Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1424-1433

 ตอนที่ 1424 การคาดเดาของวัลคีรีย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

นี่เรา….ฝันไปงั้นเหรอ?


ฟิชบอลกะพริบตา ปีศาจระดับสูงไม่เพียงแต่จะไม่ฆ่าเขา แต่กลับจะติดต่อกับผู้นำของแม่มดด้วย?


แต่กระดาษที่อยู่ตรงหน้ากับปืนที่หักออกเป็นสองท่อนบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ความฝัน


เขาโน้มตัวลงไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา กระดาษไม่ได้มีการห่อหุ้มอะไรเอาไว้เลย แล้วก็ไม่มีการประทับตราปิดผนึกเอาไว้ด้วย เนื้อหาบนนั้นเปิดเผยออกมาโดยไม่มีอะไรปิดกั้น ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองไม่ควรดู แต่เขาก็อดกวาดตามองไม่ได้


บอทธ่อมเลสแลนด์?


พระผู้สร้าง?


เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันหมายความว่าอย่างไรง..


นี่กลับทำให้ฟิชบอลรู้สึกโล่งใจ


เพียงแต่เมื่อดูจากตัวหนังสือแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึงแน่ว่า ‘จดหมาย’ ฉบับนี้จะมาจากมือของปีศาจ


“เออใช่ คนอื่นๆ ล่ะ!” ทันใดนั้นเขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งครุ่นคิดถึงจดหมายฉบับนี้ เขายังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน!


“เฟาช์! คาเทียร์! แบล็งเค็ท—!”


ฟิชบอลตะโกนเรียกพร้อมเดินย่ำเข้าไปในป่า ตอนที่เจอกับปีศาจระดับสูงครั้งแรกเขายังไม่รู้สึก แต่ในตอนที่ภัยอันตรายจากไปแล้ว เขาถึงได้พบว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองอ่อนแรงอย่างมาก มีแต่ต้องใช้ท่อนไม้พยุงเอาไว้เขาถึงจะยืนได้


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในป่าก็มีเสียงตอบรับอย่างอ่อนแรงของเพื่อนทหารดังขึ้นมา “หัวหน้า นั่นใช่หัวหน้าหรือเปล่า?”


หลังค้นหาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หาเพื่อนร่วมทีมกลับมาได้ 4 คน ส่วนอีกสองคนไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เหมือนกับว่าหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น


ไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกส่งต่อไปให้นายทหารระดับสูง


หลังจากนั้นเพียงแค่สามวัน ฟิชบอลก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปที่เมืองกลอรีเพื่อพบฝ่าบาทโรแลนด์


ส่วนคนที่รับหน้าที่ในการขนส่งก็คือซีกัล


เขาแอบรู้สึกว่าบางทีเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับจดหมายฉบับนั้นเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว


….


“เป็นยังไงบ้าง?” หลังสอบถามอยู่ครู่ โรแลนด์ก็หันไปถามไนติงเกล


“เป็นความจริงทั้งหมดเพคะ ทหารของพระองค์ไม่ได้โกหก” ไนติงเกลยักไหล่


“อย่างนั้นเหรอ…” บอกตามตรง โรแลนด์เองก็คิดว่านี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทหารที่อยู่ในแนวหน้าจะแต่งขึ้นมาได้ แต่เพราะสถานการณ์มันพิเศษอย่างมาก เขาจึงต้องระวังเอาไว้ก่อน เพราะสำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้มันแปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่ออย่างมาก “อย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะเข้าไปในโลกแห่งความฝันหน่อย ฝากเจ้าดูแลด้วยนะ”


“ถึงพระองค์ไม่ตรัสหม่อมฉันก็ทำอยู่แล้วเพคะ” ไนติงเกลหมุนตัวไปปิดผ่าน แสงในห้องหนังสือพลันสลัวลงทันที “พระองค์จะไปเจอปีศาจตัวนั้นเหรอเพคะ?”


ในฐานะที่เป็นแม่มดที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกาย จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความลับปิดบังไนติงเกลเอาไว้ เธอเองก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วจดหมายลับฉบับนั้นใครเป็นคนส่งมา ถึงแม้จะไม่เอ่ยปากถาม แต่ขอเพียงฟังการพูดคุยระหว่างเขากับแม่มดโบราณอยู่บ่อยๆ ก็จะเข้าใจเอง แน่นอน โรแลนด์เองกก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปิดบังอะไร ที่เขาไม่เปิดเผยให้คนอื่นๆ รู้ หลักๆ แล้วก็เมื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายจ โดยเฉพาะอันนา


“จดหมายก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล เฮคซอดกลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้นบนสนามรบยังมีปีศาจระดับสูงที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาอีกตัวด้วย — เจ้าเองก็เห็นแล้ว ถ้าทั้งสองตัวนี้ร่วมมือกัน กองทัพที่หนึ่งจะต้องเจอปัญหาหนักแน่ และก่อนจะถึงเวลานั้น ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันคิดจะทำอะไร ซึ่งในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นแม่มดทาคิลาหรือว่าเอดิธส์ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้”


ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีปัญหารุมเร้าเข้ามาอย่างมาก เมืองเนเวอร์วินเทอร์กำลังถูกโจมตี อันตรายยังไม่ทันคลี่คล่าย ตอนนี้ก็มีเรื่องที่จำเป็นต้องรีบจัดการปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว


“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็เป็นปีศาจ อย่าไปเชื่อคำพูดมันง่ายๆ นะเพคะ” ไนติงเกลพูดกำชับ “แล้วก็พาแม่มดอาญาสิทธิ์ไปด้วยซัก 2 – 3 นะเพคะ โดยเฉพาะหลิง”


“พูดไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ในโลกแห่งความฝันข้าสู้เก่งมากเลยนะ” โรแลนด์มองไปทางหญิงสาวที่เหมือนจะแอบอยู่ในเงามืด ก่อนจะค่อยๆ นอนลงไปบนเก้าอี้ยาว “วางใจได้ เดี๋ยวข้าจะพาไปด้วยซัก 2 – 3 คน”


“รีบไปรีบกลับนะเพคะ”


“อื้อ เดี๋ยวเจอกัน”


เขาหลับตา ก่อนจะปล่อยให้ความง่วงเข้าครอบงำตัวเอง


หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง โรแลนด์ก็มาเจอกับวัลคีรีย์ที่ันัดเอาไว้ในร้านกาแฟโรสคาเฟ่ ก่อนจะเหล่าเรื่องที่ฟิชบอลเจอทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง


“…อย่างนี้นี่เอง” อีกฝ่ายจิบกาแฟไปพลางครุ่นคิดไปพลางอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดออกมา “พวกมัน…กำลังหาข้าอยู่”


ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่โรแลนด์รู้สึกว่ากิริยาท่าทางของวัลคีรีย์นับวันจะยิ่งคล้ายมนุษย์เข้าไปทุกทีแล้ว


“พวกมัน? เจ้ารู้หรือว่าปีศาจตัวนั้นคือใคร?”


วัลคีรีย์เงยหน้าขึ้นมามองเขา “เซโรเชส หรือก็คือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่ข้าเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ แต่ว่าน้อยครั้งนักที่มันจะถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งนั่นออก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เจ้าจะคิดว่ามันเป็นปีศาจระดับสูงตัวอื่น”


โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที เขาย่อมต้องรู้จักชื่อไซเลนท์ดิสแอสเตอร์นี้ ในตอนที่พระผู้สร้างเข้ามาในเทือกเขาสิ้นวิถี ซิลเวียก็เคยสังเกตเห็นปีศาจระดับราชาตัวนี้มาแล้ว เขาเองก็เอารายงานจำนวนมากที่รวบรวมจากแนวหน้าในสนามรบมายืนยันตัวตนของอีกฝ่ายกับวัลคีรีย์ เป็น ‘ชาริตา’ เพียงไม่กี่ตัวในเผ่าพันธุ์ เป็นนักรบที่บ้าคลั่งที่มีพรสวรรค์อย่างมาก แล้วก็เป็นผู้ปกป้องชิ้นส่วนสืบทอดคนก่อน แถมเขายังเคยถูกชิ้นส่วนสืบทอดชักนำให้ไปเจอกับอีกฝ่ายในระยะใกล้ด้วย ถูกต้อง ศัตรูที่สวมชุดเกราะนั่งอยู่บนบัลลังค์หินสีดำก็คือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์


เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าใบหน้าที่แท้จริงที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ชุดเกราะของอีกฝ่ายจะเป็นแบบนี้


“เจ้าแน่ใจนะว่ามันมาหาเจ้า?” โรแลนด์สะกดความตกใจเอาไว้ “แต่มันบอกว่าให้ส่งจดหมายฉบับนี้ให้สามผู้นำแม่มด…”


เนื้อหาบนจดหมายนั้นแทบจะเหมือนกับจดหมายที่ไนท์แมร์ส่งออกไป เพียงแต่เปลี่ยนจากอักษรของปีศาจเป็นอักษรของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นจุดที่เขายากจะเข้าใจได้ ถึงแม้ ‘ผู้นำของแม่มด’ จะรู้เรื่องนี้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรต่อพวกมัน?


“ที่เจ้าไม่เข้าใจมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเจ้าไม่ใช่พวกข้า” วัลคีรีย์วางช้อนลง ก่อนจะค่อยๆ จิบกาแฟเข้าไปคำหนึ่ง “ความจริงขอเพียงเปลี่ยนมุมมองนิดหน่อยก็จะสามารถเดาเจตนาของมันได้ อย่างแรกคือข้าหายตัวไปเพราะพยายามหาสาเหตุในการยกระดับของมนุษย์ ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นข้าจะต้องอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกของใครซักคนเพื่อที่จะได้มีชีวิตต่ออย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นภายใต้กระแสจิตสำนึกอันเชี่ยวกราก ไม่มีทางที่ข้าจะรักษาจิตสำนึกของตัวเองให้อยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้ แล้วก็ยิ่งไม่มีทางที่จะส่งข้อความอะไรออกไปข้างนอกได้”


“และคนที่มีโอกาสที่จะสัมผัสกับโลกแห่งจิตสำนึกมากที่สุดก็คือ…แม่มด?” โรแลนด์ถาม


“แน่นอนว่ายังมีเจ้า” วัลคีรีย์พูดอย่างสบายๆ “แต่เมื่อคิดถึงว่าข้ายังสามารถส่งข้อความออกไปได้ ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นแม่มดจึงมีสูงกว่า เฮคซอดน่าจะเดาว่าข้าคงจะพูดกล่อมแม่มดซักคนให้เห็นพ้องต้องกันได้ ถึงได้มีจดหมายฉบับแรกส่งออกไป เพราะถ้าหากคนที่ข้าพูดกล่อมได้คือเจ้า อย่างนั้นก็แค่สั่งให้มนุษย์ยอมแพ้ก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาทำอะไรแบบนี้”


“ความจริงเจ้าอยากจะบอกว่า…ควบคุมใช่ไหม?”


“ไม่ต้องสนใจรายละเอียดแบบนี้หรอก” วัลคีรีย์ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้น “ในอีกแง่หนึ่งแล้ว ความสัมพันธ์จากการพูดกล่อมจะมีความแน่นแฟ้นมากกว่าการควบคุม เพราะการควบคุมนั้นการทำอะไรแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่การพูดกล่อมคือการที่ทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นที่พ้องต้องกัน”


โรแลนด์พลันนึกถึงคำพูดที่อกาธาเคยพูดขึ้นมา ในช่วงสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง มีมนุษย์บางส่วนที่กลายเป็นสาวกของปีศาจ…เขาส่ายหัวแล้วดึงความคิดให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง “แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกมันก็ยังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าอาศัยอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกของแม่มดคนไหน”


“ถูกต้อง แต่การจะส่งจดหมายฉบับนั้นจากเกรย์คาสเซิลไปวูล์ฟฮาร์ทนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีสงคราม คนที่มีความสามารถที่จะทำได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่ นางน่าจะมีอิทธิพลอยู่ในอาณาจักรของมนุษย์อยู่พอสมควร พูดอีกอย่างคือเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว อย่างนั้นการเอาจดหมายส่งให้ผู้นำของแม่มดจึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด ทางแม่มดระดับสูงจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน แล้วคนที่ส่งจดหมายฉบับแรกนั้นก็จะรู้ด้วย”


วัลคีรีย์พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย “น้องจากนี้เจ้าไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้มันดูมักง่ายไปหน่อยเหรอ? เป็นเพราะว่าไม่มีแม้กระทั่งซองจดหมาย ดังนั้นระหว่างทางจึงมีหลายคนที่เห็นเนื้อหาในจดหมาย แบบนี้ต่อให้สามผู้นำตัดสินใจที่จะปิดบังความจริง แม่มดที่ถูกข้าพูดกล่อมก็จะหาทางรู้ให้ได้ว่าในจดหมายเขียนอะไรไว้ และทันทีที่นางรู้ ข้าก็จะรู้ด้วย”


โรแลนด์เข้าใจทันที ที่แท้ตัวจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่จุดสำคัญ การส่งจดหมายนี้ออกมาต่างหากถึงจะเป็นสัญญาณที่สกายลอร์ดและไซเลนท์ส่งออกมา เมื่อเทียบกับเนื้อหาในจดหมายแล้ว เรื่องที่ว่าปีศาจระดับสูงส่งข้อความหามนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะปิดบังเอาไว้ได้ เขาเชื่อว่าในเวลาหลายวันนี้ เรื่องราวที่ฟิชบอลไปเจอมาจะต้องแพร่กระจายไปในดินแดนทางเหนือของอาณาจักรดอว์นแล้วอย่างแน่นอน


“ข้ายอมรับว่าการทำแบบนี้มันจำเป็นต้องอาศัยโชคค แต่ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พวกมันจะคิดได้แล้ว อีกทั้งโชคของพวกมันก็ไม่ได้ถือว่าแย่ด้วย…” วัลคีรีย์ยื่นนิ้วชี้ไปที่โรแลนด์ จากนั้นจึงชี้มาที่ตัวเอง “เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”


“จากที่เจ้าว่ามา ข้าก็พอเข้าใจแล้ว” โรแลนด์โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมสูดหายใจลึกๆ เขารู้ว่าคำถามต่อไปต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ “แล้วเจ้าคิดว่าตอนนี้พวกมันมาหาเจ้าทำไม?”


ตอนที่ 1425 “หลับตา”

โดย

Ink Stone_Fantasy

“บอกตามตรง ข้าไม่รู้” วัลคีรีย์ตอบโดยไม่หลบสายตาแม้แต่นิดเดียว “นี่ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เท่าไร เรื่องที่เจ้าสนใจคือเรื่องนี้ใช่ไหม?”


โรแลนด์แอบยอมรับคำพูดของมันเงียบๆ เขาพบว่าไนท์แมร์มีความสามารถในการอ่านใจคนที่ยากจะบรรยายได้ ถึงแม้จะอยู่ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ แต่ตอนนี้เธอก็ค่อนข้างได้รับความนิยมทีเดียว เรียกได้ว่ากำลังเข้ากับคนอื่นได้เป็นอย่างดี เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแบบนี้ การแสร้งทำเป็นมึนงงนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร สู้พูดไปเลยตรงๆ จะได้ผลมากกว่า


จากการวิเคราะห์ของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ การปรากฏตัวของพระผู้สร้างนั้นหมายความว่าสกายลอร์ดได้ตัดสินใจแล้ว ในเมื่อมันเอ่ยปากขอกับทางจักรพรรดิ อย่างนั้นก็แทบจะเป็นการตัดความเป็นไปได้ที่จะชักจูงมันมาเป็นพวก นอกเสียจากต้องทำลายพระผู้สร้างทิ้ง ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางที่จะกลับใจแน่


“ตามหลักแล้ว เฮคซอดที่เป็นคนขี้ระแวงจะต้องแอบคอยสังเกตดูสถานการณ์อยู่อย่างเงียบๆ ก่อนที่เจ้าจะแสดงความแข็งแกร่งที่มากพอออกมา มันไม่มีทางที่จะทำการเคลื่อนไหวใดๆ” วัลคีรีย์เหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง แล้วก็เหมือนกับกำลังบอกถึงความสงสัยที่อยู่ในใจของมันออกมา “ตอนนี้มันกลับมาเป็นปกติ แถมยังไปเข้าพวกกับเซโรเชส การที่เจ้าเกิดความรู้สึกระวังขึ้นมาเช่นนี้มันก็ไม่แปลก แต่ว่า…”


“แต่ว่าอะไร?”


“ถ้าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ” มันพูดพร้อมผายมือ “ทุกอย่างบนโลกมันไม่มีความแน่นอน ไม่ว่าจะวางแผนเอาไว้ดีแค่ไหน แต่ถ้ามันหลุดออกจากเงื่อนไขอย่างที่ควรจะเป็นมันก็ไร้ประโยชน์ ข้าทำได้เพียงแค่เดาแบบนี้ บางทีมันอาจจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เฮคซอดเปลี่ยนเจตนารมณ์ที่มีอยู่ในตอนแรกของมันก็ได้”


“แต่เจ้าไม่รู้ว่าปัจจัยที่ว่านั้นมันคืออะไร”


“ถูกต้อง แม้แต่เจ้ายังไม่รู้ ข้าก็ยิ่งไม่มีทางรู้ได้” วัลคีรีย์จิบกาแฟอีกครั้ง “ถ้าไม่ถามดู ถึงเดาต่อไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”


“เจ้าเลยจะเขียนจดหมายอีก?”


