Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1410-1415
ตอนที่ 1410 ระเบิด (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน กู๊ดเองก็ได้รับแจ้งวิทยุจากหัวหน้ากลุ่มสอง “นี่คือแมนเฟล รุ่นพี่กู๊ด เดี๋ยวข้าะออกไปจากชั้นเมฆ ข้าอยากจะให้ท่านช่วยข้าหน่อย!”
“ออกไปจากชั้นเมฆ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? ที่นี่มันฐานใหญ่ของศัตรูนะ!” ยังไม่ทันที่กู๊ดจะตอบออกมา ในวิทยุพลันมีเสียคำรามของฟินกิ้นดังขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ด้านบนทะเลหมอกแดงมีบาเรียเวทมนตร์คอยป้องกันอยู่ แล้วเจ้าจะทำอะไรได้? เด็กใหม่ บนสนามรบมันไม่ใช่ที่ๆ จะให้เจ้ามาเล่นสนุกนะ!”
เนื่องจากเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้าที่สุด บนฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นจึงมีการติดตั้งวิทยุเอาไว้ทุกลำ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เครื่องบินทั้งสิบลำกล้าบินทะลุชั้นเมฆโดยไม่มีทิลลีคอยนำหน้า
กู๊ดไม่ได้ปฏิเสธไปตรงๆ เมื่อเทียบกับความอาวุโสในฐานะรุ่นพี่ที่เข้าโรงเรียนมาก่อนแล้ว เขารู้สึกสงสัยในความคิดของอีกฝ่ายมากกว่า “ข้าได้ยินที่เจ้าขอแล้วแมนเฟล แต่ว่าต่อให้มองเห็นเป้าหมาย เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่มีท่านซิลเวียคอยระบุตำแหน่งให้ ความเป็นไปได้ที่จะยิงถูกมันก็น้อยอย่างมาก”
เขาคอยสังเกตดูนักเรียนอัจฉริยะคนนี้ตั้งแต่ตอนฝึกซ้อมแล้ว —- เขาได้ยินมาว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอัศวินตกอับ ที่เขามาที่เกรย์คาสเซิลก็เป็นเพราะไม่สามารถหาความก้าวหน้าในวูล์ฟฮาร์ทได้ อัศวินอากาศหลายๆ คนที่เมื่อก่อนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดามักจะแสดงความเป็นรุ่นพี่ต่อหน้าเขาอยู่บ่อยๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ในอดีตพวกเขาถูกขุนนางกดขี่
บอกตามตรง กู๊ดเองก็รู้สึกไม่ดีต่ออัศวินของวูล์ฟฮาร์ทเหมือนกัน พวกเขาอวดดี ชอบกดขี่และทำเหมือนว่าไม่มีใครเอาชนะพวกเขาได้ แต่เวลาที่เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ พวกเขากลับวิ่งหนีเร็วกว่าใครๆ — ในตอนที่ศานจักรบุกโจมตีวูล์ฟฮาร์ท กู๊ดได้เห็นพฤติกรรมที่น่าเกลียดเหล่านี้ด้วยตาตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน
แต่อัศวินที่เสนอตัวออกไปรบเหมือนอย่างแมนเฟลนี้ กู๊ดเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจอวดตัวเองต่อหน้าเจ้าหญิงทิลลีหรือว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ
“รุ่นพี่ ท่านยังจำที่พวกเราใช้ตัวเครื่องบินมาควบคุมวิถีกระสุนตอนที่กราดยิงได้ไหม?” แมนเฟลตอบ “ ข้าคิดว่ามันน่าจะใช้กับระเบิดได้เหมือนกัน!”
พอพูดจบ เสียงหวึ่งๆ จากทางนั้นพลันเบาลง เหมือนกับบริเวณรอบๆ ปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิม
“เจ้านั้นมันบินออกจากชั้นเมฆไปแล้ว!” ฟินกิ้นบ่นงึมงำ “พวกเราเอาไงดี?”
ใช้ตัวเครื่องมาควบคุมการโยนระเบิดงั้นเหรอ….กู๊ดเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายทันที เขากระแอมเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “จะทิ้งกลุ่งสองไม่สนใจก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ องค์หญิงทิลลีทรงจับตาดูอยู่นะ!”
“…ฮ่าๆๆๆ พูดถูก!” ฟินกิ้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เกรงกลัว “ปกป้องเพื่อนร่วมทีมคือเรื่องที่ข้าถนัดที่สุด พวกเจ้าลุยไปเลย เดี๋ยวข้าจัดการพวกอสูรสยองกลุ่มนั้นเอง ยะฮู้ววว…!”
เข้าใจง่ายจริงๆ
กู๊ดถอนใจ ก่อนจะดันคันบังคับไปด้านหน้า
ทั้งสองทีมพุ่งออกมาจากเมฆคนละตำแหน่งก่อนจะพุ่งลงไปด้านล่างสวนกับอสูรสยองที่บินขึ้นมา ทางสีขาวเล็กๆ สองเส้นวาดไปบนท้องฟ้า เมื่อเทียบกับอสูรสยองที่มีจำนวนมากกว่าแล้ว ถึงแม้ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นจะมีจำนวนน้อยกว่า แต่มันกลับพุ่งไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งได้
กลุ่มหนึ่งเลี้ยวเป็นเส้นโค้งพุ่งเข้ากับปะทะอสูรสยอง ส่วนกลุ่มที่สองบินตรงหน้าไปยังเสาหิน ในระยะนี้ถึงแม้จะไม่มีซิลเวียคอยชี้ตำแหน่ง แต่พวกเขาก็สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ด้วยตาเปล่า
ถึงแม้ในระหว่างนั้นจะมีปีศาจส่วนหนึ่งที่พยายามเข้ามาหยุดฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นเอาไว้ แต่ด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน อสูรสยองเพิ่งจะขึ้นมาบินในแนวราบ ก็ถูกเครื่องบินปีกสองชั้นสลัดทิ้งเอาไว้ด้านหลังแล้ว ขอเพียงไม่เข้าไปสู้กับพวกมัน ต่อให้ต้องแบกระเบิดหนัก 150 กิโลเมตรกรัมเอาไว้ ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อสูรสยองจะไล่ตามทันได้
หลังปรับทิศทางหลายครั้ง แมนเฟลก็ทิ้งระเบิดลงไป
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พากันทำตาม
ระเบิดที่หลุดออกจากตัวยึดยังคงลอยตามเส้นทางและความเร็วของเครื่องบิน ก่อนจะข้ามกำแพงสูงและหอคอยจำนวนมากแล้วพุ่งตกลงไปในพื้นที่ทะเลสาบหมอกแดง เมื่อเทียบกับการโยนลงมาจากบนที่สูงแล้ว จุดตกของระเบิด 5 ลูกนี้ค่อนข้างกระจุกอยู่ด้วยกัน นอกจากระเบิดลูกหนึ่งที่ถูกเสาหินกันเอาไว้แล้ว ระเบิด 4 ลูกที่เหลือล้วนแต่ระเบิดอยู่ตรงด้านบนทะเลสาบหมอกแดง
เสียงระเบิดที่ดังติดๆ กันทำให้เมืองทั้งเมืองเหมือนสั่นสะเทือนขึ้นมา ตรงด้านล่างเปลวเพลิงที่กำลังพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า คลื่นแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมารัวๆ แต่มันก็ยังไม่อาจโจมตีลงไปถึงทะเลสาบหมอกแดงได้ แต่ทุกคนต่างสังเกตเห็นว่าแสงสีน้ำเงินที่สว่างขึ้นมามันไม่สว่างเหมือนอย่างในตอนแรกอีกแล้ว
“ทำดีมาก เด็กใหม่” ฟินกิ้นผิวปาก
กู๊ดหลังจากบินหมุนควงสลัดการไล่ตามของอสูรสยองได้แล้ว เขาก็หมุนปรับวิทยุไปที่ช่องรวม “ทูลองค์หญิงทิลลี กลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองทำการทิ้งระเบิดเรียบร้อย ขออนุญาตบินกลับพ่ะย่ะค่ะ!”
“เข้าใจแล้ว บินกลับมาได้”
ฟินิกส์ยิงพลุสัญญาณสีแดงออกมาอย่างรวดเร็ว ฝูงบินที่กำลังพัวพันกับปีศาจเริ่มบินขึ้นที่สูง ก่อนจะอาศัยประโยชน์จากแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าบินหายลับไปในท้องฟ้าสีน้ำเงิน
…..
เดอะแมสก์ส่งเสียงถอนใจออกมาอย่างพึงพอใจ
มนุษย์พวกนี้นับวันจะยิ่งเกินความคาดหมายของมันไปทุกที
แบ่งกำลังออกเป็นสองทาง กำลังหลักแกล้งโจมตีหลอก พอโจมตีเสร็จก็รีบถอย ไม่มีการชักช้าแม้แต่นิดเดียว….ตั้งแต่ที่กองกำลังป้องกันบินขึ้นไปสกัดจนกระทั่งการต่อสู้จบลงนั้นใช้เวลาไปแค่ 20 – 30 นาที แผนการรบที่คล่องแคล่วแบบนี้ทำให้สามารรีดเอาข้อดีของเครื่องจักรสงครามเหล่านี้ออกมาได้มากที่สุด
ไม่แปลกที่อุรูคจะรู้สึกหวาดกลัวมนุษย์ ดูเหมือนตอนนั้นตัวเองจะเข้าใจอีกฝ่ายผิดไป
แต่ต่อให้เป็นแม่ทัพอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ก็มองเห็นเพียงภัยคุกคามส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่ามองไม่เห็นแก่นที่แท้จริงของความลับ — แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว แม้แต่มนุษย์โง่เง่ายังสามารถขี่นกเหล็กบินไปมาบนฟ้าได้ อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์พวกเราเป็นคนขี่นกเหล็ก อย่างนั้นไม่ยิ่งน่าตกใจมากกว่าเหรอ? ถึงตอนนั้นอาณาจักรซีสกายก็ไม่ใช่ศัตรูที่รับมือได้ยากอีกต่อไป เผ่าพันธุ์จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน!
ถ้าตอนนั้นอุรูคใช้เหตุผลแบบนี้มากล่อมทุกคน ไม่แน่มันอาจจะยืนอยู่ข้างอีกฝ่ายก็ได้
น่าเสียดาย
“การสั่นสะเทือนเมื่อกี้มันอะไรกัน?” ประตูบนยอดหอคอยถูกเปิดออก ไซลเนท์ดิสแอสเตอร์ที่ร่างกายสวมเกราะค่อยๆ เดินออกมา “พระผู้สร้างถูกโจมตีเหรอ?”
