Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1418-1419
ตอนที่ 1418 จักรพรรดิที่รวมร่าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนกลางของเทือกเขาสิ้นวิถี เขตภูเขาเฮอร์มีส
เงาขนาดใหญ่ที่ทอดลงมาจากพระผู้สร้างเข้าปกคลุมขอบของที่ราบสูง ละอองชีวิตที่ไหลลงมาไหลไปตามช่องระหว่างเขา ทำให้เทือกเขากลายเป็นเส้นสีแดงที่สวยงาม เมื่อมีเส้นทางขนส่งหมอกแดงนี้ กองทัพที่อยู่ตรงสันหลังของทวีปก็จะสามารถกรีธาทัพเข้ามายัง 4 อาณาจักรใหญ่ได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค
ทุกอย่างเป็นเหมือนที่เดอะแมสก์คิดเอาไว้
ถึงแม้มนุษย์จะโจมตีเข้ามาไม่หยุด แต่มันก็ไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนไปข้างหน้าของพระผู้สร้างได้ สงครามหลังจากนี้จะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ เดิมเผ่าพันธุ์ของมันก็มีความได้เปรียบในเรื่องจำนวนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเทคโนโลยีของมันที่สามารถทำให้พวกร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์กลายเป็นเครื่องจักรสงครามที่แข็งแกร่งได้ ก็จะยิ่งทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์มีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
จริงอยู่ที่คู่ต่อสู้มีเทคโนโลยีที่ไม่ธรรมดา แต่นั่นก็ไม่อาจลดช่องว่างความแตกต่างของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ลงได้ ตั้งแต่การเกิดจนกระทั่งเติบโต มนุษย์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยมากกว่า 10 ปี แต่พวกร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น แถมยังไม่ต้องมีการจับคู่และการผสมพันธุ์ที่ยุ่งยากด้วย ส่วนมนุษย์ที่ตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช้าเร็วก็จะต้องพังพินาศ
ถูกต้อง สถานการณ์เป็นไปอย่างที่มันคิดเอาไว้ทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่เพียงเรื่องเดียว
“ถ้าอยากรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มันยืนอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ชั้นล่างสุดของพระผู้สร้าง พร้อมตะคอกใส่ลูกน้องของมันอย่างโมโห
ลูกน้องพร้อมใจสบตากัน ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
น้อยครั้งนักที่มันจะถามคำถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบแบบนี้ออกมา เพราะการทำอย่างนั้นมันก็เป็นแค่การระบายอารมณ์และเสียเวลาเปล่าเท่านั้น มีแต่พวกไร้ความสามารถอย่างบลัดดี้คองเคอร์เรอร์กับเฮทริตที่ชอบใช้วิธีแบบนี้ ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่มองดูก็แทบจะรู้ได้ทั้งหมดแล้ว บนที่ราบสูงเฮอร์มีสมีสัตว์อสูรจำนวนมากกำลังสู้กับร่างซิมไบออนท์อยู่ เดิมร่างซิมไบออนท์เหล่านี้ควรจะบุกเข้าไปในสี่อาณาจักรใหญ่แล้วค่อยๆ ตัดกำลังของพวกมนุษย์ แต่ตอนนี้ร่างซิมไบออนท์ส่วนหนึ่งกลับถูกพวกสัตว์อสูรคอยถ่วงแข้งถ่วงขาไว้
พวกมันรวมตัวเป็นสายน้ำสีดำหลายสายอยู่บนที่ราบ ก่อนจะแห่ทะลักบุกเข้ามาในเมืองที่ถูกทิ้งร้างผ่านทางรอยแตกของภูเขา บางทีทางผ่านนี้อาจจะเป็นป้อมปราการที่พวกมนุษย์ใช้ในการป้องกันพวกสัตว์อสูร แต่ในเวลานี้มันได้กลายเป็นของเผ่าพันธุ์มันไปแล้ว
ถ้าเพียงเท่านี้ก็ว่าไปอย่าง