“จริงอยู่ที่การเขียนจดหมายก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่เกรงว่าแบบนั้นมันคงต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้ติดต่อกันจริงๆ และในระหว่างนี้เงื่อนไขต่างๆ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีก ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเหล่านี้มันจะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่ไม่แน่นอน


โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นจึงมองไปทางวัลคีรีย์ด้วยสายตาเหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่ “เจ้ากำลังชักจูงข้าอยู่อย่างนั้นเหรอ?”


“อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือเจ้า” สีหน้าอีกฝ่ายดูผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด


“…” โรแลนด์ไม่ได้ตอบออกไปทันที เขายักไหล่แล้วเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ ทำไมเจ้าถึงพูดถึงแต่เฮคซอด แต่ไม่พูดถึงไซเลนท์ดิสแอนเตอร์เลยล่ะ? หรือว่ามันไม่มีทางเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ปัจจัยอื่น’ ที่ว่า?”


“เพราะข้ารู้จักมันดี” สายตาวัลคีรีย์พลันมีความรู้สึกทอดถอนใจปรากฏขึ้นมา มันเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง “การพูดกล่อมเฮคซอดจำเป็นต้องใช้เหตุผลจำนวนมาก แต่การพูดกล่อมไซเลนท์นั้นไม่จำเป็น ขอเพียงมันรู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ มันจะต้องไม่อยู่เฉยแน่”


……


พระผู้สร้าง ด้านล่างของบ่อละอองชีวิต


“ทำแบบนี้มันจะมีประโยชน์จริงๆ เหรอ?” ไซเลนท์จ้องมองดูสกายลอร์ดที่กำลังหลับตาพักผ่อนพร้อมถามขึ้ันมา


“อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีก็ได้” หลังพักผ่อนมาหลายวัน ร่างกายของเฮคซอดก็ฟื้นตัวขึ้นมาไม่น้อย “แต่ในเมื่อเจ้าคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้ อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องวัดดวงดูก่อน”


มันรู้ว่าถ้าอยากจะให้อีกฝ่ายมายืนอยู่ข้างตัวเอง อย่างนั้นมันก็จำเป็นต้องจัดการแก้ไขเหตุผลสองข้อที่ไซเลนท์ปฏิเสธมันเสียก่อน การที่จักรพรรดิสั่งให้ใช้แผนสอง มันไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วก็ไม่กล้าที่จะไปแสดงความสงสัยต่อกลยุทธ์ของจักรพรรดิอย่างเปิดเผยด้วย อย่างนั้นทางออกเดียวก็อยู่ที่ ‘จดหมาย’ ของวัลคีรีย์เท่านั้น


แค่กระดาษกับคำพูดไม่กี่คำมันก็ดูจะหยาบไปหน่อย อย่างนั้นถ้าใส่คำพูดกับข่าวสารเพิ่มเข้าไปอีกล่ะ? ถ้าสามารถติดต่อกับไนท์แมร์ได้สำเร็จ ไซเลนท์จะต้องกลายเป็นไพ่ที่สำคัญที่สุดของมันอย่างแน่นอน


เพื่อแผนการนี้แล้ว เฮคซอดไม่เพียงแต่จะส่งซีอาซิสผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพของมันออกไปจับตาดูจุดส่งจดหมายทางด้านเหนือของอาณาจักรดอว์นด้วยตัวเอง แต่มันยังส่งขุนนางออกไปสองกลุ่มให้เดินทางไปที่ตีนเขาเฮอร์มีสและชายแดนของอีเทอร์นอลวินเทอร์ด้วย เพราะมันไม่อยากจะพลาดโอกาสที่จะได้รับการตอบจดหมายกลับมา


เดิมวิธีที่เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรแบบนี้มันก็เป็นแผนการที่ต้องอาศัยโชคบวกกับความไม่แน่นอนอีกเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว แต่เฮคซอดไม่มีวิธีอื่น มันไม่สามารถเปิดเผยชื่อของแม่มดคนนั้นออกไปได้ เพื่อที่วัลคีรีย์จะได้ไม่ขาดที่พึ่งและหายไปในโลกแห่งจิตสำนึกตลอดการ แล้วมันก็ไม่อาจนัดหมายสถานที่ที่จะรอการตอบกลับเอาไว้ล่วงหน้าด้วย


แต่สุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไร ภายในใจมันก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว


เพราะว่าการส่งข่าวนั้นต้องใช้เวลา แต่พระผู้สร้างอันที่สองที่จักรพรรดิบังคับมานั้นกำลังเดินทางมายังที่ราบลุ่มบริบูรณ์โดยไม่หยุดพัก ทันทีที่แผนการที่สองเริ่มต้นขึ้นก็จะไม่มีโอกาสใดๆ ให้แก้ไขได้อีก


“นอกจากนี้…แทนที่จะมากังวลกับเรื่องนี้ ข้าว่าเจ้าคอยระวังเดอะแมสก์เอาไว้หน่อยดีกว่า”


“เดอะแมสก์ทำไม?” ไซเลนท์ขมวดคิ้วขึ้นมา


“ข้าไม่รู้…แค่รู้สึกว่ามันทำตัวแปลกๆ” เฮคซอดส่ายหัว ในเมื่อมันกลับมาถึงที่นี่ มันก็ไม่มีทางที่จะปิดบังอีกฝ่ายไปได้ตลอด แต่เดอะแมสก์ที่รับช่วงบัญชาการกองทัพทางตะวันตกต่อเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องที่มันหายตัวไปเป็นเวลานาน แล้วก็ไม่ได้แนะนำให้มันไปรายงานจักรพรรดิเลย หากเป็นอดีต อีกฝ่ายไม่มีทางที่ปล่อยโอกาสที่จะได้ซ้ำเติมตัวเองแบบนี้ผ่านไปแน่


“ท่านสกายลอร์ด!” ทันใดนั้นเอง  จู่ๆ ซีอาซิสก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโพรงหิน “พวกมนุษย์มีความเคลื่อนไหวแล้วขอรับ!”


“เร็วขนาดนี้เลย?” เฮคซอดแปลกใจ “เจ้าเห็นอะไร?”


นอกจากไซเลนท์แล้ว มันไม่ได้บอกความคิดของตัวเองให้กับบุคคลที่สามฟัง แม้แต่ซีอาซิสก็เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงสั่งการลูกน้องไปว่าไม่ว่าจะมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ให้รีบมารายงานมันทันที


“ตัวผู้ตัวหนึ่งไปปักธงผืนหนึ่งอยู่บนเนินเขาที่ท่านสั่งให้ข้าไปจับตาดูขอรับ แต่ข้างกายมันไม่มีมนุษย์คนอื่นอีก”


ปักธงแต่ไม่ยึดครอง แค่นี้มันก็แปลกอย่างมากแล้ว!


เฮคซอดกับไซเลนท์สบตากัน


นับตั้งแต่ที่ส่งจดหมายออกไปจนถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่ 5 วัน ซึ่งต่างจากที่มันคิดเอาไว้ว่าต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนอย่างมาก นี่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเรื่องหนึ่งว่าแม่มดคนนั้นไม่เพียงแต่จะมีตำแหน่งที่สูง แต่ยังเข้าใกล้จุดสูงสุดของอำนาจด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีที่จะตอบสนองกลับมาเร็วขนาดนี้แน่


“อายการ์ดเจออะไรไหม?”


ถึงแม้แม่มดจะไม่สามารถเข้ามาในพื้นที่หมอกแดงได้ แต่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน มันยังคงเตรียมอายการ์ดร่างซิมไบออนท์เอาไว้ให้ซีอาซิสตัวหนึ่งด้วย ครั้งที่แล้วการโจมตีระยะไกลจากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัวของแม่มดผมทองคนนั้นยังคงทำให้สกายลอร์ดรู้สึกหวาดกลัวอยู่


“ที่มันรับรู้ได้ก็มีแค่มนุษย์ตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ขอรับ น่าจะเป็นการตรวจตราตามปกติของพวกมนุษย์ ตอนนี้ยังไม่พบตัวผู้ตรวจสอบพลังเวทมนตร์ขอรับ” ซีอาซิสลังเลเล็กน้อย “นายท่าน ท่านกำลังป้องกันอะไรอยู่หรือขอรับ?”


“เอาไว้จัดการเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าเอง” หลังซีอาซิสออกไปแล้ว เฮคซอดจึงมองไปทางไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ “เจ้าจะไปไหม?”


“ยังต้องถามอีกเหรอ?” อีกฝ่ายหยิบหมวกเหล็กสวมไปบนหัว


…..


หลังผ่านประตูมิติมา ไซเลนท์ค่อยๆ เดินไปยังทหารที่อยู่ใต้ธงคนนั้น


ครั้งนี้มันไม่ได้จงใจแอบซ่อนตัว อีกฝ่ายเองก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว


ไซเลนท์จำมนุษย์ตัวผู้นี้ได้


เขาคือคนที่ครั้งที่แล้วมันมอบจดหมายให้


นี่คือการเจอหน้าที่ไม่ปกติอย่างมาก มนุษย์ไม่กรีดร้อง ไม่วิ่งหนี หรือว่าสู้ตอบกลับมา หากแต่รอให้มันเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ ถึงแม้การหายใจของเขาจะดูผิดปกติอย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่ถอยหลังไปแม้แต่ก้าวเดียว


กระทั่งทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า


“จดหมายข้าส่งให้แล้ว เพื่อนของข้าล่ะ?”


“พวกมัน ยังมีชีวิตอยู่ กลับไป ข้าจะปล่อยพวกมัน”


อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะหยิบเอากระดาษแผ่นใหม่ออกมาจากในหน้าอกแล้วส่งให้มัน


ดวงตาของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์หรี่เล็กลงทันที


ตัวหนังสือที่อยู่บนนั้นยังคงเป็นภาษาของเผ่าพันธุ์ แถมยังเป็นสไตล์การเขียนของไนท์แมร์อย่างชัดเจนด้วย


แต่ว่าเนื้อหาบนจดหมายกลับสั้นอย่างมาก มันเขียนเอาไว้ประโยคเดียวว่า


‘รวบรวมสมาธิ จากนั้นหลับตา’


ตอนที่ 1426 บรรจบกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก…ที่นี่ังั้นเหรอ?


ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ตกใจอย่างมาก


มันไม่ใช่เฮคซอด หากออกมาจากขอบเขตของหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็ยากที่จะเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึกด้วยตัวเองได้ ต่อให้สามารถสัมผัสกับแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ได้ระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่ออยู่ในกระแสจิตสำนึกที่ไหลเชี่ยว มันก็ไม่มีทางที่จะหาวัลคีรีย์เจอได้


อย่างนั้นทำไมไนท์แมร์ลอร์ดถึงได้ส่งข้อความนี้มา?


มันมองไปรอบๆ แต่ทั้งเนินเขากลับเงียบสงบ อายการ์ดเองก็ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ แม้แต่ทหารเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันตอนนี้ก็สองมือว่างเปล่า กระทั่งอาวุธที่พวกมันภาคภูมิใจก็ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย


อย่างนั้น…ลองดูหน่อยก็แล้วกัน


ถ้ามันทำไม่สำเร็จก็ค่อยไปปรึกษาเฮคซอดก็ยังไม่สาย


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์จึงค่อยๆ หลับตาลง แล้วพยายามรับรู้ถึงคลื่นกระเพื่อมอันแสนเบาบางนั้น —- ทันใดนั้นเอง พลังอันรุนแรงสายหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างกายมันเอาไว้! มันพยายามดิ้นออกมาอย่างตกใจ แต่ก็ไม่เป็นผล กำแพงที่กั้นทั้งสองโลกที่เดิมเป็นเหมือนดินโคลนที่เหนียวจนยากจะเดินฝ่าไปได้กลับเบาขึ้นมาเหมือนฟองอากาศ มันเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึกได้โดยไม่เปลืองแรง! ถึงแม้จะหลับตาอยู่ มันก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์ที่กำลังขยายตัวขึ้นมารอบๆ ตัวมัน


นี่เป็นประสบการณ์ที่ไซเลนท์ไม่เคยเจอมาก่อน


ต่อให้มันตั้งสมาธิอยู่ข้างหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็ไม่มีทางที่จะได้ผลแบบนี้!


ภายในใจมันถึงขนาดเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะยกระดับครั้งใหม่ขึ้นมา


แต่ความรู้สึกทั้งหมดก็เกิดแค่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น


มันยังไม่ทันได้คิดอะไรเพิ่ม ทุกอย่างก็เงียบสงบลง


แต่นั้นไม่ใช่ความสงบที่แท้จริง ไซเลนท์รู้สึกได้ถึงเสียงหวึ่งเบาๆ ที่ดังมาจากด้านหน้า ขณะเดียวกันก็ยังมีสายลมอันอบอุ่นพัดมาจากด้านหน้าด้วย สายลมนั้นแห้งอย่างมาก แถมยังมีความคงที่จนแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่สามารถหาเหตุการณ์ใดๆ ในความทรงจำหลายร้อยปีของมันมาเปรียบเทียบได้


ไซเลนท์ค่อยๆ ลืมตา


มันพบว่าตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง ถึงแม้แสงสว่างภายในห้องจะแย่อย่างมาก แต่มันกลับไม่ได้มืดสลัว หินเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนหัวส่องแสงสีขาวออกมาจนมองเห็นทุกซอกทุกมุมภายในห้อง


สิ่งที่ปล่อยเสียงและสมอุ่นๆ ออกมาคือของแปลกๆ ที่อยู่บนเพดาน มันไม่ใช่ทั้งไม้ แล้วก็โลหะ วัสดุที่ใช้สร้างมันขึ้นมาดูแล้วเหมือนจะอยู่ระหว่างไม้กับโลหะ ส่วนตรงช่องที่ปล่อยลมก็มีลวดลายที่เล็กละเอียดจนน่าตกใจ


นี่คือ…โลกแห่งจิตสำนึกงั้นเหรอ?


ทำไมตัวเองถึงไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อน?


“มันคือคนที่กำลังหาเจ้าอยู่งั้นเหรอ?”


ด้านหลังพลันมีเสียงแปลกหน้าดังขึ้นมา


ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ยกมือคว้าจับดาบทันที ขณะเดียวกันก็หมุนตัวกลับมา


“อื้อ ไม่เจอกันนานนะ เซโรเชส”


มันตกตะลึงไปทันที


นี่ไม่ใช่การพบกันหลังจากที่แยกจากกันมานาน มันมองเห็นอีกฝ่ายอยู่ในบ่อละอองชีวิตทุกวัน แต่ในเวลานี้มันถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วทั้งสองนั้นแตกต่างกัน มุมปากที่ยกขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาที่มีชีวิตชีวาและเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งๆ…ทุกๆ รายละเอียดยังคงกระเพื่อมอยู่ในใจของมัน


“ท่านวัลคีรีย์…”


“คำเรียกนี้ช่างน่าคิดถึงจริงๆ” ไนท์แมร์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นราชาและอยู่ในระดับเดียวกับข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้คำเรียกแบบนั้นอีก”


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น—“ เซโรเชสหยุดชะงักไปทันที เพราะว่ามันมองเห็นมนุษย์ตัวผู้คนนั้นยืนอยู่ข้างไนท์แมร์! ในดินแดนของพระเจ้าก็เป็นมนุษย์ที่อันตรายคนนี้ที่โจมตีใส่มันด้วยสีหน้าอันเยือกเย็น! “ที่แท้เจ้านี่เป็นคนขังเจ้าเอาไว้งั้นเหรอ?”


“เจ้าว่าเหมือนไหมล่ะ?” วัลคีรีย์ถามกลับ


“….” มือที่จับอยู่บนด้ามดาบของไซเลน์กลับไม่ยอมชักดาบออกมา


ใช่แล้ว ทั้งสองไม่เพียงแต่จะปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน แต่ดูท่าทางแล้วยังไม่เหมือนศัตรูกันด้วย หรือว่า….มันคือคนที่ถูกไนท์แมร์พูดกล่อม?


“ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความฝัน ข้าขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ข้าคือราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นผู้นำของสโมสรแม่มด โรแลนด์ วิมเบิลดัน” อีกฝ่ายพูดพร้อมผายมือ


“เจ้าพูดภาษาของเผ่าพันธุ์ข้าได้งั้นเหรอ?” ไซเลนท์พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ


“อยากจะฟังอีกรอบไหม?” โรแลนด์พูดซ้ำอีกรอบ


ในเวลานี้มันถึงได้พบว่านั่นไม่ใช่ภาษาที่อาณาจักรมนุษย์ใช้กัน แล้วก็ไม่ใช่ภาษาของเผ่าพันธุ์มัน หากแต่เป็นภาษาที่แปลกประหลาดอย่างมาก แต่มันกลับเข้าใจความหมายของมัน!


พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าทั้งสามคนจะพูดภาษาอะไร แต่ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด


“เจ้าคิดซะว่ามันเป็นการสื่อสารทางจิตสำนึกก็ได้ เอาเป็นว่า…นี่คือรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น” โรแลนด์ทำมือบอกว่าเชิญ “บอกตามตรง การได้มาเจอหน้ากันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นพวกเราควรจะพูดเรื่องปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อแข่งกับเวลาด้วยดีกว่า มา เดี๋ยวเรากินไปคุยไป”


กินไป…คุยไป?


เจ้าโง่ หรือมันไม่รู้ว่าการกินการดื่ม มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นสำหรับผู้ยกระดับระดับสูง?