“ถูกต้อง แต่ว่าเจ้ามาช้าไปหน่อย ก็เลยไม่ทันได้ดูการต่อสู้อันยอดเยี่ยม” นาสเพลเหลือบมองดูมัน “เจ้าแต่งตัวอย่างนี้คิดจะออกไปรบอย่างนั้นรึ? ข้าว่าเจ้าอย่าฝืนตัวเองจะดีกว่า”
“เจ้าไม่ต้องมายุ่ง” ไซเลนท์พูดเสียงต่ำ “ศัตรูอยู่ไหน?”
นาซเพลชี้ไปบนฟ้า “พวกมันน่าจะรู้ว่าความแตกต่างระหว่างนกเหล็กกับอสูรโบเกิลคือจุดที่ใช้บุกโจมตีได้ง่ายที่สุด น่าขันจริงๆ….ตอนสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สอง เจ้าอสูรที่ไม่มีพลังเวทมนตร์พวกนี้มันเป็นหัวใจสำคัญในการค้าชัยชนะของพวกเราเลยนะ”
ไซเลนท์มองไปบนท้องฟ้าไม่พูดอะไร สีหน้ามันดูค่อนข้างแย่
“ไม่ต้องกังวล” นาซเพลเอาหน้ากากใส่กลับไปบนหน้าอีกครั้ง “เมื่อกี้จากที่สังเกตดู ข้าคิดวิธีที่จะรับมือออกแล้ว เมื่อเทียบกับอสูรโบเกิล วิถีการเคลื่อนไหวของพวกมันดูชัดเจนไปหน่อย เออใช่ ในเมื่อเจ้ากระหายที่จะต่อสู้ขนาดนี้ อย่างนั้นช่วยอะไรข้าหน่อยได้ไหม”
“…..”
“ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้า” เดอะแมสก์กางมือเจ็ดแปดมือของมันออก “ก่อนหน้านี้มีนกเหล็กสองสามลำตกอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ถ้าแมลงที่อยู่บนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็จับมันกลับมา ข้าคิดว่าเรื่องแค่นี้เจ้าคงทำได้ไม่ยากใช่ไหม?”
“ต้องมีชีวิตงั้นเหรอ?” ไซเลนท์ถามเสียงเยือกเย็น
“ใช่สิ” นาซเพลหัวเราะอย่างได้ใจ “สมองที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงจะมีค่าแก่การปลูกถ่าย ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันเพิ่งจะผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาด้วย ความทรงจำเกี่ยวกับการบินยังสดใหม่ เหมาะที่จะเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์แผนการของข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะรับเอาหัวของแมลงธรรมดามา ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับเกียรติอันนั้นกันนะ?”
ไซเลนท์เบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ก่อนจะเดินไปยังหอคอยแห่งการให้กำเนิด
นาซเพลหมุนตัวกลับอย่างไม่ใส่ใจ มันรู้ว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่ชื่นชอบวิธีแบบนี้ แต่มันก็จะทำอย่างเต็มที่เพื่อเผ่าพันธุ์
เดอะแมสก์มองไปทางดินแดนของมนุษย์ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมาไปข้างหน้า —- เมื่อมองจากมุมนี้ มันใช้เพียงแค่มือเดียวก็สามารถกุมแผ่นดินทั้งผืนเอาไว้ในมือได้แล้ว อยากมากอีก 2 – 3 วัน พระผู้สร้างก็จะเข้าไปยังที่ราบสูงเฮอร์มีส ร่างซิมไบออนท์จำนวนนับหมื่นที่อยู่บนลาทดลองเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำสงคราม มันจะทำให้จักรพรรดิเห็นว่าตัวมันเพียงตัวก็สามารถสู้กับกองทัพทั้งกองทัพได้ ไม่ว่าจะเป็นบลัดดี้คองเคอร์เรอร์หรือว่าไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ก็ล้วนแต่เป็นเพียงไม้ประดับให้มันใช้เปรียบเทียบเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง อีกด้านหนึ่งพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้แสงสว่างจะเล็กนิดเดียว แต่มันกลับสว่างเจิดจ้าอย่างมาก เหมือนกับพระอาทิตย์ที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเล แล้วเหมือนกันแสงสว่างที่สะท้อนออกมาจากในกระจก
ตาฝาดเหรอ…
นาซเพลตกตะลึง กระทั่งมันหันไปมองทางทะเลน้ำวนอย่างละเอียดอีกครั้ง แสงสว่างนั้นก็หายไปแล้ว
ตอนที่ 1411 พัสดุที่เหนือความคาดหมาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ริมชายฝั่งเจมินิของอาณาจักรดอว์นมีฝนตกปรอยๆ
อกาธาไม่รู้ว่านั่่นคือการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการทดสอบระเบิดหรือว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
การระเบิดอย่างรุนแรงบนผิวน้ำทำให้เกิดเสาน้ำขนาดมหึมาขึ้นมา ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมา 15 กิโลเมตรก็ยังมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน เสาน้ำที่พุ่งขึ้นมาเป็นสีขาวบริสุทธ์ ดูแล้วไม่ได้เข้ากับสีเทาน้ำเงินที่อยู่ข้างหลัง เหมือนว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับท้องทะเลอย่างนั้น เสาน้ำค่อยๆ พุ่งขึ้นไปราวกับว่าสูญเสียน้ำหนัก ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาประมาณ 30 – 40 วินาที ส่วนภาพเหตุการณ์นี้ก็เหนือไปจากความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าร่วมชมการทดสอบระเบิดหลายๆ คน
สุดท้ายมันกลายเป็นฝนตกลงมาบนทะเล สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือหมอกสีขาวที่บิดเบี้ยว หมอกสีขาวมีขนาดใหญ่กว่าเสาน้ำ มันพุางขึ้นสูงจนถึงตอนนี้ก็ยังมองเห็นกลุ่มไอน้ำรูปร่างแปลกๆ อยู่
ส่วนเรือใบที่เดิมรวมตัวเป็นกระจุกอยู่ตรงจุดที่ระเบิดนั้นหายไปหมดแล้ว
และในตอนนี้ฝนก็ตกลงมา
เธอรู้สึกเสียใจและเสียดายมาโดยตลอดที่ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอลระเบิดที่ภูเขาหิมะเมื่อสองปีก่อน แต่ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้รับการชดเชยแล้ว
อกาธานึกถึงคำพูดที่โรแลนด์คุยกับฟิลลิสหลังทำการทดสอบปืนใหญ่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนฤดูหนาวเมื่อสองปีก่อน
ปฏิกิริยาคายความร้อนระหว่างสารเคมีเป็นเพียงปฏิกิรยาระเบิดทีเป็นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
การทำให้แสงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่เขาไล่ตาม
ถ้าตัดพวกคำพูดติดตลกไร้สาระออกไป ฝ่าบาทนั้นดูเป็นคนที่่น่าเชื่อถือได้อย่างมาก
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจก็คือครั้งนี้บนอัฒจันทร์ไม่มีเสียงปรบมือดังขึ้นมา
ขุนนางที่ถูกเชิญมาต่างนั่งตกตะลึงอยู่บนเก้าอี้ คล้ายว่าพวกเขาลืมแม้แต่จะหันหน้าไปซุบซิบกัน หลายคนต่างมีสีหน้าซับซ้อน ในดวงตาเหมือนจะมีแววตาหวาดกลัวนิดหน่อย ในฐานะที่เป็นตัวแทนจากฝั่งเกรย์คาสเซิล เดิมอกาธานั้นเตรียมเอาคำพูดปลุกใจตามที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงต้องการมาด้วย แต่หลังจากที่ได้เห็นภาพนี้ เธอก็ลุกออกไปจากอัฒจันทร์โดยไม่ได้พูดอะไร
เธอเดาความคิดของคนเหล่านี้ออก
บางครั้งความเงียบกลับสามารถอธิบายทุกสิ่งได้
ไม่ว่ายังไง ฝ่าบาทก็ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้แล้ว — เหล่าขุนนางของดอว์นที่เข้าร่วมประชุมต่างได้เห็นพลังของมนุษย์ด้วยตาตัวเอง
งานเก็บข้อมูลหลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามารับผิดชอบโดยเฉพาะ
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ข้อสรุปขั้นต้นก็ถูกส่งมาให้เธอ การทดสอบระเบิดครั้งนี้ได้ผลเหมือนอย่างที่คาดเอาไว้
อกาธาเอากระดาษโน้ตที่เขียนว่า ‘ทุกอย่างราบรื่น’ ผูกไปกับขาของนกส่งจดหมาย ก่อนจะปล่อยมือโยนมันขึ้นไปบนฟ้า
นกส่งจดหมายกางปีกออก ก่อนจะหายลับไปในขอบฟ้าทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว
หวังว่าปฏิบัติการโจมตีของทางนั้นจะราบรื่นเหมือนกันนะ เธอครุ่นคิดเงียบๆ
……
ภายในปราสาทของเมืองกลอรี ทีมที่ปรึกษากำลังจัดการกับข้อมูลที่ได้มาใหม่จากการโจมตีทางอากาศ
ผลจากการโจมตีครั้งนี้เรียกได้ว่าออกมาดีอย่างมาก ปีศาจน่าจะคิดไม่ถึงว่ามนุษย์จะเปิดฉากโจมตีกลับมาหลังจากเพิ่งพ่ายแพ้ไปในศึกเทือกเขาสิ้นวิถีไม่นาน บวกกับความคล่องตัวของอัศวินอากาศ ทำให้ศัตรูเพิ่งจะทำการตอบโต้ออกมาในตอนที่ฝูงบินบินเข้าไปอยู่บนพระผู้สร้างแล้ว
นี่หมายความว่าปีศาจมีความสามารถในการทำให้แผ่นดินที่มีเส้นรอบวงยาวหลายสิบกิโลเมตรบินขึ้นมาได้ แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะตรวจตราพื้นที่ทั้งหมดได้ นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่งมีความหวัง แต่ยังทำให้ซีกัลมีโอกาสจดบันทึกตำแหน่งที่อสูรสยองบินขึ้นมาด้วย — ถึงแม้พวกมันจะไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เรียบๆ ในการขึ้นบินและลงจอดเหมือนอย่างเครื่องบิน แต่ตอนนี้ดูแล้วพวกมันยังคงถูกเลี้ยงรวมกันและถูกปล่อยออกมาพร้อมกันในเวลานี้มีการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้หอหินสีดำขนาดใหญ่ที่อสูรสยองพักอยู่จึงเป็นเป้าหมายที่น่าโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเรื่องบาเรียเวทมนตร์ที่อยู่บนทะเลสาบหมอกแดงนั้นเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อัศวินอากาศไม่เพียงแต่จะพบถึงการมีอยู่ของมัน แต่ทำการตรวจสอบยืนยันว่ามันสามารถถูกทำให้อ่อนแรงลงได้จากการระเบิดอย่างต่อเนื่อง — ถึงแม้รู้ชัดถึงหลักการทำงานของมัน แต่จุดเด่นตรงนี้ก็แทบจะเหมือนกับบาเรียของปีศาจระดับสูง เพียงแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้น
ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองขึ้นมาได้ ทีมที่ปรึกษาก็สามารถคำนวณพลังทำลายที่ต้องใช้ในการทำลายบาเรียได้
เมื่อเทียบกับข้อมูลที่ว่ามาแล้ว เฮฟเว่นเฟลมสี่ลำที่สูญเสียไปนั้นถือเป็นค่าตอบแทนที่เล็กน้อยมาก
“แมนเฟล แคสตีนงั้นเหรอ…” โรแลนด์วางรายงานลงพร้อมกล่าวชื่นชมออกมา “เขาสมควรที่จะได้รับรางวัลจริงๆ”
มีความเด็ดเดี่ยวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
สิ่งที่ยากคือมีทั้งความเด็ดเดี่ยวและมีความสามารถในการทำให้มันเป็นจริงได้
บุกเข้าไปบนน่านฟ้าของเมืองปีศาจ แล้วอาศัยความเข้าใจของตัวเองทิ้งระเบิดลงไป จากนั้นยังพาเพื่อนร่วมทีมกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย พรสวรรค์ตรงนี้เรียกได้ว่าสุดยอดอย่างมาก
“ข้าจะเอารางวัลไปมอบให้เข้าเองให้” ทิลลียักไหล่ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ทีข้าล่ะไม่เคยได้เลย…”
“อะไรนะ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก เดี๋ยวข้าไปก่อนล่ะ” ทิลลีหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
โรแลนด์ได้ยินด้านหลังมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของไนติงเกลดังขึ้นมา
“เอ่อ…เจ้าได้ยินว่านางพูดอะไรงั้นเหรอ?”
