Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1408-1409
ตอนที่ 1408 คนที่ไม่เหมือนกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเวลาเดียวกัน โรแลนด์ยืนอยู่ช้้นบนของปราสาท สายตามองดูฝูงบินค่อยๆ บินห่างออกไป
“แบบนี้มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอเพคะ?” ไนติงเกลพพูดอย่างกังวล “เครื่องบินรุ่นใหม่เพิ่งจะส่งมาถึงนี่ได้วันเดียว พวกเขายังไม่มีโอกาสแม้กระทั่งฝึกซ้อมทิ้งระเบิดเลยนะเพคะ”
หลังติดตามโรแลนด์มานาน เธอก็พอจะเข้าใจกระบวนการทำศึกของกองทัพที่หนึ่งอยู่บ้าง ทุกครั้งที่มีแผนการใหม่ออกมา การทดสอบโจมตีนั้นคือสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ อันดับแรกคือทางทีมที่ปรึกษาจะทำการอนุมานแผนการบนกระดาษซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจว่าแผนการนั้นสามารถใช้งานได้จริง ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกซ้อม ถึงแม้ปฏิบัติการครั้งนี้จะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับแสงแห่งอาทิตย์ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นการออกไปทำศึกตามลำพังเหมือนกัน คนที่เข้าร่วมการทดสอบนั้นจริงๆ แล้วควรจะทำการฝึกซ้อมโยนระเบิดให้ชำนาญก่อนที่จะออกไปปฏิบัติจริง
“ถูกต้อง แต่เวลามันไม่คอยท่าน่ะสิ” โรแลนด์พยักหน้า “จากรายงานที่ได้รับมาในตอนนี้ เฮคซอดไม่ได้ปรากฏตัวในศึกโจมตีที่เทือกเขาสิ้นวิถี…พูดอีกอย่างก็คือจดหมายฉบับนั้นใช้ได้ผล ปัญหาก็คือสกายลอร์ดนั้นมีนิสัยขี้ระแวงสงสัย ไม่มีใครรู้ว่าจดหมายฉบับนั้นจะทำให้มันออกไปจากสนามรบได้นานเท่าไร ดังนั้นการโจมตีทางอากาศครั้งนี้จึงยิ่งเร็วยิ่งดี”
เมื่อมองดูดีๆ แล้ว การโจมตีครั้งนี้ก็ถือเป็นการโจมตีเพื่อหยั่งเชิงเหมือนการโจมตีครั้งที่แล้ว — ศัตรูจะตอบโต้การลอบจอมตีทางอากาศอย่างไร? พระผู้สร้างมีการป้องกันการโจมตีทางอากาศไหม? นี่เป็นคำถามที่ต้องรีบหาคำตอบก่อนที่ศึกตัดสินจะเริ่มขึ้น
“อย่างนั้น…ไม่ฝึกซ้อมมันจะไม่เป็นปัญหาจริงๆ เหรอเพคะ?”