วัลคีรีย์คงจะทนมันมานานแล้ว


แต่ไซเลนท์กลับมองเห็นไนท์แมร์ลอร์ดนั่งลงข้างโต๊ะ พร้อมยกถ้วยกระเบื้องที่ประณีตงดงามตรงหน้าขึ้นมา


เอ่อ…


มันนั่งตามลงไปอย่างงุนงง


“ถึงแม้เวลาจะกระชั้นชิด แต่ถ้าแม้แต่ความเชื่อใจที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่มี อย่างนั้นหลังจากนี้ก็คงไม่มีอะไรให้คุยกันอีก” โรแลนด์พูดเข้าประเด็น “ซึ่งการจะทำให้เจ้าเชื่อข้าในเวลาสั้นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นวัลคีรีย์จะเป็นคนรับผิดชอบในการตอบคำถามของเจ้า”


“อย่างนี้ดีที่สุด” วัลคีรีย์มองไปทางโรแลนด์อย่างสนิทสนม “ข้าเองก็มีอะไรหลายอย่างที่อยากจะถามมันเหมือนกัน”


จากนั้นไนท์แมร์ก็เล่าเรื่องที่ว่าตัวเองเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้อย่างไรและสิ่งที่ตัวเองได้รู้ได้เห็นทั้งหมดที่นี่ออกมาให้ไซเลนท์ฟัง และในระหว่างนั้นก็มีการพูดถึงศึกทางตะวันตกไปด้วย ในที่สุดไซเลนท์ก็ได้รับรู้เรื่องคร่าวๆ หลังจากที่ไนท์แมร์หลงอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก แต่นั่นก็เพียงแค่รับรู้เท่านั้น เพราะว่าเรื่องทั้งหมดมันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก มันรู้สึกยากที่จะเชื่อได้จริงๆ มนุษย์ตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ ทำไมถึงได้รับการโปรดปรานจากโลกแห่งจิตสำนึกได้


“อย่างนั้น….นี่คือที่มาของการสืบทอดใหม่ของมนุษย์เหรอ?” ไซเลนท์อ้าปากพูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก


“เจ้าจะเข้าใจแบบนี้ก็ได้” โรแลนด์ตอบ “แต่ข้าชอบมองว่ามันเป็นโลกที่สมบูรณ์มากกว่า เป็นโลกที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากพระเจ้า เป็นโลกที่วิกฤตมาอยู่ตรงหน้าเหมือนกับพวกเรา”


มันไม่อยากจะเชื่อมนุษย์หน้าไหน แต่มีบางเรื่องที่มันจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ อย่างเช่นดินแดนแห่งจิตสำนึกที่ถูกเรียกว่าโลกแห่งความฝันแห่งนี้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะพบว่ามันใหญ่จนน่าตกใจ จนแทบจะไม่สามารถมองปลายอีกด้านหนึ่งได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพระเจ้าจะทำลายที่นี่จริงหรือไม่ เอาแค่ขนาดของที่นี่มันก็ใหญ่กว่าหอเจ้าชีวิตของจักรพรรดิแล้ว


แล้วก็ยังมีเครื่องประดับและอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักชื่อพวกนั้นอีก พวกมันล้วนแต่เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือมีความประณีตจนน่าเหลือเชื่อ การที่สามารถเอาเวลาและกำลังส่วนใหญ่ไปใช้กับของที่ใช้ในชีวิตประจำวันแบบนี้ได้ มันก็พอที่จะแสดงให้เห็นว่าพลังที่แฝงอยู่ของพวกเขามาน่าตกใจแค่ไหร ถ้าสิ่งที่มนุษย์ยืมมาใช้คือพลังที่ว่านี้ อย่างนั้นการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาที่เกิดขึ้นในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร


แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวัลคีรีย์


สายตาและความคิดของมันล้วนแต่เหนือกว่าคนเอง ถ้ามันไม่พูดแย้งอะไรขึ้นมา อย่างนั้นก็แสดงว่าคำพูดของมนุษย์ตัวผู้นี้มีความน่าเชื่อถือ


แต่ว่า….การจะให้เซโรเชสดูดซับข้อมูลปริมาณมหาศาลนี้ในเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ


“เออใช่ ข้าอยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้เฮคซอดตัดสินใจที่จะติดต่อวัลคีรีย์ แทนที่จะรอคอยต่อไป?” โรแลนด์เห็นมันนิ่งเงียบอยู่นาน เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา “นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของมันเลย”


ไซเลนท์มองไปทางวัลคีรีย์ก่อน หลังอีกฝ่ายพยักหน้ามันจึงพูดเหตุผลออกมา


เรื่องที่สกายลอร์ดพบว่าบอทธ่อมเลสแลนด์อยู่ทางปลายสุดด้านเหนือของดินแดนรุ่งอรุณจริงๆ นั้นไม่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจ เพราะเขารู้ข่าวนี้มาจากโจนนานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว การที่เฮคซอดจะไปพิสูจน์เรื่องนี้มันก็ถือเป็นเรื่องปกติ


แต่ข่าวที่สองนั้นแตกต่างไปจากข่าวแรกอย่างสิ้นเชิง


“เจ้าจะบอกว่า….แบล็คสโตนถูกอาณาจักรซีสกายบุกเข้าไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?” วัลคีรีย์ทำสีหน้าตกใจ “นั่นมันแนวป้องกันสุดท้ายที่กองทัพหลักป้องกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”


“จักรพรรดิบอกเช่นนี้จริงๆ ส่วนรายละเอียดข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่ฟังมาจากเดอะแมสก์ ศัตรูได้เกิดการวิวัฒนาการอย่างมากแล้ว”


ตอนที่ 1427 อยู่หรือไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เล่าให้ละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม?” โรแลนด์ไล่ถาม


“ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว” เห็นได้ชัดว่าไซเลนท์ดิสแดสเตอร์ค่อนข้างระมัดระวังราชาของมนุษย์ “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับอาณาจักรซีสกายน้อยมาก ต่อให้พูดไปก็ฟังไม่เข้าใจ”


“เมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ดินแดนตะวันตกของอาณาจักรเกรย์คาสเซิลกำลังถูกอสูรสยองโจมตี และในนั้นก็มีพวกอาณารจักรซีสกายด้วย” โรแลนด์ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของมัน หากแต่เล่าเรื่องสัตว์ประหลาดโครงกระดูกที่ปีนขึ้นมาบนแผ่นดินอย่างจริงจัง “นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเป็นมันอยู่บนพื้นที่นอกทะเล”


“บอกสิ่งที่เขาอยากรู้ไปเถอะ” วัลคีรีย์เองก็พูดด้วยน้ำเสียงน้ำนวล “ยังไงซะมันก็ดีกว่าปล่อยให้ชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์ไปอยู่ในมือของพวกอาณาจักรซีสกาย”


“ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้…” เซโรเชสพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ฟังให้ดี มนุษย์ สิ่งที่เจ้าเห็นนั้นคือรังแม่ พวกมันเป็นหัวใจสำคัญบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของอาณาจักรซีสกาย ความสามารถในการต่อสู้ของรังแม่นั้นไม่แข็งแกร่ง แต่มันสามารถควบคุมลูกน้องจำนวนมากให้สู้เพื่อมันได้….”


“เหมือนกับหัวสมอง…”


“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ครั้งหน้าอย่าพูดแทรกข้าอีก” ไซเลนท์พูดอย่างหงุดหงิด “สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เก่าแก่กว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มาก บางทีตอนที่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นมา พวกมันก็อาจจะอยู่บนโลกนี้แล้วก็ได้ — แต่เวลาอันยาวนานส่งผลกระทบต่อพวกมันน้อยมาก การเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างและความสามารถของมันมีความคงที่อย่างมาก จนกระทั่งช่วงไม่กี่เดือนมานี้…”


หลังอธิบายอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดโรแลนด์ก็เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมแปลกๆ ของอาณาจักรซีสกายแล้ว


จากที่ปีศาจเล่ามา พวกอาณาจักรซีสกายก็วิวัฒนาการได้เหมือนกัน แต่การวิวัฒนาการทางความสามารถของพวกมันแตกต่างไปจากปกติ การเปลี่ยนแปลงทุกครั้งของอาณาจักรซีสกายจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งเผ่าพันธุ์ อย่างเช่นถ้ารังวิวัฒนาการ รังทุกตัวในเผ่าพันธุ์ก็จะวิวัฒนาการตามไปด้วย จะไม่มีความแตกต่างระหว่างรังด้วยกัน ซึ่งไม่เหมือนกับพวกมนุษย์หรือปีศาจที่แต่ละคนหรือแต่ละตัวจะเป็นอิสระต่อกัน น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ การวิวัฒนาการของพวกมันจึงช้าอย่างมาก ประมาณหลายร้อยปีถึงจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของพวกมันได้


แต่การเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความคิดนี้ผิดอย่างมหันต์ ไม่มีใครรู้ว่าในช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้ อาณาจักรซีสกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วกี่ครั้ง สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ก็คือความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ อย่างเช่นอสูรมีดที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงผู้ช่วยที่รังแม่ใช้ในการล่าอาหาร ขอเพียงถูกระบุตำแหน่งได้ แม้แต่ปีศาจคุ้มคลั่งก็ยังฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ ได้ แต่ตอนนี้ร่างกายของพวกมันไม่เพียงแต่จะขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ทั้งพละกำลัง ความอดทนและความเร็วในการตอบสนองก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย เคียวที่เต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ของพวกมันถึงขนาดทำร้ายปีศาจระดับสูงได้


ถึงแม้ในการสู้กันซึ่งๆ หน้า ผู้ยกระดับระดับสูงจะสามารถฆ่าอสูรมีดตัวหนึ่งได้สบายๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าการวิวัฒนาการของอาณาจักรซีสกายนั้นเป็นแบบกระจายทั้งเผ่าพันธุ์


มันก็เหมือนกับตอนที่แม่มดตื่นรู้กลายเป็นสุดยอดอมนุษย์แล้วแม่มดคนอื่นๆ ก็พากันกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์เหมือนกัน — ขอเพียงมีจำนวนมากพอ การเปลี่ยนแปลงทางจำนวนก็จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพได้


แนวป้องกันที่ปีศาจฝืนรักษาเอาไว้ไม่สามารถป้องกันการรุกรานจากอาณาจักรซีสกายได้อีก ศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนปีนขึ้นมาจากทะเลถาโถมเข้ามายังสนามรบเหมือนกับสายน้ำหลาด จักรพรรดิจึงจำเป็นต้องตัดสินใจทิ้งแบล็คสโตนไป


สำหรับโรแลนด์แล้วนี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย


ถ้าปีศาจไม่สามารถรักษาดินแดนของมันเอาไว้ได้ อย่างนั้นมนุษย์ก็จะต้องเจอกับความกดดันระลอกใหม่ เรื่องที่พื้นที่ทางตะวันตกถูกโจมตีนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น


“มนุษย์ ข้าแนะนำให้เจ้ารีบส่งชิ้นส่วนสืบทอดมาจะดีกว่า” สุดท้ายไซเลนท์ก็พูดว่า “ด้วยกำลังของพวกเจ้าในตอนนี้นั้นยากที่จะรับมือกองทัพของอาณาจักรซีสกายได้ วัลคีรีย์พูดถูก การถูกอาณาจักรซีสกายยึดเอาชิ้นส่วนไปคือสิ่งที่พวกข้าไม่อาจยอมรับได้”


“ข้าเองก็ไม่คิดที่จะส่งชิ้นส่วนให้พวกมัน” โรแลนด์ยักไหล่ “นอกจากนี้…พวกเจ้าไม่คิดว่าช่วงเวลาในการวิวัฒนาการของพวกมันค่อนข้างบังเอิญไปหน่อยเหรอ?”


“โอ้?” วัลคีรีย์ยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง “ไหนลองว่ามาซิ”


“แบล็คสโตนสู้อยู่กับอาณาจักรซีสกายมาตลอด ดังนั้นช่วงเวลาที่พวกเจ้าสังเกตเห็นถึงการวิวัฒนาการไปอย่างผิดปกติของพวกมันจึงไม่น่าจะคลาดเคลื่อนเท่าไร ซึ่งเมื่อ 3 – 4 เดือนก่อนหน้านี้ก็เป็นช่วงที่เทวทูตโจมตีซีโร่พอดี”


“เจ้าสงสัยว่าการวัฒนาการขึ้นอย่างมากของอาณาจักรซีสกายนั้นเกี่ยวข้องกับพระเจ้า?”


“แค่เดาเท่านั้น” โรแลนด์พูดเบาๆ อย่างไม่มั่นใจ “แต่มีจุดหนึ่งที่ข้าสนใจมาก…พวกเจ้าเคยติดต่อกับอาณาจักรซีสกายไหม?”


สีหน้าของวัลคีรีย์ค่อยๆ คร่ำเคร่งขึ้นมาทันที


“ข้าคิดว่าน่าจะไม่เคยใช่ไหมล่ะ? แต่ผู้เข้าร่วมสงครามแห่งโชคชะตาเผ่าพันธุ์อื่นๆ คล้ายว่าจะเคยติดต่อหากันและกันอยู่” โรแลนด์ค่อยๆ พูด มนุษย์กับปีศาจนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว ในช่วงที่มีสำนักซีคลาวด์อยู่นั้นถึงขนาดเคยอยู่อาศัยร่วมกันด้วยซ้ำ ส่วนอารยธรรมใต้ดินที่ถูกทำลายไปแล้วก็เคย ‘ติดต่อ’ กับสมาพันธ์แม่มดก่อนที่จะถูกทำลาย นี่จึงทำให้เกิดแผนการนักรบอาณาสิทธิ์ขึ้นหลังจากนั้น เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายก็น่าจะมีประสบการณ์ที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ในจุดนี้จะเห็นได้จากสีหน้าของไนท์แมร์


มีเพียงอาณาจักรซีสกายเท่านั้นที่ไม่เคยติดต่อ


ในประวัติศาสตร์ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพวกมัน ถ้าบอกว่ามนุษย์ไม่รู้เรื่องเพราะว่ามนุษย์แทบจะไม่เคยย่างเท้าเข้าไปยังส่วนลึกของทะเล อย่างนั้นถ้าแม้แต่ปีศาจก็ยังไม่เคยติดต่อกับพวกมันก็ถือว่าแปลกประหลาดอย่างมาก


เพราะการสื่อสารคือคุณลักษณะทั่วๆ ไปที่เหมือนกันของอารยธรรม ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกันก็ตาม


ตอนนี้ดูแล้วเหมือนอาณาจักรซีสกายจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ซุ่มอยู่เงียบๆ นอกเหนือจากสามเผ่าพันธุ์ที่เหลือ


หากคิดตามแนวคิดที่ว่านี้ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการวิวัฒนาการของอาณาจักรซีสกายก็ค่อนข้างน่าขนลุกทีเดียว


“เจ้าคิดจะทำยังไงต่อ?” วัลคีรีย์ถาม


“ไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้” โรแลนด์มองไปทางทั้งสองคน “ข้าอยากจะให้พวกเจ้าหยุดการโจมตีทั้งหมด แล้วเอากำลังทั้งหมดไปรับมืออาณาจักรซีสกาย”


“เป็นไปไม่ได้” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พูดปฏิเสธเขาขึ้นมาตรงๆ “เพราะว่าเรื่องพระเจ้ากับเรื่องหลอกลวงของสงครามแห่งโชคชะตาอะไรนั่นเป็นเพียงคำพูดของเจ้าเพียงด้านเดียว อีกทั้งตอนนี้แม่ทัพของกองทัพตะวันตกกลายเป็นเดอะแมสก์แล้ว แถมร่างซิมไบออนท์ยังอยู่ในการควบคุมของมันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น…”


“ยิ่งไปกว่านั้นอะไร?”


เซโรเชสไม่ได้ตอบออกมา หากแต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าอยากจะคุยกับวัลคีรีย์ตามลำพัง”


“เฮ้อ…” โรแลนด์ถอนใจออกมาเบาๆ “ก็ได้ แต่อย่าลืมเวลาล่ะ”


…..


ไซแลนท์เดินออกมานอกห้องโดยมีวัลคีรีย์เดินนำ ทั้งคู่เดินไปตามระเบียงของตึกถงจึไปยังอีกด้านหนึ่ง


ภายใต้มุมมองนี้ เมืองแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่จนยากจะบรรยายได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเซโรเชส ตึกสูงสีเทาที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหล่านั้นตั้งสลับเรียงราย เทียบกับหอคอยแห่งการให้กำเนิดแล้วดูยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน แต่จำนวนกลับมีมากกว่าหลายเท่า พวกมันทั้งเรียงไปทางถนนที่ตัดสลับกันไปมา ดูแล้วเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นพระผู้สร้างก็ไม่มีทางที่จะรองรับสิ่งก่อสร้างจำนวนมากขนาดนี้ได้


ความรู้สึกที่กระแทกขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้มันหายใจติดขัด


ตอนที่เหลือบมองผ่านหน้าต่างก่อนหน้านี้ก็ทำให้เซโรเชสตกตะลึงอย่างมากแล้ว แต่ภาพที่มันเห็นหลังจากที่เดินออกมาจากในห้องนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มันจินตนการเอาไว้มาก


สิ่งที่ทำให้ยิ่งรู้สึกน่าเหลือเชื่อก็คือคนจำนวนมากที่เดินไปเดินมาอยู่ในเมือง พวกเขาดูแล้วไม่เหมือนคนที่มีเวทมนตร์ที่ถูกดูดเข้ามาที่นี่ แล้วก็ไม่เหมือนสิ่งที่ดินแดนแห่งจิตสำนึกสร้างขึ้นมา — นี่คือจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างที่นี่กับหอเจ้าชีวิต


มิน่ามนุษย์คนนั้นถึงเรียกที่นี่ว่า ‘โลก’


“แค่นี่พอแล้ว” วัลคีรีย์หยุดฝีเท้า


เสียงนี้ดังแทรกความคิดของไซเลนท์ขึ้นมา มันบังคับตัวเองรวบรวมสมาชิกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “ในห้องยังมีผู้ที่มีพลังเวทมนตร์คนอื่นอยู่อีก!”