“เปล่าเพคะ” ไนติงเกลมุ่ยปาก “แต่ก็พอจะเดาได้เพคะ”
“โอ้? ไหนลองว่ามาซิ?”
เธอชูนิ้วขึ้นมา 5 นิ้ว
“เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” โรแลนด์พูดอย่างตกใจ
“ใครใช้ให้นางเป็นองค์หญิงลำดับที่ห้าล่ะเพคะ นี่หม่อมฉันลดราคาให้แล้วนะเพคะ”
“ก็ได้ ตกลง”
ไนติงเกลแอบเลียปากอย่างมีความสุข ‘จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของอัศวินอากาศยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่พระองค์ทรงชมเขามากเกินไปเพคะ ในบรรดาอัศวินอากาศทั้งหมด พรสวรรค์ของใครยอดเยี่ยมที่สุดพระองค์ก็ทรงเห็นไม่ใช่เหรอเพคะ? พระองค์ทรงมองเรื่องที่พลังเวทมนตร์ทำได้กลายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับตัวคนๆ นั้นเขาไม่ได้คิดแบบนี้เพคะ” พอพูดถึงตรงนี้เธอก็ชะงักไปเล็กน้อย “อันที่จริง เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราเป็นคนเลือกเองใช่ไหมล่ะเพคะ?”
…..
ก็จริง พลังเวทมนตร์ก็เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งเหมือนกันนี่นา…
โรแลนด์นั่งอยู่ริมหน้าต่างในร้านกาแฟโรสคาเฟ่ สายตาเหม่อลอยมองดูคนเดินไปเดินมาบนถนน
ถึงแม้มันจะถือเป็นพลังพิเศษ แต่การจะแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาอย่างเต็มที่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหมือนกัน
“เฮ้ เจ้าเหม่ออะไร?”
โรแลนด์หันกลับมา ก่อนจะเห็นวัลคีรีย์ที่ถือแก้วกาแฟอยู่สองแก้วนั่งลงตรงหน้าเขา
“กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้ไปถึงบอทธ่อมเลสแลนด์ให้เร็วที่สุดน่ะสิ” เขาโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนจะเล่าเรื่องการโจมตีพระผู้สร้างอย่างคร่าวๆ ออกมา “บาเรียเวทมนตร์ที่ปกคลุมพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้มีความเกี่ยวข้องกับพลังของปีศาจระดับสูงหรือเปล่า? นี่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มันเพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาได้ในช่วงนี้งั้นเหรอ?”
“ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็ ข้าจะไม่ใช่คำเรียกว่า ‘ปีศาจ’ แบบนี้อีก” วัลคีรีย์พูดอย่างหงุดหงิด “ความสามารถของเผ่าพันธุ์ข้ามันขึ้นอยู่กับชนิดของหินเวทมนตร์ สาเหตุที่เลือกหินเวทมนตร์โล่ก็เพราะว่ามันหลอมรวมได้ง่าย แล้วก็ใช้งานได้จริงดีเท่านั้น มันไม่ใช่ว่าเป็นพลังที่จำเป็นจะต้องมี — อย่างเช่นข้า ข้าก็ไม่ได้หลอมรวมกับหินเวทมนตร์แบบนี้ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะยังไงขอบเขตการใช้ของหินเวทมนตร์ก็ไม่มีทางที่จะปกคลุมทั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดได้ มันน่าจะเป็นผลจากการวิจัยใหม่ของเดอะแมสก์มากกว่า”
“มันคืออะไร?”
วัลคีรีย์เดิมกาแฟไปคำหนึ่ง “ใช้แกนพลังเวทมนตร์มาจำลองโครงสร้างการหมุนของหินเวทมนนตร์เพื่อขยายผลของพลังของมัน ความคิดนี้มีมาตั้งนานแล้ว แต่การจะทำให้มันเป็นจริงได้นั้นมีอุปสรรคอยู่หลายอย่างมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะทำสำเร็จได้จริงๆ”
นี่หมายความว่าโดยเนื้อแท้แล้ว บาเรียที่พระผู้สร้างใช้ออกมากับพลังที่พวกมันใช้ออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรเลย โรแลนด์แอบจำเรื่องนี้เอาไว้ อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปรียบเทียบที่ทีมที่ปรึกษาให้มานั้นเป็นไปได้
“คนที่วิจัยร่างซิมไบออนท์ขึ้นมาก็คือเดอะแมสก์ใช่ไหม?”
“ถูกต้อง ในอีกแง่หนึ่งมันคล้ายกับทรานฟอร์มเมอร์อย่างมาก แทบจะไม่เคยใช้หินเวทมนตร์ต่อสู้เลยแม้แต่ก้อนเดียว” วัลคีรีย์พยักหน้า “เมื่อคิดถึงว่าร่างซิมไบออนท์ใช้รับมือกับอาณาจักรซีสกายได้ไม่ดีเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ การที่จักรพรรดิส่งมันมาถือเป็นการติดสินใจที่เหมาะทีเดียว”
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้อยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นไนท์แมร์จึงบอกลาโรแลนด์
ในตอนที่ส่งมันถึงหน้าประตู จู่ๆ โรแลนด์พลันพูดออกมาว่า “ขอบคุณนะ”
อีกฝ่ายชะงักฝีเท้าอย่างแปลกใจ
“เฮคซอดไม่ได้ปรากฏตัวในศึกาอครั้งนี้เลย — มันน่าจะเชื่อเนื้อหาในจดหมายนั้น ถ้ามันอยู่ในสนามรบล่ะก็ ความเสียหายของกองทัพที่หนึ่งคงจะมากกว่านี้แน่ อย่างน้อยข้าก็ควรจะขอบคุณเจ้าในเรื่องนี้”
“อย่าลืมสิ ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า หากแต่กำลังช่วยเผ่าพันธุ์ของข้าอยู่ต่างหาก” วัลคีรีย์หันหน้ากลับมา “ถ้าเจ้าทำตามที่สัญญาได้ นั่นจำเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุด — นอกจากนี้ ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆ ทั้งนั้น”
จากนั้นมันเดินหายไปในฝูงคนอย่างรวดเร็ว
โรแลนด์กลับเข้ามาในร้านโรสคาเฟ่ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
ข้อความจากไปรษณีย์อันหนึ่งถูกส่งมา
นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ — ช่วงนี้เข้าไม่ได้ซื้อของอะไรบนอินเทอร์เน็ตนี่นา
แต่ถึงแม้จำเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังกลับไปยังตึกถงจึแล้วหยิบเอาพัสดุที่ส่งมาให้เขาออกมาจากกล่องใส่จดหมาย
พัสดุกว้างประมาณครึ่งแขน เวลาที่ถือเอาไว้ในมือแทบจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน ขนาดของมันเองก็เหมือนกล่องกระดาษเลย
โรแลนด์ตรวจดูชื่อที่เขียนอยู่บนหน้ากล่อง หลังพบว่ามันเป็นพัสดุที่ส่งมาหาเขาจริงๆ เขาจึงแกะมันออกภายในห้อง
วินาทีที่กล่องถูกเปิดออก เขาพลันตกตะลึงไปทันที
อย่างนั้นคือวงแหวนดวงดาวที่หยุดนิ่งอันหนึ่ง
ตอนที่ 1412 ฉากที่สาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทำไมถึงเป็น วงแหวนดวงดาวได้?
โรแลนด์มึนงงอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว
มันไม่เหมือนกับแกนพลังธรรมชาติจากตัวฟอลเลนอีวิล วงแหวนดวงดาวแบบนี้มันจะมีอยู่ที่ตัวสัตว์ประหลาดเวทมนตร์และตัวเทวทูต ซึ่งนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาจะรับมือได้เลย
ถ้าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ร่วมแรงร่วมใจกันวางแผนดีๆ บางทีอาจจะมีโอกาสสังหารศัตรูแบบนี้ได้ แต่พวกเขาไม่มีทางที่จะส่งของแบบนี้มาให้เขาด้วยวิธีแบบนี้แน่ เพราะการที่ส่งของแบบนี้มาทางไปรษณีย์มันอาจจะทำให้คนอื่นถูกกัดกินได้
แต่ถ้าไม่ใช่สมาคมส่งมา แล้วใครล่ะที่ส่งมา?