นาซเพลมองเห็น ‘รัง’ ของอาณาจักรซีสกายอยู่ในฝูงสัตว์อสูรด้วย
นี่ต่างหากถึงจะเป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้มันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
เผ่าพันธุ์ของมันไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ พวกมันรู้มานานแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรนั้นคือกองกำลังส่วนหนึ่งของอาณาจักรซีสกาย คล้ายกับพวกร่างชั้นต่ำของเผ่าพันธุ์มัน ทุกครั้งที่เดือนแห่งปีศาจมาถึง ซึ่งเป็นช่วงที่มีพลังเวทมนตร์สมบูรณ์ที่สุด ‘รัง’ จะทำการปล่อยสปอร์ออกมาเป็นจำนวนมาก จากนั้นสปอร์เหล่านี้ก็จะถูกลมทะเลพัดขึ้นมาบนแผ่นดินและทำให้สัตว์ป่าทั่วไปติดเชื้อ ก่อนจะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด แล้วก็ปล่อยให้พวกมันวิวัฒนาการและออกไปฆ่าได้อย่างอิสระ
สัตว์อสูรพวกนี้มีความสามารถในการต่อสู้ที่ต่ำ สำหรับเผ่าพันธุ์ของมันแล้วไม่ถือว่าน่ากลัวอะไร อาณาจักรซีสกายเองก็มองพวกมันเป็นเหมือน ‘ลานเพาะเลี้ยง’ ที่เอาไว้สำหรับเก็บวัตถุดิบสำคัญ แล้วก็ไม่เคยมองสัตว์อสูรพวกนี้เป็นกองกำลังที่จะใช้ในการทำสงครามบนแผ่นดิน เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรซีสกายมีความสามารถในการควบคุมแผ่นดินที่ต่ำ นอกจากการใช้วิธีแบบนี้มาสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเผ่าพันธุ์ของมันแล้ว พวกมันก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะมาแย่งชิงพื้นที่บนแผ่นดินอีก
แต่ ‘รัง’ นั้นไม่เหมือนกัน
มันเป็นหัวใจสำคัญของอาณาจักรซีสกาย เผ่าพันธุ์ของมันไม่สามารถปล่อยเป้าหมายแบบนี้ไปง่ายๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ‘รัง’ ยังรับมือได้ยากมากเวลาที่อยู่ในทะเล แต่เวลาที่อยู่บนบกมันกลับเชื่องช้าอย่างมาก ไม่มีเหตุผลที่มันจะมาปรากฏตัวอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์เลย
เมื่อ 800 ปีก่อน เผ่าพันธุ์ของมันได้ค่อยๆ กลืนกินแผ่นดิน จากมุมหนึ่งเล็กๆ ของพื้นทวีปจนตอนนี้กินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งของดินแดนรุ่งอรุณ แถมยังสร้างแนวป้องกันยาวไปตามพื้นที่ด้านที่ติดทะเล เพื่อป้องกันอาณาจักรซีสกายอ้อมมาโจมตีด้านหลัง การที่สัตว์อสูรที่เดิมอาศัยอยู่บนพื้นทวีปมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนอย่างตอนนี้นั้นยังพอเข้าใจได้ แต่การปรากฏตัวของ ‘รัง’ นั้นทำให้สถานการณ์แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ถ้าไม่เป็นเพราะมีไอ้โง่ตัวไหนละเลยหน้าที่จนเปิดเผยร่องรอยของอาณาจักรซีสกาย ก็ต้องแปลว่าทางด้านหลังนั้นเกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้ว!
ลูกน้องของมันก็น่าจะคิดได้เช่นนี้เหมือนกัน พวกมันถึงไม่กล้ารับคำ
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้จู่ๆ จักรพรรดิก็ขาดการติดต่อไป ภายในใจของนาซเพลจึงเกิดความไม่สบายใจอย่างรุนแรงขึ้นมา
“ท่านเดอะแมสก์” จู่ๆ ผู้ยกระดับ ระดับสูงตนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องสังเกตการณ์ “ทางหอคอยแห่งการให้กำเนิดส่งข้อความมา ท่านจักรพรรดิเรียกท่านขอรับ!”
“อะไรนะ?” นาซเพลหันหน้ากลับมาทันที “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นท่านจักรพรรดิ?”