“ข้ารู้ นั่นมันแม่มด” วัลคีรีย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“….” การตอบสนองนี้เหนือความคาดหมายของเซโรเชส “เจ้ารู้…อยู่แต่แรกแล้ว?”


“ในช่วงเวลาที่รอเจ้าอยู่นี่ ข้ายังเคยคุยกับพวกนางด้วย — ถึงแม้พวกนางจะยังไม่ชอบข้าก็ตาม” ไนท์แมร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เป้าหมายหลักของแม่มดคือปกป้องโรแลนด์ แต่ความจริงแล้วเขาไม่ต้องการการปกป้อง ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความสบายใจของทุกคนเท่านั้น”


ต่อให้เป็นสุดยอดอมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะทำตัวสบายๆ แบบนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาได้ แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวผู้ธรรมดาคนหนึ่งล่ะ? ไซเลนท์พบว่าระดับความน่าตกตะลึงของเรื่องนี้ไม่ได้เป็นรองเรื่องที่บอกว่าสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องหลอกลวงเลย


“ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ ถ้ามันจัดการได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ข้าคงจะลงมือไปนานแล้ว” วัลคีรีย์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ เหมือนรู้สึกถอนใจออกมานิดหน่อย “แน่นอน…นั่นล้วนแต่เป็นความคิดในตอนแรกทั้งนั้น”


“แม่มดไม่ได้ตามพวกเรามา” เซโรเชสคว้ามือของไนท์แมร์ขึ้นมา “บอกข้า ข้าต้องทำยังไงถึงจะพาเจ้าออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึกได้”


วัลคีรีย์มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าไม่สังเกตเห็นเหรอ? ข้าไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”


“ไม่ ในเมื่อข้าเข้ามาได้ เจ้าก็ต้องออกไปได้สิ ใช่แล้ว! ถ้าข้าเอาร่างกายของเจ้ามาด้วย—“


ไนท์แมร์ยื่นมือออกมาสางผมตรงหน้าผากตัวเอง การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาไซเลนท์ลืมตาโตขึ้นมาทันที


“ท่านวัลคีรีย์…หินเวทมนตร์ของท่าน…”


“ข้าไม่เหมือนกับเจ้า แล้วก็ไม่เหมือนกับแม่มดเหล่านั้น” ครั้งนี้วัลคีรีย์ไม่ได้แก้ไขคำเรียกของอีกฝ่าย “เผ่าพันธุ์ของเราถ้าสูญเสียหินเวทมนตร์ไป ผลลัพธ์เดียวก็คือมีแต่ตายเท่านั้น แต่นี่ข้ายังไม่ตาย นี่น่าจะเกี่ยวกับวิธีการเข้ามาในโลกแห่งความฝันของข้าที่ไม่เหมือนปกติ ตอนนี้ข้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่สามารถออกไปกับเจ้าได้”


ตอนที่ 1428 ชั่งน้ำหนัก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“….” เซโรเชสมองมันอย่างงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ “ถ้าตัวผู้ที่ชื่อโรแลนด์ วิมเบิลดันตายล่ะ…”


“ข้าก็น่าจะตายตามไปด้วย” น้ำเสียงของวัลคีรีย์ไม่มีความหนักใจแม้แต่น้อย “แต่เมื่อเทียบกับทั้งเผ่าพันธุ์แล้ว ชีวิตของข้าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย ถ้าฆ่ามันแล้วทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปได้ เจ้าก็ห้ามลังเลเด็ดขาด”


ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่ได้รับคำ


มันหันหน้ามองลงไปยังถนนที่คึกคักที่อยู่ด้านล่างตึก ในนั้นไม่ได้มีแต่พวกมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีร่างระดับต้นของเผ่าพันธุ์มันอยู่อีกสองสามตัวด้วย พวกมันเดินอยู่ในกลุ่มคนที่เดินไปเดินมา กลายเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ภาพเหตุการณ์แบบนี้ไม่ว่าดูยังไงก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก


หลังผ่านไปครู่หนึ่ง มันจึงถามขึ้นมาใหม่ว่า “เจ้าเชื่อตัวผู้คนนั้นเหรอ?”


“บอกตามตรง เรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ การใช้คำว่าเชื่อเพียงคำเดียวมาตัดสินใจมันค่อนข้างจะไร้น้ำหนักไปหน่อย” วัลคีรีย์ค่อยๆ โน้มตัวลงไปเท้าแขนกับราวกั้น “ถึงแม้คนที่ต่อรองจะเป็นเจ้า ข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจโดยอาศัยเพียงคำว่าเชื่อเพียงคำเดียวได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่มันพูดถูก ความเชื่อคือพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีพื้นฐานที่ว่านี้ พวกเราก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี หรืออาจจะเป็นร้อยปีในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดมุมมองที่มีต่อสงครามแห่งโชคชะตา และบางทีราคาที่ต้องจ่ายนี้ก็อาจจะมากเกินกว่าที่เผ่าพันธุ์เราจะแบกรับไหว ดังนั้นไม่ว่าจะใช้คำว่าใช่หรือไม่มาตอบคำถามมันก็ล้วนแต่ไม่เหมาะทั้งนั้น”


“…..”


“เมื่อดูจากในตอนนี้ มันกำลังพยายามที่จะหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาจริงๆ การเปลี่ยนแปลงบนสนามรบที่มันบอกข้าเหล่านั้นก็ไม่ใช่คำโกหก เมื่อพิจารณาจากทุกๆ ด้านแล้ว ความเชื่อใจตรงนี้ถึงไม่ถือเป็นคำขอที่มากเกินไป” ไนท์แมร์พูดเสียงเบาๆ “เรามีเหตุผลให้สงสัยได้เสมอ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การชั่งน้ำหนักของผลได้ผลเสีย”


‘ชั่งน้ำหนัก’ งั้นเหรอ…ไซเลนท์พูดทวนเสียงเบาๆ “อย่างนั้นต่อไปข้าควรทำยังไง?”


“อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า…ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าเป็นราชาที่ดีตนหนึ่ง ข้าไม่อยากให้คำพูดข้ามันส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้า”


“ต่อไป…มีแต่ต้องเข้ามาที่นี่ถึงจะเจอเจ้าได้ใช่ไหม?” เซโรเชสพูดอย่างลังเล


“มันก็ไม่แน่” วัลคีรีย์ยักไหล่ “ข้าได้ยินโรแลนด์บอกว่ามันกำลังพยายามที่จะช่วยชีวิตแม่มดคนหนึ่งที่ชื่อแอสเชส ถ้าข้อมูลที่เทวทูตบอกมาเป็นความจริงล่ะก็ อย่างนั้นต่อให้ร่างกายหายไปแล้ว แต่ขอเพียงยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก ก็ยังมีโอกาสที่จะฟื้นกลับคืนมาได้ เมื่อเทียบกับแม่มดที่ล่องลอยไปในทะเลแห่งจิตสำนึกแล้ว อย่างน้อยจิตสำนึกของข้าก็มีความสมบูรณ์มากกว่า เออใช่…”


ไนท์แมร์ยื่นสองมือออกไปถอดหมวกเหล็กของอีกฝ่ายออก “การมาเจอหน้ากันแบบนี้ไม่ค่อยมีความเสี่ยงเท่าไร ดังนั้นไม่ต้องใส่ชุดเกราะหนักๆ แบบนี้อีกแล้ว — เมื่อเทียบกับชุดเกราะสีดำแล้ว ข้าชอบเห็นเจ้าแบบนี้มากกว่า”


….


ในตอนที่ทั้งสองคนกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง โรแลนด์พลันขมวดคิ้วขึ้นมา


ถึงแม้เขาจะรู้จากรายงานของฟิชบอลอยู่ก่อนแล้วว่าร่างกายที่แท้จริงของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กับรูปร่างในตอนที่มันออกรบตามปกตินั้นแตกต่างกันอย่างมาก แต่ในตอนที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็ยังแอบรู้สึกแปลกใจอย่างมาก


ถ้าไม่เตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า เขาคงยากที่จะเชื่อมโยงเกราะเหล็กที่ดูดุร้ายนี้เข้ากับปีศาจ ‘ผู้หญิง’ ที่อยู่ข้างในได้


“พวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วเหรอ? เป็นยังไงบ้าง?”


“ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ามนุษย์” เซโรเชสถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องโกหกจริงๆ เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะเอาชนะพระเจ้าได้?”


“ความจริงแล้วข้าไม่รู้” นี่คือคำถามที่โรแลนด์ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน “พระเจ้าคืออะไร เป้าหมายของมันคืออะไร ข้าต้องสู้อย่างไร แล้วก็มีโอกาสที่จะได้สู้หรือไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ายังไม่อาจรู้ได้ นอกจากนี้ถ้าโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป แล้วดูจากพลังที่มันแสดงออกมาในตอนนี้ ตามหลักแล้วพวกเราไม่มีโอกาสเลย แต่ข้าเชื่อว่าไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรมันก็ดีกว่าการนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ”


“ข้าไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย แต่อย่าลืมซะล่ะว่าท่านวัลคีรีย์ยังอยู่ในดินแดนจิตสำนึกของเจ้า ดังนั้น….”


“ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปใช่ไหม?”


“เจ้าเข้าใจก็ดี” เซโรเชสถลึงตาใส่มัน “ส่วนเรื่องที่เจ้าขอ ข้าต้องไปคิดดูก่อนค่อยตัดสินใจ”


“ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบจากการพูดคุยเพียงครั้งเดียวเหมือนกัน” โรแลนด์พยักหน้า “แต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ หลังจากนี้ใช้จดหมายติดต่อก็แล้วกัน เพราะการมาเจอหน้ากันแบบนี้มันมีความเสี่ยงอย่างมากสำหรับทั้งสองฝ่าย — ขอเพียงกองทัพตะวันตกยังคงรุกคืบเข้ามาในดินแดนของสี่อาณาจักรใหญ่ ไฟสงครามก็จะไม่มีวันหยุดลง แล้วก็…”


เขายกแก้วขึ้นมา “ในเมื่อไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เจอกันอีก เจ้าจะไม่ลองดื่มดูซักแก้วจริงๆ เหรอ?”


“เหอะ” เซโรเชสหยิบเครื่องดื่มที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมากรอกใส่ปากอย่างดูถูก — ลูกไม้แบบนี้มันเคยเห็นมาเยอะแล้ว ต่อให้เจ้านี่มันจะรสชาติแย่แค่ไหน มันก็ไม่มีทางแสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมาต่อหน้าศัตรูแน่


พริตาที่รสชาติหอมหวานกับความกลมกล่อมอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนไหลลงไปในลำคอ ห้องทั้งห้องพลันหายไป มันกลับมายังป่าอีกครั้ง


ไซเลนท์มองไปทางตำแหน่งที่วัลคีรีย์นั้งอยู่ทันที แต่มันกลับเห็นเพียงแค่ทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่าเท่านั้น


ภาพที่เมื่อครู่นี้เหมือนเป็นเพียงความฝัน มีเพียงรสชาติหอมหวานเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปาก


….


“ทำไมถึงนานขนาดนี้?”


เมื่อเห็นไซเลนท์ปรากฏตัวขึ้นมา เฮคซอดพลันเปิดประตูมิติขึ้นมาต่อเนื่องหลายบาน ก่อนจะดึงมันออกมา 10 กว่ากิโลเมตรแล้วค่อยถามคำถาม


มันมองว่าหลังจากที่ได้รับจดหมายตอบกลับแล้วก็ควรจะรีบหนีออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นถึงจะถูก


“พวกมันไม่ได้ตอบจดหมายข้า” สีหน้าไซเลนท์เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


“อะไรนะ?” สกายลอร์ดขมวดคิ้วขึ้นมา “หรือว่าเป็นกับดัก?”


“ไม่ ข้าได้เจอวัลคีรีย์”


เฮคซอดเกือบจะร่วงตกลงไปจากฟ้า


“เจ้าว่าอะไรนะ!”


“เจ้าเดาไม่ผิด วัลคีรีย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกจริงๆ” ไซเลนท์ค่อยๆ พูด “เพียงแค่คนที่ถูกมันอาศัยอยู่นั้นคือราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นผู้ที่ครอบครองชิ้นส่วนสืบทอด”


หลังกลับมายังพระผู้สร้างและฟังเซโรเชสบรรยายจนจบ เฮคซอดก็ตกอยู่ในความสับสนอย่างรุนแรง


ข้อมูลจำนวนมหาศาลแทบจะอุดอยู่ในหัวสมองของมัน


ถึงแม้จะคิดอยู่แล้วว่าวัลคีรีย์จะต้องเจออะไรบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามนุษย์จะมาไกลถึงขนาดนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าไนท์แมร์ได้ร่วมมือกับอีกฝ่าย ถ้าข่าวเหล่านี้แพร่ออกไป ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์นับพันปีของเผ่าพันธุ์ได้ แต่ยังจะทำให้พวกมันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิด้วย


จะลองไปรายงานจักรพรรดิไหม? เฮคซอดแทบจะสลัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที ตอนนี้ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ยอมที่จะเข้าไปในหอเจ้าชีวิตอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหากจักรพรรดิให้มันทำอะไร มันก็จะไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธ


อย่างนั้นยืนอยู่ฝั่งวัลคีรีย์เหรอ?


ความจริงในตอนแรกสุด ไนท์แมร์นั้นเป็นผู้สืบทอดคนสำคัญของจักรพรรดิ ความจริงแล้วความแตกต่างระหว่างจักรพรรดิกับราชานั้นไม่ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบของพลัง การกลายเป็นจักรพรรดินั้นมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่ นี่ขึ้นอยู่กับการเลือกของแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ความคิดนี้จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ในเรื่องของเกียรติยศหรือศักดิ์ศรี สิ่งเดียวที่ทำให้มันลังเลอยู่นี้คือมนุษย์ซึ่งอยู่คนละเผ่าพันธุ์


สงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่านั้นยังไม่อาจรู้ได้ แต่เรื่องที่ชิ้นส่วนสืบทอดสามารถทำให้เผ่าพันธุ์ยกระดับได้นั้นเป็นเรื่องจริง ตอนนี้มนุษย์พัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของชิ้นส่วนสืบทอดที่ไม่รู้จัก ถ้าหากหลังจากนี้เกิดการปะทะกันขึ้นมาอีก เผ่าพันธุ์ควรจะทำยังไง?


ความลังเลสงสัยเหล่านี้ทำให้มันไม่อาจตัดสินใจออกมาได้


แต่เฮคซอดไม่ทันได้สังเกตว่าตอนที่มันกำลังแช่อยู่ในบ่อละอองชีวิตและครุ่นคิดอย่างหนักอยู่นี้ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ได้สวมหมวกเหล็ก หยิบดาบยาวขึ้นมา แล้วออกไปจากบ่อละอองชีวิตอย่างไร้ซุ่มเสียง


ตอนที่ 1429 ก้าวข้ามขีดจำกัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั้นล่างของหอคอยแห่งการให้กำเนิดบนพระผู้สร้าง


ที่นี่คือพื้นที่ที่สำคัญที่สุดของเมือง ละอองชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วยสะสมอยู่ที่นี่จนกลายเป็นทะเลสาบผลึกสีแดงปกคลุมด้านล่างหอคอยและสายแร่หินอาญาสิทธิ์เอาไว้ ในอีกแง่หนึ่ง มันคือแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ที่เผ่าพันธุ์มันสร้างขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความสามารถในการเปลี่ยนสภาพของหอคอยแห่งการให้กำเนิด แต่มันยังเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงหินเวทมนตร์ระดับสูงขึ้นมาด้วย


ด้วยเหตุนี้พิธียกระดับที่กระตุ้นให้เผ่าพันธุ์ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงมักจะจัดขึ้นที่นี่ บางทีเมืองแต่ละเมืองอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างแห่งนี้ โครงสร้างแทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่


ในตอนที่เดินผ่านลานพิธี ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์หยุดฝีเท้าเล็กน้อย


เมื่อมองดูภาพที่คุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า มันเหมือนจะได้ยินเสียงตะโกน ‘ชาริตา’ ของปีศาจนับหมื่นนับแสนดังขึ้นมา วัลคีรีย์ที่สวมชุดสีขาวค่อยๆเดินมาอยู่ตรงหน้ามัน


…เพียงแต่เมื่อดูจากเศษฝุ่นละอองชีวิตที่กระจัดกระจายอยู่บนแผ่นหินแล้ว เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ได้ถูกเปิดใช้มาเป็นเวลานานแล้ว


นับตั้งแต่ที่เทคโนโลยีร่างซิมไบออนท์ของอารยธรรมใต้ดินถูกใช้อย่างแพร่หลาย พิธียกระดับของร่างระดับต้นไปจนถึงร่างยกระดับระดับต้นก็ได้ถูกเทคโนโลยีนี้เข้ามาแทนที่ ร่างระดับต้นที่ผ่านการคัดเลือกจะมีอัตราในการยกระดับที่ค่อนข้างสูง นี่ทำให้จำนวนของร่างระดับต้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นกำลังหลักในการรบของเผ่าพันธุ์


คนที่เป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้ก็คือเดอะแมสก์ มันบอกว่าขอเพียงศึกษาต่อไป ไม่ใช่แค่ร่างยกระดับระดับต้นเท่านั้น ได้แวะแต่ผู้ยกระดับระดับสูงก็มีความหวังที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาเป็นจำนวนมากด้วยวิธีนี้


ถึงแม้จะมีหลายๆคนแสดงความสงสัย และคิดว่าวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำลายธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ แถมยังเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเผ่าพันธุ์ด้วย แต่จักรพรรดิกลับอนุมัติและให้การสนับสนุน


จริงอยู่ที่อัตราการยกระดับที่เพิ่มสูงขึ้นสามารถทำให้ความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่จุดอ่อนของมันก็มีอยู่เหมือนกัน — ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ จำนวนร่างยกระดับระดับต้นนั้นเพิ่มขึ้นไปหลายสิบเท่า แต่จำนวนปีศาจที่ยกระดับขึ้นไปเป็นปีศาจระดับสูงด้วยพิธีการยกระดับนั้นกลับมีอยู่ไม่เท่าไร ส่วนราชานั้นแทบจะไม่มีเลยแม้แต่ตัวเดียว


ถ้าต่อไปปีศาจระดับสูงและราชาล้วนแต่ถือกำเนิดได้ด้วยวิธีการปลูกหินเวทมนตร์ลงไป สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็คงจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น….


เซโรเชสถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนจะสะกดอารมณ์ฟุ้งซ่านภายในใจลงไป


การคิดถึงความหลังคือการลังเล และการลังเลนำมาซึ่งจุดอ่อน


นั่นคือสิ่งที่มันจำเป็นต้องกำจัดทิ้ง


หลังผ่านลานพิธี มันก็เดินเข้าไปในหอศูนย์กลางที่ตั้งอยู่บนผาหิน


ร่างระดับต้นที่เฝ้ายามอยู่ที่นี่พากันก้มหน้าแสดงความเคารพให้มัน


ตลอดทั้งทางแทบจะไม่มีอุปสรรคใดๆ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เจอแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ที่ตัวเองกำลังตามหาอยู่ภายในห้องควบคุมบนยอดหออย่างรวดเร็ว


“มีธุระอะไร?” นาซเพลเหมือนกำลังง่วนอยู่กับการปรับโครงสร้างของแกนพลังเวทมนตร์ มันถามขึ้นมาโดยไม่เหลียวหน้ากลับมามอง


ดาบถูกชักออกจากฝัก


เซโรเชสพุ่งไปข้างหน้าสุดแรง ดาบแทงตรงเข้าไปที่เดอะแมสก์


นี่คือการลงมือครั้งแรกของมันหลังจากที่ฟื้นตัว โจมตีครั้งแรกก็ทุ่มสุดแรง!


เดอะแมสก์ไม่ถนัดต่อสู้ นี่คือเรื่องที่ราชาทุกตนรู้กัน แต่เซโรเชสรู้ดีว่านั่นคือการต่อสู้บนสนามประลองที่เท่าเทียมกัน ถ้าหากอยู่ข้างนอก ต่อให้สิบเดอะแมสก์ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับพลังเวทมนตร์หรือความแข็งแกร่งของร่างกาย มันก็ล้วนแต่เหนือกว่าอีกฝ่าย


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องประสบการณ์และสัญชาตญาณที่ได้มาจากการผ่านความเป็นความตายมานับหมื่นๆ ครั้ง


แต่ที่นี่ไม่ใช่ข้างนอก


ต่อให้เป็นสัตว์ที่โง่ขนาดไหนก็สามารถเปลี่ยนรังที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นถ้ำลับที่สัตว์ตัวอื่นมองเข้ามาแล้วต้องรู้สึกหวาดกลับจนถอยกลับไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับนาซเพลล่ะ นับตั้งแต่ที่พระผู้สร้างลอยตัวขึ้นจนมาถึงชายขอบของดินแดนรุ่งอรุณ ช่วงเวลา ช่วงเวลานี้เพียงพอที่จะให้อีกฝ่ายเปลี่ยนพื้นที่ชั้นล่างให้กลายเป็นดินแดนของตัวเองได้ พูดอีกอย่างคือมันยืนอยู่บนสนามรบที่ตัวเองเสียเปรียบอย่างมากมาตั้งแต่ต้นแล้ว


สัญชาตญาณกำลังบอกมันว่าห้ามประมาทเด็ดขาด!


ระยะสิบก้าวถึงในพริบตา ความเร็วที่ถูกเร่งไปจนถึงขีดสุดทำให้คมดาบกลายเป็นลำแสงที่เยือกเย็น คลื่นอากาศระเบิดออก ปลายดาบแทงเข้าไปในลำตัวของนาซเพล


อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดและตกใจ ขณะเดียวกันภายในห้องเหมือนมีชีวิตขึ้นมา เข็มหินจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมาจากทุกทิศทุกทาง ปิดตายทางถอยทั้งหมดของไซเลนท์เอาไว้


มันจำเป็นต้องชักดาบออกพร้อมถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เบลดออฟสปิริตที่คอยปกป้องร่างกายกลายเป็นกำแพงดาบอันแน่นหนา เข็มหินทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาถูกตัดจนหัก เสียงติ๊งๆ ตั๊งๆ ดังขึ้นไม่หยุด!


“เจ้า…ทำบ้าอะไรของเจ้า!” นาซเพลเอามืออุดบาดแผลพร้อมคำรามเสียงดัง


ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ยกอาวุธขึ้นมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับโจมตีครั้งที่สองออกไป — สัมผัสจากการโจมตีเมื่อครู่นี้นั้นไม่เหมือนกับการแทงเข้าไปในสิ่งมีชีวิตเลย ดาบของมันเหมือนกับแทงเข้าในชิ้นส่วนโลหะกับน้ำมันกองหนึ่งมากกว่า มันแอบรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ไม่ว่าสุดท้ายจะกลายเป็นอะไร เกรงว่ามันคงยากที่จะกลับมาเป็นพวกเดียวกันได้อีก


เมื่อเห็นมันไม่ตอบ เดอะแมสก์จึงยกมือสะบัดขึ้นมาทีหนึ่ง กำแพงหินที่อยู่รอบๆ ยกตัวขึ้นมา เผยให้เห็นร่างซิมไบออนท์ที่ซ่อนตัวอยู่ในก้อนเนื้อ ขณะเดียวกันมันก็หนีเข้าไปหาร่างซิมไบออนท์รูปร่างแปลกๆ ตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ร่างซิมไบออนท์เปิดเปลือกออก ก่อนจะรับเอาร่างกายของมันเข้าไป ทั้งสองรวมร่างกันกลายเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกๆ


นี่คือร่างซิมไบออนท์ที่มันสร้างขึ้นมาใหม่งั้นเหรอ?


เซโรเชสขว้างดาบออกไปอย่างไม่ลังเล ดาบพุ่งทะลุช่องว่างของร่างซิมไบออนท์ที่แห่กันเข้ามาหามัน ก่อนจะพุ่งเสียบเดอะแมสก์ที่อยู่ด้านในเปลือกที่กำลังจะปิด


นี่ทำให้ร่างกายครึ่งหนึ่งของอีกฝ่ายยังคงเปิดโล่งอยู่ด้านนอก


จากนั้นมันปล่อยพลังแห่งโชคชะตาออกมา แสงสายฟ้าสีท้องกลืนกินไปทั่วทั้งห้องควบคุม! ภายใต้ลำแสงอันเจิดจ้านี้ เข็มหินและร่างซิมไบออนท์กลายเป็นอัมพาต ส่วนร่างซิมไบออนท์รุ่นใหม่เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่านั้น ดาบยาวกลายเป็นเหมือนสายล่อฟ้า พลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาลวิ่งผ่านดาบยาวเข้าไปในเป้าหมาย เสียงร้องของเดอะแมสก์ดังโหยหวนจนแสบแก้วหู!


ประกายไฟกระเด็นเปรี๊ยะปร๊ะ เซโรเชสเดินข้ามซากร่างซิมไบออนท์ ก่อนจะคว้าจับดาบที่ถูกเผาจนร้อนระอุอีกครั้งแล้วออกแรงกดดาบลงไป เสียงรอดโหยหวนหยุดลง ขณะเดียวกันดาบยาวก็ตวัดจากหน้าอกของเดอะแมสก์ลากยาวขึ้นมาถึงบนหัว จนร่างกายครึ่งบนของมันขาดออกเป็นสองส่วน


“เคร้ง”


หน้ากากที่ถูกฟันจนหักออกเป็นสองส่วนร่วงหล่นลงมาจากหัวของนาซเพล ก่อนจะตกลงไปบนพื้น


“22…วินาที”


มันค่อยๆ หันหน้ากลับมา ก่อนจะใช้ใบหน้าหน้าหนึ่งที่ยังเหลืออยู่พูดออกมา


“…นี่คือคำพูดสุดท้ายที่เจ้าจะพูดงั้นเหรอ?” เซโรเชสชักอาวุธที่อาบเลือดออกมา


“หน่วยนับเวลา…ของมนุษย์นี่ไม่เลวเลย ข้าก็เลย…เอามาใช้” เสียงของเดอะแมสก์ขาดๆ หายๆ “และนี่คือเวลา…นี่ร่างซิมไบออนท์ใช้ขวางเจ้า อึก…ข้านึกว่า จะนานกว่านี้อีกหน่อยเสียอีก”


“การต่อสู้ที่ยิ่งเข้าใกล้ความตายก็ยิ่งทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น” ไซเลนท์พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เมื่อเทียบกับข้าก่อนที่บาดเจ็บหนักแล้ว ตัวข้าในตอนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เสียดายที่เจ้ากับของเล่นของเจ้าพวกนั้นไม่มีทางเข้าใจในจุดนี้ได้”


“ข้าถึงได้…เกลียดของที่มันไม่แน่นอน” เสียงของเดอะแมสก์ค่อยๆ เบาลง “แต่ว่า ไม่แน่นอนก็ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้…ขอแค่มีเวลามากพอ ข้าจะต้องก้าวข้าม…ขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์…”


“ไม่มีวันนั้นแล้ว”


“ทำไมถึง…มั่นใจขนาดนี้?” ใบหน้าที่เหลืออยู่เพียงใบหน้าเดียวเผยรอยยิ้มแปลกๆ ขึ้นมา “ยังจำ..ที่ข้าเคยพูดได้ไหม? เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้ ต่อให้ร่างกายจะแข็งแกร่งแค่ไหน…มันก็ไร้ประโยชน์….”


สัญชาตญาณของเซโรเชสรับรู้ได้ถึงอันตราย!


“ใช่แล้ว ข้ามี…ของขวัญอย่างหนึ่งจะมอบให้เจ้า” เดอะแมสก์พูดเสียงเบาๆ “มันเป็นของเล่นที่ข้าเก็บมาจากพวกมนุษย์…เจ้าน่าจะคุ้นเคยดีนะ”


พอพูดจบ ร่างซิมไบออนท์ที่รวมร่างกับมันก็เปิดออกอีกครั้ง ข้างในเผยให้เห็นถุงหนังเป็นชั้นๆ ที่อยู่ด้างล่างร่างกาย


ด้านในถุงหนังใส่ระเบิดของมนุษย์เอาไว้อยู่!


มันเอาของแบบนี้เข้ามาในสถานที่ที่อยู่ใกล้หอคอยแห่งการให้กำเนิดขนาดนี้เหรอเนี่ย?


ในหัวเจ้านี่…มันคิดอะไรอยู่กันแน่?


เซโรเชสหน้าเปลี่ยนสี มันยังไม่ทันจะถอยไปด้านหลัง แสงสีแดงที่สว่างเจิดจ้าก็เข้าปกคลุมเบื้องหน้าของมันจนหมด


หลังเสียงดังกัมปนาทระเบิดขึ้นมา ลูกบอลเพลิงก็พ่นออกมาจากด้านบนของหอศูนย์กลาง ก่อนจะขยายตัวเป็นแสงครึ่งวงกลมอย่างรวมเร็ว ภายใต้การส่องสว่างของมัน พื้นทะเลสาบของแดงส่องประกายระยิบระยับ ในตอนที่ลูกบอลเพลิงระเบิดออก เมืองที่อยู่ด้านล่างเหมือนสั่นสะเทือนขึ้นมา คลื่นกระแทกอันรุนแรงทำให้ผนังหินหลุดร่วงตกลงไปใบทะเลสาบหมอกแดง!


ลูกบอลเพลิงหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งพื้นที่ว่างขนาดใหญ่เอาไว้บนทะเลสาบหมอกแดง อุณหภูมิที่สูงทำให้ละอองชีวิตที่ยังไม่ถูกเผาพากันหนีไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่ใหญ่ ‘พื้นที่ว่าง’ ก็ไม่ยังไม่ผสานกัน ส่วนร่างระดับต้นและร่างยกระดับระดับต้นที่ในพื้นที่ศูนย์กลางก็ได้แต่นอนดิ้นทุรนทุรายมองดูหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะขาดใจตายโดยไม่อาจทำอะไรได้


แต่เซโรเชสกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนและความเจ็บปวด


ภายในระยะเท่านี้ ด้วยละอองชีวิตที่อัดแน่น ระเบิดจะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คลื่นอากาศที่ระเบิดออกมาน่าจะรุนแรงพอที่จะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ถึงจะถูก


มันค่อยๆ วางแขนที่ยกขึ้นมากันอยู่ข้างหน้าลง พร้อมกับลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


มันเห็นเฮคซอดยื่นแขนตั้งขึ้นเปิดประตูมิติขนาดใหญ่บานหนึ่งขึ้นตรงหน้าของมัน


ส่วนตรงพื้นที่ที่ไม่มีประตูคอยป้องกันอยู่ ทุกอย่างกลายเป็นผุยผง ยอดหอครึ่งหนึ่งแทบจะราบเป็นหน้ากลอง


ตอนที่ 1430 จุดจบที่ไม่สามารแก้ไขได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้ากำลังทำอะไร!” สกายลอร์ดคำราม


ถ้าไม่เป็นเพราะมันสังเกตเห็นไซเลนท์ที่จู่ๆก็เดินออกมา ถ้าเมื่อครู่มันช้ากว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว เกรงว่าคงไม่ใช่แค่อีกฝ่าย แม้แต่ตัวมันเองก็คงจะหนีออกมาไม่ทัน! ทันทีที่คิดถึงว่าถ้าอีกด้านหนึ่งของประตูยังคงเป็นบ่อละอองชีวิตหรือว่ามันเปิดประตูมิติบานที่ 2 ขึ้นมาไม่ทัน เฮคซอดพลันรู้สึกว่าแผ่นหลังมีเหงื่อที่เย็นยะเยือกไหลออกมา


แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ ไม่ว่าเดอะแมสก์จะตายหรือไม่ จักรพรรดิก็จะต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ต่อให้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะปัดความรับผิดชอบไปได้ ขอเพียงจักรพรรดิอ่านความทรงจำดู มันก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย!


นี่ทำให้มันรู้สึกโมโหขึ้นมา


ก่อนหน้านี้ที่ไซเลนท์ปฏิเสธมัน มันยังนึกว่าอีกฝ่ายใจเย็นและมีเหตุผล คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ได้ไปเจอวัลคีรีย์มา ท่าทีของเซโรเชสจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้


ไม่สิ เจ้านี่มันยังคงใจเย็นและมีเหตุผล มันถึงได้แอบออกมาเงียบๆอย่างนี้ แทนที่จะมาพูดคุยหารือกับตัวเองก่อน เพราะมันรู้ว่าตัวเองจะต้องหยุดมันแน่!


“ทันทีที่แผนการที่สองเริ่มขึ้น เราก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก และวิธีที่จะหยุดมันก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้น” น้ำเสียงของไซเลนท์ยังคงราบเรียบ เหมือนไม่ได้สนใจเลยว่าเมื่อครู่ตัวเองเกือบจะตายไปแล้ว


“ใครบอกว่ามีแค่วิธีนี้? ถ้าใจเย็นลงหน่อยแล้วคิดดีๆล่ะก็…”


พอพูดถึงตรงนี้ เสียงของเฮคซอดก็เบาลงไปทันที


มีวิธีที่ดีกว่านี้จริงๆ เหรอ?


การจะทําให้พระผู้สร้างอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่ให้เดอะแมสก์สังเกตเห็น หรือทำให้จักรพรรดิรับรู้…บางทีมันอาจจะมีวิธีแบบนี้อยู่ แต่เวลาล่ะ? ความจริงยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องแผนการที่จำเป็นต้องใช้ทั้งเวลาและกำลังในการวางแผน เอาแค่ตัดสินใจว่ามันจะทำแบบนี้หรือไม่ มันก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้เลย


เจ้านี่…มันมองออกอย่างนั้นหรือ?


ริมฝีปากเฮคซอดสั่นอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายมันจึงได้แต่ต้องเปลี่ยนประเด็น


“ทำไม?”


เซโรเชสมองมัน เหมือนกำลังรอให้มันถามออกมามากกว่านี้อีก


“แบบนี้พวกเราก็จะต้องไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิ ราชาตนอื่นๆ ก็จะมองพวกเราเป็นศัตรู ยิ่งไปกว่านั้น…” สกายลอร์ดหยุดไปเล็กน้อย “มนุษย์เองก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่”


“เพราะชั่งน้ำหนัก” เซโรเชสตอบออกมาง่ายๆ


“ชั่งน้ำหนัก?”


