย์คาสเซิลได้
มาร์เวนได้ยินมาจากปีศาจระดับสูงตัวอื่นๆ ว่าพระผู้สร้างอีกแห่งหนึ่งกำลังบินมาทางนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเมืองที่จักรพรรดิของปีศาจอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นทางถอยที่เหมาะสมอย่างมาก
ขอเพียงเดินทางไปตามเส้นทางที่ปีศาจเคลื่อนย้ายก่อนหน้านี้ก็น่าจะหามันเจอได้ไม่ยาก
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะพาไปแค่ขุนนางที่จงรักภักดีที่สุด
ไม่นานเวลาค่ำคืนก็มาเยือน แต่สาวๆ ของมาร์เวนกลับไม่ปรากฏตัว
นี่ทำให้เขารู้สึกโมโหขึ้นมา ดูเหมือนพ่อบ้านของตัวเองก็เริ่มใช้การไม่ได้แล้วเหมือนกัน
เขาอดทนอยู่ชั่วโมงหนึ่ง ในตอนที่ด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา คำพูดที่เตรียมต่อว่าก็ไหลทะลักขึ้นมาถึงลำคอของมาร์เวน
แต่คนที่เปิดประตูเข้ามากลับไม่ใช่พ่อบ้าน หากแค่เป็นชาวบ้านที่เนื้อตัวสกปรกกลุ่มหนึ่ง ในมือพวกเขาบางคนถือจอบ บางคนก็คือคานหาบเอาไว้ ดูแล้วเหมือนกับกลุ่มคนหลายๆ กลุ่มมารวมตัวกัน ดยุคมองพวกเขาวิ่งเข้ามาในห้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ พรมขนสัตว์ภายในห้องนอนถูกเหยียบย่ำจนเต็มไปด้วยดินโคลน
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าคฤหาสน์ของตัวเองถูกพวกชั้นต่ำเหยียบย่ำเข้ามา เขาจึงตะโกนเสียงดังออกไป “ทหาร ทหาร!”
แต่มาร์เวนก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมา
สิ่งที่ขัดจังหวะเขาขึ้นมาคือศีรษะที่เปื้อนเลือดศีรษะหนึ่ง นั่นเป็นศีรษะของแซคผู้ซึ่งเป็นพ่อบ้านของเขา
อาการเมาของมาร์เวนสร่างไปกว่าครึ่ง
“พวกเจ้าจะทำอะไร!?”
“ทุกคนถูกเจ้ากดขี่มามากพอแล้ว มาร์เวน ไพค์!” คนที่เป็นหัวหน้าตะโกนขึ้นมา “เพื่อคำสั่งบ้าๆ ของเจ้าแล้ว หลายคนต้องทำงานจนเหนื่อยตายอยู่ในเหมืองหิน แต่เจ้ากลับไม่ถามไถ่ซักคำ แม้แต่เงินค่าแรงที่ควรจะให้ก็หักไป! พวกเราไม่ใช่คนใช้ของเจ้า แล้วก็ไม่ใช่ทาสของเจ้าด้วย!”
“ขุนนางไม่ได้สูงกว่าชาวบ้านธรรมดา คนเกรย์คาสเซิลพูดถูก!”
“กลางวันต้องทำงานให้พวกสัตว์ประหลาด ตกกลางคืนยังต้องส่งลูกเมียมาให้อีก เจ้านั่นแหละที่เป็นปีศาจ!”
“ตอนนี้มัดมือมัดเท้าแล้วตามพวกข้าไปที่เกรย์คาสเซิลซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้คิดจะออกไปจากห้องนี้เลย!”
บ้าเอ้ย มาร์เวนคิดอย่างเจ็บแค้น เจ้าพวกนี้ถูกความคิดของคนเกรย์คาสเซิลเข้าครอบงำแล้ว รู้อย่างนี้ เขาไม่น่าส่งพวกเขาไปให้ไปหาข่าวที่นอกเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่าเลย
“ข้าคือดยุค พวกเจ้ากล้าลงมืองั้นเหรอ?” ด้านพูดเตือนพร้อมกับชักมีดดาบที่อยู่ข้างโต๊ะออกมา เมื่อเทียบกับ ‘อาวุธ’ ในมืออีกฝ่ายแล้ว ดาบเล่มนี้เห็นได้ชัดว่าคมมากกว่า ในเมื่อพวกเขาสามารถบุกเข้ามาที่นี่ได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย ก็แสดงว่าพวกทหารและคนรับใช้ต่างก็หักหลังเขากันหมดแล้ว เขาจำเป็นต้องหนีออกไปจากที่นี่ จากนั้นติดต่อกับขุนนางคนอื่น แล้วค่อยรวบรวมอัศวินกลับมากำจัดชาวบ้านพวกนี้!