อีกฝ่ายงงไปทันที “เมื่อดูจากคลื่นกระเพื่อมของโลกแห่งจิตสำนึกแล้ว นั่นเป็นหอเจ้าชีวิตไม่ผิดแน่ขอรับ….นายท่าน มีปัญหาอะไรหรอขอรับ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” นาซเพลสะกดอารมณ์พร้อมพูดด้วยเสียงเย็น เรื่องที่ก่อนหน้านี้สูญเสียการติดต่อกับแบล็คสโตนไป มันกับไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ต่างคิดว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อขวัญและกำลังใจ การที่ลูกน้องจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
สรุปแล้วก็คือ ‘รัง’ มาป่วนแผนการของมัน
เมื่อขึ้นไปบนยอดหอคอย เดอะแมสก์รวบรวมสมาธิตอบกลับคลื่นกระเพื่อมที่รุนแรงอันนั้น
จริงอยู่ที่มันมาจากหอเจ้าชีวิต….เพียงแต่ว่ามันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้นิดหน่อย น่าเสียดายที่ด้วยระดับของมัน มันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าความแตกต่างที่ว่านี้มันมาจากไหน
‘คารวะองค์จักรพรรดิ! ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?’ พอได้เอ่ยปาก นาซเพลก็พร่ำบ่นออกมาตามความเคยชิน ‘ในวันที่ไม่มีท่านคอยชี้นำ มันช่างทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้ว่าสกายลอร์ดไปอยู่ที่ไหน โชคดีที่ร่างซิมไบออนท์ใช้งานได้ยอดเยี่ยมอย่างมาก ศึกทางตะวันตกถึงได้…’
‘พอแล้ว’ จักรพรรดิพูดตัดบทมัน ‘ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดมากมาย แต่ว่านั่นมันไม่สำคัญ ตอนนี้การป้องกันของแบล็คสโตนได้พังลงแล้ว’
นาซเพลเอาคำพูดที่จะแสดงความดีความชอบของตัวเองโยนทิ้งไปทันที มันนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดซ้ำออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่า ‘การป้องกันของแบล็คสโตน…?’
‘ถึงแม้จะยังไม่ถูกอาณาจักรซีสกายยึดครองจนหมด แต่นั่นเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น ศัตรูของพวกเราเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง นี่ทำให้แนวป้องกันที่เดิมอ่อนแอพังทลายลง เฮทริตต้องสังเวยชีวิตอยู่ในสนามรบ’ น้ำเสียงของจักรพรรดิยังคงราบเรียบ เรากลับว่ากำลังพูดคุยเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์อยู่อย่างไรอย่างนั้น ‘ข้าถ่ายทอดคำสั่งให้ทิ้งแบล็คสโตนแล้วถอยเข้าไปยังดินแดนรุ่งอรุณอย่างเต็มกำลังแล้ว’
‘องค์จักรพรรดิได้โปรดทบทวนด้วย’ นาซเพลร้อนใจขึ้นมา เพราะนั่นเป็นการอพยพของเผ่าพันธุ์นับพันล้านตัว ต่อให้ไม่รวมพวกร่างไร้พลังเวทมนตร์ อย่างน้อยก็มีนับ 10 ล้านตัว แล้วในสถานการณ์ที่ขาดแคลนละอองแห่งชีวิต จะมีเผ่าพันธุ์ของมันอยู่กี่ตัวที่สามารถรอดมาถึงดินแดนรุ่งอรุณได้? เกรงว่าแม้แต่ 1% ก็อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้นดินแดนรุ่งอรุณในตอนนี้กำลังถูกอาณาจักรซีสกายโจมตีอยู่ พวกมันจำเป็นต้องเข้ามายังด้านในของแผ่นดินถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตได้ แต่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์มีฐานที่มั่นพอจะให้พวกมันได้ใช้อยู่อาศัยมากมายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ? ถ้าทำแบบนั้นได้จริงๆ พวกมันก็คงไม่ต้องไปลองยึดทาคีลาแล้ว!