“ในสายตาของข้า คำถามนี้มันไม่ได้เลือกยากขนาดนั้น” มันหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง ถึงแม้ในเวลานี้ภายในห้องควบคุมจะเหลือกำแพงเพียงครึ่งหนึ่งกับประตูที่เหมือนจะหลุดอยู่อีกบานหนึ่ง “เรื่องหลังจากนี้เดี๋ยวค่อยคิดก็ได้ แต่วัลคีรีย์จะตายด้วยวิธีนี้ไม่ได้”


นี่มันคำตอบอะไรเนี่ย… “มีเจ้ากำลังจะบอกว่าวัลคีรีย์สำคัญกว่าชะตาชีวิตของทั้งเผ่าพันธุ์อย่างนั้นหรือ?” เฮคซอดพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ข้าไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเจตนาของมัน เจ้าแน่ใจนะว่าคนที่เจ้าไปเจอมาคือไนท์แมร์ลอร์ดจริงๆ ไม่ใช่ตัวปลอมที่พวกมนุษย์สร้างขึ้นมาแน่นะ?”


“ไม่ มันบอกข้าว่าถ้าเพื่อเผ่าพันธุ์แล้วล่ะก็ จะเสียสละมันก็ไม่เป็นไร” เซโรเชสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่คือความคิดของข้าเอง”


“….” สกายลอร์ดไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี


สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างมากแล้ว


ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งพลันวิ่งผ่านศีรษะของทั้งสองคนไป มันเหมือนดังขึ้นมาจากใต้เท้า หรือพูดอีกอย่างก็คือมาจากในที่ที่อยู่ลึกลงไป!


ท่ามกลางเสียงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จู่ๆ พระผู้สร้างพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา!


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เฮคซอดมองไปทางบ่อละอองชีวิตที่อยู่ด้านล่างหลุมอย่างตกใจ มันเห็นผิวทะเลสาบที่เป็นเหมือนผลึกก่อนหน้านี้เดือดพล่านขึ้นมา เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังพยายามจะพุ่งขึ้นมา ส่วนหอคอยแห่งการให้กำเนิดที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบเองก็ส่องแสงจางๆ ออกมา!


ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ มันไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน


จากนั้นสกายลอร์ดก็ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ แกนพลังเวทมนตร์ที่เดิมควรจะถูกระเบิดฉีกออกเป็นชิ้นๆ กลับส่องแสงสีน้ำเงินที่สว่างเจิดจ้าขึ้นมา จากนั้นมันค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากในทะเลสาบแล้วพุ่งตรงเข้าไปหาหอคอยแห่งการให้กำเนิด


มันคุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้าสิ่งนี้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างชาญฉลาด แล้วก็เป็นเครื่องมือเพียงหนึ่งเดียวของอารยธรรมใต้ดินที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพลังเวทย์มนต์ได้ แต่โครงภายนอกที่เป็นกระดูกของมันนั้นสามารถหักออกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เรียกได้ว่าไม่ได้มีความแข็งแรงทนทานอะไรเลย ในการระเบิดก่อนหน้านี้ แม้แต่หลังคาหอศูนย์กลางก็ยังถูกระเบิดจนแหลกกระจุย แล้วทำไมแกนพลังเวทมนตร์นี้ถึงแค่กระเด็นตกลงไปในทะเลสาบ


เซโรเชสเองก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นเดียวกัน มันชักดาบออกมา ก่อนจะวิ่งออกไปหลายก้าว จากนั้นจึงขว้างดาบออกไปสุดแรง


ดาบกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป ก่อนจะปักเข้าใส่แกนเวทมนตร์อันหนึ่งอย่างแม่นยำ


แต่แกนเวทมนตร์กลับไม่เป็นอะไรเลย ดาบยาวเหมือนแทงเข้าใส่วัตถุที่มีความแข็งอย่างมาก มันกระเด้งออกมา ก่อนจะหมุนควงตกลงไปในทะเลสาบหมอกแดง


“เป็นไปได้ยังไง….” เซโรเชสพูดงึมงำ


ในตอนที่แกนเวทมนตร์เข้าใกล้หอคอยแห่งการให้กำเนิดถึงระยะหนึ่ง ลำแสงเส้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาระหว่างแกนเวทมนตร์และหอคอยแห่งการให้กำเนิด ดูคล้ายว่าจะเชื่อมทั้งสองให้กลายเป็นหนึ่งเดียว ส่วนแกนเวทมนตร์อันอื่นๆ ก็มีลำแสงแบบนี้ปรากฏขึ้นมาเช่นเดียวกัน จนกระทั่งลำแสงสี่สายปรากฏขึ้นมาครบแล้ว แกนเวทมนตร์ทั้งสี่จึงค่อยๆ หมุนวนรอบหอคอยแห่งการให้กำเนิด แสงสว่างของตัวหอคอยเองก็สว่างเจิดจ้าขึ้นมา


“ครืนนน”


การสั่นสะเทือนขยายตัวออกไปหลายเท่า ฝุ่นและเศษหินร่วงตกลงมาจากด้านบน สิ่งก่อสร้างที่สร้างอยู่ข้างหลุมจำนวนไม่น้อยร่วงตกลงไปในทะเลสาบ ส่วนหอศูนย์กลางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ ส่วนที่เชื่อมต่อกับผนังของหลุมเริ่มมีเสียงครึกๆ ดังขึ้นมา รอยแตกเริ่มลามขึ้นมาบนตัวหอคอย


ท่ามกลางการสั่นไหวอย่างรุนแรง เฮคซอดรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งอันชัดเจน เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังกดมันลงไปที่พื้นอย่างไรอย่างนั้น


พระผู้สร้างกำลังลอยขึ้นไป!


“บัดซบ แผนการนี้มันควรจะรอให้จักรพรรดิมาถึงที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก่อนค่อยเริ่มไม่ใช่หรือ?” เฮคซอดกัดฟันพูด “ทำไมมันถึงเริ่มใช้แผนการนี้เร็วขนาดนี้ล่ะ?”


เซโรเชสเองก็เหมือนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เหตุการณ์นี้เหมือนเป็นการเตรียมการเอาไว้นานแล้ว


“หรือว่า…” เฮคซอดจ้องมองไซเลนท์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมันจึงเปิดประตูมิติขึ้นมาแล้วลากไซเลนท์กลับไปยังบ่อละอองชีวิตที่อยู่ด้านล่าง “ถอดเกราะของเจ้าออก!”


“…” เซโรเชสมองมันอย่างสงสัย แต่สุดท้ายก็ทำตามที่มันว่า


สกายลอร์ดหยิบเอาหินเวทมนตร์หลากสีขึ้นมาส่องดู ก่อนจะเห็นในเสาลำแสงของอีกฝ่ายมีเส้นลำแสงที่เล็กจนไม่อาจสังเกตเห็นได้ปะปนอยู่เส้นหนึ่ง มันเล็กขนาดนี้ ถ้าไม่สังเกตดูดีๆ คงยากที่จะแยกแยะออกมาได้


“อย่าขยับ!” เฮคซอดยื่นนิ้วสองนิ้วแทงเข้าไปในไหล่ของไซเลนท์ อีกฝ่ายขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร ไม่นานสกายลอร์ดก็หยิบเอาวัตถุที่เป็นเหมือนก้อนเนื้อออกมาจากในร่างกายของอีกฝ่าย หลังออกมาจากร่างโฮสต์แล้ว สิ่งมีชีวิตที่เป็นเหมือนก้อนเนื้อก้อนนั้นก็หยุดขยับทันที


“นาซเพล” ไซเลนท์กําหมัดแน่น! เดอะแมสก์เป็นคนฝังเจ้าปรสิตนี้เข้ามาในปากแผลตอนที่มันกำลังสลบจากอาการบาดเจ็บอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันกลับไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว!


“มันรู้เรื่องที่พวกเราคุยกันแต่แรกแล้ว เผลอๆ แม้แต่…เรื่องที่เจ้าไปเจอกับวัลคีรีย์ในโลกแห่งจิตสำนึก มันก็รู้เรื่องด้วยเหมือนกัน” เฮคซอดโยนก้อนเนื้อลงไปที่พื้น ก่อนจะใช้เท้าเหยียบจนแหลก “แบบนี้เรื่องที่มันเตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้าก็สามารถอธิบายได้แล้ว”


เซโรเชสก้าวเท้าเดินไปที่ประตูโดยไม่สนใจบาดแผลที่หัวไหล่


“เดี๋ยวๆ เจ้าจะไปไหน?”


“ข้าจะไปทำลายแกนพลังเวทมนต์!”


“ตอนนี้มันสายไปแล้ว!” เฮคซอดตะโกน “เจ้าก็เห็นแล้วนี่ แกนพลังพวกนั้นมันกำลังส่งเสียงตอบรับหอคอยแห่งการให้กำเนิด เจ้าคนเดียวจะไปทำอะไรได้?”


ตอนนี้แกนพลังเวทมนตร์ที่ถูกปรับมาได้รวมเป็นหนึ่งกลับหอคอยแห่งการให้กำเนิด อย่าว่าแต่โยนดาบเข้าไปเลย ต่อให้พวกมัน 2 ตัวใช้พลังทั้งหมดที่มีก็ยากที่จะสร้างความเสียหายให้กับแกนพลังเวทมนตร์ได้


ถึงแม้จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น นั่นมันก็จะทำให้พระผู้สร้างสูญเสียการควบคุมและตกลงไปข้างล่างอยู่ดี!


มันมองเห็นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดแล้ว


“ไปแจ้งมนุษย์ที่วัลคีรีย์อาศัยอยู่ด้วยซะ ให้มันรีบออกไปจากแผ่นดินเพื่อหลีกหนีหายนะครั้งนี้ นี่คือสิ่งเดียวที่พวกเราพอจะทำได้ในตอนนี้”


ตอนที่ 1431 เกิดมาเพื่อสงคราม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“มา 1 2 3…”


“ยินดีด้วยที่อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดี หมดแก้ว!”


งานเลี้ยงเล็กๆ งานหนึ่งได้ถูกจัดขึ้นภายในหอพักของมนต์แห่งสลีปปิ้ง เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจที่ดัสก์ยิ้มออกมาจากใจ โบแชงจึงยกแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างจนปัญญา


ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน อีกฝ่ายจะมาหาเธอทุกครั้งที่มีเวลาว่างโดยไม่ได้สนใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้เลย หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่อยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เธอคงไม่มีทางสนใจแม่มดสายสนับสนุนคนนึงขนาดนี้แน่ ความรู้สึกผิดและความรู้สึกตื้นตันใจผสมผสานกันจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนติดค้างดัสก์อย่างมาก


ถึงแม้โบแชงจะรู้ว่าดัสก์ไม่มีทางคิดแบบนี้ก็ตาม


แต่ในตอนที่สายตาเธอเลื่อนไปหาอีกคนหนึ่ง สีหน้าเธอพลันดูไม่สบอารมณ์ขึ้นมา


“เจ้ามาทำไมเนี่ย?”


ชาร์มดื่มเหล้าในแก้วจนหมด “นี่เป็นเหล้าองุ่นที่ข้าเอามา แล้วทำไมข้าถึงจะมาไม่ได้ล่ะ?”


“พูดเหมือนกับว่าถ้าไม่มีเจ้าพวกข้าจะไม่มีเหล้าให้ดื่มอย่างนั้นแหละ” โบแชงกรอกตาใส่ “ในเมืองเนเวอร์เนเวอร์วินเทอร์มีร้านเหล้าตั้งเยอะตั้งแยะ จะไปซื้อที่ไหนก็ได้”


“น่าเสียดาย ตอนนี้ฝ่าบาททรงประกาศให้ดินแดนตะวันตกเข้าสู่สภาวะสงครามฉุกเฉิน ตอนนี้เหล้ากลายเป็นสินค้าควบคุม ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ต่อให้เจ้าอยากกินก็ไม่มีทางซื้อได้หรอก” ชาร์มยักไหล่ “ดังนั้นเจ้าควรขอบคุณข้าซะ เพราะนี่เป็นเหล้าที่ข้าแอบขโมยมาจากพ่อข้าเลยนะ”


สงครามงั้นเหรอ….


จู่ๆ โบแชงพลันรู้สึกไม่อยากต่อปากต่อคำ


ถึงแม้หลายวันมานี้เธอจะนอนรักษาตัวอยู่บนเตียง แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นทุกวันภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์


อย่างแรกคือข่าวเกี่ยวกับพื้นที่บุกเบิกบนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่น้อยลงทุกวัน จากที่ตีพิมพ์สัปดาห์ละครั้ง กลายเป็น 2-3 สัปดาห์ครั้ง ในนั้นมีทั้งรายงานข่าวของแนวหน้า ในการรับสมัครงานฉุกเฉิน เมื่อดูจากเนื้อหาบนหนังสือพิมพ์แล้ว ถึงแม้กองกำลังรักษาอาการจะค่อยๆ ควบคุมสถานการณ์และผลักเอาไฟสงครามกลับไปนอกพื้นที่บุกเบิกใหม่ได้ แต่ค่าตอบแทนที่พวกเขาต้องจ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ทุ่งหญ้าการเกษตรที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก 2-3 แห่งและที่อยู่อาศัยถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง คนงานที่หายไปเหล่านั้นก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง


ในจุดนี้สามารถสะท้อนให้เห็นได้จากไข่และเนื้อต่างๆ ในอาหารแต่ละมื้อที่น้อยลง ขนมปังกลายเป็นอาหารหลักอีกครั้ง แต่แน่นอน เมื่อเทียบกับตอนที่ต้องหนีตายอยู่ในเมืองอื่นๆแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ก็ถือว่าดีกว่ามาก อย่างน้อยก็มีอาหารให้กินอิ่มท้อง


อันดับต่อมาก็คือภาพบนท้องถนน


ทุกวันเมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไป เธอจะมองเห็นขบวนทหารใหม่ที่สวมชุดทหารจำนวนมากเดินผ่านถนนกลางเมือง ความตื่นเต้นและความตึงเครียดบนใบหน้าของทหารดูแตกต่างจากสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและอาลัยอาวรณ์ของคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด เมื่อดูจากจำนวนคนแล้ว จำนวนทหารที่ถูกส่งไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์นั้นไม่ใช่จำนวนน้อยเลย ขนาดของกองทัพนี้เมื่อเทียบกับกองทัพอัศวินและกองทัพพิพากษาของศาสนจักรในอดีตแล้ว เรียกได้ว่าอยู่กันคนละระดับชั้นก็ว่าได้


นี่คือสงคราม


เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์แล้ว คนจำนวนนับพันนับหมื่นได้เสียสละตัวเองเข้าสู่สงคราม ส่วนด้านหลังพวกเขาก็มีชาวเมืองอีกนับหมื่นนับแสนที่คอยให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่


เมื่อเทียบกันแล้ว การต่อสู้ที่เธอเจอมาสมัยที่เป็นแม่มดสายต่อสู้นั้นไม่มีค่าให้พูดถึงเลย…


ก่อนหน้านี้ที่เธอเลือกมาทำงานที่ที่ราบลุ่มบริบูรณ์กับดัสก์ก็เพราะไม่อยากจะเจอกับคนรู้จัก ตอนนี้พื้นที่บุกเบิกถูกทำลายไปแล้ว เธอจึงต้องกลับไปเป็น ‘คนที่ไร้ประโยชน์’ อีกครั้ง


“เฮ้ ทำไมอยู่ๆ ก็เงียบไปล่ะ?” เมื่อเห็นโบแชงไม่ต่อปากต่อคำกลับมา ชาร์มจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาเกาหัวพร้อมแอบเหลือบมองไปทางดัสก์ “ข้าพูดอะไรผิดหรือเปล่า?”


“ดัสก์ไม่รู้” ดัสก์แลบลิ้นออกมา “ดัสก์รู้แต่ว่าคนที่พูดผิดต้องดื่มอีก 3 แก้ว!”


“เอ่อ…นี่เจ้าเมาหรือเปล่าเนี่ย…”


“ไม่เมา นี่เพิ่งแก้วที่ 2 เอง ดัสก์ยังไหว!”


“ก๊อกๆๆๆ…” จู่ๆ ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังแทรกความคิดของโบแชงขึ้นมา


“มาแล้ว!” ดัสก์เดินกระโดดไปเปิดประตู “เอ๋…ท่านคามิล่า?”


คนที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูคือหัวหน้าแม่บ้านของเกาะสลีปปิ้งคามิล่า แดริล เธอกวาดตามองภายในห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกสองคนที่อยู่ในห้อง


“ดูเหมือนเจ้าจะมาเยี่ยมเกินเวลานะ” โบแชงฝืนยิ้มขึ้นมา “เลดี้แดริลเกลียดคนที่ไม่รักษาเวลาที่สุด หลังจากนี้หากเจ้าคิดจะมาที่นี่อีกก็คงจะยากแล้ว”


“เป็นไปไม่ได้…ก็ข้าคอยดูเวลาอยู่นี่ นี่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย….” ชาร์มพูดงึมงำเสียงเบาๆ


ในขณะที่โบแชงกำลังจะพูดอะไรออกมา คามิล่ากลับเดินผ่านหน้าชาร์มไปยืนอยู่หน้าเธอ


“สโมสรแม่มดกำลังประกาศรับสมัครงานใหม่อยู่ โดยเปิดรับสมัครแม่มดทุกคนที่อยู่ในเกรย์คาสเซิล” หัวหน้าแม่บ้านพูดเปิดประเด็นตรงๆ “ตอนนี้จำนวนที่รับสมัครอยู่ที่ประมาณ 50 คน คนที่มีประสบการณ์ต่อสู้จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ ข้าคิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเจ้าก็เลยลองมาถามดู”


โบแชงตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงได้เข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย รับสมัครงาน แถมถ้ามีประสบการณ์ต่อสู้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ หรือว่างานนี้มันจะเกี่ยวกับสงคราม? แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมถึงไม่ระบุมาเลยว่าต้องการความสามารถประเภทไหน?