โรแลนด์ตรวจดูที่อยู่ผู้ส่งและเบอร์โทรศัพท์ แต่ทั้งสองอย่างนั้นล้วนแต่ปลอมขึ้นมา มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าเชื่อถือก็คือรหัสไปรษณีย์ นี่แสดงให้เห็นว่าพัสดุชิ้นนี้ถูกส่งมาจากเมืองเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าผู้ส่งไม่ต้องการให้เขารู้สถานะของตัวเอง
ปัญหาอยู่นี่การทำแบบนี้มันก็ไม่ถือเป็นวิธีที่ฉลาดสำหรับอีกฝ่ายเหมือนกัน การที่บริษัทส่งของไม่ตรวจดูว่าข้อมูลของผู้ส่งเป็นจริงหรือไม่นั้นเป็นเพราะว่าบริษัทต้องการลดต้นทุน แต่ถ้าจะตรวจขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมาก แต่เขียนที่อยู่ปลอมขึ้นมาแล้วจะปกปิดร่องรอยได้อย่างนั้นเหรอ? ในยุคสมัยนี้แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แค่ตรวจสอบดูกล้องวงจรปิดกับพนักงานรับของดูก็จะสามารถระบุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
แต่จะไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมให้ตรวจสอบดูผู้ส่งว่าเป็นใครหรือไม่นั้น เรื่องนี้โรแลนด์ก็ยังลังเลอยู่
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นรู้เรื่องของเขา อีกทั้งยังหวังดีต่อเขาด้วย ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะส่งของอันตรายแบบนี้มาที่ถึงถงจึแน่
เพราะไม่ว่ายังไง คนที่ช่วยเขากำจัดพลังกัดกินก็น่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากเปิดเผยตัว อย่างนั้นเขาก็รักษาสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ไปก่อนจะดีกว่า
โรแลนด์รวดขมับ ก่อนจะตัดสินใจว่าเดี๋ยวค่อยมาคิดปัญหาที่น่าปวดหัวนี้
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญก็คือการจัดการกับวงแหวนดวงดาวที่อยู่ตรงหน้า
เขาเอาสมาธิกลับไปอยู่ที่บนกล่องอีกครั้ง
ถ้านี่เป็นสิ่งที่มาจากสัตว์ประหลาดจากรอยแรก อย่างนั้นเขาก็แค่รวมมันเข้าโลกนี้ก็พอ แต่ถ้ามันมาจากเทวทูตล่ะก็ อย่างนั้นก็จะหมายความว่า….
ไม่ จะเป็นไปได้ยังไง โรแลนด์หุบยิ้มลงทันที การที่จัดการกับสัตว์ประหลาดจากรอยแตกได้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว เทวทูตนั้นไม่ใช่ศัตรูที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย แม้แต่เฟยอวี่หานเองก็ยังถูกเล่นงานปางตาย ตัวเองอย่าไปคิดอะไรฝันหวานแบบนั้นจะดีกว่า
เขาเอาแกนพลังวางไว้บนมือ
แกนพลังเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง จุดแสงสีน้ำเงินขาวเริ่มหมุนขึ้นมา ตรงกึ่งกลางส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเสาลำแสงที่สว่างเจิดจ้าแท่งหนึ่งถูกปล่อยขึ้นมา เมื่อถึงตอนนี้ ทุกอย่างดูเป็นปกติ ก็เหมือนกับภาพเหตุการณ์ทุกครั้งที่เขาหลอมรวมแกนพลังแห่งธรรมชาติ
แต่ทันใดนั้น โลกเบื้องหน้าพลันตกอยู่ในความมืด จิตสำนึกจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในหัวเขาเหมือนสายน้ำหลาด ขณะเดียวกันสิ่งที่ไหลทะลักเข้ามาด้วยยังมีความเจ็บปวดอย่างที่ยากจะทนรับได้!
ภายใต้คลื่นพายุอันบ้าคลั่งที่โหมกระหน่ำนี้ โรแลนด์เกือบจะหมดสติไป เขาตั้งสติอยู่นานกว่าจะควบคุมตัวเองได้ ในตอนที่เขาเริ่มสติอารมณ์ลง เขาจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองยืนอยู่ในที่ๆ ว่างเปล่า เกล็ดหิมะสีขาวยังคงมีอยู่ เพียงแต่หลังผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาสามครั้ง สมองของเขาก็สามารถกรองเอาส่วนที่ไม่สำคัญทิ้งไปได้แล้ว
…..โอเค ใช่จริงๆ ด้วย
ดูเหมือนคงจะต้องตรวจดูแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
มุมปากเขากระตุกขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบๆ
ครั้งนี้ยังเป็นจักรวาลเหมือนเดิมงั้นเหรอ?
เพราะว่ารอบตัวเขามันกว้างใหญ่เกินไป เขาจึงไม่สามารถมั่นใจได้ในทันทีที่ทองเห็น เมื่อเทียบกันเศษจิตสำนึกที่เห็นครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ดูจะมืดมากกว่า ราวกับว่าดวงดาวทั้งหมดถูกแอบซ่อนเอาไว้
โรแลนด์ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะมองหาจุดอ้างอิงที่อยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะเล็กๆ ได้ กลุ่มแสงเล็กๆ เหมือนปลายเข็มที่ดูแล้วจวนจะดับลงไปทุกเมื่อฝังตัวอยู่ในพื้นหลังสีดำ
เหมือนมองตามจุดอ้างอิงนี้ไป เขาก็มองเห็นกลุ่มแสงอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อเห็นภาพนี้ เขากลับรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองอยู่ในจักรวาลหรือไม่
เพราะว่ากลุ่มแสงเหล่านั้นมันเรียงตัวเป็นระเบียบ ช่องว่างเว้นห่างเท่ากัน ดูแล้วไม่เหมือนสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติเลย
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย แรงโน้มถ่วงคืออะไร?”
ในตอนที่โรแลนด์ลืมตาโตมองออกไป เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาที่ด้านหลังเขาทำให้เขาขนลุกขึ้นมา!
เขาหมุนตัวกลับไปทันที ก่อนจะมองเห็นว่าด้านหลังพลันมีเงาตะคุ่มๆ เพิ่มขึ้นมาเงาหนึ่ง อีกฝ่ายลอยไปมาไม่นิ่งเหมือนกับว่าไม่มีร่างกายอย่างไรอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ภาษาที่เขารู้จัก เผลอๆ จะใช่ภาษาหรือเปล่าก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจถึงสาเหตุ แต่เขาก็รู้ว่าเนื้อหาที่สะท้อนอยู่ในหัวของตนนั้นได้ถูกแปลงให้เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจได้มาแล้ว —- เหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความหมายซับซ้อนออกมา แต่ถูกเครื่องกรองดิจิตอลกรองเอาสิ่งไม่สำคัญทิ้งไปจนเหลือแต่สิ่งที่ตัวเองสามารถเข้าใจได้เท่านั้น
“เจ้ากำลัง…ถามข้างั้นเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างระมัดระวัง
“แรงโน้มถ่วงคือพลังที่น่าเคารพบูชาที่สุดในโลกนี้’ ในจิตสำนึกมีเสียงอีกเสียงหนึ่งตอบขึ้นมา ซึ่งเสียงนี้ฟังดูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
โรแลนด์กรอกตาใส่
ตอนแรกก็โผล่ออกมาแบบปุบปับให้ตกใจ จากนั้นก็ถามคำถามแบบลึกลับ เขายังนึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศษความทรงจำนี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะเป็นแค่ผู้ชมที่อยู่ข้างๆ เท่านั้น
“ถูกต้อง มันมีอยู่ทั่วไป ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งแข็งแกร่ง…”
“มันทำให้ช่วงเวลาเล็กๆ รวมเข้าด้วยกัน ทำให้ความว่างเปล่ากลายเป็นรูปเป็นร่าง ชีวิตเช่นนี้ถึงสามารถหยั่งรากได้ อารยธรรมถึงได้สืบทอดคงอยู่”
เสียงนั้นเริ่มพูดอย่างเป็นจังหวะเหมือนกำลังขับร้องเพลงอยู่
“และพลังแรกที่ทุกๆ เผ่าพันธุ์รู้จักก็คือแรงโน้มถ่วง — มันเป็นทั้งเปลแล้วก็โซ่ตรวน ประวัตศาสตร์ของอารยธรรมก็คือการพยายามดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วง”
“หลุดพ้นจากพื้นดินบินขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะบินไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป”
“ตอนนี้มันกลายเป็นอุปสรรคสำหรับพวกเราอีกครั้ง แล้วก็เป็นอุปสรรคสุดท้ายด้วย”
‘ความเสี่ยงไม่สามารถคาดคะเนได้ ข้าไม่แนะนำให้ใช้แผนเกตเวย์’
‘ทุกๆ ก้าวที่ก้าวไปข้างหน้าล้วนแต่ตามมาด้วยความเสี่ยง เจ้าน่าจะรู้ในจุดนี้ดี”
‘ข้ารู้ คำแนะนำของข้าถึงไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่แรก’
“แต่เจ้าก็ยังช่วยข้าทำมันจนสำเร็จ” เงาสีเทาสว่างวาบสองสามที “เพื่อแผนการนี้ ข้ารอคอยมาไม่รู้กี่พันปีแล้ว ตอนนี้ทำให้มันเริ่มเลยเถอะ”
เดี๋ยวๆ แผนเกตเวย์มันคืออะไร? อุปสรรคสุดท้ายมันหมายความว่าไง? โรแลนด์รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป แต่จะอ้าปากก็ดีหรือคิดในใจก็ดี ไม่ว่าเขาจะไล่ถามยังไง คนที่พูดคุยกันอยู่ก็ไม่มีใครตอบ
‘…..ข้าเข้าใจแล้ว’
“ซ่า….”