‘การเสียสละนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้’ จักรพรรดิพูดตรงๆ ‘ละอองชีวิตนั้นไม่ใช่ปัญหา ทันทีที่ตัดสินใจถอนกำลัง หอคอยแห่งการให้กำเนิดที่ผ่านมาทั้งหมดสามารถใช้วิธีย้ายไปปลูกใหม่ได้ วิธีนี้เราเคยใช้บนสันหลังแห่งทวีปมาแล้ว ส่วนเมืองสตาร์ฟอล อาเรียตา ทาคิลา เฮอร์มีสบนดินแดนรุ่งอรุณ…เลยแม้แต่สายแร่อาญาสิทธิ์ที่อยู่ในดินแดนของพวกมนุษย์ก็สามารถเอามาใช้เป็นที่ฟักอันใหม่ได้’
‘แต่การเคลื่อนย้ายหอคอยแห่งการให้กำเนิดจำนวนมากขนาดนี้ในเวลาพร้อมกัน ต่อให้รวมกำลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์’ จู่ๆ นาซเพลพลันตกตะลึงไป ‘หรือว่าท่าน’
‘ถูกต้อง ข้าได้รวมร่างเข้ากับแกนพลังเวทมนตร์แล้ว ทำให้เมืองจักรพรรดิกลายเป็นพระผู้สร้างแห่งใหม่’
นาซเพลสั่นสะท้านขึ้นมาทันที รวมร่างเข้ากับวัตถุที่ไม่มีชีวิต นี่หมายความว่าจักรพรรดิจะอยู่บนหอคอยแห่งการให้กำเนิดไปตลอดกาล และกลายเป็นเหมือน ‘มาเธอร์ออฟโซล’…ตรรกะที่เยือกเย็นแบบนี้ แม้แต่ตัวมันเองก็ยังอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
ที่ขาดการติดต่อไปก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นเพราะการเปลี่ยนร่างของจักรพรรดิ
แต่ว่ามันก็เป็นเหมือนที่จักรพรรดิว่าไว้จริงๆ แบบนี้แล้ว งานเคลื่อนย้ายทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไข ด้วยพลังของพระผู้สร้าง มันสามารถรองรับหอคอยแห่งการให้กำเนิดจำนวนมากเอาไว้บนนั้นได้ และสามารถใช้เป็นแหล่งในการกระจายละอองชีวิตแทนฐานที่มั่น ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดความเสียหายในระหว่างที่ทำการอพยพได้น้อยที่สุด
อย่างนั้นปัญหาสุดท้ายก็เหลือแค่พวกมนุษย์เท่านั้น
ความคิดนี้พึ่งจะผุดขึ้นมา มันก็ได้รับการยืนยันจากจักรพรรดิ
‘เผ่าพันธุ์ของเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียกับพวกมนุษย์อีกแล้ว เราจำเป็นต้องรีบยึดเอาชิ้นส่วนแห่งการสืบทอดมาให้เร็วที่สุดนั่นถึงจะทำให้เรามีโอกาสสู้กับอาณาจักรซีสกายในตอนนี้ได้’
และการจะบุกไปข้างหน้าอย่างเต็มที่เพื่อทำลายพวกมนุษย์ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นที่สุดก็มีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้น
‘ข้าขอสั่งต่อ นับตั้งแต่ที่เผ่าพันธุ์กลุ่มแรกเดินทางมาถึงดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ปฏิบัติการทางตะวันตกให้เปลี่ยนไปใช้แผนสองได้’ จักรพรรดิออกคำสั่ง
นาซเพลตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ความจริงแล้วแผนการที่สองนี่ก็เป็นแผนที่มันคิดขึ้นมา เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายเป็นจริงได้
น่าจะทำให้เป็นหายนะที่สะเทือนฟ้าดินแน่!
‘น้อมรับพระบัญชา องค์จักรพรรดิ!’