ชื่อของดยุคทำให้ทุกคนต่างหยุดชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ได้ตัวเปล่าๆ เหมือนอย่างพ่อบ้าน ตระกูลไพค์ปกครองรีเฟลคสโนว์มาหลายชั่วอายุคน สำหรับชาวบ้านของอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว สถานะของเขานั้นเรียกได้ว่าสูงส่งจนไม่มีทางเอื้อมถึง มาร์เวนเองก็มองเห็นในจุดนี้ เขาถึงได้จงใจวางท่าทีสูงส่ง เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครที่กล้าลงมือจริงๆ
แต่ทันใดนั้นเอง ก้อนหินก้อนหนึ่งได้ลอยออกมาจากความมืด ก่อนจะกระแทกใส่แก้มของเขา
ความเจ็บปวดทำเอามาร์เวนหยุดนิ่งอยู่กับที่
พวกมันกล้าลงมือจริงๆ เหรอเนี่ย?
ชายแก่ผมขาวคนหนึ่งพุ่งออกมาจากกลุ่มคน ก่อนจะตะโกนร่ำไห้แล้วพุ่งใส่เขา “เจ้าปีศาจ คืนลูกสาวข้ามานะ—-!”
มาร์เวนยกดาบขึ้นมาแทงไปที่หน้าอกอีกฝ่าย
ในตอนที่เขารู้ตัวอีกที พวกชาวบ้านก็กรูกันมาห้องล้อมเขาเอาไว้แล้ว — การตายของชายแก่เหมือนเป็นการเปิดประตูออก อารมณ์ที่เหล่าชาวบ้านอัดอั้นเอาไว้เป็นเวลานานถูกปลดปล่อยออกมา
จอบ คานไม้กระหน่ำตีไปบนร่างของมาร์เวนราวกับห่าฝน เขาเหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกของตัวเองหัก
“ไอพวกสารเลว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่ หยุดก่อน…อย่า อย่าตีข้า…”
“แค่กๆ ขอร้องล่ะ…”
เสียงค่อยๆ เบาลง
กระทั่งดยุคกลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อเละๆ แล้ว ทุกคนถึงได้หยุดมือลง
“พวกเราฆ่าขุนนาง…” มีคนพูดเสียงสั่นขึ้นมา
“แล้วยังไง ราชาของเกรย์คาสเซิลไม่ยอมรับขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเป็นศัตรูกับเกรย์คาสเซิลด้วย”
“ถ้าขุนนางคนอื่นของอีเทอร์นอลวินเทอร์รู้เข้าจะทำยังไง? พวกเขามีม้ามีชุดเกราะ ถ้าพวกเขาตามมาล่ะ…”
“ยังไงก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำยังไงได้ล่ะ” คนที่เป็นหัวหน้ามองไปรอบๆ “คนที่ถูกกดขี่ไม่ได้มีแค่พวกเขา สู้ฉวยโอกาสตอนที่ปีศาจไม่อยู่”
“สู้ตายกับพวกมัน” อีกคนพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา
“สู้ตายกับพวกมัน
“สู้ตายกับพวกมัน จากนั้นไปที่เกรย์คาสเซิล!” ไม่นาน เสียงนี้ก็แผ่กระจายออกไปกลายเป็นเหมือนสัญญาณที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นเหมือนสายน้ำที่หลากออกไปยังพื้นที่ที่มืดมิดที่อยู่นอกห้อง
ตอนที่ 1443 เอเลนอร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงความคิดและท่าทีของราชาทั้งสองนั้นไม่ได้มีแต่พระผู้สร้างที่กลายเป็นเกาะเท่านั้น
นอกจากการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นตรงตีนเขาเฮอร์มีสแล้ว การโจมตีของกองทัพตะวันตกก็หยุดลงเนื่องจากไม่มีแหล่งกำเนิดหมอกแดง
ถึงแม้จะยังมีปีศาจแมงมุมบางส่วนที่เคลื่อนไหวอยู่ในเทือกเขาสิ้นวิธี แต่ในตอนที่พลังเวทมนตร์ถูกใช้ไปจนหมด พวกมันก็จะหยุดเคลื่อนไหวไปตลอดกาล นี่ทำให้ภาระความกดดันของกองทัพที่หนึ่งที่ตั้งแนวป้องกันอยู่ทุกที่ลดลงไปได้ไม่น้อย ภูเขาเคจเมาเธ่นก็ไม่ใช่ ‘แนวป้องกันที่สำคัญ’ ทางเหนือที่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ได้อีกต่อไป ในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ทหารหลายๆ หน่วยต่างทยอยถอนกำลังออกมาจากแนวหน้าเพื่อกลับมาช่วยเหลืออการรบทางด้านตะวันตกของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ สถานการณ์ที่เดิมอยู่ในความตึงเครียดพลันผ่อนคลายลง