จากนั้นเสียงพูดคุยในสมองก็หยุดลง เกล็ดหิมะเยอะขึ้นกว่าเดิม
จากประสบการณ์ที่ผ่ายมาก ในตอนที่เศษความทรงจำดำเนินมาถึงช่วงท้าย ความเร็วในการไหลของเวลาน่าจะยิ่งเร็วขึ้น แต่ในตอนที่ไม่มีวัตถุอะไรให้ใช้อ้างอิงได้ เขาเองก็ยากที่จะทำการวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ
โรแลนด์มองเห็นกลุ่มแสงเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนที่เข้าหาจุดศูนย์กลาง เพียงแต่แสงสว่างของมันกลับยิ่งสลัวลง ก่อนจะกลายเป็นสีดำในเวลาไม่นาน กลุ่มแสงที่เหลือเองก็ลอยเข้าหาความมืดนั้นเหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ จนสุดท้ายมีกลุ่มแสงเข้าไปรวมอยู่เท่านั้นก็ไม่สามารถนับจำนวนได้อีก กระบวนการนี้เกิดขึ้นในเวลาพริบตา แต่ก็เหมือนใช้เวลายาวนาน—
ในที่สุดมันก็ถึงขีดจำกัด แสงสีแดงอันเจิดจ้าพลันระเบิดออกมาในความมืด ก่อนจะกวาดผ่านทั่วทั้งโลกไปในพริบตา!
ความเร็วของมันเร็วยิ่งกว่าแสง กว่าโรแลนด์จะรู้สึกตัวมันก็กวาดผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
แต่โรแลนด์รู้ว่าโลกนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงกำลังเกิดขึ้น!
สิ่งแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือเงาสีเทา มันกำลังสลายตัวไปเหมือนกับหมอกที่อยู่ใต้แสงสว่างนี้
จากนั้นก็เป็นความตายจำนวนมาก พวกมันเกิดขึ้นทุกซอกทุกมุมในความมืด การทำลายล้างและการเสื่อมถอยเกิดขึ้นสลับกัน โรแลนด์ไม่สามารถมองดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยดวงตา แต่มันกลับสะท้อนให้โรแลนด์เห็นอยู่ในหัวราวกับเกิดขึ้นจริงๆ เมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปมีไฟลุกท่วมขึ้นมา วิถีการโคจรของดวงดาวพังทลาย ปลาที่อยู่ในกระแสน้ำหยุดว่าย หนอนที่อยู่ในรูเน่าเปื่อยกลายเป็นดินโคลน…
แม้แต่ร่างกายที่ล่องลอยอยู่ของเขาก็เริ่มที่จะบิดเบี้ยวขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่สูงส่งหรือต่ำต้อย ในเวลานี้ก็ไม่ได้ต่างกันเลย
ในเวลานี้เกล็ดหิมะปกคลุมทัศนวิสัยที่อยู่ตรงหน้าจนหมด
ในตอนที่ทุกอย่างจบลง ภาพในห้องนอนพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง โรแลนด์พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างรุนแรง เขากัดฟันเดินไปที่ริมหน้าต่าง แสงแดดยามบ่ายอันอบอุ่นอาบตัวเขา ภาพท้องถนนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาทำให้เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมา
ในเวลานี้เขาถึงได้พบว่ามันแก้มของเขาเหมือนจะเปียกชื้น
เมื่อใช้นิ้วมือแตะดู นั่นคือรอยน้ำตาที่ไหลออกมา
ตอนที่ 1413 นอกดินแดนตะวันตก
โดย
Ink Stone_Fantasy
บ้าเอ้ย….
โรแลนด์สูดหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าผาก ความรู้สึกนี่มันจะเหมือนจริงเกินไปหน่อยแล้ว
แต่เขารู้ว่าตัวเองเพียงแต่แสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรเพื่อที่ปกปิดความรู้สึกด้านลบที่ทะลักออกมาจากในใจเท่านั้น จนถึงตอนนี้ มือของเขายังคงสั่นอยู่ แผ่นหลังเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกชุ่ม
เมื่อครู่นี้เขาเหมือนได้ประสบกับหายนะอันน่าหวาดกลัวด้วยตัวเอง ถึงแม้ความจริงแล้วมันจะเป็นชั่วเวลาแค่เพียงสั้นๆ แต่เขากลับเหมือนได้อยู่ดูช่วงเวลาสุดท้ายของแต่ละชีวิตและอารยธรรมที่ค่อยๆ ดับสูญลง หรือพูดอีกอย่างคือเขาเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาชีวิตและอารยธรรมเหล่านั้น ตั้งแต่ไรน้ำไปจนถึงสัตว์สิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำไปจนถึงเผ่าพันธุ์ชั้นสูง ภาพที่กำลังดิ้นรนและเสียงร้องอันเจ็บปวดของพวกมันยังคงติดอยู่หัวของเขา เหมือนกับว่าทั้งจักรวาลนั้นเป็นดินแดนแห่งความตาย
และน้ำตานี้ก็ไหลออกมาเพื่อพวกมัน
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่โรแลนด์ถึงขนาดไม่อยากเดินออกมาจากแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ภาพด้านนอกหน้าต่างที่ดูเหมือนปกติ ในเวลานี้กลับดูน่าประทับใจอย่างมาก
แม้แต่รอยฉี่ที่ไหลอยู่บนกำแพงและพวกแผ่นใบปลิวที่แปะให้เห็นอยู่ทั่วไปก็ยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
หลังจ้องมองดูบนถนนที่มีคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ครู่ใหญ่ เขาจึงสงบจิตสงบใจลงได้
ตอนนี้เขาสามารถมั่นใจเรื่องๆ หนึ่งได้แล้ว นั่นคือพลังเวทมนตร์ไม่ได้อยู่บนโลกนี้มาตั้งแต่เริ่ม การคาดเดานี้ถูกอันนี้พูดขึ้นมาตอนที่เขาเห็นภาพความทรงจำที่สอง ในที่สุดตอนนี้มันก็ได้รับการยืนยันซักที
แผนการเกตเวย์ทำให้พลังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมา
แต่นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ผู้สนทนาต้องการ
สิ่งที่ ‘เงาสีเทา’ รอคอยอยู่คือการหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วง ส่วนอีกฝ่ายนั้นก็พูดถึงเรื่อง ‘ความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดคะเนได้’ ออกมาตรงๆ
ตอนนี้ดูแล้ว พลังเวทมนตร์นั่นแหละที่เป็นอุบัติเหตุที่พวกมันไม่ได้คาดคิดเอาไว้
ซึ่งหายนะที่เกิดขึ้นจากพลังเวทมนตร์นั้นกลายเป็น ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ ที่พระเจ้าว่าเอาไว้ สุดท้ายพลังอันนี้ก็แพร่กระจายออกมาในเวลาสั้นๆ ตัวคู่สนทนาเองก็ไม่สามารถหนีออกมาได้
โลกทั้งโลกเองก็กลายสภาพเป็นโลกที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้
แต่โรแลนด์พบว่าต่อให้เขารู้เรื่องเหล่านี้ แต่สิ่งที่ตัวเองรู้จริงๆ มันก็ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เล็กน้อยเท่านั้น
ปัญหาที่สำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า ‘แผนการเกตเวย์’ มันคืออะไรกันแน่ ทำไม ‘เงาสีเทา’ ถึงได้หมกมุ่นอยู่กับมัน? สงครามแห่งโชคชะตาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไง?
คงไม่ใช่ว่าอยากจะให้พวกเขามาอุดรูโหว่อันนี้หรอกนะ?
เขาหันหน้ากลับมามองดูกล่องพัสดุอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับคุณร็อค ผมอยากรบกวนทางสมาคมช่วยผมหาตัวคนๆ หนึ่งหน่อยครับ”
……
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ปากทางเข้าที่ราบลุ่มบริบูรณ์ สถานีหมายเลขสอง
รถไฟขบวนหนึ่งค่อยๆ จอดเทียบที่ด้านหน้าลานขนย้ายสินค้า
“เฮ้ เพื่อน ข้าไปก่อนนะ” ไม่ทันรอให้ขบวนรถหยุดดี ชาร์มพลันกระโดดลงมาจากรถไฟด้วยความตื่นเต้น
“เฮ้ เจ้านี่ จะทิ้งให้ข้าเติมเชื้อเพลิงคนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ…”
“วานหน่อยนะ! เดี๋ยวคืนนี้ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้า!”
เขารีบวิ่งไปทางตู้สินค้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทิ้งเสียงของแฮงค์เอาไว้ด้านหลัง
หลังจบศึกทาคิลา ชาร์มก็ไม่ได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่สง่างามเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้ครอบครัวของเขาทั้งสี่คนซึ่งรวมไปถึงพ่อและพี่ชายคนโตที่สละชีวิตไปจะได้รับรางวัลและการปูนบำเหน็จจากฝ่าบาท แต่สำนักงานเมืองกลับย้ายพวกเขาออกมาจากกองทัพให้มาเป็นคนขับรถไฟเต็มตัว
พ่อของเขาไม่ได้ว่าอะไร เพราะหลังสงครามจบ ยังไงก็ต้องมีคนคอยขับรถไฟอยู่ เครื่องจักรที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลนี้ต่อให้ไม่ใช่ขนปืนใหญ่ มันก็ยังเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย หลังกองทัพถอนกำลังกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว รถไฟที่วิ่งอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไม่เพียงแต่จะไม่ลดจำนวนลง แต่กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น สำนักงานเมืองย้ายพวกเขาออกมาจากกองทัพก็ด้วยเหตุผลนี้
พ่อของเขาบอกว่าทำงานอยู่ที่ไหนก็เป็นการรับใช้ฝ่าบาทเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นค่าตอบแทนยังสูงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยด้วย
แต่ชาร์มกลับไม่รู้สึกยินดีขนาดนั้น การที่ทั้งวันขลุกอยู่กับถ่านหินสีดำมันจะไปมีความสุขเท่ากับการได้ถือปืนไปสู้กับปีศาจได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นพี่คนโตของเขาสละชีวิตปกป้องค่ายทหาร การที่เขาได้ไปอยู่ในแนวหน้าแล้วกำจัดปีศาจต่างหากถึงจะเป็นการแก้แค้นพี่ชาย ซึ่งการขับรถไฟไอน้ำทำแบบนี้ไม่ได้
สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจมากที่สุดก็คือพี่คนรองของเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย เขาไม่เพียงแต่จะได้รับการเลื่อนยศเท่านั้น แต่ยังถูกเลือกให้ไปอยู่ในหน่วยที่เป็นหัวกะทิของกองทัพที่หนึ่งด้วย
นี่มันไม่ยุติธรรมเลย
เดิมชาร์มคิดว่าอีก 2 – 3 ปีหลังจากนี้ตัวเองคงต้องใช้ชีวิตน่าเบื่ออยู่บนทุ่งหญ้าที่รกร้างแห่งนี้เสียแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เขาเองก็คิดไม่ถึง
เขตที่อยู่อาศัยและไร่นาจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนพื้นที่ทางเหนือของเทือกเขาสิ้นวิถีราวกับดอกเห็ด จำนวนของสถานีรถไฟเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งร้านเหล่า ร้านค้าเองก็ผุดตามขึ้นมา งานขนส่งสินค้าไม่ใช่งานที่น่าเบื่ออีกต่อไป ถ้าทำเสร็จแล้ว ทุกวันเขาก็จะนั่งดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้า ซึ่งอาชีพคนขับรถไฟนั้นเป็นอาชีพที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือชาวบ้านที่อพยพมา ทุกคนล้วนแต่รู้สึกสนใจในพื้นต้องห้ามที่เคยถูกเรียกว่า ‘ดินแดนต้องสาป’ แห่งนั้นอย่างมาก ยิ่งเขาเล่าได้น่าสนใจ เหล้าแก้วต่อๆ ไปเขาก็ไม่จำเป็นต้องควักเงินตัวเองซื้อเลย
แน่นอนว่าการมาหาความสุขแบบนี้ จะเป็นที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หรือสถานีอื่นๆ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเท่าไร สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอคอยขนาดนี้ ที่จริงแล้วคือคนของที่นี่
“ทุกคนช่วยต่อแถวรับตุ๊กตาของตัวเองอย่างเป็นระเบียบด้วยนะ!”