“วางใจได้” โรแลนด์ยิ้มๆ “ทิลลีคิดแผนรับมือเอาไว้แล้ว”
การทิ้งระเบิดนั้นเป็นงานทางเทคนิคที่ต้องอาศัยการประสานงานกันระหว่างคนและอุปกรณ์บนเครื่องบิน หากไม่มีเวลาฝึกซ้อมซักครึ่งเดือนก็คงไม่มีทางแสดงประสิทธิภาพของระเบิดออกมาได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อที่จะแข่งกันเวลา ฟิวรี่เฟลมล็อทแรกที่ส่งมาจึงไม่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ในการเล็งเพื่อทิ้งระเบิดเอาไว้ ต่อให้อยากจะฝึกซ้อมก็คงทำไม่ได้
ส่วนแผนการที่ทิลลีคิดออกมาก็คือให้ซิลเวียเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการ — ขอเพียงรู้ความเร็วและความสูงของเครื่องบิน อย่างนั้นจุดสำหรับระเบิดก็สามารถใช้วิธีคำนวณออกมาได้ ด้วยเหตุการณ์กระบวนการทิ้งระเบิดจึงกลายเป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมาก นักบินแทบจะไม่ต้องสำรวจดูพื้นดินด้านล่างเลย พวกเขาแค่รอฟังคำสั่งให้ทิ้งระเบิด จากนั้นดึงคันปลดล็อกก็พอ
แนวคิดนี้ค่อนข้างคล้ายกับเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนภัยทางอากาศ การค้นหาศัตรู ระบุตำแหน่งและไล่ตามล้วนแต่กระทำโดยบุคคลที่สาม ในตอนที่ข้อมูลการยิงถูกส่งมาที่เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินขับไล่ถึงจะเปิดระบบเรดาร์ควบคุมการยิงเพื่อทำการโจมตีสุดท้าย
และซีกัลก็คือเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนภัยทางอากาศที่จะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดลำนั้น
“อย่างนี้นี่เอง” หลังฟังโรแลนด์อธิบายจบ ไนติงเกลก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจออกมา “สมแล้วที่เป็นองค์หญิงทิลลี….”
“โอ้?” โรแลนด์เลิกคิ้ว “ข้านึกว่าเจ้าจะทอดถอนใจออกมา แล้วบอกว่าตัวเองนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเสียอีก”
“หึหึ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะใช่เพคะ” เธอกรอกตาใส่ “แต่อันนาอยู่ตรงนั้นทั้งคน ต่อให้เป็นคนที่รู้เรื่องเยอะแค่ไหนก็คงจะรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหมือนกันแหละเพคะ หม่อมฉันชินแล้วล่ะเพคะ”
โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติอะไรเลย ทำไมเธอถึงได้พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แต่ว่าอีกฝ่ายสามารถพูดถึงเรื่องในอดีตได้อย่างสบายๆ นี่ก็ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างแปลกใจเหมือนกัน
“นอกจากนี้หลายปีมานี้หม่อมฉันยังเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งด้วยเพคะ…” ไนติงเกลยักไหล่
“เรื่องอะไร?”
“เห็นไหมเพคะ พระองค์เองก็ไม่ใช่ว่าจะทรงรู้ไปทุกเรื่อง?” เธอมองไปทางพระอาทิตย์ยามเช้าที่อ่อนโยน ผมหน้าม้าตรงหน้าผากส่องประกายสีทอง “แต่ในเมื่อพระองค์ทรงถามมา อย่างนั้นหม่อมฉันจะบอกให้ก็ได้เพคะ — นั่นก็คือทุกคนต่างก็มีข้อดีของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องไปหลับหูหลับตาเลียนแบบคนอื่น ซื่อสัตย์ต่อตัวเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด หรือว่าพระองค์…ทรงชอบแต่คนที่รู้เยอะล่ะเพคะ?”
“…..” โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที
ซึ่งคำตอบนี้ไม่จำเป็นต้องตอบออกมา
เมื่อดูจากสีหน้าของอีกฝ่าย เขารู้ว่าเธอเข้าใจในเรื่องนี้ดี
“แค่นี้แหละเพคะ เช่นนั้นอย่าลืมเอาเครื่องดื่มยุ่งเหยิงไปใส่เอาไว้ในตู้ให้เยอะหน่อยนะเพคะ” ไนติงเกลโบกนิ้วมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินลงไปด้านล่างปราสาท “เอาไว้ทุกคนกลับมาพร้อมชัยชนะ หม่อมฉันจะลากพวกนางมาฉลองให้เต็มที่เพคะ”
โรแลนด์มองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายเดินจากไป ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงรู้สึกตัวขึ้นมา ที่นี่ไม่ใช่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ แล้วเขาจะเอาเครื่องดื่มยุ่งเหยิงไปยัดไว้ที่ไหน…ยิ่งไปกว่านั้นที่เธอบอกว่า ‘ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง’ พูดอีกอย่างมันก็คือข้ออ้างให้หาความสุขให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ!