กองหนุนจำนวนมากที่กลับมาช่วยเหลือทำให้สถานการณ์การรบของดินแดนตะวันตกเปลี่ยนไป หน่วยรถถังที่ตั้งขึ้นมาใหม่บุกทะลวงเข้าโจมตีพวกสัตว์อสูรแล้วเข้าล้อมพวกอสูรมีดที่พรางตัวได้เหมือนกับแหอย่างไรอย่างนั้น และในตอนที่สัตว์อสูรจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกมันก็จะถูกอัศวินอากาศกระหน่ำโจมตีอย่างหนักหน่วง บังเกอร์ที่อยู่ตามจุดเชื่อมต่อของรางรถไฟที่ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งเอาไว้ค่อยๆ ทยอยถูกชิงกลับมา ทั่วทุกที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยส่วนซากศพของสัตว์ป่าที่กลายสภาพที่ถูกยิงตายด้วยอาวุธปืน — ถ้าไม่เป็นเพราะซากศพของพวกมันเน่าเปื่อยกลายเป็นน้ำสีดำอย่างรวดเร็ว เกรงว่าทั่วทั้งพื้นที่บุกเบิกคงเต็มตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว
ถึงแม้วัลคีรีย์จะเคยบอกเอาไว้ว่าสัตว์อสูรนั้นเป็นแค่เพียงลานวิวัฒนาการของอาณาจักรซีสกาย แล้วก็ทำประโยชน์ในการรบได้น้อยมาก ในขณะที่อันตรายที่แท้จริงนั้นรอคอยอยู่ด้านหลัง แต่การทำให้สถานการณ์กลับมามั่นคงเหมือนเดิมนั้นยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ ในเมื่อแนวป้องกันทั้งหมดของปีศาจได้พังทลายลงแล้ว หลังจากนี้กองทัพจำนวนมหาศาลของอาณาจักรซีสกายจะต้องขึ้นมายังดินแดนรุ่งอรุณอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วกองทัพที่หนึ่งก็ยิ่งจำเป็นต้องรวมกำลังเข้าด้วยกัน ไม่ใช่กระจายกำลังออกไปทำศึกสองด้าน
ในขณะที่โรแลนด์รู้สึกโล่งใจกับสถานการณ์การรบกับปีศาจ เขาก็เริ่มทำการ ‘ช่วยเหลือ’ เอเลนอร์ออกมา
ถึงแม้การปลูกถ่ายหอคอยแห่งการให้กำเนิดหรือก็คือเสาโอเบลิสจะเป็นเรื่องที่เดอะแมสก์รับผิดชอบดูแลมาโดยตลอด แต่ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ราชาทั้งสามตัวก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง
ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้ย่อมต้องเป็นการปรับเปลี่ยนตัวมาเธอร์ออฟโซลเพื่อทำให้มันสามารถเชื่อมต่อกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายแร่แห่งใหม่ได้ เทคโนโลยีนี้มีเพียงแค่เดอะแมสก์กับปีศาจระดับสูงที่ติดตามมันเท่านั้นที่รู้ แต่ร่างมาเธอร์ออฟโซลที่เอเลนอร์ได้มานั้นเป็นผลงานที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถข้ามขั้นตอนในส่วนนี้ไปได้
อันดับต่อมาคือร่างของมาเธอร์ออฟโซลต้องมีขนาดที่ใหญ่และแข็งแรงมากพอถึงจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาหลังจากทำการปลูกถ่ายได้ ในจุดนี้สามารถเข้าใจได้ง่ายมาก การปลูกถ่ายนั้นจะสร้างความเสียหายภายในอย่างรุนแรงให้แก่ร่างแม่อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเหมือนกับต้นไม้ ตอนนี้ร่างมาเธอร์ออฟโซลนั้นคือเอเลนอร์ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่เชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายเท่านั้น
เรื่องสุดท้ายคือร่างมาเธอร์ออฟโซลจำเป็นต้องอยู่ในหมอกแดงตลอดกระบวนการช่วยเหลือ พูดอีกอย่างก็คือก่อนที่เสาหินโอเบลิสจะเริ่มเปลี่ยนเป็นหมอกแดงใหม่อีกครั้ง มันจำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหมอกแดง
สำหรับปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้แล้ว นี่คือจุดที่ยากที่สุด
ที่โชคดีก็คือเฮคซอดจะเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย — ไม่บอกก็คงจะรู้ว่าประตูมิติของมันมีความสำคัญต่อการขนส่งแค่ไหน ในปฏิบัติการครั้งนี้มันสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาเหนือกว่าที่คิดเอาไว้มาก
หลังกำหนดแผนการเรียบร้อย หน่วยที่เริ่มปฏิบัติการเป็นหน่วยแรกก็คือกองอุตสาหกรรม
การจะเอาเอเลนอร์ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ออกมาจากทะเลสาบหมอกแดงนั้นจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของเธอก่อน ภายในพระผู้สร้างนั้นคือพื้นที่หวงห้ามที่แม่มดไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ ชุดดำน้ำของริคส์สามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างคาดไม่ถึง
ด้วยเชือกที่ถูกขยายจนยาว ชาวทะเลทรายที่สวมชุดดำน้ำสิบกว่ากลุ่มเดินลัดเลาะเสาหินจำนวนมากเข้าไปในทะเลสาบหมอกแดง ก่อนที่สุดท้ายจะยืนยันตำแหน่งของเอเลนอร์ได้ที่ระดับความลึก 150 เมตร คนที่เป็นหัวหน้าทีมคือชายคนหนึ่งที่ชื่อซิมบาดี้
หลังจากนั้นก็เป็นการใช้แรงงานคนในการค่อยๆ แกะเอาร่างแม่ออกมาจากเสาโอเบลิส แล้วก็ใช้เชือกมัดมันเอาไว้ ในเวลาปกติ มาเธอร์ออฟโซลนั้นมีกำลังมากกว่าร่างเปลือก แถมยังเชื่อมต่อกับด้านล่างของเสาโอเบลิสอย่างแน่นหนา แทบจะไม่มีทางแยกมันออกมาจากเสาหินได้เลย แต่การตายของเสาโอเบลิสกลับทำให้สามารถแยกมันออกมาจากเสาหินได้ ต่อให้พวกเขาไม่ทำอะไร ตัวเสาหินโอเบลิสก็จะค่อยๆ ผุพังจนสุดท้ายกลายเป็นเศษหิน
ในตอนที่ร่างแม่ถูกดึงขึ้นมาถึงผิวทะเลสาบหมอกแดง สกายลอร์ดก็เปิดประตูมิติขึ้นที่ด้านล่างแล้วส่งเอเลนอร์เข้าไปในกล่องเหล็กที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษ สิ่งที่ถูกใส่เข้าไปในกล่องเหล็กพร้อมกับเธอย่อมต้องมีหมอกแดงจำนวนมากด้วย
หลังขั้นตอนนี้เสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็โล่งใจขึ้นมา
งานหลังจากนั้นมีความง่ายขึ้นมาก
หน่วยรถบรรทุกไอน้ำที่ฟาร์รีน่ารับผิดชอบรับหน้าที่ขนส่ง นอกจากกล่องเหล็กแล้ว สิ่งที่รถบรรทุกต้องขนยังมีถังเก็บหมอกแดงอีกเป็นจำนวนมาก — พวกมันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้เลี้ยงร่างมาเธอร์ออฟโซล แล้วก็เป็นหมอกแดงสำรองให้สกายลอร์ดได้ใช้ระหว่างทาง ด้วยประตูมิติของเฮคซอด หน่วยรถบรรทุกใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถเดินทางจากซีวินด์เชียร์มายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้
ถ้าไม่เป็นเพราะเฮคซอดดึงดันที่จะจากไป โรแลนด์ยังคิดจะแต่งตั้งมันให้เป็นหัวหน้าทีมขนส่งด้วยซ้ำ
ภายใต้การจับตามองอย่างระมัดระวังของแม่มดอาญาสิทธิ์ ลังเหล็กก็ถูกฟรานกลืนเข้าไป ก่อนจะถูกส่งไปยังชั้นล่างของถ้ำในเหมืองเนินทิศเหนือ
นี่หมายความว่าปฏิบัติการช่วยเหลือได้เสร็จสิ้นลงแล้ว — ภายใต้การประสานงานของสำนักบริหารกลาง คนจำนวนเกือบหมื่นคนจากหลายหน่วยงานและเผ่าพันธุ์อื่นได้ทำภารกิจขนส่งข้ามครึ่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิลจนเสร็จเรียบร้อย
ในเวลานี้สิ่งที่โรแลนด์ทำได้ก็มีแค่รอเท่านั้น
….