ตอนที่ 1419 สองตัวตน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเมืองกลอรีของอาณาจักรดอว์นมีปรากฏการที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นมา
ท่ามกลางสายตาของประชาชรนับหมื่นนับแสน คณะเดินทางของศาสนจักรชูธงเดินขบวนทะลุประตูเมืองเข้ามา คนที่เดินอยู่หน้าสุดคือกลุ่มอัศวินที่คอยเดินเปิดทางให้พวกเขา นี่เป็นการต้อนรับอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว และสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปยังตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าที่สวยงามและสวมมงกุฎเอาไว้บนหัว
เธอคือพระสันตะปาปาองค์ใหม่ที่เล่าลือกัน แล้วก็เป็นคนที่เอาชนะพวกทรยศและพาเฮอร์มีสเดินกลับเข้าสู่ทางที่ถูกต้อง
ถึงแม้การบุกเข้าโจมตีวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์จะทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนจักรต้องแปดเปื้อนไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขายังคงมีอิทธิพลอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้คณะเดินทางยังเดินทางไปช่วยชาวบ้านผู้อพยพในแนวหน้าอยู่บ่อยๆ ขณะเดียวกันก็ให้การสนับสนุนการทำสงครามกับความชั่วร้าย ซึ่งสร้างความประทับใจและความรู้สึกขอบคุณได้ไม่น้อย ข่าวเหล่านี้ถูกส่งกลับเข้ามาในมองกลอรีผ่านทางช่องทางต่างๆ ทำให้ชาวบ้านต่างเกิดความรู้สึกอย่างรู้อย่างเห็นต่อพระสันตะปาปาองค์นี้ขึ้นมา
เพราะว่าในอดีตพระสันตะปาปานั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูงศักดิ์ แม้แต่ราชาของอาณาจักรยังต้องได้รับการอนุญาตก่อนถึงจะเข้าพบได้ พระสันตะปาปาที่ยินดีที่จะเสี่ยงเข้าไปยังสนามรบและแสดงความเป็นห่วงเป็นใยชาวบ้านทุกคนนั้นมีไม่มากนัก ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้ทุกคนเล็กน้อย ชาวบ้านมักจะส่งเสียงเฮอย่างตื่นเต้นขึ้นมา นอกจากสถานะของอีกฝ่ายแล้ว ใบหน้าที่งดงามของเธอก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างความฮือฮาได้มากขนาดนี้
สุดท้ายคณะเดินทางนี้ก็ไปหยุดอยู่หน้าปราสาทภายในเมือง
พระสันตะปาปาพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไป ส่วนคนที่ยืนต้อนรับเธออยู่ที่ประตูก็คือราชาของเกรย์คาสเซิล โรแลนด์ วิมเบิลดัน
ทั้งสองคนยื่นมือออกมาจับกันอย่างง่ายๆ ถึงแม้หลายๆ คนจะเพิ่งเคยเห็นการทำความเคารพที่แปลกประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่พวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเท่าเทียมกัน ในอีกแง่หนึ่งนี่เป็นการยืนยันข่าวลือที่ว่าการขึ้นครองตำแหน่งของพระสันตะปาปาองค์ใหม่นั้นได้รับการสนับสนุนจากเกรย์คาสเซิล ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายกลับมาดีกันอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงปรบมืออันดังสนั่น ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันเข้าไปในปราสาท
“ขออภัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันล่วงเกินแล้ว”
หลังเดินประตูเข้ามา หญิงสาวย่อตัวลงไปเตรียมจะคุกเข่า แต่ก็ถูกโรแลนด์รั้งเอาไว้ “ไม่ ข้ากลับคิดว่าแบบนี้ดีออก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ใช่ผู้บริสุทธ์อย่างในอดีตแล้ว สโมสรแม่มดไม่ต้องการพิธีรีตองที่วุ่นวายขนาดนี้ หรือว่าเจ้าอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์มานานจนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว?”