เขาส่ายหัวพร้อมหัวเราะแห้งๆ ออกมา ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป
…..
“นี่คือซีกัล องค์หญิง พระองค์ทรงเข้าไปในเขตเฝ้าระวังของป้อมปราการลอยฟ้าแล้วเพคะ” ตอนเช้า 8. 35 น. ซิลเวียส่งคำเตือนแรกผ่านทางรูนสดับ “อย่างมากอีก 15 นาที ฝูงบินก็จะบินผ่านเส้นโจมตีของเสาหินแล้วเพคะ”
“รับทราบ” ทิลลียิ้มอย่างเยือกเย็น “ข้ามองเห็นพวกมันแล้ว”
เธอไม่ได้คิดที่จะปิดบังพวกปีศาจแต่แรกแล้ว บนพระผู้สร้างจะต้องมีปีศาจดวงตาเฝ้าระวังอยู่อย่างแน่นอน — ในตอนที่ซิลเวียมองเห็นพวกมัน พวกมันก๋จะมองเห็นซิลเวียทันที ถ้าซีกัลเป็นฝ่ายเผยตัวก่อน แบบนั้นกลับจะไม่เป็นผลดีต่อแผนการ ด้วยเหตุนี้สู้บุกเข้าไปตรงๆ เพื่อดึงเอาความความสนใจส่วนใหญ่ของศัตรูมาอยู่ที่ฝูงบินดีกว่า
ในวินาทีที่ซิลเวียแจ้งเตือน ศัตรูก็ได้ทำการตอบโต้ออกมา
จุดสีดำจำนวนมากได้ลอยขึ้นมาจากกึ่งกลางของแผ่นดิน ก่อนจะรวมกลุ่มบินมาทางอาณาจักรดอว์น
หึ การเฝ้าระวังดีมากเลยนี่ ทิลลีเปิดสถานีวิทยุไร้สายด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะหมุนช่องความถี่ไปยังช่องความถี่รวม “ระวัง ปีศาจมันปรากฏตัวแล้ว เตรียมตัวรับศึก! กลุ่มหนึ่ง กลุ่มสอง พวกเจ้าทำตามแผนที่วางไว้!”
“รับทราบ” กู๊ดกับแมนเฟลตอบพร้อมกัน
รูปแบบขบวนทัพของอัศวินอากาศนั้นเรียบง่ายอย่างมาก เครื่องบินปีกสองชั้น 50 ลำถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทีมที่รับหน้าที่ทิ้งระเบิดจะบินอยู่ด้านบนชั้นเมฆ เพื่อพยายามลดเวลาที่ปีศาจจะสังเกตเห็นให้ได้มากที่สุด ส่วนเฮฟเว่นเฟลมอีก 35 ลำจะรับหน้าที่ทำลายแนวป้องกันของปีศาจ
ไม่นานเครื่องบินขับไล่ก็เข้าไปในระยะ 10 กิโลเมตรจากแผ่นดินลอยฟ้า ในระยะนี้สามารถใช้ตาเปล่ามองเห็นหินสีดำที่เป็นเหมือนเกล็ดปลาและเมืองที่อยู่ตรงกลางบนแผ่นดินลอยฟ้าได้ ส่วนเสาหินที่อยู่รอบๆ แผ่นดินลอยฟ้านั้นยังไม่ยกขึ้นมา เหมือนกับว่ามองไม่เห็นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าสิ่งนั้นมันไม่ได้ใช้สำหรับโจมตีอัศวินอากาศจริงๆ ด้วย
“นี่คือฟินิกส์ พบราชาปีศาจที่บุกโจมตีทีมภาคพื้นดินเมื่อครั้งที่แล้วไหม?” ทิลลีถาม
“….” ซิลเวียค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้ยังไม่พบ”
ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างมนุษย์ ทิลลีหันหน้ากลับไปเหลือบมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ขึ้นมาทางด้านหลัง แสงที่เจิดจ้านั้นช่วยบดบังทิศทางการโจมตีของอัศวินอากาศได้พอดิบพอดี
“อากาศดีมาก ช่างเป็นวันที่เหมาะสำหรับนอนหลับยาวจริงๆ เลย”
เธอเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์คำรามเสียงดังก่อนเครื่องของเธอจะพุ่งเข้าไปหาศัตรูเป็นคนแรก —
…..