ถ้ำเหมืองเนินทิศเหนือ เขตพื้นที่สายแร่หินอาญาสิทธิ์
พาซาร์ใช้หนวดม้วนถังหมอกแดงขึ้นมา ก่อนจะเทมันลงไปบนส่วนที่เป็นรากของสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างน่าเกลียดตัวหนึ่ง — มันเป็นเหมือนก้อนดินที่มีหนวดงอกออกมาเต็มไปหมด บนหัวมีดวงตาประกอบคู่หนึ่งฝังเอาไว้ ขนาดของตัวมันใหญ่เท่ากับร่างศูนย์กลางสามร่างรวมกัน ต่อให้ไม่ใช้หินวัดพลัง เธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์อันแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวของสัตว์ประหลาดตัวนี้
ปีศาจที่ถูกเรียกว่ามาเธอร์ออฟโซลนี้คือหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนหินอาญาสิทธิ์ให้กลายเป็นหมอกแดง ได้ยินว่ามันจะเกิดขึ้นมาในตอนที่ปริมาณพลังเวทมนตร์บนโลกอยู่ในจุดสูงสุด หรือก็คือช่วงที่สงครามแห่งโชคชะตาเริ่มต้นขึ้น ด้วยเหตุนี้ตอนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีปลูกถ่าย ในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะมาถึง พวกปีศาจจึงได้แต่ต้องรอคอยอยู่เฉยๆ เท่านั้น ถ้าเป็นยุคสมัยสมาพันธ์ หากพาซาร์ได้มีโอกาสฆ่าปีศาจร่างแม่แบบนี้ซักตัวล่ะก็ ต่อให้ต้องสละชีวิตเธอก็ไม่เสียดาย แต่ตอนนี้เธอกลับต้องมาคอยดูแลประคบประหงมมันเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง ความรู้สึกที่แตกต่างกันเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
“เจ้าอยู่นี่จริงๆ ด้วย” ด้านหลังเธอพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
พาซาร์หันหน้าไปพร้อมโค้งหนวดหลักลง “ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเพคะ ฝ่าบาท’
คนที่เข้ามาคือโรแลนด์ — นอกจากแม่มดโบราณของทาคิลาแล้ว เขาถือเป็นคนที่เข้ามาเยี่ยมเอเลนอร์บ่อยที่สุดแล้ว
“ดูเหมือนการปลูกถ่ายจะสร้างความเสียหายอย่างมากจริงๆ ด้วย”
‘แต่หม่อมฉันได้ยินเซลีนบอกว่าท่านเอเลนอร์ได้ให้สัญญาแล้ว’ น้ำเสียงของพาซาร์ไม่ได้มีท่าทีเสียใจเลย ‘เท่าที่หม่อมฉันทราบ น้อยครั้งนักที่นางจะให้สัญญา แต่ทันทีที่เอ่ยปากออกมาแล้ว นางก็จะทำตามที่ตัวเองได้สัญญาเอาไว้เพคะ’
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…” โรแลนด์พยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งสองคนยืนมองร่างแม่อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายพาซาร์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ‘ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท’
“เจ้าขอบคุณข้ามาหลายครั้งแล้ว” เขาพูดเหมือนเหนื่อยใจนิดหน่อย นับตั้งแต่ที่เหล่าแม่มดโบราณรู้ข่าวว่าหนึ่งในสามผู้นำและเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ที่อยู่ในร่างศูนย์กลางยังมีชีวิตอยู่ ปฏิกิริยาของพวกเธอก็เรียกได้ว่าเหมือนแตกตื่นกันขึ้นมา เขาได้รับความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากทุกคน เพียงแต่พาซาร์เหมือนจะไม่พอใจกับการขอบคุณเพียงครั้งเดียว เธอแทบจะกล่าวขอบคุณเขาทุกครั้งที่เจอหน้า “เอเลนอร์สร้างความดีความชอบให้กับเกรย์คาสเซิลเอาไว้อย่างมาก ที่ข้าช่วยนางนั้นมันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว”