ข้างตู้สินค้า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเอามือป้องปากส่งเสียงตะโกน ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายพลันมองเห็นเขา ก่อนจะโบกมือให้เขาอย่างดีใจ “เจ้ามาแล้วเหรอ!”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่น่ารักของอีกฝ่าย ชาร์มพลันรู้สึกว่าการเป็นคนขับรถไฟนี่มันช่างดีจริงๆ เลย
“ข้ามาช่วยเจ้าน่ะ” เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นมา
“ได้เลย อย่างนั้นเจ้าก็เอาตุ๊กตาไปตัวนึงสิ” เด็กผู้หยิงยื่นตุ๊กตาที่ทำจากฟางข้าวตัวหนึ่งให้เขา ก่อนจะเขย่งเท้าแล้วเอามันแขวนไปบนคอของเขา
“เหอะ หาเรื่องเอาใจล่ะสิไม่ว่า” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากกองสินค้า ก่อนจะถลึงตาใส่เขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น
ชาร์มถลึงตากลับอย่างไม่ยอม ทั้งสองคนจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็เป็นเด็กหญิงที่เข้ามาห้ามทั้งสองคนเอาไว้ “เอาล่ะๆ โบแชง คุณชาร์มเขาก็แค่มีน้ำใจมาช่วยเท่านั้น ตอนพวกเราหลงทาง เราก็ได้เขาช่วยเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องหลงทาง สีหน้าหญิงสาวพลันนิ่งไปทันที เธอเบือนหน้าไปอีกด้านพร้อมกับส่งเสียงเหอะออกมา “วันนี้ข้าขี้เกียจมีเรื่องกับเจ้า ถอยไป ข้าจะทำงาน”
พอพูดจบเธอก็ยกเอาถุงเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาสองถุง ก่อนจะเดินไปทางพื้นที่วางสินค้าโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“ขอโทษด้วยนะ…” เด็กหญิงโค้งตัวอย่างรู้สึกผิด “โบแชงแค่…”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก” ชาร์ทแสร้งโบกมืออย่างใจกว้าง ก่อนจะแบกถุงเมล็ดพันธุ์ขึ้นไปบนหลัง
ความจริงแล้วเขาเฝ้ารอคอยวันนี้มานานแล้ว ในหัวเขาคิดทวนแผนการนับครั้งไม่ถ้วน คืนนี้คณะละครจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะมาแสดงละครเวทีเรื่องใหม่ เขาจองตัวเอาไว้แล้วสองใบ กะว่าพองานเสร็จแล้วจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปดูด้วยกัน
ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นแม่มดของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง การพบกันของพวกเขาเรียกได้ว่าเหมือนนิยายไม่มีผิด ในตอนที่เด็กหญิงต้องนั่งรถไฟไปที่สถานีหมายเลขสองเพื่อช่วยงานก่อสร้างครั้งแรก เธอไม่ทันระวังเผลอนั่งรถเลยสถานี เมื่อเห็นทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เธอจึงตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมา ส่วนโบแซงที่มาเป็นเพื่อนเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร เมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกหน้าที่รกร้างผู้คน สภาพพวกเธอจึงทั้งตกใจและหวาดกลัวเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหางไม่มีผิด
ในขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ชาร์มจึงได้แต่ต้องจอดรถไฟ แล้วส่งทั้งสองคนขึ้นรถไฟข้ากลับอีกขบวนหนึ่ง อีกทั้งยังกำชับคนขับถึงสถานีที่พวกเธอจะลง พวกเธอถึงได้เดินทางมาถึงสถานีหมายเลขสองได้อย่างปลอดภัยก่อนที่ฟ้าจะมืด
เดิมเขาคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หลังจากนี้คงจะไม่ได้พูดคุยติดต่ออะไรกันแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่างานที่แม่มดทั้งสองคนมาช่วยจะเป็นงานขนสินค้าที่สถานี
ไปๆ มาๆ ทั้งสองคนก็ค่อยๆ สนิทกัน เขาเองก็ได้รู้จักคือของอีกฝ่าย ดัสก์
ตอนที่ 1414 คนที่ไร้ประโยชน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดัสก์น่ารักมาก
แต่เขาไม่ได้หมายถึงหน้าตาเธออย่างเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าหน้าตาของเธอนั้นน่ารักอย่างมาก เมื่ออยู่ในกลุ่มแม่มดก็เหมือนจะไม่ได้แย่อะไร แม้แต่โบแชงที่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นทั้งหมดก็ไม่ได้เรียกว่าขี้เหร่ บางครั้งเวลาที่อีกฝ่ายทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เขา…เขายังรู้สึกได้ถึงความมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยซ้ำ
แต่ชาร์มไม่มีทางพูดออกไปเด็ดขาด
เพราะการทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายมองตัวเองด้วยสายตาเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น
ความน่ารักของดัสก์นั้นอยู่ในด้านอื่น เวลาเธอเจอเรื่องยินดีเธอก็จะยิ้มออกมา เวลาเจอเรื่องทุกข์ใจเธอก็จะร้องไห้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยปิดบังอารมณ์และความคิดของตัวเอง เรียกได้ว่าบริสุทธ์เหมือนกับน้ำแร่ที่อยู่บนพื้นที่หิมะอย่างไรอย่างนั้น แต่ในบางเรื่องเธอก็ดึงดันอย่างมาก อย่างเช่นในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่หลงทาง เธอก็มายืนเฝ้ารอเขาอยู่ที่ข้างสถานีเพื่อที่จะกล่าวขอบคุณเขา
เอาเป็นว่า เธอดีทุกอย่าง
เธอไม่เหมือนกับผู้คนที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้เลย ดัสก์นั้นเป็นผู้หญิงที่พิเศษ ถ้าผู้หญิงคนอื่นๆ คือสีขาวดำ อย่างนั้นเธอก็เป็นสีแดงส้มเหมือนกับผมสั้นสีแดงที่ม้วนเป็นลอนนิดหน่อยของเธอ
เมื่อเทียบกันแล้ว โบแชงถือว่าต่างกว่ามาก
ทั้งๆ ที่ทั้งสองต่างก็เป็นแม่มดเหมือนกันด้วยซ้ำ
“เฮ้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เมื่อเดินเข้าไปในลานวางของ ชาร์มก็พบว่าโบแชงกำลังรอเขาอยู่ตรงประตู “เจ้าน่าจะรู้ว่าพวกข้าเป็นแม่มดใช่ไหม?”
“ตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก” เขาพูดพร้อมสบตาอีกฝ่าย
“นี่เจ้ากำลังยอมรับว่าตัวเองแค่อยากจะปั่นหัวพวกข้าเล่นใช่ไหม?” โบแชงเลิกคิ้วขึ้นมา
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมีความคิดแบบนี้ แต่ดัสก์น่ารักขนาดนั้น ข้าไม่มีเหตุผลที่จะยกนางให้คนอื่น”
ถ้าอยู่ต่อหน้าดัสก์ ชาร์มไม่กล้าพูดคำพูดแบบนี้ออกมาแน่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโบแชง เขาไม่อยากจะถอยให้อีกฝ่ายแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบไหนเขาก็เหมือนจะพูดออกมาได้หมด
น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับออกมาตรงๆ โบแชงจึงตกตะลึงไปเล็กน้อย “น่า…น่ารักอะไรล่ะ นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย! นางเป็นแม่มด และแม่มดไม่สามารถ เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ!”
“แล้วยังไงล่ะ” ชาร์มยืดหน้าอกขึ้น เผยให้เห็นเหรียญ ‘วีรบุรุษแห่งสงคราม’ ที่กลัดติดอยู่บนเสื้อของเขา “ข้ายังมีพี่ชายอีกคนหนึ่ง ต่อให้ข้าไม่มีลูก พ่อข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก! และนี่เป็นเหรียญที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้า ซึ่งมันเพียงพอที่จะรับประกันชีวิตของนางหลังจากนี้ได้ เจ้ายังมีคำถามอะไรอีกไหม?”
โบแชงลืมตาโตพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหอะ คำสัญญาปากเปล่ามันไม่มีค่าอะไรหรอก ข้าจะคอยจับตาดูเจ้า จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
“ตามสบาย” ชาร์มยักไหล่ “เออใช่ เจ้าไม่บอกว่าตัวเองเป็นแม่มด ข้าก็เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย ความสามารถของเจ้ามันคืออะไรกันแน่? ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้าถึงใช้แต่แรงของตัวเองในการขนของอย่างเดียวเลยล่ะ?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอคำพูดนี้หลุดปากไป เขาพลันรู้สึกว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูแย่ลง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่ควรจะอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
“เปล่า…ข้าแค่รู้สึกสงสัยเท่านั้น” ชาร์มรีบโบกมือ ตอนนี้เขาถึงได้รู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนเขากำลังแอบเยาะเย้ยอยู่ น่าแปลก…ปกติเขาจะเป็นคนระวังคำพูด ทำไมตอนนี้ถึงพูดอะไรแบบนี้ออกไปได้ง่ายๆ? ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดจาด้วยเหตุผล แต่ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรนี่นา
ในตอนที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบคำถามของตัวเองแล้ว โบแชงกลับพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ความสามารถของข้าคือฆ่าคน”
ชาร์มสูดหายใจด้วยความตกใจ “อะไรนะ?”