“องค์หญิงทิลลีทรงเข้าไปปะทะกับศัตรูแล้ว” ซิลเวียรายงานด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อัศวินอากาศกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเรื่องจำนวน เพื่อว่าครั้งนี้เป็นพวกเขาเป็นฝ่ายบุกเข้ามาโจมตีรังของปีศาจ การเคลื่อนไหวของอสูรสยองจึงเร็วกว่าครั้งที่แล้วมาก “จำนวนของศัตรูยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป…พวกเขาต้องถูกล้อมแน่”
เวนดี้เหมือนจะมองเห็นถึงความกังวลใจของเธอ “สบายใจได้ ถึงแม้ปีศาจมันจะมีจำนวนเยอะกว่า แต่อัศวินอากาศไม่จำเป็นต้องโจมตีพวกมันให้ร่วงทุกตัว ขอเพียงยื้อเวลาเอาไว้สิบกว่านาทีก็พอ ในเรื่องความเร็ว อสูรสยองพวกนั้นมันสู้เฮฟเว่นเฟลมไม่ได้หรอก เจ้าเอาสมาธิไปอยู่ที่เป้าหมายหลักดีกว่า”
ถูกต้อง…รีบโยนระเบิดให้เสร็จแล้วรีบถอยดีกว่า ห่วงหน้าพะวงหลังไปมีแต่จะทำให้ตัวเองพลาดเปล่าๆ ซิลเวียกัดริมฝีปาก ก่อนจะเพ่งสมาธิไปยังกึ่งกลางแผ่นดินลอยฟ้า
หลังบินผ่านหมอกแดงมา เสาหินโอเบลิสขนาดใหญ่มหึมาเสาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
ถึงแม้จะมองลงมาจากบนฟ้าในระยะไกล แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงความใหญ่โตของมัน ระดับความสูงหลายร้อยเมตรทำให้มันเป็นเหมือนเสาค้ำฟ้าที่ตั้งอยู่ในหลุมลึก สิ่งก่อสร้างใดๆ ของมนุษย์ล้วนแต่ดูเล็กไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
ตอนที่ 1409 ระเบิด (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
นั่นคือเป้าหมายของภารกิจครั้งนี้ ซิลเวียรู้ได้ทันที
ภาพที่อยู่ตรงกลางแผ่นดินลอยฟ้านั้นตรงกับข้อมูลที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงให้ม้า เมืองของปีศาจสร้างขึ้นล้อมรอบเสาโอเบลิสเอาไว้ ส่วนตัวเสากับเมืองก็มีหลุมลึกที่เหมือนกับคูเมืองกั้นเอาไว้อยู่ ปีศาจชั้นต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะติดอยู่บนผนังในหลุมลึกเหมือนกันหนอนปรสิตที่เกาะอยู่บนเปลือกของต้นไม้ แต่เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว พวกมันกำลังขุดผนังหน้าผาอยู่เพื่อทำให้หลุมขยายกว้างมากขึ้น
หมอกแดงรวมตัวอยู่ในหลุมลึกนี้จนกลายเป็นทะเลสาบสีแดง ส่วนหอคอยที่อยู่ใกล้ผนังของหลุมก็จะทยอยตกลงไปในทะเลสาบและกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลุมยักษ์
ว่ากันว่าเสาหินโอเบลิสไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ตั้งแต่แรก มันงอกออกมาจากดินเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ก่อนจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหลุมที่รองรับหมอกแดงเองก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคาดคะเนอายุของเมืองปีศาจได้จากสองสิ่งนี้