อีกฝ่ายก็คืออิสซาเบลลาที่ถูกย้ายไปยังเฮอร์มีสเพื่อให้ดูแลเมืองศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้รักษาการแทนพระสันตะปาปา และคอยรับผิดชอบจัดที่อยู่อาศัยให้กับนางชีและเด็กกำพร้า และป้องกันไม่ให้ยาคุ้มคลั่งหลุดออกมาสู่ภายนอก
“ไม่เพคะ” หลังพูดจบ อิสซาเบลลาก็ตกตะลึงไปทันที เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ “ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์ตรัสว่า…”
“ใช่ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้เวนดี้ได้พูดเรื่องที่จะรับเจ้าเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสโมสรแม่มด และข้าก็เห็นด้วยกับความคิดของนาง” โรแลนด์พยักหน้า “ถึงแม้โทษของเจ้าคือห้าปี แต่เจ้าก็ทำงานในเฮอร์มีสได้ดีมาก คิดซะว่าเป็นรางวัลแล้วกัน”
อิสซาเบลลายืนนิ่งไปครู่ ก่อนจะตอบออกมาว่า “แต่ว่าฝ่าบาท หม่อมฉัน…”
“หลังเข้าร่วมสโมสรแม่มดแล้ว ทุกเดือนเจ้าจะมีการแจกเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้”
“เอ่อ….” คำว่า ‘แต่ว่า’ ของอีกฝ่ายคาอยู่ในลำคอ
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร จริงๆ เลยเชียว…” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “พวกผู้บริสุทธิ์อย่างเจ้ามักจะชอบไปอยู่ขังตัวเองอยู่ในที่แปลกๆ พูดอีกอย่างก็คือทรมานตัวเอง อีกอย่างการไถ่โทษมันก็ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่เอาไว้ ถ้าต้องเตรียมของแบบนี้ให้เจ้าตลอด ข้าคงจะต้องปวดหัวอย่างมากแน่ ดังนั้นในเวลาแบบนี้ แค่ไปพูดขอบคุณเวนดี้เหมือนคนอื่นๆ ก็พอแล้ว”
“เพคะ…” อิสซาเบลลากัดริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงไป “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
“ข้ารู้ว่าในอดีตเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในหน้าที่และคำสั่งมาโดยตลอด แต่ว่าไม่เป็นไร ยังไงวันหนึ่งเจ้าก็จะเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบใหม่นี้แน่นอน” โรแลนด์เปลี่ยนประเด็น “การเจอกันครั้งนี้เป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ที่หาได้ยาก เดิมควรจะจัดให้มันใหญ่โตกว่านี้ แต่ข้าไม่อยากจะเอาเวลามาเสียกับพิธีและงานเลี้ยงอีก เจ้าน่าจะรู้เรื่องที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกสัตว์อสูรโจมตีใช่ไหม”
“เพคะ?” พอพูดถึงเรื่องงาน สีหน้าชองอิสซาเบลลาก็จริงจังขึ้นมาทันที “ที่พระองค์ทรงตามหม่อมฉันมาก็เพราะทรงอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์อสูรใช่ไหมเพคะ?”
“ถูกต้อง เพราะในอดีตร้อยปีที่ผ่านมา เฮอร์มีสคือกำลังสำคัญในการต่อสู้กับสัตว์อสูร ข้าคิดว่าศาสนจักรจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับมันไม่น้อยแน่”
อิสซาเบลลาตอบอย่างไม่ลังเล “หม่อมฉันจะทูลพระองค์ทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้เพคะ”
เมื่อสี่วันก่อนในตอนที่รู้ว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกสัตว์อสูรบุกโจมตี ตอนแรกโรแลนด์ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาผ่านเดือนแห่งปีศาจในดินแดนตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว เมื่อหลายปีก่อนมนุษย์ก็สามารถใช้หอกและอาวุธปืนในการรับมือกับพวกมันได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองทัพในตอนนี้เลย ถึงแม้การที่มีสัตว์อสูรจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงเวลานอกเหนือเดือนแห่งปีศาจมันจะค่อนข้างผิดปกติ แต่กองทัพที่หนึ่งกำลังสู้รบอยู่กับปีศาจในหลายๆ พื้นที่ เขาเองก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้
แต่เรื่องราวมันกลับผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้มาก
ในคืนวันนั้นเขาได้รับโทรเลขจากทางหอโทรเลขเนินทิศเหนือหลายฉบับ สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างมาก สัตว์อสูรจำนวนมากข้ามทาคิลาเข้ามาแล้วบุกโจมตีพื้นที่ที่บุกเบิกขึ้นมาใหม่ กองกำลังที่ประจำการอยู่ตรงนั้นทำการตอบโต้ แต่กลับไม่สามารถหยุดการโจมตีของศัตรูได้ ถ้าไม่เป็นเพราะรถไฟหุ้มเกราะมาช่วยได้ทันเวลา ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงจะมากกว่านี้แน่
ยิ่งไปกว่านั้นในรายงานยังระบุเอาไว้ว่ามีพยานหลายคนที่บอกว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดที่เป็นเหมือนวิญญาณ พวกมันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและไร้ซุ่มเสียง แทบจะไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีแต่ตอนที่เปื้อนเลือดเท่านั้นถึงจะปรากฏร่างกายขึ้นมา
นี่ทำให้โรแลนด์รู้ว่าเขาได้ประมาทความสามารถของสัตว์อสูรอย่างมาก
…..