อีกฝ่ายหยิบเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วเอามันวางไว้บนฝ่ามือ ไม่นานเมล็ดพันธุ์ที่ว่าก็แห้งเหี่ยว หดตัวและสุดท้ายเปลี่ยนเป็นก้อนสีดำอย่างรวดเร็ว
“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ข้าสัมผัสจะเสื่อมโทรมผุพังลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับเมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้…ความจริงไม่ใช่แค่พืชเท่านั้น ต่อให้เป็นก้อนหินกับโลหะมันก็ได้รับผลกระทบจากพลังของข้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผลมันจะเกิดขึ้นช้าอย่างมาก การใช้พลังเวทมนตร์ก็ยังมากกว่าด้วย ดังนั้นปกติข้าจึงมักจะใช้มันรับมือศัตรู”
ชาร์มก้าวเท้าไปด้านหลังสองก้าว “อย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปต่อสู้กับปีศาจล่ะ?”
“สโสรแม่มดไม่อนุญาต พวกนางรับผิดชอบเรื่องตารางงานของแม่มดทุกคน และพลังของข้าก็จำเป็นต้องสัมผัสในระยะใกล้ถึงจะได้ผล พวกนางคิดว่ามันอันตรายมากเกินไป แล้วก็ไม่มีโอกาสให้ข้าได้ใช้พลัง ข้อสรุปสุดท้ายจึงให้ข้าเป็นคนเลือกเองว่าอยากทำอะไร — ยกเว้นลงไปในสนามรย” โบแชงเหมือนยิ้มเยาะตัวเองขึ้นมา “ดังนั้นคำสัญญาด้วยปากเปล่ามันไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น…ฝ่าบาทโรแลนด์เองก็เหมือนกัน”
“เหลวไหล!” ชาร์มไม่สามารถทนให้คนอื่นมาลบหลู่ราชาต่อหน้าตัวเองได้ “ฝ่าบาททรงไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในเนเวอร์วินเทอร์ต่างรู้กันดี ต่อให้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแค่ไหน ขอเพียงฝ่าบาทรับปากแล้ว มันก็จะกลายเป็นจริง…แน่นอน….”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้มของอีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็เริ่มรู้สึกเสียความมั่นใจขึ้นมา “เดี๋ยวๆ เจ้าเคยเจอฝ่าบาทเหรอ?”
“เคยเจอ” โบแชงโยนเม็ดสีดำที่อยู่ในมือทิ้งไป “เวลาที่สโมสรแม่มดจะจัดงานให้ทำ พวกนางจะทำการคัดกรองพลังก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยถามความเห็นของแม่มดแต่ละคน สุดท้ายค่อยเอาทั้งสองอย่างมารวมกันแล้วตัดสินใจ อย่างดัสก์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ถ้าความสามารถมีวิธีการใช้ที่ไม่ชัดเจน ฝ่าบาทโรแลนด์ก็จะทรงเป็นคนตัดสินพระทัยเอง เพราะจากคำพูดที่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ พระองค์ตรัสว่าไม่ว่าจะเป็นพลังแบบไหนก็สามารถทำประโยชน์ให้กับเกรย์คาสเซิลได้ทั้งนั้น ไม่มีพลังของใครที่จะไร้ประโยชน์” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ซึ่งข้าจัดอยู่ในประเภทหลัง”
ชาร์มพบว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาคิดยังไงก็ยังคิดไม่ออกว่าพลังทำลายล้างแบบนี้ยังจะใช้ทำประโยชน์อะไรได้นอกจากใช้ต่อสู้ ตอนนั้นฝ่าบาททรงต้องปวดหัวอย่างมากแน่ แต่เขาเองก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นความผิดของฝ่าบาทโรแลนด์ การยอมรับในเรื่องนี้มันยากลำบากกว่าการที่เขาไม่สามารถทำคำสัญญาให้เป็นจริงได้เสียอีก
“ฝ่าบาท…ทรงตรัสว่ายังไง?”
“พระองค์ตรัสว่าอีก 50 – 100 ปี ข้าจะเป็นดาวที่โดดเด่นของสายอาชีพวิชวลเอฟเฟคและอุปกรณ์ประกอบฉาก” โบแชงมุ่ยปาก
“เอ่อ…มันคืออะไรน่ะ?”
“ใครจะไปรู้ว่า เหมือนจะเกี่ยวกับหนังเวทมนตร์นั่นแหละ ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ตอนนั้นฝ่าบาทตรัสเยอะมาก อย่างเช่นวิชวลเอฟเฟคมีวิธีใช้มากมาย แล้วการทำให้ของดูเก่าก็เป็นงานประเภทหนึ่งที่ไม่อาจขาดได้ในวิชวลเอฟเฟค…” เธอเดินไปทางสถานีอย่างหมดอาลัยตาอยาก “เป็นคำพูดที่กลิ้งกลอกใช่ไหมล่ะ? ต่อให้พระองค์ทรงไม่ได้โกหก นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ต้องรออีกหลายปีกว่าจะเกิดขึ้น แต่สำหรับตอนนี้ ข้าเป็นแค่คนที่ไร้ประโยชน์เท่านั้นแหละ…”
อย่างนี้นี่เอง ชาร์มพลันเข้าใจขึ้นมาทันที
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ดัสก์ถึงทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
ในตอนที่แม่มดต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ โบแชงที่สามารถสู้กับคนที่ไล่ล่าได้นั้นย่อมต้องเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงไม่ต้องการให้พวกนางออกไปต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อ ทำให้นางกลายเป็นคนที่ไม่มีประโยน์อะไรเลย ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้เขาพอจะนึกภาพออกได้
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่ชาร์มรู้สึกเข้าใจความรู้สึกของเธอ ในตอนทีเขารู้ว่าตัวเองถูกย้ายออกจากกองทัพ เขาเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ การที่เธอจะอารมณ์ไม่ดีมันก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อมองดูแผ่นหลังที่อ้างว้างโดดเดี่ยวของอีกฝ่าย หัวใจเขาพลันรู้สึกสงสารขึ้นมา
เดิมทีเขาเอาแต่คิดอยู่ในหัวว่าจะไล่อีกฝ่ายออกไปอย่างไรดี ตัวเขาจะได้มีโอกาสอยู่กับดัสก์สองต่อแล้ว แล้วจะได้เชิญดัสก์ไปดูละครเวที แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถพูดมันออกมาได้แล้ว เพราะถ้าแม้กระทั่งดัสก์ก็ไม่อยู่ ข้างกายเธอก็จะไม่เหลือใครแล้ว
ชาร์มกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “คือว่า…ข้ามีตัวละครเวทีเรื่องใหม่สองใบ”
อีกฝ่ายหันหน้ากลับมา เหมือนว่ากำลังรอให้เขาพูดต่อ
“แต่คืนนี้ข้ามีธุระ น่าจะไปดูไม่ได้…” เขาลังเลเล็กน้อย “ถ้ายังไงเจ้าก็ไปดูกับดัสก์สิ ตั๋วจะได้ไม่เสียเปล่า…”
สีหน้าโบแชงดูประหลาดใจ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบกลับมา บนท้องฟ้าพลันมีเสียงพึบพับๆ ดังขึ้นมา
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นนกนับหมื่นๆ ตัวบินผ่านไป นกจำนวนมหาศาลแทบจบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้จนมิด ฝูงนกที่บินเหมือนอพยพย้ายถิ่นฐานแบบนี้ ชาร์มเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เขาเคยได้ยินมาว่านกย้ายถิ่นมันจะมีช่วงเวลาที่ย้ายถิ่นเพื่อไปใช้ชีวิตในฤดูหนาวที่แน่นอน แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การย้ายถิ่น ในฝูงนกเรียกได้ว่ามีนกนานาชนิด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าการบินของพวกมันดูเร่งรีบ ดูไม่ได้มีความสง่างามเหมือนในเวลาปกติที่กางปีกบินร่อนเลย
“พวกมันทำไมเหรอนั่น?” ชาร์มขมวดคิ้วขึ้นมา “ย้ายบ้านกันเป็นกลุ่มเหรอ?”
“ชู่ว!” โบแชงยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง “เจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม?”
“นอกจากเสียงกระพือปีกแล้วยังมีเสียงอื่นด้วยเหรอ?”
“ไม่ ไกลออกไปอีก” สีหน้าเธอดูคร่ำเคร่งขึ้นมา
ชาร์มจึงได้แต่ต้องกลั้นหายใจแล้วเงี่ยหูฟังดูอีกครั้ง และครั้งนี้ เขาเหมือนจะได้ยินเสียงดังยาวๆ เสียงหนึ่ง ฟังดูเบาและไม่ชัดเจน ในตอนที่มันผสมกับเสียงกระพือปีกของนก ฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงหวูด
เขาลืมตาโตขึ้นมาทันที
นั่นมัน…เสียงสัญญาณเตือนจากทางด้านเหนือ!
ตอนที่ 1415 การโจมตีที่มาอย่างกะทันหัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเวลานี้คนงานคนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ทุกคนต่างหยุดฝีเท้า สายตามองดูฝูงนกดำทะมึนพร้อมส่งเสียงพูดคุยกัน
แต่ชาร์มกลับรับรู้ได้ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์
นั่นไม่ใช่สัญญาณเตือนที่ใช้ในเมือง หากแต่เป็นสัญญาณเตือนที่กองทัพที่หนึ่งใช้ในเวลารบ นี่หมายความว่าศัตรูได้บุกเข้ามาอยู่ข้างหน้ากองทัพแล้ว การต่อสู้สามารถเริ่มขึ้นได้ทุกเมื่อ…พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่สัญญาณเตือนดังมาถึงที่นี่ พวกเขาก็กำลังสู้กับศัตรูแล้ว
หรือว่าปีศาจจะกลับมาโจมตี?
ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว!