“เจ้าเดาถูกแล้ว” คามิล่าเหมือนจะมองเห็นถึงความสงสัยของเธอ “แม่มดกำลังจะตั้งทีมพิเศษขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนแนวหน้า ช่วยกองกำลังหลักในการทำสงครามที่ยากลำบาก เรื่องรายละเอียดข้าไม่อาจพูดอะไรมากได้ แต่ขอเพียงไปอยู่ในแนวหน้าก็จะต้องมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน แต่แน่นอน…ถึงแม้มันจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับความสามารถ ทว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าสมัครแล้วจะได้รับคัดเลือก ผลสุดท้ายมันก็ยังต้องดู—“


“ข้าไป” โบแชงตอบทันที


มันไม่มีอะไรให้ลังเลอีกแล้วไม่ใช่หรือ!


พูดอีกอย่างก็คือเธอรอคอยวันนี้มานานแล้ว


“อย่างนั้น…ตามข้ามา” คามิล่าหมุนตัว


“เฮ้…เจ้าจะไปแนวหน้าจริงๆเหรอ?” ในตอนที่เดินผ่านชาร์ม น้ำเสียงของเขาเหมือนจะรู้สึกเป็นกังวล


“อะไรกัน ข้านึกว่าเจ้าจะดีใจซะอีก” โบแชงมุ่ยปาก “แบบนี้เวลาที่เจ้านัดดัสก์ ก็จะได้ไม่มีใครคอยกวนเจ้าไง”


“ข้า…” เขาอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อมองดูแผ่นหลังของโบแชงที่เดินจากไป สุดท้ายชาร์มก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


…….


หลังจากนั้นหนึ่งวัน โบแชงก็นั่งรถไฟมาถึงสถานีป่าเร้นลับ


คนที่รับผิดชอบเปลี่ยนจากคามิล่ากลายเป็นผู้หญิงที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เธอเรียกตัวเองว่าอิสซาเบลล่า หน้าที่หลักของเธอคือเป็นผู้คัดเลือกการรับสมัครในครั้งนี้และเป็นผู้ชี้แนะ ถึงแม้จะเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่โบแชงกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเจออีกฝ่ายที่ไหนมาก่อน


ส่วนอีกเรื่องนึงที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจก็คือจำนวนคนที่มาสมัครนั้นเยอะกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก แม้แต่ทางสโมสรแม่มดก็มีคนมาสมัครอยู่ไม่น้อย ระหว่างทางประมาณครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้รู้จักแม่มดหลายคน อย่างเช่น วานิลลา เอมี่และฮีโร่ นอกจากนี้เธอยังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกสองสามคน อย่างเช่นอีฟฟี่และไนท์ฟอลที่เป็นอดีตสมาชิกของสมาคมบลัดแฟงค์


ดูเหมือนพวกเธอเองก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองบนสนามรบเหมือนกัน


หลังลงจากรถ เหล่าแม่มดก็เดินเข้าไปในอาคารที่เหมือนกับโรงงานแห่งหนึ่งภายใต้การนำของอิสซาเบลล่า


เมื่อเดินเข้ามาภายในอาคาร ทุกคนก็ถูกสิ่งๆ หนึ่งที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้าซึ่งจอดอยู่ตรงกึ่งกลางพื้นที่โล่งในอาคารดึงดูดสายตาเอาไว้


มันดูแล้วเหมือนกับ ‘รถ’ คันหนึ่ง ล้อที่เรียงเป็นแถวอยู่ด้านล่างคือเครื่องยืนยัน แต่มันไม่เหมือนกับรถชนิดอื่นในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ล้อแค่ด้านหนึ่งของมันมีมากถึง 5 ล้อ แถมยังสร้างขึ้นมาจากโลหะทั้งหมดด้วย ด้านล่างถูกแผ่นเหล็กเป็นแผ่นๆเ ชื่อมต่อและห่อหุ้มเอาไว้ รูปร่างมันดูพิเศษเป็นอย่างมาก


แต่โบแชงมองออกว่าเจ้าสิ่งนี้นั้นมีความคล้ายคลึงกับเครื่องจักรที่ขุดดินอยู่ที่พื้นที่บุกเบิก…ใช่แล้ว มันคือเครื่องจักรถูกที่เรียกว่ารถแทรกเตอร์


เพียงแต่เมื่อเทียบกับรถแทรกเตอร์แล้ว รถที่อยู่ตรงหน้านั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก โดยเฉพาะด้านบนที่ถูกแผ่นเหล็กห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา บนยอดด้านบนมีหอที่เป็นเหมือนป้อมปราการ ท่อเหล็กสั้นๆ ที่ยื่นออกมาจากตรงกลาง เห็นได้ชัดว่าคือปืนใหญ่


แค่ดูก็รู้ว่ามันคืออาวุธที่เกิดมาเพื่อสงคราม


ตอนที่ 1432 ระบบควบคุมการยิงด้วยมนุษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วว่าเมืองของเรากำลังถูกโจมตีอยู่!” อิสซาเบลล่าปรบมือเพื่อดึงความสนใจของทุกคนมาไว้ที่ตน “แต่ศัตรูไม่ได้มีแค่สัตว์อสูรเท่านั้น เบื้องหลังสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้คือศัตรูที่ไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าพวกปีศาจเลย จากรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ การโจมตีของพวกมันมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเองก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และพวกมันจะไม่หยุดจนกว่าจะบดขยี้พวกเราได้!


“เมืองเนเวอร์วินเทอร์และกองทัพที่หนึ่ง ย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกมันบุกเข้ามาโจมตีดินแดนแห่งสุดท้ายของมนุษย์ผืนนี้ตามใจชอบ เพียงแต่การรับมือกับศัตรูที่มองเห็นนั้นเป็นเรื่องที่ง่าย ศัตรูที่มองไม่เห็นต่างหากถึงจะเป็นอันตรายอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่การเปรียบเปรยหรือการพูดเกินจริง หากแต่เป็นการบรรยายจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง” มาพูดถึงตรงนี้เธอก็ดีดนิ้วขึ้นมา ทหาร 2-3 คนเลิกผ้าผืนใหญ่ผืนหนึ่งออก


“ฟึบ”


ภายในกลุ่มแม่มดมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา


โบแชงเองก็เหมือนกัน


ตอนที่เดินเข้ามาในโรงงานเธอถูกเครื่องจักรเหล็กกล้าขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจเอาไว้ เธอถึงไม่ทันสังเกตเห็นผ้าสีเทาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามผืนนี้


แล้วสิ่งที่อยู่ด้านล่างผ้าผืนนี้ก็คือสัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกประหลาดตัวหนึ่ง!


ร่างกายของมันกึ่งนั่งกึ่งยืน ความสูงของมันเกือบ 2 เมตร กรงเล็บที่เป็นเหมือนเคียวคู่หนึ่งถูกแขวนเอาไว้กลางอากาศ ดูแล้วเหมือนพร้อมจะกระโจนเข้ามาหาพวกเธอได้ทุกเมื่อ


แต่มองดูอย่างละเอียดจะพบว่าบนร่างกายของมันเต็มไปด้วยรอยบาดแผลจำนวนมาก ปากแผลแห่งหนึ่งที่กว้างขนาดนิ้วหัวแม่มือลากยาวตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงช่วงท้อง การที่มันไม่ปริแตกออกก็ถือเป็นเรื่องที่แปลกมากแล้ว


โบแชงรู้ว่าเจ้านี่มันตายแล้ว


“สัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าตัวนี้ก็คือ ‘ศัตรูที่มองไม่เห็น’ ที่ข้าบอกไปเมื่อครู่นี้” อิสซาเบลล่าพูดเสียงดัง “เวลาที่มันเคลื่อนไหว ร่างกายทั้งหมดของมันจะรวมเป็นหนึ่งกับภาพด้านหลัง ทำให้ดูแล้วเหมือนมันหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น เพื่อที่จะฆ่ามันแล้ว กองทัพที่หนึ่งต้องเสียสละชีวิตทหารไป 30 กว่าคน แถมนี่ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนกลางวันในพื้นที่เปิดโล่งด้วย ถ้าอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่านี้ ถ้าการต่อสู้เกิดขึ้นในเวลากลางคืน ผลลัพธ์ที่ตามมาพวกเจ้าก็น่าจะรู้ว่าจะเป็นอย่างไร!”


“ตอนนี้พวกเราตั้งชื่อให้มันว่าอสูรมีด และจนถึงตอนนี้ในพื้นที่บุกเบิกก็มีบันทึกเกี่ยวกับอสูรมีดที่ได้รับการยืนยันมาแล้ว 5 ครั้ง ในการบันทึกแต่ละครั้งจะมีทหารบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่วนเจ้าตัวนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ ก่อนแล้วให้ทหารลากกลับมา จากนั้นจึงให้แอ๊กเซียถ่ายภาพย้อนกลับแล้วประกอบร่างมันขึ้นมาใหม่ มันคือเป้าหมายที่พวกเราจะต้องป้องกันหลังจากนี้อย่างไม่ต้องสงสัย”


“อย่างนั้นพวกเราทำอะไรได้บ้าง?” เอมี่ยกมือขึ้นถาม


“ถามได้ดีมาก” อิสซาเบลล่าพยักหน้า “อสูรมีดไม่ใช่ปีศาจหรือว่าสัตว์อสูรพันธุ์ผสม แต่พวกมันมีจุดหนึ่งที่คล้ายกันอยู่ นั่นคือพลังเวทมนตร์ ในสายตาคนธรรมดาแล้วบางทีอาจจะหาร่องรอยของพวกมันได้ยาก แต่สำหรับแม่มดแล้ว ขอเพียงผ่านการฝึกซ้อม ก็จะทำให้พวกมันไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวได้อีก และของสิ่งเดียวที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใช้งานก็คือเจ้านี่” เธอหยิบเอาแผ่นโลหะที่ส่องประกายสีเงินขึ้นมา 2 แผ่น “รูนหินเวทมนตร์”


หลังฟังอีกฝ่ายอธิบายอย่างละเอียดจนจบแล้ว ในที่สุดโบแชงก็เข้าใจจุดประสงค์ของการตั้งทีมพิเศษทีมนี้ขึ้นมา


รูนทั้ง 2 อันคือ ‘รูนกรีดร้อง’ กับ ‘รูนเสียงสะท้อน’ โดยรูนกรีดร้องเดิมใช้สำหรับป้องกันปีศาจ ส่วนรูนเสียงสะท้อนนั้นมักจะใช้ในการค้นหาซากโบราณสถาน แต่หลังจากที่ทำการปรับเปลี่ยนแล้ว พวกมันก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ตอบโต้อสูรมีด


ขอบเขตการใช้งานของรูนกรีดร้องอยู่ที่ประมาณ 2-3 กิโลเมตร ขอเพียงตรวจพบว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเวทมนตร์กำลังเข้ามา มันก็จะส่งเสียงแจ้งเตือน แม่มดที่ได้รับการแจ้งเตือนจำเป็นต้องแยกแยะว่าเสียงนั้นเกิดขึ้นจากอสูรมีดหรือไม่ ทันทีที่ยืนยันเป้าหมายได้แล้ว ก็จะเปลี่ยนไปใช้รูนเสียงสะท้อนในการระบุตำแหน่งศัตรู ในเวลานี้ระหว่างตัวเป้าหมายและรูนจะมี ‘เส้นชี้นำ’ ปรากฏขึ้นมา และสามารถระบุโครงร่างของศัตรูได้ ขอเพียงยิงไปตามเส้นชี้นำ ก็จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ถึงแม้หลักการจะฟังดูแล้วง่าย แต่เวลาที่ทำมันจริงๆแล้วกลับมีความซับซ้อนอย่างมาก


อันดับแรกคือรูนสดับที่ทำการปรับเปลี่ยนมาจะมีปฏิกิริยาต่อสัตว์สูญพันธุ์ผสมเช่นเดียวกัน แม่มดจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ของตัวเองในการแยกแยะถึงความต่างของเสียง ในตอนที่เจอกับฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่ ในเสียงเตือนจะต้องเต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ดังนั้นการอาศัยเพียงการฟังเพียงอย่างเดียวจึงยากที่จะป้องกันอย่างสมบูรณ์ได้


อันดับต่อมาคือการรับรู้ของมันจะถูกสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างเช่น เนินเขา ก้อนหิน ต้นไม้ทำให้อ่อนแรงลง โดยเฉพาะโลหะ แผ่นโลหะแผ่นหนึ่งสามารถทำให้ขอบเขตการใช้งานของมันลดลงไปหลายร้อยเมตร ดังนั้นมันจึงจำเป็นต้องถูกติดตั้งเอาไว้ในพื้นที่เปิดโล่งที่อยู่ด้านหน้าที่สุด


แต่เส้นชี้นำของรูนเสียงสะท้อนกลับไม่ถูกขัดขวางจากวัตถุรอบๆข้าง ปัญหาที่สำคัญที่สุดของมันก็คือมีเพียงแม่มดเท่านั้นถึงจะมองเห็นเส้นเล็กๆ ที่เกิดจากพลังเวทมนตร์นี้ได้ นอกจากนี้ในตอนที่เป้าหมายไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มองเห็นได้ด้วยสายตา พวกเธอก็จะไม่มีวิธีอื่นในการยืนยันเป้าหมายที่ตัวเองล็อคเป้าเอาไว้ได้


“ข้าสามารถสอนพวกเจ้าใช้รูนได้ แต่ข้าไม่สามารถสอนพวกเจ้าปกป้องตัวเองได้” อิสซาเบลล่าพูดช้าๆชัดๆ “เพราะฝ่าบาททรงได้จัดตำแหน่งที่เหมาะสมเอาไว้ให้พวกเจ้าแล้ว นั่นก็คือหัวหน้าทีมรถศึก!”


“รถศึกเตะกล้าที่ถูกเรียกว่ารถถังชนิดนี้คืออาวุธชนิดใหม่ที่กองอุตสาหกรรมสร้างขึ้นมา พวกมันมีความสามารถทั้งการโจมตีและการป้องกัน ต่อให้ถูกสัตว์อสูรผสมพร้อมโจมตีก็สามารถถอยออกมาได้ไม่ยาก ปืนใหญ่สนามกระบอกสั้นที่ติดตั้งอยู่ด้านบนสามารถบดขยี้ศัตรูทั้งหมดได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีม พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องควบคุมเครื่องจักรที่ซับซ้อนนี้ด้วยตัวเอง แค่คอยระบุทิศทางให้กับคนขับและคนยิงปืนใหญ่ก็พอ”


“แต่แน่นอน ในเวลาที่จำเป็นพวกเจ้าเองก็สามารถทำการเล็งและยิงปืนใหญ่ด้วยตัวเองได้เลย ฝ่าบาททรงเรียกระบบนี้ว่าระบบควบคุมการยิงแบบไล่ล่า และพวกเจ้าก็คือหัวใจสำคัญของระบบนี้”


บัญชาการและขับเจ้ายักษ์นี่งั้นหรือ…


เมื่อนึกถึงภาพเจ้านี่บดขยี้ไปมาบนตัวสัตว์อสูร โบแชงพลันเกิดความรู้สึกอยากจะลองขับมันขึ้นมา


“ในช่วงเวลา 4-5 วันหลังจากนี้ พวกเจ้าจะเข้ารับการฝึกพร้อมกับพลรถถังของกองทัพที่หนึ่ง เพื่อที่จะได้เข้าใจหลักการทำงานพื้นฐานของมัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นการเรียนรู้การใช้รูนและวิธีแยกแยะศัตรู” อิสซาเบลล่ากล่าวสรุปสุดท้ายว่า “เวลาเหลือไม่มากแล้ว ก็หวังว่าทุกคนจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ และผ่านการคัดเลือกกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยรถถังหุ้มเกราะหน่วยแรกของเกรย์คาสเซิล”


…….