ในตอนที่อิสซาเบลลาบรรยายจบแล้ว โรแลนด์พบว่าการคาดเดาของตัวเองได้รับการยืนยัน เมื่อเทียบกับเมืองศักดิ์สิทธิืเฮอร์มีส เดือนแห่งปีศาจที่ดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลนั้นเป็นแค่เพียงกระแสน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น ชนิดของสัตว์อสูรมีมากกว่าปีศาจ สัตว์อสูรพันธุ์ผสมบางตัวแทบจะมองดูไม่รู้เลยว่าเมื่อก่อนมันเคยเป็นสัตว์อะไรมา
อย่างเช่นอสูรป่าเถื่อนที่มีร่างกายยาวจนผิดปกติ สามารถมุดดินปีนขึ้นกำแพงเมืองได้ หรืออสูรนกฮูกหิมะที่มีร่างกายเป็นนกและมีเขาแพะ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก สัตว์อสูรแบบนี้ล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดที่ดินแดนตะวันตกไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะเดียวกันเขายังพอจะเดาสาเหตุที่การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างปุบปับโดยไม่ทันตั้งตัวได้ มีความเป็นไปได้สูงที่อสูรป่าเถื่อนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จู่ๆ สัตว์อสูรจำนวนมากไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังพื้นที่บุกเบิก
แต่นี่ก็ยังไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมสถานการณ์ของทางเนเวอร์วินเทอร์ถึงได้เลวร้ายลงขนาดนี้ ต่อให้ด้านหลังจะไม่มีกำแพงเมืองอันสูงใหญ่เหมือนอย่างเฮอร์มีส อีกทั้งทหารของกองทัพที่หนึ่งก็เป็นทหารใหม่ที่ขาดประสบการณ์ แต่ความแตกต่างในเรื่องของอาวุธก็น่าจะชดเชยในจุดนี้ได้ บางทีตอนแรกพวกชาวบ้านอาจจะพากันแตกตื่น แต่หลังจากใช้แผนฉุกเฉิน กองทัพที่หนึ่งก็น่าจะเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วนี่นา
นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่าอิสซาเบลลาไม่ได้พูดถึงสัตว์ประหลาดที่เหมือนวิญญาณนั่นเลย นี่ทำให้เขาสงสัยว่านั่นเป็นศัตรูใหม่หรือว่าพวกชาวบ้านพากันแตกตื่นกันจนเข้าใจผิดกันแน่?
ทันใดนั้นเอง คนรับใช้คนหนึ่งได้หอบเอาซองกระดาษซองหนึ่งเข้ามาในห้อง
“ฝ่าบาท ทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ส่งจดหมายใหม่มาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่โทรเลขหรอ?” โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ อัศวินอากาศเป็นคนส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเปิดมันออก”
สิ่้งที่อยู่ในซองกระดาษคือรูปภาพปึกหนึ่ง โรแลนด์เอามันมาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะพบว่ามันรูปเหมือนของผู้โจมตีในครั้งนี้ ภาพเหล่านี้เป็นฝึมือการวาดของโซโรยาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเทียบกับรายงานที่เป็นตัวหนังสือแล้ว รูปภาพนั้นทำให้มองเห็นได้ชัดเจนมากกว่าอย่างแน่นอน
ดูเหมือนต่อให้ไม่มีพลังเวทมนตร์ในการต่อสู้ พวกนางก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องบ้านของตัวเองอยู่
ไม่นานภาพซากศพของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของโรแลนด์เอาไว้
มันเหมือนจะถูกรถไฟชนจนตาย ร่างกายครึ่งหนึ่งแนบติดไปกับตัวรถ รูปร่างภายนอกของมันดูแล้วไม่เหมือนกับสัตว์อสูรที่อิสซาเบลลาบอกเล่ามาเลย
“พันธุ์ผสมแบบนี้ เจ้าเคยเห็นที่เฮอร์มีสบ้างไหม?” เขาดึงรูปภาพออกมาแล้ววางไปตรงหน้าอิสซาเบลลา
เธอมองดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหัว
กลายเป็นไนติงเกลที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังโรแลนด์ที่จู่ๆ ก็ส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมาเบาๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น