เขาตามพ่อออกไปรบตั้งแต่ป่าเร้นลับไปจนถึงสถานีหมายเลขสิบ ดังนั้นเขาจึงพอจะรู้สึกสถานการณ์ทางเหนืออยู่บ้าง
จุดประสงค์หลักๆ ที่กองทัพที่หนึ่งทำการปรับปรุงซากเมืองทาคิลาก็เพื่อใช้ป้องกันพื้นที่ตรงนี้ บนที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ หอสังเกตการณ์สูงๆ หอหนึ่งสามารถมองออกไปได้ไกล 10 กว่ากิโลเมตร ส่วนหอหมอกแดงนั้นไม่เพียงแต่จะต้องใช้เวลาสร้าง แต่ระยะทางจากซากเมืองทาคิลามาถึงพื้นที่บุกเบิกใหม่ของเนเวอร์วินเทอร์แห่งนี้นั้นห่างกันถึง 300 – 400 กิโลเมตร ศัตรูจะบุกเข้ามาในพื้นที่ใกล้เมืองหลวงแห่งใหม่นี้โดยไร้ซุ่มเสียงได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาครุ่นคิดเรื่องนี้
ทหารที่ประจำการอยู่ที่หอสังเกตการณ์ของสถานีหมายเลขสองมีอย่างมากที่สุดก็ร้อยกว่าคน แถมยังเป็นทหารใหม่ทั้งหมดด้วย ถ้าพวกเขาถูกลอบโจมตีจริงๆ พวกเขาจะสามารถป้องกันที่นี่จากพวกปีศาจได้หรือเปล่า?
ภายในใจชาร์มไม่มีความมั่นใจเลย
จู่ๆ โบแชงพลันวิ่งไปทางสถานี
“เฮ้ เจ้าจะไปไหน?”
“ดัสก์ยังอยู่บนรถไฟ ข้าจะไปรับนาง!”
คำพูดนี้ช่วยเรียกสติให้ชาร์ม — ตามระเบียบการอพยพ หลังจากได้ยินสัญญาณเตือน ทุกคนควรจะหนีไปยังหลุมหลบภัยที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่สถานีสำหรับขนของลงจากรถไฟนั้นตั้งอยู่รอบนอกสุดของพื้นที่ ตอนนี้ถ้าให้พวกเขาวิ่งกลับไปยังเขตที่อยู่อาศัยก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แถมยังต้องวิ่งย้อนกลับด้วย แทนที่จะพาดัสก์หนีไปยังที่หลบภัย สู้พาเธอขึ้นรถไฟหนีไปดีกว่า
“ทุกคนดูนี่!” ชาร์มแกะเอาเหรียญตราออกมาชูไว้ในมือ “ข้าคือชาร์ม เป็นทหารของกองทัพที่หนึ่ง พื้นที่บุกเบิกหมายเลขสองถูกลอบโจมตี ทุกคนวางของในมือแล้วตามข้ามา — ที่นี่อยู่ห่างจากที่หลบภัยไกลเกินไป พวกเราจะหนีไปบนรถไฟ!” พอพูดจบเขาก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาอีกประโยค “อดีตทหารน่ะ”
แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงพูดเบาๆ ของเขา พริบตาที่อ้างชื่อกองทัพที่หนึ่งออกไป เหล่าคนงานก็ยกเขาเป็นผู้นำทันที คนที่ตอนแรกวิ่งไปทางใต้ก็หยุดฝีเท้าแล้ววิ่งกลับมารวมอยู่ข้างเขา
ภาพแบบนี้ทำเอาชาร์มรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ตอนที่อยู่ในกองทัพที่หนึ่ง เขาเป็นแค่พลสังเกตการณ์บนแบล็คริเวอร์และเป็นลูกมือให้พ่อตัวเองเท่านั้น ประสบการณ์ในการนำคนอื่นเรียกได้ว่าไม่มีเลย แล้วตอนนี้ต้องมานำคนกลุ่มหนึ่ง ภายในใจเขาพลันเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา เพียงแต่เขาพูดออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องลุยไปข้างหน้าต่อ
“ไปทางนี้!” ชาร์มพาคนนั้นวิ่งไปข้างรถไฟ ก่อนจะชนเขากับแฮงค์ที่กำลังหน้าตาตื่นเข้า
“พะ เพื่อน มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ข้าแค่ออกมาหาที่ปลดทุกข์เท่านั้น…”
“เจ้ายังไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้น” ชาร์มคว้าแขนของเขาไว้ “ถ่านหินกับน้ำเติมเรียบร้อยยัง? ความดันในหม้อน้ำเป็นยังไงบ้าง?”
อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างลนลาน “ทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมออกเดินทางทุกเมื่อ….”
“ดีมาก!” เขาตะโกนสั่งเสียงดัง “ตอนนี้เจ้ารีบไปโยกคันบังคับทิศทางกลับมา พวกเราจะกลับไปยังสถานีหมายเลขหนึ่ง หลังปลดเบรกแล้วให้เปิดหวูดเตือนด้วย เข้าใจไหม! แล้วก็เอาปืนมาใส่กระสุนให้เรียบร้อยแล้ววางในที่ที่ตัวเองสามารถหยิบขึ้นมาได้ทุกเมื่อ!”
“แล้ว…เจ้าล่ะ?”
“ข้าจะไปจัดการคนอื่นๆ ก่อน แล้วเดียวตามไปรวมกับเจ้าที่หัวรถ”
หลังจากนั้นไม่กี่นาที รถไฟก็พ่นควันสีขาวออกมา ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีหมายเลขสอง
ในช่วงเวลานี้ คนงานหลายๆ คนบนสถานีก็สังเกตเห็นพวกเขา ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นมาบนขบวนรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ ในนั้นมีทหารชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มาเฝ้าลานวางของด้วย —- ถึงแม้จะมีแค่สิบกว่าคน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พกปืนมาด้วย นี่ทำให้ชาร์มเบาใจได้ไม่น้อย
ถึงแม้เขาจะอยากไปอยู่ข้างกายดัสก์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลาแบบนี้ก็คือพาทุกคนไปยังพื้นที่ปลอดภัย ด้วยเหตุนี้หลังมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไร เขาก็วิ่งกลับไปที่หัวรถไฟ
ในเวลานี้เอง ชาร์มก็ได้เห็นโฉมหน้าของศัตรูที่บุกเข้ามาโจมตี
สัตว์อสูรฝูงหนึ่งวิ่งบุกเข้ามา!
“พระเจ้า ไหนบอกว่าพวกมันจะปรากฏตัวแต่ตอนเดือนแห่งปีศาจไง?” แฮงค์หมอบอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมบ่นพึมพำขึ้นมา
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ชาร์มหยิบเอาปืนของตัวเองออกมาจากล็อกเกอร์ ก่อนจะปีนขึ้นไปบนหลังคารถไฟอย่างชำนาญ เนื่องจากรถไปกำลังวิ่งกลับ เขาซึ่งอยู่ท้ายขบวนจึงสามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านหลังได้อย่างชัดเจน สัตว์อสูรจำนวนมากแห่กันเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในนั้นมีทั้งสัตว์อสูรธรรมดา แล้วก็มีพันธุ์ผสมที่ตัวใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ความเร็วในการบุกเข้ามาของพวกมันเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ หลังออกมาจากสถานีได้ไม่นาน เขาก็มองเห็นเงาสีดำๆ วิ่งข้ามรางเหล็กเข้าไปในพื้นที่ขนของแล้ว
ถ้าทุกคนอาศัยสองเท้าวิ่งหนี ไม่มีทางที่พวกเขาจะวิ่งหนีสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งพวกนี้ได้เลย
—- เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว
ความคิดนี้ทำให้ชาร์มถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจ
แต่ความสงสัยยังอยู่มีอยู่
สัตว์อสูรแบบนี้ถูกสกัดเอาไว้ด้วยกำแพงซีเมนต์และอาวุธปืนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว พวกมันไม่สามารถก้าวเข้ามาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้อีก ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก แล้วสัตว์อสูรพวกนี้มันจะบุกเข้ามาได้ยังไง?
เสียงปืนที่ดังขึ้นหลังจากนั้นยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ —- พันธุ์ผสมหลายตัวสังเกตเห็นรถไฟที่กำลังส่งเสียงดัง พวกมันวิ่งไล่เข้ามาจากทางด้านเหนือ จากนั้นจึงถูกสังหารลงด้วยปืนยาวแวนนา น้ำเลือดสีดำเจิ่งนองเต็มพื้น ช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่ได้ทำให้พวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย การโจมตีของสัตว์อสูรยังคงใช้แต่เขี้ยวและกรงเล็บเหมือนสัตว์ป่าอยู่ ความน่ากลัวของพวกมันไม่อาจเทียบปีศาจที่ขว้างหอกได้ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าศัตรูแบบนี้ต้องทำยังไงถึงจะสามารถบุกเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียงได้
“ปัง!”
หลังเสียงดังสนั่นขึ้นมา รถไฟพลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกับว่าชนเข้ากับอะไรบางอย่าง
ชาร์มเกือบกระเด็นตกลงมาจากหัวรถไฟ เขาหันหน้ากลับไปมองอย่างโมโห ก่อนจะรู้สึกเย็บวาบขึ้นมาทันที! ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ด้านข้างรถไฟพลันมีสัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกๆ ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันแนบติดกับตู้โดยสารรถไฟ เห็นได้ชัดว่ามันถูกชนจนยุบเข้าไป เลือดสีน้ำเงินไหลทะลักออกมาจนเปื้อนผิวรถไฟไปเป็นแถบ สัตว์ประหลาดมีขาจำนวนมากและเปลือกที่เหมือนกับแมลง เขี้ยวที่เหมือนเคียวคู่หนึ่งที่อยู่ตรงหัวมันแสดงให้เห็นว่ามันอยู่ในตำแหน่งผู้ล่า
สิ่งที่น่าสงสัยก็คือก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตรงหน้ารถไฟจะมีสัตว์ประหลาดอยู่ แล้วเจ้านี้มันโผล่มาจากไหนกันแน่?
แต่ทันใดนั้นชาร์มก็ไม่มีเวลาจะมานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อีก
เพราะเขาเห็นว่ารางรถไฟที่อยู่ไม่ไกลขาดออกเป็นสองท่อน!
“แฮงค์ รีบเบรคเร็ว!” เขาตะโกนพร้อมกับรีบมุดกลับเข้าไปในขบวนรถไฟ ก่อนจะรีบคว้าราวจับเอาไว้แน่นๆ ด้วยความเร็วสูงสุด ถึงแม้เพื่อนของเขาจะงุนงง แต่อีกฝ่ายก็รีบดึงเบรกทันที เสียงหวีดที่เล็กแหลมดังไปทั่วทั้งขบวนรถ ชาร์มได้กลิ่นเหม็นไหม้จากจานเบรกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว รถไฟวิ่งผ่านพื้นที่ที่รางขาด ตัวรถที่หนักอึ้งกดล้อรถจมลงไปในพื้นหินแตกๆ จากนั้นหัวรถก็พุ่งลงไปในคันทาง ตู้โดยสารที่สูญเสียรางในการจำกัดความเร็วชนเข้าด้วยกัน ก่อนจะพลิกคว่ำอย่างรุนแรง
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น