เมืองแห่งนี้นั้นเก่าแก่จนน่าตกใจ
เมื่อเทียบกันแล้ว เครื่องบินปีกสองชั้นนั้นเรียกได้ว่าเล็กน้อยไม่มีค่าให้พูดถึงเลย อย่าว่าแต่ระเบิดที่พกมาด้วยด้วยเลย ต่อให้เครื่องบินพุ่งลงไปทั้งลำก็ยากที่จะทำให้ทะเลสาบหมอกแดงลุกไหม้ขึ้นมาได้
ทันใดนั้น ซิลเวียก็ส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมาเบาๆ
“ทำไมเหรอ?” เวนดี้ที่เป็นคนละเอียดถามขึ้นมาทันที
“เจอปีศาจ…แปลกๆ ตัวนึง”
เธอสังเกตเห็นปีศาจตัวหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนยอดเสาโอเบลิส — ตามธรรมเนียมของพวกปีศาจที่บูชาท้องฟ้าแล้ว ปีศาจที่สามารถขึ้นไปยืนบนเสาหินได้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ และเมื่อดูจากรูปร่างของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ปีศาจธรรมดา มันสวมผ้าใบขนาดใหญ่ที่สามารถคลุมคนได้ 3 – 4 คน บนผ้าใบนั้นมีเครื่องประดับติดอยู่เต็มไปหมด เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามันมีตั้งแต่กระดูก มีดดาบ ไปจนถึงเกราะโลหะ นอกจากนี้เธอยังมองเห็นสกรูอยู่อีก 3 – 4 อันด้วย
ศีรษะของศัตรูเองก็มีความพิเศษอย่างมาก มันมีรูปร่างเหมือนกับเสา บนนั้นมีหน้ากากติดอยู่หลายอัน ดูแล้วทำให้เธอเกิดความรู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด
“คลื่นพลังเวทมนตร์ของมันรุนแรงไหม?”
“ไม่…ไม่รุนแรง” นี่เป็นจุดที่ทำให้ซิลเวียงุนงงมากที่สุด เมื่อดูจากภายนอกแล้ว อย่างน้อยๆ มันก็เป็นปีศาจระดับสูง แต่หลังจากปรากฏกายขึ้นมา มันก็ไม่ได้มีความพยายามที่จะรวบรวมพลังเวทมนตร์เพื่อแสดงความสามารถออกมาเลย สิ่งเดียวที่มันทำก็คือเพ่งบอกดูอัศวินอากาศที่กำลังต่อสู้กับอสูรสยองอยู่ ดูแล้วไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยแม้แต่น้อย
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำอะไร ซิลเวียก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรนัก ตอนนี้ฟิวรีออกเฮฟเว่นที่รับหน้าที่ทิ้งระเบิดสองลำได้เข้าไปใกล้ชายขอบของเมืองปีศาจแล้ว เธอจำเป็นต้องรวบรวมสมาธิถึงจะสามารถวิเคราะห์ตำแหน่งโยนระเบิดที่เหมาะสมออกมาได้
หลังจากนั้นสองนาที เธอก็ออกคำสั่งทิ้งระเบิดผ่านทางวิทยุ
“ทีมที่หนึ่ง ทิ้งระเบิดได้”
“กู๊ดรับทราบ”
ถึงแม้ท้องฟ้าจะแจ่มใส แต่ชั้นเมฆที่ลอยอยู่บนเทือกเขาสิ้นวิถีนั้นลอนไม่ค่อยสูงนัก บวกกับระดับความสูงของตัวป้อมปรากการลอยฟ้า ทำให้ศัตรูไม่ทันสังเกตเห็นฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่บินเข้ามา
เครื่องบินปีกสองชั้น 5 ลำเรียงเป็นแถมหน้ากระดาน ก่อนจะปล่อยระเบิดน้ำหนัก 150 กิโลกรัมที่ติดอยู่ใต้ท้องเครื่องบินออกไป