‘ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้นเพคะ หากแต่เป็นทุกเรื่องที่พระองค์ทรงทำเพื่อทุกคน ไม่ว่าหม่อมฉันจะกล่าวขอบคุณสักกี่ครั้งมันก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกขอบคุณที่อยู่ในใจหม่อมฉันได้ ดังนั้น…ให้หม่อมฉันได้กล่าวขอบคุณพระองค์อีกซักหลายครั้งเถอะนะเพคะ’
น้อยครั้งนักที่จะได้ยินคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้จากปากพาซาร์ แม้แต่โรแลนด์เองก็ยังรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองพาซาร์ เหมือนว่าอยากจะมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายในเวลานี้ว่าเป็นอย่างไร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการมองครั้งนี้กลับทำให้หัวใจเขาต้องเต้นช้าลงไปจังหวะหนึ่ง เขาเกือบจะส่งเสียงร้องตกใจออกมา —
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาที่อยู่บนตัวร่างแม่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องมองทั้งสองคนอย่างเงียบๆ
‘เจ้าอายุตั้งหลายร้อยปีแล้วนะ คำพูดที่เอาแต่ใจแบบนี้มันทำให้ข้ารู้สึกตกใจจริงๆ…” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัว
พาซาร์สะดุ้งขึ้นมาทันที จากนั้นเธอใช้หนวดหลักปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ‘ทะ ทะ ท่านเอเลนอร์?’
‘อื้อ ข้าเอง’
พาซาร์ยืดหนวดขึ้นมา ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นไปบนเพดานถ้ำก่อนจะหายตัวไป
“เอ่อ…ก่อนหน้านี้นางอยากจะเป็นคนแรกที่ได้พูดกับเจ้ามาโดยตลอดนะ..” มุมปากของโรแลนด์กระตุกขึ้นมา ก่อนจะพูดงึมงำขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “จะว่าไปแล้ว เจ้าตื่นมาแบบนี้เหรอ?”
‘ไม่อย่างนั้นจะให้ตื่นขึ้นมาแบบไหนล่ะ? ฟ้าร้อง ฟ้าถล่มดินทลาย?’ เอเลนอร์หาวออกมาทีหนึ่ง ‘นั่นมันเป็นสไตล์ของอควาเรียส ไม่ใช่ข้า’
“….” โรแลนด์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ในเมื่อหน้าที่ของข้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่างนั้นต่อไปก็ฝาก…”
‘ข้าเองก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน’ เอเลนอร์พูดเหมือนอ่อนเพลียเล็กน้อย
“เอ่อ อะไรนะ?”
‘จริงอยู่ที่การปลูกถ่ายมันทรมานอย่างมาก แต่ข้าแบกรับความทรมานนั้นไว้คนเดียวก็พอ ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังคิดต่อไปได้’ น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ‘การวิเคราะห์แกนพลังเวทมนตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถสร้างแกนพลังแบบนั้นขึ้นมาได้ แต่ถ้าใช้แกนพลังที่มีอยู่ในตอนนี้มันก็ไม่เป็นปัญหา พูดอีกอย่างก็คือเกาะลอยฟ้าที่เจ้าต้องการพร้อมที่จะบินขึ้นได้ทุกเมื่อ’ เอเลนอร์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนหยอกล้อว่า ‘หรือว่า ตอนนี้เลยไหม?’
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น