พื้นที่ทางเหนือของอาณาจักรดอว์น


ในตอนที่มองเห็นโรแลนด์เดินออกมาจากปากฟรานส์ ทุกคนพลันรู้สึกโล่งใจ โดยเฉพาะสมาชิกของทีมที่ปรึกษา สีหน้าของทุกคนเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถึงแม้แผนการนี้ฝ่าบาทจัดส่งเป็นคนเสนอออกมา แต่รายละเอียดและขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ล้วนแต่เป็นทีมที่ปรึกษาที่เป็นคนกำหนดขึ้นมา ถ้าหากฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป ก็เขาคงยากที่จะหนีความผิดได้


ยกเว้นเอดิธส์เพียงคนเดียวเท่านั้น


เธอถือเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวในทีมที่ปรึกษาที่ยังสามารถพูดคุยกับโรแลนด์ได้ด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ


“ไม่ทราบว่าผลการพูดคุยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”


“ราบรื่นกว่าที่คิดเอาไว้” โรแลนด์พูดอย่างสบายๆ หลังจากที่ได้พูดคุยกับวัลคีรีย์ในวันนั้นเขาก็ทำการตัดสินใจออกมา แต่การจะเข้าไปในโลกแห่งความฝันตามวิธีปกตินั้นมีความเสี่ยงอย่างมาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสำหรับทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดที่จะใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดรายการพาอีกฝ่ายมาเจอหน้ากัน นั่นคือการลากอีกฝ่ายเข้ามาในโลกแห่งความฝันโดยไม่บอกล่วงหน้าให้รู้ตัว


และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพื้นดินนานๆนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสาลำแสงเลยแม้แต่นิดเดียว และในตอนที่ทั้งสองฝ่าย ‘หลับตา’ ปีศาจดวงตาก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้ ตอนนั้นข้างกายเขายังมีแม่มดอาญาสิทธิ์อยู่อีก 4 – 5 คน ต่อให้เฮคซอดเจอร่องรอยของเขา มันก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้


เพียงแต่วิธีเดียวกันไม่สามารถใช้ซ้ำกันหลายครั้งได้ หลังพวกมันกลับไปแล้ว พวกมันน่าจะรู้แล้วว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากเนินเขาเท่าไรนัก ถ้าพวกมันเตรียมตัวเอวไว้ล่วงหน้า ต่อให้อยู่ลึกลงไปใต้ดินก็ไม่อาจพูดว่าปลอดภัยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้


“หลังจากนี้ถ้ามีอะไรคืบหน้า ปีศาจน่าจะใช้วิธีส่งจดหมายติดต่อมา” โรแลนด์หันไปสั่งการขวานเหล็ก “ทิ้งกองทหารรักษาการณ์เอาไว้ในพื้นที่นี้กองหนึ่ง หากอีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหวอะไร ให้รีบมาแจ้งข้าทันที นอกจากนี้ พวกมันยังคงเป็นศัตรูของเรา โดยเฉพาะปีศาจแมงมุม ทันทีที่มันข้ามเส้นเฝ้าระวังเข้ามา ให้จัดการมันโดยไม่ต้องออมมือ”


“พ่ะย่ะค่ะ” ผู้บังคับบัญชาการพยักหน้า


เกรงว่าหลังจากนี้คงจะไม่ได้คุยกับราชาของปีศาจไปอีกพักใหญ่เลย โรแลนด์คิดในใจ ในโลกแห่งความฝัน เขาเหมือนจะสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ของวัลคีรีย์กับราชาที่ชื่อเซโรเชสตนนั้นไม่ใช่ธรรมดาเลย ตอนแรกเขาค่อนข้างผิดหวังเมื่อเห็นว่าปีศาจที่มาเอาจดหมายไม่ใช่เฮคซอด แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนผลลัพธ์จะดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก


เพราะว่าสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการมากที่สุดก็คือความเชื่อใจ


แต่หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมง โรแลนด์ก็ได้รับข่าวสองข่าวที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง


พระผู้สร้างจู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ จากที่ไลต์นิ่งรายงานมาก มันลอยตรงขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านบนอย่างช้าๆ ปลายด้านล่างสุดของมันอยู่ห่างจากพื้นดินมากกว่า 300 เมตร นี่เหมือนจะผิดไปจากสมมติฐานของทีมที่ปรึกษาที่บอกกว่าระดับความสูงของแผ่นดินลอยฟ้ามีความสัมพันธ์อย่างมากกับการเผาผลาญพลังเวทมนตร์


ส่วนเรื่องที่สองคือทีมของฟิชบอลเจอราชาปีศาจอยู่บนเนินเขา เพียงแต่ครั้งนี้มีสองตัว


ตอนที่ 1433 สามราชาแห่งแนวรบตะวันตก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าเข้าไปในดินแดนแห่งจิตสำนึกจากที่นี่เหรอ?” เฮคซอดมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็มาหยุดอยู่ตรงใต้เท้า


ไซเลนท์พยักหน้า


“ข้าคิดว่าเจ้าตัวผู้นั่นมันคงไม่มาแล้วล่ะ” มันค่อยๆ เปิดประตูมิติที่มีขนาดเล็กประมาณนิ้วมือขึ้นมาที่ด้านหลังบานหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นนิ้วเข้าไปนิ้วหนึ่ง เป็นดิน “ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่พระผู้สร้างตกลงมาก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก เจ้ากำลังเสียเวลาเปล่าๆ”


“ถ้าเจ้าไม่อยากมาก็กลับไปก่อนได้” เซโรเชสพูดอย่างไม่หวั่นไหว


“ถ้าข้าไป แล้วใครจะพาเจ้าออกไปจากนี่?” เฮคซอดกรอกตาใส่ เจ้าลงมือกับเดอะแมสก์อย่างเปิดเผยขนาดนั้น แล้วตอนนี้ยังจะมาพูดแบบนี้ นี่จงใจยั่วโมโหมันอย่างนั้นเหรอ? ตอนที่จักรพรรดิอ่านความทรงจำจะต้องเห็นว่าทุกๆ เหตุการณ์ล้วนแต่มีมันอยู่ในเหตุการณ์อย่างแน่นอน ทั้งขัดคำสั่งจักรพรรดิ ทราบเรื่องแล้วไม่ยอมรายงาน หลอกล่อคนอื่นให้ไปทำงานแทน…โทษเหล่านี้แค่หลับตาก็สามารถนึกออกมาได้ ถ้าจักรพรรดิส่งราชาตัวอื่นมาจัดการมันจริงๆ การที่มีไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอยู่ข้างกาย อย่างน้อยก็ยังพอจะมีคนช่วยป้องกันตัวเองได้บ้าง


ลงไปอีกร้อยเมตรก็ยังเป็นดินอยู่


“ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่ามันไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น….เจ้าไม่มีวิธี ไม่ได้หมายความว่าวัลคีรีย์จะไม่มีวิธีเหมือนกัน”


จุ๊ๆ แล้วไม่ลองคิดดูหน่อยล่ะว่าใครเป็นคนคิดหาวิธีที่ทำให้หาวัลคีรีย์เจอ “แล้วถ้ามันเองก็คิดไม่ออกล่ะ?”


“….” ไซเลนท์ไม่ได้ตอบ


ตอนที่นิ้วยื่นลงไปถึงระยะ 500 เมตร อีกด้านหนึ่งของประตูมิติกลายเป็นโพรงโล่งๆ เฮคซอดค่อยๆ ปรับทิศทาง ไม่นานนิ้วมือก็ลูบไปเจอคราบของเหลวเหนียวๆ กองหนึ่ง


มันพอจะรู้อะไรบางอย่างแล้ว


“เจ้าไม่เคยคิดเรื่องที่จะบังคับพาเจ้าตัวผู้คนนี้หนีไปด้วยกันเหรอ?”


สายตาไซเลนท์เป็นประกายขึ้นมา แต่ไม่นานมันก็สงบลงอย่างรวดเร็ว “ถ้าจะพาไปมันก็อาจจะได้อยู่ แต่การจะทำให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปกลับเป็นเรื่องยาก ทั้งเจ้าและข้าต่างก็รู้ว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอแค่ไหน ถ้าไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของวัลคีรีย์ ข้าก็ไม่สามารถเสี่ยงทำแบบนั้นได้”


“งั้นเหรอ…” เฮคซอดไม่ตอบรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ที่นี่ จากนั้นก็ถูกพระผู้สร้างตกลงมาทับจนแหลกละเอียดได้ นี่ทั้งเพื่อเผ่าพันธุ์ แล้วก็เพื่อตัวมันเอง


“มีคนมาแล้ว” ไซเลนท์มองไปทางด้านหน้า “มากกว่าหนึ่งคน”


เฮคซอดเปิดประตูมิติขึ้นมาทันที


ไม่นาน มนุษย์ตัวผู้สามคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนเนินในป่า ทหารที่รับผิดชอบส่งจดหมายก่อนหน้านี้ก็อยู่ในนั้นด้วย — ถึงแม้จะมีจำนวนเยอะกว่าตอนที่เจอครั้งแรก แต่จำนวนคนแค่นี้ก็ยังไม่อาจทำอะไรไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ได้


“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าเฝ้าได้” คนที่เป็นหัวหน้าเดินมาข้างหน้าพวกมันพร้อมกับพูดเปิดประเด็นตรงๆ “หลังจากนี้ 15 นาที พวกเจ้าสามารถเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกได้ แต่ฝ่าบาททรงมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”


กล้าตอบรับคำขอของเซโรเชสเหรอเนี่ย ดูเหมือนราชาของพวกมนุษย์ก็ไม่ได้ขี้ขลาดไปเสียทุกคนนี่ “เงื่อนไขอะไร?” เฮคซอดถาม


“พวกเจ้าจำเป็นต้องทิ้งระยะห่างกัน จากนั้นก็ทยอยเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกตามลำดับก่อนหลัง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไม่ใช่ผู้พิฆาตเวทมนตร์จำเป็นต้องใส่อันนี้ไว้ด้วย” อีกฝ่ายเปิดกล่องขึ้นมา ก่อนจะหยิบเอากำไรข้อมือเหล็กออกมาอันหนึ่ง


ด้านบนกำไรข้อมือมีหินอาญาสิทธิ์ฝังเอาไว้อยู่


เฮคซอดโกรธขึ้นมาทันที มันหรี่ตา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอันตราย “นี่มันหมายความว่ายังไง พวกเจ้าคิดว่าข้าจะมัดมือมัดเท้าตัวเองแล้วยอมให้มนุษย์ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ!”


ถึงแม้ทหารที่เป็นหัวหน้าจะมีสีหน้าหวาดกลัว แต่เขาก็ไม่ได้ถอยไปแม้แต่ก้าวเดียว “พลังเวทมนตร์นั้นถือเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง การปลดอาวุธเวลามีการพบปะที่สำคัญนั้นถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตามปกติ นี่ไม่ถือเป็นการกักขัง ฝ่าบาททรงเชื่อว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้พระองค์ถึงยอมเสี่ยงมาพบพวกเจ้า และก็เป็นเพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงไม่อยากให้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดใดๆ เกิดขึ้น”


“แล้วถ้าข้าไม่ยอมล่ะ?”


“เจ้าสามารถออกไปจากนี่ในระหว่างที่มีการพบหน้ากันได้” ทหารยังคงยืนกราน


“เอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราไม่มีเวลาแล้ว” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์มองไปทางเฮคซอด “เจ้าจะรออยู่ในอาณาเขตของพลังก็ได้ เหมือนกับครั้งแรกน่ะ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเจ้าจะต้องตามข้ามาที่นี่ด้วย”


เจ้านี่…ต้องให้พูดออกมาถึงจะเข้าใจหรือไง! สกายลอร์ดพูดไม่ออก ระดับความมีเหตุผลของไซเลนท์ลดลงอย่างมากหลังจากที่ได้เจอวัลคีรีย์ ถ้าไม่ตามมา มันก็ไม่มีทางวางใจได้จริงๆ หลังจากที่ได้ยินข่าวที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ การไปเจอวัลคีรีย์ด้วยตาตัวเองและทำให้มั่นใจว่านั้นไม่ใช่กับดักที่มนุษย์จงใจวางขึ้นมานั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้านี่มันยืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่เนี่ย?


แต่ยังไม่ทันที่เฮคซอดจะได้ปรึกษาอะไร เซโรเชสก็เดินไปยืนหลับตาตั้งสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่งแล้ว


เมื่อมองดูพระผู้สร้างที่ยังคงลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ทางด้านหลัง มันก็ได้แต่ต้องสะกดความไม่พอใจเอาไว้พร้อมกับสวมกำไรข้อมือ


เจ้าสิ่งนี้ดูแล้วก็ไม่ได้ยากที่จะออกแรงทำลาย มนุษย์คงจะไม่ได้คิดที่จะใช้หินอาญาสิทธิ์มาจับตัวเองเหมือนกัน พวกเขาน่าจะเพียงแค่ต้องการถ่วงเวลาเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้จู่ๆ ตัวเองก็พาไซเลนท์มุดลงดินหนีไปเท่านั้น


แล้วก็ยังมีมนุษย์ตัวผู้อีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทหารคนนั้น…ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พกอาวุธมาเหมือนกัน แต่เฮคซอดกลับแอบเกิดความรู้สึกรับมือได้ยากขึ้นมา


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การหายใจของเซโรเชสพลันเบาลง


มาแล้วเหรอ…


เฮคซอดแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นมาอย่างไม่ระวังเพื่อที่จะเอาหินเวทมนตร์หลากสีที่ทำเป็นแหวนขึ้นมาส่องที่ตา —


พริบตานั้นเป็น เสาลำแสงขนาดใหญ่ที่กว้างเหมือนกำแพงพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของมัน!


ขนาดของเสาลำแสงกว้างขนาดนี้ ทำให้มันต้องหันหน้าไปทางซ้ายและขวาถึงจะมองเห็นขอบของเสาลำแสง ในชั่วขณะนั้นมันนึกว่าตัวเองได้กลับมายังเกาะบอทธ่อมเลสแลนด์นั้นอีกครั้ง


นี่คือ…ดินแดนแห่งจิตสำนึกที่ไซเลนท์บอกว่าใหญ่โตเหมือนกับเมืองอย่างนั้นเหรอ?


มันเริ่มรู้สึกเชื่อคำพูดของมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้ว


คนที่มีความสามารถน่าตกใจขนาดนี้ บางทีอาจจะมีวิธีในการไขความลับของสงครามแห่งโชคชะตาก็ได้


เฮคซอดสูดหายใจลึกๆ จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง


…..


“เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ เดอะแมสก์เริ่มแผนการที่สอง ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากมันเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า ตอนนี้ข้าจึงไม่รู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”


ในตอนที่สกายลอร์ดลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มันพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องแคบๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับมาตรฐานของจักรพรรดิแล้ว ห้องแห่งนี้ถึงว่ายังห่างจากมาตรฐานอยู่มาก ไซเลนท์เหมือนจะกำลังอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันก็คือวัลคีรีย์ที่ไม่ได้เจอมานาน


เมื่อได้เห็นไนท์แมร์ลอร์ดกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เฮคซอดพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปในอดีต


“ในที่สุดเจ้าก็มาซักที” วัลคีรีย์พยักหน้า “นั่งลงก่อนสิ กาแฟเย็นหมดแล้ว”


ผ่านเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้มา แต่ยังสามารใช้น้ำเสียงสบายๆ แบบนี้ได้อยู่ นี่ช่างเป็นสไตล์ของมันจริงๆ….


สงครามตะวันตกดำเนินมาถึงตอนนี้ ในที่สุดราชาทั้งสามก็ได้มารวมตัวกันเป็นครั้งแรก


ในสายตาของเผ่าพันธุ์ นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างมาก


สิ่งเดียวที่ไม่เข้าพวกก็คือมนุษย์ที่นั่งอยู่ข้างไนท์แมร์คนนั้น


มันได้ยินไซเลนท์พูดถึงชื่ออีกฝ่ายมานานแล้ว โรแลนด์ วิมเบิลกัน ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้แผนการตะวันตกเจอกับปัญหาหลายต่อหลายครั้ง


แต่ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายถึงทำให้พวกมันมารวมตัวกันอยู่แบบนี้ได้ นี่ทำให้เฮคซอดเดินความรู้สึกสับสนขึ้นมาในใจ ตอนที่ทำสงครามถ้าไม่ขาดคนนั้นก็ขาดคนนี้ แต่พอมาเจอกันลับหลังจักรพรรดิกลับอยู่กันพร้อมหน้า นี่มันช่างน่าขันเสียจริง


มันจ้องมองดูโรแลนด์ ก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างเซโรเชส ที่นั่งมีความนุ่มอย่างมาก จนแทบจะทำให้มันจมลงไปในนั้น นี่ให้ความรู้สึกเหมือนข้าวของเครื่องใช้ของผู้ปกครอง นอกจากนี้สกายลอร์ดยังสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีถ้วยกระดาษเปล่าๆ อยู่หลายใบ — มันเข้ามาในโลกแห่งจิตสำนึกช้ากว่าไซเลนท์เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น แต่ทั้งสามคนเหมือนกับนั่งคุยกันมานานแล้วอย่างไรอย่างนั้น


กาแฟ….หมายถึงสิ่งที่เซโรเชสกำลังดื่มอยู่นั่นน่ะเหรอ?


น่าแปลก มันไม่น่าจะต้องการ ‘อาหาร’ อะไรนอกเหนือจากละอองชีวิตแล้วนี่นา


“ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ พวกเจ้าน่าจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนดีแล้ว” เฮคซอดสะกดอารมณ์ฟุ้งซ่าน ก่อนจะดึงความคิดกลับมายังเรื่องสำคัญ “เดิมข้าไม่แนะนำให้ไซเลนท์มาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะมันจะเปลืองเวลาที่เหลืออยู่อันน้อยนิด แต่มันดึงดันจะมาให้ได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้มันก็เหลือบไปมองดูไซเลนท์ “ทันทีที่พระผู้สร้างตกลงมา อาณาจักรส่วนใหญ่ของมนุษย์จะถูกทำลายด้วยภูเขาที่ถล่มและแผ่นดินที่แตกแยก การหนีไปเป็นวิธีเดียวที่จะรอดชีวิตออกไปได้”


“พวกเรายังเหลือเวลาอยู่เท่าไร?” โรแลนด์ถาม


“อย่างมากไม่เกิน 7 วัน” เฮคซอดตอบเสียงเบาๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)