วินาทีที่ระเบิดที่หนักอึ้งหลุดออกไปจากตัวเครื่อง กู๊ดพลันรู้สึกได้ว่าตัวเครื่องบินนั้นยกลอยขึ้นไปด้านบนเหมือนกับว่าตัวเครื่องนั้นเบาขึ้นมาหน่อย
สิ่งที่น่าเสียดายคือเขาไม่สามารถมองเห็นผลงานด้วยตาตัวเองได้
แต่ซิลเวียกลับเห็นมันอย่างชัดเจน
เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงนั้นอยู่ด้านหน้า ระเบิดทั้ง 5 ลูกจึงพุ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงเฉื่อยที่ได้มาจากเครื่องบิน ทำให้มันลอยเป็นเส้นโค้งตกไปศูนย์กลางของเมืองปีศาจ ในตอนที่พุ่งมาถึงระยะ 500 สุดท้าย พวกมันก็แถมจะพุ่งลงมาตั้งฉากกับพื้นแล้ว
ส่วนปีศาจเองก็สังเกตเห็น ‘แขกที่ไม่ได้รับเชิญ’ จากท้องฟ้าเหล่านี้
อสูรสยองอีกฝูงหนึ่งบินขึ้นมาจากในเมือง ก่อนจะพุ่งขึ้นไปหาชั้นเมฆ — แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของระเบิดที่ตกลงมาแล้ว การเคลื่อนไหวของพวกมันถือว่าค่อนข้างช้าอย่างมาก
เงาดำห้าสายทยอยตกลงไปในเมือง ระเบิดกลายเป็นดอกไม้เพลิงขนาดใหญ่ทันทีที่สัมผัสกับพื้น ฝุ่นควันและเศษหินฟุ้งกระจายสูงขึ้นไปหลายสิบเมตร ความรุนแรงของมันเหนือกว่ากระสุนระเบิดขนาด 152 มม. มาก! จึงแม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่ซิลเวียก็สามารถรับรู้ได้ถึงความตกตะลึงสังเกตเห็นลมระเบิดที่รุนแรงและเศษเห็นที่ปลิวกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ขณะเดียวกันภายใต้แรงดันของคลื่นอากาศอันร้อนแรง ภายในหมอกแดงได้เกิด ‘รู’ ขึ้นมา 3 – 4 รูปอย่างชัดเจน ดูแล้วเหมือนกับฟองอากาศที่อยู่ในเนื้อขนมปัง
เมื่อมองลงมาจากที่สูง เสาควันสีดำที่ค่อยๆ กระจายตัวออกดูตัดกับหมอกสีแดงอย่างชัดเจน —- บางทีในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมืองแห่งนี้อาจจะไม่ค่อยถูกศัตรูบุกโจมตี ทว่านับตั้งแต่ที่มันลอยข้ามเทือกเขาสิ้นวิถีมาจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้แค่ครึ่งเดือน พื้นที่ใจกลางของมันก็ถูกมนุษย์มาเยี่ยมเยือนถึงสองครั้งแล้ว
แต่หัวใจของซิลเวียกลับหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ถึงแม้จุดตกของระเบิดจะกระจายตัวกันค่อนข้างห่างเนื่องจากได้รับอิทธิพลของลม แต่ถึงอย่างไรมันก็ตกลงในเมือง เมื่อเทียบกับปืนใหญ่แล้วถือว่ามีความแม่นยำกว่ามาก เพียงแต่ระเบิดที่ยิงถูกทะเลสาบหมอกแดงนั้นมีเพียงแค่สองลูกเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองลูกยังระเบิดกลางอากาศโดยไม่ได้สัมผัสถูก ‘ผิวทะเลสาบ’ อีกด้วย
พริบตาที่ลูกบอลเพลิงสว่างวาบขึ้นมา เธอก็มองเห็นคลื่นแสงสีน้ำเงินกระเพื่อมเป็นวงกระจายออกมา — ดูแล้วเหมือนกับบาเรียที่อยู่นตัวปีศาจระดับสูงไม่มีผิด!
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” แวนดี้สัมผัสได้ถึงสีหน้าที่ผิดปกติของเธอ
“รอบๆ เสาโอเบลิส…มีบาเรียเวทมนตร์ป้องกันอยู่” ซิลเวียพูดงึมงำเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ระเบิดไม่ได้ผล…”
“เฮ้ๆ” ซาวีหันหน้ามาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าจะบอกว่าปีศาจมันสร้างบาเรียได้ใหญ่เท่ากับเมืองอย่างนั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
เธอย่อมต้องรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ ผลของความสามารถมักจะเชื่อมโยงกับปริมาณพลังเวทมนตร์ ถ้าจะทำให้ขอบเขตการแสดงผลของเวทมนตร์ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เอาแม่มดทั้งหมดมารวมกันก็ไม่มีทางทำได้ แต่เรื่องจริงมันวางให้เห็นอยู่ตรงหน้า เธอจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
ใช่แล้ว….ปีศาจระดับสูงที่อยู่บนยอดเสาตัวนั้น
ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ซิลเวียก็หันกลับไปมองดูอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่การมองครั้งนี้ทำให้เธอขนลุกขึ้นมา ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้พลันไหลทะลักออกมาจากใจของเธอ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ปีศาจระดับสูงตัวนั้นกางแขนที่ผอมแห้ง 7 – 8 ข้างออก ก่อนจะถอดเอาหน้ากากจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนหัวออก ภายใต้หน้ากากเผยให้เห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างมาก ศีรษะที่ซ้อนทับกันสิบกว่าชั้นเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ในนั้นมีทั้งศีรษะของปีศาจและของมนุษย์ แล้วก็มีของสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักด้วย ใบหน้าที่เป็นของมนุษย์ของผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นดูสะดุดตาอย่างมาก พวกมันกำลังฉีกยิ้มที่ไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าดูแปลกประหลาดและน่าสะอิดสะเอียนที่สุด
ซิลเวียทนไม่ไหว เธอก้มตัวลงพร้อมส่งเสียงอาเจียนออกมา ความสามารถของเธอเองก็หยุดลงตามไปด้วย
เวนดี้ที่เห็นเหตุการณ์รีบหยิบไมค์สื่อสารขึ้นมา “นี่คือซีกัล กลุ่มสองรีบทิ้งระเบิดแล้วถอยออกมา”
“รับทราบ กลุ่มหนึ่งทิ้งระเบิดสำเร็จแล้วเหรอ?”
“ไม่….รอบเสาหินมีบาเรียเวทมนตร์ ระเบิดไม่สามารถลงไปในหลุมลึกได้”
“บาเรีย?” อีกฝั่งเงียบไปครู่ “ทราบแล้ว แต่ข้าอยากลองดูหน่อย”
“แต่ตรงนี้มีเรื่องนิดหน่อย เกรงว่าตอนนี้ซิลเวียคงไม่สามารถระบุตำแหน่งให้พวกเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นอสูรสยองของทางฝั่งศัตรูก็เข้าไปใกล้ชั้นเมฆแล้วด้วย!”
“วางใจได้ เดี๋ยวกลุ่มหนึ่งจะปกป้องพวกข้าเอง”
เวนดี้ได้แต่ต้องติดต่อทิลลีแล้วรายงานสถานการณ์คร่าวๆ ให้เธอฟัง แต่อีกฝ่ายกลับพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “ไม่เป็นไร ให้กลุ่มที่สองลองหน่อยแล้วกัน ทางฝั่งพวกเรายังไม่ถึงเวลาที่ต้องถอย”
……………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น